วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

จุดจบยอดนักเย็ด #9

  

 
 


==================

แล้วผมก็ได้เจอหน้ากุ๊กอีกครั้งในเช้าวันถัดมา เธอมาทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมาให้ใครสังเกต เธอวางกระเป๋าลงที่โต๊ะแล้วขยับเก้าอี้เตรียมนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ ผม เหมือนเช่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จังหวะที่เราสบตากัน ผมเห็นเธอพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันเหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของเราถูกย้อนเวลากลับไปสู่วันแรกที่ได้เจอหน้ากันอีก

“เป็นไงบ้างวะมึง หายดีแล้วเหรอ ถึงมาไหวเนี่ย?” พี่จ๋องเอ่ยทักขึ้น
“อ๋อ ดีขึ้นแล้วพี่ แต่ยังง่วงๆ นิดหน่อย สงสัยนอนไม่พอ นอกนั้นก็สบายมาก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเช่นทุกที
“กุ๊ก.. พี่ขอคุยอะไรกับกุ๊กหน่อยสิ” ผมเอ่ยปากทักเธอไปบ้าง
“โทษนะพี่โจ้ กุ๊กต้องรีบแก้งานน่ะ มีงานค้างตรึมเลย เดี๋ยวไม่ทันพรีเซนท์บ่ายนี้” เธอตอบผมโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ ผมรู้ทันทีว่าถ้าดึงดันตอนนี้ก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ จึงคิดว่ารอให้เธอเย็นลงกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยหาจังหวะพูดคุยปรับความเข้าใจกันคงจะดีกว่า แต่ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปจากหนึ่งวัน เป็นสองวัน ลากยาวไปเป็นอาทิตย์ ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นซักที ก็นี่แหละครับ ความอ่อนด้อยไร้ประสบการณ์ที่ไม่เคยง้อใครมาก่อน เลยทำให้ช่องว่างระหว่างเราค่อยๆ ถ่างออกจากกันมากขึ้นทุกที แม้ว่าเธอจะยอมพูดคุยกับผม แต่ก็เป็นเพียงการพูดคุยกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น พอผมจะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเรา เธอก็มักจะบ่ายเบี่ยง ถามคำตอบคำกลับมาทุกที จนเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศเริ่มจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราสองคนทีละน้อย

=======================================

“กุ๊ก... กุ๊กจะให้พี่ทำยังไง กุ๊กถึงจะหายโกรธพี่?” ผมรีบระบายความอัดอั้นออกไป จังหวะที่ยังไม่มีใครมาถึงที่ทำงานนอกจากเราสองคน
“ก็... ก็ไม่ต้องทำอะไรนี่คะพี่ กุ๊กบอกแล้วไงว่าขอให้เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม” เธอตอบกลับมาน้ำเสียงสั่นๆ
“พี่โจ้ก็กลับไปคบกับมิ้นท์เหมือนเดิม ส่วนกุ๊กเองก็... ก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่โจ้แล้วไง”
“ไม่เอาดิกุ๊ก พี่กับมิ้นท์มันไม่มีอะไรแล้ว ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับเค้าอีกเลย กุ๊กก็รู้ ว่าพี่รักกุ๊กคนเดียวจริงๆ” คำพูดของผมเหมือนไปกระแทกต่อมความทรงจำอะไรบางอย่างของเธอ หยาดน้ำตาใสๆ เริ่มผุดขึ้นมาทีละนิดตรงบริเวณหางตา

“พี่... พอเถอะนะ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ดีแล้ว มันจะได้ไม่ต้องมีใครฝืนใจ หรือมานั่งเสียใจอีก”
“โธ่กุ๊ก.. กุ๊กอย่าฝืนความรู้สึกตัวเองแบบนั้นสิ พี่รู้ว่ากุ๊กก็ยังรักพี่เหมือนกัน กุ๊กแค่ยังไม่หายโกรธพี่ใช่มั้ย”
“กุ๊กไม่ได้ฝืน! กุ๊กไม่...” เธอตะเบ็งเสียงตอบผมอย่างมีอารมณ์ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประตูออฟฟิศก็เปิดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมๆ กับร่างอวบๆ ของพี่หน่อยที่เดินก้าวเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเธอได้ยินอะไรไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ใส่ใจที่เราโต้เถียงกันมากนัก พี่หน่อยรับไหว้พวกผมสองคน แล้วเดินอาดๆ เข้าห้องทำงานของแกไป ผมนึกว่าจะรอดแล้ว ก็พอดีกับที่แกโผล่ชะโงกหน้าออกมาแล้วร้องเรียกให้ผมเข้าไปคุยกับแก

“แกสองคนทะเลาะกันใช่มั้ย?” คำถามของเธอแทงทะลุใจดำผมพอดิบพอดี
“ใช่ครับพี่...” ผมไม่รู้จะกุเรื่องโกหกเธอไปทำไมอีก เลยตอบไปตามตรง เพราะสุดท้ายคนฉลาดแบบแกก็รู้อยู่ดี
“ทำไม? แกไปมีคนอื่นรึไง?” โดนไปเต็มๆ ดอกที่สอง
“....” ผมพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไปอีก
“เฮ้ออออออ... แกนี่น้าไอ้โจ้ ชั้นเคยเตือนแกแล้วนะ ว่าให้ระมัดระวังให้ดีๆ รู้มั้ยคนอื่นๆ เค้าก็เริ่มสงสัยแล้วนะ เรื่องที่แกสองคนนิ่งๆ อึนๆ ใส่กันมาเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ย”
“ผมก็พยายามง้อเค้าแล้วนะพี่ แต่กุ๊กเค้าไม่ฟังผมเลย”
“มันแปลกตรงไหนล่ะ ก็แกไปนอกใจเค้าเองไม่ใช่รึไง ถ้าชั้นเป็นกุ๊กนะ ชั้นไล่แกออกไปนานแล้ว”
“โธ่พี่ พี่ไม่ได้ช่วยพูดให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยอ้ะ!”
“สมน้ำหน้า ก็แกอยากทำตัวเองทำไมล่ะยะ? ชั้นไม่รู้นะว่าแกสองคนจะไปเคลียร์กันยังไง แต่ขออย่าให้มันมีผลกระทบกับคนอื่นๆ รวมไปถึงเรื่องงานแล้วกัน ถ้าพวกแกยังเต็มที่กับงานได้เหมือนเดิม ชั้นก็ไม่ว่าอะไรนะ เออ แล้วเรื่องงานไนล่อนเตรียมถึงไหนแล้ว?” สุดท้ายก็วกกลับมาทวงงานจนได้ พี่หน่อยเจ้านายผมนี่สุดยอดจริงๆ ครับ

ผมกับกุ๊กก็ยังคงเข้าหน้ากันไม่ติดเหมือนเดิม แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเป็นเดือนๆ แล้วก็ตาม บอกตรงๆ เลยนะครับว่าแต่ละวันที่ไปทำงานเนี่ย มันทั้งอึดอัด ปวดใจ ที่ต้องทนเห็นหน้าคนเคยรักกันมาทำเฉยชาใส่แบบนี้ เหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา มันหน่วงๆ อยู่ข้างใน ผมไม่รู้ว่ากุ๊กจะฝืนใจทำมันอยู่รึไม่ หรือเธออาจจะทำมันออกมาจากใจจริงๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็มีแต่จะทำให้ผมเสียใจขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ อย่างที่เพลงเค้าว่านั่นแหละครับ “คนที่รัก ร้างไกลนั้นเจ็บไม่นาน คนไม่รัก ใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า” นี่แม่งไม่ใช่แค่ใกล้ธรรมดา เพราะเรานั่งโต๊ะติดกันทุกวัน ช่วยบอกทีเถอะครับถ้าคุณเป็นผมจะทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น อ้อไม่สิ คุณอาจจะไม่ได้คิดตื้นๆ จนพลาดไปมีอะไรกับน้องมิ้นท์ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เฮ้อ คิดแล้วก็ได้แต่สมเพชตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอมีแฟนใหม่ไปแล้วรึยัง เพราะเห็นช่วงหลังๆ เธอมักจะรีบกลับและมีนัดกับเพื่อนๆ แทบจะตลอดทุกวัน ส่วนผมเองน่ะเหรอ ก็ไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เหมือนความรู้สึกผิดมันยังคงปักคาอยู่ไม่ยอมหลุดออกไปไหนง่ายๆ

ผ่านไปเกือบ 4 เดือน ผมท้อจนแอบถอดใจไปแล้วว่าเราสองคนคงไม่ได้กลับมาคบกันอีก จนกระทั่งมีอยู่วันนึง พี่หน่อยก็พาพวกเราทั้งหมดไปเลี้ยงมื้อค่ำที่ร้านประจำไม่ไกลจากบริษัทโทษฐานที่บังอาจปิดงานให้ลูกค้าได้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเกินคาด กุ๊กกับผมก็ถูกลากไปรวมตัวที่ร้านเช่นกัน ผมเห็นเธอกระดกเบียร์หนักที่สุดวันนึงตั้งแต่เรารู้จักกันมา ในใจก็พาลคิดไปว่าต้นเหตุคงมาจากเรื่องของผมนั่นแหละ พอคิดได้แบบนั้น ผมเองก็เลยรีบซดเบียร์อึกๆๆ ตามเธอไปติดๆ เพื่อหวังที่จะได้ลืมความเครียดที่ฝังแน่นอยู่ในหัวซักที

“ไอ้โจ้! ไอ้กุ๊ก! มึงสองคนนี่แม่ง... ทะเลาะเหี้ยไรกันนักหนาวะ?” พี่จ๋องที่กำลังเมาได้ที่ เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมากลางวงแบบไม่ทันตั้งตัว
“นั่นดิพี่... ไม่รู้จะงอนอะไรกันนักหนา ผมล่ะอึดอัดชิบหาย” เสียงไอ้เบสคอรัสตามขึ้นมาทันที
“เปล่านี่พี่ ก็ไม่ได้มีอะไรซักหน่อย” ผมพยายามตอบกลบเกลื่อนไป หวังให้วงสนทนารีบเปลี่ยนเรื่องไวๆ
“มันจะไม่มีได้ไงวะ ก็มึงสองตัวเคยคุยง้องแง้ง กัดกันอย่างกะหมา แล้วจู่ๆ ก็มาอี๋อ๋อกันจนน่าหมั่นไส้ แล้วนี่อยู่ดีๆ ก็เสือกมึนตึงใส่กันแบบเนี้ย อย่าบอกนะว่าพวกมึงเลิกกันแล้วเนี่ย?” คำพูดของพี่จ๋องกลายเป็นการกดชนวนระเบิดที่ดูเหมือนจะด้านสนิทไปนานแล้ว ให้ระเบิดตูมขึ้นมา
“ก็พี่โจ้มันเหี้ย!!” กุ๊กผุดลุกยืน ตะโกนขึ้นมากลางวงแบบไม่มีใครคาดคิด พี่หน่อยหลุดขำก๊ากออกมา ส่วนผมเองแทบหงายหลังตกเก้าอี้ กุ๊กมองหน้าผมใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งเมา ชี้นิ้วมาแล้วเริ่มร่ายยาว น้ำเสียงเมาแอ๋

“ก็พี่แม่ง... ก็พี่แม่งแอบไปมีกิ๊กลับหลังหนู ปากก็บอกว่ารักหนูปาวๆ พอเผลอก็กลับไปเอากับคนอื่นมั่วไปหมด”
“กุ๊ก ใจเย็นๆ ก่อนนะ กุ๊กเมาแล้วมั้งเนี่ย” ผมพยายามบอกให้เธอสงบสติอารมณ์ลง แต่ยิ่งเหมือนไปเขี่ยสุมไฟให้คุกรุ่นขึ้นไปอีก
“ไม่เมาโว้ย! ก็พี่นั่นแหละ เสือกนอกใจกุ๊กทำไม!? อึ่ก.... ไหนบอกว่าเลิกคุยกับมิ้นท์แล้วไง... อึ่ก.. แล้วกลับไปเอากับมันทำไม ฮือออ.....” เธอแบะปากแล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จนพี่ปอกับยัยป่านต้องเข้าไปช่วยกันปลอบ กุ๊กร้องไห้อย่างน่าสงสาร น้ำหูน้ำตาตอนนี้ทะลักเปรอะเปื้อนไปทั่ว ผมเองยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด ขยับเข้าไปนั่งแตะไหล่ปลอบเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พอมือผมสัมผัสเข้ากับผิวเธอ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เธอร้องไห้หนักขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยอมนั่งนิ่ง ให้ผมบีบไหล่เธอเบาๆ อยู่อย่างนั้น

“กุ๊ก พี่ขอโทษนะ เรากลับมาดีกันได้มั้ย? พี่รักกุ๊กนะ” ผมพูดพลางลูบหัวเธอเบาๆ แบบที่กุ๊กชอบให้ทำเสมอ เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ค่อยๆ ขยับออก บ้างลุกหนีออกไปโทรศัพท์ บ้างทำทีเป็นเข้าห้องน้ำ เปิดช่องให้ผมกับกุ๊กได้ปรับความเข้าใจกันสองคน
“ฮืออ...ออออ” เสียงกุ๊กสะอึกสะอื้น ค่อยๆ เอนหัวซบไหล่ผมด้วยความเมามาย น้ำตาเธอเริ่มไหลช้าลง แม้ว่าเบ้าตาจะยังแดงก่ำ แต่อารมณ์ข้างในนั้นเริ่มจะสงบนิ่งลงไปแล้ว เธอร้องไห้จนเหนื่อยแล้วก็หลับไปอย่างอ่อนแรง ผมบอกพี่หน่อยว่าขอตัวกลับก่อน เพราะจะพากุ๊กกลับไปพักก่อน ซึ่งพี่แกก็โอเค เพราะเห็นว่าเราสองคนดูจะปรับความเข้าใจได้แล้ว ผมใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ขับรถพากุ๊กกลับมาถึงคอนโดตัวเอง ประคองตัวเธอขึ้นห้องด้วยความยากลำบากนิดๆ เพราะผมเองก็แอบเมาอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็พาตัวเรามาถึงหน้าประตูห้องจนได้ พอไขกุญแจเข้าไปได้ก็รีบวางตัวเธอนอนลงบนเตียงทันที ก่อนที่ผมจะล้มตัวลงนอนกอดกุ๊ก แล้วงีบหลับไปข้างๆ เธออีกคนอย่างหมดแรง

“พี่โจ้.... ตื่นเถอะ พี่โจ้..” ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงกุ๊กร้องเรียก พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นเธอกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกันบนเตียง
“กุ๊กตื่นแล้วเหรอ.. ทำไมตื่นเช้าจัง อืมม” ผมบิดขี้เกียจหาวงัวเงีย
“เช้าอะไรล่ะ 11 โมงครึ่งแล้วพี่” เธอพูดเสร็จก็ขยับลุกเดินไปเปิดทีวี เสียงคุณสรยุทธ์จากรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์กำลังอ่านข่าวอย่างขะมักเขม้น เนื้อตัวของเธอยังเปียกนิดๆ ผมเพ้าก็ยังเปียกลีบ บ่งบอกว่าเธอพึ่งจะอาบน้ำเสร็จเมื่อไม่นานนี้ ผมนั่งมองเธอด้วยสายตาส่องประกาย ในหัวนึกย้อนไปถึงภาพของยัยเด็กอ้วนร่างยักษ์ที่ดูยังไงก็ไม่ถูกชะตาซักนิด ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าผู้หญิงคนนึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นได้ขนาดนี้ เพียงเพราะคำว่าความรัก

“เมื่อคืนพี่พากุ๊กมานอนนี่ทำไม?” เธอถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ แต่ฟังๆ ดูแล้วก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรจริงจังนัก
“โธ่ ก็พี่เมานี่นา แล้วคอนโดพี่ก็ใกล้กว่าคอนโดกุ๊กด้วย ถ้าให้พี่ขับไปส่ง พี่ขับไม่ไหวหรอก” ผมรีบอ้อนทันที
“โห แล้วทำไมต้องเป็นพี่โจ้ด้วย ทำไมไม่ให้คนอื่นมาส่งกุ๊ก ถ้าเกิดพี่เมาแล้วขับไปชนขึ้นมา กุ๊กก็ซวยไปด้วยดิพี่ ฮึ” เธอทำท่ากอดอกงอนๆ ผมเห็นแล้วรู้เลยว่ากุ๊กเริ่มจะหายโกรธผมแล้วแน่ๆ
“คนอื่นเค้าก็เมาเหมือนกันแหละกุ๊ก แล้วอีกอย่าง... ถ้าไม่พามาที่นี่ พี่ก็ไม่ได้นอนกอดกุ๊กแบบเมื่อคืนนี้สิจ๊ะ” ผมพูดจบก็อมยิ้มใส่เธอ พอเธอเห็นแบบนั้นก็ออกอาการเขินสุดๆ คว้าหมอนเขวี้ยงใส่หน้าผม แล้วโถมเข้ามาตีทันที
“ไอ้พี่โจ้บ้า! ไอ้ลามก! บอกมานะว่าเมื่อคืนทำอะไรกุ๊ก”
“โอ๊ยๆๆ เปล่านะ พี่ก็แค่นอนกอดกุ๊กเฉยๆ เอง ก็พี่คิดถึงนี่นา กุ๊กไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ?” ผมคว้าเธอเข้ามากอดไว้แนบตัว เธอก็ทำท่าดิ้นพอเป็นพิธี
“ฮึ! พอเลย ไม่ต้องมาคิดถงคิดถึงบ้าบออะไรเลย นอกใจเราไปมีกิ๊กยังมีหน้ามาบอกว่ารักเรา ผู้ชายเจ้าชู้ ปล่อยกุ๊กนะ” เธอดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขน
“โอ๋ๆๆ พี่ขอโทษนะ ต่อไปนี้พี่จะไม่ทำผิดซ้ำสองอีกแล้ว กุ๊กเชื่อใจพี่นะ นะคะ นะคะคนดี” พูดไปพลาง เอาแก้มถูไถแนบแก้มเธอไปพลาง

“แน๊! ปล่อยนะคนบ้า ไม่เชื่อแล่ว! คนนิสัยไม่ดี โกรธร้อยปีอย่ามาดีกันร้อยชาติ”
“อ๋อออ ง้อดีๆ ไม่ชอบใช่ม้าย? งั้นต้องเจอแบบนี้” ผมพูดไปพลาง ใช้มือจั๊กกะจี๋เอวเธอไปพลาง
“ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า! โอ๊ย! ไม่เอา พี่โจ้ไม่เล่นแบบนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” กุ๊กดิ้นเร่าๆ หัวเราะไม่หยุดจนแทบจะหายใจไม่ทันเมื่อถูกจู่โจมจุดอ่อนแบบนี้ เธอนอนหอบหายใจหนักๆ สบตากับผมที่กำลังมองหน้าเธอเช่นเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีแต่ความเงียบสงบที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสองคู่นี้ ภาพเหตุการณ์ในวันแรกที่เราสองคนกลายเป็นของกันและกันย้อนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าเธอเองก็คงคิดไม่ต่างกัน

“กุ๊กครับ พี่รักกุ๊กนะ” ผมโน้มหน้าลงไปกะจะจูบปากเธอเบาๆ แต่เธอกลับขืนตัวไว้ เอามือยันอกผม
“พี่โจ้.. กุ๊กขอถามอะไรก่อนได้มั้ย?”
“อืมม”
“ถ้ากุ๊กยอมกลับไปคบกับพี่.. พี่โจ้สัญญาได้มั้ยว่าพี่จะไม่ทำให้กุ๊กเสียใจอีก จะไม่มีอะไรที่พี่ปิดบังกุ๊กอีกแล้ว” ผมนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนกลั้นใจตอบเธอไปด้วยความหนักแน่น
“อือ พี่สัญญา พี่จะไม่ทำให้กุ๊กต้องผิดหวังอีกแล้ว” คำพูดของผมทำให้เธอยิ้มออกมาเล็กๆ ก่อนที่น้ำตาของเธอจะค่อยๆ เอ่อล้นออกมาอีก ตอนแรกผมก็นึกว่าเธอร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ไปๆ มาๆ ชักไม่ใช่แล้วแฮะ

“กุ๊ก... กุ๊กร้องไห้ทำไม?”
“ฮืออ..... ฮือออ......พี่โจ้.. หนูขอโทษ... ฮือ” น้ำตาเธอไหลอาบสองแก้ม ปากก็ร้องขอโทษผมทั้งๆ ที่ผมต่างหากเป็นฝ่ายผิด
“กุ๊กไม่ต้องขอโทษหรอก พี่ต่างหากที่เป็นคนผิด กุ๊กจะขอโทษพี่ทำไม?” ผมเอามือกอดเธอไว้แน่น
“กุ๊กเผลอ... ไปมีอะไรกับคนอื่นมา อึ่ก... อึ่ก.. ฮือออ” คำพูดของเธอราวกับสายฟ้าฟาด ผ่าเปรี้ยงเข้ากลางหัวใจผม



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น