วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

 ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต ตอนที่ 70 “สัมพันธ์น้องพี่ขาดสะบั้น!!!...บุรุษนั้นไซร้คือแมลง!?”


“...มาแล้วค่ะ”
“ไม่...เปลี่ยนใจแน่หรือ?”
...สาวน้อยวัย 18 นุ่งผ้าเช็ดตัวกระโจมอกไม่ตอบคำถามแต่ยกนิ้วจุ๊ปากพลางเดินไปเปิดไฟบนโต๊ะทำงานและบอกให้ผมปิดโคมไฟที่หัวเตียงซะโดยให้เหตุผลว่า...
“จากตรงนั้นถ้ามีคนอยู่ข้างนอกก็จะเห็นแสงไฟ”
“ความจริง...ปิดไปเลยก็ได้”
“ก็มืดหมดสิ...ตัวเองชอบแบบนั้นเรอะ?”
“ไม่เชิง”
“เห็นแบบวับๆแวมๆมันน่าตื่นเต้นออก”
(ก็จริงอย่างที่พูดแต่เราว่าเธอคงยังอายมากกว่า)
“ทุกคนหลับกันหมดแล้ว...บอลวางใจได้...อ่ะ!”
...ฝนส่งซองถุงยางให้ซึ่งผมก็รับมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยเพราะต่อไปนี้เราสองคนลูกพี่ลูกน้องจะได้มีความสัมพันธ์ทางเพศโดยเป็นครั้งแรกของญาติสาวผู้น้อง...
(เพื่อนเล่นสมัยเด็กใกล้จะขยับขึ้นมาเป็นคู่นอนของเราในอีกไม่ช้า)
“เมื่อกี้ไปไหนมา?”
“ผู้หญิงก็ต้องเตรียมตัวอะไรๆหลายอย่าง”
“พี่แคท...จะเมาอยู่อย่างนั้นแน่หรือเปล่า?”
“แน่สิแถมวันนี้ดื่มมากกว่าทุกครั้งด้วย...ไม่ลุกขึ้นมาได้ง่ายๆหรอก”
“เอ่อ--...แล้ว...แล้วคุณอาสองคน...”
“ป้อเมาหลับไปนานแล้วส่วนแม่...แม่ก็เพลียหลับไปเหมือนกันเมื่อกี้ฝนเพิ่งจะย่องไปดู”
...หมายความว่าหนทางสะดวกราบรื่นเอื้ออำนวยต่อการกระทำเรื่องผิดศีลธรรม...ฝนลงนั่งที่ปลายเตียงแล้วเลิกผ้าห่มออก...ดวงตากลมโตคู่นั้นจับจ้องที่ท่อนลึงค์ของผมแทบจะไม่ยอมกระพริบ...อย่าจ้องมากสิน้องเอ๋ยพี่ก็เขินเป็นเหมือนกัน!!!...
“ใหญ่มากเลย~~...ขอจับหน่อย”
“...อา--”
“อุ๊ยแข็งจริงๆ!!!...และก็ใหญ่ด้วย...จะอมไหวมั้ยเนี่ย?”
“............................................”
“ฝนตื่นเต้นจัง”
“ฉันก็ตื่นเต้น”
“แต่ตัวเองเคยหลายครั้งแล้ว...ต้องนำทางเค้าด้วยนะ”
“อื้อ!!...รับรองไม่หลงแน่”
“ฮิๆๆ”
“...โออออออออ...เธอ...เธอเล่นว่าวเป็นด้วย?”
“นี่น่ะเหรอที่เขาเรียกว่าชักว่าว?...วิธีสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย”
“ซีดสสสสสสสส...เบาๆ...ค่อยๆ...โอวววววววววววว”
“...เคยเห็นแม่ทำให้ป้อแต่คราวนี้ได้ทำเองแล้ว”
“อะ...อะไรน่ะ?...นี่เธอ...แก่แดดแก่ลมจริงๆเล้ย!!!”
“ไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูสักหน่อย...ก็ดันไม่ปิดประตูเองนิ”
“ถูก...จับได้หรือเปล่า?”
“อืม--...แม่เห็นแต่ป้อมไม่รู้”
“...ไม่โดนดุเหรอ?”
“จ้ะ...แต่บอกทีหลังอย่าทำ”
“นานหรือยัง?”
“ก็...ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา”
“เธอกับพี่แคทกลับไปบ้านนี่นะ”
“ฮิๆ...วันนั้นแม่กับป้อนึกว่าฝนไม่อยู่เลยขอสักหน่อย...แม่แต่งตัวโป๊มากเลยละ”
“โป๊มาก?”
“นุ่งจีสตริงตัวเดียวน่ะ”
“อ๋อ~~”
“ฝนมาเห็นตอนที่แม่คุกเข่าอมให้ป้อ...ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวหรอกนะ”
“..........................................”
“แต่มารู้ว่าฝนแอบดูตอนที่ถูกเอา...ท่ายกล้อใช่มั้ยที่ผู้หญิงนอนหงายยกขาขึ้น?”
“...ใช่”
“แม่ดันเหลือบเห็นฝนพอดี...คิกๆ...รีบโบกมือไล่ใหญ่เลยแต่ปากก็ร้องครางไปด้วย”
“เธอคงไม่ยอมไปสิท่า?”
“ว้ายเก่งจัง!!”
“ฉันรู้นิสัยเธอนี่”
“ฝนซุ่มดูจนจบเลยละ...อ้อ!!...วันหลังฝนจะไปซื้อชุดชั้นในจีสตริงมาใส่มั่ง”
“ทะ...ทำไมต้องซื้อ?”
“เพราะแม่บอกว่าใส่แล้วมันจะช่วยปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชาย...บอลก็ด้วยใช่มั้ย?”
“อือออออออ...ก็...ก็นะ”
(ที่จริงเราจะยังไงก็ได้แต่เห็นฝนตั้งใจมากจึงเลยตามเลย...อูวววววววววว...ท่าจะติดใจควยเราซะแล้วแฮะ?...รูดจับมันไม่ได้หยุดมือเชียว)
“ที่จริงฝนก็เคยแอบเอาของแม่มาใส่?”
“แล้วกล้าส่องกระจกหรือเปล่านั่น?”
“อายชะมัดเลยอ่ะ!!!...โดยเฉพาะอีตอนหันหลังแล้วโก่งตูดนะเค้ารีบปิดหน้าทันที”
“ฉันนึกภาพออก”
“คือไอ้ลูกปัดมันก็เล็กซะจนปิดอะไรไม่ได้และดันมาอยู่ตรงกับรูก้นพอดี...เห็นหมดไม่มีเหลือ”
“ฉันชักอยากจะเห็นเธอใส่แบบนั้น”
“จริงเหรอ?”
“อื้อ!!”
“เดี๋ยวนี้เลยมั้ยล่า?”
“...ได้ก็ดีสิ”
“งั้นเค้าจะไปเอาของเจ๊มาใส่ให้ดูก่อน”
“เห--...พี่แคทก็มีเรอะ?”
“จ้ะ...มีอยู่ตัวนึงแต่พี่เค้าก็ไม่ค่อยใส่หรอกเพราะบ่นว่าอายตัวเองเหมือนกัน...ตั้งแต่ได้มาก็เก็บไว้ที่นี่ตลอด”
...อยากรู้เหลือเกินว่าพี่แคทจะใส่จีสตริงไปยั่วกิเลสใครกันแน่หวา?...นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ(!?)เชียวนะเนี่ย!!!!...ญาติสาวผู้น้องหายไปไม่ถึงนาทีก็กลับมา...
“...นี่หรือ?”
“อืม”
“โป๊ชะมัด!!!...พี่แคทจะไม่กล้าใส่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...ข้างหลังเป็นลูกปัด...โหย~~...ช่างออกแบบมาได้ลามกมากๆ”
(ดูไปก็คล้ายๆกับของป้าเอ็มเลยนี่นา!?...อย่าบอกนะว่าพี่เซคเป็นคนซื้อมาให้พี่แคท?)
“...ใส่นะ”
“อะ...เอ้อ!”
“.............................................”
...อื้อหือ!?...เป้าข้างหน้ามันเล็กซะจนปิดหีไม่มิดจริงๆด้วยเห็นหมอยแลบพ้นขอบออกมาเลยแถมยังรัดแคมนูนเป็นรูปชัดแจ๋วอีกต่างหาก...ใครเห็นอย่างนี้แล้วอาวุธไม่แข็งขอแนะนำให้ไปโดดน้ำตายดีกว่า!!!!...ขนาดผู้หญิงตรงหน้าเป็นน้องสาวที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกแต่ควยผมก็ลุกโด่กระดกหัวหงึกๆ...
“เป็น...เป็นไง?”
“โอ้!!!...เธอดูเซ็กส์ซี่ขึ้นอีกเป็นกองเลย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะบอลขอนะฝนไม่ยอมฉกของเจ๊มาใส่แน่...ที่จริงมียกทรงชุดของมันด้วยแต่หาไม่เจอ”
“แค่นี้ก็ดีถมถืดละ...ไหนหันหลังซิ”
“...อือ--”
“ว้าว!!!...เธอทำให้ฉันเงี่ยนจนไม่อาจทนไหว...คืนนี้ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้แล้ว...อ๊ะ!!...ไม่ต้องถอดๆ”
“เอ๋!?...บอลจะเย็ดฝนทั้งที่ยังใส่เจ้านี่รึ?”
“ใช่”
“มันจะเปื้อนหมดสิแล้วพี่แคทต้องรู้แน่”
“เธอก็เอาไปซ่อนก่อนไง...พี่แคทเองก็ไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“จริง...จริงด้วยนะ”
“นอนลงซิ”
“จ้ะ”
...ผมจับหน้าอกฝนเคล้าคลึงไปมาด้านเด็กสาวก็เริ่มหายใจแรงขึ้นโดยเฉพาะตอนเอานิ้วกดที่หัวนมถึงกับเผลอแอ่นตัวขึ้นรับ...นมญาติสาวผู้น้องเป็นกระเปาะตั้งเต้าสวยได้รูปขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กพูดง่ายๆคือตามมาตรฐานแต่เรื่องความขาวนี่ต้องขอยกนิ้วให้ว่าไม่เป็นสองรองใคร...
“...หน้าอกเค้าไม่ค่อยใหญ่เลย...อึ๊บ!!...นะ...นิ้วตัวเองไวจัง...สยิว...สยิวมากเลยอ่ะ~~”
“ใหญ่เล็กไม่สำคัญหรอก...อย่ากังวล...ฉันชอบมากซะอีก”
“?”
“เพราะมันจับได้ถนัดถนี่และก็เต็มไม้เต็มมือแบบนี้ไง”
“อ๊าาาาาาาา~~”
“หัวนมก็เล็กนิดเดียว...หึๆ...สะกิดหน่อยเดียวแข็งเป็นไตเชียวนะ?”
“อึ๊ยยยยยยยยยยย...ฝน...ฝนเหมือนจะเป็นลม...อึ๊!!...บอลเอานิ้วบีบหัวนมแบบนั้นมัน...ซีดสสสสสสสส”
“ฉะนั้นฉันจึงไม่ค่อยชอบนมใหญ่ๆนักหรอก...เอาพอดีๆก็ใช้ได้แล้ว”
“...อ่า...งั้นบอลคงจะไม่...”
“หือ?”
“ไม่เคยกังวลกับขนาดควย?”
“ก็บอกแล้วว่าเล็กใหญ่ไม่สำคัญ...ขนาด...”
“?”
“...กุนยังโอเคเลย”
“เหรอ?”
(เกือบหลุดปากว่าเป็นป้าเอ็มซะแล้วไง!!!)
“แล้วนี่...มันแข็งเต็มที่หรือยัง?”
“ยัง...เธอดูดให้หน่อยสิ”
“อะ...อืม--”
...ก่อนจะเริ่มผมกำชับฝนว่าเวลาอมอย่าให้ฟันครูดถูกผิวและโดยเฉพาะสาวน้อยวัย 18 นี่ก็อย่างที่รู้ว่าเขี้ยวแหลมขนาดไหนดังนั้นจึงต้องระวังเป็นพิเศษเพราะอาจทำให้หมดอารมณ์กับอาวุธจะเป็นรอยถลอก...ฝนพยักหน้ารับคำอย่างดีขณะเอื้อมมือจับท่อนควยด้วยอาการสั่นเล็กน้อย...ผมขอให้เธอรูดเบาๆสักเดี๋ยวแล้วค่อยแลบลิ้นมาเลียที่ปลายหัวหยัก...
“ใช่...ใช่...ช้าๆไม่ต้องรีบร้อน”
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”
“กำ...กำลังดีเลย...อย่ากำแน่น”
“อื้อ!!”
“โอววววววววว...ค่อย...ค่อยๆเลีย...ซีดสสสสสสสส...แบบนั้น...แบบนั้นแหละน้องเอ๊ย~~”
“........................................”
“โอววววววว...ธะ...เธอเรียนรู้ไวจัง...เอา...เอาล่ะ...เลียลงไปที่หัวหยัก...โออออออออออ...เก่ง...เก่งมาก”
“อุ๊ย!?...หัวบานใหญ่กว่าเมื่อกี้อีก...บอลมีอารมณ์แล้วใช่มั้ย?”
“อะ...อื้ม!...ฉันเงี่ยนเพราะเธอเลียควยนั่นแหละ”
“ฮิๆ...เห็นม้า!!...น้องสาวก็ทำให้พี่ชายเสียวควยได้”
“อืมมมมมมมม...เธอนี่พอโตเป็นสาว...ดะ...ดันมาเล่นกระดอฉัน”
“งั้นบอลก็เล่นกับจิ๋มฝนมั่งสิ”
“แน่นอน...ฉันจะเล่นกับมันอย่างหนำใจเชียว!!!”
...ฝนเอียงหน้าแลบลิ้นเลียไปรอบๆหัวหยักจนชุ่มไปด้วยน้ำลายดีแล้วก็เริ่มละเลงลิ้นที่ท่อนลำอย่างไม่ต้องรอให้ผมสั่ง...เท่าที่ผ่านมาฝนทำได้ดีพอตัวทีเดียวซึ่งผมเชื่อว่าคงจะมีใครสอนให้แน่ๆแต่ยังไม่กล้าถามเพราะเห็นญาติสาวผู้น้องกำลังเลียท่อนควยอย่างตั้งใจและใกล้จะลองอมเข้าไปในปากแล้ว...
“ไหน...ไหนลองอมเข้าไปแค่หัวพอนะ”
“จ้ะ”
“อย่าให้ฟันมาโดน...เออ--...ดี...ดีมาก...แบบนั้นล่ะ...อุ๊บ!!”
(เมื่อกี้ฟันมาโดนหน่อยนึงแต่ไม่พูดเพราะมันจะสะดุดและฝนอาจเสียกำลังใจ)
“อืมมมมมมมมมม”
“ที...ทีนี้ก็รูดเข้ารูดออก...ช้าๆก่อน”
“.........................................”
“อูวววววววววววว...ดี...ดีจริงๆ...เรียนรู้เร็วชะมัดยาด!!!...ค่อยๆ...ค่อยๆดูดลึกเข้าไป...ใจเย็นๆคนสวย...อมได้แค่ไหนก็แค่นั้น”
“.........................................”
“อุ!!...หะ...ให้ตายสิ...ใครสอนเธอนะ?...แป๊บเดียวก็คล่องเชียว”
“.........................................”
“ซีดสสสสสสสสส...โอะ...โอววววววววววววววว”
...ผมจับหัวฝนประคองไว้กับขยับเอวเข้าออกตามจังหวะส่ายหน้าครางงึมงำเพราะมันเสียวควยกว่าที่คาดคิด...เด็กสาวเงยหน้ามองแวบหนึ่งก็หลับตาใช้ปากทำรักกับเจ้าจรวดหัวทู่ต่อ...คราวนี้เธอคายท่อนควยออกมาจนเกือบหลุดจากปากก่อนจะอมมันเข้าใหม่ครั้งเดียวมิดถึงโคน...ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือครั้งแรกของหล่อนและไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเสียวจนตัวงอเป็นกุ้งกับสาวน้อยมือใหม่!?...
“ฮึ่ยยยยยยยยยยยยย...บ้า...บ้าเอ๊ย!!!...ปะ...ไปหัดมาจากไหนกันเนี่ย?...ซีดสสสสสสสสสสสสสสส”
“.........................................”
“เบาๆ...อูยยยยยยยยยยย...เบาๆสิน้อง...จะรีบ...จะรีบไปไหน?”
“.........................................”
“ทะ...แทบแย่”
“ฝนเลียกระโปกบ้างนะ”
“อืม--”
“.........................................”
“อื้ออออออออออ...ยอดมาก...ยอดมากเลย”
...แสงไฟจากโต๊ะทำงานสว่างพอจะทำให้ผมเห็นเรือนร่างของฝนที่สวมใส่จีสตริงสีชมพูเพียงชิ้นเดียว...สาวเจ้ากระดกก้นสูงเพราะก้มหน้าตวัดลิ้นงับสลับเลียหนังกระโปก...ผมขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อจะมองบั้นท้ายของญาติสาวผู้น้องจากด้านบน...จีสตริงตัวนี้มีริบบิ้นห้อยที่ขอบซ้ายขวาด้วยส่วนตรงกลางมีลูกปัดๆเล็กสี่ลูกที่(ไม่)ปกปิดรูตูด...ฝนชะงักเล็กน้อยเมื่อผมขยับมันออกไปด้านข้างและเอานิ้วแตะบริเวณแคมหี...
“...แฉะแล้วนี่”
“จับสิคะ...มันเป็นของบอลคนเดียว”
“นอนหงายซิ”
“............................................”
“อื้อหือ?...เพิ่งจะเห็นหีเธอชัดๆจะๆก็คราวนี้”
“นะ...น่าอายจัง~~”
“ใครว่า?...น่าเย็ดต่างหาก...ไม่นึกว่าน้องสาวฉันจะมีหีที่น่าเย็ดขนาดนี้”
“ฮื่อ~~...เค้าอายนะตัวเองก็...จะเลียก็เลียเร็วๆ...อย่าจ้องมากนักซี่!!”
“ขอฉันชื่นชมนานๆหน่อยน่า--...ถ้าอายก็หลับตาซะ”
“อะ...อื้อ”
“จุ๊ๆๆ...ไม่ต้องอายใครเลยนะนี่”
“...........................................”
...จริงๆฝนไม่หลับตาหรอกแต่ผงกหัวมองการกระทำของผมทุกอย่าง...ปากบอกอายแต่พอสั่งให้แยกขากว้างๆเธอก็ทำตามโดยไม่อิดออดแถมยังเอานิ้วช่วยแหวกรูหีให้ผมดูด้วย...
“หู~~...น้ำไหลเยิ้มถึงรูตูดแล้ว”
“เงี่ยนจังเลย...เลียหีให้หน่อยสิคะ”
“ได้ๆ”
(หึ!!...แค่เอาปลายนิ้วแตะเม็ดแตดก็สะดุ้งเฮือกเลยน้องเรา...ยิ่งน่าแกล้งเข้าไปใหญ่)
“อื้มมมมมมมมมมมมม...ในที่สุดฝนก็ถูกผู้ชายเลียหี...อูยยยยยยยยยยย...เสียวจัง”
“..............................................”
“อาาาาาาา...ฝนล้างหีตั้งหลายครั้งเพื่อให้บอลเลียโดยเฉพาะ...ซีดสสสสสสสสส...สุดยอด...ลิ้นบอลสากมากเลยอ่ะ”
“..............................................”
“อื้อออออออออออออ...สุดที่รักของฝน...โอวววววววววววววว...ตรงแตดนั่น...อึ๊ยยยยยยยยยยยย...น้ำออกเยอะมั้ยจ๊ะ?”
“อืม...ออกมาเยอะ”
“อูววววววววววววววว...บะ...บอลเลียเก่งจัง...อ๊อยยยยยยยยยยยย...เสียวหีชะมัดเลยอ่ะ”
...สาวน้อยร้องครางด้วยความเสียวสะท้านนอนดิ้นพราดๆมือกดหัวผมติดหนึบกับอวัยวะเพศของเธอจนแทบจะขยับลิ้นไม่ได้...ผมกลัวฝนจะร้องเสียงดังจึงพยายามบอกให้เบาๆเพราะไม่งั้นคนข้างห้องกับคนฝั่งตรงข้ามอาจได้ยิน...
“แหม~~...ก็มันเสียวนี่นา...งั้นฝนจะพยายามเบาเสียงแล้วบอลต้องเลียให้เต็มที่นะ”
“โอเค”
“หืมมมมมมมมมม...เสียว...เสียวหีมากๆเลยบอล...ลิ้นบอลก็สากเหลือเกิน...อู๊ยยยยยยยยยยยยย...เสียวสุดยอดเลยที่รักจ๋า”
“เด้งหีสิจ๊ะ”
“เห?”
“กระดกก้นขึ้นสู้ลิ้นฉัน”
“ได้...ได้จ้ะ...อ๊อยยยยยยยยยยยยยยย...ฝนจะละเลงหีให้ทั่วปากบอลเลย...โอ๊ววววววววววววว”
“อืออออออออออ...หะ...หีสาวบริสุทธิ์มันยอดแบบนี้เอง”
“เออะ!!...อื้มมมมมมมมมมมมม...อ๊า~~...บอล...บอลจะทำอะไรน่ะ?”
“...แยงลิ้นเข้าไปข้างในไง”
“มันสกปรกนะ”
“ไหนเธอบอกว่าล้างจนสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้วไง?”
“แต่...”
“มั่นใจตัวเองหน่อย”
“อูยยยยยยยยยยยยยย...ซีดสสสสสสสสสสสสสส...ฝะ...ฝนอร่อยหีจังเลย”
...เห็นญาติสาวผู้น้องปรือตาสูดปากแขม่วท้องหายใจไม่เป็นส่ำผมก็ยิ่งจู่โจมหนักขึ้น...ฝนบิดกายเร่าๆตัวสั่นระริกขณะที่ผมตวัดลิ้นลากยาวลงไปเกือบจะถึงรูก้น...จะจัดการประตูหลังเจ้าหล่อนด้วยดีมั้ยนะ?...ระหว่างที่คิดฝนก็เอาท่อนขารัดคอผมจนแทบหายใจไม่ออก...
“พอ...พอแล้ว...ยะ...เย็ดฝนเถอะ...อย่า...อย่าทรมานฝนอีกเลย”
“...เธอร้องให้?”
“ก็...มันเสียวจนน้ำตาไหลเลยน่ะ”
“อืม”
“อะไรเหรอ?...อุ๊ย!!”
“เธอ...เธอเสร็จแล้วนี่หว่า?”
“มะ...เมื่อกี้แน่ๆ”
“แค่แป๊บเดียวเองแฮะ...ที่แท้เธอก็เป็นพวกเสร็จไว”
“อะ...เอาเถอะน่า!!!...จะช้าจะเร็วก็ช่าง...บอล...บอลเอาใส่เถอะ”
“ฉันก็ว่ามันถึงเวลาแล้ว”
...มือไม้ผมสั่นเอาการทีเดียวตอนที่แกะซองถุงยางแต่ก่อนจะใส่ฝนขอดูดควยอีกครั้งเพื่อให้มันแข็งตัวเต็มที่...ผมถามว่าจะเสียความสาวในท่าไหนดีเธอก็บอกอายๆว่าขอเป็นท่าที่แอบเห็นอานิภาในครั้งนั้น...
“ท่ายกล้อ?”
“อื้อ!!”
“เตรียมใจพร้อมแล้วใช่มั้ย?”
“แน่นอน...นี่คือโอกาสที่ฝนรอมานานแสนนาน”
“แป๊บหนึ่งนะ”
“..............................................”
“มองไม่ค่อยเห็น”
“ใส่เรียบร้อยยัง?”
“อีกแป๊บ”
“..............................................”
“เอาล่ะ”
“ฝน...จะแหวกเจ้านี่ให้”
“แยกขากว้างๆด้วย”
“มาเลยจ้ะ...เอาทุกอย่างของบอลเข้ามาในร่างกายฝน”
“จะ...จะไปล่ะนะ”
...ฝนแขม่วท้องหายใจแรงเมื่อหัวควยผมแตะที่ปากช่องคลอด...สาวน้อยเอานิ้วแหวกขอบจสตริงกับแคมกลีบให้เผยอออกรอรับการสอดใส่...มาถึงตรงนี้จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้เสียแล้วผมตัดสินใจดันควยเข้าไปในรูหีโดยไม่กำหนดหรอกว่าจะผ่านได้ลึกแค่ไหน...จากที่เอานิ้วแหกรูสวาทฝนก็เบิกตาโพลงกับรีบยกมือไปอุดปากตัวเอง...
“อื้อ!!!!...อื๊อออออออออออออออออออออ~~...เจ็บ...เจ็บจริงๆ...อึ๊กกกกกกก...ปวด...อืมมมมมมมม”
“ฉัน...จะทำค่อยๆ”
“อู๊ยยยยยยยยยยยยยย...แหก...หีแหกหมดแล้วววววววววววววว”
“เบาๆสิ”
“อืออออออออออออออ...อูยยยยยยยยยยยยยยยย”
“ทน...ทนอีกนิด”
“อ๊อก!!!...โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย”
“เข้า...เข้าหมดแล้ววววววว”
“ฮือออออออออออ”
“ฝน...เธอร้องให้อีกแล้ว?”
“อื้อ!!...ฝนดีใจ...ดีใจที่บอลคือผู้ชายคนแรกของฝน...ฮ่า...ฮ่า”
“จะแช่ไว้นิ่งๆก่อน”
“นี่สินะ?...ที่เขาเรียกว่าการเสียสาว...ฝน...ฝนเสียความสาวไปแล้ว”
“เสียดาย?”
“ไม่เลยสักนิดเพราะคนที่ได้มันไป...คือคนที่ฝนรักมากที่สุด”
“งั้นก็...”
(เสียงเหมือนประตูเปิด!?)
“!!!!!!!!!!!!!”
“!???????”
...ขณะที่ท่อนเนื้อของผมชำแรกผ่านอวัยวะเพศอันคับติ้วของญาติสาวผู้น้องเข้าไปจนเกือบมิดแท่งฉับพลันนั้นบานประตูห้องก็ถูกใครบางคนเปิดออก...ฝนน่ะไม่รู้แต่ผมแทบจะหยุดหายใจลง ณ วินาทีนั้นเลยแล้วยิ่งตกใจเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อใครบางคนนั่นคือ...
“พี่แคท!!!!”
“ทะ...ทำไมกัน?”
“เธอลืมล็อคประตู!?”
“จริงด้วย!!...ตอนที่ฝนออกไปเอาจีสตริง...”
“เราจะทำไงดี?”
“..............................................”
“เจ๊ยังไม่เข้ามา...”
“นั่นสิ”
“บอลอย่าเพิ่งขยับตัว”
...โชคยังเข้าข้างก็ว่าได้ที่บนตัวของผมมีผ้าห่มผืนใหญ่พอจะช่วยบังให้เราสองคนแต่ทำไมกัน?...ทำไมพี่แคทถึงตื่นขึ้นมาในเวลานี้และที่สำคัญคือดวงตาสองข้างของเธอได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเหมือนอยู่ในภาวะ “สุริยะโลหิต” ที่น่าสะพรึงกลัวแบบนั้นเล่า!?...ผมกับฝนต่างไม่กล้าแม้จะขยับเขยื้อนส่วนใดๆของร่างกายได้แต่ใช้สายตามองว่าพี่แคทจะทำอะไรต่อไปด้วยหัวใจที่เต้นสั่นระรัวเพราะความหวาดหวั่น...อา--...นี่ถ้าผมอายุมากหน่อยหรือหัวใจมีปัญหาอยู่ล่ะก็เมื่อกี้ถึงขั้นช็อคตายได้เลยนะ!!!!...ไม่นึกว่าฝนจะมาพลาดกับเรื่องง่ายๆอย่างลืมล็อคประตู...จะลุกไปปิดไฟตรงโต๊ะทำงานตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วยเพราะมีสิทธิ์ความแตกสูงมาก...
“ใจเย็นๆ...บอล...บอลอย่าขยับตัว...อือ--...เจ็บ!!”
“โทษที...ตัวฉันหนักกว่าเธอเยอะ”
“ฝนว่า...พี่แคทคงจะยังเบลออยู่”
“แล้วที่ตาแดงโร่แบบนั้นคืออะไร?”
“...นั่นน่ะ...อะ...อูย!!!...ปวดแปล๊บเลย...สงสัยจิ๋มจะฉีก”
“เลือดจะต้องออกแน่ๆ”
“อื้ม!!...ชู่ว~~...เบาๆ”
“...หลุดแล้ว”
“นอนทับฝนไปเลย...ไม่เป็นไรหรอกแต่อยู่นิ่งๆนะ”
...แม้ฝนจะบอกให้ผมหยุดพูดแต่ก็ได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นแรงซึ่งนั่นแสดงว่าสาวเจ้าก็ตื่นตระหนกไม่น้อยเหมือนกัน...ผมเฝ้าภาวนาอย่าให้พี่แคทเดินเข้ามาและเลิกผ้าห่มที่คลุมร่างเราสองคนออกเด็ดขาดไม่งั้นคืนวันสิ้นปีอาจจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า...
“...ไม่...ไม่ใช่ห้องน้ำ”
“โป๊ะเช๊ะ!!...เจ๊ละเมอจริงๆด้วย”
(เอาอีกแล้วเรอะ!?)
“งั้นก็รีบไปสักที...ฉันกลัวจะแย่อยู่แล้ว”
“...นั่นสิ”
“.............................................”
“ลูกแคท!”
“.............................................”
“ลูกแคท...ได้ยินที่แม่เรียกหรือเปล่า?”
“...คุณแม่”
“เสียงนั่น...อานิภา?”
“ชี่!!”
“ลูกจะทำอะไรเหรอ?”
“จะ...เข้าห้องน้ำค่ะ”
“นี่ไม่ใช่ห้องน้ำสักหน่อยและในห้องลูกก็มีไม่ใช่หรือ?”
“จริง...จริงด้วย...แคทลืมสนิทเลย”
“ยังเมาอยู่ใช่มั้ยเนี่ย?...กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว”
“ทำไงดี?...อานิภาออกมาอีกคน”
“ไม่ต้องกลัวหรอกจ้ะ”
“แต่ถ้าแม่เธอเข้ามา...”
“เชื่อฝนสิ”
“คุณแม่...ฝนไม่ได้นอนอยู่ในห้องน่ะค่ะ”
“อ๋อ!!...น้องเราไปนอนที่ห้องแม่เองแหละฉะนั้นจะอยู่กับลูกได้ยังไงล่ะจริงมั้ย?”
“...ค่ะ”
“!?”
...ทำไมอานิภาถึงบอกพี่แคทไปอย่างนั้นในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าลูกสาวคนเล็กไม่ได้นอนที่ห้องของเธอแน่นอน!?...
(หรือว่า?)
“ฝน!!...อานิภารู้ว่าเรา...”
“...ตามนั้นแหละ”
“จะ...จริง...จริงเหรอนี่?”
“เอ้า!...แม่จะพาไปห้องน้ำข้างล่างเองแล้วทำไมไม่ใส่ชุดนอนให้มันมิดชิดนะ?...อากาศก็เย็นจะตายเดี๋ยวไม่แคล้วได้เป็นไข้หรอก”
(บ่นลูกสาวคนโตแต่น้องสาวพ่อก็ใส่เสื้อกล้ามส่วนท่อนล่างนุ่งกางเกงในตัวเดียว!?)
“เฮ้อ!!...โล่งอก”
“ฝนเจ็บหีจังเลย~~”
“รีบ...อธิบายมาให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”
“ก็ได้แต่ต้องดูดนมเค้าด้วย”
...ฝนเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเป็นช่วงๆซึ่งผมก็พลอยใจสั่น(ด้วยความตกตะลึง)เพราะนึกไม่ถึงว่าอานิภาจะร่วมมือวางแผนกับลูกสาวคนเล็กซะจนถึงขนาดแอบสับเปลี่ยนแก้วให้ลูกสาวคนโตเมาเหล้าเพื่อจะไม่มาเป็นตัวขัดขวาง!?...ไม่หรอก!!!...ผมว่าคนที่เป็นต้นคิดแรกเริ่มก็คือฝนอย่างไม่ต้องสงสัย...
“อืม--...ฝนนี่แหละ”
“ที่แท้เธอก็เป็นคนวางแผนมาตั้งแต่ต้น!?”
“ใช่...แล้วโชคชะตาก็ยังเป็นใจให้อีกด้วย...ฝนตั้งใจมาตลอดว่าจะมอบความสาวให้กับบอลเพียงคนเดียว”
“นี่เธอทำเอาฉันขนลุกไปหมดเลยนะ!!...แม้แต่พี่แคทที่เฉลียวฉลาดก็ยังเสียทีให้กับเธอโดยที่ไม่รู้สึกตัว”
“ส่วนพี่อ๋อมไม่ถือว่าเสียรู้เพราะเดิมทีเธอก็นัดแข่งกับพี่เซคอยู่แล้วแต่ถ้ารู้เข้าเมื่อไหร่ล่ะเป็นเรื่องเพราะนับว่าเสียหน้าอย่างแรง”
“เสียหน้า?”
“มาต่อกันเถอะจ้ะ...ไม่มีอะไรแล้ว”
“...อืม”
...ผมค่อยๆดันหัวควยเข้าไปทีละนิดโดยถึงจะเคยล่วงล้ำไปครั้งนึงแล้วแต่ก็ไม่รีบร้อนเนื่องจากรูหีของฝนฟิตมากเลยกลัวเธอจะหมดความสุขและมีแต่ความเจ็บปวดเปล่าๆ...
(เพราะความทรงจำครั้งแรกสมควรจะมีแต่สิ่งสวยงามกับน่าจดจำไม่ใช่หรอกหรือ?)
“โอ๊ยเจ็บ!!!”
“อย่าเกร็ง...แยกขากว้างๆด้วยจะได้เบาเจ็บ”
“อื้อ!!”
“ปะ...เป็นยังไง?”
“ดันเข้ามาเถอะจ้ะ...อึมมมมมมมม...แค่นี้ฝนทนได้”
“นี่แหละท่ายกล้อ”
“จ้ะ...ฝนจะจำไว้ไม่มีวันลืม”
“...เข้าหมดแล้วนะ”
“รู้...สึกเหมือน...ร่างกายมันจะปริออกจากกัน...อืออออออ...ฝน...ฝนไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วใช่ไหม?”
“เธอ...เธอเสียใจหรือเปล่า?”
...ฝนคว้าผมไปกอดทั้งน้ำตาและพูดเสียงสั่นเครือว่าไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเพราะนี่เป็นความใฝ่ฝันของเธอมาโดยตลอด...
“บอกไปแล้วว่า...ฝนเกิดมาเพื่อเป็นของบอลคนเดียว”
“...........................................”
“อึ๊!!...ยังจะมีเลือดออกอีก”
“เธอรู้หรือ?”
“...ก็ได้กลิ่นนี่นา”
“ถ้าเธอเจ็บจนทนไม่ไหว...ฉะ...ฉันจะหยุดทันทีนะต่อให้ไม่เสร็จก็ตาม”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันไม่อยากเอาเปรียบเธอด้วยการมีความสุขเพียงฝ่ายเดียวน่ะสิ”
“เอ๋?...หากได้เห็นบอลมีความสุขฝนก็พอใจแล้ว”
“เอาเถอะน่ะ”
“...จ้ะ”
“............................................”
“อาาาาาาาา”
“ปะ...เป็นไงจ๊ะ?”
“...ได้...บอลเย็ดต่อไป...อืมมมมมมมมม”
“โอออออออออออออออ...โอวววววววววววววว”
“เสียวมากมั้ย?”
“เธอล่ะ?”
“อือ~~...ยังเจ็บแต่ก็...เสียวเหมือนกัน”
...ผมรู้ว่าญาติสาวผู้น้องต้องอดทนต่อความเจ็บปวดแต่ก็พยายามพูดเอาใจจึงก้มจูบปากขณะกระเด้าควยไปด้วยเพื่อปลอบขวัญ...ฝนปากพูดทนได้แต่หลับตาปี๋กับลอบกัดฟันเป็นระยะ...รุ่งเช้าเธอจะลุกเดินไหวมั้ยเนี่ยเพราะมันต้องปวดระบมสุดๆแน่?...ไม่ใช่ว่าคุยนะแต่เจ้าปลาช่อนตาเดียวของผมก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของฝนอีกต่างหาก...
“ซีดสสสสสสสสสส...หีเธอ...ฟิต...ช่างฟิตดีเหลือเกิน”
“โอววววววววววว...ติด...ติดใจแล้วใช่ไหมล่า?”
“นะ...น่าจะเย็ดซะตั้งนานแล้ว...อูยยยยยยยยยย”
“อ๊อยยยยยยยยย...ก็...ก็ตัวเองมัวแต่ไปหลงสาวอื่นอยู่ได้...มีของดีอยู่ใกล้ตัวแท้ๆ...ที...ทีนี้บอลก็มีที่ปลดปล่อยแล้วนะ...อาววววววววว...อยากเมื่อไหร่ก็มาหาฝน”
“งั้นฉัน...ฉันต้องหลบพี่แคทให้ดีเชียว”
“อื๊อออออออออออ...ถ้า...ถ้าในบ้านไม่สะดวก...อืมมมมมมมมมมม...เราก็ไป...โรง...โรงแรมกัน”
“จริง...จริงด้วย”
...ฝนส่ายสะโพกไปมากับขมิบหีให้รูที่มันก็สุดจะฟิตอยู่แล้วให้แนบแน่นเข้าไปใหญ่...เจอไม้นี้เข้าผมต้องกลั้นแทบแย่เพราะกลัวน้ำจะพุ่งเสียก่อนและบอกไม่ให้เด็กสาวขมิบช่องหีมากนัก...
“อืมมมมมม...ฝน...ฝนก็จะไม่ไหวเหมือนกัน...โอ๊ยยยยยยยยยยยย”
“ทน...ทนไม่ได้ก็อย่าฝืน...ออกช้าออกเร็วไม่ใช่เรื่องน่าอาย...ซีดสสสสสสสสส”
“เสียวมากเลยเหรอ?”
“อื้อ!!...หีเธอเย็ดมันส์มาก...ไม่ได้...แกล้งชม...โอออออออออออ...เจ็บก็บอกฉันจะได้เบาแรง”
“อือออออออออออ...ไม่...ไม่เป็นไร...ถ้าบอลมีความสุขฝนก็ทนได้”
“เมื่อยมั้ย?”
“ก็...เมื่อยจ้ะ”
“งั้นเปลี่ยนท่าเถอะ”
“ท่าไรเหรอ?”
“ท่าหมา...โก่งตูดสิ”
“ว้าย!!!...งั้นบอลก็เห็นรูตูดฝนหมดเลยสิ?”
“อย่าบอกนะว่าอาย?”
“ก็อายสิถามได้!!...ทำไมตัวเองชอบทำแผลงๆจัง?”
“ใครๆก็ทำกันน่า--”
...ฝนยังอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามโดยดี...เวลาเธอโก่งบั้นท้ายก็ดูอวบใหญ่ใช้ได้เหมือนกันแฮะ...
“นี่...เร็วๆเข้า...อ๊าวววววววววว...ท่านี้...อูยยยยยยยยยยย...ควยเข้าลึกดีจัง”
“...เธอจะต้องชอบแน่”
“อาาาาาาา...เบาเจ็บไปเยอะเลย...อืมมมมมมมมมม...ช้า...ช้าๆ”
“ฉันก็กลัว...จะล่มปากอ่าวก่อนเหมือนกัน”
“ฮิๆ...อึ๊!!...อื้มมมมมมมมมม...เสียว...เสียวสุดๆเลยที่รักขา~~”
“เริ่มจะมันส์แล้วสิ?”
“จ้ะ...อูยยยยยยยย...บะ...บอลเย็ดเก่งจัง...อ๊ายยยยยยยยยยย”
“แหม่ๆ...ชอบล่ะสิท่า?...ส่ายตูดยั่วกันใหญ่เชียว”
“คนบ้า!!...มาจ้องก้นเค้า~~...ซีดสสสสสสสสสสสส...อีก...แรงอีกนิดสิคะ...โอ๊ยยยยยยยยยยยย”
“เบาๆหน่อย”
“ก็มันเสียวอ่ะ!”
“ฉัน...จวนจะออกแล้ว”
“เอาเลย!!!...บอลปล่อยน้ำเงี่ยนออกมาใส่หีฝน...อ๊อยยยยยยยยยย...ตรงนั้นแหละๆ...อาววววววววว...ควยบอลขยี้แตดฝน...อึ๊ยยยยยยยยยยย”
“อ๊ากกกกกกกกกก...ไม่...ไม่ไหว...ฉัน...ฉันทนไม่ไหวละ!!!!”
“อื๊ออออออออออออออออ...ออก...ออกมาแล้ว...มันร้อน...ร้อนวาบเลย...โอ๊ออออออออออ”
...น้ำแตกคารูหีลูกพี่ลูกน้องเป็นครั้งแรกแม้จะสวมถุงอยู่ก็ตาม...ผมกระเด้าอีกสามสี่ทีก็เอนตัวทาบบนหลังสาวน้อยที่หลับตาปี๋ร้องครางอือๆโดยที่ร่องรูสวาทของเธอยังตอดรัดท่อนควยตุบๆๆ...ในที่สุดการร่วมประเวณีระหว่างลูกพี่ลูกน้องก็สงบลงพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ค่อยๆก่อเกิดขึ้นมาทีละน้อย..
“...ทำ...ทำลงไปจนได้”
“ฝนดีใจที่สุด...ปลื้มใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี...ในที่สุด...ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แม่จ๊ะฝนรู้แล้วนะว่าเซ็กส์เป็นยังไง”
“พูดยังกะอานิภาจะได้ยิน?”
“ไม่หรอก...เค้าพูดกับตัวเอง...เท่านี้...เท่านี้พี่แคทหรือใครก็หยุดความสัมพันธ์ของเราไม่ได้แล้ว”
“แต่...”
“ไม่เอา!!...บอลห้ามรู้สึกผิดหรือโทษอะไรทั้งนั้น...ฝนเต็มใจจะมอบความบริสุทธิ์ให้บอลเอง...บอลไม่ได้ข่มขืนฝนหรือใช้เล่ห์กลใดๆทั้งสิ้น”
“...........................................”
“ทำใจให้สบายและคิดซะว่าสอนการเล่นเสียวให้น้องสาวได้เปิดหูเปิดตาล่ะกัน”
“ดูพูดเข้าสิ”
“คิๆๆ”
...ผมกดแช่ท่อนลึงค์ไว้ครู่หนึ่งก่อนจะชักออกเอนตัวนอนตะแคงหมดแรงอยู่ข้างฝนที่ยังนอนคว่ำก้นโด่งหายใจหอบ...ผมเห็นบั้นท้ายญาติสาวผู้น้องมันโก่งงอนดีนักจึงยกมือตีเบาๆเพียะหนึ่ง...ฝนหันมามองและแลบลิ้นใส่ก่อนจะเอานิ้วดีดกระดอผมบ้าง...
“ฮ่า--...กางเกงในเปียกหมดเลยเนี่ย”
“จริงด้วย...ตรงเป้าแฉะมาก”
“ถอดก่อนดีกว่า...ว้ายตัวเองอ่ะ!!”
(แกล้งดึงลูกปัดแล้วปล่อยให้ดีดโดนรูตูดทำเอาฝนค้อนขวับยกมือตีแก้เขินเป็นพัลวันก่อนจะโผเข้าซบอก)
“เค้าใส่ให้ดูแล้วตัวเองยังจะแกล้งอีก!!!”
“ดูดีมากเลยแฮะเวลาเธออาย”
“บ้า!!...นิสัยไม่ดี--...คนนิสัยไม่ดี~~...ฮิ!!...แต่รักที่สุดเลย”
“อ้าว?”
“ยังจะมาอ้าวอะไร?...บอลก็คือผู้ชายที่ฝนรักมากที่สุดไง”
“............................................”
“ข้างในมันแสบไปหมดเลย”
“เธอเสร็จมั้ย?”
“............................................”
“บอกมาสิ”
“...ยังจ้ะ”
“นี่ฉันออกก่อนรึ?”
“............................................”
“มาให้ฉันดูหน่อย”
“เอ๋?”
“เถอะน่า--”
“............................................”
“ยังมีเลือดซึมแต่ไม่มาก”
“บอลไม่ต้องกังวลหรอกนะ...ถึงครั้งแรกของเราจะไม่เสร็จพร้อมกันแต่ฝนก็น้ำแตกคาลิ้นบอลไปก่อนแล้ว”
“...อืม”
“แต่เค้าอยากเห็น”
“?”
...ที่แท้ฝนก็อยากดูน้ำเงี่ยนที่อยู่ในถุงยางผมจึงค่อยๆรูดออกอย่างระมัดระวัง...สาวน้อยรับมาดูแล้วกระซิบว่า...
“ถ้าออกในหีจะเป็นยังไงนะ?”
“เธอก็มีสิทธิ์จะท้องไง”
“วา~~...งั้นฝนจะมีลูกให้บอลเอง”
“บะ...บ้าเหรอ?”
“ฮิๆๆ”
(ลูกพี่ลูกน้องเอากันเองก็เป็นเรื่องใหญ่มากพออยู่แล้วนี่ถ้าตั้งท้องขึ้นมาอีก...ดูไม่จืดแน่ๆ)
“ที่จริงเค้าอยากนอนกับตัวเองในห้องนี้แต่กลัวพี่แคทจะลุกมาอีก”
“นั่นสิ”
...ฝนลุกเอาทิชชู่เช็ดคราบน้ำเมือกที่ติดตามร่องหีซึ่งมีเลือดปนออกมาด้วย...สงสัยผมจะเผลอเย็ดแรงไปมั้ง?...
(แต่มันเสียวสุดยอดจนอดใจเร่งเครื่องไม่ไหวนี่หว่า!?)
“แม่เคยบอกเค้าว่าเอาเสร็จใหม่ๆก็พอทนไหวแต่ลองผ่านไปสักระยะจะปวดระบมมาก...บางคนถึงกับเป็นไข้เลยขอบอก”
“รู้ดีจังนะ”
“เพราะเค้าศึกษามาเยอะจ้ะ”
“ตอนนี้ปวดมากมั้ย?”
“พอทนได้แต่รู้สึกเหมือนยังมีอะไรคาอยู่ข้างใน”
“พยายามเดินให้เป็นปกตินะฉันขอร้อง...ไม่งั้นความแตกแหงๆ”
“ที่จริงจะรู้ก็ให้รู้กันไปเลยซี่~~”
“ไม่ได้!!!”
“ชี่!!”
“ไม่--...อย่าเพิ่งให้ใครรู้เลย”
“แต่มาม๊ารู้แล้วล่ะ”
“ช่วยบอกอานิภาด้วย...นะ...นะ”
“...ก็ได้...แต่สักวันทุกคนก็ต้องรู้เรื่องของเราซึ่งฝนจะเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ”
“.........................................”
“และมีอีกอย่างที่จะบอกให้บอลรู้ไว้”
“?”
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...ฝน...เป็นเมียของบอลแล้วนะจ๊ะ”
“!!!!!!!!!!!!!!!!”
“สัมพันธ์น้องพี่ขาดสะบั้นอย่างสมบูรณ์นับแต่วินาทีที่เจ้าสิ่งนั้นล้วงล้ำเข้ามาในร่างกายของฝน...เรื่องนี้บอลย่อมรู้ดีที่สุดและต่อไปเราจะเริ่มสานสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักกัน”
“..........................................”
...พอขมวดปมผ้าเช็ดตัวให้แน่นแล้วสาวน้อยวัย 18 ก็ออกไปจากห้องในสภาพเดินเขยกขา...ถ้าเป็นไปได้พรุ่งนี้ขอให้นอนทั้งวันเพื่อกลบเกลื่อนอาการก็จะดีมากๆแต่เมื่อกี้ฟังที่ฝนพูดก็ชักเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา...
(แล้วก็สายตาที่มองมานั่นด้วย...ราวกับว่าเธอกำลัง...ข่มเราอยู่ในที!?)
......................................................................................................................................
“...ตื่น”
“อื๊อ~~...อาไร?”
“จะนอนไปถึงไหน?...ลุกซะที--”
“โอ่ยใครฟะ?...พะ...พี่แคท!!!!”
“ก็พี่น่ะสิ...ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น?”
...เมื่อคืนเพิ่งเล่นน้องสาวเธอมาแล้วจะไม่ให้ตกใจได้ไง?...ใบหน้าสวยๆของพี่แคทเล่นซะผมตาสว่างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง!!!...
“ตื่นแล้วก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา...เอ๊ะ?”
“?”
“นี่แก้ผ้านอนเหรอ?...ทะลึ่ง!!!”
“อะ?...เอ้อ!!...เธ่อ~~...ทำยังกะไม่เคยเห็น...หึๆ”
“น่าเกลียดจริงๆ...เอ้า!!”
...ญาติสาวผู้พี่โยนผ้าเช็ดตัวให้ก่อนจะออกไปจากห้อง...ว่าจะลองเลียบเคียงถามถึงฝนแต่ไม่ทันงั้นค่อยถามทีหลัง...อื๋อ!?...
(เฮ้ย!?...ระ...รอยเปื้อนเป็นดวงๆนี่มันคราบเลือดไม่ใช่เรอะ?...ตายโหง!!!!...โชคดีที่พี่แคทยังไม่สังเกตเห็นนะเนี่ย)
“อ้าวบอล!!...ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จรีบมากินข้าวต้มเครื่องนะจ๊ะ...อาตั้งใจทำสุดฝีมือเลย”
“...ครับ”
“คุณแม่อารมณ์ดีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ก็ไม่มีอะไรนี่...เดี๋ยวแม่จะซักผ้านะ...ลูกแคทเตรียมผ้าที่จะซักใส่ตะกร้าแล้วเอาลงไปข้างล่าง”
“ค่ะ”
“อย่าลืมเสื้อผ้าของน้องและปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนไปด้วยเพราะเช้านี้แดดท่าจะดี...บอลก็เหมือนกันนะจ๊ะ”
“ได้ครับ”
...เย้!!...โอกาสช่างเหมาะเหม็งจริงๆแต่นี่ก็เป็นข้อยืนยันที่แน่นอนว่าอานิภารู้เห็นเป็นใจกับลูกสาวคนเล็กมาตั้งแต่ต้น...นั่นไงเล่าแอบขยิบตาให้ผมด้วย!?...
“ฝนยังไม่ตื่นหรือ?”
“ตอนหกโมงลูกฝนลุกมาช่วยภาแล้วกลับไปนอนค่ะ...ได้ยินเธอบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“แปลก...ในงานเมื่อคืนก็ยังเห็นดีๆอยู่?”
“แหม~~...คนเราจะไม่สบายมันเลือกเวลากันได้หรือจ๊ะลูก?...เอ้า!!...ชามของบอลต้องเพิ่มไข่ลวกอีก...เอาไปสามฟองเลย”
...การกระทำของอานิภานี่มันสื่อความนัยอะไรได้หลายอย่างเชียว...น่าอายชะมัดเลย...อาศัยจังหวะเธอที่ยกหม้อข้าวต้มไปให้พวกคุณพ่อที่เรือนหน้ารีบกินให้หมดเร็วๆโลด...
“ทำไมมาไวจัง?”
(นั่นน่ะสิ)
“พอดีเจอพี่กวางที่ระเบียงก็เลยฝากไป”
“ความจริงน่าจะชวนมากินด้วยกัน”
“หูตาของพี่เอ็มมีเยอะยังกะสับปะรด...ภาไม่อยากมีปัญหานะคะ”
“เรื่องเล็กนิดเดียวแท้ๆไม่น่าเอามาเป็นอารมณ์”
“สำหรับพี่เอ็มน่ะมันใหญ่มากต่างหากเล่า...คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ผมก็ไม่อยากจะเข้าใจ...น่าปวดหัวเปล่าๆ”
“เดี๋ยวลูกแคทช่วยยกชามข้าวต้มขึ้นไปให้น้องด้วย...กินเสร็จแล้วให้นอนพักห้ามออกไปเล่นข้างนอก”
“ค่ะ”
“ล่าสุดที่ลูกคนนี้ไม่สบายน่ะมันเมื่อไหร่กัน?”
“หนูก็จำไม่ได้”
“ว่าแต่เราเหอะ...หายเมาหรือยัง?”
“ค่ะ...ความจริงมันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยถ้าหนูไม่เผลอกินเหล้าของคุณแม่ไป”
(อึก!!...ฝนสารภาพออกมาแล้วว่าอานิภาคือคนที่สับเปลี่ยนแก้ว)
“ช่วยไม่ได้นิ...แก้วของเราอยู่ใกล้กัน”
“.............................................”
“อ๋า!!...ไหงลูกแคทถึงมองแม่แบบนั้น?”
“เอ๊ะ?”
“รึสงสัยว่าแม่จงใจจะให้ลูกกินเหล้าน่ะ?”
“ไม่ใช่นะคะ!!”
“อย่า...อย่าๆๆๆ”
“นี่ภา--...ไม่อายตัวเองก็อายลูกอายหลานมั่ง”
“แฮ่!!!”
“ฮุย!?...จะกัดผมอีกแล้วเรอะ?”
“ก็คุณดูสิ...น่าเสียใจเหลือเกินที่ลูกแคทมองภาด้วยสายตาอย่างนั้น”
“โธ่~~...ไปกันใหญ่แล้วค่ะ...หนูยังไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”
“แต่สายตาลูกมันฟ้อง...ฮึกๆ”
“โอเคๆ...เป็นความผิดของหนูเองค่ะที่เผลอไปหยิบแก้วของคุณแม่...หยุดร้องให้ซะทีเถอะ”
“...พูดจริงนะ?”
“จริงค่ะ”
“ไม่สงสัยแม่แน่นะ?”
“ไม่สงสัยค่ะ”
“อย่าโกหกนะ”
“หนูไม่โกหกค่ะ”
“ไม่งั้นตายไปโดนยมบาลดึงลิ้นด้วยนะเอ้อ!!”
“ค่าๆๆ”
“ภานี่ชอบทำตัวเหมือนเด็กๆ”
“ฮี่~~”
(ในที่สุดอานิภาก็เอาตัวรอดสำเร็จ...ต่อให้พี่แคทยังติดใจก็ทำอะไรไม่ได้)
“ภา...วันนี้จะไปกับผมมั้ย?”
“ไปสิคะ...ว่าจะชวนพี่เอ็มด้วย”
...ไม่รู้เหมือนกันว่าอาสนกับอานิภาจะออกไปไหนแต่ก็ดีแล้วเพราะผมยังไม่กล้าสู้หน้าอานิภาแม้ฝนรับรองว่าไม่เป็นไรก็ตามที...หือ?...หญ้าในสวนหย่อมชักจะรก...
“................................................”
“คันจริงวุ้ย!!”
“................................................”
“เยอะจัง...สงสัยต้องหาเครื่องตัดหญ้า”
“นึกยังไงถึงมาถอนหญ้าเอง?”
(เพื่อกลบเกลื่อนไงครับ)
“มาพอดี...ช่วยผมหน่อย”
“ไม่”
“โห!?...ใจจืด!”
“พี่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและก็ขี้เกียจรวบผมด้วย”
(อ๋อ~~...เวลาก้มๆเงยๆตีนผมอันยาวเฟื้อยของเจ้าหล่อนจะละพื้นดิน)
“คุณเอกคเชนทร์?...ตายจริง!!...ให้พวกหนูทำเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร...ฉันก็อยู่ว่างๆ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ!!...ถ้าคุณศรมรกตกับคุณอรนิภารู้พวกหนูจะโดนดุ”
“อีกนิดเดียวก็จะเสร็จน่า--”
“นั่นเป็นหน้าที่ของเด็กพวกนี้อยู่แล้ว...ไปกับพี่...มีเรื่องจะคุย”
...เอื๊อก!!!...ใจคอไม่ดีเลยแฮะเพราะผมเพิ่งจะก่อคดีสดๆร้อนๆ...ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของเธอหรือฝนกันแน่?...
(ว้าวแจ่มโคตร!?...สาวเจ้านุ่งกระโปรงเดินขึ้นเนินและเราเป็นคนตามในระยะกระชั้นชิดก็จะได้เห็นอะไรดีๆแบบนี้แหละ!!)
“อย่ามองขึ้นมาสิยะ!!!”
“อ๊ะ!!...เอ่อ--...เวลาเราขึ้นเนินสูงๆก็ต้องเงยหน้านี่ครับ”
“ขึ้นมาเร็วๆ”
“...ก็พี่นุ่งสั้นเอง”
“กลายเป็นความผิดฉัน?”
“แต่เมื่อคืนก็ใส่สีดำ...รึว่าตัวเดิม?”
“บ้า!!...พี่เปลี่ยนกางเกงในทุกวันย่ะและก็มีสีดำแค่ตัวเดียวซะเมื่อไหร่...แต่...เธอเห็นได้ยังไงและที่ไหน?”
“ก็...ที่บ้าน”
“?”
“จำไม่ได้หรือครับ?...หลังจากถูกอ๋อมตีเข่าจนสลบที่งานคุณอาก็พาพี่กลับบ้าน...หนูซีกับหนูดีตามมาดูแลพี่ด้วย”
“...แล้วไง?”
“ผมเป็นห่วงเลยแวะกลับมาเยี่ยมและตอนนั้นน่ะ...พี่...”
“ก็มันยังไงล่ะ?”
“พี่ถูกสะกดจิต...ทำตาเชื่อมพูดจาคะขาเสียงอ่อนเสียงหวาน...เป็นฝ่ายเข้ามาจูบผมด้วยนะ”
“ไม่จริง!!!”
“หึๆ...หนูซีกับหนูดีคือพยานปากเอก...ไม่เชื่อก็ไปถามพวกเธอดูสิว่าพี่แคทแต่งตัวเซ็กส์ซี่ขนาดไหน?...หุๆๆ...สวมกางเกงในตัวเดียวโชว์นมอะร้าอะร่าม”
“เธอถอดเสื้อผ้าพี่”
“ไม่...ตอนผมมาเห็นพี่ก็อยู่ในสารรูปนั้นแล้ว”
“...ฉันจำอะไรไม่ได้เลย...อื๋อ?...หรือว่าเป็น...”
“ในงานก็ด้วย”
“เปล่า...ตอนที่สู้กับน้องอ๋อมนั่นพี่พอจำได้...แต่ทำไม?...น้องม่อนสะกดจิตฉันทำไม?”
“อันนี้ก็ไม่รู้แต่เธอต้องการจะทดสอบผม”
“ทดสอบ?”
“ว่าจะทนแรงยั่วของพี่แคทได้หรือเปล่า?”
“พูดจาน่าเกลียด!”
“แต่ไหงพี่ถึงรู้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ?”
“...เพราะน้องม่อนมีอำนาจจิตกล้าแข็ง...ในอดีตคนที่โดนเธอสะกดจิตจะนึกไม่ออกเลยว่าระหว่างนั้นได้ทำอะไรลงไปบ้าง...ความทรงจำจะลบเลือนหายไปราวกับถูกขโมย”
...เฮ่ยๆๆ...นี่ผมกำลังหลุดมาอยู่ในหนังไซ-ไฟหรือเปล่า?...อำนาจจิตกล้าแข็ง,ความทรงจำจะถูกลบเลือนหายไปราวกับถูกขโมย...แต่เอ๊ะ!?...งั้นถ้าผมทำอย่างว่ากับพี่แคทๆก็จะจำไม่ได้น่ะสิ?...
“ใช่...ดันปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป”
“แบบนั้นจะสนุกอะไร?...สมมติว่าผมจะมีอะไรกับพี่ก็ขอให้พี่เป็นตัวของตัวเองดีกว่าบุคลิกหลอกลวงแบบนั้น...กลับกันเถอะ”
“เดี๋ยว--...ฉันยังไม่รู้ในสิ่งที่อยากรู้”
“พี่แคทยังจะสงสัยอะไร?”
“จะถามตรงๆนะ...เมื่อคืนเธอนอนกับใคร?”
“!!!!!!”
...เวร...เวรแล้วไง!!!!...แสดงว่าตอนนั้นพี่แคทไม่ได้ละเมออย่างที่ฝนบอกแต่เห็นเต็มตาเลยนี่หว่า!?...
“ผมนอนคนเดียว...พี่เอาอะไรมาพูด?”
“ยังไม่คายออกมาอีก”
“พี่คงเมาค้างก็เลยตาฝาด...ตอนนั้นผมจะลุกมาบอกแล้วแต่...”
“แต่?”
“...ขี้เกียจลุก”
“บอลยังไม่หลับ?”
“ยังครับ...แล้วอีกอย่างฝนก็นอนอยู่กับพี่...”
(ยะ...แย่แล้ว!!!)
“เกี่ยวอะไรกับฝน?...พี่ยังไม่ได้พูดถึงเด็กคนนั้นสักนิด...หรือว่า...”
“โอ๊ย!!...หยุดซักไซ้ไล่เรียงกันได้แล้ว”
...ทีแรกญาติสาวผู้พี่ยืนพิงราวบันไดทางขึ้นเขาก็เดินมาอยู่ข้างตัวผม...หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นเร็วสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด...
“มองหน้าพี่”
“...........................................”
“จะถามอีกครั้งหนึ่ง...เมื่อคืนเธอเอาใครมานอนด้วย?”
“...พี่พูดเหลวใหลน่า!!...ผมนอนคนเดียวแท้ๆจะมีใครอีกเล่า?”
“ผู้ร้ายปากแข็ง...คนอย่างเธอนี่ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ไม่มีทางยอมรับจริงๆ...กล้ากะล่อนกับพี่อย่างงั้นเหรอ?”
“หาเรื่องมาให้ผมแล้วมั้ย?”
“?”
“พี่จะยัดเยียดข้อหาให้ผมและก็ไปฟ้องคุณย่า”
“บ้า!!...พี่จะทำไปเพื่ออะไร?”
“ทำลายภาพพจน์ของผมให้ตกต่ำลงไปอีกไงครับ...วิธีถนัดของพี่เซคใช่ไหมล่ะ?”
“เพ้อเจ้อทั้งเพ!”
“ฮึ!!...พี่มั่นใจมากเลยเหรอทั้งๆที่ปากก็พูดออกมาเองว่าไม่ใช่ห้องน้ำ?”
“นั่นมัน...”
“ผมได้ยินชัดเลยว่าพี่พูดประโยคนี้ออกมาและถ้าแน่ใจมั่นใจจริงๆก็คงไม่เดินเข้าผิดห้องหรอกเนอะ?”
“............................................”
“เอ--...รึบางทีพี่แคทอาจตั้งใจจะเข้ามาหาผมก็ได้มั้ง?”
“ปากเสีย!!”
...ผมทำใจดีสู้(ยมทูต)เสือทั้งที่ก็กลัวความจะแตกแทบแย่แต่อย่างที่ญาติสาวผู้พี่บอกว่าถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็อย่าได้ยอมรับเด็ดขาดเพราะนี่ถือเป็นข้อห้ามอันดับต้นๆของชายหนุ่ม...
“หยุดเถอะน่า--...พี่จะมากล่าวหาผมลอยๆได้ยังไง?...พยานหลักฐานก็ไม่มี”
“คนอย่างเธอซ่อนหางไม่มิดหรอกไม่รู้วันนี้ก็ต้องรู้วันหน้า...หา--...จับคางพี่เพื่ออะไรหึ?”
“...ดูหน้าพี่ชัดๆ”
“............................................”
(ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยจะชินกับดวงตาของเจ้าหล่อนเลยให้ตายสิ)
“หึม~~...มีสาวสวยอยู่ใกล้ตัวแท้ๆแล้วจะปล่อยให้ไปเป็นของคนอื่นนี่...ผมชักทำใจยอมรับไม่ได้แฮะ”
“เกิดนึกเสียดายขึ้นมาหรือไง?”
“มากเลยครับ”
“ทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง...แต่เมื่อคืนเธอยังกอดผู้หญิงไม่หนำใจอีกเรอะ?”
“ปักใจซะจริ๊ง!!...ผมขี้เกียจจะเถียงละ”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะอยู่ในบ้านนี้ด้วย”
...โธ่~~...กัดไม่ยอมปล่อยเลยแม่หญิงผมยาวนี่แต่ในเมื่อยังไม่จนหนทางผมก็ไม่ยอมสารภาพผิดง่ายๆหรอกนะ!!!...
“กลับบ้านดีกว่าครับ”
“จะรีบไปไหนกัน?”
“อะไรอีกครับ?”
“...สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกชัดว่ากำลังปิดบังบางอย่างไว้...พี่สนใจจริงๆ”
“เชอะ!!...ลงว่าจะหาเรื่องกันมันก็อ้างได้หมดแหละ”
“เคยบอกไปแล้วว่าคนเจ้าชู้กับคนโกหก...ฉันเกลียดคนสองประเภทนี้ที่สุดและเธอ...ก็มีครบเลยนะ”
“ฮะๆๆๆ”
“ขำอะไร?”
““ก็ขำพี่นั่นแหละครับ...ผู้หญิงอะไรไม่รู้ปากพูดอย่างแต่กลับทำอีกอย่าง...เอ้ย!?”
“...อธิบายมาให้ชัดๆ”
“อย่าใช้กำลังกับผม!!!...ได้--...จะเอาใช่มั้ย?”
“!?”
...พี่แคทที่เกร็งมือบีบหัวไหล่ผมอยู่ก็ต้องชะงักเพราะโดนผมยื่นปากไปกระกบจูบเต็มๆ...อา~~...ช่างเป็นการเอาคืนที่สุดแสนจะสะใจสำหรับคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ชายเจ้าชู้” อย่างผมยิ่งนัก!!!...
(ขโมยจูบกันซึ่งๆหน้าแต่ก็ถูกตบในเวลาต่อมา...อูย~~...แก้มชาเลยตู)
“ฉันเป็นพี่เธอนะ!!”
“แล้วไงครับ...มากกว่านี้พี่ก็เคยทำ...จำได้ใช่มั้ยว่าพี่แคทเคยดูดควยผมแถมยังแก้ผ้าโชว์นมโชว์หีให้ดูในม่านรูดด้วย?”
“แต่นี่ไม่ใช่สถานที่ๆเธอจะมาทำรุ่มร่ามกับพี่อย่างนี้!!”
“หึ!...โบราณว่าผู้หญิงตบก็หมายความว่าผู้หญิงรัก”
“เพ้อเจ้อสิ้นดี...”
“ถ้าไม่ใช่...แล้วไหงพี่ถึงหน้าแดงเล่า?”
“ที่แดงเพราะฉันโกรธจนอยากจะต่อยเธอไง...กัดฟันให้แน่นๆ!!”
“อย่า...อย่านะครับ!!!...อื๋อ?...มือ...มือถือดังแน่ะ!!”
“ช่างมัน--”
“เกิดอานิภาโทรมาล่ะ?”
“............................................”
...อาศัยโอกาสนี้รีบหนีจะดีกว่าแต่มันช้าไปซะแล้ว--...พี่แคทคว้าไหล่ผมพลางเอามือกดให้ลงนั่งกับขั้นบันไดและยืนขวางหน้าไว้...แหม่~~...นี่ถ้าก้มหัวกับเงยหน้าขึ้นก็จะเห็น...อู๊ย!!!...โดนเขกหัวเต็มเปาเลยกู...
“มีอะไรหรือคะพี่ไหม?”
(คนสนิทของพี่ม่อน!?)
“ได้ค่ะฉันจะไปเดี๋ยวนี้...บอลก็ด้วย”
“พี่พูดอะไรน่ะ?”
“...อีกครึ่งชั่วโมง?...เข้าใจค่ะ”
“ใครบอกหรือยังว่าจะไป?...อุ๊บ!!”
“ลุก!...หยุดมองขาอ่อนพี่ตาเป็นมันซะที”
“พี่อยากไปโยนกบูรพาก็ไปคนเดียวเซ่--”
“ตามมาเถอะน่ะ...แลกกับการไม่เอาเรื่องที่ถือวิสาสะขโมยจูบพี่”
“...............................................”
“รึไม่งั้นจะรับกำปั้นหรือคะ?”
“โอๆ...ไม่ๆๆ...จะเอาไงก็เอา”
...พี่แคทถึงกับเป็นฝ่ายจูงมือพาผมขึ้นมาบนภูเขา...เธอต้องการอะไรกันแน่นะ?...
(อยากรู้เรื่องของฝนใช่ไหม?...แน่นอน!!...พี่แคทอยากรู้แน่และจะคาดคั้นเราให้บอกงั้นสิ?...ใจเย็นๆน่าเอกคเชนทร์!!!...ไม่รับซะอย่างญาติสาวผู้พี่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วอานิภากับฝนก็คงไม่มีทางบอกด้วย)
“...คงจะต้องออกแรงมากกว่านี้”
“หืม?”
“อย่ามัวลีลา...เดินเร็วๆ”
“..........................................”
“...ถึงแล้ว”
“นี่คือ...”
“ในกระท่อมนั่นพี่จะทำให้บอลยอมรับออกมาด้วยตัวเอง...เข้าไป”
“เฮ่ๆ...ไม่เอานะครับ!!”
“อย่าโยกโย้”
“ไม่รู้พี่จะติดใจอะไรนักหนา?”
“มานั่งตรงนี้”
“ข้างพี่เหรอ?”
“อือ”
(งานนี้จะมี “ลูบหลัง” แล้ว “ตบหัว” หรือเปล่า?)
“สบายๆ...ไม่เครียด”
“แต่แบบนี้แหละที่ผมจะเครียดหนัก”
“อะไรกัน?...พี่แค่ชวนมานั่งข้างๆเอง”
“แค่อะไร?...พี่แคทจะล่วงล้ำเรื่องส่วนตัวของผมล่ะสิไม่ว่า...ก็บอกว่าเมื่อคืนไม่มีใคร...”
“.............................................
“เอ่อ--...พี่...กระดุมเสื้อพี่หลุดแน่ะ”
“...รู้”
“จง...จงใจแกะมันรึ?”
“จะบอกได้หรือยัง?”
“เฮอ--...คิดเล่นไม้นี้มันจะง่ายไปมั้งครับ?”
“งั้น...แกะออกอีกเม็ดนะ”
“แผน...แผนนางแมวยั่วสวาทเนี่ย...ชะ...ใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอก”
(คำว่า “แคท” หรือ “Kat” มันไปพ้องเสียงกับ “Cat” ที่แปลว่าแมวก็เลยเอามาเรียก)
“ถ้าใช้ไม่ได้ผลแล้วเธอเอามือปิดเป้าทำไม?”
“อุ!!...ผมก็บอกไปแล้วไงครับว่าไม่มีใคร...”
“.............................................”
“ฟัง...กันบ้างสิ”
“...เม็ดที่สาม”
“ฮึ๊ย~~”
...ขณะที่มือแกะกระดุมเสื้อพี่แคทไม่ได้มองหน้าผมตรงๆแต่ใช้หางตาเหล่เอา...โอ่ยแม่คุณเอ๊ย!!!...กระดุมหลุดไปสามเม็ดก็หมายความว่าหน้าอกหน้าใจนั้นได้อวดโฉมออกมาเต็มเต้าแล้ว...ดอกบัวคู่ขาวผ่องที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยยกทรงสีดำสนิทนั่นให้นั่งจ้องทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีเบื่อ...
“ว่าไงเอ่ย?”
“โธ่!!...จะบีบบังคับอะไรผมนักหนา?”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“คราวนี้...จะ...จะถอดยกทรงเรอะ?”
“ไม่...ท่อนบนน่ะพอ”
“!?”
...โอ้สวรรค์ไม่ใช่บนงั้นก็ล่างน่ะเซ่!!!!...สาวเจ้าผมยาวเอนตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดขายาวแต่เท้าซ้ายของเธอยกมาวางพาดบนตักผมส่วนอีกข้างปล่อยห้อยลงพื้น...
“ปะ...ไป...ไปเรียนรู้...วิธีนี้มาจากไหนกัน?”
“จากไหนก็ช่างเถอะ”
“ฮึก!!...ทะ...เท้าพี่...อย่า...อย่าสะกิดตรงนั้นครับ!!!”
“...ถ้าเธอรังเกียจก็ยกมันออกซะ”
“ปละ...เปล่า...ผมไม่ได้...”
“อา--...จะว่าไปข้างในนี้ก็ร้อนๆเหมือนกันนะ?”
(ข้างในที่ว่าหมายถึงในกระท่อมหรือในร่างกายล่ะ?...เอ--...รึอาจจะทั้งสองอย่าง?)
“ฮืม~~...ร้อนจนชักอยากจะแก้ผ้าซะแล้วสิ”
“พี่แคท!!!”
“เสียงดังจังเลย...พี่ก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง”
“คน...คนที่อยู่ตรงหน้าพี่คือน้องชายนะครับ!!!”
“...แล้วไงเหรอ?”
“ละ...แล้วไงงั้นเรอะ?...เกิดผมหน้ามืดปล้ำพี่แคทก็จะมาโทษกันไม่ได้นะ!!!!”
“ฮิๆๆ...ไม่ต้องปล้ำให้เปลืองแรงจ้ะ”
“หา?”
“เพราะสู้เก็บแรงไว้เอากันดีกว่า”
“!!!!!!!!!!!”
...หญิงสาววัย 22 พูดไปก็ยิ้มสบตาหวานไปโดยที่มีอาการเหมือนกับเมื่อคืนเปี๊ยบเลย!!!...นี่อย่าบอกนะว่าอำนาจสะกด(?)ของพี่ม่อนยังไม่คลาย!?...
“พี่น่ะเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อไม่นานนี้เองว่าแทนที่จะไปโดนผู้ชายที่ไหนไม่รู้สู้ให้น้องชายอย่างบอลเย็ดดีกว่า...จริงไหมจ๊ะ?”
(หัวใจแทบวาย!!!!...นี่เรอะญาติสาวผู้พี่ที่สุภาพเรียบร้อยคนนั้น?)
“อีกอย่างพี่กุนก็อนุญาตแล้วด้วย...มาสิ...พูดความจริงออกมา...อย่าได้ปิดบังอีกต่อไปเลย”
“พี่ยังถูกพี่ม่อนสะกดจิตใช่มั้ย?”
“เปล่าสักหน่อย”
“นี่ไม่ใช่พี่แคทที่ผมรู้จักสักนิด...ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อคืน”
“...งั้นมาเริ่มกันต่อจากตอนนั้นเถอะ”
...พูดจบพี่แคทก็แยกขาออกแต่ไม่ใช่เท่านี้เมื่อเจ้าหล่อนเลิกกระโปรงให้เห็นกางเกงชั้นในสีดำเต็มตัว...ผมหันคอจนจะเคล็ดอยู่แล้ว...
“จะตัดสินใจให้เด็ดขาดได้หรือยัง”
“ผม...พูดความจริงไปหลายครั้งแล้ว”
“ปากแข็งจริงนะ...สงสัยคงจะแข็งพอๆกับควย”
“หวา~~”
“น่าจับมาเลียหีซะให้ลิ้นเปื่อย...ฮึ!!”
“พะ...พอแล้ว!!!...พี่...พี่...พี่อย่าพูดแบบนั้น...โธ่เอ้ย!!...เลือดกำเดาจะไหล”
“เดี๋ยวสิคะ...แผนนางแมวยั่วสวาทที่เธอว่ามันยังไม่จบแค่นี้”
“ว้าก!!!!”
...ปากพูดมือขยับ...สาวเจ้าผมยาวยกก้นลอยขึ้นนิดหนึ่งและเอานิ้วเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในก่อนจะรูดลงมาที่ปลายเท้า...เฮ้ยๆๆๆๆ...แบบนี้ท่อนล่างก็ไม่มีอะไรมาปกปิดแล้วน่ะสิ!?...
(อุ๊บ!!...ถอดกางเกงในแล้วโยนใส่หน้าเราด้วย)
“ลงทุนถึงขนาดนี้เชียว?”
“เพื่อให้ได้รู้เรื่องสำคัญ...แค่นี้เล็กน้อย”
“อู้หู~~”
“วันนั้นที่ม่านรูดเธอยังไม่เห็นชัดๆ...ไง...ของพี่สวยมั้ย?”
“สวย...สวยครับ”
“แล้วไม่อยากเย็ดเหรอ?”
“อือ--...อือ--...อูย~~...จะเป็นลม...พี่ไม่อายมั่งหรือไง?”
“อายรึ?...ก็มีบ้างถ้าไม่ใช่เธอน่ะนะ”
(ก็หมายความว่าเห็นเราเป็นแค่เครื่องเล่นงั้นสิ?...เออดี!!...บอกไม่อายใช่มั้ย?)
“งั้น...ขอ...ขอดูข้างในหน่อยครับ”
“ไม่ได้”
“เอ๋?”
“อยากเห็นมากกว่านี้สินะ?”
“...............................................”
“ไม่น่าถาม...เธออยากเห็นอยู่แล้วแต่ในนี้มันออกจะมืด...ถ้าจะดูชัดๆหรือต้องการทำอย่างอื่นบอลต้องพูด...เอาล่ะ...ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน?”
“ผะ...ผมก็บอกชัดเจนแล้วว่าไม่มีใคร...ไม่...งั้นผมไม่ดูของพี่ก็ได้”
“แน่ใจนะ?”
“..............................................”
“เฮ้อ~~...อุตส่าห์นึกว่าจะโดนล่อหีแล้วเชียว”
“ฮ้า!!!”
“แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่?...พี่ชักเบื่อจะช่วยตัวเองเต็มที”
“ยั่ว...ยั่วผมไม่สำเร็จหรอกน่า--”
“เปล่า...แค่พูดให้ฟัง”
“พี่...พี่วางแผนไปถึงไหนแล้ว?”
“ไม่มี”
“แผนนางแมวยั่วสวาทไง”
“พี่แค่ตามน้ำ...เธอพูดเอาเองทั้งหมดไม่ใช่หรือ?”
“..............................................”
“บอลจะปิดปากไปเพื่ออะไรกัน?...มิสู้บอกมาซะแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำ”
“จะเปิดโอกาสให้ผมสักแค่ไหนครับ?”
“พี่ให้บอลเลียหีก่อนโอเคไหม?”
“!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“เอ้า!!...นี่พี่เปลืองตัวมากไปแล้วนะยะ!!!...จะว่ายังไงก็รีบๆซะ”
(อะ...เอาไงดีวะเนี่ย?)
“ที่บอกว่าไม่มีเวลาเพราะพี่รู้สึกคันหียิบๆแล้วน่ะ”
“ฮึ่ม!!!...บอกว่าเปลืองตัวแต่ยังยั่วผมไม่หยุดหย่อน”
“ฮิ!...ข้างในสีแดงสวยน่าลงลิ้นด้วยน๊า~~...แค่พูดออกมาซะเธอก็จะได้ครอบครองมัน”
...โอ้ว!!!!...พี่แคทจัดการราดน้ำมันเชื้อเพลิงซ้ำลงไปในกองไฟด้วยการเอานิ้วแบะกลีบแคมให้เผยออ้าพลางเอียงคอกับหรี่ตาข้างหนึ่ง...ไปเรียนรู้วิธียั่วยวนผู้ชายมาจากไหนกันแน่?...ผมน่ะตัวร้อนผ่าวยังกะจะเป็นไข้แล้ว...
“อยาก...พี่แคทอยากโดนล่อหีนักเรอะไง?”
“ถามโง่ๆ...พี่ยังสาวแถมทุกส่วนก็อวบอัดเต่งตึงมีน้ำมีนวลนะจ๊ะฉะนั้นทำไมจะไม่อยากเล่า?”
“...จริงหรือ?”
“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจแต่ถ้าพี่ไม่มีอารมณ์ก็คงไม่มานั่งแหกหีให้บอลดูหรอกนะ”
“พี่...ไม่เสียใจทีหลังใช่มั้ย?”
“อืม”
“ง...งั้น”
“..............................................”
“พูด...ผมจะพูด”
“เชิญ”
“..............................................”
“เร็วๆซี่~~”
“เฮ่!!...บอลอยู่แถวนี้หรือเปล่า?”
“ห๊ะ!!!...เสียงนี้?”
“อ๋อมมาได้ยังไงกัน?”
...ปัทโธ่~~...กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มเลยอ๋อมดันโผล่มาเสียได้พับผ่าเหอะ!!!!...พี่แคทรีบติดกระดุมเสื้อกับดึงกระโปรงลงแต่ยังไม่ทันจะนุ่งกางเกงในเพราะผมเสือกคว้าติดมือมาด้วย...
(แล้วกูจะหยิบมาหาโรคระบาดอะไรวะเนี่ย?...วุ้ย!!...ซ่อนไว้ในกระเป๋าก่อนล่ะกัน)
“ผมจะออกไปรับหน้าก่อน...พี่อยู่ในนี้นะ”
“คืนกางเกงในพี่มาซี่~~”
“โอะโอ๊ย!!...ไม่ทันแล้ว--”
“นี่...จะบ้าหรือ?”
(พอออกไปก็เจอะอ๋อมหน้าประตู...โฮ่ยเส้นยาแดงผ่าแปด!!!...โชคดีที่ไม่ได้ส่งกกน.ให้พี่แคทเพราะยังไงก็ใส่ไม่ทัน)
“เข้าไปทำอะไรในนั้นน่ะ?”
“ทำ...ทำความสะอาด”
“มันใช่หน้าที่ของนายเรอะ?”
“ฉันก็อยู่ว่างๆน่า...เมื่อกี้ยังนั่งถอนหญ้าที่บ้านเลย”
“ให้เด็กรับใช้มันทำเซ่!!...จะมัวมานั่งหลังขดหลังแข็งทำเองได้ไง”
“เธอ...ไปกินรังแตนมาจากไหน?”
“ก็...หือ--...อยู่ด้วยรึยัยขี้เมา?”
“พี่อยู่ว่างๆเลยมาช่วยบอลปัดกวาดกระท่อม”
...พี่แคททำได้ดีมากหยิบฉวยไม้กวาดมากวาดพื้นทำให้อ๋อมไม่นึกสงสัยและเข้าใจไปอีกทาง...
“โฮ่~~...สำนึกได้เลยมาทำตัวให้เป็นประโยชน์ว่างั้นเหอะแต่ฉันว่ามันไม่เข้ากับลูกสาวผู้เลอโฉมของนายตำรวจมือปราบชื่อดังสักนิดเดียวว่ะ”
“...ก็แล้วแต่เธอจะคิด”
“ฮึๆ”
“น้องป้อมไม่มาด้วยกันเหรอ?”
“มา...ก็อยู่ที่บ้านนายนั่นแหละ”
“ทำอะไร?”
“คงจะไปหาคู่ปรับน่ะนะ”
“ฝน”
“จะมีใคร...แล้วพวกนายมีธุระที่ไหนอีกมั้ย?”
“เอ่อ--...พี่แคทจะไปโยนกบูรพาน่ะ”
“ฉันเพิ่งมาจากที่นั่นไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจนอกจากบรรยากาศที่สุดแสนจะน่าหดหู่เพราะหมอกลงทั้งปีทั้งชาติ...งั้นจะไปรอที่บ้านก่อนรีบๆมาล่ะ”
“.............................................”
“นี่”
“.............................................”
“นี่!!”
“ห๊ะ!?”
“จะคืนให้พี่ได้หรือยัง?”
“อะไรครับ?”
“...กางเกงใน”
“เอ้ย!!!...นะ...นี่...นี่ครับ”
“อ๋อมไม่รู้หรอกน่ะ...วางใจเถอะ”
“สะ...ใส่ตรงนี้เรอะ?”
“รึจะให้พี่ไปใส่ข้างนอกล่ะ?”
“...ไม่ใช่แบบนั้น”
(ญาติสาวผู้พี่ถลกกระโปรงสวมกางเกงในกันต่อหน้าต่อตาเลย...ถ้ารู้จักเขินอายซะบ้างก็จะดูดีกว่านี้)
“เสียดายที่อ๋อมมาขัดจังหวะ”
“พี่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่จะเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้เพราะเกือบจะถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว...ไปกับพี่”
“...ครับๆ”
“แต่ฉันไม่อยากรู้ว่าผู้หญิงเมื่อคืนเป็นใครอีกแล้ว”
“แบบนี้ก็ถือว่าเปลืองตัวให้ผมเห็นของดีฟรีๆน่ะสิครับ?”
“ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาของเธอล่ะกัน”
...หากอ๋อมไม่มามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นก็ไม่กล้าตัดสินแต่ค่ำคืนนี้ผมจะนอนหลับลงได้หรือเปล่าหนอ?...แม้ว่าในกระท่อมจะมืดไปสักนิดแต่ก็ได้เห็นอวัยวะเพศของพี่แคทล้ำลึกเข้าไปถึงเนื้อในเต็มสองตาแล้ว...อา--...มีหวังได้เก็บเอาไปฝันแน่ๆเลยและผมว่ามันทั้งใหญ่อูมแล้วก็โหนกนูนยิ่งกว่าของฝนเสียอีก...นั่นคือฐานทัพอันลี้ลับที่ผู้ชายมากมายใฝ่ฝันจะได้เผด็จศึกกับประกาศตัวเป็นเจ้าของ...
“เมื่อกี้กำลังได้ที่แท้ๆเชียว”
“ไม่ได้เห็นหีพี่สาวตัวเองนี่มันน่าเสียดายมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ของมันแน่อยู่แล้วครับเพราะนี่คือความเต็มใจอยากโชว์ของพี่เอง...แต่...”
“?”
“พี่ไม่อยากรู้จริงๆรึ?”
“ไม่”
“ทำไมครับ?”
“............................................”
“บอกไม่ได้หรือ?”
“ฉันคงไม่จำเป็นต้องบอกเธอแต่เมื่อได้ค่าเสียเวลาไปแล้วก็ควรจบซะที”
“โธ่~~...ผมยังเห็นไม่ชัดเลย”
“ก็สมเหตุสมผลดีนี่นาเพราะบอลก็ไม่ค่อยจะพูดอะไรให้ชัดเจนและเป็นความจริง”
“............................................”
“เอาเป็นว่าพี่จะไม่ติดใจเรื่องเมื่อคืนและไม่ขอตั้งคำถามอีก”
...ถึงอย่างนั้นก็เถอะแต่ผมว่ามันยังมีข้อชวนสงสัยเพราะคนอย่างพี่แคทไม่น่าจะยอมรามือไปดื้อๆแบบนี้ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะเค้นเอาความจริงให้ได้และผมก็จะเปิดปากพูดอยู่แล้ว!?...ไม่!!...ที่บอกว่าเป็นค่าเสียเวลาของผมน่ะไม่ใช่แน่หรือไม่เจ้าหล่อนก็อาจรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็น...เอ๊ะ?...ไม่ถูกนะ!!...ก็ถ้ารู้แล้วทำไมยังนิ่งอยู่ได้อีก?...
(“ระหว่างถูกต่อยให้กระดูกหักทั้งร่างช้ำในตายกับโดนดาบเฉือนเนื้อออกทีละชิ้นๆจนกว่าจะขาดใจตาย...แกจะเลือกอะไร?”)
“มันจะต้องเป็นอย่างนี้ต่างหาก!!!”
“?”
.............................................................................................................................................
“พี่”
“...............................................”
“พี่แคท”
“อะไร?”
“รู้สึกชาวบ้านจะมองพี่แปลกๆ”
“คงเพราะเหตุการณ์เมื่อคืน...ไม่ต้องไปสนใจ”
...บรรยากาศที่ดูห่างเหินนี่มันอะไรกัน?...ตั้งแต่ผมเดินตามพี่แคทมาก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนทั้งที่อยู่ในบ้านหรือสัญจรผ่านไปมาจะพูดจาทักทายเธอเลยซึ่งต่างกับฝนอย่างสิ้นเชิง...เอ๋!?...ข้างหน้ามีหมอกลงด้วย...
“ณ ตรงนั้นคือเขตหมู่บ้านโยนกบูรพาที่พี่เซคเป็นผู้ปกครอง”
“มองไม่ค่อยจะชัดเลย”
“ยิ่งลึกเข้าไปหมอกยิ่งลงจัดกว่านี้อีก”
“คุณไหมรออยู่นี่?”
“เธอไม่มาหรอก”
(แล้วมาพบใครกันหว่า?)
“...คุณยายตรงนั้น...ท่าทางจะลำบากนะ”
“..............................................”
“มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ?”
“ไม่มีหรอกจ้าแม่หนู...ยายมารอส่งผักให้หลานหาบไปขายที่ตลาดในตัวจังหวัด”
“...ผัก?”
“กว่าจะโตจนเก็บขายได้ก็ลำบากไม่ใช่น้อย...ที่สำคัญคือต้องคอยเฝ้าดูไม่ให้แมลงมันกัดแทะมากจนเกินไป...เจ้าแมลงนี่ร้ายนะกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอโดยเฉพาะผักสวยๆเนื้อกรอบๆล่ะชอบนัก...มันกินไม่เลือก”
“ใช่ค่ะ”
“อย่างเมื่อคืนยายก็เปิดโคมไฟที่แปลงผักริมรั้วแล้วนั่งเฝ้าดูแมลงมันว่าจะทำยังไงบ้าง”
...พูดแปลกๆ...เปิดไฟล่อแมลงก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่ทำไมต้องอยู่เฝ้าด้วย?...ผมไม่กล้าสอดปากถามได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...
“แล้วถ้า...เจอแมลงกำลังจะกินผัก...ยายทำยังไงคะ?”
“มันแทะกัดไม่มากก็ไม่เป็นไรหรอก...แต่...ถ้ากินจนอิ่มหนำแล้วยังเที่ยวลามไปผักต้นนั้นต้นนี้ไม่รู้จักหยุดสักทียายก็อาจจะทำอะไรสักอย่างไม่ให้เจ้าแมลงนี่มีปากไว้กินอะไรได้อีกต่อไป”
“ฆ่า?”
“ไม่ถึงขั้นนั้น...เอาแค่ตายทั้งเป็นพอ”
(อึ๋ย~~...พูดอะไรเนี่ยฟังแล้วน่ากลัวจัง?)
“เออ--...ยายว่าผักงามก็เหมือนสาวๆอย่างหนูนี่แหละ...ไปล่ะนะ”
“หนูเข้าใจทุกอย่างแล้วค่ะ”
...คุณยายค่อยๆลุกยืนยกหาบใส่ผักเดินหายเข้าไปในม่านหมอกของหมู่บ้านโยนกบูรพา...ไม่รอหลานมารับผักแล้วเหรอ?...
“...แปลกดีนะครับ”
“ใช่...ฮิๆ”
“พี่แคทหัวเราะทำไม?”
“ก็ไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ?...นั่นคือคุณยายที่อายุน้อยที่สุดในโลกนี้เชียวนะ”
“ฮ้า!?...อายุน้อยที่สุดในโลก...เท่าไหร่ครับ?”
“21 ปี”
“พูดเป็นเล่น!!!...อายุแค่นั้นจะเป็นยายคนได้ไง?”
“บอล”
“ครับ”
“ต่อให้เธอยังไม่เคยเจอแต่พี่พูดถึงขนาดนี้แล้วก็น่าจะเดาได้บ้าง...ยังไม่รู้อีกรึว่านั่นน่ะคือน้องม่อน?”
“อะ...เอาอีกแล้วเรอะ!!!!”
...เออ!!!...ดู...ดูคุณเธอทำเข้าสิท่านผู้มีอุปการะคุณทั้งหลาย...กลางคืนเป็นชายหนุ่มกลางวันเป็นหญิงแก่...ชะหนอยแน่~~...ช่างแสดงได้สมบทบาทสวมงอบก้มหลังค่อมเดินกระย่องกระย่องหาบผักซะด้วย...แวะเวียนเฉียดมาใกล้แค่คืบแต่จับตัวไม่ได้สักทีเนี่ยมันช่างน่าเจ็บใจจริงๆว้อย!!!!...
“สาธุ--...ขอให้แก่วันแก่คืนเร็วๆเถอะยัยพี่บ้า!!”
“นี่เธอ!?”
“เฮอะ!!...ที่แท้ก็เป็นแค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าออกมาเจอผู้อื่นเท่านั้นแหละ”
“ขืนยังพูดจาพล่อยๆอีกจะหาว่าพี่ไม่เตือนไม่ได้นะ”
“ผมจะพูดให้มากกว่านี้...โอ้ย!!!”
“!?”
“อะไรมาถูกหัวกูวะ?...นี่มัน...ชมพู่มะเหมี่ยว”
...ผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นเด็กนี่คือชมพู่มะเหมี่ยวซึ่งผมเองก็เคยกินอยู่ไม่กี่ครั้งแต่มันมาโดนที่หลังหัวแถวท้ายทอยได้อย่างไรในเมื่อแถวนี้ไม่มีต้นของมัน?...ครั้นสอดส่ายมองไปรอบๆก็ไม่มีใครอื่นนอกจากพี่แคท...
(ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหล่นจากต้นจึงหมายความว่ามีใครขว้างมา)
“ไม่ใช่นะ...พี่มือเปล่าก็เห็นอยู่”
“งั้นไอ้หน้าไหนกัน?”
“ก็เธอกำลังว่าใครล่ะ?”
“พี่ม่อนเรอะ?”
“ชมพู่ลูกนั้นรสชาติอร่อยกำลังน่าทานเทียว”
“ฮึ!!...เอามาปาใส่หัวแล้วจะให้กิน...นี่ไง!!!”
“...น่าเสียดาย...เจ้าช่างมิรู้จักคุณค่าของอาหารเสียบ้างเลย...ในโลกใบนี้ยังมีผู้คนที่อดอยากหิวโหยอีกมากมายนัก...แม้น้ำบริสุทธิ์เพียงเท่าอุ้งมือก็ถือเป็นสิ่งอันมีค่า”
“หยุดสักที!!...สูงส่งมาจากไหนถึงได้เที่ยวสั่งสอนคนอื่น...หือ?...แมลง...”
...ถึงตรงนี้ผมก็ฉุกคิดได้ว่าตอนที่พี่ม่อนในร่างของยายแก่คุยกับพี่แคท...โอ้โห!?...ที่แท้ก็หมายถึงผมเหรอเนี่ย?...
“ถูกต้อง...บุรุษนั้นไซร้คือแมลง”
“เปรียบผู้ชายเป็นเหมือนแมลงที่ชอบมาเกาะกินผักซึ่งหมายถึงผู้หญิง...ความคิดของพี่ม่อนนี่สุดจะดูถูกเหยียดหยามเกินบรรยายเลย...คราวหน้าถ้าจะด่าผมก็ด่าตรงๆดีกว่าไม่ต้องอุปมาเปรียบเทียบโน่นนี่ให้วุ่นวาย!!!”
“เรามิรับฟังคำพูดของเจ้า!!!...พูดไปแล้วมิใช่ดอกหรือว่าถ้ากินจนอิ่มหนำแล้วยังเที่ยวลามไปผักต้นนั้นต้นนี้อีก?”
“.............................................”
“เราจะมิให้แมลงหรือก็คือตัวเจ้ามีอะไรบางสิ่งไว้เพื่อเบียดเบียนเพศตรงข้ามได้อีกต่อไป”
...ยิ่งฟังยิ่งระคายหู...โอ๊ะ!?...ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมตรงหน้าผมเห็นเงารางๆของคนอยู่จึงเดินเข้าไปหาโดยไม่ฟังคำทัดทานของพี่แคทแล้วจากนั้นก็...
“เขาร่ำลือกันว่าพี่ม่อนน่ะสวยนัก...หันหน้ามาให้ผมดู...เฮ้ย!!!!”
“...เป็นอย่างไร?...เราสวยมากใช่หรือไม่?”
“บอล!?”
“.............................................”
“เป็นอะไร?”
“หึๆๆๆ”
“อึ๊!...อึ๊ก!!...ไม่...มะ...มะ...ไม่เคย...ไม่เคยเห็นอะไรที่...ที่น่าเกลียดน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน”
“น้องม่อน!?...บอลเห็นอะไรถึงได้พูดว่าน่าเกลียดน่ากลัวกับทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนอยากจะอาเจียนแบบนั้น?”
“...ใบหน้าของหญิงชราไงล่ะเจ้าคะ”
“ม่อนก็ยังสวมหน้ากากกับใส่ชุดนักศึกษาอยู่เนี่ยนะ?...แค่นึกท้องไส้พี่ก็ปั่นป่วนขึ้นมาเชียว...น่าสงสารบอลที่ไปเห็นเข้าเต็มๆเลย”
“เอาะ!!...อ้วก~~...อุ๊บ!!!”
“!?”
“จงจำใบหน้านั้นไว้ให้ดีอย่าได้ลืมเลือนเสียล่ะ...มิฉะนั้นเราคงจะรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก”
...เล่นซะอาเจียนเอามื้อเช้าออกมาจนหมด!!!...พอผมออกมาพ้นจากกลุ่มหมอกก็เห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งแต่งชุดนักศึกษายืนอยู่ด้านหลังพี่แคทโดยที่หันหลังให้ผมจึงไม่เห็นหน้าของเธอ...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือพี่ม่อนตัวแสบ...
(สยองเลยกู!!!!...หญิงแก่ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่ดันผ่าสวมชุดนักศึกษาสาว)
“เที่ยงตรงน้องจะออกจากโยนกจัตุรัส”
“...มีธุระด่วนหรือ?”
(พี่สาวทั้งสองของเรายืนคุยโดยที่ไม่ต้องหันหน้ามองกันและจากการคาดคะเนด้วยสายตา...พี่ม่อนน่าจะสูงพอๆกับอ๋อม)
“เจ้าค่ะ...แลเมื่อครู่น้องก็ได้พบท่านน้าอรศินีย์กับท่านพี่สุริยาวรรณ”
“กลับมากันแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“เอ่อ--...เอ้เขามีท่าทียังไงบ้าง?”
“เท่าที่น้องสังเกต...สีหน้าของท่านพี่สุริยาวรรณมิสู้จะผ่องใสสักเท่าไหร่เจ้าค่ะ...ภายนอกอาจจะปกติเยือกเย็นประดุจบึงน้ำนิ่งทว่าภายในนั้นย่อมคุกรุ่นร้อนแรงดังว่ามีกองเพลิงสุมอยู่เป็นแน่”
“...............................................”
............................................................................................................................................
“มาเล่นกันดีกว่าน่า--”
“ก็บอกว่าไม่~~...พี่ปวดหัว”
“อะไรคะ?...เมื่อคืนก็ยังเห็นพี่ฝนดีๆนิ”
“จะนอน--...ออกไปเล่นข้างนอกป่ะ!!”
“งั้นมีอะไรให้กินมั่ง?”
“...ข้าวต้มเครื่องยังอยู่”
“เมื่อกี้หนูกะพี่อ๋อมช่วยกันฟาดหมดแล้ว”
“ไม่ได้กินมาจากโยนกบูรพาเหรอไง?”
“ก็รู้อยู่ว่าพี่อ๋อมไม่ชอบทุกๆอย่างของที่นั่น...เมื่อเช้าพอตื่นมาก็ร้องโวยวายใหญ่เลยว่าพามานอนที่นี่ได้ยังไง”
“อือๆๆ...ไม่อยากคุย...ไปเล่นที่อื่นโน่น!”
“ฮี่!!”
“เฮ้ยยัยตัวเล็ก!!!”
“มัวนอนคุดคู้อยู่ได้...ดูสิๆ...อากาศแจ่มใสออกจะตาย”
“เอาผ้าห่มคืนมา...อุ!!...อูย~~”
“เป็นอะไรน่ะ?...ให้หนูดูหน่อยซิ”
“ไม่ต้องยุ่ง!!!”
“เธ่อ!!...คนเขาอุตส่าห์มาชวนเล่นด้วย...งั้นหนูไปหาพี่ชายดีกว่า”
“...บอลอยู่ข้างล่างใช่มั้ย?”
“ไม่เห็นนี่คะ...หนูกะว่าวันนี้จะมาชวนพี่ชายไปเที่ยวและก็ค้างที่โยนกทักษิณนะเนี่ย”
“ค้างที่โยนกทักษิณอะไรกัน?...ไม่ได้!!!!”
“ทำไมจะไม่ได้คะ?”
“ไม่ก็คือไม่!!!”
“พี่ฝนจะตัดสินใจแทนพี่ชายได้ไง?...พี่ชายมีสิทธิ์ไปที่ไหนก็ได้ในโยนกจัตุรัสนะจะบอกให้”
“แต่บ้านหลังนี้คือที่ๆบอลต้องอยู่”
“ฮึ!!...เราคุยกันไม่รู้เรื่องละ...หนูจะไปถามพี่ชายเอง”
“ยัยตัวเล็กนั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง!!”
“ใจแคบว่ะ...ใจแคบเกินไปแล้วเว้ย!!!”
“พี่อ๋อม”
“หยาดฝน...ฉันอุตส่าห์ยอมรับเธอเป็นคู่แข่งแต่ก็อยากจะตัดสินกันอย่างยุติธรรมด้วย...มันจะเอาเปรียบกันมากไปหน่อยมั้ง?”
“...หนูไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากว่าบอลจะต้องอยู่ที่นี่...พี่อ๋อมได้ถามหรือยังว่าบอลสมัครใจจะไปมั้ย?”
“แล้วเธอล่ะ?”
“ใช่...พี่ชายเคยบอกบ้างหรือยังว่าอยากจะอยู่ที่โยนกอุดรจนถึงหลังปีใหม่น่ะ?”
“ไม่รู้!!...พี่ไม่ฟัง!!!”
“...ไม่นึกว่าเธอจะเป็นคนไร้เหตุผลอย่างนี้”
“นี่ไม่ใช่พี่ฝนที่หนูรู้จักเลยนะคะ”
“ยังไงบอลก็ต้องอยู่ที่โยนกอุดรเพราะที่นี่คือบ้านของเขา...หากพี่อ๋อมดึงดันจะพาไปให้ได้งั้นมาเจอกันสักตั้ง!!”
“กลางคืนฉันสู้กับยมทูตขี้เมาหนีนรกแต่นี่พอกลางวันก็จะต้องมาต่อกรกับนางฟ้าตกสวรรค์หมาหวงก้างอีกรึ?”
“คราวนี้ฝนเอาจริงแน่...จะขอทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชนะนางพญาเสือจอมโอ้อวดหยิ่งผยองให้ได้อย่างเด็ดขาด!!!!”
“เฮอ--...ท่าทางพวกเราจะมีแต่วิธีนี้ล่ะนะที่สามารถตัดสินกันได้”
“แต่พี่ฝนรู้สึกจะไม่สบายนี่นา?...อย่างนี้พี่อ๋อมก็ชนะใสดิ”
“ใครว่าเล่า?...เดิมพันครั้งนี้สูงนักดังนั้นพี่จะแพ้ไม่ได้และขอให้พี่อ๋อมเอาจริงด้วย”
“ดี--...ช่างคู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของฉันจริงๆ”
“ออกไปตัดสินกันข้างนอก!!!”
“เฮ่ๆๆ...กระโดดลงไปได้ไงทั้งสองคน?...นี่ชั้นสองนะ!!!!”
“โอ๊วววววววววววววว”
“ย้ากกกกกกกกกกกกก”
“ว้าวสุด...สุดยอด!!!!...พอเท้าแตะพื้นทั้งคู่ก็ตรงเข้าแลกเพลงเตะกันทันที...อุ!!...สูงชะมัดเราไม่กล้าโดด”
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะคุณหนูแปด?”
“เห็นก็น่าจะรู้ไม่ใช่เรอะ?...ระเบิดศึกเทพธิดานางพญาเสือ...ว่าแต่ฉันเคยสั่งแล้วว่าอย่าเรียกคุณหนูแปดประเดี๋ยวก็เอาเข็มเย็บปากซะเลย!!!”
“ขะ...ขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
“พี่เอ...บีว่ารีบแจ้งให้คุณสุรีย์พรรณรู้ดีไหมจ๊ะ?”
“ไม่ดีๆๆ...ฮ่าๆ...พี่อยากรู้มานานแล้วว่าระหว่างคุณหยาดฝนกับคุณศรบุษราคัมใครจะเท้าไวและหนักกว่ากัน...พวกเธอสามคนน่ะดูอยู่เฉยๆเถอะ”
............................................................................................................................
...ตัวอย่างในตอนหน้า...
“ก็บอกไปแล้วว่าฉันจะเอาจริง...ลองเปิดช่องว่างให้แม้เพียงเสี้ยววินาทีสิ...ฮึ!!!...ท่าไม้ตายล่ะนะ”
“พี่อ๋อม!!...บาทามรณะของพี่ฝนจะโจมตีได้ถึงแปดครั้งในช่วงเวลาแค่สองวินาที...อย่าเข้าไปรับตรงๆนะคะ!!!”
“...นึกไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะหึงหวงบอลมากขนาดนี้แต่ฉันก็ไม่มีทางถอยกลับไปมือเปล่าแน่!!!!”
............................................
“แม้หนูจะมิต้องพูดประโยคที่นายหญิงอรศินีย์ฝากมาแต่พวกคุณทั้งสองก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าใครเป็นฝ่ายชนะ”
“แต่มันยังไม่ถึงที่สุด...ยังไงก็มีความผิดที่ใช้ท่าไม้ตายมาสู้กันเองงั้นก็มาตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย!!!”
“คุณหยาดฝน...การฝ่าฝืนข้อห้ามของนายหญิงอรศินีย์มีโทษกำหนดไว้อยู่แล้ว...มิสมควรถลำลึกอีกเจ้าค่ะ”
............................................
“บาทามรณะที่พี่เคยเห็นน่ะเฉียบขาดและก็รวดเร็วกว่านี้...จังหวะนั้นอ๋อมจะไม่มีทางหลบทันแน่นอน...แต่...”
“พี่จะพูดให้ได้อะไรขึ้นมาอีก?...หนูก็บอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าเพราะเป็นไข้ไม่สบายร่างกายมันเลยไม่ปกติ”
“...ใช่...เป็นไข้...ไม่สบาย...ร่างกายเลยไม่ปกติ...โดยเฉพาะช่วงล่างของน้องที่เคลื่อนไหวติดๆขัดๆ”
...................................................................................................................................................
...ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าลมเพชรหึงของผู้หญิงอีกแล้ว!?...

รักยม ตอนที่ 77 – คำสาป

ย้อนความเดิมเพื่อทวนความจำ (อู้นานเกินไปหน่อย)
เอกเข้ารับพิธีกรรมจากรักยมและนางตะเคียนเพื่อเข้าไปฝึกฝนในมิติพิเศษ
เขากลับออกมาจากการฝึกฝนได้สำเร็จ หากทว่าการฝึกฝนที่ขาดธาตุดินหนุนเสริม
ทำให้พลังธาตุไม่สมดุลย์ จนร่างกายหดสั้นกลายเป็นเด็ก
เอกตั้งชื่อให้ตัวเองว่าหนึ่ง และเขากำลังจะไปหาหญิงสาวธาตุดินมาสร้างสมดุลย์
เขามีอะไรกับน้องหญิง และเกือบเผลอจะมีอะไรกับน้องเมย์
แต่ยังยั้งใจได้และได้ธาตุดินส่วนหนึ่งจากเนย
เขากำลังจะเดินทางไปพัทยา แต่ความคิดนั้นกำลังดำดิ่งนึกไปถึงเรื่องราวตอนที่ฝึกฝนในมิติเวลา
เนื้อเรื่องในภาคสองจะแบ่งเป็นสองส่วนสลับกันไปมา
ส่วนแรกคือช่วงเวลาปัจจุบัน เอกในร่างเด็กตามหาธาตุดิน
ส่วนที่สองคือย้อนอดีตกลับไปในช่วงของการฝึกฝนในมิติเวลาพิเศษ
หากอ่านแล้วงงอย่างไรก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย  ;D ;D


      
        ภายหลังจากการร่วงหล่นผ่านความเวิ้งว้าง ความรู้สึกแรกของเอกก็คือความเจ็บปวดจากแรงกระแทกกับผืนดิน ความเจ็บปวดรุนแรงนี้ทำให้ร่างกายทุกส่วนกลายเป็นด้านชา หัวสมองของเขามึนงงอื้ออึง จากนั้นร่างกายก็เต็มไปด้วยความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
    เขารู้สึกหายใจหายคอไม่ออกเหมือนอวัยวะภายในไม่ทำงาน จากนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าสว่างวาบก็ทำให้เขาต้องรีบหลับตาลงด้วยไม่อาจทานทนไหว และหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเสียงดังก้องคล้ายกับระเบิดก็ดังกระหน่ำพร้อมกับคลื่นอากาศที่สั่นสะเทือนเลือนลั่น
        เอกพยายามอ้าปากเพื่อหอบหายใจ ร่างกายของเขาบิดเกร็งทรมานดิ้นพล่านไปมาบนผืนดินด้วยอาการของคนที่ขาดอากาศ และความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วจากไม่มีสัมผัสทั้งห้ามาเป็นเจ็บปวดทรมานโดยฉับพลันเช่นนี้ก็ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ไหว
        หลังจากอาการบิดเกร็งทรมาน ปากของชายหนุ่มจึงค่อยสามารถอ้าสูดเอาอากาศเข้าปอดได้สำเร็จ เขาอ้าปากสูดอากาศเข้าไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มี ปอดที่เหมือนโดนแช่แข็งไปชั่วคราวเริ่มทำงานตามหน้าที่ของมันอีกครั้ง อากาศที่โดนสูดเข้าไปถูกส่งผ่านกระบวนการสันดาบในร่างกาย แล้วส่งคืนกลับออกมาภายนอกเป็นลมหายใจร้อนผ่าวราวกับเพลิงไฟ ก่อนจะเริ่มสูดอากาศระลอกใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายครั้ง
        ชายหนุ่มนอนคว่ำหน้าหลับตาหอบหายใจหนักหน่วงอยู่อีกเนิ่นนาน สมองของเขาในเวลานี้ยังไม่มีเวลาครุ่นคิดสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะร่างกายของเขากำลังกระทำสิ่งที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ซึ่งก็คือการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากสภาวะเช่นนี้ให้ได้เสียก่อน
        ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ลมหายใจของเขาจึงค่อยสงบลงไปส่วนหนึ่ง สติของเขาเริ่มแจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวที่เข้าไปในปอดพร้อมกับอากาศที่สูดเข้าไป กระนั้นถึงแม้ว่ากลิ่นนั้นจะไม่น่าพิสมัย แต่ในเวลาเช่นนี้เขาก็ได้แต่จำยอมสูดกลิ่นเหม็นสุดจะทานทนนั้นต่อไปโดยไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากไม่หายใจเข้าไปเขาคงจะต้องตายเพราะขาดอากาศเสียก่อน
        ดวงตาของเขาพยายามปรือขึ้นมามองดูความมืดสลัว แต่แล้วก็ต้องรีบปิดลงไปอีกครั้งเมื่อแสงสีขาวสว่างวาบจนรอบด้านมีแต่สีขาวโพลน จากนั้นก็เป็นเช่นก่อนหน้า หลังจากแสงสีขาว ก็ปรากฏเสียงคล้ายเสียงระเบิดที่สะเทือนเลือนลั่น ตามด้วยแรงสั่นสะเทือนของอากาศ และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงค่อยได้ทราบว่าแสงและเสียงที่น่ากลัวเหล่านี้น่าจะมาจากเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
        เอกพยายามกระพริบตาเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพที่สลับไปมาระหว่างความมืดและสว่างเจิดจ้า ลมหายใจของเขาเริ่มสงบลงทีละน้อย เขาเริ่มคุ้นชินไปกับเสียงที่ดังก้องราวกับโลกกำลังจะแตกระเบิด หากทว่าความปวดแสบปวดร้อนที่กระจายอยู่ทั่วร่างยังคงไม่ได้หายไปไหน และร่างกายของเขาก็อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงนอนคว่ำหน้าบนผืนดินแข็งกระด้างเย็นเยียบอยู่เช่นนั้นต่อไป
        ความรู้สึกด้านชาเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย จนกระทั่งเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงเม็ดฝนเยียบเย็นที่ร่วงหล่นลงมากระทบร่าง สายฝนนี้ไม่ได้หนาหนักนัก หากทว่ามันกลับเย็นจัดราวกับโดนเข็มแหลมคมทิ่มแทง และความหนาวเย็นนี้กำลังทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่ยังดีที่ความเย็นนี้ช่วยปลุกทำให้ร่างกายของเขาเริ่มขยับเขยื้อนได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับอาการสั่นสะท้านก็ตามที
        “… ที่ไหน …”
        เอกส่งเสียงแหบแห้งออกมาพร้อมกับพยายามยันร่างลุกขึ้น น้ำเสียงอันเบาหวิวนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบไม่ได้ยิน เพราะนอกจากเสียงของสายฝนแล้วยังมีเสียงระเบิดก้องจากฟ้าร้องฟ้าผ่ากระหน่ำแทรกเข้ามาเกือบตลอดเวลา แต่ยังดีที่สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถยันร่างขยับลุกขึ้นมานั่งหอบอยู่กลางสายฝนที่เย็นไปถึงกระดูกได้สำเร็จ
        สายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับสภาพสลับไปมาระหว่างความมืดและความสว่างได้บ้างแล้ว หากทว่าภาพที่เห็นยังพล่าเลือนเกินไปจนแยกแยะอะไรไม่ออก เวลานี้เขามองเห็นเพียงแค่สีดำและสีขาวเจิดจ้าสลับไปมา ในขณะที่ใบหูของเขานั้นยังคงอื้ออึ้งไปด้วยเสียงทุ้มหนักอันดังก้อง
        เอกหลับตาลงอีกครั้ง เขาตัดสินยังไม่เร่งรีบสำรวจรอบด้าน แต่เลือกที่จะพยายามนั่งพักเพื่อปรับลมหายใจและสภาพร่างกายให้คงที่ขึ้นเสียก่อน และดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยร่างกายของเขาก็เริ่มมีเรี่ยงแรงคืนกลับมามากขึ้นทีละน้อย ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกจะเย็นเฉียบและร่างกายสั่นสะท้านไร้เรี่ยวแรง แต่เขากลับพบว่ามือขวาของกลับจับยึดวัตถุแข็งกระด้างอะไรบางอย่างโดยไม่ยอมปล่อยออก เวลานี้เขายังไม่ทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ถ่ายทอดเข้ามาในร่างกายผ่านทางวัตถุชิ้นนั้น และกระแสความอบอุ่นที่ว่าก็กำลังช่วยฟื้นฟูเรี่ยวแรงให้เขาอย่างต่อเนื่อง
        ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพยายามขยับมือขวามาวางบนตักในท่านั่งขัดสมาธิ ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะมองสำรวจรอบข้าง หากทว่าพยายามเพ่งสายตามองสำรวจวัตถุในมือของเขา และเมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงส่องแสงสีขาวเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้พบว่าวัตถุสีเงินที่สะท้อนแสงวาววับราวกับมีชีวิตอยู่ในกำมือของเขานั้นคือดาบเล่มหนึ่ง
        เขากระพริบตาเหม่อมองดูดาบเล่มนั้นราวกับโดนสะกด เขาไม่เคยใช้ดาบมาก่อนเลยสักครั้ง และเขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นหรือพบเจอกับดาบเล่มนี้มาก่อน หากทว่าสัมผัสที่อยู่ในกำมือรวมไปถึงรูปลักษณ์ของมันกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับได้พบเจอกับคนรักเก่าที่พลัดพรากจากกันไปนานแสนนาน และความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็ทำให้เขาเผลอหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว
        ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตานั้นเหม่อมองดูแน่วนิ่งในความมืดเนื่องจากแสงสีขาวได้เลือนหายไปแล้ว แต่อีกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแสงสีขาวเจิดจ้าที่สว่างวาบไปทั่วท้องฟ้าก็ทำให้เขามองเห็นรูปร่างลักษณะของตัวดาบนั้นได้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หากทว่ารูปลักษณ์นั้นกลับประทับตราตรึงทุกรายละเอียดเอาไว้ในใจของเขา ราวกับว่าเขาเคยรู้จักมันมาก่อน หากทว่าได้เผลอลืมเลือนไปแล้วตามกาลเวลา
        ดาบสีเงินเปื้อนเลือดเล่มนั้นมีลักษณะเหมือนดาบไทยในสมัยโบราณ ตัวดาบที่โค้งเล็กน้อยนั้นมีส่วนคมด้านหนึ่งในขณะที่อีกด้านนั้นเป็นสันหนา ใบดาบสีเงินยาวประมาณหกสิบเซนติเมตร ส่วนด้ามจับสีดำนั้นมีขนาดเหมาะมือยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร ใบใบดาบมีลวดลายอักขระแปลกตาให้ความรู้สึกเก่าแก่ทรงพลัง บนส่วนด้ามจับนั้นเรียบไร้ซึ่งอักขระ แต่มีผลึกอัญมณีสีขาวหม่นคล้ายเพชรขนาดเท่านิ้วโป้งฝังเอาไว้หนึ่งเม็ด
        “… ดาบ … อีกเล่มล่ะ”
        เอกส่งเสียงแหบแห้งพร้อมกับยกชูดาบในมือขวาขึ้นมา เขาละสายตาจากดาบในมือขวาหันไปมองดูมือซ้ายอันว่างเปล่าด้วยความรู้สึกเหมือนสิ่งใดขาดหายไป มือซ้ายของเขาบีบกำแล้วคลายออก เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยเห็นดาบเล่มนี้มาก่อน หากทว่าเขากลับรู้สึกว่าควรจะมีดาบอีกเล่มหนึ่งอยู่ในมือซ้าย
        กระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากด้ามสีเงินทำให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูดีขึ้น สายตาเริ่มจะสามารถปรับตัวจนมองเห็นได้ดีขึ้น เวลานี้เขาพบว่าร่างกายของเขานั้นเต็มด้วยบาดแผลเลอะเลือนด้วยเลือดสีแดงฉาน ร่างกายของเขานั้นมีสิ่งที่คล้ายชุดเกราะสวมทับเอาไว้ หากทว่าเขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นชุดเกราะ เนื่องจากมันมีร่องรอยแตกหักเสียหายยับเยิน บางส่วนมีร่องรอยเหมือนโดนของมีคมฟันจนขาด บางส่วนนั้นแตกหักเหมือนโดนทุบตี แต่ยังดีที่บนร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลสาหัสถึงตาย
        เอกไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตนเอง เพราะสิ่งที่เขาจดจำได้ล่าสุดนั้นก็คือเขาเพิ่งหลุดออกมาจากวิถีของการเวียนว่ายตายเกิด จากนั้นเขาก็รู้สึกตัวอีกครั้งในสภาวะบาดเจ็บเช่นนี้ กระนั้นในความรู้สึกสับสบนั้น สิ่งแรกที่หัวสมองของเขาคิดกลับเป็นความพยายามสอดส่ายตามองหาดาบอีกเล่มที่สมควรจะอยู่ในมือซ้าย มันคล้ายกับสัญชาตญาณที่ถูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกจนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
        เขาหันใบหน้ามองไปมาขณะนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ สายตาที่เริ่มปรับตัวได้นั้นทำให้เขาเริ่มเห็นสภาพรอบข้างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เวลานี้เขากำลังนั่งอยู่กลางสายฝน พื้นที่นั่งอยู่นั้นนั้นมีสีแดงฉานคละเคล้าไปด้วยเลือดปริมาณมหาศาล และกลิ่นคาวที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นย่อมมาจากเลือดเหล่านี้
    พื้นรอบข้างเป็นพื้นหินที่มีความแข็งกระด้าง หากทว่าทั่วทั้งบริเวณกลับเต็มไปด้วยรอยแตกและรูขนาดใหญ่คล้ายกับโดนทิ้งระเบิดกระหน่ำใส่แบบไม่ยั้ง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีดำนั้นมีแต่ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าวิ่งพาดผ่านไปมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน หากทว่าที่สะกดสายตาของเขาจนต้องเบิกตากว้างกลับเป็นดวงจันทร์สีขาวที่เริ่มผุดแทรกผ่านเมฆทึบหนาออกมาส่องแสงสีขาวนวล
        ดวงจันทร์นั้นคล้ายแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นมาขับไล่ความมืดมิด เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เมฆดำทะมึนที่ครอบคลุมทั่วฟากฟ้าก็เริ่มเลือนหายไปจนมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีขาวสว่างจ้านับล้านดวงราวกับล่องลอยอยู่บนทางช้างเผือก และภาพสวยงามนี้เองที่กำลังสะกดจนชายหนุ่มแทบลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง เขาลืมเลือนความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนร่างกาย พริบตานั้นเขาถึงกับเผลอลืมเลือนทุกสิ่งอย่างโดยสิ้นเชิง
        ดวงจันทร์สีขาวนวลนั้นเหมือนดวงจันทร์ปกติที่เขารู้จักแทบทุกอย่าง หากทว่าขนาดของมันนั้นกลับใหญ่กว่าดวงจันทร์ปกติราวห้าหรือหกเท่า แสงสีขาวนวลที่สาดส่องออกมาจึงสว่างยิ่งกว่า แม้แต่ดวงดาวบนฟ้าก็พากันส่องสว่างกว่าที่เคยเห็น เขารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าและดวงดาวขยับเข้ามาอยู่ใกล้กว่าเดิมอีกหลายเท่า
        ความงดงามของดวงดาวและดวงเดือนทำให้เขาสงบนิ่งไปครู่ใหญ่ กระทั่งเมื่อได้สติคืนมาเขาจึงเริ่มสอดส่ายสายตามองหาดาบที่ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือไม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้นเนื่องจากแสงของดวงจันทร์นั้นสว่างเพียงพอให้มองเห็นได้ดีกว่าเดิม
        สายตาของเขาหยุดลงที่บนด้ามดาบสีเงินที่สะท้อนกับแสงจันทร์ มันคือดาบที่มีลักษณะคล้ายกันกับดาบในมือขวาของเขาแทบทุกอย่าง เพียงแต่เวลานี้มันกำลังปักอยู่บนวัตถุทรงกลมขนาดสูงเท่าตัวคนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบก้าว
        เอกพยายามขยับตัวลุกขึ้นทันทีโดยไม่ต้องสั่งการ เรี่ยวแรงที่เริ่มทยอยกลับมาทำให้เขาสามารถลุกขึ้นเดินไปได้ ถึงแม้จะเชื่องช้าหากทว่าในหัวสมองของเขาเวลานี้มีแต่ความคิดที่จะนำดาบเล่มนั้นกลับมาอยู่ในมือซ้ายของเขาให้ได้เสียก่อน
        ชายหนุ่มใช้พยายามมากพอดูในการนำพาร่างกายเข้าไปยังจุดนั้น เขาพยายามกลั้นหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งได้กลิ่นเหม็นคาวหนักหน่วงขึ้นจนแทบอยากอาเจียน กระนั้นเขาก็ยังคงเดินเข้าไปใช้มือซ้ายคว้าจับลงไปที่ด้ามดาบเล่มนั้น แล้วออกแรงดึงออกมา
        ดาบสองเล่มที่อยู่ในมือซ้ายและขวาทำให้เขารู้สึกเหมือนแข็งแรงขึ้น เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หากทว่าเสี้ยววินาทีที่เขาดึงดาบออกมานั้น เสียงครวญครางทุ้มต่ำราวกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ใกล้ตายก็ดังก้องไปทั่วบริเวณจนเขาตื่นตกใจถอยห่างออกมา เขารู้สึกว่าต้นเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอ่อนแรงนั้นดังมาจากวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ที่ดาบเคยปักเอาไว้
        ชายหนุ่มเดินถอยหลังห่างออกมาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว แม้จะจดจำไม่ได้ว่าตนเองเคยใช้ดาบมาก่อน แต่ว่าสองมือของเขากลับจับยึดด้ามดาบทั้งสองเล่มเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่ท่วงท่าถือดาบและท่าถอยไปด้านหลังนั้นก็แลดูคล้ายกับนักรบที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนผู้หนึ่ง
        เสียงครางทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นดังก้องอย่างต่อเนื่อง หากแต่ไม่มีท่าทีว่าจะมีภยันตรายอันใดเกิดขึ้น เอกจึงเริ่มผ่อนคลายและพยายามมองสำรวจวัตถุทรงกลมเรียบลื่นนั้นด้วยความงุนงงสงสัย เขาไม่รู้สึกว่ามันคือก้อนหิน กระนั้นหากจะบอกว่ามันคือสิ่งมีชีวิตก็ไม่แน่ใจนักว่าจะใช่ แต่แล้วความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาสมควรที่จะไม่ทราบว่าวัตถุนี้คืออะไร หากทว่าเขากลับคล้ายรู้สึกว่ามันคืออะไร
        หัวใจที่เต้นแรงขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหอบหายใจแรงขึ้น เขาพยายามสลัดความคิดพิลึกพิลั่นออกจากหัว หากทว่าทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ และเมื่อเขากวาดสายตามองไปอีกทางหนึ่ง ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อกลายเป็นเย็นเยียบราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ห่างออกไปจากวัตถุทรงกลมน่าสงสัยไม่ถึงหนึ่งร้อยก้าวนั้นมีร่างสูงตระหง่านราวกับขุนเขาของอะไรบางอย่างยืนอยู่อย่างเงียบงัน
        ร่างกายที่มีแขนขาเหมือนมนุษย์นั้นยืนตระหง่านอยู่ใต้แสงจันทร์ ร่างกายสีทองแดงนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง บนร่างกายนั้นมีเกราะเหล็กที่แตกหักคล้ายกับที่เขาสวมใส่อยู่ หากทว่าบนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเขาหลายเท่า ส่วนสิ่งที่ทำให้เอกตื่นตกใจจนตัวแข็งทื่อก็คือ ร่างที่คล้ายมนุษย์นั้นมีขนาดสูงใหญ่มากกว่ายี่สิบเมตร มันมีสองขาเหมือนมนุษย์ หากทว่ามีแขนมากถึงแปดข้าง และที่สำคัญก็คือร่างนั้นมีอวัยวะอยู่ครบทุกส่วนยกเว้นก็แต่เพียงส่วนศีรษะ
        เอกรู้สึกใจหายวูบ ยิ่งเวลาผ่านเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแน่ใจว่าเจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกเรียกขานว่ายักษ์ อย่างน้อยขนาดที่ใหญ่โตของมันก็สมควรจะถูกเรียกว่ายักษ์ และเมื่อนึกถึงส่วนศีรษะที่หายไปนั้น สายตาของเขาก็กวาดต่ำมองไปที่วัตถุทรงกลมซึ่งดาบในมือซ้ายของเขาเคยปักอยู่บนนั้น
        มองจากมุมนี้แล้ววัตถุกลมเกลี้ยงนั้นแทบจะไม่แตกต่างอะไรไปจากก้อนหินก้อนหนึ่ง หากจะมีอะไรแปลกออกไปก็คงจะเป็นแค่กลิ่นเหม็นคาวยากจะทานทน แต่อะไรบางอย่างทำให้เอกรู้สึกแน่ใจว่าเจ้าวัตถุกลมเกลี้ยงนี้จะต้องเป็นสิ่งที่เขากำลังสงสัย
        ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับเดินอ้อมไปทางด้านข้างของวัตถุกลมเกลี้ยงสูงสองเมตรนั้นอย่างเชื่องช้า ลักษณะรูปร่างที่แตกต่างไปจากมุมเดิมทำให้ชายหนุ่มเบิกตากว้างและสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บอีกครั้ง ยิ่งก้าวเดินเขาก็ยิ่งมองเห็นอะไรหลายอย่างอยู่บนวัตถุกลมเกลี้ยงนั้น
        เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับใบหู เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับปากรวมไปถึงเขี้ยวยาวโค้งสีขาวหม่น เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับจมูก และเขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับดวงตา ถึงแม้ว่าดวงตาสีแดงก่ำที่เปิดกว้างนั้นจะมีอยู่ด้วยกันถึงสามดวง แต่เมื่อนำทุกสิ่งที่เห็นมาประกอบเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็แน่ใจได้ทันทีว่าเจ้าสิ่งนี้คือศีรษะของมนุษย์ยักษ์ไร้หัวตนนั้นอย่างแน่นอน
        เอกมองดูศีรษะขนาดใหญ่สูงสองเมตรสลับกับร่างไร้ศีรษะสูงกว่ายี่สิบเมตร เขาแน่ใจว่ายักษ์ตนนี้จะต้องทรงพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างยิ่ง แต่เรื่องน่าแปลกก็คือเขากลับขยับสายตามองลงมาที่ดาบในมือขวา เขารู้สึกว่าดาบเล่มนี้เองที่ทำให้ศีรษะของยักษ์หลุดออกมาจากร่าง และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นคนลงมือใช้ดาบประหัตประหารเจ้ายักษ์ตนนี้
        ชายหนุ่มสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อภาพความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อหลั่งไหลเข้ามาในสมอง เขามองเห็นภาพการต่อสู้ระหว่างตัวเขาและเจ้ายักษ์ตนนี้ เขาถือดาบคู่เคลื่อนไหวไปมาในสนามรบราวกับพายุหมุนลูกหนึ่ง เขามองเห็นอานุภาพทำลายล้างที่ทำให้แผ่นดินสะเทือนสวรรค์สะท้าน เขามองเห็นซากร่างของยักษ์ที่ล้มตายนับร้อยนับพัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาพตัวเขาปักดาบในมือซ้ายลงไปบนสมองส่วนหลังของยักษ์ตนนี้ แล้วปิดฉากด้วยการวาดดาบในมือขวาตัดศีรษะของยักษ์ตนนี้จนร่วงหล่นลงมาเกลือกกลิ้งกับผืนดิน
        “… นี่มันเรื่องบ้าอะไร”
        เอกส่งเสียงสบถพร้อมกับพยายามส่ายศีรษะสลัดภาพที่หลั่งไหลเข้ามา เขารู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผล เขาเป็นแค่พนักงานบริษัทเอกชนธรรมดาที่บังเอิญได้รับรักยมจนได้เรียนรู้มนตรา เขาได้เข้ามาในมิติเวลาแห่งนี้เพื่อฝึกตนเอง ก่อนนี้เขาเพิ่งผ่านด่านวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หากทว่าตอนนี้เขากลับหลุดโผล่มาในสมรภูมิที่เขาไม่ทราบต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรเลยสักนิด หากจะบอกว่านี่คือการฝึกฝน ก็คงจะเป็นการฝึกฝนที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นที่สุดในโลก
        ชายหนุ่มพยายามขบคิดเรื่องราว หากทว่ายังไม่ทันได้รับคำตอบเขาก็ต้องเงยหน้ามองดูศีรษะของยักษ์ตนนี้ด้วยความแตกตื่น เพราะว่าดวงตาสีแดงฉานทั้งสามดวงของมันกำลังจับจ้องมองดูเขาอยู่ ดวงตาสองดวงของมันนั้นเหมือนมนุษย์ปกติ หากทว่าดวงตาที่สามนั้นอยู่ตรงตำแหน่งหน้าผากล้านเลี่ยน
        เอกมองสบตากับยักษ์ที่เหลือแต่ส่วนศีรษะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด วูบแรกนั้นเขารู้สึกแตกตื่นหวาดกลัว หากทว่าความอบอุ่นที่แผ่ผ่านดาบทั้งสองเล่มในมือนั้นทำให้เขารู้สึกปลอดภัย อีกทั้งแววตาของยักษ์ตนนั้นก็มิได้แสดงท่าทีข่มขวัญอาฆาตมาดร้ายแต่อย่างใด  เขาจึงสามารถยืนจ้องตากับยักษ์ตนนี้ได้โดยไม่ตื่นกลัวจนแข้งขาสั่นเข้าเสียก่อน
        “… หึ หึ … ฮ่า ฮ่า … ฮ่า ฮ่า ฮ่า … ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
        ยักษ์ตนนั้นจ้องมองดูเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่มันจะส่งเสียงหัวเราะออกมา เริ่มจากเสียงหัวเราะแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง จนกระทั่งเสียงนั้นดังขึ้นเป็นเสียงหัวเราะที่กึกก้องไปทั่วฟากฟ้า และเพียงแค่พลังเสียงนี้ก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ยักษ์ตนนี้จะมีพลกำลังมากมายมหาศาลสะท้านฟ้าสะเทือนดินถึงเพียงไหน
    เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกำลังขบขันหากทว่าไม่ใช่เสียทีเดียว มันคือเสียงหัวเราะที่คล้ายกับความสมเพชเวทนาของผู้พ่ายแพ้ มันคือเสียงหัวเราะแห่งความเศร้า ความเกรี้ยวกราด ความอดสูเวทนาผิดหวัง
        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า … น่าสมเพช น่าเวทนา … ช่างน่าเวทนา ช่างน่าอดสู … ช่างน่าอดสู”    เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงไปทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นเสียงพึมพำด่าทอแผ่วเบา ถึงแม้ว่าดวงตาทั้งสามข้างจะจับจ้องที่เอกโดยไม่มองไปที่อื่น แต่เอกกลับรู้สึกว่าคำด่าทอเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงเขา หากแต่เจ้ายักษ์ตนนี้คล้ายกำลังด่าทอตัวมันเอง เพียงแต่เขาคาดเดาไม่ออกว่าทำไมมันจึงต้องด่าทอตัวมันเอง
        “น่าเวทนายิ่งนัก … ตัวข้านนทลักผู้เป็นถึงมหาราชาแห่งเหล่ายักษาผู้เปี่ยมด้วยเกียรติแห่งนักรบกลับกระทำตัวน่าละอาย น่าสมเพช น่าเวทนา น่าผิดหวัง … ช่างน่าอดสู”
        ยักษ์ที่ชื่อนนทลักนั้นยิ่งกล่าวก็ยิ่งแสดงท่าทีซึมเซาผิดหวังออกมา ในทุกคำพูดคำจานั้นไม่ได้มีท่าทีอาฆาตแค้นแม้แต่น้อย หากจะมีก็มีแต่เพียงความเศร้าเสียใจและสำนึกผิด เพียงแต่เรื่องราวเป็นมาอย่างไรนั้นเอกคงไม่สามารถคาดเดาได้
        “… ข้านนทลัก … ข้าไม่เคยกล่าวขอโทษกับผู้ใดมาก่อน … ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจเช่นนี้มาก่อน … และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าเจ็บปวดหัวใจจนต้องยอมขออภัย … เจ้าชายเอกาวายุ ได้โปรดให้อภัยแก่ข้า ได้โปรดให้อภัยที่ข้าทำให้การต่อสู้เดิมพันที่เต็มไปด้วยเกียรติยศในครั้งนี้เสื่อมเสียมัวหมอง … ข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด นอกจากคำขออภัยครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของข้า”
        นนทลักกล่าวขออภัยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลางใช้ดวงตาทั้งสามจ้องมองดูเอก ชายหนุ่มซึ่งตกอยู่ใต้สถานการณ์กระอักกระอ่วนไม่ทราบเรื่องราวเช่นนี้จึงไม่ทราบว่าสมควรตอบกลับไปอย่างไร เขาพยายามรับฟังเพื่อจับใจความแล้ว แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้มากนัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมยักษ์ตนนี้ต้องกล่าวขอโทษ การต่อสู้ที่พูดถึงนั้นคืออะไร ทำไมยักษ์จึงได้เสียใจ และใครคือเจ้าชายเอกาวายุที่กล่าวถึง เขาจับใจความได้แค่ว่ายักษ์ตนนี้ชื่อนนทลัก
        “… เอ่อ”
        “ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาอันใดอีกแล้ว … ข้าไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดที่ข้าได้พลั้งเผลอกระทำลงไปแล้ว และข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด ข้ายินดียอมรับคำหมิ่นเหม่ชิงชังลบหลู่เกียรติยศให้สาสมเท่าเทียมต่อสิ่งที่ข้ากระทำ แต่ข้าจะไม่ยอมผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่าน การเดิมพันครั้งนี้ท่านชนะ … และท่านจะได้รับสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ”
        เอกพยายามจะสนทนาเพื่อถามไถ่ หากทว่าแค่เขาเอ่ยปากอีกฝ่ายก็ชิงพูดออกมายาวเหยียดจนยิ่งไม่ทราบว่าควรสนทนายังไง และเมื่อนนทลักพูดประโยคเหล่านี้จบ ดวงตาทั้งสามของมันก็เริ่มส่องแสงสีแดงสว่างเจิดจ้าออกมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลจนอากาศสั่นสะเทือน
        ชายหนุ่มสะดุ้งก้าวถอยหลังไปสองก้าว แต่ไม่ได้ถอยไปไกลกว่านั้น เพราะเขารู้สึกว่ายักษ์นนทลักไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย มันแค่เพียงกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างเท่านั้น และดูเหมือนว่าเอกจะคิดถูก นนทลักไม่ได้กระทำอะไรกับเขา เขาเห็นแค่เพียงดวงแสงสีแดงทรงกลมที่พุ่งวูบออกจากศีรษะหายไปบนท้องฟ้าด้านบน จากนั้นดวงแสงก็เปล่งประกายสีแดงเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีจนกลบแสงจันทร์สีขาวนวล แล้วตามมาด้วยเสียงของนนทลักที่ดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ เสียงนั้นราวกับจะดังก้องไปให้ไกลถึงสุดขอบโลก
        “พวกเจ้าในโลกหล้าทั้งหมดจงรับฟังคำสุดท้ายแห่งชีวิตของข้า ข้าคือนนทลัก มหาราชาแห่งเผ่ายักษา ข้าคือนักรบอันดับหนึ่งแห่งเผ่ายักษาอันเกรียงไกร ข้าคือมหาราชาที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด ไม่ว่าจะยักษาด้วยกันก็ดี เทพา นาคี หรือสิ่งใดข้าก็มิเคยเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้”
        “ข้านนทลักได้ตระเตรียมกองทัพแห่งเผ่ายักษาจำนวนหนึ่งร้อยหมื่น ข้าเคยหมายมาดจะเหยียบย่ำฆ่าฟันไปทั่วหล้าเพื่อประกาศศักดาแห่งยักษา ข้าเคยหมายมั่นจะครอบครองเมืองมนุษย์ เมืองบาดาล รวมไปถึงเมืองสวรรค์ ข้าเคยมีความฝันอันยิ่งใหญ่และมีความหยิ่งทะนง ข้าเคยเชื่อมั่นว่าข้ามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าเคยเชื่อว่าข้าจะสามารถนำพาเผ่ายักษาให้เหนือผู้ใดได้ ข้าเคยเชื่อมั่นว่าตัวข้าไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ผู้ใด … ข้าเคยเชื่อเช่นนั้น”
        “วันนี้ … วันนี้ข้าได้รับทราบแล้วว่าข้าเชื่อในสิ่งที่ผิด … เก้าวันก่อนหน้านี้ข้ารับคำท้าทายของมนุษย์ตัวจ้อยผู้หนึ่ง มันผู้นั้นท้าทายและเดิมพันแก่ข้า มันกล่าวว่าหากมันพ่ายแพ้มันจะยกเมืองและบริวารทั้งหมดของมันแก่ข้า แต่หากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะต้องหยุดรุกรานและห้ามออกมาจากแดนยักษาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี … ข้ารับคำท้าของมันโดยไม่ต้องคิดให้เหนื่อย ข้าไม่เคยคิดว่าข้าจะพ่ายแพ้ ข้าไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะสัญญาเดิมพันเช่นไร ข้ามั่นใจว่าจะอย่างไรข้าก็จะต้องชนะ และข้าจะนำทัพแห่งยักษาเหยียบย่ำไปทั่วทศทิศ … แต่ข้าคิดผิด”
        “ข้าและมหายักษาทั้งเก้าสิบเก้าตนเข้าต่อสู้กับมนุษย์ผู้หนึ่ง แรกเริ่มนั้นข้าให้บริวารของข้าเข้าต่อกรกับมัน แต่เมื่อมันสามารถเอาชนะบริวารของข้าได้ ข้าก็เริ่มลงมือเอง แต่เมื่อข้าเริ่มแสดงท่าทีเพลี่ยงพล้ำ บริวารทั้งเก้าสิบเก้าก็ลงมือช่วยเหลือ”
    “การต่อสู้ระหว่างมหายักษาหนึ่งร้อยตนกับมนุษย์ตัวจ้อยเพียงหนึ่งเดียวนั้นช่างน่าละอายเพียงพอแล้ว แต่หลังจากการประมือกันเก้าวันเก้าคืนบนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ ข้าและบริวารกลับพ่ายแพ้ยับเยินอย่างน่าอดสูยิ่งกว่า … ข้าพ่ายแพ้ ข้าพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้อันขาวสะอาดต่อมนุษย์ผู้หนึ่ง”
    “ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจที่พ่ายแพ้ หากทว่าข้าเสียใจที่โมหะและความหวาดกลัวของข้าบดบังสติและเกียรติยศแห่งเผ่ายักษา ก่อนที่ข้าจะหมดฤทธา ข้าเจ็บแค้นที่ข้าพ่ายแพ้ ข้าหวาดกลัวว่ามนุษย์ผู้นั้นจะบุกเข้าไปสังหารเผ่าแห่งข้า ข้าใช้คำสาปโลหิตแห่งเผ่ายักษาผนึกวิชาอาคมและความทรงจำของมนุษย์ผู้นั้น ศาสตราของมันผู้นั้นจะสิ้นฤทธา วิชาอาคมและความทรงจำของมันผู้นั้นจะสูญหาย … ข้ากระทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรง ข้ากระทำเรื่องราวอัปยศอดสูต่อเผ่าพันธุ์ยักษาอันทรงเกียรติ มันคือความอัปยศที่ไม่วันจางหายไม่ว่าจะผ่านไปกี่กัปกี่กัลป์”
        “ข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด ข้าไม่มีถ้อยคำอันใดที่จะแสดงความรู้สึกอัปยศอดสูในใจออกมาได้ ข้าไม่สามารถแก้ไขคำสาปที่ข้าได้กระลงไปแล้ว ข้าทำได้แค่ชดเชยในสิ่งที่ข้าให้ได้ ข้าทำได้แค่เพียงรักษาสัญญาที่ข้าเคยเอ่ยปากให้เอาไว้ ข้าเคยสัญญาว่าจะไม่เคลื่อนทัพรุกรานผู้ใดอีกเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”
        “เหล่าลูกหลานแห่งยักษาอันทรงเกียรติจงฟัง ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าอภัยแก่ข้า แต่ข้าขอใช้ชีวิตและวิญญาณของข้าแทนคำสาป เผ่ายักษาทุกตนไม่ว่าจะเกิดใหม่หรือแก่ชรา ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือทรงพลัง ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่ว่าพวกเจ้าตนใดก็ตามแต่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตามแต่ ข้ามหาราชานนทลักขอสาปพวกเจ้า ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ หากพวกเจ้าเดินทางออกจากดินแดนแห่งยักษา พวกเจ้าจะต้องตายตกด้วยเพลิงกัลป์ พวกเจ้าจะถูกแผดเผาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณตายตกทันที”
        เอกยืนเหม่อมองดูเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นนั้นสะท้อนสะท้านไปไกลเพียงใดเขาไม่แน่ใจนัก แต่เขามีความรู้สึกว่าเสียงนั้นจะดังก้องไปทั่วโลกแห่งนี้ ไม่ว่าโลกแห่งนี้จะกว้างใหญ่เพียงใดก็ตามที กระนั้นสิ่งที่สำคัญในเวลานี้กลับเป็นเรื่องราวที่แฝงอยู่ในคำประกาศของราชายักษ์นนทลัก เรื่องราวเหล่านั้นทำให้หัวสมองของเขาพองโต ยิ่งรับฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกพอจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้บ้าง เพียงแต่ยังมีอะไรหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หรือหากพูดให้ถูกก็คือเขารู้สึกเหมือนไม่อยากเชื่อมากกว่า
        “… ข้ารักษาคำสัญญาแห่งข้าแล้ว แต่นั่นยังไม่เพียงพอให้ข้าไถ่ถอนความอัปยศในใจของข้า ข้านนทลักไม่มีสิ่งใดเพียงพอจะชดเชยให้ แต่อย่างน้อยข้าก็ขอใช้ทุกสิ่งที่ข้ามีเพื่อชดเชยบ้างบางส่วน บุตรีแห่งข้ามาลัยเป็นลูกของยักษาและนางฟ้าที่งดงามที่สุด ข้าขอยกนางให้เป็นสตรีของมันผู้นี้ ข้าขอออกคำสั่งห้ามมิให้ยักษาตนใดทำร้ายมันผู้นี้แม้สักขุมขน และสุดท้ายนี้ ข้าขอใช้วิญญาณตนเองเพื่อชดเชย ตราบนี้จนชั่วกัลป์ ข้าจะอุทิศตนเป็นข้าทาสบริพารรับใช้ให้แก่มันผู้นี้ทุกชาติไป … ข้าขอใช้สิ่งเหล่านี้ชดเชยสิ่งที่ข้ากระทำ ได้โปรดรับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เอาไว้ด้วยเถิดท่านเจ้าชายเอกาวายุ”
        เสียงที่ดังก้องนั้นหยุดลงแค่ตรงนี้ จากนั้นดวงแสงสีแดงที่สว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้าก็เริ่มหดตัวเป็นดวงแสงสีแดงเล็กจ้อยและร่วงหล่นลงมาเบื้องล่าง มันลอยมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าของเอกซึ่งกำลังยืนนิ่งเบิกตากว้าง ถึงตอนนี้ต่อให้เขาไม่อยากเชื่อเขาก็คงต้องเชื่อ เขาอาจจะยังไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อีกทั้งไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นเหตุการณ์สมมติที่พวกรักยมสร้างขึ้นเพื่อฝึกฝนหรืออย่างไร หากทว่าถ้อยคำและอารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านออกมานั้นทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจปฏิเสธ นนทลักอาจจะกระทำผิด แต่อย่างน้อยก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรง และต้องการชดเชยให้
        “ข้าให้อภัยท่าน มหาราชาแห่งยักษานนทลัก ท่านคือนักรบยักษาที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยต่อกรด้วย … ท่านจงปลดบ่วงปลดภาระ และเข้าสู่วิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างวางใจเถิด”
        ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านทำให้เอกยื่นมือขวาออกมาเบื้องหน้า เขาพูดกล่าวประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ใช้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นรูปแบบคำพูดของเขาเพราะมันดูเป็นภาษาโบราณเก่าแก่ หากทว่าการกระทำเช่นนี้กลับดูคุ้นเคย เหมือนกับว่าเขาเคยกระทำเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
        “… ขอบคุณ … ท่านเองก็รีบเดินทางออกไปจากที่แห่งนี้เถิด พวกเราต่อสู้ทำลายสถานที่จนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้เสียหายไปมากมายแล้ว … ข้าขอลาก่อน”
        เสียงของนนทลักดังออกมาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นดวงแสงสีแดงซึ่งดูเหมือนวิญญาณของนนทลักก็เริ่มเลือนหายราวกับละลายไปกับอากาศ ทุกอย่างกลับกลายเป็นเงียบงัน หลงเหลือไว้แต่เพียงซากร่างเลือดเนื้อของมหาราชายักษาผู้เกรียงไกร และชายหนุ่มที่ยืนนิ่งเงียบเหม่อลอยครุ่นคิด
        ข้อมูลมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวสมอง คำถามมากมายที่ไม่ทราบคำตอบผุดโผล่ขึ้นมาในสมอง เอกทราบว่าตนเองคงยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในเวลานี้ เขาจึงพยายามยับยั้งความสงสัยและหันมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันเสียก่อน
        เขากวาดสายตามองสนามรบที่พังพินาศเป็นหลุมบ่อดวงจันทร์ เขาเคยพยายามคิดจินตนาการว่าการฝึกฝนที่รักยมพูดถึงนั้นจะออกมาในรูปแบบไหน และเขาย่อมไม่เคยคาดคิดเลยสักนิดว่าการฝึกฝนจะออกมาในรูปแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มสะกิดใจกับคำพูดของคุณยายที่ให้รักยมแก่เขา คำพูดที่ว่านั้นก็คือการฟื้นฟูความทรงจำ
        “เอ๊ะ”
        ความคิดของเขาโดนขัดจังหวะด้วยความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้น เสียงเหมือนโลหะเสียดสีกันดังออกมาจากดาบในมือขวาและซ้าย และเมื่อเขาลองขยับเข้ามาดูใกล้ ๆ เขาก็เริ่มมองเห็นว่าคราบเลือดสีแดงที่เปรอะเลอะอยู่นั้นเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างราวกับไฟป่า เขาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นว่าใบดาบสีเงินแวววาวโดนแทนที่ด้วยรอยสนิมจนดาบสีเงินกลายเป็นดาบขึ้นสนิมไร้ราคาเล่มหนึ่ง
        ความตื่นตกใจทำให้เขารีบเอื้อมมือลงไปหมายจะขัดเอาคราบสนิมพวกนี้ออกไป หากทว่าคราบสนิมนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถสัมผัสได้ทางกายภาพ มือของเขาไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ พวกมันยังคงแผ่ขายกลืนกินใบดาบจนกระทั่งมองไม่เห็นโลหะสีเงินอีกต่อไป
        เอกส่งเสียงสบถออกมา เขาจำได้ว่านนทลักพูดเรื่องคำสาปผนึกศาสตรา อาคม อะไรสักอย่าง และเป็นไปได้ว่าดาบทั้งสองเล่มของเขาจะโดนผนึกด้วยคำสาปที่ว่าจนกลายเป็นดาบขึ้นสนิมน่าเกลียดแบบนี้
        หลังจากสบถด่าเขาก็ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา นนทลักพูดว่าผนึกศาสตรา อาคม และความทรงจำ คำถามของเขาในเวลานี้ก็คือ ตอนนี้เขาเป็นใคร และเจ้าชายเอกาวายุที่ว่านั้นคือใคร การที่เขามาอยู่ในร่างของเจ้าชายเอกาวายุนี้คือการโดนผนึกความทรงจำหรือไม่ แล้วเจ้าชายเอกาวายุหายไปที่ไหน เขาควรจะทำอย่างไรต่อ และจะออกจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร … เท่าที่เขาจำได้นั้นดูเหมือนว่านนทลักจะบอกให้เขารีบออกจากสถานที่แห่งนี้เพราะใกล้พังแล้วด้วย และดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่าเกาะลอยฟ้า
        เมื่อนึกถึงตอนนี้เสียงเกรียวกราวก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ เอกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนผืนดิน แรงสั่นนั้นยิ่งมายิ่งรุนแรงจนเขายืนไม่อยู่ต้องใช้ดาบทั้งสองเล่มช่วยยันร่างกายเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกลิ้งกับพื้น แต่ถึงขนาดนั้นแล้วก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าพื้นที่ยืนอยู่นั้นเริ่มปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่กระจายไปทั่วบริเวณ จวบจนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกเหมือนร่างกายเบาวูบ
        เอกเบิกตากว้างตื่นตกใจไปกับสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอปรากฏการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน แต่เขาแน่ใจว่านี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา เพราะว่าตอนนี้พื้นที่เขายืนอยู่นั้นกำลังแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และที่สำคัญก็คือมันกำลังร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
        ร่างกายของเขาลอยละลิ่วร่วงหล่นโดยไม่มีสิ่งใดให้จับยึด เขามองเห็นผืนแผ่นดินที่แตกกระจายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมากมาย แสงจากดวงจันทร์ทำให้เขามองเห็นการร่วงหล่นของก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนไปไกลสุดลูกหูลูกตาที่ร่วงหล่นลงไปพร้อมกับร่างของเขา ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าตนเองกำลังอยู่บนผืนดินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และดูเหมือนว่ากำลังแตกหักพังทลายร่วงหล่นลงไปด้านล่าง
    ท้องฟ้าและดวงจันทร์ที่เขาเคยรู้สึกว่าอยู่ใกล้เกินไปเริ่มห่างไกลออกไป ร่างกายของเขาปะทะกับสายลมเย็นเยียบจนรู้สึกชาดิก และเขาก็เริ่มมองเห็นว่าด้านล่างไกลออกไปนั้นคือท้องทะเลสีดำมืดที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นขอบเขต ชายหนุ่มไม่ทราบว่าสมควรทำอย่างไรได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงอ้าปากส่งเสียงร้องตะโกนออกมาขณะร่วงหล่นดำดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
  
    ………………………………………………..
      
  
        เอกสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะพบว่าเขายังคงอยู่ในรถแท็กซี่กลางเก่ากลางใหม่คันเดิม เขานั่งอยู่บนเบาะหลังรถและข้างหน้านั้นมานพคนขับแท็กซี่วัยกลางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ผ่านกระจกมองหลัง
        “ตื่นแล้วเหรอคุณ ผมขับรถมาถึงหาดวอนนภาตามที่คุณบอกไว้แล้ว แต่เห็นคุณนั่งหลับผมเลยไม่ได้ปลุก อีกสองสามชั่วโมงก็เช้าแล้ว”
        มานพคนขับรถแท็กซี่รีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเคารพคล้ายหวั่นเกรง แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมตนเองจึงต้องเคารพและทำตามคำสั่งของเด็กชายอายุสิบห้าสิบหกโดยไม่กล้าโต้แย้งสักคำ
        “อืม … ขอบใจนะ นนทลัก … หือ … นนทลัก?”
        เอกในร่างเด็กชายมองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเขาอยู่บนถนนริมหาดซึ่งเป็นเป้าหมาย เขาจึงกล่าวขอบคุณโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก หากทว่าคำพูดที่หลุดออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองดูชายคนขับรถแท็กซี่ด้วยแววตาพินิจพิจารณากว่าก่อนหน้า
        “เอ่อ … คุณเรียกผมว่าอะไร ผมชื่อมานพ เรียกผมนพเฉย ๆ ก็ได้”
        มานพชะงักไปวูบหนึ่งเช่นกันเมื่อโดนเรียกด้วยชื่ออันแปลกพิลึก หากทว่าชื่ออันแปลกพิลึกนั้นกลับให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาบอกไม่ถูก วูบหนึ่งนั้นมานพรู้สึกราวกับว่าเคยมีใครเรียกขานตนเองด้วยชื่อนั้นเมื่อนานมาแล้ว
        “… ลุงเกิดวันเดือนปีเกิดอะไร เกิดเวลาไหน”
        เอกมองดูมานพอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดถามไปคนละเรื่อง มานพจึงแสดงท่าทีงุนงง แต่สุดท้ายก็ยังเอ่ยปากบอกวันเดือนปีเกิด รวมถึงเวลาตกฟากของตนเองออกไปอย่างละเอียด หลังจากนั้นเด็กชายก็นั่งหลับตานิ่งเงียบคล้ายกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่างอีกเกือบสิบนาที กว่าจะยอมเปิดปากพูดอีกครั้ง
        “ชะตาราศีแห่งจอมกุมภัณฑ์ภายใต้ดาวดับ … ราชาผู้อยู่ตรงกลางระหว่างบาปและบุญ ไม่ขึ้นกับความดีไม่ตกในความชั่ว ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงไม่ค่อยเจ็บไม่ค่อยป่วย แต่ชะตาอาภัพจักไร้ซึ่งคนเคียงข้าง ต้องแบกรับความผิดบาปมาตั้งแต่ปางก่อน … ตั้งแต่ปางก่อน … ปางก่อน”
        เอกพูดพึมพำอย่างเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะทอดถอนใจและมองดูมานพด้วยแววตาเวทนา ความหมายอันลึกล้ำที่แฝงมากับแววตานั้นทำให้ลุงมานพเบิกตากว้างทำตัวไม่ถูก เขารู้สึกคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ คล้ายนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ลางเลือนหากทว่าไม่เข้าใจทั้งหมด เรื่องราวน่าแปลกก็คือลุงมานพบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เหมือนกับว่าตนเองเคยกระทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปสักอย่าง หากทว่าจดจำไม่ได้
        “คุณพูดเรื่องอะไร … คุณเป็นหมอดูใช่หรือเปล่า ก่อนโน้นคุณก็พูดเหมือนหมอดู ตอนนี้คุณก็พูดเหมือนเดิม … ผมเคยทำอะไรลงไป”
        ความไม่สบายใจทำให้ลุงมานพหันไปเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง หากทว่าเด็กชายกลับไม่ตอบคำ เขาเพียงนั่งหลับตาและทอดถอนหายใจออกมาอีกหลายครั้ง ท่าทางนั้นบ่งบอกอย่างอ้อมค้อมว่าไม่ต้องการตอบคำถาม
        ความสงสัยทำให้ลุงมานพอยากถามคาดคั้นให้ได้คำตอบ หากทว่าสุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ภายในรถจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเด็กชายจะดังขึ้นทำลายความเงียบงันนั้น
        “ครับ ถึงหาดแล้ว เดี๋ยวจะให้รถแท็กซี่ไปจอดแถวหน้าโรงแรม เดินลงมาซิ … แต่อย่าลืมใส่แว่นกับหมวกปิดไว้ด้วยล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวนักข่าวเห็นเข้า พรุ่งนี้จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งไม่รู้ตัว”
        เอกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดูหน้าจอ ก่อนจะกดรับและพูดสนทนาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านั้นน้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกลึกลับน่ายำเกรง หากทว่าน้ำเสียงของเขาในเวลานี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากน้ำเสียงของเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเลยสักนิด
    บทสนทนานั้นค่อนข้างสั้นกระชับไม่มีอะไรพิเศษให้ลุงมานพจับใจความมากนัก มันคือบทสนทนาเหมือนกับนัดแนะพบเจอกับใครสักคนซึ่งก็คงไม่แปลกอะไร แต่ที่ทำให้ลุงมานพรู้สึกสนใจจนหูผึ่งก็คือคำว่าให้ใส่แว่นใส่หมวกปิดบังตัวไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะว่านั่นแปลว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงจนเป็นข่าวได้
        ภายหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ เอกก็กดปิดโทรศัพท์มือถือ และบอกให้ลุงมานพขับรถไปจอดที่ด้านหน้าโรงแรมชื่อดังริมหาดแห่งหนึ่ง รถจอดรออยู่เพียงไม่ถึงสิบนาทีลุงมานพก็เริ่มหาวด้วยความง่วง แต่ไม่นานนักสายตาที่เริ่มหรี่ปรือใกล้หลับใหลก็เบิกกว้างมองดูเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งด้วยอารมณ์ตื่นเต้นสนใจ
        หญิงสาวคนนั้นสวมแว่นดำและมีหมวกปีกกว้างสีขาวจึงมองเห็นความสวยงามของใบหน้าได้ไม่ชัดเจน หากทว่าแค่ร่างกายโค้งเว้าส่วนล่างก็มากพอแล้วที่จะทำให้ลุงมานพรู้สึกตื่นตัวและกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหาย ร่างสูงโปร่งขาวโพลนเหมือนนางแบบนั้นสวมเสื้อกล้ามสีขาวคอเว้าลึกเอวลอยอวดทรวดทรงหนั่นเนื้ออวบอิ่มจนลุงมานพเป้ากางเกงบวมเป่ง
        ทรวงอกคู่นั้นเรียกได้ว่าใหญ่โตโอฬารดึงดูดสายตาลุงมานพจนน้ำลายสอ ชายเสื้อที่ค่อนข้างสั้นนั้นลอยขึ้นจนเห็นหน้าท้องและสะดือขาวโพลน ต่ำจากบั้นเอวคอดเหมือนนาฬิกาทรายนั้นเป็นกางเกงผ้ารัดรูปสีดำสั้นแค่คืบกว่า ความขาวเนียนของท่อนขาเพรียวยาวจึงสะท้อนแสงไฟเปล่งประกายความงามระยิบระยับไร้ที่ติออกมา
        “อื้อ หือ สวยเปรี้ยวเข็ดฟันอะไรจะขนาดนั้นนังหนูคนนี้ นมใหญ่อย่างกับลูกส้มโอ”
        ลุงมานพส่งเสียงโพล่งออกมาด้วยอารมณ์สุดระงับ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่ลุงมานพที่กำลังจ้องมองสาวสวยคนนั้นด้วยสายตากลัดมันราวกับจะจับมากลืนกิน แม้แต่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่นักเที่ยวกลางคืนต่างก็แอบมองสาวสวยคนนี้กันตาเป็นมันวาว ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่ทุกคนต่างก็แอบคิดตรงกันว่า หากคืนนี้ได้นอนกอดเสพสุขกับหญิงสาวหุ่นร้อนแรงเหมือนเปลวไฟคนนี้คงจะเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
        “เทียบกับเนย ลุงว่าใครสวยน่ากินกว่ากัน”
        ขณะที่ลุงมานพกำลังถลึงตามองจนน้ำลายสออยู่นั้นเสียงของเด็กชายก็ดังมาจากข้างหลัง ลุงมานพจึงค่อยได้สติหันกลับมามองเด็กชายผ่านทางกระจกมองหลัง ก่อนจะส่งเสียงตอบด้วยท่าทางสงสัยเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ของเด็กชาย
        “เอ่อ … ผมว่า … นังหนูนักศึกษาชื่อเนยคนก่อนก็สวยแจ่มนะ สวย ขาว นมใหญ่ แต่ยังเด็กอยู่โตไม่เต็มที่ ถ้าเทียบกับหนูคนนี้อาจจะยังสู้ไม่ได้ แต่อีกสักสามสี่ปีอาจจะพอฟัดพอเหวี่ยง เสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้า”
        ลุงมานพนั่งนึกถึงนักศึกษาสาวชื่อเนยที่เขาเพิ่งได้มีโอกาสแบกขึ้นไปบนหอพักเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน เนยนั้นสวยโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เนยยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่เติบใหญ่เต็มที่ เปรียบไปก็เหมือนดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอม แต่สาวสวยใส่หมวกและแว่นดำที่กำลังเดินอยู่บนถนนคนนี้นั้นเปรียบได้ดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานความงามสะพรั่งออกมาอย่างเต็มที่แล้ว
        “งั้นเราก็คิดตรงกัน … หือ … ลุงรอตรงนี้อีกเดี๋ยวนะ ผมไปจัดการพวกแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญก่อน”
        เอกในร่างเด็กชายตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขมวดคิ้วส่งเสียงด้วยความขัดใจและเปิดประตูเดินออกไปด้านนอกรถแท็กซี่ ลุงมานพจึงหันมองไปด้านหน้ารถด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าสาวหุ่นดีใส่แว่นดำนั้นกำลังโดนชายหนุ่มนักท่องเที่ยวกลางคืนสามคนเข้าไปสนทนาเกี้ยวพาราสี หรืออาจจะเป็นการเสนอราคาค่าตัวก็ได้ เพราะลุงมานพไม่แน่ใจนักว่าสาวสวยหุ่นยั่วน้ำลายคนนั้นประกอบอาชีพหญิงสาวกลางคืนหรือไม่
    เหตุการณ์นี้สมควรเป็นเรื่องปกติของนักเที่ยวกลางคืน แต่สิ่งที่ไม่ปกติสำหรับลุงมานพก็คือภาพเด็กชายวัยสิบห้าสิบหกเดินเข้าไปโบกมือไล่ผู้ใหญ่สามคน แล้วจูงมือสาวหุ่นร้อนแรงคนนั้นออกมา อีกทั้งเด็กชายยังเดินนำพาเธอคนนั้นขึ้นมาบนรถที่ลุงมานพกำลังขับอยู่โดยที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเลยสักนิด
    ประตูรถโดนปิดลงพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นยั่วอารมณ์ที่มาพร้อมกับหญิงสาวใส่แว่นดำ ลุงมานพได้แต่ถลึงตามองดูร่างขาวโพลนซึ่งนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังด้วยความรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ ที่แท้เด็กชายนัดพบกับสาวสวยหุ่นทรมานใจคนนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่
        “ไม่จริงน่า … ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี่ย … พี่เอกจริงเหรอ”
        สาวสวยคนนั้นขึ้นรถแท็กซี่มาแล้วก็ถอดแว่นดำออกแล้วเพ่งมองดูเด็กชายด้วยสายตาราวกับไม่อยากเชื่อ เธอขยับใบหน้าไปมาเพื่อมองดูเด็กชายให้ชัดเจนในทุกแง่มุมพร้อมกับส่งเสียงบ่นพึมพำอะไรบางอย่างออกมา และตอนนี้ลุงมานพก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสาวสวยคนนี้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
        “ส่งข้อความอธิบายให้ฟังแล้วนี่นา บอกแล้วไงว่าไม่ต้องตกใจ แล้วตอนนี้ก็ไม่ควรเรียกพี่เอกนะ ควรเรียกว่าน้องหนึ่งมากกว่า”
        “ก็มันไม่น่าเชื่อนี่นา ตอนแรกก็ยังนึกว่าแอบอำกันเล่นเสียอีก แต่ว่า … เรื่องจริงเหรอเนี่ย … ไม่น่าเชื่อ … ไม่น่าเป็นไปได้”
        “ก่อนนี้ก็ได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อมาเยอะแล้วนี่นา ตอนนี้ยังมีเรื่องอะไรไม่น่าเชื่ออีกเหรอ”
        เอกตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ ส่วนสาวสวยที่ยังใส่หมวกปีกกว้างนั้นยังคงพยายามเพ่งสายตามองสำรวจไม่หยุด เธอคนนี้คือหญิงสาวธาตุดินที่เขาเล็งไว้เป็นคนที่สองถัดจากเนย เพียงแต่การเข้าหาสาวสวยคนนี้อาจจะแตกต่างจากเนยสักหน่อย เพราะว่าประสบการณ์ของสองสาวนี้แตกต่างกัน อย่างน้อยเอกก็มั่นใจว่าเธอคนนี้จะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกอย่างตรงไปตรงมาได้
        “… ไม่ได้หลอกกระแตแน่นะ เธอคงไม่ได้เป็นน้องชายพี่เอกแล้วรวมหัวกันแกล้งหลอกกระแตเล่นใช่หรือเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็โดนโกรธแน่ … หน้าเหมือนกันจริง ๆ … เรื่องแบบนี้ก็ทำได้เหรอเนี่ย”
        สาวสวยยังคงแสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่คราวนี้เธอถอดหมวกปีกกว้างออกแล้ววางไว้ข้างลำตัว ก่อนจะขยับไปใช้มือหยิกใส่แก้มของเด็กชายเหมือนจะทดสอบว่าเป็นใบหน้าจริงหรือไม่
        “โอ๊ย ๆ เบา หน่อยกระแต หยิกแรงเชียว เดี๋ยวหมดหล่อกันพอดี ถ้ายังไม่เชื่อก็เอียงหูมาเลย เดี๋ยวจะพูดความลับให้ฟังให้หมด”
        เอกในร่างเด็กชายส่งเสียงบ่นอุบพร้อมกับปัดมือนุ่มของสาวสวย จากนั้นจึงขยับตัวโน้มไปส่งเสียงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างใบหูของเธอ และเพียงครู่เดียวใบหน้าขาวเนียนก็แดงซ่านด้วยความเขินอายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
        ขณะเดียวกันนั้นลุงมานพซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านหน้าก็เบิกตากว้างมองดูสาวสวยนมโตคนนั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ หลังจากที่ถอดแว่นตาดำและหมวกปีกกว้างที่ปิดบังใบหน้าออก ลุงมานพก็นึกออกแล้วว่าเธอคนนี้คือใคร ยิ่งได้ยินเธอเรียกชื่อตัวเองลุงมานพก็ยิ่งแน่ใจ สาวสวยหุ่นแม่พันธุ์อายุยี่สิบต้น ๆ คนนี้จะเป็นใครไม่ได้ หากไม่ใช่กระแตดารานางแบบชื่อดังแห่งยุค
        ความคิดของลุงมานพหมุนติ้วสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ถึงแม้จะไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ตาเห็นนั้นทำให้ปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งรวมไปถึงคำพูดของเด็กชายที่บอกให้สาวสวยใส่แว่นสวมหมวกปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ลุงมานพก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าสาวสวยคนนี้จะต้องเป็นกระแตตัวจริง เพียงแต่เหตุใดเด็กชายอายุสิบห้าสิบหกคนนี้จึงสามารถนัดหมายพบเจอกับดารานางแบบชื่อดังในยามวิกาลแบบนี้ได้นั้นยังเป็นคำถามใหญ่
        “บ้า พอแล้ว ห้ามพูดอีกนะ ยอมเชื่อแล้วก็ได้ … แต่ … มันเหลือเชื่อเกินไปนี่นา อยู่ ๆ จะให้เชื่อทันทีได้ยังไงกันล่ะพี่เอก … เอ่อ หนึ่ง … น้องหนึ่ง”
        ไม่ทราบว่าเด็กชายกระซิบบอกอะไรนางแบบสาวสวย เพียงครู่เดียวเธอจึงผลักร่างของเขาให้ออกห่างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขัดเขินหน้าแดง ลุงมานพซึ่งไม่ทราบเรื่องราวจึงได้แต่นั่งอึ้งงุนงงว่าสองคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน แล้วใครคือคนที่กระแตเรียกว่าพี่เอก และพวกเขาวางแผนจะทำอะไรกัน
        “สรุปว่าเชื่อแล้วใช่หรือเปล่าล่ะ ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ เวลาไม่คอยท่า ยิ่งช้าไปก็ยิ่งอันตราย”
        เอกยิ้มคล้ายโล่งใจ เขาเอื้อมมือไปจับกุมมือของกระแต ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อจนนางแบบสาวหันมามองค้อน หากทว่าเธอไม่ได้ปัดมือเขาออก
        “เอาจริงเหรอ แต่ว่าตอนนี้พี่เอก เอ่อ น้องหนึ่ง เป็นแค่เด็กผู้ชายเองนะ … จะดีเหรอ กับเด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกเนี่ยนะ”
        “ดีซิ ช่วยกันหน่อยนะ ถ้ากระแตไม่ช่วยผมก็ไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยแล้วเนี่ย ขอร้องนะครับ”
        เด็กชายเห็นท่าทีลังเลของสาวสวยก็ใช้สองมือจับกุมมือนุ่มของเธอขึ้นมาแล้วใช้สายตาออดอ้อน กระแตหันไปมองเขาก่อนจะยิ้มน้อย ๆ คล้ายพึงพอใจในคำอ้อนวอนของเขา เธอไม่พูดบ่ายเบี่ยงอะไรอีกนอกจากพยักหน้าทำท่าเหมือนตกลงในสิ่งที่เด็กชายขอร้อง
        “ก็ได้ค่ะ ยังไงกระแตก็โดนช่วยตั้งหลายครั้งแล้ว ตอบแทนแค่นี้เอง … จะพาไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกที่ไหนก็ไปกันได้เลย แต่ระวังอย่าให้คนอื่นรู้นะ ไม่งั้นกระแตจะจับแต่งงานด้วยเสียเลย”
        นางแบบสาวสวยพูดพลางหันไปมองดูลุงมานพด้วยแววตาไม่ค่อยไว้วางใจ สิ่งที่ดารานางแบบอย่างเธอเธอกลัวที่สุดก็คือการตกเป็นข่าวคาวบนหน้าหนังสือพิมพ์ และเธอไม่ไว้วางใจคนขับแท็กซี่วัยกลางคนนี้เลยสักนิด
        “ไม่ต้องห่วงหรอก ลุงมานพเขาไว้ใจได้ ผมรับรองเลย … เอาล่ะครับลุงมานพออกรถเลย”
        เอกยิ้มรับและให้คำรับรองก่อนจะหันไปสั่งการลุงมานพให้เริ่มออกเดินทาง ลุงมานพเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบเอื้อมมือไปจับเกียร์เตรียมออกรถ แต่ว่าเขายังไม่รู้ว่าเด็กชายอยากไปที่ไหนจึงทำท่าจะหันมาถาม แต่ว่านางแบบสาวสวยชิงเอ่ยปากถามออกมาเสียก่อนแล้ว
        “แล้วจะไปโรงแรมที่ไหนคะ จะใช้ห้องของกระแตตอนนี้ก็เสี่ยงไปหน่อย กลัวมีกล้องวงจรปิดเห็นพาคนเข้าห้องอีก แต่ถ้าจะไปเปิดห้องตอนใกล้เช้าแบบนี้จะมีห้องว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ช่วงนี้เทศกาลคนเที่ยวเยอะพอสมควรเสียด้วยซิ”
        กระแตถามและทำหน้าครุ่นคิด เธอกำลังคิดหาสถานที่ซึ่งเหมาะสมเพื่อที่จะได้ทำตามคำขอร้องของเด็กชาย และสิ่งที่เธอเป็นห่วงก็คือเวลาใกล้รุ่งเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่จะมองหาสถานที่พัก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวทีมีผู้คนมากพอสมควร
        เมื่อได้ยินคำว่าเปิดห้องโรงแรม หูของลุงมานพก็ผึ่งกว้างออกเหมือนไม่อยากเชื่อหู ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะแอบคาดเดาบ้างแล้ว แต่พอได้ยินกับหูตัวเองอีกครั้ง ลุงมานพก็ยิ่งต้องตื่นตกใจ นางแบบสาวสวยดาวรุ่งจะไปเข้าโรงแรมกับเด็กชายคนนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้เด็กชายก็เพิ่งจะจัดหนักกับนักศึกษาสาวสวยไปแล้วหนึ่งคน หากเวลานี้ลุงมานพไม่รู้สึกอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟก็คงจะแปลกแล้ว
        “แล้วใครบอกกระแตว่าจะไปโรงแรมล่ะ”
        “อ้าว ก็ถ้าจะไปทำอย่างว่ากัน ก็ต้องไปโรงแรม … เอ่อ …”
        กระแตโพล่งเสียงด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองดูลุงมานพเพราะเผลอพูดเรื่องน่าอายออกมา ส่วนนายเอกที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์นั้นไม่พูดอะไรมาก เขาขยับเข้าไปใกล้แล้วสอดมือโอบเอวอ้อนแอ้นแค่หยิบมือ ก่อนจะหันไปส่งเสียงสั่งการต่อลุงมานพ
        “ไม่ต้องพูดแล้ว อธิบายให้ฟังแล้วไง ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าทำที่ไหนก็ได้ แต่ควรจะไปทำในที่มีไอธาตุดินเยอะกว่าปกติ ออกรถเลยครับ วนไปก่อน เดี๋ยวเจอที่เหมาะ ๆ แล้วผมจะบอกเอง”
        คำสั่งของเอกในร่างเด็กชายทำให้กระแตขมวดคิ้วด้วยความกังวลเล็กน้อย เธอรู้จักและเข้าใจพี่เอกพอสมควร โดยเฉพาะนิสัยขี้เล่นหาเรื่องตื่นเต้นของเขา ดังนั้นเมื่อเขาบอกว่าจะไม่ไปโรงแรม เธอจึงพอจะนึกออกได้ทันทีว่าเขาคงจะต้องทำเรื่องอุตริบางอย่าง กระนั้นครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาและเธอทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ ในความกังวลนั้นนางแบบสาวจึงแอบรู้สึกตื่นเต้นลึก ๆ อยู่ในใจไปด้วยพร้อมกัน
        หากจะถามว่าใครรู้สึกตื่นเต้นที่สุดก็คงไม่พ้นลุงมานพคนขับแท็กซี่ ถึงจะไม่เข้าใจว่าเด็กชายเป็นใครมาจากไหน และคิดทำอะไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็เพิ่งขับรถพาเด็กชายกับนักศึกษาสาวไปมั่วรักกันในตัวเมือง และเวลานี้เขาก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าตนเองกำลังจะได้เห็นฉากเด็ดลีลาร้อนของสาวสวยระดับดารานางแบบดาวรุ่ง เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
..........................................................