วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๑๗ (พยัคฆ์น้อยคะนองฤทธิ์)
““พ่อจ๋า พ่อจ๋า พ่อจะพาหนูไปเที่ยวที่ไหนเหรอจ๊ะ”” เสียงจากหนูน้อยวัยประมาณ ๑๐ ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ที่กำลังวิ่งตามชายศีรษะล้านรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้หนึ่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินลึกเข้าไปในป่าไม้เบื้องหน้า ทิ้งเด็กน้อยที่กำลังวิ่งตามมาด้านหลังอย่างไม่ไยดี
““พ่อจ๋า หนูเหนื่อยแล้วนะ พ่อจ๋าหนูหิวด้วย ไหนล่ะจ๊ะ? ของเล่นกับขนมอร่อยๆ ที่พ่อบอกหนูน่ะจ๊ะ”” เด็กน้อยวิ่งตามจนหน้าน้อยๆแดงก่ำ หอบหายใจไม่หยุด ด้วยวิ่งตามบิดามาเป็นเวลานานแล้วแต่บิดาก็ไม่ยอมหยุดเดินเสียที
เสียงร้องเล็กๆ นั้นทำให้ร่างของชายศีรษะล้านนั้นหยุดเดิน พลางหันขวับกลับมา พลางเสแสร้งรอยยิ้มจอมปลอมออกมาน้อยๆ แล้วพยักหน้าเรียกหนูน้อยมาใกล้ๆ เมื่อหนูน้อยมาใกล้พอแล้วเขาก็ค่อยนั่งลงช้า พลางยกมือขึ้นลูบหัวของเด็กน้อยเบาๆ พลางกล่าว
““พลายงามเอ้ย วันนี้พ่อพาเจ้ามาที่นี่เพื่อมาเที่ยว แต่พ่อบอกกับเจ้าแล้วว่ามันไกล ถ้าเจ้าต้องการจะมาเที่ยวกับพ่อเจ้าต้องมีความอดทนนะลูกเอ๋ย เอาอย่างนี้เจ้าหิวแล้วใช่ไหม?””
พลายงามพยักหน้ารับพลางมีสีหน้าที่ดีใจขึ้นมาแย้มยิ้มจนเห็นลักยิ้มชัดเจนทั้งสองแก้มน่าเอ็นดูมากๆ ชายผู้นั้นก็กลอกตาไปมาเพื่อดูว่าแถบนั้นมีผู้คนผ่านไปมาหรือไม่ แล้วหันกลับมาพลางแสยะยิ้มให้กับพลายงาม แล้วกล่าวเบาๆ
““ถ้าเจ้าอยากทานขนมอร่อยๆ หลับตาก่อนนะลูก แล้วพ่อจะให้ได้ได้ทาน””
พลายงามก็รีบหลับตาพริ้มลงทันที ชายผู้นั้นก็ยกมือขึ้นบีบจมูกของพลายงามโดยทันทีอย่างแนบแน่น ไม่ว่าพลายงามจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดได้ ชายผู้นั้นจ้องหน้าของพลายงามเมื่อเห็นหน้าน้อยๆ นั้นเขียวคล้ำ ก็ปล่อยมือแล้วค่อยวางร่างน้อยๆ นั้นราบลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนหันมองไปทางซ้ายทางขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดได้พบเห็นแน่แล้ว จึงเดินไปลากเอาขอนไม้ที่มีใบไม้ติดอยู่มาทับร่างของพลายงามไว้ แล้วรีบออกเดินไปจากที่นั้นโดยทันที
ท่านคงเดาได้ไม่ยากว่าชายผู้นี้คือใคร เขาคือขุนช้างนั่นเอง
ขุนช้างนั้นดีใจที่ได้มีลูกชายเป็นอย่างยิ่งในตอนแรก แต่เมื่อลูกชายของเขาเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลับมีใบหน้าประพิมพ์ประพายเหมือนกับขุนแผนไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่เหมือนกับเขาเลย สิ่งเหล่านี้สร้างความสงสัยให้แก่ขุนช้างเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงเริ่มนับวันตั้งแต่วันที่นางวันทองจากเขาไป กับวันที่เด็กคนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วเขาก็เข้าใจว่าที่แท้เขาโดนหลอกเสียแล้ว เขาโดนหญิงคนที่เขารักจนสุดหัวใจหลอกลวงเสียแล้ว ความนี้ทำให้ขุนช้างถึงกับร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตามานานนับปี ความรู้สึกที่ถูกหลอกลวงมันช่างขมชื่นและทรมานสิ้นดี สิ่งเหล่านี้มันคอยฉกกัดและหลอกหลอนขุนช้าง จนในที่สุดเวลาผ่านไป ๑๐ ปี เขาจึงได้ตัดสินใจกระทำการเยี่ยงนี้ไป เฮ้อ
พลายงามนั้นเมื่อหลับตาแล้วถูกบีบจมูกแนบแน่น เขาก็ดิ้นรนต่อสู้ตามสัญชาติญาณ แต่แรงเด็กย่อมไม่อาจที่จะสู้แรงของผู้ใหญ่ได้ เขาเริ่มอ่อนแรงลง ข้างหูก็ได้ยินเสียงกระซิบ ““นายน้อย หยุดดิ้นขอรับ แกล้งตาย ข้าจะช่วยบังตาขุนช้างให้เห็นนายน้อยตายแล้ว”” พลายงามได้ยินเสียงกระซิบดังนั้นก็หยุดการดิ้น ขุนช้างก็ปล่อยร่างของเขาลงกับพื้น จากนั้นก็ลากขอนไม้มาทับร่างของเขาไว้ เมื่อขุนช้างเดินจากไปแล้ว แต่พลายแก้วก็ยังไม่กล้าที่จะขยับด้วยกลัวว่าขุนช้างจะรู้ว่าเขายังไม่ตาย หัวใจดวงน้อยๆ ของพลายงามนั้นหวาดหวั่นและพรั่นพรึงอย่างยิ่งที่พ่อบังเกิดเกล้าของเขา ทำไมถึงพยายามทำอย่างนี้กับเขา มันช่างรุนแรงจนเขาแทบทนรับไม่ได้ ต้องนั่งกอดเข่าแนบแน่นไม่กล้าขยับไปไหน ด้วยความกลัว
พลายงามนั่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเริ่มค่ำมืด เงาของยามรัตติกาลเริ่มกลืนทุกสิ่งเข้าไปในตัวของมันทีละน้อย สรรพสิ่งรอบข้างเริ่มมืดสลัวลง ความน่ากลัวในทุกสรรพสิ่งเริ่มมากขึ้น พลายงามยังคงนั่งกอดเข่านิ่งอยู่ตรงนั้น สักพักหนึ่งก็มีร่างของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เดินมาก้มกราบที่แทบเท้าของพลายงาม พลางอุ้มร่างของพลายงามขึ้นกอดไว้ แล้วออกบินพาพลายงามออกจากป่าแห่งนั้นไป
วันนั้นทั้งวัน นางวันทองรู้สึกไม่สบายใจ หัวใจหนักอึ้งดุจดั่งมีทั่งเหล็กมาถ่วงไว้ นางวันทองเตรียมการออกไปเยี่ยมมารดาของนาง คือ นางศรีประจันซึ่งได้ป่วยไม่สบายอยู่เสมอๆ นางวันทองรู้สึกเป็นห่วงมารดาจึงได้สั่งบ่าวไพร่จัดเตรียมข้าวของเพื่อไปเยี่ยมไข้มารดาของหล่อน ก่อนออกจากเรือนนางวันทองเรียกหาพลายงาม แต่บ่าวบอกว่าพลายงามออกไปเที่ยวข้างนอกกับขุนช้างแล้ว นางวันทองจึงทอดถอนใจ แล้วออกเดินทางไปบ้านมารดาของนางโดยมิได้มีพลายงามตามไปด้วยเหมือนเคย
หลังจากที่นางวันทองเยี่ยมไข้มารดาของนางเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางที่นางเดินทางกลับไปยังบ้านนั้น จู่ๆ ก็มีพายุกรรโชกแรง พัดจนทุกคนไม่ลืมหูลืมตา เมื่อลมพายุหยุด นางวันทองก็เห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกราบอยู่แทบเท้าของนาง ข้างหูของนางก็ได้ยินเสียง
““นายหญิงขอรับ นายน้อยอยู่กับบ่าว ขอให้นายหญิงติดตามบ่าวมาด้วยเถิดขอรับ””
นางวันทองพยักหน้ารับ โดยมิได้สงสัยเลยว่าจู่ชายผู้นี้มาจากที่ใด แล้วนางได้ยินเสียงพูดได้อย่างไรในเมื่อเขาก้มกราบอยู่อย่างนั้น ชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้วเดินเหมือนกับลอยเลื่อนเข้าไปในด้านข้างทางที่เป็นป่า นางวันทองก็เดินตามชายผู้นั้นเข้าไป แล้วนางก็เห็นร่างของพลายงามที่นั่งกอดเข่าแนบแน่นอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่ แต่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับหายไปแล้ว
นางวันทองเมื่อเห็นลูกมานั่งอยู่ตรงนี้ก็โผเข้าไปอุ้มร่างพลายงามขึ้นมากอด พลายงามเมื่อเห็นหน้ามารดา ก็กอดร่างของมารดาแน่นพลางร้องไห้ออกมา ทำเอานางวันทองที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุพลอยร้องไห้ไปกับลูกด้วย สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้กันอยู่พักหนึ่ง นางวันทองก็ยกมือเช็ดน้ำตาให้ลูกรัก พลางถาม ““พลายงามหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันลูก หือ หนูไปเที่ยวกับพ่อช้างไม่ใช่หรือลูก””
พลายงามเมื่อได้ยินชื่อของขุนช้างก็ออกอาการหวาดผวาออกมา สร้างความสงสัยแก่นางวันทองยิ่งนัก สักพักนางก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ข้างหู
““เจ้าขุนช้างพยายามจะฆ่านายน้อยน่ะขอรับนายหญิง บ่าวตามไปช่วยไว้ทัน แต่ขุนช้างคิดว่าได้ฆ่านายน้อยไปแล้ว จึงได้จากไป โดยเอาขอนไม้ทับนายน้อยไว้ บ่าวจึงรีบพานายน้อยมาหานายหญิงขอรับ””
นางวันทองได้ยินเสียงก็หันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นเงาสลัวเลือนรางของชายผู้นั้น นั่งอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ นางจึงถามพลายงาม
““จริงหรือเปล่าคะลูก? หือ หนูบอกแม่ซิ ใช่อย่างที่เขาพูดหรือเปล่า”?”
พลายงามก็พยักหน้าน้อยๆ แต่ยังสะอึกสะอื้นอยู่เบาๆ สร้างความสงสารให้เกิดแก่นางวันทองอย่างท่วมท้น พร้อมกับเกิดความแค้นที่ขุนช้างพยายามจะฆ่าลูกชายของหล่อน นางวันทองจึงกอดร่างของพลายงามไว้แนบแน่นกับอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวความจริงทั้งหมด รวมถึงว่าใครคือผู้ที่เป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่แท้จริงของพลายงาม และสุดท้ายนางจึงบอกกับพลายงามให้ไปตามหานางทองประศรี ผู้เป็นย่าแท้ๆของพลายงาม ที่ตั้งรกรากอยู่ที่เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี
พลายงามเป็นเด็กที่มีจิตใจเข้มแข็ง เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากมารดาก็หยุดร่ำไห้ พลางยืนขึ้นรับปากมารดาว่าเขาจะต้องตามหานางทองประศรีผู้เป็นย่าแท้ๆ ของเขาให้เจอให้จงได้ จากนั้นนางวันทองจึงได้ขอให้ชายผู้นั้นพาพลายงามไปหานางทองประศรีที่เมืองกาญจนบุรี ชายผู้นั้นซึ่งจริงๆ แล้วก็คือโหงพราย ที่เป็นเคยเป็นนายป่าช้าผู้เป็นบ่าวของขุนแผนนั่นเอง รับปาก เมื่อก้มลงกราบนางวันทองแล้วก็อุ้มร่างของพลายงามขึ้นบ่าแล้วทะยานบินไปทางเมืองกาญจนบุรีโดยทันที
ณ เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลายามเช้าตรู่ อากาศเย็นกำลังสบาย ได้ยินเสียงนกกากำลังเริ่มออกหากินกัน น้ำค้างยามเช้ายังไม่ระเหยจางไปจากยอดหญ้า อากาศยามรุ่งอรุณในดินแดนที่ยังมีต้นไม้มากมายนั้นช่างเป็นสุขยิ่งนัก พลายงามเมื่อโหงพรายได้พามาถึงยังเขาชนไก่ก็เป็นเวลารุ่งเช้าพอดี โหงพรายจึงต้องพรางตัวจากแสงอาทิตย์ด้วยเหตุทำให้ฤทธิ์ของเขาอ่อนกำลังลง เขาจึงปล่อยให้พลายงามลงเดินเข้าไปถามผู้คนถึงเรือนของทองประศรีผู้เป็นคหบดีมั่งคั่งที่นี่
ชาวบ้านร้านตลาดเมื่อเห็นรูปลักษณ์อันน่ารักน่าเอ็นดูของพลายงาม กอปรกับความมีมารยาทอันนอบน้อมจับตาผู้ดูผู้ชม ไหนเลยจะไม่รีบบอกทาง และบางคนยังพาขึ้นนั่งเกวียนไปด้วยกันระยะหนึ่ง จนกระทั่งเรือนของนางทองประศรีนั้นตั้งอยู่ข้างๆ ตลาด หรือจริงๆ ต้องบอกว่าตลาดน่ะเป็นของนางทองประศรีถึงจะถูก เพราะนางเป็นคนคิดจัดตั้งตลาด เพื่อให้ชาวบ้านได้มาค้าขายกัน โดยเรื่องค่าที่นั้น แล้วแต่จะเอามาให้ นางไม่ได้กำหนดหรอก ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดแถวนี้ ยกย่องความเป็นคนใจกว้างของนางเป็นอย่างยิ่ง
เช้าวันนี้นางทองประศรีเมื่อลุกขึ้นมาใส่บาตรพระเสร็จเรียบร้อย นางก็มานั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าเรือน มองดูคนเดินไปเดินมา ก็รู้สึกว่าเพลินดีเหมือนกัน สักพักหนึ่งนางก็สังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่ง หน้าตาน่ารัก แถมดูแล้วคุ้นเคยตาอย่างไรชอบกล เดินมาจนถึงข้างหน้าของนาง พลางก้มลงกราบที่แทบเท้าของนาง สร้างความประหลาดใจแก่นางทองประศรียิ่งนัก นางทองประศรีประคองร่างของเด็กชายคนนั้นขึ้นมา เห็นบนใบหน้าของเด็กชายผู้นั้นนองไปด้วยน้ำตา ก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจแก่นางมากขึ้น นางจึงถามไปว่า
““หนูจ๋า หนูเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันละ? แล้วมากราบฉันทำไมหรือ”?”
พลายงามนั้นตอบทั้งน้ำตาว่า
““หนูชื่อว่าพลายงามจ๊ะ หนูเป็นลูกของพ่อขุนแผนกับแม่วันทองจ๊ะ หนูมาที่นี่เพื่อมาหาท่านย่าทองประศรีน่ะจ๊ะ เพราะแม่วันทองบอกว่าท่านย่าจะพาหนูไปพบพ่อขุนแผนได้น่ะจ๊ะ หนูอยากจะพบหน้าพ่อขุนแผนสักครั้งหนึ่งน่ะจ๊ะ””
นางทองประศรีได้ฟังคำหลานก็บ่อน้ำตาแตก รีบดึงร่างของพลายงามมากอดแนบแน่นไว้กับอก พลางคิดสงสารหลานที่เกิดมายังไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อมาก่อน พลางพึมพำปลอบหลานเสียงสั่นเครือ สองคนย่าหลานกอดกันร้องไห้ท่ามกลางสายตาแสดงความสงสัยของชายบ้านร้านตลาดที่เดินผ่านไปมา เพื่อไปจับจ่ายซื้อของ เมื่อนางทองประศรีตั้งสติได้จากความโศกเศร้า ก็ได้จูงพลายงามขึ้นเรือนไปอาบน้ำแต่งตัวกินข้าว เสร็จก็บอกให้บ่าวไพร่จัดขบวนเดินทาง เพื่อไปเยี่ยมขุนแผนที่คุกในเมืองหลวง
หลังจากผ่านการรอนแรมเดินทางมานานนับเดือน ก็มาถึงยังคุกหลวงที่คุมขังนักโทษของเมืองพระนครศรีอยุธยา นางทองประศรีก็ได้จ่ายเงินเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาแก่ผู้ดูแลคุก เพื่อให้ความสะดวกแก่นางในการให้พลายงามได้เข้าพบกับขุนแผน
““พ่อจ๋า พ่อขุนแผนใช่ไหมจ๊ะ? หนูชื่อพลายงามเป็นลูกของพ่อกับแม่วันทองจ๊ะ หนูดีใจที่ได้พบกับพ่อขุนแผนจ๊ะ””
ขุนแผนได้ฟังคำของลูกชาย ก็ให้ถึงกับน้ำตาซึม “ลูกเอ๋ย ถ้าพ่อไม่มีกรรม เจ้าคงจะมีพ่อเหมือนดังกับเด็กคนอื่นๆเขา ไม่รู้เมื่อไหร่เวรกรรมจะหมดสิ้นไปเสียที “พ่อก็ดีใจที่พลายงามมาเยี่ยมกับพ่อ แต่ตอนนี้พ่อคงไปอยู่กับลูกไม่ได้ คงต้องรอไปก่อน ระหว่างนี้พ่อจะบอกที่ซ่อนตำราคาถาอาคม และพิชัยสงครามทั้งหลาย เพื่อให้ลูกไปเอามาร่ำเรียนไปก่อน เอาหูมาใกล้ๆ พ่อจะกระซิบบอกเจ้า””
นางทองประศรีที่รออยู่ที่ด้านนอกห้องขัง เห็นพลายงามเดินออกจากห้องมาน้ำตายังติดอยู่บนใบหน้าก็ดีใจนัก รีบเดินมาจูงพลายงาม แล้วถาม
““ว่าไงลูก พ่อขุนแผนเขายังสบายดีกระมัง ย่าอยู่ตรงนี้ผู้คุมเขาให้ไปเยี่ยมได้คนเดียวย่าเลยเข้าไปไม่ได้””
““พ่อขุนแผนสบายดีครับ แล้วเขาฝากบอกว่าท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วง และขอโทษที่เขาเป็นลูกอกตัญญู ไม่ได้มาดูแลท่านย่าด้วยครับ”
พลายงามตอบฉะฉาน นางทองประศรีได้ฟังคำหลาย ก็ถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ลูกเอ๋ย ดูทีรึ เจ้าติดคุกยังมีกระใจมาห่วงถึงแม่ เมื่อไรเจ้าจึงจะหมดเวร หมดกรรมเสียทีนะลูกนะ”
พลายงามเห็นท่านย่าน้ำตาไหล ก็เข้ามากอดไว้ท้งสองคนก็กอดกันร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง
เวลาผ่านไป ไวเหมือนดั่งโกหก ๓ ปีแล้ว พลายงามก็ได้เติบใหญ่เป็นหนุ่มน้อยหน้ามน หล่อไม่ผิดจากพ่อ แถมท้ายด้วยความเก่งกาจ ด้วยได้ศึกษาตำรับตำราที่ขุนแผนได้ทิ้งเอาไว้ที่บ้านของนางทองประศรีจนจบสิ้นทุกกระบวนความ นางทองประศรีจึงได้พาพลายงามเข้าไปพบกับจมื่นศรีฯ เพื่อฝากตัวเป็นมหาดเล็กในวังหลวง
ต่อมาอีก ๓ ปี เจ้าเมืองล้านช้างซึ่งมีสัมพันธไมตรีกับพระนครศรีอยุธยา ได้ส่งพระธิดาคือ “สร้อยทอง” เพื่อมาถวายตัวรับใช้สมเด็จพระพันวษา ได้ถูกเจ้าเมืองเชียงใหม่ดักตีชิงเอาสร้อยทองไป สร้างความโกรธเคืองแก่สมเด็จพระพันวษายิ่งนัก ถามเหล่าเสนาทหารทั้งหลาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าอาสาไปรบกับเจ้าเมืองเชียงใหม่เลย ด้วยได้ยินกิตติศัพท์ถึงความเก่งกาจของเจ้าเมืองเชียงใหม่ว่าร้ายกาจ ยิ่งวิชาคาถาอาคมละก็ ฉมังนัก บรรดาขุนศึกทั้งหลายได้ยินชื่อของเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ตัวสั่นหัวหดกันไปหมด ไม่มีใครกล้าสบพระเนตรของสมเด็จพระพันวษาเลยแม้แต่ผู้เดียว
สมเด็จพระพันวษาเห็นอาการของเหล่าขุนศึกของพระองค์ก็ยิ่งทรงกริ้วหนัก กระทืบพระบาทพลางตะโกนพระสุรเสียงดังก้องไปทั่ว แต่กลับยิ่งสร้างความกลัวแก่บรรดาขุนนางอื่นไปด้วย
““ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าขออาสาเพื่อไปรบกับเจ้าเมืองเชียงใหม่เองพระเจ้าข้า””
สมเด็จพระพันวษาหันพระพักตร์ไปทางต้นเสียง ก็เห็นเป็นมหาดเล็กหนุ่มน้อยหน้ามนที่จมื่นศรีฯเป็นผู้ถวาย แต่พระองค์ไม่ได้สนใจ
““เอ็งเป็นใครวะ? หา ไอ้หนุ่ม กล้าจะไปรบกับเขา หา””
““ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่า พลายงาม เป็นบุตรชายของขุนแผนแสนสะท้านและแม่วันทอง พระเจ้าข้า”” หนุ่มน้อยทูลตอบ
สมเด็จพระพันวษากลับไม่ได้ตรัสตอบต่อพลายงาม แต่ทรงนิ่งอึ้งไป สักครู่หนึ่งก็ทรงพระกรรแสงออกมา สร้างความงุนงงแก่บรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย สมเด็จพระพันวษาทรงพระกรรแสงอยู่ครู่หนึ่งก็หยุด พลางตรัสบอกกับพลายงามว่า
““ข้าเสียใจต่อพ่อของเอ็งนะ ไอ้พลายงาม ไอ้ขุนแผน ขุนศึกที่ข้ารักที่สุด ตอนแรกที่ข้าจองจำมัน ข้าแค่อยากจะสั่งสอนมันว่าอย่าโลภมาก คิดจะสั่งสอนมันแค่วันสองวัน แต่ไม่นึกเลยว่าข้าเองกลับลืมเลือนมัน จองจำมันไปถึงสิบกว่าปี ข้าเสียใจจริงๆ ว่าแต่เอาเถอะ เอ็งต้องการอะไรบ้างที่จะไปรบครั้งนี้”?”
พลายงามก็ก้มลงกราบทูลว่า
““ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์พระราชทานอภัยโทษให้แก่ขุนแผนบิดาของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า””
““เออได้ ข้าให้ตามที่เอ็งขอ”” สมเด็จพระพันวษาพระราชทานให้แล้วเสด็จกลับไปยังห้องบรรทมด้านหลัง
พลายงามแสนจะดีใจที่พ่อได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จึงได้เดินทางมายังคุกหลวง แล้วรายงานให้ผู้คุมวังหลวงได้ปล่อยตัวของขุนแผนออกจากคุกมา ขุนแผนนั้นดีใจเป็นยิ่งนักสวมกอดลูกชายแนบแน่น และเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหนุ่มน้อย ก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจที่สมเด็จพระพันวษานั้นมิได้โกรธเคืองตนเลย พลายงามก็พาตัวขุนแผนกลับไปยังบ้านของจมื่นศรีฯ ไปพบกับนางแก้วกิริยา ซึ่งขณะนั้นได้ตั้งครรภ์แก่ได้เกือบครบกำหนดคลอดแล้ว แก้วกิริยาก็ดีใจมาก สวมกอดขุนแผนแนบแน่น พลางร้องไห้กับอกของขุนแผนอยู่นาน จนขุนแผนนั้นอายพลายงามลูกชาย จึงค่อยคลายกอดของแก้วกิริยาออก
แก้วกิริยานั้นรู้ว่าตนนั้นเสียกิริยาจึงได้รีบคลายมือออก ขุนแผนจึงได้แนะนำให้พลายงามรู้จักกับแก้วกิริยา ซึ่งพลายงามนั้นก็เข้ามาทำความเคารพแก้วกิริยาเสมือนกับเคารพมารดาของเขา สร้างความปลื้มปิติแก่ขุนแผนและแก้วกิริยายิ่งนัก
วันต่อมาขุนแผนก็ได้เข้าเผ้าสมเด็จพระพันวษา เมื่อสมเด็จฯ ได้เห็นหน้าของขุนแผนนั้นก็ทรงพระกรรแสงออกมาอีก สร้างความปลาบปลื้มแก่ขุนแผนยิ่งนัก ความรู้สึกขมขื่นที่ได้รับระหว่างถูกจองจำสลายไปกับน้ำพระเนตรที่รินหลั่งออกมาจนหมดสิ้น ขุนแผนรอจนสมเด็จฯ คลายความโศกเศร้า แล้วจึงทูลถามพระพลานามัยของสมเด็จฯ สร้างความปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก จากนั้นขุนแผนจึงทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นางลาวทอง และขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่บรรดานักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ด้วยกันทั้ง ๓๕ คน เพื่อให้ไปร่วมรบด้วยกัน ซึ่งสมเด็จพระพันวษาก็พระราชทานให้ตามคำขอ
แล้วขุนแผนจึงพาพลายงาม ไปจัดเตรียมกองทัพ ณ วัดใหม่ไชยชุมพล ซึ่งเมื่อได้ฤกษ์ออกรบ นางแก้วกิริยาก็ปวดครรภ์แล้วคลอดเด็กชายออกมาหน้าตาน่าเอ็นดู ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า ““พลายชุมพล””
เมื่อกองทัพออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง จนใกล้ถึงเมืองพิจิตร ขุนแผนก็บอกกับพลายงามให้ตั้งทัพรออยู่ใกล้ๆ กับเมืองพิจิตร จากนั้นก็นั่งคอโหงพรายพร้อมกับพลายงาม ไปยังบ้านของพระพิจิตร เมื่อพระพิจิตรได้พบกับขุนแผนนั้นหะแรกก็ไม่เชื่อสายตาว่าจะเป็นขุนแผนจริงๆ ด้วยเวลาผ่านมานานมากแล้ว จากหนุ่มน้อยหน้ามน ได้กลับกลายเป็นชายกลางคนที่ท่าทีเคร่งขรึม และมาพร้อมกับบุตรชายที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาประพิมพ์ประพายคล้ายกับขุนแผนเมื่อวัยหนุ่มก็ดีใจอย่างมาก
““ว่าไง ขุนแผน ดีใจจริงที่ได้เจอเธออีกนะ ฉันยังคุยกับลูกสาวของฉันถึงเธออยู่เมื่อวานนี้เอง เธอก็มาแล้ว ยังจำศรีมาลาได้ไหม? ตอนที่เธอมาที่นี่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่เลยนะ เออ ฉันคงแก่แล้วเลอะเลือน ปล่อยให้เธอยืนอยู่หน้าบ้านได้ เชิญ เชิญ เข้ามาทานน้ำข้างในก่อนนะ””
ขุนแผนก็พาพลายงามตามพระพิจิตรเข้าไปในบ้าน แล้วแนะนำให้พระพิจิตรได้รู้จักกับพลายงาม
““คือที่กระผมมาในวันนี้ก็ด้วยต้องการจะมาเยี่ยมเยียนท่านละขอรับ และอีกอย่างคือ กระผมจะมาขอรับม้าสีหมอกคืนจากท่านด้วย เนื่องเพราะในตอนนี้ท่านคงได้ข่าวแล้วว่าทางเมืองเชียงใหม่ได้ชิงตัวสร้อยทองพระธิดาของเจ้าเมืองล้านช้างที่ส่งตัวมาถวายแด่สมเด็จพระพันวษา กระผมและบุตรชายจึงอาสามาเพื่อชิงตัวพระธิดาคืนขอรับ””
พระพิจิตรพยักหน้าเข้าใจ พลางตะโกนเรียกบ่าวให้นำน้ำมาเลี้ยงแขก และขอตัวลุกขึ้นยืนเดินหายไปด้านหลังห้อง สักพักหนึ่งก็เดินกลับมา พร้อมกับมีดรุณีนางหนึ่ง เดินตามมาทางด้านหลังด้วย พระพิจิตรเดินมานั่งด้านหน้าของขุนแผนและพลายงาม พลางแนะนำ
““นี่ไง แม่ศรีมาลา บุตรสาวของฉันเอง สวัสดีท่านอาเสียซีลูก อ้อ วันนี้อยู่ทานข้าวเย็นและค้างอยู่ที่นี่ด้วยกันซักคืนนะ ฉันสั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมที่เตรียมทางไว้แล้ว ว่าแต่วันทองเขาสบายดีรึ”?”
ขุนแผนนั้นหน้าตาหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินชื่อ ก้มหน้านิ่งไม่ได้ตอบ พลายงามเห็นดั่งนั้นจึงตอบแทน
““ขอรับ แม่วันทองสบายดีขอรับ””
ศรีมาลาซึ่งแอบจ้องหน้าหนุ่มน้อยหน้ามนอยู่แต่แรกแล้ว เมื่อเห็นเขาตอบวาจาของบิดา ท่าทีฉะฉานองอาจ ก็รู้สึกชมชอบขึ้นมาน้อยๆ ยิ่งเห็นหนุ่มน้อยหน้ามนจ้องหน้าของตน ก็ยิ่งรู้สึกร้อนที่ใบหน้าจนไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมาอีก เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นกระดานจะกระทั่งพระพิจิตรคุยกับขุนแผนและพลายงามเสร็จไปพักผ่อน ค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมามองเงาหลังของเขาเดินจนลับเข้าไปยังหลืบห้องด้านหลัง
พลายงามนั้นตั้งแต่เห็นสาวน้อยที่เดินตามหลังพระพิจิตรมา ก็จ้องตาไม่กระพริบ ด้วยรู้สึกนึกรักตั้งแต่แรกที่ได้เจอ พยายามจ้องหน้าของเธอ แต่เธอก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมพูดจา ยิ่งทำให้ไฟสวาทในหัวอกลุกโพลงมากยิ่งขึ้น จนนึกในใจว่าคืนนี้เราต้องไปหาเธอให้จงได้ คิดพลางเดินตามพ่อเข้าไปพักในห้อง ก็ยังไม่หยุดคิด
คืนนั้น พลายงามลุกขึ้นนั่งบนที่นอน พลางพนมมือร่ายเวทย์สะกดคนในบ้านของพระพิจิตร เสร็จก็เดินมายังห้องที่ตนหมายตาไว้ว่าเป็นห้องพักของศรีมาลาบุตรสาวของพระพิจิตร พลางร่ายเวทย์สะเดาะกลอนประตูออก แล้วผลักบานประตูเข้าไปด้านในห้องของศรีมาลา เดินมาจนถึงม่านมุ้งงดงามที่คลุมเตียงนอนของศรีมาลาอยู่ พลายงามก็เลิกม่านมุ้งที่ปลิวไสวส่งกลิ่นหอมน้อยๆ ออก พลางนั่งลงบนเตียงของศรีมาลา แล้วร่ายเวทย์คลายสะกดให้แก่ศรีมาลา พลางก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากขาวเนียนกลมมนเบาๆ
ศรีมาลาค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา ก็ตกใจด้วยมีผุ้ชายมานั่งอยู่บนเตียงของนาง ยังไม่ทันไร ก็ยกมือขึ้นตบไปยังใบหน้าของชายผู้นั้นทันที แต่เขากลับจับมือของนางไว้ พลางก้มลงดอมดมที่มือของนางอีก ยิ่งสร้างความโกรธแก่ศรีมาลายิ่งนักยกมืออีกข้างหนึ่งตบใส่อีก ก็ถูกจับไว้แล้วทำอย่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง ศรีมาลาโกรธมาก กำลังจะร้องเรียกคนในบ้าน ชายผู้นั้นก็พูดออกมา
““น้องศรีมาลาจ๊ะ นี่พี่พลายงามเองนะ””
ศรีมาลาได้ยินเสียงที่นางนอนคิดถึงจนหลับไป ก็รู้สึกขวยเขินขึ้นมาทันที ใบหน้าร้อนผะผ่าว ก้มหน้านิ่งไม่กล่าวว่ากระไร กระทั่งมือนางก็ไม่ดึงกลับมาแล้ว
““น้องศรีมาลาโกรธพี่พลายงามหรือจ๊ะ ไม่พูดไม่จา พี่พลายงามขอโทษนะจ๊ะที่บุกเข้ามาในห้องของน้องศรีมาลา แต่พี่พลายงามรักน้องศรีมาลา พี่พลายงามจึงอดใจไม่ไหวเข้ามาเพื่อขอคุยกับน้องนิดเดียวเท่านั้นแหละจ๊ะ””
ศรีมาลาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อยเบื้องหน้า แล้วไม่รู้ว่ายังไง ก็รู้สึกสงสารและรักใคร่จนไม่รู้สึกว่าเขามาล่วงเกิน จึงได้บอกไป
““พี่พลายงามจะรักน้องได้อย่างไร ก็เพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ แล้วน้องศรีมาลาก็เป็นหญิง พี่พลายงามเข้ามาห้องน้องอย่างนี้ ถ้าใครรู้เข้าน้องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่าจ๊ะ””
พลายงามเห็นคาถามหาละลวยได้ผล ศรีมาลาไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองเขาอย่างที่ควรเป็น จึงบริกรรมคาถามหาละลวยอีกครั้งพลางเป่าไปที่ขม่อมของศรีมาลา ได้ผล ศรีมาลามีอาการสะเทิ้นอาย พลายงามเห็นได้โอกาสก็โอบกอดร่างของศรีมาลามาแนบอก พลางก้มลงจูบที่ริมฝีปากแดงระเรื่อ ศรีมาลาสะท้านไปทั้งร่าง แล้วยกสองแขนเรียวงามโอบกอดร่างของพลายงามไว้แนบแน่น
พลายงามก็โอบรั้งร่างของศรีมาลาไว้แนบแน่น ประกบจูบพลางส่งลื้นเข้าไปควานหาลิ้นหอมหวนของศรีมาลา เมื่อเจอก็กระหวัดรัดกัน จนเกิดความกระสันรัญจวนกันไปทั้งสองคน สองมือพลายงามลูบไล้ไปทั่วร่างงามของศรีมาลา ค่อยถอดผ้าออกที่ละชิ้นจนเรือนร่างของศรีมาลาเปลือยเปล่า นอนขดเหมือนลูกแมวสีขาวตัวน้อยๆ พลายงามก็ถอดเสื้อผ้าออกจนเรือนร่างกำยำงดงามนั้นเปลือยเปล่า พลางทาบร่างลงไป
ศรีมาลาและพลายงามนั้นต่างก็ไม่เคยด้วยกันทั้งคู่ พลายงามนั้นนอกจากกอดจูบไปตามร่างของศรีมาลาแล้วทำอะไรไม่เป็น ต้องให้ศรีมาลานั้นลุกขึ้นมานั่งทับร่างของพลายงาม พลางจับเอาควยของพลายงามมาถูไถตามร่องหลืบสีชมพูที่มีเงาน้ำใสๆ หล่อเลี้ยงจนฉ่ำเยิ้มไปหมด ศรีมาลาก็รู้อยู่แค่นั้นว่าเพราะเวลาเอานิ้วมาถูตามร่องก็เสียวดีมีน้ำใสๆ ออกมา จึงเอาควยของพลายงามมาถูบ้าง จนเสียวมากทนไม่ไหว ก็จับควยของพลายงามกดเข้าไปในร่องหีตีบแคบ มันเจ็บจนศรีมาลาต้องหยุดและยกตัวขึ้นน้อยๆ แต่พลายงามที่นอนอยู่เบื้องล่างเสียวมาก จับเอวของศรีมาลาดึงลงมาอย่างแรง
กึกกก เงี่ยงหัวควยหลุดเข้าไปในร่องหีของศรีมาลา ทำให้ศรีมาลาหวีดร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บร่องหี พลายงามก็ยกมือขึ้นมาจับหน้าอกตูมเป็นกระเปาะของศรีมาลา พลางใช้นิ้วมือบีบบี้หัวนมสีน้ำตาลอ่อนที่แข็งชี้ชันไปมา จนศรีมาลาเริ่มคลายความเจ็บจากการถูกเบิกร่องหีเป็นครั้งแรก หลั่งน้ำเสียวออกมาชโลมหัวควยจนเริ่มลื่น พลายงามก็กระดกก้นค่อยๆ ให้หัวควยค่อยๆ เบียดแทรกเข้าไปในร่องหีแคบตีบของศรีมาลาทีละน้อยๆ ศรีมาลาค่อยๆ คลายความเจ็บในร่องหีแล้ว ก็ดึงตูดขึ้นให้ควยของพลายงามครูดในร่องหี เสียวอร่อยเหาะ แล้วกดลงช้าๆ หัวควยก็แหวกเข้าไปในร่องหี ลำควยก็ครูดติ่งแตดจนเสียวไปหมด
ศรีมาลาเริ่มทำช้าๆ จนหายเจ็บก็เริ่มกระแทกขึ้นลงเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก สองเต้าเป็นกระเปาะกระเพื่อมล่อตาจนพลายงามต้องยกมือขึ้นกำไว้ พลางกระดกตูดรับการกระแทกของศรีมาลา จนกระทั่งศรีมาลาตัวสั่นสะท้าน ร่องหีบีบตอดเป็นจังหวะ ทำให้พลายงามเสียวจนทนไม่ไหว กระฉูดน้ำควยไปราดรดร่องหีของศรีมาลาจนไหลเยิ้มออกมาเปียกโคนควยจนหมอยราบเป็นทางไปหมด
พลายงามเมื่อได้ศรีมาลาเป็นเมียแล้วก็ปลอบโยนศรีมาลาจนกระทั่งหลับไป ก็ค่อยๆ ย่องกลับมาที่ห้อง เมื่อปิดประตูห้องเสร็จ หันมาที่เตียงก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นขุนแผนนั่งรอที่บนเตียงด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียด
““อ้าวพ่อยังไม่หลับอีกหรือครับ?”” พลายงามถามทำหน้าหน้าตาไม่รู้เรื่อง
ขุนแผนเห็นหน้าของบุตรชายก็รู้สึกโกรธ แต่แล้วเขาก็สำนึกได้ว่าตอนที่เขาหนุ่มๆ เวลามีความรักเขาก็ทำอย่างนี้เช่นกัน จึงสงบอารมณ์ลงได้ พลางกวักมือเรียกตัวบุตรชายเข้ามานั่งคุยกัน
““พลายงาม ลูกเอ๋ย สิ่งที่เจ้าทำไปพ่อเข้าใจ แต่ลูกผู้ชายทำสิ่งไรไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ พ่อหวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจคำพูดของพ่อ ว่าแต่เจ้ารักศรีมาลาใช่หรือไม่ลูก”?”
พลายงามได้เห็นท่าทีของพ่อก็รู้ได้ทันทีว่าพ่อไม่ได้ถูกเข้าสะกดไปด้วย รู้สึกตกใจและกลัวมากๆ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อในตอนท้ายก็รู้ได้ว่าพ่อเข้าใจและไม่กล่าวโทษในสิ่งที่เขาได้กระทำไป จึงลดตัวลงมานั่งที่พื้นแล้วก้มลงกราบที่เท้าของพ่อ พลางพูดว่า
““ข้าขอโทษครับพ่อ เนื่องจากข้ารักศรีมาลามาก และเกรงว่าเราไปรบกันในวันพรุ่งแล้ว อาจไมได้กลับมาอีกจึงได้กระทำเยี่ยงนั้นไป แต่ข้าก็ขอยืนยันรับผิดชอบในการกระทำของข้า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าจะรับศรีมาลาเป็นภรรยาแน่นอนครับ””
ขุนแผนได้ฟังคำของบุตรชายก็ดีใจที่บุตรชายของเขาเป็นลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ จึงดึงร่างของพลายงามขึ้นมานั่งข้างๆ แล้วบอก
““ถ้าเป็นอย่างนั้น ในวันพรุ่งนี้พ่อจะจัดการสู่ขอศรีมาลาให้กับเจ้า ขอให้เจ้าจงจำคำพูดของเจ้าที่เคยบอกกับพ่อให้ดี””
ก่อนที่จะออกจากบ้านของพระพิจิตร ขุนแผนได้เจรจาสู่ขอศรีมาลากับพระพิจิตรสร้างความแปลกใจแก่พระพิจิตรยิ่งนัก เรียกศรีมาลามาถามไถ่ ศรีมาลาก็ก้มหน้าตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ยอมรับการสู่ขอ ดังนั้นพระพิจิตรจึงได้ตกลงรับปากกับขุนแผน สำหรับงานพิธีนั้นคงต้องรอจนขุนแผนและพลายงามไปรบเสร็จกลับมาเสียก่อนจึงจะได้จัดงานกัน
อากาศในยามบ่ายนั้นร้อนผะผ่าว ลมนิ่งไม่พัดไหวแม้สักกระผีก ต้นไม้ใบไม้แห่งกรอบเป็นสีน้ำตาลไปทั่วทั้งป่า เหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่พากันอพยพหนีภัยแล้งนี้ ไปยังบนเขาที่ยังมีความเขียวชอุ่มด้วยเป็นแหล่งแห่งต้นน้ำ ขุนแผนและพลายงามหลังจากที่ออกจากบ้านของพระพิจิตรก็เดินทางมายังเชิงเขาแห่งนี้ ที่ห่างจากบ้านของพระพิจิตรครึ่งวัน เพื่อมาขุดดาบฟ้าฟื้นที่ขุนแผนได้ฝังเอาไว้ก่อนที่เขาจะเข้าไปสู้คดีกับขุนช้างที่เมืองหลวงในอดีต
ทั้งหมดเดินทางมาจนถึงยังบึงแห่งหนึ่งที่แห้งขอดไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ขุนแผนก็ให้พลายงามหยุดรอที่ริมบึง ตัวเขาก็เดินเข้าไปยังกลางบึงแห่งนั้น พลางสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่าง และแล้วขุนแผนก็ได้เจอ ขุนแผนเดินเข้าไปยังอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะคล้ายๆ กับเส้นเชือกที่โยงขึ้นมาจากบนบก ยาวลงมาจนถึงยังกลางบึงแห่งนี้ ขุนแผนจับเส้นเชือกแล้วเดินตามเส้นเชือกไปจนถึงขอบบึงอีกด้านหนึ่งจนสุดปลายเชือกแล้ว
ขุนแผนก็นั่งลงพนมมือบริกรรมคาถา
สักพักหนึ่งก็มีเมฆดำหย่อมใหญ่มาปกคลุมบริเวณจนมืดครึ้ม พื้นดินด้านหน้าของขุนแผนก็แยกออก ปรากฏร่างเลือนรางสีขาวออกมา ดูรูปลักษณ์เหมือนดังกับเป็นคนชรา ขุนแผนนั้นกระพือปากเบาๆ เหมือนกับคุยกัน ร่างเลือนรางนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ สักพักหีบเหล็กใบหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากรอยแยกนั้น ขุนแผนรับหีบเหล็กนั้นไว้ แล้วก้มศรีษะขอบท่านน้อยๆ ร่างเลือนรางนั้นก็จางหายไป แผ่นดินที่แยกอยู่ก็ปิดลงตามเดิม เมฆครึ้มนึ้นก็ค่อยๆ จางหายไป จนกลับสู่สภาวะเดิม ขุนแผนก็เดินถือหีบเหล็กใบนั้นกลับมาหาพลายงาม แล้วก็ชักชวนกันออกเดินทางต่อไป
เจ้าเมืองเชียงใหม่ เป็นชายวัยกลางคนอายุอานามประมาณ ๔๐ เศษ สักลายพร้อยไปทั้งด้วย อดีตเคยเป็นพระที่เรืองคาถาอาคมแล้วสึกออกมาด้วยร้อนผ้าเหลืองอยากจะได้เป็นใหญ่ เมื่อสึกออกมาแล้วก็ซ้องสุมกำลังจนกระทั่งลุกฮือขึ้นมาจับเจ้าเมืองเชียงใหม่ฆ่าเสีย แล้วตั้งตนเองเป็นเจ้าเมืองเสียเอง รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินข่าวว่ามีกองทัพยกมาจากพระนครศรีอยุธยาแต่มาเพียงแค่ ๓๐ กว่าคน แถมคนนำทัพยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยหน้ามนเท่านั้น เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็หัวเราะออกมาพลางตะโกนบอกเหล่าทหารของเขาว่า
““ให้มันมาเหอะ เดี๋ยวกูจะเตะไอ้เด็กหน้าขาวให้มันกลิ้งกลับไปร้องไห้ซบกับตักของแม่มันเลย””
คำพูดของเจ้าเมืองเชียงใหม่ทำให้บรรดาทหารหาญพากันหัวเราะครืนครั่นด้วยความขำขัน
เนื่องจากตั้งแต่ได้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่มา เหล่าทหารยังไม่เคยเห็นใครที่เก่งกาจเท่ากับเขาเลยสักคนเดียว เมื่อเจ้าเมืองเชียงใหม่หัวเราะจนพอใจก็ออกทัพพาเหล่าทหารของเขามาเผชิญหน้ากับทัพของพลายงามที่ตั้งประจันอยู่ด้านหน้าเมืองโดยทันที
พลายงามและขุนแผน เดินทัพมาตั้งประจันที่หน้าเมืองเชียงใหม่ได้คืนหนึ่งแล้ว ทั้งคู่ได้ตกลงกันว่าจะให้พลายงามได้แสดงอาคมที่ได้ร่ำเรียนมาว่าเป็นผลเช่นใด เมื่อเห็นทัพเมืองเชียงใหม่ที่มีกำลังกว่าพันคนออกมา รายล้อมเต็มไปหมด เหล่าทหารของพลายงามและขุนแผนที่เคยเป็นนักโทษจำนวน 35 คนนั้นก็เริ่มออกอาการหวาดกลัว บางคนก็ตัวสั่นสะท้านเหมือนดังกับเจ้าเข้าไปเลยทีเดียว
เจ้าเมืองเชียงใหม่เมื่อเดินทัพมาจนสองทัพประจันหน้ากันแล้ว ก็สั่งให้กองทัพของเข้าห้อมล้อมทัพของพลายงามไว้ด้วยหมายใจจะฆ่าให้สิ้น แล้วเสียบหัวประจานไว้ให้ทางพระนครศรีอยุธยาได้รู้ว่าเขาแน่แค่ไหน เมื่อเห็นทัพของเขาล้อมเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว ก็เดินออกมาหน้าทัพ
““ไหนวะ ไอ้เด็กหน้าขาวที่เป็นนายทัพ ออกมาให้กูเห็นหน้าซิวะ อย่าเอาแต่หลบอยู่หลังทหาร””
พลายงามได้ยินเสียงร้องท้าทาย ก็ออกมายืนที่ด้านหน้าทัพ
““กูอยู่นี่ มึงจงมอบตัวพระธิดาของเจ้าเมืองล้านช้างออกมาดีๆ แล้วมัดมือตัวเอง ตามกูกลับไปเข้าเผ้าสมเด็จพระพันวษาดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว””
เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ฟังคำของพลายงามก็มีอาการหน้าเขียว ล้มตัวลงไปนอน จนเหล่าทหารแตกตื่นตกใจ เพราะคิดว่าโดยอาคมของพลายงามเล่นงานเข้าแล้ว แต่สักพักเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ลุกขึ้นยืน พลางบอกว่า
““โอย ขำแทบตายแล้ว มึงเกือบทำกูขำตายไปแล้วไอ้เด็กหน้าอ่อน คราวนี้ละก็จะเอาหน้ามึงมาเป็นโถรองฉี่ของกูละ””
พลายงามได้ฟังคำก็รูดใบไม้ออกมากำหนึ่ง พลางบริกรรมคาถาแล้วโปรยใบไม้ออก อัศจรรย์ยิ่งนัก ใบไม้ทั้งหลายกลับกลายเป็นตัวต่อเสือตัวเบ้งๆ
บินออกไปไล่ต่อยทหารของเจ้าเมืองเชียงใหม่จนแตกฮือกันอลหม่านไปหมด
เจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นพลายงามเสกใบไม้เป็นตัวต่อได้ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย พลางก้มลงกำเอาฝุ่นบนพื้นขึ้นมาบริกรรมแล้วสาดซัดไปที่กลุ่มของตัวต่อ ฉับพลันนั้น ตัวต่อเสือก็กลับกลายเป็นใบไม้จนสิ้นเชิง
ขุนแผนเห็นฝีมือของเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ร้องเอ๊ะออกมาเบาๆ รู้สึกแปลกใจ เพราะยังไม่เคยมีใครสามารถคลายคาถาของเขาได้ พลายงามยิ่งประหลาดใจกว่า เขาก้มลงหยิบใบไม้ขึ้นมากำไว้ในมือ บริกรรมคาถาพลางมัดพันใบหญ้านั้นจนกลายเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ พลางขว้างไปยังเจ้าเมืองเชียงใหม่ ใบไม้ที่ถูกมัดจนกลายเป็นตัวมนุษย์นั้นก็ขยายออกจนกลายเป็นหุ่นยักษ์ตัวใหญ่กว่า ๖ ฟุต วิ่งตะบึงเข้าหาเจ้าเมืองเชียงใหม่อย่างรวดเร็ว
เจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นพลายงามอายุเพียงแค่นี้กลับสามารถผูกหุ่นพยนต์ได้ ก็ตกใจยิ่ง ลนลานรีบล้วงมือเข้าไปในย่ามหยิบควายธนูออกมา บริกรรมอย่างรวดเร็วแล้วขว้างออกไป มีเสียงดังเปรี้ยง ความธนูขยายขนาดออก วิ่งตะบึงออกไปไล่ขวิดหุ่นพยนต์ของพลายงามอย่างดุร้าย หุ่นพยนต์ก็เตะควายธนูของเจ้าเมืองเชียงใหม่จนล้มกลิ้งไป แต่ควายธนูก็อึดยิ่งนัก ลุกขึ้นมาไล่ขวิดเป็นพัลวันจนฝุ่นตลบอบอวล หุ่นพยนต์ก็ยกมือขึ้นชก ยกเท้าขึ้นเตะ ทั้งสองต่อสู้กันเป็นพัลวัน ในที่สุดหุ่นพยนต์ก็พลาดท่าถูกควายธนูขวิดจนตัวลอยขาขาดไปข้างหนึ่ง แต่เมื่อหุ่นพยนต์ตกลงมาก็จับเขาควายไว้แนบแน่น พลางบิดอย่างแรงจนมีเสียงดังเปรียะลั่น ควายธนูก็หายวับไป กลายเป็นตุ๊กตาดินปั้นที่คอหลุดออกจากตัวมาหล่นอยู่ด้านหน้าของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ส่วนหุ่นพยนต์เองก็หายวับไป กลายเป็นเศษหญ้าที่ขาดรุ่งริ่งตกอยู่หน้าพลายงามเช่นกัน
ขุนแผนเห็นฝีมือของเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ให้รู้สึกห่วงพลายงามเป็นกำลัง ด้วยเกรงบุตรชายจะพลาดพลั้ง ส่วนหนึ่งเพราะเขายังไม่รู้ฝีมือบุตรชาย เพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเหลือเกิน
พลายงามและเจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นฝีมือของแต่ละฝ่าย ก็เลิกดูแคลนกันและกัน เจ้าเมืองเชียงใหม่นั้นนั่งลงกับพื้นพลางยกมือขึ้นบริกรรมคาถาฉับพลันนั้นก็ปรากฏเมฆดำทมึนออกมาครอบคลุมแถบนั้นจนมืดครึ้มไปหมด บังเกิดพายุพัดหวีดหวิวจนเหล่าทหารทั้งหลายโซซัดโซเซไปมา วิ่งหาต้นไม้เกาะกันให้วุ่นวาย ฉับพลันบังเกิดฟ้าผ่าดังเปรี้ยงมายังร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่สะดุ้งเฮือก แล้วแน่นิ่งไป สักพักหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนตรง ผิวเนื้อทั่วร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ปรากฏริ้วรอยเป็นเหมือนกับลายตะปุ่มตะป่ำไปหมด เรือนร่างของเขาขยายขึ้นจนใหญ่กว่า 6 ฟุต มีเลือดสดๆ ไหลออกมาจากปากของเขา ผมเผ้าหยิกหยอย มีเขี้ยวอันใหญ่โต งอกออกมาจากริมฝีปากทั้งสองข้างของเขา เจ้าเมืองเชียงใหม่นั้นใช้สุดยอดคาถาของเขาอัญเชิญท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งปิศาจทั้งมวลลงมาสถิตยังร่างของเขา เพื่อให้กำลังแก่เขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พลายงามเห็นดั่งนั้นก็ตกใจด้วยยังเป็นเด็กหนุ่ม ทำให้ขาดประสบการณ์อันจำเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงขาดสติในช่วงเวลาอันคับขัน ฉับพลันนั้น ขุนแผนก็ลุกขึ้นยืนตรง พลางตะโกนเสียงดังสนั่น “หยุด”” พลายงามสะดุ้งไปทั้งร่าง ความตื่นตกใจลดลงจนหายไป จิตใจเริ่มสงบเยือกเย็น พลางนั่งลงกับพื้นนิ่งไปเป็นเวลานาน สักพักหนึ่งก็ยกมือขึ้นพนมไหว้ไปยังฟากฟ้าเบื้องบน ฉับพลัน เมฆดำทมึน ก็มีรอยแยกออกเป็นร่องมีลำแสงส่องลงมาพลางมีเงาร่างสีเขียวดุจดั่งหยกเนื้อดีลอยลงมาทับไปยังร่างของพลายงาม
ฉับพลันนั้น ร่างของพลายงามก็เปลี่ยนไป ผิวเนื้อที่ขาวนวลก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มเป็นประกายดั่งหยกเนื้อดี คิ้วเรียวยาวจนจรดจอนหู มีเงารางๆ เหมือนดังกับชฏาครอบอยู่บนหัวของพลายงาม เมื่อพลายงามลืมตาขึ้นมาประกายตาดำขลับของเขาก็มีสีเขียวเจือจางรางๆ พลายงามหันหน้ามาทางเจ้าเมืองเชียงใหม่
ร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่สั่นสะท้านด้วยรู้ว่าพลายงามนั้นอัญเชิญใครมา แต่เขาไม่ยอมแพ้เยี่ยงนี้ เขาวิ่งเข้ามายกสองมือขึ้นเพื่อจะบีบคอของพลายงามให้หักไปกับมือของเขา แต่พลายงามนั้นยืนนิ่ง ปล่อยให้เจ้าเมืองเชียงใหม่บีบคอหอยของเขา แต่มืออันใหญ่โตของเจ้าเมืองเชียงใหม่บีบคออันเล็กจ้อยของเขาอย่างไรก็ไม่หักเสียที เจ้าเมืองเชียงใหม่ใช้พลังทั้งหมดทั้งโยกทั้งคลอนอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ร่างของพลายงามขยับได้แม้สักกระผีเดียว
พลายงามยกมือขึ้นปัดสองมือของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทำให้ร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่ถึงกับกระเด็นไปไกล พลายงามก็ยกมือซ้ายขึ้นกำมือเหมือนดังกับจับคันธนูขึ้นชี้ไปทางร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่ มือขวาก็ทำท่าดุจดั่งรั้งสายธนู แล้วปล่อย เสียงดังพรึ่บ ปรากฏสายฟ้าพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แสงเป็นประกายเจิดจ้าจนคนไม่อาจลืมตาดูตรงๆ ได้
สายฟ้านั้นกระแทกเข้าไปยังอกของเจ้าเมืองเชียงใหม่ บังเกิดเสียงดังเปรี้ยงสนั่นหวั่นไหว เกิดเป็นแรงอัดมหาศาล จนต้นไม้ใบหญ้าถอนรากถอนโคนออก เหล่าทหารหาญก็ล้มกันระเนระนาด เหลือเพียงขุนแผนที่ยืนมองดูด้วยความปลาบปลื้มใจที่ลูกชายเก่งกาจมากๆ ดั่งใจของเขาเมื่อฝุ่นที่ตลบอบอวนได้ซาไป ก็เหลือเพียงร่างของเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ตอนนี้กลับเป็นร่างเดิมแล้ว นอนระทวยอยู่กับพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เสื้อบริเวณหน้าอกของเขาไหม้ไปหมด กระทั่งผิวเนื้อบริเวณใกล้ๆ ก็พลอยไหม้เกรียมไปด้วย นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด และช่วยตัวเองไม่ได้
พลายงามก็หลับตาลง สักพักร่างสีเขียวเข้มก็ค่อยๆ ลอยจากร่างของเขากลับขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าดั่งเดิม ร่างของพลายงามก็กลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนดั่งเดิม
““ยอมแพ้ซะเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อของทหาร เจ้าก็เห็นแล้วว่าสู้ข้าไม่ได้ คงจะไม่คิดจะสู้แล้วนะ””
เจ้าเมืองเชียงใหม่นั้นยอมรับเต็มหัวใจว่าเขาสู้ไม่ได้แต่ ก็ยังหักห้ามความเจ็บปวดพนมมือขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ดั่งใจ การร่ายมนต์ของเขาจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง ในที่สุดเขาก็ยอมยกมือลง คุกเข่าลงที่ด้านหน้าของพลายงามช้าๆ
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของกองทัพฝ่ายเมืองหลวง ให้แก่ชัยชนะของพลายงาม...พยัคฆ์น้อยคะนองฤทธิ์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น