วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

กิ้กเรียบร้อยแต่ร่าน


 

 
วันนี่ตัดสินใจที่จะเล่า เรื่องจริงจากปากของกิ้กที่ภายนอกดูเรียบร้อย แต่ร่านควยสุดมาให้ฟังกันครับ เรียบเรียงดีไม่ดีอย่างไง ก็ติชมได้ครับคือชื่อกิ้กผมที่อายุเท่าผมคือ 36 เรารู้จักกันเพราะทำงานที่เดียวกัน และได้แหย่เล่นกันจน ได้เย็ดกัน ผมเป็นคนโรคจิตคือชอบถาม การโดนเย็ดของเธอดูภายนอกจากสายตาคนอื่นคือ เป็นคนเรียบร้อนพูดจากเพาะ รูปร่างผอม N มีลูกแล้ว3 คน แต่หีN ใหญ่ครับ น้ำหีเยอะมาก หมอยก็เยอะ เวลาเย็ดกัน N จะเป็นคนละคนกับที่คนอื่นเห็นเลย คือ N จะขี้เย็ด เย็ดเก่ง อมควยมีแตกคาปากแน่นอน แล้ว จะเย็ดเมื่อไหล่ที่ไหน ถ้าลับตาคน ผมสามารถจับเธอเย็ดได้เลย ไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำที่ทำงานถ้าลับตาคน วันนึง ระหว่างเย็ดกันเสร็จจนนอนพัก ผมก็ถามว่า N โดนเปิดซิงตอนใหนจากใคร หลังจากนี่คือ คำที่N เล่าให้ผมฟังน่ะครับบอกว่า โดนเปิดซิงตอน อายุ15 จากเพื่อนของน้าเธอ เพื่อนน้าอายุตอนนั้นคือ40 เวลาเขามากินเหล้าที่บ้าน ก็ชอบเรียกให้เอ็น ไปซื้อของให้ แล้วก็นั่งคุยเล่นจนเอ็นก็แอบปลื้ม เพราะน้าเขา อารมดี จนครั้งแรกที่โดนเพราะ เพื่อนน้าชวนไปที่บ้านพักเขา แล้วพอไปถึง เข้าบ้านเพื่อนน้าเขา เขาก็เข้ามา กอดจูบ จนเอ็นมีอารม แล้วน้าเขาก็เลียหี ตอนนั้น ก็คิดแล้วว่า อย่างไงก็ยอมให้น้าเขาเย็ด แต่ก็กลัวๆ ครั้งแรกเพื่อนน้า เอาเธอไป2น้ำ แล้วมาส่งบ้าน เอ็นบอกว่า ระบบหีเจ็บไปหมดเลย แล้วก็พักอยู่ 2อาทิต แล้วพอหายดี เพื่อนน้าก็ให้เอ็นไปหาเขาที่บ้าน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน เอ็นบอก วันนั้นโดนไปอีก2 พอทุกอย่างเข้าที่แล้ว มันส์หีมากตอนโดนเย็ด พอผ่านไปสัก3เดือนเพื่อนน้าเขาก็สอนให้ อมควยเขา จนหนูเก่งเลย พอหลังๆมา เพื่อนน้าก็ให้ไปทุกเสาร์อาทิตเลย โดนเอ็นจะบอกที่บ้านว่า ไปบ้านเพื่อนไปทำการบ้าน แต่ที่ใหนได้ ไปให้เพื่อนน้าเย็ดหี เอ็นบอกว่า เสาร์อาทิตจะไปแต่เช้าๆเลย ไปถึง จะโดนเพื่อนน้าจับเย็ดแบบทั้งวันเลยเสาร์อาทิตเวลาไปบ้านเพื่อนน้า ไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น คือจะแก้ผ้าตลอด เงี่ยนเมื่อก็จะเย็ดกันเลย เอ็นบอก ถ้าเสาร์อาทิต ไม่ต่ำกว่าวันละ5น้ำ แล้วมีอยู่ครั้งนึง วันนั้นแม่ไปผ้าป่ากับญาติๆตั่งแต่วันศุก เอ็นก็เลยบอกกับแม่ว่างั้นจะไปนอนกับอุ้มที่เป็นเพื่อนในห้องก็ได้ แต่จริงๆคือบอกกับเพื่อนน้าให้มารับตั่งแต่เช้า วันนั้นใส่ชุดนักเรียนด้วย เอ็นบอกพอขึ้นรถกะบะน้าได้น้าให้ถอดกางเกงในแล้วล้วงหีในรถเลย พอไปถึงเข้าบ้านพักเขาปิดประตูบ้านปุ๊บ เพื่อนน้าเอาควยยัดหีเลยจับเย็ดตั่งแต่หน้าประตู แล้วก็อุ้มเย็ดจนแตกในหีเลย ผมก็ถามว่าไม่กลัวท้องหรอ เอ็นบอกไม่กลัว เพราะเพื่อนน้าพาไปฉีดยาคุมแบบ3เดือน ผมก็อ้อ เอ็นบอกกลางวันจับเย็ดคาชุดไป3น้ำ พอกลางคืน น้าเขาอยากเย็ดในสวนพอดึกๆ เขาเย็ดหนูท่าอุ้มอยู่เขาก็อุ้ม พาออกมาเย็ดในสวนนอกบ้านเลย หนูโดนเขาเย็ดเกือบ2ปีก็เลิกลากันเพราะ เมียน้าเขากลับมาอยู่ด้วย ตอนนั้นเสียใจมาก พอผ่านไปเดือนนึงทำใจได้แล้วก็เงี่ยนมากเช่นกัน นอนล้วงหีตัวเอาทุกวันเลย

นอนกับแม่ที่บ้านย่า

 

 เรื่องนี้เกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะเล่าขอท้าวความย้อนกลับไปในตอนที่ผมยังเป็นเด็กๆ เท่าที่ผมจำความได้เวลาที่ผมเห็นแม่ผมใส่ชุดนอนแม่ของผมจะไม่ใส่ชุดชั้นในทำให้ผมได้เห็นหัวนมของแม่นูนขึ้นมาเป็นเม็ดอย่างชัดเจน ทำให้ผมเห็นภาพแบบนี้จนชินตา

จนเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ป้าโทรมาหาพ่อของผม แล้วแจ้งข่าวว่าย่าของผม กำลังจะผ่าตัดทำบายพาสหัวใจแต่ช่วงนี้เป็นช่วงโควิดทำให้ไม่สามารถไปเฝ้าได้จึงแจ้งกับพ่อว่าไม่ต้องคิดมากถ้ายังไงจะแจ้งข่าวมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นเวลาผ่านมาจนถึงวันเสาร์ย่าผมก็ออกจากโรงพยาบาล แล้วกลับมาพักฟื้นที่บ้านเหมือนปกติทำให้พ่อกับแม่ตัดสินใจออกเดินทางไปเยี่ยมย่า เราสามคนพ่อแม่ลูกเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงเช้า เวลาประมาณบ่ายสาม เราก็เดินทางถึงจังหวัดลำปาง ในวันนั้นเองด้วยความที่ป้าของผมทำงานเป็นพยาบาลต้องขึ้นในช่วงดึกคืนนั้นพอดีทำให้พ่อต้องทำหน้าที่ดูแลเฝ้าย่าและนอนเป็นเพื่อนย่าส่วนผมกับแม่เราแค่มานอนที่ห้องนอนชั้น 2  ซึ่งห้องนี้เป็นห้องนอนกับห้องสมัยเด็กๆจนถึงวัยรุ่น


เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าผมกับแม่ก็แยกย้ายกันขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ซึ่งก็เหมือนปกติตั้งแต่ที่ผมจำความได้ แม่จะไม่ใส่ชุดชั้นในนอนตามปกติอยู่แล้ว คืนนั้นชุดนอนของแม่เป็นเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงวอร์มแบบขาสั้น ด้วยความที่ผมเป็นคนที่นอนหลับยังเป็นคนเดิมอยู่แล้วยิ่งแปลกสถานที่ทำให้ผมนอนหลับหลับตื่นตื่นๆเข้าไปอีก ผมจำได้ว่าเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นเสื้อของแม่มันถลกขึ้นมาจนผมเกือบเห็นเต้านมของแม่ และด้วยความที่ห้องนอนมันไม่มีม่านบังแสง ทำให้ไฟจากถนนส่องเข้ามาทำให้เห็นภายในห้องอย่างชัดเจนเหมือนเปิดไฟเลยทีเดียว ผมขออธิบายนิดนึงว่าที่ห้องนี้มันไม่มีผ้าม่านก็เพราะว่า เป็นห้องนอนสำหรับคนที่มาพักบ้านนี้เท่านั้นซึ่งปกติก็ไม่ได้มีใครใช้ห้องนี้ประจำอยู่แล้ว มีเพียงแค่นี้เตียงทีวีแอร์ แค่นั้นเอง

ผมกลับมาเล่าต่อ หลังจากที่ผมเหลือบไปเห็นแบบนั้นเหมือนจิตใต้สำนึกในด้านไม่ดีของผมมันก็แสดงออกมา ตั้งแต่ผมเกิดมาจนตอนนี้ผมอายุ 15 ปีผมไม่เคยคิดอะไรกับแม่แต่คืนนั้นเป็นครั้งแรก มันเหมือนมีอะไรมาบังตาดลจิตดลใจให้ผมทำ อยู่ๆผมก็ค่อยๆ พลิกตัวเองหันหน้าข้างๆส่วนแม่ทรงผมนอนตรงเหมือนปกติ สายตาของผมมันต้องเอาไปที่หน้าอกของแม่ หลังจากหลายนาทีผ่านไปพี่ผมจ้องมองหน้าอกคู่นั้นอยู่ๆผมไม่ค่อยใช้มือผม ลูปไปที่หน้าอกของแม่ผมรับรู้ถึงขนาดมหึมาของเต้าทั้ง 2 ข้าง หลังจากหนังผมก็ค่อยๆเอามือของผมมาวางไว้ที่ชายเสื้อพร้อมกับใช้นิ้วชี้ค่อยๆสอดใส่เข้าไปในเสื้อต้นมันสัมผัสกับหัวนมของแม่ครั้งแรกที่โดนผมรู้สึกตกใจอย่างมากหัวใจผมเต้นรัวเพราะความตื่นเต้นผมลิ้นชักนิ้วออกมาจากช้าๆ ด้วยความที่ผมกลัวแม่จะรู้สึกตัวแล้วตื่นเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีผมลองทำแบบนั้นอีกครั้ง ระหว่างที่นิ้วผมกำลังสัมผัสโดนที่หัวนมหัวแม่ อยู่ๆสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นแม่ของผมลืมตาขึ้นมาแล้วพูดขึ้นมาว่า

ทำอะไร ทำไมยังไม่นอนอีก แม่ถามขณะที่มือของผมยังสัมผัสกับที่หัวนมของแม่อยู่

ก่อนที่ผมจะตอบผมรีบชักออกมาทันที

ด้วยความที่สีหน้าของแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าผมตกใจ

แม่ถามผมกลับมาอีกครั้งว่า แอบจับนมแม่หรอ

ผมได้แต่นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกไป

แล้วแม่ก็ถามขึ้นมาอีกว่า อยากเห็นไหมล่ะ ทันทีที่แม่พูดจบแม่ก็ถอดเสื้อของแม่ออกทันที ทำให้ผมได้เห็นหน้าอกขนาด 36D พร้อมกับหัวนมสีน้ำตาลแข็งตั้งเป็นเม็ดเหมือนกับลูกเกดยังไงอย่างนั้น

ลองจับดูสิ อยู่ๆแม่ก็พูดขึ้น ผมไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสมันใหญ่ล้นมือของผมแบบไม่ต้องสงสัย

ถึงผมจะไม่มีประสบการณ์เรื่องเซ็กส์ แต่ผมก็เคยดูคลิปดูหนังโป๊อะไรมาบ้าง ผมเลยทำอะไรที่แม่ก็ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ผมทำต่อไปนี้จะเป็นเรื่องเลยเถิด อยู่ๆผมก็ก้มหน้าไปฝึกที่ไหนหน้าอกของแม่พร้อมกับใช้ลิ้นเลียไปที่หัวนม สลับกับใช้ปากดูดที่หัวของแม่

ทำอะไร อย่านะ จะทำอะไร หยุดเดี้ยวนี้แม่บอกให้หยุดพอแล้ว แม่บอกให้พอไง แม่พูดออกมาพร้อมกับเขานี้ผมทั้งเลียและดูดไปที่หัวนมของแม่ ทั้งที่แม่ก็สามารถเอามือผลักผมออกไปได้แต่แม่ก็เลือกที่จะพูดอย่างนั้น

แม่ตั๊กขอทำต่อนะ พูดกับเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงแม่ ช่วงที่มืงของผมชอนไชเข้าไปในกางเกงนั้นผมได้ไปสัมผัสขนหมอยที่ทั้งดกและฟู แล้วถึงไปสัมผัสที่เม็ดละมุดของแม่ หีของแม่ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่ไหลออกมาจากหีของแม่เอง หลังจากนั้นผมไม่รอช้าที่จะถอดเสื้อผ้าของผมออก

แม่ก็มองไปที่ไอ้จู๋ของผม แล้วก็พูดขึ้นมาว่า ครั้งแรกใช่ไหม ผมพยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบ

แม่ไม่รอช้าแม่ใช้มือถือแม่จับมาที่ไอ้จู๋ที่แข่งตั้ง แม่คงรู้ว่าผมตื่นเต้นเป็นอย่างมากแม่เลยพูดขึ้นมาว่า ไม่เป็นไรใจเย็นๆ แล้วผมก็นอนลาบไปกับเตียงตอนที่แม่พูดจบ ส่วนแม่ก็เปลี่ยนอริยบทตัวเองมันนั่งอยู่ตรงปลายขาผม แล้วใช้มือของแม่ข้างนึงกำมาที่ไอ้จู๋ผมที่แ ข็งตั้งเป็นลำพร้อมกับค่อยๆรูดขึ้นลงอย่างช้าๆ

เสียวไหม แม่ถามผม

เสียวๆหนูเสียวมากเลยแม่ ผมตอบกลับ

แล้วแม่ก็ถอดกางเกงขอให้ออกพร้อมกับค่อยๆนั่งคร่อมบนตัวผมแล้วค่อยๆเอาไอ้จู๋ของผมเข้าไปในหีของแม่อย่างช้าๆ ความรู้สึกครั้งแรกของผมมันอุ่นและแน่นไปพร้อมกัน ทันทีที่แม่โยกเอวช้าๆผมเสียวซ่านไปทั้งตัว ผมไม่คิดว่าแม่ผมในวัย  46  จะยังฟิตแน่นขนาดนี้  แม่ผมโยกเอวช้าไม่กี่นาทีผมก็ปล่อยน้ำแรกของผมในชีวิตส่งเข้าไปในร่างกายของแม่ผู้ให้กำเนิดของผม

แม่ของผมยิ้มออกมาตอนผมเสร็จพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า เสร็จแล้วหรอ ลองใหม่ไหมแม่ให้ครั้งหนึ่ง

ผมนอนนิ่งหลังจากที่แม่พูดจบ

ไม่เป็นไรไม่ต้องอายหรอกครั้งแรกในชีวิตเสร็จก็แบบนี้แหละ แม่ให้ตั๊กทำครั้งหนึ่งเอาไหม แม่ถาม ผมพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า ได้ครับหนูขออีกครั้งนึงนะ

แล้วแม่ก็ลุกออกจากตัวผม ผมเห็นน้าของผมไหลสวนออกมาทันที ทันใดนั้นแม่ก็ก้มหน้าใช้ลิ้นเลียที่ลำควยต่อทันที ไม่นานนักมันก็กลับมาแข็งตัวอีกครั้งหนึ่ง

อยากให้แม่ทำให้หรือว่าอยากลองทำเองก่อน แม่ถาม

ผมก็ตอบไปว่า ของตั๊กทำบ้าง แล้วแม่ก็เปลี่ยนท่านอนราบบนเตียง ผมเก้ๆกังในครั้งแรก หลังจากสอดใส่เข้าไปได้ผมก็เริ่มโยกเอวของผมช้าๆพร้อมกับก้มหน้าจูบปากแม่ไปด้วยบางจังหวะ แล้วผมก็ค่อยๆเร่งเร็วขึ้น

อ่า อ่า อ่า แม่ส่งเสียงครางออกมาเบาๆ

แม่เสียวไหม ผมกระซิบข้างๆหูแม่

เสียวแม่เสียวทำแบบนี้ต่อไปอย่าหยุด แม่กระซิบตอบผมกลับมา อ่า อ่า อ่า ซี๊ด อ่า อา แม่ส่งเสียงครางสลับกันอย่างเบา

เวลาผ่านไปประมาณ 5-6 นาที ผมกระซิบข้างหูแม่ว่า แม่ทำให้หน่อย แล้วแม่ก็กอดผมพร้อมกับพลิกตัวเองตัวแม่ขึ้นไปอยู่ข้างบน แล้วแม่ก็เริ่มโยกโยนต่อทันที หลังจากนั้นไม่กี่นาทีแม่ก็โยกเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ดีว่าตอนนี้แม่เสร็จเป็นที่เรียบร้อยผมรับรู้ได้ว่าช่องคลอดของแม่บีบรัดควยผมพร้อมกับแม่กระตุกไปทั้งตัว ผมไม่สามารถทนต่อไม่ได้จึงปล่อยน้ำของผมเข้าไปในร่างกายแม่เป็นครั้งที่ 2 คืนนี้เล่นผมกับแม่หมดแรงไปตรงข้ามกัน แม่ค้างบนตัวผมอยู่ประมาณ 1 นาทีแม่เขาขยับร่างกายของแม่ออกจากตัวผมอย่างช้าๆ แล้วแม่ก็รีบบอกให้ผมแต่งตัวเพราะตอนเช้าถ้าเราลืมแต่งตัวแล้วพ่อขึ้นมาหาความจะแตกได้เรื่องของผมก็เกิดขึ้นเพียงเท่านี้ถ้ามีครั้งต่อไปผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ

ความลับในครอบครัว

 

 

ในแต่ละครอบครัวมีเรื่องราวที่เป็นความลับกันบ้างไหมครับ ผมมีความลับที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเรื่องที่ทำให้ผมหนักใจมากๆแต่ปัจจุบันผมหายหนักใจกับเรื่องนี้แล้วเพราะเวลามันผ่านมานานจนอะไรๆมันเป็นปกติดีแล้ว เมื่อก่อนบ้านผมที่ต่างจังหวัดจะมีกัน5คนพ่อแม่ลูก พี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองส่วนผมคนเล็กอยู่กันอย่างมีความสุขตลอดมา เมื่อประมาณผมอายุ12กำลังเรียนอยู่ป.6ส่วนพี่สาวเรียนอยู่ม.3แต่อายุ17ปีแล้วเพราะพี่สาวเข้าเรียนช้ากว่ากำหนดเพราะพ่อแม่ย้ายบ้านบ่อย เมื่อก่อนผมไปโรงเรียนต้องขี่จักรยานไปเนื่องจากผมกับพี่สาวเรียนคนละโรงเรียนกันโรงเรียนผมมีแค่ป.1ถึงป.6เมื่อจบป.6ก็ต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนที่พี่สาวเรียนเพราะมีชั้น ม.1ถึง ม.6 เวลากลับบ้านจึงไม่ตรงกันส่วนใหญ่ผมจะกลับเย็นกว่าพี่สาวเสมอทั้งที่โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านกว่าเพราะผมติดเล่นฟุตบอลส่วนพี่สาวจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับอีกทางหนึ่งคนเดียว วันนั้นผมกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพราะเพื่อนทะเลาะกันจึงไม่มีใครเล่นฟุตบอล เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็เอาจักรยานไปเก็บและรีบไปที่ครัวเพื่อหาของกิน แต่ก็ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ผมเห็นพี่สาวของผมกำลังนั่งคุกเข่าอมควยให้พ่ออยู่ในห้องครัวแต่พี่สาวไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ ผมรีบถอยหลังกลับแทบไม่ทัน ผมแอบดูพี่สาวอมควยให้พ่อด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตแต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไรแอบดูจนพ่อน้ำแตกใส่ปากพี่สาวพ่อบอกพี่สาวให้กลืนน้ำอสุจิและเลียน้ำอสุจิให้หมดเสร็จแล้วทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปพ่อขี่รถออกจากบ้านไปพี่สาวรีบเข้าห้องนอนตัวเอง พี่สาวผมเขาเป็นผู้หญิงที่ถือว่าสวยคมไม่ถึงกับขาวมากแต่ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย หลังจากวันนั้นผมก็รีบกลับมาแอบดูทุกวันเลยบางวันก็ได้เห็นบางวันก็ไม่ได้เห็นเพราะบางวันพ่อก็มีงานรับเหมาที่ไกลๆกว่าจะกลับมาถึงบ้านแม่ก็กลับมาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมได้แอบดูก็จะเห็นแค่พี่สาวอมควยให้พ่อจนน้ำแตกและกลืนกินน้ำอสุจิแล้วต่างคนต่างแยกย้ายเท่านั้นซึ่งผมเห็นหลายครั้งตั้งแต่พี่สาวเรียนอยู่ ม.3จนจบ ม.6รวมๆแล้วก็น่าจะเกินร้อยครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นพ่อกับพี่สาวเย็ดกันสักครั้งเลยแม้แต่เสื้อผ้าของพี่สาวพ่อก็ไม่เคยแก้เสื้อผ้าพี่สาวออกเลยเต็มที่พ่อก็แค่ขย้ำนมพี่สาวด้านนอกของเสื้อเล่นเท่านั้น แต่เขาอาจจะเย็ดกันก่อนหน้านั้นที่เขาทำกันก็ได้หรือเขาอาจเย็ดกันตอนที่ผมไม่เจอก็ได้ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ถ้าถามความรู้สึกผมนะผมคิดว่าเขา2คนไม่น่าจะเคยเย็ดกันเพราะผมเห็นพี่สาวอมควยให้พ่อบ่อยมากถ้าเขาเคยเย็ดกันจริงๆพวกเขาต้องเผลอเย็ดกันให้ผมเห็นบ้างอย่างน้อยผมก็ต้องได้เห็นบ้างสักครั้งสองครั้งแหละเพราะเขาอมให้กันเป็นร้อยๆครั้งแต่นี้ไม่เคยเห็นเย็ดกันเลยแค่อมเสร็จก็แยกย้าย ผมเลยไม่เคยเห็นนมและหีของพี่สาวเลย เห็นแต่ควยของพ่อที่อันใหญ่ยาวน่าจะ7-8นิ้วได้ เมื่อพี่สาวเรียนจบ ม.6พี่สาวก็ย้ายไปเรียนเภสัชกับน้าสาวที่เป็นหมออยู่กรุงเทพ แล้วพี่สาวก็เริ่มมีแฟนและแต่งงานไปในที่สุดปัจจุบันพี่สาวมีลูกสาว2คนเหมือนผมเลย แต่ลูกผมอายุน้อยกว่าลูกพี่สาวหลายปี ทุกครั้งที่พี่สาวกลับมาบ้านผมจะคอยแอบดูตลอดว่าพ่อกับพี่สาวจะแอบไปทำอะไรกันอีกไหมแต่ก็ไม่เคยเห็นเช่นเคย และเพราะเห็นการกระทำของพ่อกับพี่สาวจึงทำให้ผมคิดอยากลองทำกับลูกสาวผมเหมือนกันลูกสาวผมอายุ17คนหนึ่ง14คนหนึ่ง แต่ก็กลัวว่าเมียจะจับได้ถ้ามันจับได้คงตายแน่ๆ ผมก็คงได้แต่จินตนาการเท่านั้น ผมเคยอ่านเรื่องเล่าในเว็บนี้มาเห็นบอกว่าทำแบบนั้นแบบนี้กันแล้วได้ผล ผมก็อยากลองทำตามจนวันหนึ่งผมอยู่กับลูกสาวคนโตกันแค่2คนเพราะเมียกับลูกสาวคนเล็กไปบ้านแม่ยายอาทิตย์หนึ่งเลย เมื่อผมอยู่กับลูกกันแค่2คนก็เกิดอยากเย็ดลูกขึ้นมากลางคืนเกือบตี2ผมเข้าไปในห้องลูกสาวและเปิดหน้าต่างให้แสงไฟส่องเข้ามาเพราะไม่กล้าเปิดไปที่กัวเตียงเพราะกลัวแสงไฟส่องลูกสาวจนลูกสาวตื่น ผมถกชุดนอนของลูกสาวขึ้นและดึงกางเกงในลูกสาวลงมาที่ขาอ่อนอย่างเบามือด้วยความระมัดระวังและเพ่งมองดูหีลูกสาวด้วยความตื่นเต้นผมค่อยๆใช้ลิ้นเลียหีลูกสาวเบาๆ ผมเลียได้แป๊บเดียวก็ชักควยออกมารูดขึ้นลงและจ่อควยตรงรูหีของลูกสาวเมื่อหัวควยสัมผัสกับกลีบหีของลูกสาวก็ตื่นเต้นจนน้ำเกือบแตกผมต้องหยุดและกั้นอารมณ์ไว้สักพักไม่ให้น้ำแตกจากนั้นก็ถูไถหัวควยไปตามร่องหีและกลีบหีของลูกสาวเบาๆผมถูไถไปได้แค่2-3นาทีก็เตรียมจะแทงใส่รูหีลูกสาวแต่ก็ฉุดคิดอยู่แว๊บหนึ่งเพราะในใจผมมันกลัวว่าลูกจะรู้สึกตัวและตื่นมาเห็นและยอมรับเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้ จนเรื่องรู้ไปถึงหูเมียติดอย่างนี้ก็ทำให้ผมลังเลอยู่พักใหญ่อยากจะเย็ดก็อยากแต่ก็มีความกลัวไม่แพ้กันเลยสุดท้ายผมก็ไม่กล้าเย็ดลูกสาวได้แต่ชักว้าวจนน้ำแตกเต็มปากรูหีของลูกสาวเมื่อความเงี่ยนหายไปความกลีวก็เข้ามาต้องรีบเช็ดทำความสะอาดหีลูกสาวและใส่กางเกงคืนให้ลูกอย่างเดิมและกลับไปจินตนาการและชักว้าวต่ออีกรอบ ถ้าได้เย็ดกับลูกสาวหรือลูกสาวคมควยให้ผมมันคงเสียวและมีความสุขมากแน่ๆ

คบเด็กข้างบ้าน #1

 
 

ช่วงนี้ว่างๆ เพราะพึ่งลาพักร้อนหยุดยาวจนถึงช่วงปีใหม่ เลยแวะมาส่งเรื่องใหม่ให้อ่านกันเล่นๆ ขำๆ
เป็นเรื่องสั้นๆ ประมาณ 3 ตอนจบ อาจจะค่อนข้างรวบรัดไปนิดนึงนะฮะ

ได้แรงบันดาลใจมาจากกระทู้นึงในพันทิป เกี่ยวกับเรื่องของภรรยาสาวรุ่นพี่ที่โดนรุ่นน้องข้างบ้านจู่โจม
ตอนอ่านแล้วดันไปจินตนาการว่ามันควรจะเป็นยังไงต่อ เลยสรุปออกมาได้เป็นเรื่องนี้
สำนวนจะออกแนวผู้หญิงมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะครับ อาจมีช่วงที่ตัวละครมันบ่นบ้าง จิกกัดบ้างนิดๆ หน่อย ถือซะว่าลองเปลี่ยนอารมณ์ดูก็แล้วกัน




-----------------

เพื่อนๆ เคยได้ยินวลีที่ว่า 'คบเด็กสร้างบ้าน' มั้ยคะ?

มันเป็นสุภาษิตโบราณที่พูดถึงเรื่องของการเลือกใช้คนผิดเวลาที่คิดจะทำการใหญ่ โดยเปรียบเทียบตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ อย่างเรื่องของการก่อร่างสร้างบ้าน ซึ่งไอ้ครั้นจะให้เด็กตัวเล็กๆ ซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอมาเป็นผู้ควบคุมดูแลนั้น ก็เห็นว่าคงจะไม่สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นการแน่

แล้วถ้าเป็นวลี 'คบเด็กข้างบ้าน' ล่ะคะ?

ประโยคนี้หลายคนคงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันซักเท่าไหร่ ความหมายของมันก็ตรงตามตัวอักษรโต้งๆ นั่นแหละค่ะ คือการคบหาดูใจกับเด็กหนุ่มที่อยู่บ้านติดๆ กัน ซึ่ง... ไอ้การคบเด็กที่ว่านี้มันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ถ้าหากว่าเจ้าเด็กบ้านั่นมันไม่ได้หน้าด้านมาจีบผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วแบบเรา....

=======================================

เราชื่อพัชค่ะ พัชรินทร์ มงคลธนกุล อายุก็ 28 ปีพอดี ชีวิตส่วนตัวตอนนี้ก็แต่งงานมีครอบครัวมาได้ร่วมๆ 2 ปีแล้ว ส่วนงานปัจจุบันก็รับจ๊อบเป็นฟรีแลนซ์ วาดภาพประกอบให้กับทางสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งสมัยนั้นไอ้คำว่าฟรีแลนซ์มันก็ยังไม่ได้ฮิตหรือแพร่หลายกันเหมือนสมัยนี้หรอกค่ะ คู่แข่งหรืออะไรๆ ก็เลยยังไม่ค่อยจะเยอะเท่าไหร่ ทำให้เราก็พอจะเอาตัวรอดไปได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานจากสำนักพิมพ์เล็กๆ นานๆ ทีถึงจะมีวาดให้ของอะบุ๊กบ้าง กับทางมติชนบ้าง แล้วแต่ว่าทางกองบ.ก. จะเสนอโจทย์มาให้ แต่ช่วงหลังๆ นี้ก็เว้นวรรคมานานพอสมควรแล้ว เพราะกำลังวุ่นๆ อยู่กับการตั้งหน้าตั้งตาปั่นงานวิจัยปริญญาโทให้จบ

ส่วนพี่อ๊อฟแฟนเรา อายุมากกว่าเรา 5 ปี (ขอเรียกพี่เค้าว่าแฟนแล้วกันนะคะ จะได้ไม่ดูเป็นทางการเกินไปหน่อย) ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดในส่วนของงานอีเว้นท์ ให้กับบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เลยทำให้พี่เค้าต้องคอยออกทริปไปจัดงานอีเว้นท์เปิดตัวสินค้าต่างๆ รวมถึงเดินสายออกทรูปที่ต่างจังหวัดอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าหนักสุดนี่คือไม่ได้เจอหน้าเราเกือบเดือนนึงเต็มๆ ก็เคยมีมาแล้ว ตอนที่พี่เค้าไปแกรนด์โอเพนนิ่งสี่ภาคกับทางบริษัท แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ พองานมันหนัก เงินก็เลยเยอะตามไปด้วย รายได้ของพี่เค้าคนเดียวก็มากพอที่จะเลี้ยงเราสองคนได้แบบสบายๆ

เราสองคนรู้จักกันมาได้หลายปีแล้วค่ะ ด้วยความที่พี่อ๊อฟเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่สาวเราอีกทีหนึ่ง ก็เลยทำให้เราสองคนพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง พี่เค้าเคยแวะมาหาพี่สาวเราที่บ้านพร้อมกับเพื่อนๆ อยู่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างบางเวลาที่เราขอติดสอยห้อยตามไปเที่ยวกับกลุ่มของพี่สาวบ้างนานๆ ครั้ง เราก็มักจะได้เจอหน้าของพี่อ๊อฟอยู่ในก๊วนเที่ยวด้วยเสมอ

แล้วทีนี้เมื่อถึงจังหวะของวัยและเวลาที่เหมาะสม หลังจากที่เราเรียนจบมาได้ 3 ปี พี่เค้าก็เลยตัดสินใจเอ่ยปากขอคบเป็นแฟนกับเรา ซึ่งอันนี้ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ เราว่าเราเองก็ไม่ใช่คนหน้าตาขี้เหร่อะไร รูปร่างก็ปกติ ไม่ได้อ้วน ไม่ได้ผอม ผมยาว ผิวขาว นมเล็กตามมาตรฐานหญิงไทยสมัยใหม่ แถมใครๆ ก็ชอบทักอยู่บ่อยๆ ว่าเราน่ะหน้าเหมือนนางเอกแดจังกึมเดี๊ยะๆ

ที่ผ่านๆ มาก็พอจะมีคนเข้ามาจีบ เข้ามาคุยบ้างเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครเป็นพิเศษ ซึ่งจังหวะที่พี่อ๊อฟเข้ามาน่ะ เราเองก็ยังมีคนคุยๆ ดูๆ อยู่บ้างเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่ แต่ไม่รู้สิ... อาจเพราะว่าพี่สาวเรากับคนที่บ้านเค้าคอยสนับสนุนด้วยมั้ง เราก็เลยตกปากรับคำ และยอมลองคบกับพี่อ๊อฟไปง่ายๆ ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าอยากจะลองมีแฟนที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเฉยๆ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะจริงจังอะไรเท่าไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ลากยาวมาจนได้แต่งงานกันถึงทุกวันนี้นี่แหละ

พี่อ๊อฟเค้าเป็นคนน่ารักค่ะ เทคแคร์เอาอกเอาใจเราตลอด ค่อนข้างมีเหตุผล และเป็นผู้ใหญ่กว่าเรามากๆๆๆ ไม่เจ้าชู้ ไม่งี่เง่า บุหรี่กับเหล้าก็ไม่เคยแตะ การพนันก็ไม่ได้เล่น เสียอย่างเดียว... พี่แกน่ะขี้หึงมากไปหน่อย...

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องเข้าใจผิดใหญ่โตกันมาทีนึงแล้ว ซึ่งต้นเหตุก็ไม่ใช่อะไรเล้ยยย ก็แค่เพื่อนผู้ชายในแผนกเรา เกิดไปปิ๊งสาวในแผนกบัญชีขึ้นมา มันก็เลยชอบแชทมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักกับเราอยู่บ่อยๆ ทีนี้พอปรึกษากันบ่อยเข้า พี่อ๊อฟแกก็เกิดตะหงิดๆ ขึ้นมาจ้า หาว่าเราติดแชทกับหนุ่มอื่น ของขึ้นซะงั้น ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าเวลาที่พี่แกหึงขึ้นมาทีไรนะ สติสตังหลุดหมด อารมณ์ร้อนจนไม่ยอมฟังเหตุผลทุกที ภาพของหนุ่มรุ่นพี่ผู้มีเหตุผลใจเย็นที่ว่ามาก่อนหน้านี้นี่ หายวับไปกับตาเลยจ้าาาา

วันดีคืนดี พี่แกก็เลยแอบเอามือถือเราไปส่งข้อความเฉ่งเพื่อนเราซะงั้น...

แค่นั้นยังไม่สาแก่ใจ ยังมีการขู่ว่าจะมาขอเคลียร์กันตัวๆ ที่ออฟฟิศเราอีก คราวนี้ก็วงแตกสิคะ... เพื่อนๆ ที่แผนกก็เลยได้รู้ฤทธิ์แฟนเรากันหมดว่าพี่แกน่ะ 'ขี้หึงตัวพ่อ' จนกลายเป็นมุกให้เพื่อนๆ พี่ๆ เค้าหยิบมาล้อกันสนุกสนานเฮฮาไปอีก แถมเรื่องทำนองนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งซะด้วยสิ เฮ้อ...

“ถามจริง ถ้าวันนึงเค้าเกิดเผลอไปมีใจให้ผู้ชายคนอื่นจริงๆ อ้วนจะทำไงอ่ะ” เราเคยลองเอ่ยปากถามพี่อ๊อฟเล่นๆ ไปครั้งนึง
“ไม่เห็นต้องถามเลย เค้าจะตามไปอัดเธอทั้งคู่ถึงที่ทำงานเลย คอยดู” พ่อคุณเค้าตอบกลับมาทันควันเหมือนตั้งใจขู่
“หูย.... ยังไม่ได้พูดซักคำเลยว่าเป็นเพื่อนที่ทำงาน”
“ก็นั่นแหละ จะเพื่อนที่ไหนก็เหมือนกันอ่ะ โดนแน่ ขอบอก” พี่อ๊อฟย้ำคำ พร้อมกับกระชับโอบเอวเราเข้าไปกอดไว้ด้วยความหวง

“โธ่เอ๊ย อ้วนใจดีกับเค้าขนาดนี้ เค้าจะกล้าไปมีคนอื่นได้ไงเล่า คิดมาก” เราพูดยืนยันให้พี่อ๊อฟสบายใจ
“จริงเร้ออ?” พี่แกยังเล่นตัว ทำทีเหมือนไม่เชื่อ เราเลยตอบกวนๆ กลับไปเป็นเพลงซะเลย
“จริงซิ”
“แน่นะ?” บ๊ะ พ่อคุณก็ยอมเล่นด้วยแฮะ
“อ๋อ แน่ซิ” เราดัดเสียงร้องใส่ทำนองเต็มที่ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

ซึ่งไอ้ความขี้หึงเกินเหตุของพี่อ๊อฟนี่แหละ ที่มีส่วนให้เราตัดสินใจลาออกจากงานกราฟฟิกฯ มาเลือกเป็นฟรีแลนซ์วาดภาพอยู่บ้านแทน พร้อมกับเอาเวลาว่างที่มีไปลงเรียนต่อโทในสายการตลาด ซึ่งแอบสนใจอยากเรียนมาตั้งนานแล้ว

อย่างที่บอกไปตอนแรกค่ะว่าเรากับพี่เค้าแต่งงานกันมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว หลังจากที่จดทะเบียนเป็นผัวเมียอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เราทั้งคู่ก็เลยตัดสินใจใช้เงินเก็บที่พอจะมีอยู่ ซื้อทาวเฮ้าส์สวยๆ ไว้สร้างครอบครัวร่วมกันสองคน ซึ่งชีวิตแต่งงานของเราทั้งคู่นั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากมายหรอกค่ะ ก่อนแต่งเป็นยังไง หลังแต่งก็ยังเหมือนเดิม

ไอ้ที่เคยแอบวาดฝันไว้ว่าพอได้เป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ชีวิตคู่คงจะต้องหวานชื่น ได้สวีทหวานแหววอยู่ร่วมบ้านเดียวกันทุกวันทุกคืน แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นคนละเรื่องเลย ด้วยความที่เราวุ่นๆ อยู่กับงานวิจัย ส่วนแฟนก็ต้องเดินทางไปจัดงานต่างจังหวัดบ่อยๆ กว่าจะกลับบ้านมาแต่ละที พี่แกก็เหนื่อยจนหมดแรงจะกุ๊กกิ๊กกับเราแล้วล่ะ มันก็เลยเหลือแต่เราที่ต้องหมกตัวอยู่ที่บ้านคนเดียว ไม่ได้ออกไปเที่ยวอะไรที่ไหนข้างนอก เพราะแค่นั่งแก้งานวิจัยมันก็เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์ที่จะออกไปไหนอีกแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็แทบจะกลายเป็นดักแด้สาวไปแล้วล่ะค่ะ แฮะๆ

เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ของเราก็ค่อนข้างน่ารักค่ะ บ้างฝั่งขวามือเป็นครอบครัวสองสามีภรรยา โดยที่ฝ่ายหญิงกำลังอยู่ในช่วงตั้งท้องลูกคนแรก ดูอบอุ่นทีเดียว ซึ่งเราก็พอจะเคยคุยๆ ทักทายกันบ้างตามประสาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงหลังติดกัน แต่เราจะไปสนิทสนมกับเพื่อนบ้านอีกหลังนึงมากกว่า นั่นก็คือบ้านหลังทางซ้ายมือ ด้วยความที่สองสาวพี่น้องเจ้าของบ้านนั้น มีไลฟ์สไตล์และความชอบที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเราอยู่พอสมควร

น้องเปิ้ล พี่สาวคนโตนั้นเด็กกว่าเราแค่ปีเดียว ส่วนน้องส้มคนเล็กก็ห่างกับเราอยู่แค่ 3 ปี ก็เลยค่อนข้างคุยกันถูกคอได้แทบทุกเรื่อง ทั้งคู่มีพื้นเพเป็นคนนครปฐม แต่เข้ามาปักหลักเรียนหนังสือและทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนที่พ่อแม่ของทั้งคู่จะตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ไว้ให้สองสาวได้พักอยู่ด้วยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว โดยไม่ต้องไปเสียค่าเช่าคอนโดรายเดือนให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ

ซึ่ง... ต้นตอของปัญหาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังนี้ ก็มีที่มาจากเพื่อนบ้านหลังนี้นี่แหละค่ะ... แต่ว่าไม่ได้เกิดเรื่องเพราะสองสาวอย่างเปิ้ลกับส้มหรอกนะ แต่เป็นนายโม น้องชายคนเล็กของทั้งคู่ต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตเราต้องวุ่นวายขึ้นมา...

นายโมหรือแตงโม เป็นเด็กหนุ่มเฟรชชี่ปีหนึ่ง อายุราวๆ 18-19 ปี พึ่งจะย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับพี่สาวทั้งสองคนได้ไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากยังหาหอพักใกล้ๆ กับมหาฯลัยที่ถูกใจไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ได้เจอหน้าและเอ่ยปากทักทายกันอยู่บ่อยๆ เรากับน้องเค้าก็เลยเริ่มที่จะสนิทสนมและคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ

บ่อยครั้งที่เราสองคนมักจะยืนคุยเล่นกันหน้าบ้านได้เป็นสิบๆ นาที ยิ่งช่วงไหนที่พี่อ๊อฟติดออกทริปไปนานๆ หลายวันนะ เราก็มักจะได้ตาโมนี่แหละ ที่คอยมาชวนคุยหยอกเย้าให้พอจะคลายเหงาขึ้นมาบ้าง จนเราเองยังแอบนึกในใจเลยว่า เออเนอะ เด็กคนนี้มันอัธยาศัยดีนะ คุยสนุกฟังได้ไม่มีเบื่อเลย ยิ่งตาโมเค้าเรียนทางสายมัลติมีเดียดีไซน์ ซึ่งค่อนข้างจะใกล้เคียงกับสายอาชีพของเราที่เป็นพวกกราฟฟิกอิลลัสเตรสด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งคุยกันสนุกถูกคอขึ้นไปอีก

แต่พอเราลองเอาเรื่องเพื่อนใหม่คนนี้ไปเล่าให้พี่อ๊อฟฟัง พี่เค้ากลับทำท่าเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แถมยังคอยเตือนๆ ว่าอย่าไปคุยไปสนิทสนมอะไรมากซะอีก ซึ่งเราก็พอจะเข้าใจที่พี่เค้ากังวลนะ เพราะโมเนี่ย ก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึงเลยแหละ หุ่นเหิ่นก็ฟิตเปรี๊ยะล่ำบึ้ก สมกับที่ชอบเข้ายิมออกกำลังกายเกือบทุกวัน เวลาเย็นๆ ก็มักจะเห็นน้องมันวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ในหมู่บ้านตลอด แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็ช่างฟิตรัดเข้ากับหุ่นล่ำๆ ซะเหลือเกิน จนบางทีเรายังแอบเผลอมองเป็นอาหารตาอยู่บ่อยๆ แฮ่....

ส่วนแฟนเรานั้นจะออกอวบๆ นิดๆ มีน้ำมีนวล ด้วยความที่พี่เค้าเองก็เข้าวัย 30 ต้นๆ แล้ว พวกระบบเผาผลาญภายในร่างมันก็เลยไม่ได้ทำงานสมบูรณ์ 100% เต็มเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัว ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ ก็เลยยิ่งทำให้พี่เค้าไม่ได้มีเวลามาออกกำลังกายดูแลสุขภาพของตัวเองเท่าไหร่ ช่วงหลังๆ แกก็เลยดูอวบๆ ขึ้นมาพอสมควร มีแก้ม มีพุง แต่ก็ยังไม่ถึงกับอ้วนอะไรนะคะ เราว่ากำลังดีเลยแหละ เวลาเห็นพุงย้วยๆ ของพี่เค้าแล้วเรานะอดเอามือไปจกเล่นไม่ได้ทุกที 555+

แต่ถ้าเอาไปเทียบกับหุ่นล่ำๆ กับกล้ามแน่นๆ ของตาโมแล้ว อย่างพี่อ๊อฟนี่ก็ต้องเรียกว่าหุ่นอาเสี่ยเลยแหละค่ะ... ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่พี่เค้าจะนึกระแวงขึ้นมา เพราะว่าผู้ชายที่ไหนก็คงไม่อยากให้เมียตัวเองไปสนิทสนมกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อล่ำแบบนี้ซักเท่าไหร่ ถึงแม้เราจะยืนยันไปแล้วว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจก็ตาม

“พี่พัช ผมถามอะไรหน่อยสิพี่” นายโมเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่เรากำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน ส่วนโมเองก็กำลังยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวไปวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ที่รั้วข้างๆ เสื้อยืดสีเทาขนาดพอดีตัว รัดกระชับเข้ากับหน้าอกจนมองเห็นเป็นแผงกล้ามขนาดกำลังสวย
“ว่า?” เราขานรับกลับไปสั้นๆ สายยางในมือก็คอยฉีดน้ำใส่กระถางริมรั้วไปด้วย

“ทุกวันนี้พี่ใช้แม็คบุ๊คโปรทำงานอยู่ใช่ป่ะ?” โมเอ่ยปากถามต่อพร้อมกับชะโงกหน้าข้ามรั้วมาใกล้ๆ
“อือฮึ?” เราครางเบาๆ ในลำคอแทนคำตอบ
“ผมเห็นมีแต่คนบอกว่า ถ้าจะทำงานออกแบบก็ต้องเปลี่ยนมาใช้แม็คกัน เพราะมันดีกว่า สะดวกกว่า อันนี้มันจริงรึเปล่าพี่? มันต่างกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วอย่างสายที่ผมเรียนนี่จำเป็นต้องใช้แม็คด้วยมั้ย?”

“อืม... พี่ว่ามันก็แล้วแต่นะ คือที่เค้าบอกว่าดี มันก็ส่วนนึง เพราะแม็คมันออกแบบมาให้ใช้สำหรับงานดีไซน์อยู่แล้วอ่ะ พวกฟังก์ชั่นยิบย่อยมันจะค่อนข้างตรงสเป็คกว่า เสถียรกว่า เวลาซิงก์โปรแกรมอะไรพวกนี้มันก็จะง่าย แต่ราคาก็จะแพงกว่าพีซีทั่วไปไง ถ้าซื้อในราคาเท่ากัน ก็แทบจะได้สเป็คเครื่องพีซีเป็นสองเท่าของแม็คอ่ะ

พี่ว่ามันก็แล้วแต่คนนะ บางคนเค้าก็ถนัดพีซีมากกว่า อย่างพวกสายตัดต่อพรีเมียร์โปรเค้าก็เน้นไปทางพีซีกัน ถ้าโมยังไม่ได้ทำงานจริงจัง หรือพึ่งเริ่มเรียน พี่ว่ายังไม่ต้องรีบซื้อก็ได้ มันค่อนข้างสิ้นเปลืองเหมือนกัน รอได้งานก่อนแล้วค่อยถอนทุนเอาก็ยังไม่สาย เพราะพี่เองก็พึ่งมาเริ่มใช้แม็คตอนทำงานเหมือนกัน แต่พอได้ลองแล้วก็เลยรู้ว่ามันก็โอเคอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ มันถึงมีวลีที่ว่า 'Once you go Mac, You never go back.' ไง” เราอธิบายให้โมฟังตามที่ตัวเองเข้าใจ

“อืม... ถ้าแม็คมันแพงอย่างที่พี่ว่า งั้นผมไปซื้อเคเอฟซีกินดีกว่า น่าจะประหยัดกว่า” โมยิงมุกควายกลับมาดื้อๆ
“จ้ะ ตามสบายเลยพ่อคุณ แหม... หลอกให้พี่พล่ามสาระซะยาวเหยียด ที่แท้ตัวเองจะเล่นมุกก็ไม่บอก” เราเอ็ดไปบ้าง
“โอ้ย ล้อเล่นคร้าบพี่ ผมก็คงยังไม่ซื้อตอนนี้หรอก ที่ดูราคามาก็ค่อนข้างแพงไปหน่อย ถ้าจะให้ซื้อแม็คบุ๊คธรรมดามามันก็ใช้งานแรงๆ ไม่ได้อีก ก็ว่าจะเล็งพีซีไปก่อน น่าจะได้คุ้มกว่าสำหรับตอนนี้” โมว่าพลางก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าทั้งสองข้างให้แน่นๆ

“จ้า ก็ลองดูๆ แล้วกัน ถ้าเกิดอยากได้พวกโปรแกรมออกแบบก็ค่อยมายืมแผ่นที่พี่ไปลงก็ได้” เราเสนอความช่วยเหลือไปตามมารยาท
“ครับผม ขอบคุณมากฮะพี่ งั้นผมไปวิ่งก่อนละ” อีกฝ่ายชิงพูดตัดบทพร้อมกับเปิดประตูรั้วออกไปวิ่ง
“จ้ะๆ ตามสบาย” เราว่าแล้วก็หันไปรดน้ำต้นไม้ต่อโดยไม่ได้คิดอะไรอีก

พอสนิทกันได้ไม่นาน โมก็เริ่มที่จะมาตีซี้กับเรามากขึ้น เริ่มจากเอ่ยปากขอเบอร์กับเฟสบุ๊คเรา ซึ่งเราก็ให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะไหนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านข้างๆ กันอยู่แล้ว  พอให้ปั๊บโมก็แอดเรามาแทบจะในทันที ซึ่งก็พึ่งมานึกเอะใจเอาทีหลังนี่แหละ ว่าขนาดเปิ้ลกับส้มที่สนิทกันมาก่อนหน้านี้ เราก็ยังไม่เคยมีเฟสบุ๊คของทั้งคู่เลยนี่นา...

ซึ่งพอได้มาเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊คนี่แหละเราเลยเริ่มจับสังเกตได้ว่า โมจะคอยมาคอมเมนท์ในรูปเดี่ยวของเราอยู่ตลอด ส่วนรูปคู่ของเรากับแฟนนั้นโมจะไม่เคยเข้ามาคอมเมนท์เลย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ทันได้นึกสงสัยอะไรนะ ไม่กล้าคิดไปไกลว่าน้องมันจะมาแอบชอบหรือหมายปองอะไรกับเรา เพราะมันเองก็หน้าตาดีขนาดนั้น ก็น่าจะมีสาวๆ มาติดพันอยู่บ้าง ส่วนเราเองก็มีผัวเป็นตัวเป็นตนให้เห็นแบบนี้

ด้วยความที่เราอยู่บ้านแทบจะตลอด ทำให้วันไหนที่โมไม่มีเรียนก็มักจะแวะมาคอยชวนเราคุยเล่นอยู่เป็นระยะๆ แรกๆ ก็ยังมากดกริ่งยืนรอหน้าบ้าน มาขอยืมหนังสือไปอ่านบ้าง ยืมหนังไปดูบ้าง เนื่องจากที่บ้านเราค่อนข้างเก็บสะสมหนังสือกับหนังไว้พอสมควร หรือไม่ก็แวะมาขอใช้เน็ตส่งงานบ้าง อ้างว่าที่บ้านเน็ตเสีย ซึ่งเราก็ไม่เคยจะปฏิเสธหรอกค่ะ แต่พอส่งงานเสร็จอีตานี่ก็ดันชอบนั่งแช่ เล่นเน็ตต่อนานๆ น่ะสิ เฮ้อ...

แล้วพอหลังๆ ที่เริ่มสนิทกันมากขึ้นก็ชักจะไม่ค่อยกดกริ่งละ บางทีก็เปิดประตูรั้ว เดินดุ่มๆ เข้ามาเคาะประตูหน้าบ้านดื้อๆ เลยจ้า เล่นเอาเราแอบสะดุ้งไปหลายที เพราะปกติเวลาเรานั่งทำงานอยู่ห้องรับแขกข้างล่าง เราจะไม่ได้ล็อคประตูบ้านไว้ ส่วนใหญ่จะเปิดไว้แค่ประตูมุ้งลวดด้านใน เพื่อให้ลมมันพัดถ่ายเทเข้ามาในตัวบ้าน เพราะตอนกลางวันจะเปิดแค่พัดลมเฉยๆ

บางทีก็จะชอบมานั่งแช่เป็นเพื่อนเรานานๆ นั่งอ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เราก็นั่งทำรายงานของตัวเองไป จนเราลุกขึ้นมาพักเข้าห้องน้ำ ก็ยังเห็นตานี่นั่งเอกเขนกอ่านอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ไม่ยอมขยับไปไหนเลย หรือบางทีก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเล่นๆ แบบจงใจให้เรารู้ตัวด้วยนะ เหมือนอยากจะแกล้งยั่วให้เราเสียสมาธิ พอเราหันไปมองด้วยสายตาดุๆ มันก็ดันอมยิ้มชอบใจแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่ออีก คือแบบ.... อะไรของเมิงคะคุณน้องงงง?? จะกวนพี่ทำเพื่อ???

คือเราเข้าใจนะว่าน้องมันคุยเก่ง อัธยาศัยดี แต่บางวันนี่เราแทบไม่มีสมาธิจะทำงานเลย น้องมันมานั่งใกล้ๆเรา งุ้งงิ้งๆ ชวนคุยตลอด จะเงียบใส่หรือไล่กลับไปเลยก็ไม่ได้ ไอ้ครั้นจะให้ออกไปหาร้านกาแฟนั่งทำงานข้างนอกมันก็ไม่ใช่เรื่อง ไหนจะเปลืองเงิน ไหนจะขี้เกียจ แถมยังต้องมาคอยลุ้นว่าวันไหนที่ร้านจะเอะอะเสียงดังรึเปล่า เนื่องจากเราต้องใช้สมาธิค่อนข้างมาก ถ้าถ่อออกไปข้างนอกแล้วมันวุ่นวายไม่ต่างกันก็ไม่รู้จะออกไปทำไม สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะรับมือกับเจ้าหนูจำไมอย่างโมดีกว่า อย่างน้อยก็อยู่บ้านตัวเอง ยังทำอะไรได้สะดวกกว่าข้างนอก

“โห พี่พัชเคยวาดภาพประกอบให้อะบุ๊กด้วยเหรอ? เจ๋งอ่ะ” โมเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ระหว่างที่กำลังด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ตู้หนังสือในห้องรับแขก ในขณะที่เราก็กำลังตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์ๆ ลบๆ รายงานตัวเองไปเรื่อยๆ
“อื้อ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้วาดให้เค้าแล้วล่ะ เหมือนว่าทางนั้นเค้าก็มีเด็กใหม่ๆ เข้ามาทำให้เรื่อยๆ” เราตอบโดยไม่ได้หันไปมอง
“แล้ว... แล้ว... อย่างผมนี่พอจะไปทำพวกกราฟฟิกให้เค้าได้อ๊ะป่าวอ่ะ? พี่พัชช่วยพาผมเข้าไปทำหน่อยดิ นะๆๆ” โมอ้อนขอดื้อๆ

“โอ๊ยตาบ้า พี่ก็เป็นแค่ลูกจ้างเค้าอีกทีนึงป่ะ ไม่ใช่บ.ก.ในนั้นซักหน่อย จะได้เดินเข้าไปฝากงานกันง่ายๆ เหมือนกับฝากเงินแบงค์” เราหันไปพูดแบบติดตลก
“โธ่... น่านะ พี่ลองคุยๆ แนะนำผมไปหน่อยซี่” โมยังคงอ้อนไม่เลิก แต่จังหวะนั้นแฟนเราโทรเข้ามาพอดี เราเลยขอตัวมารับโทรศัพท์ชั่วคราว

“จ้า ว่าไงอ้วน?” เราเอ่ยทักทายตามปกติ
“ตัวเองวันนี้เค้าเลิกไม่ดึกนะ จะแวะซื้อข้าวเข้าไปให้ อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย?” พี่อ๊อฟเอ่ยกลับมาตามสาย
“กินๆๆ เค้าอยากกินเย็นตาโฟที่อ้วนเคยซื้อมาคราวก่อนอ่ะ เอาพิเศษเลยนะ”
“แหม กลัวไม่อิ่มเหรอจ๊ะ เอาบัวลอยด้วยมั้ยล่ะ เผื่อมันขายจะได้ซื้อไปให้”

“เอาหมดอ่ะ อ้วนซื้อมาเค้าก็กินได้หมดแหละ” เราตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“วุ้ย คำก็อ้วน สองคำก็อ้วน ไม่ได้ดูตัวเองเล้ยย หลังๆ นี่แก้มจะแตกอยู่แล้วนะเราน่ะ” พี่อ๊อฟเริ่มหันมาแซวเรื่องไขมันบนร่างเราบ้าง
“อะไรๆ มั่วละ แค่นี้นะ จะทำงานต่อแล้ว ถ้ามีผลไม้ก็ซื้อมาด้วยก็ได้นะ เผื่อไว้กินวันอื่นอีก”
“จ้าแม่คุณ เดี๋ยวดูให้แล้วกันนะ คิดถึงนะจ๊ะที่รัก”
“ค่า เค้าก็คิดถึงอ้วนเหมือนกัน รีบๆ กลับนะ” เราพูดแล้วก็กดตัดสาย

“พวกพี่นี่คุยกันมุ้งมิ้งดีเนอะ สวีทกันน่าดู” อีตาโมที่นั่งฟังอยู่นาน เอ่ยปากแซวขึ้นมา
“ธรรมด๊าา วัยรุ่นคุยกันก็เงี้ยแหละ” เราตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอย่างมั่นใจ เรียกเสียงหัวเราะจากปากโม
“งั้นผมไปดีกว่า ให้วัยรุ่นเค้าจู๋จี๋กันไป ไม่อยากอยู่เป็น ก.ข.ค.” โมพูดแล้วก็ลุกเดินกลับออกไปนอกบ้าน
“ไม่ทันแล้วย่ะ!” เราโวยไล่หลังไปอย่างหมั่นไส้

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโมก็มักจะโผล่มาป่วนแค่เป็นพักๆ เต็มที่ก็ไม่เกินชั่วโมง สองชั่วโมง ซึ่งถ้ามองว่าอย่างน้อยเราก็ยังได้เพื่อนไว้คุยแก้เหงา เวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนานๆ ทุกวันๆ มันก็ยังพอจะโอเคนะ แต่หลังๆ ชักจะลามปาม เริ่มมีเอ่ยปากชวนไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ไม่ก็ชวนไปยิมบ้าง เพราะเห็นว่าเราเองก็ชอบออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน ซึ่งเราก็จะคอยปฏิเสธแบบสุภาพไปตลอดนะ

เพราะถึงเราสองคนจะค่อนข้างสนิทกันยังไง แต่จะให้ไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันก็คงดูยังไงๆ อยู่ใช่มั้ยคะ? แต่อีตานี่ก็ยังหน้าด้านหน้าทน ยังคอยหาโอกาสชวนเราอยู่เป็นระยะๆ ไม่เคยขาด พอตื้อบ่อยๆ เข้าบางทีมันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะ คือโมมันก็เด็กอ่ะค่ะ อายุห่างกับเราตั้งเกือบ 10 ปี จะให้เรามานั่งเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับมันทุกวันก็ไม่ไหว บางทีก็อยากจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่ด้วยความเกรงใจก็เลยไม่กล้าเอ่ยปากไล่น้องมันออกไปตรงๆ ซักที

จนกระทั่งวันนึง... เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นใจเข้าทางเจ้าโมจนได้

อยู่ดีๆ แม็คบุ๊คของเราก็ดันเดี้ยงไปดื้อๆ พยายามยังไงก็เปิดไม่ติดขึ้นมา ไอ้เรายิ่งมีนัดส่งงานที่แก้ไขให้ลูกค้าตอนบ่ายๆ ซะด้วย แถมเหลือต้องแก้ไขอาร์ตเวิร์คบางจุดอีกนิดหน่อย ถ้าจะมัวรอเอาคอมไปซ่อมก็คงจะไม่ทันการ หรือจะออกไปหาร้านเน็ตที่มีโปรแกรมออกแบบก็ดูจะยุ่งยากเกินไปอีก ก็เลยตัดสินใจลองโทรไปหาโมดู เผื่อว่าถ้าเกิดน้องมันอยู่บ้าน จะได้เข้าไปขอยืมใช้คอมฯชั่วคราว

แต่ก็เหมือนนรกชังสวรรค์แกล้งค่ะ อีตาโมดันไปเรียนพอดี! โอ๊ยจะบ้าตาย ทีเวลายุ่งๆ ล่ะชอบโผล่มาป่วนไม่หยุดหย่อน แต่พอเวลาต้องการตัวแล้วดันหายต๋อมไปซะนี่ เรานี่แทบอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ

“เดี๋ยวผมแว้นไปหาก็ได้พี่” คำตอบของโมทำให้เราอดแปลกใจไม่ได้
“เฮ้ยไม่เป็นไร! เกรงใจ ลำบากโมเปล่าๆ” เรารีบปฏิเสธไปตามมารยาท
“สบาย แว้นแป๊บเดียวแหละ นี่พักเที่ยงพอดี” โมยังยืนกรานเสนอตัวตามเดิม ทำให้เราเริ่มลังเลตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายก็เลยต้องยอมรับความช่วยเหลือจากโม พร้อมกับพูดขอบอกขอบใจไปยกใหญ่

เพียงไม่ถึง 20 นาที รถมอเตอร์ไซค์ของนายโมก็มาบีบแตรเรียกอยู่หน้าบ้าน

“ขอบคุณนะโม ถ้าไม่ได้โมมาช่วยนี่ พี่ต้องแย่แน่ๆ เลยอ่ะ” เราเอ่ยปากขอบคุณโม มือก็คอยขยับเม้าส์ปากกาแก้อาร์ตเวิร์คด้วยความเร่งรีบ นึกประทับใจในความมีน้ำใจของน้องมันอยู่พอสมควร
“ไม่เป็นไรฮะ ก่อนหน้านี้ผมก็รบกวนพี่ไว้เยอะ เรื่องแค่นี้สบายมาก” โมตอบอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับยกขวดน้ำขึ้นจิบ

“แล้วนี่โมต้องรีบกลับไปเรียนรึเปล่า?” เราถามอย่างนึกเกรงใจ
“คาบบ่ายไม่ค่อยมีอะไรหรอกฮะ ผมเซฟงานใส่แฟลชไดรฟ์ให้เพื่อนไปส่งแล้ว วันนี้ก็โดดได้สบายๆ”
“โหย... พี่ขอโทษจริงๆ นะ... ว้าย!! ทำอะไรอ่ะโม!?” เราพูดยังไม่ทันจะจบประโยค ก็เผลอร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่น ก็อีตาโมน่ะสิคะ มันดันถอดเสื้อโชว์หุ่นให้เราดูแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ผมแค่จะเปลี่ยนเสื้ออ่ะพี่ ข้างนอกแดดมันแรง ขับมอไซค์มาเหงื่อชุ่มไปหมด” โมอ้างพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อยืดในตะกร้าผ้าขึ้นมาใส่ เฮ้อ... แล้วไป ทีแรกแอบคิดว่าน้องมันจะทำมิดีมิร้ายเราซะอีก แต่กว่าที่น้องมันจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ไอ้เราก็เลยได้เห็นมัดกล้ามล่ำๆ บนแผงอกแซ่บๆ ของมันไปเต็มสองตาแล้วล่ะค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้กะจะแอบถ้ำมองหรอกนะ แต่ว่าสายตาเรามันดันเหลือบไปเห็นเองอ้ะ แล้วก็ดันลืมตัวเผลอจ้องนานไปหน่อย แฮะๆ...

เราใช้เวลาไม่นานก็แก้ไฟล์งานเสร็จ พออัพโหลดส่งตัวอย่างให้ลูกค้าดูเรียบร้อยแล้วก็เป็นอันหมดธุระวุ่นวายในช่วงบ่ายนี้

“ขอบคุณนะจ๊ะ ไว้เดี๋ยววันหลังพี่กับพี่อ๊อฟค่อยพาโมไปเลี้ยงข้าวตอบแทนแล้วกันนะ” เราเอ่ยออกไปตามมารยาท
“ถ้างั้น... พี่พัชเลี้ยงผมวันนี้เลยก็ได้ครับ” ตาโมรีบตอบกลับมาทันควัน พร้อมกับยิ้มแฉ่งเหมือนเด็กๆ  รอยยิ้มบนใบหน้าของหมอนี่ ดูไปดูมาก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลยแฮะ
“หมายถึง... ตอนนี้เลยเหรอ?”
“ใช่ครับ”

เราเองเห็นว่าน้องมันก็อุตส่าห์สละเวลามาช่วยเราถึงขนาดนี้ แถมนี่มันก็พึ่งจะเที่ยง แค่ไปกินมื้อกลางวันด้วยกันสองคนซักมื้อ มันคงจะไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากมายเท่าไหร่ ก็เลยยอมตกลงปลงใจไปง่ายๆ

“อือ... ถ้างั้น อยากกินอะไรอ่ะเรา?”
“ผัดไทยมั้ยฮะ? ผมรู้จักอยู่ร้านนึง อร่อยใช้ได้เลย อยู่เลยสี่แยกไปนิดเดียวเอง” โมเสนอขึ้นมา
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวขอพี่ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” เราตอบพร้อมกับขอตัวกลับเข้ามาเปลี่ยนชุดที่บ้าน

จากที่สวมชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่บ้าน เราก็เปลี่ยนมาเป็นกางเกงยีนส์ขายาวแทน เสื้อยืดยังเป็นตัวเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยเสื้อคลุมแขนยาวบางๆ อีกตัวทับอยู่ด้านนอก เพื่อให้มันดูมิดชิดทะมัดทะแมงมากขึ้น แถมยังช่วยป้องกันผิวเราจากไอแดดแรงๆ ในช่วงบ่ายได้อีกด้วย พอเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินขึ้นไปนั่งซ้อนมอไซค์ของโมเพื่อขับไปที่ร้านผัดไทยทันที

เราเลือกนั่งในท่าหันข้าง ใช้มือซ้ายจับยึดพนักด้านหลังของตัวเบาะเพื่อช่วยทรงตัว โดยนั่งเว้นระยะออกห่างมาจากตัวคนขับอยู่นิดหน่อย แต่ด้วยความที่โมนั้นขับรถค่อนข้างเร็ว เวลาที่รถเบรกแต่ละที ร่างของเราจึงค่อยๆ กระเถิบไถลเข้าไปชิดกับร่างของโมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วเราก็เลยต้องใช้มือขวาที่ว่างอยู่คอยดันประคองไว้ที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย

“เกาะเอวก็ได้นะครับ ถ้าพี่พัชนั่งไม่ถนัด” นายโมเอ่ยปากออกมาดังๆ เหมือนเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร นั่งได้ๆ” เราตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังพอๆ กัน ค่อยๆ ใช้มือดันร่างของตัวเองให้กระเถิบถอยห่างกลับมาทางด้านหลังทีละนิดๆ ไม่นานเราทั้งคู่ก็ขับมาถึงที่หมายในที่สุด

เราสั่งผัดไทยกุ้งของตัวเองมาหนึ่งจาน ส่วนโมนั้นสั่งทั้งผัดไทยรวมมิตรพิเศษ พ่วงด้วยขนมผักกาดอีกหนึ่งจาน ดูหน้าตาน่าทานทีเดียว
 
“ใช้ได้มั้ยพี่พัช?” โมเอ่ยปากถามถึงเรื่องของรสชาติ
“อื้อๆ อร่อยดี ไม่น่าเชื่อเลย พี่กับแฟนอยู่ที่นี่มาเป็นปีๆ ยังไม่เคยรู้จักร้านนี้เลย แต่โมพึ่งมาอยู่ได้แป๊บเดียว ดันรู้จักร้านอร่อยๆ ก่อนพี่ซะอีก เจ๋งอ่ะ” เราตอบกลับไปอย่างนึกชื่นชม
“ก็นิดนึงอ่ะฮะ ว่างๆ ผมก็ขับมอไซค์ร่อนไปร่อนมาอยู่แถวๆ นี้แหละ ก็เลยได้ลองร้านนู้นร้านนี้เยอะหน่อย”

“รู้จักร้านอร่อยเยอะแบบนี้ สงสัยจะพาสาวๆ มากินบ่อยล่ะสิ ใช่เปล่า...?” เราแกล้งหยอกน้องมันเล่น
“โอ๊ย สาวๆ ที่ว่าน่ะก็พี่เปิ้ลกับพี่ส้มนั่นแหละครับ อย่างผมจะไปมีสาวที่ไหนอีก” อีกฝ่ายตอบกลับมาแบบติดตลก แต่แฝงอารมณ์เศร้าๆ เหงาๆ อยู่ในที

“อ้าว... แล้วทำไมไม่ลองหาแฟนจริงๆ จังๆ ดูซักคนล่ะ? หล่อๆ แบบโมพี่ว่าคงหาได้ไม่ยากอยู่แล้วล่ะมั้ง”
“อืม... คือมันก็มีคนมาคุยด้วยเรื่อยๆ นะครับ แต่ส่วนใหญ่ ผู้หญิงที่ผมเจอเค้าก็นิสัยเด็กๆ อ่ะ ยังง้องๆ แง้งๆ เอะอะก็งอน เอะอะก็หึง ผมก็เลยไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่”
“มันก็ปกติของผู้หญิงรึเปล่าอ่ะ มันก็มีหึงมีหวง มีงอนกันเป็นธรรมดาแหละมั้ง พี่ว่านะ”

“มันก็คงใช่แหละครับ แต่ที่ผมเจอมันยังไม่ถูกใจน่ะสิ ยังไม่เห็นใครที่ใช่เหมือนคนแถวๆ นี้เลย” โมหยอดเปิดประเด็นมาตรงๆ
“ใคร..? หืม? หมายถึงพี่อ่ะนะ? เฮ้ย! พูดเป็นเล่น” เราหลุดปากออกมาอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องมันจะกล้าพูดตรงขนาดนี้
“จริงๆ นะครับ แบบพี่พัชเนี่ย สเป็คผมเลย ทั้งสวย ทั้งเก่ง นิสัยก็ใจดีน่ารัก ถ้าผมจะมีแฟนก็ขอเป็นพี่ เอ้ย! ให้ได้อย่างพี่ก็คงจะดี” โมแกล้งพูดผิดๆ ถูกๆ แต่เราก็รู้ทันว่ามันหมายถึงแบบนั้นจริงๆ  พอมาแบบนี้ก็ชัดแล้วค่ะ ว่าน้องมันกำลังคิดอะไรเกินเลยกับเราแน่ๆ

“คือจะบอกว่าชอบคนแก่ว่างั้น?” เราพยายามตอบเลี่ยงๆ ด้วยการพูดขำๆ กลับไป
“โหย อย่างพี่พัชเนี่ยยังไม่เรียกแก่หรอกครับ แบบนี้เค้าเรียกสดๆ สวยๆ กำลังดี” คำพูดของโมทำให้เราอดหัวเราะไม่ได้
“ตาบ๊องเอ๊ย ไปเอาคำพูดของใครที่ไหนมาอ้างอีก พอๆ เลิกอวยเลย เดี๋ยวพี่จะลอยขึ้นสวรรค์ไปซะก่อน” เราพูดขำๆ พร้อมกับชวนเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งตาโมเองก็ยอมคล้อยตามง่ายๆ ไม่ได้ฝืนดันทุรังอะไรมากมาย

เราสองคนจัดการกับอาหารตรงหน้าจนเสร็จ ก่อนที่โมจะขอสั่งผัดไทยกลับบ้านอีกสองห่อ สำหรับเตรียมไว้ให้พี่สาวทั้ง 2 คนที่บ้าน

“มา งั้นเดี๋ยวมื้อนี้พี่ออกให้เอง” เราควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมา เตรียมจะจ่ายค่าอาหารให้ตามที่เคยสัญญาไว้
“ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ต้องเลี้ยงหรอก อุตส่าห์ได้มาเดทกันทั้งที ผมจะปล่อยให้พี่เลี้ยงได้ไง ยังไงมื้อนี้ก็จ่ายของใครของมันไปนั่นแหละ” โมเนียนตอบกลับมาดื้อๆ เล่นเอาเราหน้าชาไปเลย ที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่า 'เดท' ออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำขนาดนี้

“ตลกแระ เดทเดิทอะไรเล่า... โมไม่ต้องออกหรอก เดี๋ยวพี่เลี้ยง ตอบแทนที่อุตส่าห์เสียเวลามาช่วยพี่วันนี้ไง” เรายังยืนกรานที่จะจ่ายให้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนสุดท้ายโมเองก็ต้องยอมให้เราเลี้ยงค่าอาหารในที่สุด แม้ว่าจะไม่ยอมให้จ่ายในส่วนที่ซื้อกลับบ้านก็ตาม

พอกินเสร็จ เราก็ตัดสินใจแยกตัวออกมา โดยอ้างกับโมว่าจะแวะไปหาเพื่อน แต่จริงๆ แล้วคือแค่แวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ห้างเฉยๆ เพราะกลัวว่าถ้ารีบกลับไปบ้านตอนนี้ เดี๋ยวตาโมจะขอตามเข้ามานั่งเล่นในบ้านเราอีก ซึ่งน้องมันก็ยอมเชื่อง่ายๆ

พอช่วงค่ำๆ โมก็ยังแชทมาชวนเราคุยในเฟสบุ๊คอีก  เราก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างไปตามปกติ โดยไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องประเด็นที่ร้านผัดไทยให้วุ่นวายใจ ก่อนที่ทางนั้นจะทิ้งท้ายด้วยการส่งข้อความคิดถึงกับฝันดีมาให้ ซึ่งเราก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

=======================================

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น โมก็เริ่มกล้าที่จะแสดงความรู้สึกกับเรามากขึ้น เวลาที่คุยกันก็มักจะชอบพูดสองแง่สองง่ามว่ารู้สึกดีๆ กับเรา อยู่ด้วยแล้วสบายใจอะไรทำนองนั้น ซึ่งเราก็ได้แต่ตอบปฏิเสธไปแบบเลี่ยงๆ เหมือนเป็นเรื่องตลกขำๆ ทุกครั้ง ซึ่งการที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรกับเราเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนบ้าน มันก็ทำให้ความรู้สึกที่เรามีอยู่เริ่มไม่เหมือนเดิม

ใจนึงเราก็แอบรู้สึกปลื้มเล็กๆ นะ ที่อายุก็ปูนนี้แล้ว แต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ก็ยังมีเด็กหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ มาติดพันชอบพอกับเราอีก แต่บางทีก็รู้สึกอึดอัดเล็กๆ เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย เวลาจะคุยจะตอบอะไรก็ต้องมานั่งกลั่นกรอง กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองอีกรึเปล่า

ตอนแรกเราก็คิดนะ ว่าเออ เด็กมันคงกำลังเห่อปั๊บปี้เลิฟ พอได้มาสนิทกับสาวรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ๆ กัน ได้เจอหน้าทักทายพูดคุยกันบ่อยๆ ก็เลยอาจจะเผลอหวั่นไหวหลงคิดว่าตัวเองมีใจได้ไม่ยาก ถ้าปล่อยๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวน้องมันก็คงเบื่อๆ หรือเลิกสนใจไปเอง แต่พอเวลาผ่านไปซักระยะ มันก็ยังไม่เห็นจะมีทีท่าว่าตาโมจะยอมถอดใจไปง่ายๆ อย่างที่คิด

อาจเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูด เงียบๆ ไม่หือไม่อือ ไม่กล้าดุกล้าด่ากับใครเค้าไปตรงๆ ด้วยมั้ง ถ้าเกิดไม่ชอบใจเวลาที่มีผู้ชายมาจีบ ก็จะแค่เงียบๆ นิ่งๆ ทำเฉยๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นเค้าเลิกสนใจ เลิกตามกันนะ มีแต่ตาโมนี่แหละ ที่ยังคอยตามตื้อไม่เลิก แถมพอเห็นเราไม่ได้ว่าอะไร ก็เลยยิ่งดูจะได้ใจมากขึ้นซะอีก ฮ่วย...

ช่วงหลังๆ พ่อคุณเค้าก็เลยยิ่งแวะมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านเราบ่อยขึ้นไปอีก เราเคยลองแกล้งล็อคประตูบ้านไว้ แต่น้องมันก็ยังคอยมาเคาะ คอยโทรเรียก จนเราต้องเดินมาเปิดให้อยู่ดี ซึ่งพอเป็นแบบนี้เราเองก็ค่อนข้างลำบากใจนะ เกรงใจแฟนตัวเองด้วย

“โมมาบ้านพี่บ่อยๆ แบบนี้ พี่เกรงใจพี่อ๊อฟเหมือนกันนะ กลัวเค้าจะเข้าใจโมผิด แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” เราตัดสินใจระบายความรู้สึกออกไปให้โมฟังตรงๆ หลังจากที่ทนอึดอัดมาพักใหญ่ๆ  แต่เหมือนว่าน้องมันจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด
“ถ้างั้นพี่พัชก็อย่าบอกให้พี่อ๊อฟเค้ารู้สิครับ” ตาโมตอบกลับมาหน้าตาย

สุดท้ายตานี่ก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม แถมดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ บางวันดีหน่อย ไม่ได้มานั่งแช่ในบ้านนานๆ แค่แวะเอาขนมมาฝาก แต่ก็ยังไม่วาย มีหยอดทิ้งท้ายว่าตั้งใจซื้อมาให้เรา ต้องกินให้หมดด้วยนะ อะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็จะคอยโอนให้พี่อ๊อฟกินตลอดแหละค่ะ แต่ไม่บอกหรอกนะว่าใครให้มา เดี๋ยวจะงานเข้าเอาไม่รู้ตัว

เราไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับปัญหาพวกนี้ยังไงดี ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้มีใจอะไรกับเค้าด้วย บอกน้องมันไปตรงๆ ก็แล้ว กลับยิ่งทำให้อะไรๆ ดูจะหนักข้อมากขึ้นไปอีก บ้านก็บ้านเราแท้ๆ ดันต้องมาเจอกับเรื่องวุ่นวายไร้สาระให้ต้องหนักใจอยู่เกือบทุกวัน ไอ้ครั้นจะไปเล่าให้พี่อ๊อฟฟัง ก็คงมีแต่จะทำให้เรื่องมันยิ่งลุกลามใหญ่โตไม่เข้าเรื่อง ไม่แน่ว่าถ้าพี่อ๊อฟรู้เข้าแล้วจะพาลไปอาละวาดเอากับพวกเปิ้ลกับส้มด้วย ซึ่งคนทั่วไปก็คงไม่มีใครอยากจะไปทะเลาะหรือมีปัญหากับเพื่อนบ้านหลังติดกันหรอก จริงมั้ยคะ?

จนกระทั่งเหตุการณ์มันดำเนินมาถึงจุดพีค

มีอยู่วันนึง เรากำลังเตรียมตัวจะเล่นคาร์ดิโอที่บ้าน หน้าต่งหน้าต่างก็รูดม่านปิดไว้หมดแล้ว เหลือแค่ไม่ได้ล็อคประตู เสื้อผ้าตอนนั้นก็ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ ท่อนบนเป็นเสื้อกล้ามครึ่งตัวสำหรับออกกำลังกายสีชมพู ส่วนข้างล่างเป็นกางเกงขาสั้นรัดรูปสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบไว้เรียบร้อย จู่ๆ อีตาโมก็โผล่พรวดเข้ามาจากประตูหน้าบ้าน! แม่เจ้า! ตอนนั้นเราตกใจสุดๆ หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม

“เฮ้ย! โมเข้ามาทำไม!?” เราหลุดปากร้องออกไปอย่างตกใจ รีบคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างๆ มาห่มบังร่างตัวเองไว้พร้อมกับหันหลังหลบ ตาโมได้ยินก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้ามาใกล้ๆ
“โอ๋ๆ ขอโทษนะ ผมจะเอาหนังสือมาคืน ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ตกใจ” ตาโมพูดเนียนๆ แล้วเดินอ้อมมากอดเราจากทางด้านหลังดื้อๆ

เรายอมรับนะว่าตอนนั้นเราตกใจจนตัวแข็งทื่อ ขนลุกไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเอ๋อให้น้องมันกอดรัดซะแน่น หน้าอกเบียดเสียดกับแผ่นหลังเรา เวลาที่ท่อนแขนของโมโอบกระชับเข้ามา มันรู้สึกแปลกๆ หวิวๆ จนตัวสั่นไปหมด รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังดันทิ่มก้นเราอยู่

เราหันหน้ากลับไปจ้องสบตากับโม สายตาของเราสองคนจ้องประสานกันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวๆ วูบวาบ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ ก่อนที่เราจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ใช้สองมือดันร่างตัวเองออก พร้อมกับรีบชิงออกปากไล่

“โม... โมกลับไปก่อนนะ พี่ขอเวลาออกกำลังกายแป๊บนึง ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง” เราเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบพร่าและสั่นสะท้าน

โมฟังแล้วก็ไม่ได้ออกอาการงอแงแต่อย่างใด ตอบเออออง่ายๆ ก่อนจะเดินกลับออกไปทางประตูหน้าบ้าน ทิ้งให้เราได้แต่ยืนหอบแฮ่กๆ เหงื่อกายแตกพลั่กๆ ซึ่งถ้าตรงหน้านั้นมีกระจกอยู่ด้วย เราก็คงจะได้เห็นว่าใบหน้าของตัวเองนั้นมันกลายเป็นสีแดงแป๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันเป็นช่วงเวลาแค่เพียงสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งนาที ที่ร่างของเราสองคนแนบชิดกัน ช่วงเวลาแห่งความวาบหวิวในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำ มันกลับทำให้หัวใจของเราเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มอายุห่างกันเกือบ 10 ปีอย่างโม

เชื่อมั้ยว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับมันมากไปกว่าการเป็นเพื่อนบ้านธรรมดาๆ เลยนะ แต่อ้อมกอดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แค่เศษเสี้ยวนาที กลับทำให้หัวใจของเราเตลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดนี้... ภาพของโมที่เคยเป็นเด็กกะโปโลคนนึง กลับถูกแทนที่ด้วยภาพของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างกำยำหน้าตาหล่อเหลา อ้อมกอดอบอุ่นจากมัดกล้ามแขน แผงอกแน่นๆ ที่เบียดเสียดเราอยู่

และที่ร้อนแรงที่สุดก็คือ... เจ้าแท่งเนื้ออวบอ้วนแข็งๆ ที่พยายามบดเบียดเข้าหาบั้นท้ายของเรา ขนาดว่าสัมผัสกันแค่ช่วงสั้นๆ ผ่านเนื้อผ้าเรายังรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งและใหญ่โตของมันได้ชัดเจนถึงเพียงนี้... แล้วรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของมันจะใหญ่โตน่ากลัวขนาดไหนกันนะเนี่ย...?

เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ นี่เราเผลอคิดทะลึ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย!?

เราได้แต่นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ ที่มัวแต่ยืนนิ่งปล่อยให้โมได้โอบได้กอดตามใจชอบ โดยไม่ได้พยายามแสดงอาการไม่พอใจ หรือแสดงกิริยาห้ามปรามแบบจริงจังให้อีกฝ่ายได้เห็นเลยซักนิด ซึ่งถ้าเกิดว่าตอนนั้นตาโมมันเกิดหื่นแล้วจะปล้ำเราขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปมีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนหรือต่อสู้ได้ซักแค่ไหน อึ๋ย..... พอนึกแบบนี้แล้วเราก็อดเสียวสันหลังวาบขึ้นมาไม่ได้

เราพยายามสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปให้เร็วที่สุด หันมาตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังกายตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก แต่ก็เหมือนว่าภาพและรสสัมผัสจากเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นมันจะยังคงคอยหลอกหลอนเราโดยไม่ลบเลือนหายไปไหน เราใช้เวลาเรียกเหงื่ออยู่ราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็เริ่มเหนียวตัวไปหมด เนื้อตัวเปียกชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มชุด โดยเฉพาะตรงบริเวณหว่างขาที่มันช่างรู้สึกเหนอะหนะมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหงื่อหรือว่าเกิดจากอะไรกันแน่...

หลังรอดจากเหตุการณ์หวาดเสียวมาได้แบบหวุดหวิด เราก็ยังไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังอยู่ดี ยังคงพยายามทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากไม่อยากให้มันลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ แถมว่ากันตรงๆ แล้ว... น้องมันก็ยังไม่ได้ถึงขั้นลวนลามเราแบบประเจิดประเจ้อ ยังพอจะอ้างได้ว่าแค่ตั้งใจจะช่วยกอดปลอบเราให้หายตกใจเท่านั้นเอง ซึ่งไอ้การที่เราทำตัวนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดเลยก็ว่าได้

เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่า ช่วงที่ตาโมเริ่มเดินหน้าเข้ามาจีบเรานั้น พอเราเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ไม่ตอบโต้อะไรออกไป กลับยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นได้ใจ กล้าเดินหน้ารุกเข้ามามากกว่าเดิม แล้วล่าสุดนี่น้องมันเล่นบุกเข้ามากอดเราถึงในบ้านขนาดนี้ แต่เราดันไม่ได้แสดงท่าทีโวยวายอะไรออกไปเลย อีตาโมก็คงยิ่งหลงคิดว่าเรามีใจจะเล่นด้วยแน่ๆ ล่ะค่ะ

“ขอคุยอะไรหน่อยได้มั้ย” เราตัดสินใจโทรไปเคลียร์กับโมตรงๆ ในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งโชคดีที่วันนั้นพี่อ๊อฟต้องไปจัดบูธเตรียมงาน ไม่ได้กลับบ้านพอดี ทำให้เราพอจะมีเวลาสะสางปัญหาส่วนตัวได้โดยไม่ต้องมานั่งพะวงหลัง
“ว่าไงครับพี่” โมตอบกลับมาแทบจะในทันที
“พี่ถามจริงๆ นะ โมกำลังคิดอะไรเกินเลยกับพี่รึเปล่า” เราแสร้งถามเปิดประเด็น ทั้งๆ ที่ในใจน่ะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ฝั่งโมเงียบไปอีกครู่นึง แล้วจึงตอบกลับมา

“นี่พี่คิดว่าผมกำลังจีบพี่อยู่เหรอ” คำตอบของโมทำเอาเราแอบฉุนนิดๆ
“ก็แล้วที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าจีบเหรอ” เราเอ่ยถามย้ำด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
“ก็จีบน่ะสิครับ แฮะๆ” อีตาโมดันตอบกลับมาแบบหน้าด้านๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เล่นเอาเราไปต่อไม่ถูก

“จะบ้าเหรอ นี่พี่แก่กว่าโมเป็นสิบปีเลยนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ เรื่องความรักความชอบ มันไม่เกี่ยวกับอายุซักหน่อย”
“พอเหอะ พี่ว่ามันไม่เวิร์คหรอก”
“พี่พัชไม่รู้สึกอะไรกับผมมั่งเลยเหรอ แค่เพราะผมเกิดช้าไปนิดเดียวเนี่ยนะ” อีตาโมรัวใส่มาเป็นชุดๆ คราวนี้ชักขำไม่ออกแล้วค่ะ

“แต่พี่มีครอบครัวแล้วนะโม” เรารีบยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมชอบพี่พัชจริงๆ นี่นา... พี่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมอยากคบหาด้วยจริงๆ นะ”
“แต่ว่ามันไม่ดี” เราพยายามที่จะทักท้วงกลับไป แต่อีกฝ่ายนั้นไม่ยอมเปิดโอกาสให้เราได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
“พี่ไม่ต้องมารู้สึกอะไรกับผมก็ได้ ปล่อยให้ผมได้แอบชอบพี่ข้างเดียวอยู่แบบนี้ ขอแค่พี่อย่ารังเกียจผม อย่าหลบหน้าผม แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ” คำพูดอ้อนวอนของโมทำให้เราเถียงอะไรไม่ออก

“ถ้าโมยังยืนยันจะทำแบบนั้นจริงๆ สัญญาได้มั้ยว่าทุกอย่างมันจะหยุดอยู่แค่นี้ อย่าให้อะไรมันเลยเถิดไปมากกว่านี้อีก พี่ให้โมได้แค่นี้จริงๆ” เราตัดสินใจเสนอทางออกที่คิดว่าดีที่สุดออกไปให้กับอีกฝ่าย แม้จะรู้ดีว่ามันค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ทวีความวุ่นวายและยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าโมก็รีบตกปากรับคำในทันที

แต่เมื่อทุกอย่างมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว.... ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ก็เลยมีแต่จะยิ่งถลำลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ...

=======================================

แม้ปากจะบอกว่าพอใจกับการได้เป็นฝ่ายแอบชอบเราอยู่ข้างเดียวเงียบๆ แต่การกระทำของโมที่แสดงออกมานั้น ดูเหมือนมีแต่จะยิ่งตรงกันข้ามกับที่ตัวเองเคยพูดมา เวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคนในบ้าน มือไม้ของโมก็ชักจะเริ่มอยู่ไม่สุข เริ่มมีเนียนๆ ยื่นมาแตะเนื้อต้องตัว พยายามจับมือถือแขนเราทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเราก็จะคอยบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงมันอยู่ตลอด

เราเองตั้งใจไว้ว่าจะหยุดไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่เกินเลยไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะแค่นี้เราก็ถือว่าทำผิดต่อพี่อ๊อฟมามากพอแล้ว แต่อย่างที่เค้าว่ากัน 'น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน' แล้วนับประสาอะไรกับใจคน โดยเฉพาะกับหัวใจอันบอบบางของผู้หญิงขี้เหงาวัยเฉียดๆ จะ 30 แบบเรา ที่ต้องมาโดนเด็กหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดี มาคอยออเซาะออดอ้อน พร่ำบอกรักให้ฟังแทบจะวันเว้นวัน

พอเจอตื้อหนักๆ เข้า ไอ้เราก็ชักจะเริ่มออกอาการเป๋ๆ มีแอบเผลอใจ หวั่นไหวไปกับน้องมันบ้างเหมือนกัน จนช่วงหลังๆ เราก็เริ่มที่จะทำใจ ปล่อยให้น้องมันจับมือถือแขนเราได้ตามใจชอบ จนกลายเป็นเรื่องปกติ นานๆ ทีถึงจะคอยชักมือหลบบ้าง พอให้ไม่น่าเกลียด

จากที่เคยยืนกรานปากแข็งกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเผลอไปชอบโม ไม่มีทางสนใจ สุดท้ายกลับกลายเป็นเราเสียเอง ที่ทำตัวเหมือนคอยให้ท่า ปากว่าตาขยิบ เปิดทางให้อีกฝ่ายได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมถึงร่างกายแบบนี้ ไม่ทันได้รู้ตัวเลยซักนิดว่าไอ้การเข้ามาวุ่นวาย เจ๊าะแจ๊ะวอแวของตาโมที่เคยนึกรำคาญใจ มันกลับกลายเป็นว่าทำให้เรายิ่งรู้สึกกระชุ่มกระชวย รู้สึกภูมิใจที่มีเด็กหนุ่มหล่อๆ มาคอยหยอดขนมจีบอยู่แบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่... ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลกอะไร ถ้าสุดท้ายแล้วน้องมันจะพออ่านความรู้สึกของเราออก ในเมื่อเรากล้าเล่นด้วยแล้ว อีกฝ่ายก็เลยกล้าที่จะรุกเข้ามาประชิดแบบถึงเนื้อถึงตัว โดยไม่นึกเกรงใจใดๆ อีกต่อไป

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่คอยฉุดรั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโมต้องเลยเถิด ก็คือเส้นบางๆ ที่เรียกกันว่า 'ศีลธรรม' ซึ่งต่อให้เส้นศีลธรรมของเราจะมั่นคงหนักแน่นซักเพียงไหน แต่ในเมื่อเรากล้าปล่อยให้มันถูกบั่น ถูกทอนลงทุกวันๆ สุดท้ายแล้วมันก็มีแต่จะนับวัน รอเวลาที่จะขาดผึงออกจากกันเท่านั้นเอง

ซึ่งไอ้เจ้าเวลาที่ว่านั้น... ก็ดันเดินทางมาถึง โดยที่เราไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ซะด้วย....

“พี่พัช ไปหาไรกินกันมั้ย?” โมเอ่ยปากชวน ระหว่างที่นั่งดูเราทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ไม่เอา พี่ไม่อยากออกไปไหน” เราพยายามหาข้ออ้างปฏิเสธ แต่อีน้องมันก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ถ้างั้น เดี๋ยวผมไปซื้อเข้ามาให้นะ พี่อยากกินอะไรอ่ะ?”
“ไม่ต้องหรอก โมไปกินก่อนเลยก็ได้ พี่ยังไม่หิว” เราเองก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน สุดท้ายตาโมก็เลยต้องยอมเดินคอตกออกไปหาอะไรกินคนเดียว

เราก็ดันเผลอนึกไปว่าอีตานี่จะยอมแพ้ง่ายๆ แต่ที่ไหนได้... อีก 15 นาทีต่อมา โมก็เดินกลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับถุงก๋วยเตี๋ยวในมือสองถุง

“ผมซื้อเย็นตาโฟมาฝาก พี่พัชกินกับผมนะพี่” พ่อตัวดีเอ่ยปากพร้อมกับเดินไปแกะเย็นตาโฟใส่ชามในครัวโดยไม่รอคำตอบ
“ปัดโธ่... พี่ก็บอกแล้วนี่นาว่าไม่ต้องๆ ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ” เราบ่นอุบอิบ แต่ก็ยังยื่นมือไปรับชามก๋วยเตี๋ยวมาจากมือของอีกฝ่าย
“อร่อยนะครับ ลองกินดูก่อน ร้านนี้ผมพึ่งไปลองมาอาทิตย์ก่อนเอง” โมพูดแล้วส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ เชอะ! คิดว่าเอาของกินมาล่อแล้วเราจะหลงกลรึไง?

ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เย็นตาโฟในชามของเราก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป ฮ่วย....

ก็น้องมันเล่นมัดมือชก แอบไปซื้อเข้ามาให้กินถึงบ้านนี่นา... ทั้งๆ ที่เราเองก็พยายามปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ ไม่ใช่ว่าจะยอมเออออไปกับมันง่ายๆ ซะหน่อย เราพยายามคิดหาข้ออ้างมาเข้าข้างตัวเอง เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดทีหลัง

“อร่อยดีนะครับ” โมเอ่ยปากชวนคุย ระหว่างที่กำลังช่วยเราล้างชามอยู่ในครัวหลังบ้าน
“อืม ก็อร่อยดี ร้านมันอยู่ตรงไหนนะ?”
“อยู่ตรงปากซอยข้างๆ นี่เองครับ ชื่อร้านลูกชิ้นลุงอ้วน”
“อ๋อ... อืม คุ้นๆ เหมือนพี่จะเคยเห็นอยู่”
“ครับ ร้านนั้นแหละครับ” โมตอบทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราสองคนจะเงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา

บรรยากาศในครัวชักเริ่มจะอึดอัด พอเราจะหันหน้ากลับไปชวนคุยอีกที ริมฝีปากของเราก็พลันปะทะเข้ากับริมฝีปากของโมที่จู่โจมเข้ามาแบบพอดิบพอดี

“อื้อ!? อื้ออออออ!!!” เราได้แต่ร้องอู้อี้อยู่ในลำคอด้วยอารามตกใจ ดวงตาเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน ริมฝีปากถูกประกบล็อคไว้จนไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ออกมาได้

เราพยายามใช้ท่อนแขนผลักร่างของโมให้ถอยห่างออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ่งพยายามดัน อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรง โถมร่างเข้าประชิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ร่างบางๆ ของเราจะค่อยๆ ลอยละลิ่วเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนายโมอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ ก็แหม... ผู้หญิงร่างบางๆ สูงแค่ 160 นิดๆ แบบเรา จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปขัดขืนเด็กหนุ่มหุ่นล่ำบึ้กสูง 180 ต้นๆ ได้ล่ะคะ?

“อือ... อออ โม ปล่อยพี่นะ! ยะ.. อย่า.. อื้ม! อื้อออออ!” เราออกแรงดิ้นสะบัดใบหน้าจนหลุดออก พยายามเอ่ยปากร้องห้ามเสียงหลง แต่ไม่ถึงอึดใจ ก็ถูกพ่อตัวดีตามประกบจูบปากอีกรอบ แถมคราวนี้อีกฝ่ายยังพยายามสอดลิ้นเข้ามาในช่องปากของเราอีกด้วย
“นี่... พี่โกรธ.. จริงๆ นะ... อึ่ อือ.. อออ อื้ม... มมม อื้ออออ!” ไม่ว่าเราจะดิ้นรนออกมาได้ซักกี่ครั้ง โมก็จะยังคอยตามประกบจูบปากเราอย่างไม่ย่อท้อ เสียงครางอู้อี้ของเราจึงดังแข่งกับเสียงดูดปากจ๊วบจ๊าบ สลับกันไปมา

ลิ้นสากๆ ของโมคอยตามพัวพันรัดรึงเข้ากับปลายลิ้นของเราจนแทบจะหายใจไม่ออก มัดกล้ามแน่นๆ ที่กำลังโอบกอดกระชับ กลับกลายเป็นหลักพึ่งพิงที่คอยช่วยประคองร่างของเราเอาไว้ ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น ด้วยเพราะแข้งขานั้นเกิดอ่อนปวกเปียกจนแทบหมดเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวได้ไหว

มันเป็นจูบแรกระหว่างเราสองคน เป็นรสจูบที่เปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนและดูดดื่ม  มันช่างหนักแน่น... ดุดัน... ซ้ำยังกะทันหันจนแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือได้ทัน เราได้แต่ยืนบื้อเป็นเป้านิ่ง ปล่อยตัวปล่อยใจให้โมได้ชอนไชด้วยปลายลิ้นและริมฝีปาก สองมือที่เคยโอบกอดเราไว้นิ่งๆ บัดนี้กลับเลื้อยไล้ไต่สำรวจไปตามส่วนโค้งเว้าบนลำตัวของเราอย่างสนุกมือ

ในใจเราแอบเผลอคิดไปล่วงหน้าแล้วว่า วันนี้ตัวเองคงจะไม่รอดพ้นเงื้อมมือของตาโมแน่ๆ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นรูปภาพงานแต่งของเรากับพี่อ๊อฟที่แขวนติดอยู่ที่ผนัง หัวใจของเราก็พลันเจ็บจี๊ดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...

นี่เรากำลังจะปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมาย่ำยีโดยไม่คิดจะต่อต้านขัดขืนเลยเหรอ!?

พอคิดแบบนี้แล้ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในหัวของเราก็พลันหวนย้อนคืนมาอีก ไม่มีทาง! เราจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายหื่นกามที่ไหนได้เข้ามาทำอะไรตามใจชอบในบ้านของเราแน่ๆ อย่างน้อยก็ขอลองสู้ตายดูซักตั้ง!

แต่ขณะที่เรากำลังรวบรวมกำลังเพื่อเตรียมจะดิ้นรนขัดขืนนั้นเอง จู่ๆ โมก็กลับถอนริมฝีปากออกมาดื้อๆ มองเห็นน้ำลายยืดยาวติดเป็นสาย สองมือที่เคยซุกซนก็พลันหยุดแน่นิ่งเหมือนกับของเล่นที่พึ่งจะถ่านหมด สายตาของเราสองคนจ้องประสานกัน แววตาของเราตอนนี้สะท้อนแต่ความรู้สึกสับสนปนสงสัย ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรต่อไปกันแน่

“ผมชอบพี่พัชนะครับ... ชอบมากด้วย... ให้โอกาสผมหน่อยได้มั้ย?” จู่ๆ โมก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลแต่แฝงเอาไว้ด้วยความจริงจัง แตกต่างจากภาพของไอ้หนุ่มหื่นกระหายเลือดเมื่อครู่นี้แบบคนละเรื่องเลยล่ะค่ะ

ว่าแต่... ให้โอกาสอะไรของแก? หมายความว่าไงยะ!?

ท่าทีนุ่มนวลของโมทำให้เราเกิดสับสนขึ้นมาจนทำอะไรต่อไม่ถูก ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ใหญ่ โตกว่า อายุมากกว่าแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้เด็กหนุ่มอายุห่างกันเกือบหนึ่งรอบ มาเล่นเอาล่อเอาเถิดจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอยู่แบบนี้ จังหวะที่เรากำลังนิ่งอึ้งค้างอยู่นั้น อีตาโมก็ไม่รอช้าล่ะค่ะ รีบฉวยโอกาสประกบปากจูบเราอีกครั้งทันที

พอโดนบุกอีกรอบคราวนี้เราหมดเรี่ยวแรงเลยค่ะ กลับกลายเป็นยินยอมพร้อมใจ ปล่อยให้น้องมันดูดปากแลกลิ้นซะจนหนำใจ ได้แต่ยืนตัวสั่นสะท้านแข้งขาอ่อนปวกเปียก สองมือของเราก็เผลอโอบหาร่างของโมอย่างลืมตัว

คราวนี้เราจนมุมของจริงแล้วค่ะ หมดสิ้นทั้งความหวังและพลังที่จะต้านทานรสสัมผัสอันเร้าใจของนายโมได้โดยสิ้นเชิง...


แก้วตาดวงใจ 1.เหตุเกิดเพราะเปิดประตู



1.เหตุเกิดเพราะเปิดประตู

   ในสถานการณ์โควิดระบาด  เหล่านักเรียนต่างพากันอยู่บ้านเรียนออนไลน์กันหมดไม่เว้นแม้แต่เอก  เด็กหนุ่มวัย 18 นักเรียนมัธยมปลายที่กำลังจะได้เลื่อนเข้ามหาลัยในปีหน้าก็เช่นกัน  เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้เขาจึงต้องนั่งจับเจ่าเฝ้าบ้าน  มีเพียงคอมพิวเตอร์กับ  แก้ว  คุณแม่ยังสาววัย 37 กะรัตอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น

   มีหลายคนมักจะทักเอกเสมอว่าแม่ของเขาออกจะยังสาวมากนักเมื่อเทียบกับอายุลูกชาย  ซึ่งเรื่องนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเคยพูดถึงพร้อมกับมองหน้าแม่เขาด้วยดวงตาเป็นประกาย  และนั่นทำให้เอกเคยถึงกับอาละวาดด้วยเรื่องแค่นี้มาแล้ว  แม้ความเป็นจริงที่แม่เขายังสาวอย่างนี้นั่นเพราะเธอตั้งท้องเขาตั้งแต่อายุ 18

   สมัยนั้นเพราะความสวยใสไร้เดียงสาของแก้ว  รูปร่างของเธอก็อวบอิ่มเต็มตึงดูเป็นแม่พันธุ์ชั้นดี  ผิวขาวเนียนราวปุยฝ้ายอีกทั้งหน้าอกหน้าใจยังโตตึงเกินวัยถึงคัพ Dจึงทำให้เธอถูกวินัย  หนุ่มรุ่นพี่มหาลัยปี 4 ข้างบ้านหลอกล่อหลอกจีบจนเธอเผลอตัวเผลอใจให้  ด้วยความไร้เดียงสาจึงทำให้เธอตกหลุมพรางหนุ่มรุ่นพี่  เรือนร่างขาวเนียนถูกคาวกามสาดซัดจนหม่นหมอง

   และด้วยความปรารถนาจากฮอร์โมนอันพุ่งพล่านของวัยรุ่นจึงทำให้ทั้งสองเสพสมกามราคะกันอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย  กระทั่งผลพวงของเพลิงกามก็ทำให้แก้วตั้งท้องเอกตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้ามหาลัย  และนั่นเป็นเหตุให้วินัย  เด็กหนุ่มมหาลัยต้องรับผิดชอบเป็นพ่อคนตั้งแต่ยังเรียนสถาปัตย์ไม่จบเลยด้วยซ้ำ

   และด้วยความที่แก้วเป็นคุณแม่ยังสาว  วินัยก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้  วินัยจึงต้องทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่มๆเพื่อหาเงินมาคอยจุนเจือครอบครัวจนแทบไม่มีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่นัก  เหตุนี้เองเอกจึงสนิทกับแม่เป็นอย่างมาก  ผิดกับพ่อที่เอกจะไม่ค่อยเข้าหาเท่าไหร่นัก

   ยิ่งได้เจอกับสถานการ์ต้องกักตัวอยู่บ้านอย่างนี้ด้วยแล้ว  สองแม่ลูกจึงยิ่งมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นไปอีก

   “แม่  เอกหิวข้าวครับ”เด็กหนุ่มเดินลงมาจากห้องชั้นสอง  ตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ด้วยความหิวโหยพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาแต่ไร้วี่แววผู้เป็นแม่อย่างน่าประหลาด “...ไปไหนแล้วล่ะเนี่ย”เขาบ่น  เดินลงบันไดมาเรื่อยๆกระทั่งเข้าไปในห้องครัวเพื่อตักอาหารกินด้วยความหิว

   “ซี๊ดดดดด  ฮื่อออออออ  พี่นัย  อูยยยย  พ-พี่นัย  โอวววว”เสียงร้องครวญครางดังแผ่วออกมาจากห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับครัว  ซึ่งเสียงอันแสนจะสยิวซ่านนี้ไม่มีทางพ้นหูเด็กหนุ่มไปได้

   เอกแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าแม่ผู้เรียบร้อยกิริยามารยาทนุ่มนวลราวกับนางในวรรณคดีจะแอบซ่อนอารมณ์เร่าร้อนรุนแรงเอาไว้อย่างนี้  เสียงร้องอันแหลมเล็กโหยหวนราวกับคนกำลังจะขาดใจพาให้เอกควยแข็งตุงกางเกงบ๊อกเซอร์ทันที  อารมณ์อยากปะทุขึ้นราวกับดินประสิวเจอกับประกายไฟทำให้เขาตัดสินใจจะแอบดูทันทีโดยแทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

   ห้องน้ำในบ้านนี้มีช่องระบายอากาศเป็นอิฐบล็อครูใหญ่ติดอยู่ในตัวบ้าน  ส่วนด้านนอกเป็นบล็อกระบายอากาศรูเล็ก  การจะแอบดูใครอาบน้ำให้สะดวกจึงต้องดูจากในบ้านเท่านั้น  และแม้ว่าช่องระบายอากาศจะสูงกว่าสองเมตรแต่มุมด้านนอกมุมหนึ่งได้วางเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่เอาไว้  จึงไม่ยากเลยที่เอกจะปีนขึ้นไปเกาะรูช่องอิฐบล็อค  ชะโงกหน้าแอบดูแม่แท้ๆ

   ภาพที่เห็นคือเรือนร่างขาวเนียนอวบอิ่มของแก้วกำลังนั่งชันเข่าถ่างขาพิงผนังห้องน้ำหันมาทางช่องระบายอากาศอย่างพอดิบพอดีโดยที่เธอก้มหน้าหลับตาพริ้ม  เนินนมขาวสะอาดใหญ่โตเกินมือสะท้อนตามแรงหอบหายใจพาให้ยอดเต้ากลมชูชันสีน้ำตาลอ่อนเคลื่อนไหวตามราวกับจะยั่วเย้าให้ดูด  ขณะที่มือซ้ายแหวกกลีบแคมนอกสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกโกนขนจนเรียบเนียนออกหมดและใช้นิ้วจากมืออีกข้างบดบี้ติ่งแตดเหนือกลีบร่องแดงสดด้านในสลับกับเสียบนิ้วเข้าไปชำเราร่องตัวเองอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน

   เมือกเสียวใสๆจำนวนหนึ่งไหลเยิ้มออกมาตามจังหวะนิ้วตลอดเวลา  มันยืดเยิ้มลงมาจากแคมในแดงสดหยดลงพื้นกระเบื้องอย่างต่อเนื่องกระทั่งเป็นแอ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทน้ำเยอะขี้เงี่ยน

   เอกจ้องมีกลีบแคมในแดงสดของผู้เป็นแม่ตาไม่กระพริบ  ความสวยงามในตอนที่แก้วร้องครวญครางพร้อมกับสอดนิ้วลึกเข้าไปในร่องรักเพื่อเผด็จศึกตัวเองแล้วปล่อยให้ร่างสั่นกระตุกขับเมือกเยิ้มออกมาอาบชุ่มนิ้วเป็นภาพที่แสนจะตราตรึงชวนให้ศีลธรรมอันน้อยนิดในตัวเด็กหนุ่มหายวับไปทันที

   เอกรีบถอยก้าวลงจากหลังเครื่องซักผ้า  ย่องกลับขึ้นห้องเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ได้เห็นด้วยใจเต้นรัว  ควยเขาในตอนนี้แข็งจนปวด  จิตใจอันสกปรกที่เคยแอบซ่อนเอาไว้ลึกๆเผยออกมาพร้อมกับน้ำเงี่ยนใสๆที่ซึมเยิ้มปลายควย  ใช่แล้ว  เขาแอบหลงรักแม่ตัวเอง  หลงรักมานานแสนนานแต่ต้องเก็บงำเอาไว้เพราะรู้ว่าไม่เหมาะสม

   เด็กหนุ่มแทบควบคุมตัวเองไม่ได้  อาจเพราะเขาเป็นลูกแม่เขาจึงเป็นคนมีอารมณ์สูงไม่ต่างกันและความทรมานนี้เองช่วยผลักดันให้เขาต้องนั่งลงบนเตียง  ควักควยท่อนโตออกมาสาวชักอย่างหนักหน่วงรุนแรงพร้อมกับหลับตานึกภาพกลีบร่องเยิ้มๆกับใบหน้าผู้เป็นแม่ที่กำลังเสร็จสมในห้องน้ำเมื่อครู่ให้ขึ้นใจ

   “เอกไม่ไหวแล้วแม่  เอกขอโทษ”เขารำพึง  เร่งรูดเตรียมจะกระฉูดกระสุนกาวเหนียวออกมารอมร่อ

   “เอก  กินข้าวรึยังลูก”แก้วในสภาพสวมแว่นตา  นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเปิดประตูเข้ามาในจังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มสโตกทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย

   ปรี๊ดดดดดดด

   เมือกคาวข้นปริมาณมากถูกขับออกจากกระบอกปืนใหญ่ท่อนโต  พุ่งข้ามห้องไปไกลกว่าสามเมตร  กระทบเข้ากับต้นขาเนียนขาวราดลงมาถึงปลายเท้าอย่างเหมาะเหม็ง  เล่นเอาแก้วถึงกับยืนอึ้งพูดไม่ออก

   ภาพควยใหญ่ๆหัวบานแดงก่ำของลูกชายกระตุกอยู่ในมือพร้อมกับพ่นน้ำระลอกสองออกมารดหลังเท้าเธอไม่ได้น่าตกใจเท่าได้สัมผัสความรู้สึกจากเมือกข้นอุ่นระอุที่ฉีดมาสัมผัสต้นขา  แก้วพูดไม่ออกจริงๆกับความเหนียวข้นและอุ่นร้อนของมัน  ความคิดแว๊บหนึ่งในหัวบอกว่าหากเอกนั่งบนพื้นแล้วปล่อยน้ำพ่นขึ้นมาในองศาที่สูงกว่านี้ล่ะก็มันคงจะเจอเข้ากับกลีบเนียนนุ่มอันแสนหวงแหนของเธอพอดีแน่

   “แม่...”เด็กหนุ่มพูดไม่ออก  มือกำควยคาไว้ด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

   “เอก...ช่วยตัวเอง...เอ้ย!!  แม่ขอโทษลูก”แก้วหน้าแดงก่ำ  รีบปิดประตูกลับตามเดิมแล้ววิ่งเข้าห้องนอนตัวเอง  ปิดประตูยืนพิงอยู่อย่างนั้นเพื่อทำใจ  มือเรียวนุ่มสอดเข้าไปใต้ชายผ้าขนหนู  แตะเมือกข้นเหนียวสีขาวขุ่นอมเหลืองที่ข้นราวกับกาวยางแล้วแอบขนลุกนิดๆ  มดลูกของเธอสั่นระริกแปลกๆพร้อมกับเมือกเสียวที่ไหลออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  “ทำไมมันถึง...บ้า!!  คิดอะไรเนี่ยยัยแก้ว”

   สาวแว่นส่ายหัวสะบัดความคิดแปลกๆออก  รีบไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ด  แต่ด้วยความข้นของมันจึงทำให้เธอแทบจะใช้ทิชชู่แห้งเช็ดไม่ออก  ยิ่งเช็ดก็ยิ่งมีอารมณ์  ยิ่งเช็ดกลีบเนื้อเนียนของเธอก็ยิ่งหลั่งของเหลวออกมาชโลมเยิ้มเต็มหว่างขา  แต่ด้วยความเป็นแม่เธอจึงฝืนทนความรู้สึกตัวเองไว้และตั้งสติได้ในที่สุด

   

   บนโต๊ะอาหาร  สองแม่ลูกต่างกระอักกระอ่วนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนต่างไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา  แต่ในที่สุดแก้วก็ทนอึดอัดใจต่อไม่ไหว  ต้องเอ่ยปากพูดทำลายความเงียบออกมาในที่สุด

   “เอก  เมื่อกี้แม่ขอโทษนะ  ทีหลังแม่จะเคาะประตูก่อนนะลูก”

   “ม-ไม่เป็นไรครับ  เอกก็ขอโทษนะครับ  เอกไม่ได้ตั้งใจจะ...”เด็กหนุ่มเว้นวรรคคำพูดชั่วขณะ  สายตาคมกริบของเขาสังเกตได้ว่าผู้เป็นแม่มีอาการสะท้านพร้อมกับขยับสะโพกไปมาอย่างอยู่ไม่สุข  แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์เขาจึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร

   ขณะเดียวกันแก้วที่นั่งอยู่อีกด้านเมื่อได้ยินถ้อยคำของลูกชายก็พาลนึกถึงน้ำข้นๆของเขาที่เกือบเลอะขึ้นมาถึงร่องสาวก็พาลน้ำเดินอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนต้องขยับขาหนีบกันเอาไว้พร้อมกับความรู้สึกผิดที่เกิดมีอารมณ์กับลูกชายขึ้นมาได้

   “ไม่หรอก  เอกไม่ผิด  แม่ลืมไปว่าลูกโตแล้วก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวกันบ้าง...เฮ่อ...ลูกแม่โตเป็นหนุ่มแล้วเหรอเนี่ย”เธอทอดถอนหายใจ  พยายามเก็บกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกประเจิดประเจ้อนัก “ว่าแต่เรียนได้มั้ยเอก  ออนไลน์แบบนี้เห็นว่ามันทำให้เด็กไม่ค่อยมีสมาธิแล้วยังเรียนได้ไม่ดีเท่าในห้องอีก  ถ้าไม่ไหวยังไงบอกแม่นะเผื่อแม่ช่วยได้”

   “ก็ดีครับ  แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆนั่นแหละ  เรียนแบบนี้จอมันเล็กมองไม่ชัด  จะถามก็ลำบาก  บางทีต้องอ่านเองอีกตั้งหลายรอบ  ยากเหมือนกันแม่  สงสัยกว่าจะเข้าวิศวะได้คงอ่านหนังสือจนป่วยแน่เลย”

   “ไม่เป็นไรนะ  เดี๋ยวแม่ทำของโปรดบำรุงให้  สู้ๆ  แม่อยู่ข้างเอกอยู่แล้ว”แก้วเอ่ยอย่างแสนใจดีพร้อมกับตักแกงจืดให้ลูกชายด้วยความเป็นห่วง  แต่ในจังหวะนั้นเองคอเสื้อของเธอก็พลอยตกลงมาให้เอกได้เห็นร่องลึกของทรวงอกใหญ่เต็มเต้าจนเขาตัวชาควยลุกอย่างห้ามตัวเองไม่ได้อีก

   “...แม่...แม่ก็กินเยอะๆนะครับจะได้แข็งแรง  จะได้ดูแลเอกได้ไง”เอกพูดตะกุกตะกักเบี่ยงเบนความสนใจพร้อมกับก้มหลบสายตาผู้เป็นแม่ไม่ให้จับพิรุธได้ไปด้วย

   “เจ้าลูกชายคนนี้นี่ปากหวานเป็นเหมือนกันนะ”

   สองแม่ลูกค่อยๆกลับมาพูดคุยกันตามปกติอีกครั้งได้สำเร็จ  แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้เด็กชายกับหญิงสาวกลับมีเมล็ดพันธุ์ชั่วร้ายได้เข้าเกาะกุมหัวใจและกำลังถูกบ่มเพาะให้ค่อยๆเติบโตขึ้นมาทีละนิดแล้ว

   

   หลังมื้ออาหาร  เอกยังคงสงบใจไม่ได้  ภาพการช่วยตัวเองของแม่แท้ๆ  ภาพเมือกสาวใสๆที่ไหลเยิ้มออกมาจากร่องหลืบรักด้วยแรงกำดัด  ภาพน้ำเชื้อเขาที่เปรอะเปื้อนต้นขาเธอและยังภาพร่องนมลึกตอนที่เธอก้มลงมานั่นอีก  ทุกภาพตั้งแต่อดีตที่เขาไม่เคยคิดถึงมันไหลวนกลับมาอยู่ในหัวเพียงชั่วพริบตาเพียงเพราะได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น  และนั่นทำให้เอกต้องแอบย่องลงชั้นล่างไปค้นตะกร้าผ้าหยิบเอากางเกงในผ้าลื่นสีน้ำเงินเข้มของแม่ออกมาจากตะกร้าพร้อมคว้ากระดาษทิชชู่ม้วนใหญ่ขึ้นห้องมาด้วยเพื่อใช้บริการแม่นางทั้งห้าของตน

   หนังโป๊เรื่องแม่ลูกเรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกเปิดวนไปมาให้เขาจับจ้องมองดูมันแล้วใช้จินตนาการถึงแม่ตัวเอง  มือข้างหนึ่งจับแผ่กางเกงในให้ตรงเป้าที่มีคราบเมือกแห้งกรังติดอยู่แล้วเอามาสูดกลิ่นคาวกรุ่นกลิ่นไอผู้เป็นแม่เข้าเต็มปอด  อีกมือก็สาวชักทำร้ายร่างกายตัวเองไปด้วยอย่างหนักหน่วง

   ทิชชู่ถูกเอามารองรับน้ำเชื้อข้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดไปถึงสองม้วนใหญ่ๆ  หนังโป๊อีกหลายต่อหลายเรื่องทำให้นัทซึมซับมันเข้ามาในหัว  ทั้งแผนการต่างๆ  ทั้งวิธีลามกทั้งหลายในหนังผลักดันให้เขาอยากลอง  อยากพิสูจน์  กว่าจะรู้ตัวในหัวเขาก็มีแต่เรื่องลามกที่อยากจะทำกับคุณแม่ทรงโตเต็มไปหมด

   

   ก๊อก!!ๆๆ

   “กินข้าวเย็นลูก”

   “...”เอกเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  กางเกงในผู้เป็นแม่ยังคาอยู่บนใบหน้าทำให้เขาต้องรีบหาทางซ่อน  ในตอนนั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกองกระดาษทิชชู่ที่ถูกทิ้งจนล้นตะกร้าขยะ  เขาจึงรีบซุกกางเกงในในมือลงไปซ่อนไว้ก้นถังก่อนจะปิดจอแล้วกลับไปนอนบนเตียงทำเป็นว่าหลับอยู่

   “หลับเหรอ”แก้วถามก่อนจะบิดลูกบิดเปิดประตูเข้ามา  ทอดสายตามองหาร่างลูกชายด้วยความสงสัย

   สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นคาวรุนแรงที่โชยออกมาจากภายในห้องทำให้เธอถึงกับผงะ  ไม่เพียงเท่านั้น  ภาพเอกที่นอนหลับบนเตียงโดยไม่ได้ใส่กางเกงพร้อมกับกระดาษทิชชู่จำนวนมากที่ถูกขยำทิ้งจนล้นออกมาจากตะกร้าขยะพาให้แก้วพูดไม่ออกอีกครั้ง

   เธอยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้อุทานอะไรออกมา  สายตาจับจ้องไปที่กองกระดาษทิชชู่จำนวนมากด้วยความตกตะลึงก่อนจะหันมองหว่างขาลูกชา  ดูท่อนควยยาวใหญ่ดำเมี่ยมนอนคอตกหมดพิษสง  แล้วจู่ๆเธอก็เอามือกุมท้องน้อยกับความเสียวที่เข้ามาเล่นงานอีกครั้ง

   แก้วมีอารมณ์จนแทบทนไม่ไหว  ภาพกองกระดาษทิชชู่พาให้เธอจินตนาการไปไกลถึงน้ำเชื้อที่ทั้งข้นทั้งเยอะของเอกว่าหากมันเข้ามาในมดลูกเธอคงจะอบอุ่นในท้องไม่น้อย  อีกทั้งหัวควยบานแดงก่ำนั่นอีก  ถึงมันจะพ่นพิษออกมาจนอ่อนแล้วแต่ความใหญ่ยาวอวบอ้วนของมันก็พาลให้เธอคันยุบยิบไปทั่วทั้งโพรงสวาท

   “อืมมมมมม...”เอกแกล้งงัวเงียตื่นทำให้แก้วต้องรีบเอามือออกจากเนินสาวที่ฉ่ำแฉะมาทำตัวให้เป็นปกติพร้อมกับเอ่ยเสียงแหบพร่าเรียกลูกชาย

   “เอก  กินข้าว...อะ-แฮ่ม!...กินข้าวลูก”

   “...แม่...ค-ครับ”เด็กหนุ่มแกล้งทำสะดุ้งเอาผ้าห่มมาปิดท่อนล่างด้วยความอาย  สายตาของเขาเห็นชัดท่ามกลางความมืดสลัวในตอนเย็นว่าผู้เป็นแม่กำลังหน้าแดงจัดซึ่งนั่นมันเหมือนกับฉากในหนังที่เขาดูไปมากๆ “ด-เดี๋ยวเอกตามไปครับ”

   “อือ...”แก้วรับคำ  เดินตัวเบาหวิวแทบขาไม่ติดพื้นออกจากห้องไปอย่างคนสติเลื่อนลอย  เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เธอแฉะแล้วแฉะอีกแทบจะตลอดเวลาจนจวนจะบ้า

   ตลอดทั้งมื้ออาหารเย็นสองแม่ลูกต้องปรับตัวกันอีกครั้ง  ต่างคนต่างพยายามพูดคุยกัน  พยายามแสดงออกให้เป็นปกติแม้สายตาที่มองกันและกันจะเริ่มมีแวววาบหวามบางอย่างก่อตัวขึ้น  ต่างคนต่างเริ่มแสดงอาการเกร็งราวกับเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน  และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นให้เอกตัดสินใจจีบแม่

   “แม่ครับ  เอกช่วยล้างจานนะ”เขาพูดขึ้นหลังมื้ออาหารระหว่างช่วยยกจานข้าวไปเก็บในครัว  หวังจะเรียกคะแนนความสนิทให้กลับมาก่อนที่พ่อจะมาถึงบ้าน

   “...วันนี้คิดยังไงถึงจะช่วยแม่ล้างจานเนี่ย”

   “ก็เอกไม่อยากให้แม่เหนื่อยนี่นา”

   “น่ารักจริงๆเลยลูกแม่  ไม่เป็นไรหรอก  ไปอาบน้ำอาบท่าซะแล้วไปอ่านหนังสือต่อเถอะ  มาช่วยแม่แบบนี้เดี๋ยวจะไม่มีเวลาอ่านเอา”

   “ก็เอกอยากช่วยแม่นี่นา”เด็กหนุ่มถือโอกาสสวมกอดเอวผู้เป็นแม่จากด้านหลัง  ซบหน้าสูดกลิ่นหอมกรุ่นจากไรผมเธอเพื่อเก็บรายละเอียด

   “...ง-งั้นเอกช่วยแม่เช็ดจานก็ได้  ช่วยกันเก็บช่วยกันล้างก็ดีจะได้เสร็จเร็วๆ”แก้วเอ่ยตะกุกตะกัก  ใบหน้าสวยแดงซ่านขึ้นอีกครั้ง

   

   ในคืนนั้นเอกหลับเป็นตายจากความอ่อนเพลียที่เสียน้ำไปเยอะในขณะที่แก้วนอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้องนอนด้วยความทรมานจากไฟราคะที่แผดเผา  เธอนอนอดทนรอสามีกลับจากที่ทำงานจนเที่ยงคืนกว่าที่เขาจะกลับมาด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าเขาจะรัดการเธอให้สาสม

   “พี่นัยคะ  คืนนี้ทำแก้วหน่อยสิ”เธอออดอ้อน  ลุกขึ้นกอดสามีทันทีทั้งๆที่เขายังไม่ทันได้ไปอาบน้ำ

   “เป็นอะไรล่ะวันนี้  อ้อนอย่างกับแมวเลย”วินัยเอ่ยยิ้มๆ  ค่อยๆถอดชุดออกเตรียมจะไปอาบน้ำด้วยความเหน็ดเหนื่อย

   “แก้วก็แค่อยาก  ไปอาบน้ำให้ก็ได้แต่พี่ทำแก้วหน่อยเถอะ”

   “วันนี้ไม่ไหวจริงๆ  พี่เหนื่อยมากเลย  ไว้พรุ่งนี้เช้าได้มั้ย”

   “โถ่  ก็แก้วอยากนี่คะ  ไม่อยากทำเมียบ้างเหรอ”หญิงสาวออดอ้อน  พยายามล้วงจับควยสามีแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่ามันอ่อนตัวคอตกไม่มีอาการสู้มือเลยสักนิด

   “อยากน่ะอยาก  แต่พ่อไม่ไหวจริงๆแก้ว  ขอพี่อาบน้ำก่อนนะ  เดี๋ยวจะมานอนกอด”

   “ก็ได้ค่ะ”แก้วเอ่ยงอนๆ  พยายามข่มไฟรักเอาไว้ไม่ให้มันกัดกินดวงใจที่ร่านราคะดวงนี้ให้มอดไหม้ไปซะก่อน

   แก้วทอดกายลงนอน  รอกระทั่งสามีออกไปอาบน้ำแล้วจึงค่อยๆเลิกชายกระโปรงชุดนอนขึ้นมากองไว้บนหน้าท้องนุ่มนิ่ม  อ้าขาแหกกว้าง  ใช้มือข้างหนึ่งแบะกลีบออกแล้วสอดมืออีกข้างลงไปเล่นติ่งเนื้อฉ่ำเยิ้มเพื่อบำบัดความใคร่ให้ตัวเองอย่างน่าสงสาร

   ภาพควยอันใหญ่โตของลูกชายไม่อาจลบออกไปจากใจได้แม้จะพยายามนึกถึงแค่ควยสามีแล้วก็ตาม  ยิ่งพยายามเลี่ยง  ภาพควยใหญ่ยาวอ่อนปวกเปียกกับหัวบานๆแดงก่ำของมันก็พาให้เธอนึกถึงจนแทบคุมตัวเองไม่ได้

   “ซี๊ดดดดดด”นิ้วลื่นๆถูกสอดเข้าไปคว้านในร่องรูรักพร้อมกับภาพจินตนาการถึงควยลูกชายว่าควยยาวใหญ่หัวบานกำลังเสียบลึกเข้าไปในตัวเธอ  สร้างภาพว่าเขากำลังกดเสียบเข้าไปจนหัวเงี่ยงบานผลุบเข้าไปในมดลูกแล้วติดอยู่ในนั้นก่อนจะเย็ดเธอจนมดลูกสะเทือน

   แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!

   ความเงี่ยนทำให้เธอเลือกจะยอมพ่ายแพ้แล้วปล่อยให้จินตนาการชักจูงข้ามเส้นศีลธรรมไปอย่างกู่ไม่กลับ  เมือกรักค่อยๆถูกขับออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติจนเตียงเริ่มชื้นแฉะเปรอะเปื้อน

   “ซี๊ดดดดดดดด...”แก้วพยายามยั้งอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ปากเอ่ยถึงชื่อลูกเพื่อป้องกันสามีจะมาได้ยิน  แต่ถึงอย่างนั้นภาพในหัวเธอกลับมีแต่ภาพลูกชายกำลังกระเด้าเย็ดเธออยู่อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับการเย็ดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตยังไงอย่างนั้น “ฮึก!!!  อ้า!!!!”

   แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  แจ๊ะ!!!  สวบ!!!!

   แก้วปักนิ้วให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้  ร่างอวบอิ่มสะท้านเฮือกเสร็จสมดังใจ  หลั่งชโลมเมือกอุ่นๆออกมาเปียกเต็มหว่างขา  เธอค่อยๆดึงชายกระโปรงลงปิด  พลิกหันไปนอนซบหมอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยปนน้อยเนื้อต่ำใจที่สามีไม่ช่วยอย่างที่เธอขอจนต้องแอบนึกถึงควยลูกชายซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกผิดไม่น้อย  และคืนนี้เธอคงต้องนอนสำนึกผิดไปตลอดทั้งคืนแน่ๆ



   เช้ามืดของวันรุ่งขึ้นแก้วตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน  ด้วยนิ้วมือของเธอไม่อาจสร้างความสุขสมพอใจให้กับเธอได้  มันเพียงแค่ช่วยให้เธอข่มตาหลับได้เท่านั้น  เมื่อตื่นขึ้นมาแก้วจึงอดจะหันไปหาสามีที่นอนหลับอยู่ไม่ได้

   “...”หญิงสาวมองสามีที่ยังคงหลับใหลอยู่ด้วยความรู้สึกขัดใจนิดๆแต่เธอก็เข้าใจว่าเขาเหนื่อยจากการทำงานมาจึงเลือกจะปล่อยให้เขานอนต่อโดยที่เธอขยับขึ้นคร่อมร่างสามี  ค่อยๆดึงค่อยๆถอดกางเกงเขาออกหวังจะปลุกลำเนื้อที่เคยใช้เปิดบริสุทธิ์เธอขึ้นมา

   “อืมมมม”เธอจับมันพลิกหงายท้องขึ้น  ใบหน้าขาวเนียนสะสวยก้มลงสูดกลิ่นอับจากรอบไรขนหนาขึ้นไปถึงปลายหัวแหลมแล้วค่อยๆรูดเปิดหนังหุ้มลงช้าๆ

   หัวควยสีแดงอ่อนเรียบลู่ราวกับหัวปลาบู่ไร้เงี่ยงส่งกลิ่นฉี่อ่อนๆออกมาให้หญิงสาวนึกอยากบริการให้ด้วยการจับมันเลียทำความสะอาดส่วนหัวให้ด้วยความเอ็นดู

   “แผล็บ  แผล็บ  แผล็บ  แผล็บ”

   “อืมมมมม”นินัยครางเบาๆ  ค่อยๆขยับพลิกตัวนอนตะแคงด้วยความรำคาญ

   “...”แก้วเม้มปากนิดๆ  รู้สึกเคืองสามีไม่น้อยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าเธอต้องการมากแค่ไหนแต่ก็ไม่คิดจะโวยวาย  เธอรู้ว่าชายหนุ่มทำงานหนักเพื่อครอบครัวและการพักผ่อนของเขาก็สำคัญ  แต่เธอต้องการมันมากจริงๆ  ต้องการมากเกินกว่าจะรอได้  ต้องการจนกลัวว่าตัวเองจะเผลอก้าวข้ามเส้นศีลธรรมที่ถูกกร่อมด้วยวัยหนุ่มของลูกชายจนแทบจะขาดอยู่รอมร่อ

   “อ้ำ!!  อืมมมม  จ๊วบบบบ”สาวสาวในชุดนอนยังคงพยายามต่อ  เธอดันสามีให้นอนหงาย  อ้างับดูดเลียท่อนลำอันแสนคุ้นเคยต่อกระทั่งมันค่อยๆแข็งตัวขึ้นทีละนิด

   “...อา...แก้ว  คิดอะไรมาอมให้พี่แต่เช้าล่ะเนี่ย”วินัยคราง  ลูบหัวเมียสาวอย่างแสนจะมีความสุข

   “แผล็บ  แผล็บ  แผล็บ...ก็ไหนพี่นัยว่าจะทำให้แก้วไงคะ  อืมมม”พูดไปเธอก็อ้าอมสลับดูดเลียไปด้วยอย่างเมามันจนมันแข็งตัวเต็มที่

   “อา...  แก้ว  ซี๊ดดดดดด  เดี๋ยวแก้ว  พี่ยังไม่ทัน...”

   พรวด  พรวด  พรวด

   วินัยจับหัวเมียรักกดแน่น  ปล่อยให้ควยกระตุกพ้นเมือกลื่นๆเข้าปากเธอไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ  ความหื่นกระหายที่เธอกระทำมามันทำให้เขาเสียวสุดขีดโดยไม่ทันได้ตั้งตัวและลั่นไกออกมาอย่างน่าขายหน้า

   แก้วถึงกับแอบหงุดหงิดในใจที่สามีเสร็จไปก่อนอย่างนี้  หลายปีที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าหากวันไหนเขาไกอ่อน  วันนั้นจะหมายความว่าเธอจะต้องทนทรมานกับความต้องการไปทั้งวัน  และเพราะเหตุนี้เธอจึงเลือกจะดูดดื่มกลืนกินน้ำเชื้อสามีลงคอให้หมดชดเชยกับที่เธอไม่อาจหาความสุขจากเขาได้

   “อึก...อึก...ไปอาบน้ำเถอะค่ะพี่นัย  เดี๋ยวไปทำงานสายนะ”

   “อือ...ปากแก้วเนี่ยสุดยอดไม่เปลี่ยนเลย  สงสัยวันนี้พี่คงคิดงานคล่องทั้งวันแน่ๆ”เขาเอ่ยชมภรรยาก่อนจะลุกไปอาบน้ำ  ทิ้งให้เธอนั่งถอนหายใจเบาๆออกมาด้วยความหดหู่กับชีวิตรักอันแสนจืดชืด

   เธอแทบอยากจะร้องไห้กับความอัดอั้นตันใจนี้  ตั้งแต่อยู่กินกันมาเกือบ 20 ปีมีแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นที่เขาสามารถพาเธอตะกายขึ้นสวรรค์ได้แต่หลังจากที่ต้องรับผิดชอบลูกในท้องของเธอ  สมรรถภาพของเขามันก็อ่อนด้อยถอยลงไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่เพียงแค่หลั่งเร็วเท่านั้น  แค่นานๆครั้งที่มีอะไรกัน  การจะทำให้เธอเสร็จมันก็แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย  นอกจากนั้นน้ำเชื้อที่เคยข้นคาวกลิ่นแรงชวนกระหายมันก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นลื่นใสมากขึ้น  กลิ่นอ่อนลงจนแทบจะปลุกอารมณ์เธออย่างแต่ก่อนไม่ได้

   และแล้วฟางเส้นสุดท้ายของเธอก็ได้ขาดผึงลง  ภาพน้ำควยข้นๆของลูกชายที่เปรอะเปื้อนต้นขาอีกทั้งภาพยังกองกระดาษทิชชู่ที่ถูกใช้จนล้นถังขยะทำให้เธอตัดสินใจหยิบแว่นมาสวมแล้วลุกจากเตียงไปยังห้องลูกชาย

   ประตูห้องค่อยๆถูกแง้มออกพร้อมสายตาที่สอดส่ายเข้าไปสำรวจ  และเมื่อเห็นว่าเอกยังคงหลับสนิทอยู่  เธอก็ค่อยๆย่องเข้าไปยังถังขยะข้างโต๊ะคอมแล้วคุกเข่าหยิบม้วนกระดาษก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งออกมาแอบคลี่ออก

   ภายในนั้นยังคงมีน้ำเชื้อข้นเหนียวเยิ้มเปียกอยู่เต็มราวกับครีมข้น  อีกทั้งกลิ่นยังคาวคลุ้งชวนให้เธอเสียวใส้น้ำไหลเยิ้มออกมาเต็มร่องโดยไม่ต้องทำอะไรสักนิด

   แก้วยื่นจมูกเข้าไปใกล้ๆ  สูดกลิ่นคาวด้วยความต้องการเต็มเปี่ยมพร้อมกับสอดมือเข้าไปใต้กระโปรงชุดนอน  บดนิ้วขยี้กับติ่งแตดชมพูสดระบายความไคร่ไปด้วย

   “อึก!!”เธอเม้มปากกลั้นเสียงสุดชีวิต  หันมองลูกชายเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเขายังหลับอยู่ก่อนที่ความต้องการจะเข้าครอบงำจนเธอถึงกับกล้าแลบลิ้นออกมาตวัดเลียชิมเมือกข้นในก้อนกระดาษทิชชู่

   กลิ่นคาวรุนแรงแทบจะทำให้เธอมึนหัว  แต่ถึงอย่างนั้นรสชาติเค็มอ่อนๆปนขมของมันกลับดึงดูดให้เธอยิ่งอยากเลียทำความสะอาดเอามากๆ

   “ฮื่ออออ”แก้วครางอย่างถูกอกถูกใจ  ทั้งความข้นทั้งกลิ่นและรสแทบจะทำให้ต่อมกระสันของเธอแตกซ่าน  ร่างกายอวบอิ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุพร้อมกับอาการโหยหาอยากสืบพันธุ์ราวกับสัตว์เพศเมียที่ได้เจอกลิ่นพ่อพันธุ์เพศผู้ยังไงอย่างนั้น

   แก้วหยิบถังขยะของลูกชายพร้อมกับเก็บกวาดก้อนกระดาษชำระที่อยู่นอกตะกร้าเอาใส่ให้เรียบร้อย  รีบเอามันไปที่ห้องเพื่อเสพสุขกับมันให้สมใจ

   ร่างขาวเนียนเปลือยเปล่านอนหงายอยู่บนพื้นห้อง  มือเรียวขาวเอื้อมหยิบก้อนทิชชู่ในตะกร้าขยะออกมาคลี่เปิดเอาน้ำเชื้อล้ำค่าออกมาก่อนจะค่อยๆเอามันมาสูดดมพลางปักนิ้วเสียบเข้าร่อง  ค่อยๆคว้านค่อยๆคลึงอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน

   “อา...ทำไมมันข้นแบบนี้นะ  ซี๊ดดดด  ฮื่อออออ  ถ้าโดนปล่อยข้างในคงท้องแน่เลย” แก้วรำพึง  กำมือบีบให้ฝ่ามือเปรอะเปื้อนคราบกามก่อนจะเริ่มลูบไล้บีบคลึงเต้านมทีละข้างให้กลิ่นมันซึมซับเข้าไปในร่าง

   “พ่อพันธุ์ชัดๆเลย  อูยยยยย  นี่ลูกชายเราจริงๆเหรอเนี่ย”เธอพูดกระตุ้นตัวเองไปพร้อมกับหยิบกระดาษชำระก้อนแล้วก้อนเล่ามาคลี่บีบลูบไล้เรือนร่างอวบอิ่มจนมีแต่กลิ่นคาวกาม  และมันช่วยกระตุ้นให้เธอเสร็จสมได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   “ฮื่ออออ  โอ๊ววววววว  เสร็จแล้ว  แม่เสร็จแล้วเอก  ซี๊ดดดดดด”แก้วแอ่นเกร็งเรือนร่างค้างนิ่ง  ปักนิ้วกดลึกคาเอาไว้อย่างนั้น  ปล่อยให้เมือกใสๆจำนวนมากเอ่อล้นเนืองนองออกมาราวกับน้ำตก  มืออีกข้างบีบขย้ำเต้านมที่มันวาวไปด้วยน้ำเชื้อกลิ่นคาวจนเนื้อนิ่มล้นทลักออกมาตามง่ามนิ้วด้วยความสะใจ

   ความสุขสุดยอดที่ได้รับแม้จะเป็นจากนิ้วเรียวยาวของตัวเธอเองแต่กลับเสียวสะท้านเกินต้านเมื่อมันผสานกับกลิ่นน้ำเชื้ออันรุนแรงของผู้เป็นลูก  แก้วนอนหอบตาลอยสุขสมที่สุดในชีวิตอยู่ครู่ใหญ่  เธอคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะลุกเก็บก้อนทิชชู่ที่เธอเอาออกมาเล่นกลับเขาตะกร้า

   ในตอนนั้นเองสายตาของเธอก็บังเอิญไปเห็นผ้าลื่นๆสีน้ำเงินเข้มอยู่ก้นตะกร้า  เธอจึงค่อยๆหยิบออกมาดูด้วยความสงสัย

   ไม่ใช่สิ่งของแปลกประหลาดอะไร  มันคือกางเกงในที่ถูกใช้แล้วของเธอเอง  แต่ที่น่าประหลาดคือมันมาอยู่ในตะกร้าขยะที่มีแต่ก่อนทิชชู่ชุ่มน้ำเชื้อของลูกเธอได้ยังไง

   “เอก...”ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา  แก้วรู้ได้ทันทีว่าลูกชายของเธอใช้มันเพื่อช่วยตัวเองแน่ๆ  และนั่นทำให้เธอทั้งเสียวทั้งกลัวขึ้นมาเมื่อนึกไปว่าเด็กหนุ่มแก้วตาดวงใจของเธอคนนี้อาจจะคิดมิดีมิร้ายกับผู้เป็นแม่อย่างเธอมาตลอดก็เป็นได้  ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะมีอารมณ์กับเขาและรู้ว่าตัวเธอก็ร่านราคะต่อกลิ่นน้ำเชื้อลูกชายไม่แพ้กันแต่ด้วยความเป็นแม่  ยังไงเธอก็ไม่ควรปล่อยให้มันเลยเถิดมากเกินกว่าจะควบคุมได้เพราะถ้าหากเขาได้พลาดก้าวผิดทางขึ้นมาแล้วล่ะก็  เธอไม่อยากคิดเลยว่ามดลูกเธอจะรับน้ำเชื้อปริมาณมหาศาลนี้โดยไม่ให้ท้องได้ยังไง



จุดจบยอดนักเย็ด #10

 
 


==================

“ยังไงนะกุ๊ก...?” ผมถามออกไปโง่ๆ เหมือนไม่เข้าใจที่เธอพูดเมื่อครู่
“ฮือออ.... พี่โจ้.. พี่อย่าโกรธหนูนะ... หนูไม่ได้ตั้งใจ” เธอร้องครวญน้ำตาไหลพราก เล่นเอาผมอดใจอ่อนสงสารเธอไม่ได้ เลยพยายามพูดปลอบใจเธอ แม้ว่าตัวเองจะยังตั้งหลักไม่ถูก
“พี่จะโกรธกุ๊กทำไม? พี่เองต่างหากที่ทำผิดกับกุ๊กก่อน กุ๊กอย่าร้องไห้เลยนะ พี่ไม่โกรธกุ๊กหรอก ไม่มีวัน” เธอได้ยินแล้วก็ปล่อยโฮออกมา คิดว่าเธอคงจะพอโล่งใจอยู่บ้าง ที่ผมไม่ได้แสดงท่าทีต่อว่าต่อขานเธอออกไป
“แล้ว... มันเกิดขึ้นได้ยังไง เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิคนดี” ผมถาม ลูบหัวเธอเบาๆ รอให้เธอสะอึกสะอื้น สูดน้ำมูกฟืดฟาดจนโล่งจมูกอยู่พักใหญ่ๆ พอเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว ถ้อยคำก็เริ่มพรั่งพรูออกมา

“คือ... ช่วงที่เราห่างๆ กัน.. กุ๊กเลยไประบายกับเพื่อนบ่อยๆ หลังเลิกงาน พี่พอจะรู้ใช่มั้ย?”
“อืม เพื่อนผู้ชายเหรอ?”
“เปล่า.. ผู้หญิงน่ะพี่ ไอ้มินกับไอ้เอ๋ เพื่อนกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ”
“อาฮะ”
“ก็ไปนั่งกินข้าว กินเบียร์ระบายกับมัน แทบจะวันเว้นวันเลย พอมันเห็นว่ากุ๊กยังซึมๆ ไม่เลิก ช่วงหลังๆ มันก็เลยชวนกันไปเที่ยวผับเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง กุ๊กเองก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว คือตอนนั้นในหัวมันเบลอๆ ไปหมด จะคุยกับใครก็ไม่มีใครเข้าใจ เจอหน้าพี่ก็คุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ มันอึดอัดน่ะ ก็เลยไปเที่ยวกับพวกมันบ่อยๆ ไปเมา ไปเต้น มันก็พอจะช่วยคลายเครียดลงไปได้บ้าง”

“อืมม มิน่า พี่เห็นหลังๆ เราดูเหนื่อยๆ เหมือนนอนไม่ค่อยพอ”
“นั่นแหละ พอไปบ่อยๆ เลยได้ไปเจอกับพี่คนนึงที่ร้าน ชื่อพี่ป้อง เค้าเป็นเพื่อนกับพี่อัต พี่ชายยัยเอ๋อีกทีน่ะ เค้าก็ขอไลน์ไป กุ๊กก็งงๆ ไม่เคยเจอใครเข้ามาชวนคุยแบบนี้ ยิ่งเมาด้วย  ก็เลยให้เค้าไปง่ายๆ แล้วไปๆ มาๆ เหมือนพี่เค้าก็มาคุยจีบกุ๊กอ่ะ”
“ก็เลยลองคุยๆ ดู?”
“อือ ก็คุยกันนั่นแหละ แล้วก็ไปกินข้าว ไปเที่ยวกันอยู่พักนึง แล้วก็เลยมี... นั่นแหละ...” ผมนึกภาพตามที่กุ๊กเล่า พอฟังแล้วอดใจสั่นไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกหึงหวงแปลกๆ แม้จะรู้ดีว่าช่วงนั้นเราก็ห่างกันไปพักใหญ่ๆ แล้ว และกุ๊กเองก็มีอิสระพอที่จะเริ่มคบหากับใครก็ได้ แต่ในใจก็ยังอดหวงเธอไม่ได้อยู่ดี มันเจ็บแปร๊บเมื่อนึกย้อนไปถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของผมเอง

“ไหงถึงไปยอมเค้าง่ายๆ งั้นล่ะ” ผมหลุดปากถามออกไปโง่ๆ
“โธ่พี่อ้ะ! ก็ช่วงนั้นหนูเหงาๆ เคว้งๆ พอมีคนมาคุยด้วย มาคอยเทคแคร์เอาอกเอาใจตอนที่เรากำลังหวั่นไหว มันก็ต้องมีรู้สึกดีๆ ให้บ้างป่ะวะ? ยิ่งพอนึกถึงเรื่องที่พี่โกหกหนูด้วยนะ โห ยิ่งปรี๊ดขึ้นสมอง ใจนึงมันก็ยังลังเลไม่อยากเริ่มคบกับใครเร็วเกินไป แต่อีกใจนึงมันก็แค้นอ้ะ ทีพี่ยังคบคนนู้นคนนี้ซ้อนได้ทีละหลายๆ คน แล้วนี่หนูเองก็เลิกกับพี่แล้ว ถ้าจะเปิดโอกาสกับคนอื่นบ้างมันก็ไม่ผิดป่ะ?” เธอพูดกระแทกเสียงเหมือนประชดนิดๆ

“แล้วคบกันนานมั้ย?” ผมถามเธอนิ่งๆ ไม่แสดงอาการอะไรออกไป
“นานบ้าอะไรล่ะ! คุยกันได้ไม่ถึง 2 เดือน แล้วมันก็ชิ่งหายไปเลย”
“อ้าว! นี่โดนเค้าหลอกฟันแล้วทิ้งเหรอเนี่ย?” ผมหลุดปากถามออกไปโง่ๆ โดยไม่ทันคิดว่ากุ๊กจะโกรธมั้ย
“เออ! ก็โดนมันฟันแล้วทิ้งอ่ะดิ แม่ง...  ตอนจีบเราก็เหมือนจะดี พอใจอ่อนไปที ก็หายหัวไปเลย” กุ๊กพูดทำท่าเคืองๆ ผมเองฟังแล้วก็ไมรู้จะพูดอะไรเหมือนกัน เพราะตัวเองก็มีชนักติดหลังอยู่
“พอเจอแบบนี้ก็เลยยิ่งเซ็ง หลังๆ ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกกับเพื่อนแล้ว พอเมื่อคืนพี่หน่อยพาไปเลี้ยงก็เลยลืมตัว ดื่มซะเมาหัวทิ่มเนี่ย”
“แล้ว... แล้วเค้าเอาเก่งป่ะ? แฮะ แฮะ”
“โอ๊ย ตาบ้า! ไม่เอา! ไม่อยากพูดถึง หงุดหงิด” พอเห็นว่าเธอเริ่มออกอาการไม่พอใจ ผมเลยเปลี่ยนท่าทีหันมาปลอบเธอเบาๆ เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น

“เสียใจมากป่าว?” ผมพยายามทำเสียงเป็นห่วง มือก็ลูบปอยผมเธอไปด้วยเบาๆ ส่งสายตาอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปหา
“ก็นิดหน่อยอ่ะ มั้ง ไม่รู้ดิ มันก็ออกแนวผิดหวังมากกว่า คือกุ๊กเองก็พอจะมีประสบการณ์กับพี่มาก่อนด้วยมั้ง ไม่ใช่เด็กใสอินโนเซนส์อะไรแล้ว ก็เลยไม่ได้ฟูมฟายอะไรมาก ก็นั่นแหละ มันก็แค่คนมาคุยๆ ลองคบๆ กันเพราะเหงาอ่ะพี่ มันก็ค่อนไปทางผิดหวังมากกว่า ไม่ได้เสียใจฟูมฟายขนาดนั้น สงสัยกุ๊กจะเริ่มตายด้านแล้วมั้ง เฮ้อ”
“จะบอกว่าโดนพี่หลอกไปก่อนแล้ว เลยชินชา ว่างั้น?” ผมแกล้งพูดแหย่ให้เธอด่า
“เออ รู้ตัวนี่ ก็เนี่ย เจอแต่ผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ไง โอ๊ย พูดแล้วขึ้น!” เอ๊า! ตะกี้ยังฟูมฟายร้องห่มร้องไห้ขอโทษขอโพยตูอยู่เลย ตอนนี้จะหันมาด่าตูซะแล้วแม่คุณ เฮ้อ แต่ผมก็โล่งใจนะที่เห็นเธออารมณ์ดีขึ้น อย่างน้อยก็ยังพอจะช่วยปลอบใจเธอได้บ้าง และที่สำคัญ ผมจะได้เริ่มสานต่อปฏิบัติการณ์ที่ค้างคาอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ซักที

“พี่โจ้อ้ะ! เวลาแบบนี้ยังจะเอาอีกเหรอพี่?” เธอร้องเสียงแหว เมื่อโดนผมก้มหน้าไปหอมเธอฟอดใหญ่ มือซ้ายก็ลูบไล้แขนของเธออย่างแผ่วเบา
“เราห่างกันเป็นเดือนๆ กุ๊กไม่รู้เหรอว่าพี่ต้องข่มใจไม่ให้เผลอกอดกุ๊กแค่ไหน” ผมดอมดมใบหน้าเข้ากับหน้าอกอวบๆ ของเธอ สูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยผ่านเสื้อยืดผิวหนาสีเทาอ่อน ยิ่งฟังเรื่องราวที่เธอเล่า ยิ่งทำให้ผมหึงหวงจนแทบจะเป็นบ้า ความรู้สึกมันเหมือนกับ กำลังจะสูญเสียของสำคัญบางอย่างในชีวิตและแทบจะหลุดมือไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังตะเกียกตะกายเอื้อมคว้ามันกลับมากอดเอาไว้แนบอกได้เนี่ย มันกลับทำให้ผมมีอารมณ์ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นี่สินะ คือความรู้สึกที่ผู้ชายหลายคนเคยได้รับ เวลาที่ภรรยาสาวสวยของพวกเค้า แอบหนีมาเล่นซุกซนอยู่กับผมจนเตลิดเปิดเปิง วันนี้มันกลับย้อนคืนมาเล่นงานผมเองเสียแล้ว

“พี่อ่า... ทำไมเป็นคนแบบนี้น้าาาา” เธอทำท่าเหมือนคุณแม่วัยสาวที่กำลังโดนเด็กดื้อตามตื๊อจะเอาของเล่นให้ได้ แถมเจ้าเด็กคนนี้ยังเป็นเด็กทะลึ่งตึงตังมือไม้อยู่ไม่สุขเชียวล่ะคุณ
“ว้ายยย! พี่ ใจเย็น!” เสียงกุ๊กร้องเมื่อโดนมือซ้ายผมตะปบลงไปกลางเป้า ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับเนื้อผ้ากระโปรงบานที่ยาวคลุมเข่าเธออยู่ ปลายนิ้วผมค่อยๆ ลากงอครูดเขี่ยไปตามโหนกเนินของเธอ ไล่นิ้วขึ้นไปถึงบริเวณหน้าท้องนุ่มนิ่มขาวเนียน แล้วล้วงมือเข้าไปจากขอบด้านบนของกระโปรง ล้วงทะลุเข้าไปข้างในกางเกงในเธอ จนเจอเข้ากับพงขนกระจุกใหญ่ที่พริ้วไหวสู้มืออยู่เร่าๆ

“โอ๊ยยย... พี่โจ้ จะทำจริงๆ เหรอ?” มันคือคำถามที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ ผมค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปชิดกับหน้าเธอ เผยอปากขึ้นเล็กน้อย แล้วสอดริมฝีปากเข้าประกบกับปากเธออย่างดูดดื่ม เธอขบเม้มริมฝีปากด้วยความพึงใจ บดปากจูบตอบผมอย่างเร่าร้อน คล้ายกับจะดูดกลืนตัวผมเข้าไปให้หมดในคราวเดียว มันคือรสสัมผัสที่ห่างหายจากเราสองคนไปนานพอสมควร ผมดันลิ้นสอดเข้าไปสำรวจโพรงปากของเธอ ขณะที่เธอเองก็ตวัดลิ้นพัวพันไปทั่ว บางจังหวะยังเป็นฝ่ายจู่โจมสอดลิ้นเข้ามาดุนในปากผมด้วยตนเอง ผมประคองตัวเธอขึ้นมานั่งบนเตียงให้ถนัดๆ ใช้มือที่ว่างอยู่ ค่อยๆ ล้วงเข้าไปปลดสายยกทรงของเธอจากด้านหลัง อ้าว ทำไมปลดไม่ได้ซักทีล่ะเนี่ย

“ตะขออยู่ด้านหน้าค่ะพี่โจ้” คำตอบของเธอทำให้ผมร้องอ๋อขึ้นมา โอ้โห ยัยเด็กง้องแง้งคนเดิม เดี๋ยวนี้เธอแสบซ่าจนรู้จักซื้อยกทรงแบบตะขอหน้ามาใส่ด้วยตัวเองซะแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ยกทรงลูกไม้สีฟ้าอ่อน ถูกปลดออกไปอย่างง่ายดาย เต้านมขาวอวบคัพ C ของเธอจึงเด้งออกมาปรากฏตรงหน้าผม หัวนมของมันยังคงเป็นสีน้ำตาลแดงอ่อนๆ ฐานเต้าอวบแน่นและเต่งตึง ไม่มีอาการหย่อนคล้ายให้เห็นเลยแม้แต่น้อย สภาพของมันแทบไม่ต่างอะไรจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้สัมผัส
“อืมมมม นมกุ๊กสวยที่สุดเลยรู้มั้ย?” ผมซุกหน้าเข้ากับสองเต้าอวบอัด ใช้สองมือบีบคลึงไปมา ส่ายหน้าฟอนเฟ้นอย่างชอบใจ
“บ้า! พี่โจ้อ่ะ เล่นเป็นเด็กไปได้” ผมซุกไซร้นมเธอจนหนำใจแล้ว ก็เปลี่ยนมาจู่โจมด้วยลิ้นบ้าง ใช้ปลายลิ้นค่อยๆ ไล่เลียไต่รอบๆ ฐานหัวนมเธอเบาๆ สร้างความสยิวกิ้วและจั๊กกะจี๋ให้เธอไปพร้อมๆ กันในทีเดียว ใช้สองมือค่อยรูดถลกกระโปรงผ้ายืดของเธอจนหลุดออกไปทางหน้าขา กางเกงในผ้าลูกไม้สีฟ้าเข้ารูปโค้งนูนเด่นท้าทายสายตาอยู่ข้างล่าง

ผมค่อยๆ ลูบสัมผัสเข้ากับหน้าขาเธอเบาๆ กุ๊กออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป ผมลูบสูงขึ้นมาจนถึงขอบกางเกงในด้านข้าง แซะนิ้วกลางสอดมุดเข้าไปได้นิ้วนึง ค่อยๆ ควานเขี่ยหาปากทางเข้าร่องรักของเธอจนเจอ กลีบแคบที่ประกับกันอยู่ตอนนี้ กำลังสำลักน้ำที่ไหลซึมออกมาจากภายใน จนเปียกชื้นไปทั่วทั้งเป้า พอเขี่ยจนเจอรูแล้วผมก็ค่อยๆ แหย่นิ้วเข้าไปช้าๆ ค่อยๆ แหย่ลึกลง ลึกลง จนมันดูดนิ้วกลางผมเข้าไปมิดข้อ
“อูยยยย อย่าซี่.... ทำไมดื้อแบบนี้นะ” กุ๊กร้องครวญหลับตาปี๋ ปล่อยให้ผมดูดนมและตกเบ็ดเล่นอย่างไร้ทางหนี
“จ๊วบบบบ.... อืมมม... กุ๊กเงี่ยนแล้วใช่มั้ย... จ๊วบบบบ...”
“โอ๊ยยยยย... คนบ้า... ชอบรังแกกุ๊ก... ดูสิ เปียกไปหมดแล้วเนี่ย... อืออออออ”

ผมทั้งดูดทั้งแยง ทั้งบดคลึงเม็ดแตดเธอจนเปียกเยิ้มไปหมด ร่างกุ๊กสั่นริกๆ ร้องครวญครางตามอารมณ์ความอยากที่พุ่งขึ้นสูง ผมค่อยๆ ใช้ลิ้นลากเลียลงมาจากเต้านมของเธอ ไล่ผ่านร่องสะดือสวย ลากลิ้นกดหนักๆ ผ่านท้องน้อยของเธอจนตัวแอ่น แล้วเลี้ยวมาหยุดจูบจ๊วบเข้ากลางเม็ดเสียวของเธอ
“อุ๊ย ซี้ดดดดดดดดดดดดด......!” เธอกระตุกเฮือก สองมือเกาะกุมหัวผมไว้แน่น ผมยิ่งได้ใจใช้ลิ้นขยี้เม็ดแตดแล้วเลียรอบๆ ปากร่องของเธอด้วยความเมามัน เสียงดังแผล่บ แผล่บๆ สู้กับน้ำเสียวที่เริ่มทะลักทะลายออกมาจากโพรง
“อ๊ะ.... อ๊ะ!..... พี่โจ้....... กุ๊กเสียวววววว.....” ผมใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้ แยงอ้ารูหีเธอออกจนกว้าง เกร็งลิ้นเป็นตัววี แล้วแทงพรวดมุดเข้าไปในรู คว้านลิ้นเลียไปรอบๆ โพรงผนัง จนกุ๊กต้องหวีดร้อง แอ่นบดเนินหีกระแทกปากผมพร่วด พร่วดอย่างรุนแรง จนแทบจะเรียกว่าเธอกำลังเย็ดปากผมอยู่แล้ว

ผมเว้นจังหวะ หันมารูดเสื้อผ้าตัวเองออกจนล่อนจ้อน ขยับลงไปนอนหงาย แล้วดึงตัวเธอขึ้นมานอนคร่อม กลับหัวกลับหางจนกลายมาเป็นท่า 69 แล้วเริ่มออกแรงตวัดลิ้นเลียร่องเสียวของเธอต่อจนปากมันแผล่บ ขณะที่กุ๊กเองก็ไม่ยอมโดนอยู่ฝ่ายเดียว เธอค่อยๆ ใช้มือจับรูดถอกหัวควยของผมจนตึง แล้วค่อยๆ ห่อปาก อ้าอมรูดท่อนลำของผมไปจนเกือบครึ่งโคน ค่อยๆ รูดออกมาช้าๆ เม้มหนักๆ ที่บริเวณหัวควยจนผมเผลอสูดปากด้วยความเสียว เราสองคนช่วยกันใช้ปากสร้างความกระสันต์ให้แก่กัน จังหวะที่ผมลงลิ้นหนักๆ กุ๊กก็จะเม้มปากดูดควยผมหนักตามไปด้วย จังหวะไหนที่ผมรัวลิ้น เธอก็พยายามที่จะรัวลิ้นเล่นกับหัวควยบานไปพร้อมๆ กัน

ผมเองเห็นว่าอารมณ์ของเราสองคนกำลังสูงได้ที่แล้ว ก็ขยับตัวเธอลงมาเป็นฝ่ายนอนหงายด้านล่าง เตรียมที่จะสอดใส่ท่อนควยเสียบหีเธอแบบเต็มสูบ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้
“กุ๊กยังกินยาอยู่รึเปล่า?” เธอพยักหน้าเป็นการตอบคำถามของผม พอรู้แบบนี้แล้ว ผมจึงค่อยๆ กดท่อนควยมุดเข้าไปทันที ความเปียกชื้นของร่องหลืบทำให้ท่อนเอ็นมุดเข้าไปได้โดยง่าย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังค่อนข้างบีบรัดและตึงแน่นอยู่เหมือนเดิม
“อืออออ พี่โจ้ เบาๆ หน่อย” สองมือของกุ๊กตีหลังผมเบาๆ เป็นการเตือน
“จ้า... พี่จะทำเบาๆ นะ” ผมค่อยๆ สาวควยเข้าออกช้าๆ ทั้งที่ยังมุดเข้าไปได้ไม่เต็มลำ กะว่าจะช่วยสร้างความคุ้นชินให้กับร่องรักของกุ๊กเสียก่อน ด้วยความที่เราสองคนก็ห่างกันไปหลายเดือนแล้ว

ผมแดะเอวกระเด้าเบาๆ อยู่ราวๆ 3 นาที น้ำหีของกุ๊กก็ไหลนองจนเยิ้มไปทั่วที่นอน ใบหน้าของเธอตอนนี้แดงซ่าน นัยน์ตาหยาดเยิ้มด้วยความเสียว สูดหายใจหนักๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ร่องรูด้านล่างก็เริ่มขยับขยายอ้าอมท่อนลำของผมเข้าไปได้จนเกือบจะมิดลำดี ผมค่อยๆ ฉีกสองขาของเธอแบะอ้า ไปวางพักไว้บนไหล่ เอามือช้อนก้นเธอขึ้นสูง จับยึดเอวเธอไว้เพื่อที่จะได้ออกแรงกระเด้าได้ถนัดๆ
“อ๊ะ!..... อ๊ะ!..... อ๋าาาาาา.... พี่โจ้.... ซี้ดดดดดดด... อ๋าาาาาา” กุ๊กครางเสียงหลงเมื่อโดนผมกระเด้าเอวเย็ดหีเธออย่างจัง เต้านมขาวๆ ของเธอตอนนี้แกว่งไปมาด้วยแรงกระเพื่อม เสื้อยืดแขนยาวถูกถลกขึ้นไปคาไว้บนเนินอก เซ็กซี่น่าดูชม กุ๊กหลับตาปี๋ เม้มปากเพื่อข่มอารมณ์ แต่แน่นอนว่าความเงี่ยนย่อมไม่เคยปราณีใคร และสาวหมวยตัวน้อยอย่างเธอก็ต้องยอมสยบให้กับสัญชาตญาณที่สืบต่อกันมาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความเสียวซ่านที่ช่วยขับหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาจากสมองของเรา

“อืมมมมม เสียวมั้ยกุ๊ก กุ๊กเสียวหีมั้ยครับ?” ผมถามกระตุ้นอารมณ์เธอเหมือนแต่ก่อนที่เราเคยเย็ดกัน
“งืออออออ..... เสียววววว.... กุ๊กเสียววววว...” เธอครางออกมายาวๆ น้ำตาเล็ดออกมาเบาๆ จนไหลเป็นทาง
“พี่ก็เสียว.... เหมือนกัน อืมมมม หีกุ๊กตอดควยพี่ไม่หยุดเลย” ผมเย็ดไปปากก็พร่ำเพ้อไปด้วย กระแทกเธอในท่านี้อยู่อีกราวๆ 6-7 นาที ก็เริ่มจะเมื่อย เลยจับเธอนอนตะแคงหันหลัง แล้วยกขา สอดควยเสียบเข้าไปจากด้านข้าง ท่านี้ดันให้ควยผมเข้าลึกจนเหมือนกับจะชนผนังด้านในของเธอ

“อู๊ยยยยยยย... พี่โจ้... มันแน่น”
“กุ๊กรู้มั้ย...? พี่ไม่เคยเย็ดใคร... แล้วมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย” ผมกระซิบบอกเธอข้างหู ทั้งๆ ที่ยังกระเด้าควยเย็ดเธออยู่ เสียงเนื้อกระทบกันดัง ป้าบ!...... ป้าบบบบบ!..... ช่างเป็นการบอกรักที่โรแมนติกเสียจริงๆ สิให้ดิ้นตาย
“อือออออ.... อาาาาห์.... อื๊ออออ พี่โจ้..... ก็พูดไปเรื่อยย... อุ๊ย”
“ฮืมมมม จริงๆ นะ... กุ๊กนี่แหละ.... เย็ดมันที่สุดแล้ว... อูยยย กุ๊กจะเสร็จแล้วเหรอ... ข้างในตอดควยพี่จังเลย”
“ฮือออ... กุ๊กจะไม่ไหวแล้วน้าาา....” เธอครางออกมาเสียงอ่อน ผมเห็นแบบนี้เลยตัดสินใจว่าจะเสร็จไปด้วยกัน พร้อมๆ กับเธอ
“อืมมมม กุ๊กเสร็จพร้อมกับพี่นะ น้ำแตกพร้อมกันนะ ฮึบ..!” ผมจับเอวเธอแน่น แล้วออกแรงกระแทกควย สาวท่อนลำเข้าออกยาวๆ อย่างรวดเร็ว เสียงดัง ปั้บบบบ.....! ปั้บบบบบบ!.... ปั้บบบบบ...บบบ..! ปั้บบ...บบ.....บบบ! สนั่นลั่นห้อง ขากุ๊กแบะอ้าชี้ฟ้าข้างนึง แอ่นก้นบดสู้กับควยผมอย่างถึงใจ ไม่นานผมก็เสียวหัวควยจนเริ่มจะทนไม่ไหว

“โอ๊ย กุ๊ก พี่จะแตกแล้วนะ ...”
“อืออออ กุ๊กก็จะเสร็จแล้วเหมือนกัน...” ปั้บบบบ.....! ปั้บบบบบบ!.... ปั้บบบบบ..!
“โอ๊ะ.....! พี่แตกแล้ว!” ผมกระฉูดน้ำควยเหนียวขุ่นเข้าไปเต็มโพรงสวาทของน้องกุ๊กสุดที่รัก เสียวแปร๊บไปทั้งตัว แต่ยังพยายามบดอัดกระแทกควยเป็นจังหวะส่งท้าย เพื่อเร่งเร้าอารมณ์ให้เธอเสร็จสมไปด้วยกัน แล้วก็สำเร็จครับ กุ๊กเริ่ดหน้า ตัวกระตุกเฮือก ภายในขมิบตอดหีเป็นจังหวะตุบ ตุบ ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง บ่งบอกว่าเธอเองก็ถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดตามผมไปแบบติดๆ เรานอนกอดกันอย่างหมดแรง คลอเคลียซุกไซร้ใบหน้าเข้าหากันอย่างสเน่หา

“กุ๊กอาจจะเบื่อคำนี้แล้วก็ได้ แต่พี่อยากบอกกุ๊กจริงๆ นะ ว่าพี่รักกุ๊กที่สุดเลย” ผมนอนสบตากับกุ๊ก ลูบผมเธอเบาๆ ไปด้วย
“ฮึ บอกรักแต่ปาก ผู้ชายคนไหนก็พูดได้อ๊ะป่าว?” เธอพูดพลางทำหน้าไม่เชื่อ
“จริงๆ นะ พี่ยืนยันเลยว่าต่อจากนี้พี่จะรักกุ๊กคนเดียว ไม่หนีไปมีสาวที่ไหนอีก สัญญาเลย”
“จะแคร์อะไรกับคำสัญญาลมปาก... ไปทำตามใจที่เธอมีไว้ให้เค้า” กุ๊กยังแกล้งร้องเพลงล้อเลียนผมอีก
“อ๊ะ! รู้แล้ว! ถ้างั้นเราสองคนมาแต่งงานกันมั้ย? กุ๊กจะได้เชื่อซักทีว่าพี่รักกุ๊กคนเดียวจริงๆ” ผมโพล่งขึ้นมา
“เฮ้ยยยยย! พี่โจ้! ไอ้บ้า! นี่พี่ขอกุ๊กแต่งงานทื่อๆ แบบนี้เลยเหรอ!? โหยยยยยยยยยยย โคตรไม่โรแมนติกเลยอ้ะ ไม่เอ๊าาาาา”
“เอ้าๆๆ ขอโทษๆๆ ก็พี่ไม่รู้จะทำยังไงให้กุ๊กเชื่อจริงๆ นี่นา น่านะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตกลงจะแต่งงานกับพี่ป่าว อิอิอิ”

“โหๆๆๆ ใจเย็นลุง ใจเย็น ขอแต่งงานนะไม่ใช่ขอคบเป็นแฟน ขอคิดก่อนได้เปล่าล่ะ” เธอตอบทั้งๆ ที่ใบหน้ายังฉีกยิ้มกว้างแทบถึงหู
“อ่ะ ก็ได้ๆ แต่อย่าคิดนานนะ เดี๋ยวจะเปลี่ยนใจซะก่อน”
“อ้าวๆ ไอ้นี่! พึ่งจะใจอ่อนยอมคืนดี มาพูดแบบนี้อีกแระ จะให้เชื่อใจได้มั้ยเนี่ย?”
“โอ๋ๆๆ เชื่อได้สิคะ นี่พี่ก็ยอมให้กุ๊กคนเดียวเลยนะเนี่ย รู้มั้ยว่าพี่ไม่เคยหลงผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อนเลยนะ”
“อ้าว ตกลงแค่หลงหรอกเหรอ ไอ้เราก็นึกว่ารัก” เธอยังแกล้งยั่วผมให้จนมุมอีก
“รักจ้ารัก แหม นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ปล่อยเลยนะแม่ก็อปปี้คนเก่ง”
“ฮิฮิฮิ”

“ตกลงว่าไงเนี่ย จะยอมรับคำขอพี่เปล่า?” ผมยังคงถามย้ำหนักแน่น
“โหยยย พี่โจ้จะเอาคำตอบตอนนี้เลยจริงๆ เหรอ?” กุ๊กเสียงอ่อยเพราะคิดว่าผมพูดเล่นมาตลอด
“จริงดิ ตัดสินใจกันตอนนี้แหละ เอาให้ชัดเจนไปเลย ถ้ากุ๊กตอบปฏิเสธ พี่ก็จะได้รู้ว่าต้องยอมตัดใจจากกุ๊กซักที”
“โห ไอ้บ้า แบบนี้ก็บีบให้กุ๊กต้องยอมตกลงชัดๆ เลยนี่นา ขี้โกงอ้ะ!” เธอพูดงอแงเสียงดัง
“ไม่รู้ล่ะ ตอบมาเลย เร็วๆ อย่าลีลา”
“ฮึ่ม.... เอออออ กุ๊กยอมแต่งด้วยก็ได้..” เธอตอบรับคำขอของผมในที่สุด
“เฮ้ย!! จริงเหรอกุ๊ก กุ๊กพูดจริงนะ!?” ผมดีใจน้ำเสียงลิงโลด
“แต่ว่า.... พี่ต้องสัญญามาก่อน”
“สัญญาอะไร บอกมาเลย สบายมาก” ผมตอบออกไป แม้ในใจจะแอบหวั่นๆ เล็กๆ



จุดจบยอดนักเย็ด #9

  

 
 


==================

แล้วผมก็ได้เจอหน้ากุ๊กอีกครั้งในเช้าวันถัดมา เธอมาทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมาให้ใครสังเกต เธอวางกระเป๋าลงที่โต๊ะแล้วขยับเก้าอี้เตรียมนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ ผม เหมือนเช่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จังหวะที่เราสบตากัน ผมเห็นเธอพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันเหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของเราถูกย้อนเวลากลับไปสู่วันแรกที่ได้เจอหน้ากันอีก

“เป็นไงบ้างวะมึง หายดีแล้วเหรอ ถึงมาไหวเนี่ย?” พี่จ๋องเอ่ยทักขึ้น
“อ๋อ ดีขึ้นแล้วพี่ แต่ยังง่วงๆ นิดหน่อย สงสัยนอนไม่พอ นอกนั้นก็สบายมาก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเช่นทุกที
“กุ๊ก.. พี่ขอคุยอะไรกับกุ๊กหน่อยสิ” ผมเอ่ยปากทักเธอไปบ้าง
“โทษนะพี่โจ้ กุ๊กต้องรีบแก้งานน่ะ มีงานค้างตรึมเลย เดี๋ยวไม่ทันพรีเซนท์บ่ายนี้” เธอตอบผมโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ ผมรู้ทันทีว่าถ้าดึงดันตอนนี้ก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ จึงคิดว่ารอให้เธอเย็นลงกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยหาจังหวะพูดคุยปรับความเข้าใจกันคงจะดีกว่า แต่ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปจากหนึ่งวัน เป็นสองวัน ลากยาวไปเป็นอาทิตย์ ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นซักที ก็นี่แหละครับ ความอ่อนด้อยไร้ประสบการณ์ที่ไม่เคยง้อใครมาก่อน เลยทำให้ช่องว่างระหว่างเราค่อยๆ ถ่างออกจากกันมากขึ้นทุกที แม้ว่าเธอจะยอมพูดคุยกับผม แต่ก็เป็นเพียงการพูดคุยกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น พอผมจะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเรา เธอก็มักจะบ่ายเบี่ยง ถามคำตอบคำกลับมาทุกที จนเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศเริ่มจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราสองคนทีละน้อย

=======================================

“กุ๊ก... กุ๊กจะให้พี่ทำยังไง กุ๊กถึงจะหายโกรธพี่?” ผมรีบระบายความอัดอั้นออกไป จังหวะที่ยังไม่มีใครมาถึงที่ทำงานนอกจากเราสองคน
“ก็... ก็ไม่ต้องทำอะไรนี่คะพี่ กุ๊กบอกแล้วไงว่าขอให้เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม” เธอตอบกลับมาน้ำเสียงสั่นๆ
“พี่โจ้ก็กลับไปคบกับมิ้นท์เหมือนเดิม ส่วนกุ๊กเองก็... ก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่โจ้แล้วไง”
“ไม่เอาดิกุ๊ก พี่กับมิ้นท์มันไม่มีอะไรแล้ว ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับเค้าอีกเลย กุ๊กก็รู้ ว่าพี่รักกุ๊กคนเดียวจริงๆ” คำพูดของผมเหมือนไปกระแทกต่อมความทรงจำอะไรบางอย่างของเธอ หยาดน้ำตาใสๆ เริ่มผุดขึ้นมาทีละนิดตรงบริเวณหางตา

“พี่... พอเถอะนะ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ดีแล้ว มันจะได้ไม่ต้องมีใครฝืนใจ หรือมานั่งเสียใจอีก”
“โธ่กุ๊ก.. กุ๊กอย่าฝืนความรู้สึกตัวเองแบบนั้นสิ พี่รู้ว่ากุ๊กก็ยังรักพี่เหมือนกัน กุ๊กแค่ยังไม่หายโกรธพี่ใช่มั้ย”
“กุ๊กไม่ได้ฝืน! กุ๊กไม่...” เธอตะเบ็งเสียงตอบผมอย่างมีอารมณ์ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประตูออฟฟิศก็เปิดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมๆ กับร่างอวบๆ ของพี่หน่อยที่เดินก้าวเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเธอได้ยินอะไรไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ใส่ใจที่เราโต้เถียงกันมากนัก พี่หน่อยรับไหว้พวกผมสองคน แล้วเดินอาดๆ เข้าห้องทำงานของแกไป ผมนึกว่าจะรอดแล้ว ก็พอดีกับที่แกโผล่ชะโงกหน้าออกมาแล้วร้องเรียกให้ผมเข้าไปคุยกับแก

“แกสองคนทะเลาะกันใช่มั้ย?” คำถามของเธอแทงทะลุใจดำผมพอดิบพอดี
“ใช่ครับพี่...” ผมไม่รู้จะกุเรื่องโกหกเธอไปทำไมอีก เลยตอบไปตามตรง เพราะสุดท้ายคนฉลาดแบบแกก็รู้อยู่ดี
“ทำไม? แกไปมีคนอื่นรึไง?” โดนไปเต็มๆ ดอกที่สอง
“....” ผมพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไปอีก
“เฮ้ออออออ... แกนี่น้าไอ้โจ้ ชั้นเคยเตือนแกแล้วนะ ว่าให้ระมัดระวังให้ดีๆ รู้มั้ยคนอื่นๆ เค้าก็เริ่มสงสัยแล้วนะ เรื่องที่แกสองคนนิ่งๆ อึนๆ ใส่กันมาเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ย”
“ผมก็พยายามง้อเค้าแล้วนะพี่ แต่กุ๊กเค้าไม่ฟังผมเลย”
“มันแปลกตรงไหนล่ะ ก็แกไปนอกใจเค้าเองไม่ใช่รึไง ถ้าชั้นเป็นกุ๊กนะ ชั้นไล่แกออกไปนานแล้ว”
“โธ่พี่ พี่ไม่ได้ช่วยพูดให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยอ้ะ!”
“สมน้ำหน้า ก็แกอยากทำตัวเองทำไมล่ะยะ? ชั้นไม่รู้นะว่าแกสองคนจะไปเคลียร์กันยังไง แต่ขออย่าให้มันมีผลกระทบกับคนอื่นๆ รวมไปถึงเรื่องงานแล้วกัน ถ้าพวกแกยังเต็มที่กับงานได้เหมือนเดิม ชั้นก็ไม่ว่าอะไรนะ เออ แล้วเรื่องงานไนล่อนเตรียมถึงไหนแล้ว?” สุดท้ายก็วกกลับมาทวงงานจนได้ พี่หน่อยเจ้านายผมนี่สุดยอดจริงๆ ครับ

ผมกับกุ๊กก็ยังคงเข้าหน้ากันไม่ติดเหมือนเดิม แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเป็นเดือนๆ แล้วก็ตาม บอกตรงๆ เลยนะครับว่าแต่ละวันที่ไปทำงานเนี่ย มันทั้งอึดอัด ปวดใจ ที่ต้องทนเห็นหน้าคนเคยรักกันมาทำเฉยชาใส่แบบนี้ เหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา มันหน่วงๆ อยู่ข้างใน ผมไม่รู้ว่ากุ๊กจะฝืนใจทำมันอยู่รึไม่ หรือเธออาจจะทำมันออกมาจากใจจริงๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็มีแต่จะทำให้ผมเสียใจขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ อย่างที่เพลงเค้าว่านั่นแหละครับ “คนที่รัก ร้างไกลนั้นเจ็บไม่นาน คนไม่รัก ใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า” นี่แม่งไม่ใช่แค่ใกล้ธรรมดา เพราะเรานั่งโต๊ะติดกันทุกวัน ช่วยบอกทีเถอะครับถ้าคุณเป็นผมจะทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น อ้อไม่สิ คุณอาจจะไม่ได้คิดตื้นๆ จนพลาดไปมีอะไรกับน้องมิ้นท์ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เฮ้อ คิดแล้วก็ได้แต่สมเพชตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอมีแฟนใหม่ไปแล้วรึยัง เพราะเห็นช่วงหลังๆ เธอมักจะรีบกลับและมีนัดกับเพื่อนๆ แทบจะตลอดทุกวัน ส่วนผมเองน่ะเหรอ ก็ไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เหมือนความรู้สึกผิดมันยังคงปักคาอยู่ไม่ยอมหลุดออกไปไหนง่ายๆ

ผ่านไปเกือบ 4 เดือน ผมท้อจนแอบถอดใจไปแล้วว่าเราสองคนคงไม่ได้กลับมาคบกันอีก จนกระทั่งมีอยู่วันนึง พี่หน่อยก็พาพวกเราทั้งหมดไปเลี้ยงมื้อค่ำที่ร้านประจำไม่ไกลจากบริษัทโทษฐานที่บังอาจปิดงานให้ลูกค้าได้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเกินคาด กุ๊กกับผมก็ถูกลากไปรวมตัวที่ร้านเช่นกัน ผมเห็นเธอกระดกเบียร์หนักที่สุดวันนึงตั้งแต่เรารู้จักกันมา ในใจก็พาลคิดไปว่าต้นเหตุคงมาจากเรื่องของผมนั่นแหละ พอคิดได้แบบนั้น ผมเองก็เลยรีบซดเบียร์อึกๆๆ ตามเธอไปติดๆ เพื่อหวังที่จะได้ลืมความเครียดที่ฝังแน่นอยู่ในหัวซักที

“ไอ้โจ้! ไอ้กุ๊ก! มึงสองคนนี่แม่ง... ทะเลาะเหี้ยไรกันนักหนาวะ?” พี่จ๋องที่กำลังเมาได้ที่ เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมากลางวงแบบไม่ทันตั้งตัว
“นั่นดิพี่... ไม่รู้จะงอนอะไรกันนักหนา ผมล่ะอึดอัดชิบหาย” เสียงไอ้เบสคอรัสตามขึ้นมาทันที
“เปล่านี่พี่ ก็ไม่ได้มีอะไรซักหน่อย” ผมพยายามตอบกลบเกลื่อนไป หวังให้วงสนทนารีบเปลี่ยนเรื่องไวๆ
“มันจะไม่มีได้ไงวะ ก็มึงสองตัวเคยคุยง้องแง้ง กัดกันอย่างกะหมา แล้วจู่ๆ ก็มาอี๋อ๋อกันจนน่าหมั่นไส้ แล้วนี่อยู่ดีๆ ก็เสือกมึนตึงใส่กันแบบเนี้ย อย่าบอกนะว่าพวกมึงเลิกกันแล้วเนี่ย?” คำพูดของพี่จ๋องกลายเป็นการกดชนวนระเบิดที่ดูเหมือนจะด้านสนิทไปนานแล้ว ให้ระเบิดตูมขึ้นมา
“ก็พี่โจ้มันเหี้ย!!” กุ๊กผุดลุกยืน ตะโกนขึ้นมากลางวงแบบไม่มีใครคาดคิด พี่หน่อยหลุดขำก๊ากออกมา ส่วนผมเองแทบหงายหลังตกเก้าอี้ กุ๊กมองหน้าผมใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งเมา ชี้นิ้วมาแล้วเริ่มร่ายยาว น้ำเสียงเมาแอ๋

“ก็พี่แม่ง... ก็พี่แม่งแอบไปมีกิ๊กลับหลังหนู ปากก็บอกว่ารักหนูปาวๆ พอเผลอก็กลับไปเอากับคนอื่นมั่วไปหมด”
“กุ๊ก ใจเย็นๆ ก่อนนะ กุ๊กเมาแล้วมั้งเนี่ย” ผมพยายามบอกให้เธอสงบสติอารมณ์ลง แต่ยิ่งเหมือนไปเขี่ยสุมไฟให้คุกรุ่นขึ้นไปอีก
“ไม่เมาโว้ย! ก็พี่นั่นแหละ เสือกนอกใจกุ๊กทำไม!? อึ่ก.... ไหนบอกว่าเลิกคุยกับมิ้นท์แล้วไง... อึ่ก.. แล้วกลับไปเอากับมันทำไม ฮือออ.....” เธอแบะปากแล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จนพี่ปอกับยัยป่านต้องเข้าไปช่วยกันปลอบ กุ๊กร้องไห้อย่างน่าสงสาร น้ำหูน้ำตาตอนนี้ทะลักเปรอะเปื้อนไปทั่ว ผมเองยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด ขยับเข้าไปนั่งแตะไหล่ปลอบเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พอมือผมสัมผัสเข้ากับผิวเธอ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เธอร้องไห้หนักขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยอมนั่งนิ่ง ให้ผมบีบไหล่เธอเบาๆ อยู่อย่างนั้น

“กุ๊ก พี่ขอโทษนะ เรากลับมาดีกันได้มั้ย? พี่รักกุ๊กนะ” ผมพูดพลางลูบหัวเธอเบาๆ แบบที่กุ๊กชอบให้ทำเสมอ เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ค่อยๆ ขยับออก บ้างลุกหนีออกไปโทรศัพท์ บ้างทำทีเป็นเข้าห้องน้ำ เปิดช่องให้ผมกับกุ๊กได้ปรับความเข้าใจกันสองคน
“ฮืออ...ออออ” เสียงกุ๊กสะอึกสะอื้น ค่อยๆ เอนหัวซบไหล่ผมด้วยความเมามาย น้ำตาเธอเริ่มไหลช้าลง แม้ว่าเบ้าตาจะยังแดงก่ำ แต่อารมณ์ข้างในนั้นเริ่มจะสงบนิ่งลงไปแล้ว เธอร้องไห้จนเหนื่อยแล้วก็หลับไปอย่างอ่อนแรง ผมบอกพี่หน่อยว่าขอตัวกลับก่อน เพราะจะพากุ๊กกลับไปพักก่อน ซึ่งพี่แกก็โอเค เพราะเห็นว่าเราสองคนดูจะปรับความเข้าใจได้แล้ว ผมใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ขับรถพากุ๊กกลับมาถึงคอนโดตัวเอง ประคองตัวเธอขึ้นห้องด้วยความยากลำบากนิดๆ เพราะผมเองก็แอบเมาอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็พาตัวเรามาถึงหน้าประตูห้องจนได้ พอไขกุญแจเข้าไปได้ก็รีบวางตัวเธอนอนลงบนเตียงทันที ก่อนที่ผมจะล้มตัวลงนอนกอดกุ๊ก แล้วงีบหลับไปข้างๆ เธออีกคนอย่างหมดแรง

“พี่โจ้.... ตื่นเถอะ พี่โจ้..” ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงกุ๊กร้องเรียก พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นเธอกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกันบนเตียง
“กุ๊กตื่นแล้วเหรอ.. ทำไมตื่นเช้าจัง อืมม” ผมบิดขี้เกียจหาวงัวเงีย
“เช้าอะไรล่ะ 11 โมงครึ่งแล้วพี่” เธอพูดเสร็จก็ขยับลุกเดินไปเปิดทีวี เสียงคุณสรยุทธ์จากรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์กำลังอ่านข่าวอย่างขะมักเขม้น เนื้อตัวของเธอยังเปียกนิดๆ ผมเพ้าก็ยังเปียกลีบ บ่งบอกว่าเธอพึ่งจะอาบน้ำเสร็จเมื่อไม่นานนี้ ผมนั่งมองเธอด้วยสายตาส่องประกาย ในหัวนึกย้อนไปถึงภาพของยัยเด็กอ้วนร่างยักษ์ที่ดูยังไงก็ไม่ถูกชะตาซักนิด ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าผู้หญิงคนนึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นได้ขนาดนี้ เพียงเพราะคำว่าความรัก

“เมื่อคืนพี่พากุ๊กมานอนนี่ทำไม?” เธอถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ แต่ฟังๆ ดูแล้วก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรจริงจังนัก
“โธ่ ก็พี่เมานี่นา แล้วคอนโดพี่ก็ใกล้กว่าคอนโดกุ๊กด้วย ถ้าให้พี่ขับไปส่ง พี่ขับไม่ไหวหรอก” ผมรีบอ้อนทันที
“โห แล้วทำไมต้องเป็นพี่โจ้ด้วย ทำไมไม่ให้คนอื่นมาส่งกุ๊ก ถ้าเกิดพี่เมาแล้วขับไปชนขึ้นมา กุ๊กก็ซวยไปด้วยดิพี่ ฮึ” เธอทำท่ากอดอกงอนๆ ผมเห็นแล้วรู้เลยว่ากุ๊กเริ่มจะหายโกรธผมแล้วแน่ๆ
“คนอื่นเค้าก็เมาเหมือนกันแหละกุ๊ก แล้วอีกอย่าง... ถ้าไม่พามาที่นี่ พี่ก็ไม่ได้นอนกอดกุ๊กแบบเมื่อคืนนี้สิจ๊ะ” ผมพูดจบก็อมยิ้มใส่เธอ พอเธอเห็นแบบนั้นก็ออกอาการเขินสุดๆ คว้าหมอนเขวี้ยงใส่หน้าผม แล้วโถมเข้ามาตีทันที
“ไอ้พี่โจ้บ้า! ไอ้ลามก! บอกมานะว่าเมื่อคืนทำอะไรกุ๊ก”
“โอ๊ยๆๆ เปล่านะ พี่ก็แค่นอนกอดกุ๊กเฉยๆ เอง ก็พี่คิดถึงนี่นา กุ๊กไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ?” ผมคว้าเธอเข้ามากอดไว้แนบตัว เธอก็ทำท่าดิ้นพอเป็นพิธี
“ฮึ! พอเลย ไม่ต้องมาคิดถงคิดถึงบ้าบออะไรเลย นอกใจเราไปมีกิ๊กยังมีหน้ามาบอกว่ารักเรา ผู้ชายเจ้าชู้ ปล่อยกุ๊กนะ” เธอดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขน
“โอ๋ๆๆ พี่ขอโทษนะ ต่อไปนี้พี่จะไม่ทำผิดซ้ำสองอีกแล้ว กุ๊กเชื่อใจพี่นะ นะคะ นะคะคนดี” พูดไปพลาง เอาแก้มถูไถแนบแก้มเธอไปพลาง

“แน๊! ปล่อยนะคนบ้า ไม่เชื่อแล่ว! คนนิสัยไม่ดี โกรธร้อยปีอย่ามาดีกันร้อยชาติ”
“อ๋อออ ง้อดีๆ ไม่ชอบใช่ม้าย? งั้นต้องเจอแบบนี้” ผมพูดไปพลาง ใช้มือจั๊กกะจี๋เอวเธอไปพลาง
“ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า! โอ๊ย! ไม่เอา พี่โจ้ไม่เล่นแบบนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” กุ๊กดิ้นเร่าๆ หัวเราะไม่หยุดจนแทบจะหายใจไม่ทันเมื่อถูกจู่โจมจุดอ่อนแบบนี้ เธอนอนหอบหายใจหนักๆ สบตากับผมที่กำลังมองหน้าเธอเช่นเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีแต่ความเงียบสงบที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสองคู่นี้ ภาพเหตุการณ์ในวันแรกที่เราสองคนกลายเป็นของกันและกันย้อนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าเธอเองก็คงคิดไม่ต่างกัน

“กุ๊กครับ พี่รักกุ๊กนะ” ผมโน้มหน้าลงไปกะจะจูบปากเธอเบาๆ แต่เธอกลับขืนตัวไว้ เอามือยันอกผม
“พี่โจ้.. กุ๊กขอถามอะไรก่อนได้มั้ย?”
“อืมม”
“ถ้ากุ๊กยอมกลับไปคบกับพี่.. พี่โจ้สัญญาได้มั้ยว่าพี่จะไม่ทำให้กุ๊กเสียใจอีก จะไม่มีอะไรที่พี่ปิดบังกุ๊กอีกแล้ว” ผมนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนกลั้นใจตอบเธอไปด้วยความหนักแน่น
“อือ พี่สัญญา พี่จะไม่ทำให้กุ๊กต้องผิดหวังอีกแล้ว” คำพูดของผมทำให้เธอยิ้มออกมาเล็กๆ ก่อนที่น้ำตาของเธอจะค่อยๆ เอ่อล้นออกมาอีก ตอนแรกผมก็นึกว่าเธอร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ไปๆ มาๆ ชักไม่ใช่แล้วแฮะ

“กุ๊ก... กุ๊กร้องไห้ทำไม?”
“ฮืออ..... ฮือออ......พี่โจ้.. หนูขอโทษ... ฮือ” น้ำตาเธอไหลอาบสองแก้ม ปากก็ร้องขอโทษผมทั้งๆ ที่ผมต่างหากเป็นฝ่ายผิด
“กุ๊กไม่ต้องขอโทษหรอก พี่ต่างหากที่เป็นคนผิด กุ๊กจะขอโทษพี่ทำไม?” ผมเอามือกอดเธอไว้แน่น
“กุ๊กเผลอ... ไปมีอะไรกับคนอื่นมา อึ่ก... อึ่ก.. ฮือออ” คำพูดของเธอราวกับสายฟ้าฟาด ผ่าเปรี้ยงเข้ากลางหัวใจผม