วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

คบเด็กข้างบ้าน #1

 
 

ช่วงนี้ว่างๆ เพราะพึ่งลาพักร้อนหยุดยาวจนถึงช่วงปีใหม่ เลยแวะมาส่งเรื่องใหม่ให้อ่านกันเล่นๆ ขำๆ
เป็นเรื่องสั้นๆ ประมาณ 3 ตอนจบ อาจจะค่อนข้างรวบรัดไปนิดนึงนะฮะ

ได้แรงบันดาลใจมาจากกระทู้นึงในพันทิป เกี่ยวกับเรื่องของภรรยาสาวรุ่นพี่ที่โดนรุ่นน้องข้างบ้านจู่โจม
ตอนอ่านแล้วดันไปจินตนาการว่ามันควรจะเป็นยังไงต่อ เลยสรุปออกมาได้เป็นเรื่องนี้
สำนวนจะออกแนวผู้หญิงมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะครับ อาจมีช่วงที่ตัวละครมันบ่นบ้าง จิกกัดบ้างนิดๆ หน่อย ถือซะว่าลองเปลี่ยนอารมณ์ดูก็แล้วกัน




-----------------

เพื่อนๆ เคยได้ยินวลีที่ว่า 'คบเด็กสร้างบ้าน' มั้ยคะ?

มันเป็นสุภาษิตโบราณที่พูดถึงเรื่องของการเลือกใช้คนผิดเวลาที่คิดจะทำการใหญ่ โดยเปรียบเทียบตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ อย่างเรื่องของการก่อร่างสร้างบ้าน ซึ่งไอ้ครั้นจะให้เด็กตัวเล็กๆ ซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอมาเป็นผู้ควบคุมดูแลนั้น ก็เห็นว่าคงจะไม่สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นการแน่

แล้วถ้าเป็นวลี 'คบเด็กข้างบ้าน' ล่ะคะ?

ประโยคนี้หลายคนคงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันซักเท่าไหร่ ความหมายของมันก็ตรงตามตัวอักษรโต้งๆ นั่นแหละค่ะ คือการคบหาดูใจกับเด็กหนุ่มที่อยู่บ้านติดๆ กัน ซึ่ง... ไอ้การคบเด็กที่ว่านี้มันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ถ้าหากว่าเจ้าเด็กบ้านั่นมันไม่ได้หน้าด้านมาจีบผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วแบบเรา....

=======================================

เราชื่อพัชค่ะ พัชรินทร์ มงคลธนกุล อายุก็ 28 ปีพอดี ชีวิตส่วนตัวตอนนี้ก็แต่งงานมีครอบครัวมาได้ร่วมๆ 2 ปีแล้ว ส่วนงานปัจจุบันก็รับจ๊อบเป็นฟรีแลนซ์ วาดภาพประกอบให้กับทางสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งสมัยนั้นไอ้คำว่าฟรีแลนซ์มันก็ยังไม่ได้ฮิตหรือแพร่หลายกันเหมือนสมัยนี้หรอกค่ะ คู่แข่งหรืออะไรๆ ก็เลยยังไม่ค่อยจะเยอะเท่าไหร่ ทำให้เราก็พอจะเอาตัวรอดไปได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานจากสำนักพิมพ์เล็กๆ นานๆ ทีถึงจะมีวาดให้ของอะบุ๊กบ้าง กับทางมติชนบ้าง แล้วแต่ว่าทางกองบ.ก. จะเสนอโจทย์มาให้ แต่ช่วงหลังๆ นี้ก็เว้นวรรคมานานพอสมควรแล้ว เพราะกำลังวุ่นๆ อยู่กับการตั้งหน้าตั้งตาปั่นงานวิจัยปริญญาโทให้จบ

ส่วนพี่อ๊อฟแฟนเรา อายุมากกว่าเรา 5 ปี (ขอเรียกพี่เค้าว่าแฟนแล้วกันนะคะ จะได้ไม่ดูเป็นทางการเกินไปหน่อย) ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดในส่วนของงานอีเว้นท์ ให้กับบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เลยทำให้พี่เค้าต้องคอยออกทริปไปจัดงานอีเว้นท์เปิดตัวสินค้าต่างๆ รวมถึงเดินสายออกทรูปที่ต่างจังหวัดอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าหนักสุดนี่คือไม่ได้เจอหน้าเราเกือบเดือนนึงเต็มๆ ก็เคยมีมาแล้ว ตอนที่พี่เค้าไปแกรนด์โอเพนนิ่งสี่ภาคกับทางบริษัท แต่ก็อย่างว่าล่ะค่ะ พองานมันหนัก เงินก็เลยเยอะตามไปด้วย รายได้ของพี่เค้าคนเดียวก็มากพอที่จะเลี้ยงเราสองคนได้แบบสบายๆ

เราสองคนรู้จักกันมาได้หลายปีแล้วค่ะ ด้วยความที่พี่อ๊อฟเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่สาวเราอีกทีหนึ่ง ก็เลยทำให้เราสองคนพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง พี่เค้าเคยแวะมาหาพี่สาวเราที่บ้านพร้อมกับเพื่อนๆ อยู่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างบางเวลาที่เราขอติดสอยห้อยตามไปเที่ยวกับกลุ่มของพี่สาวบ้างนานๆ ครั้ง เราก็มักจะได้เจอหน้าของพี่อ๊อฟอยู่ในก๊วนเที่ยวด้วยเสมอ

แล้วทีนี้เมื่อถึงจังหวะของวัยและเวลาที่เหมาะสม หลังจากที่เราเรียนจบมาได้ 3 ปี พี่เค้าก็เลยตัดสินใจเอ่ยปากขอคบเป็นแฟนกับเรา ซึ่งอันนี้ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ เราว่าเราเองก็ไม่ใช่คนหน้าตาขี้เหร่อะไร รูปร่างก็ปกติ ไม่ได้อ้วน ไม่ได้ผอม ผมยาว ผิวขาว นมเล็กตามมาตรฐานหญิงไทยสมัยใหม่ แถมใครๆ ก็ชอบทักอยู่บ่อยๆ ว่าเราน่ะหน้าเหมือนนางเอกแดจังกึมเดี๊ยะๆ

ที่ผ่านๆ มาก็พอจะมีคนเข้ามาจีบ เข้ามาคุยบ้างเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครเป็นพิเศษ ซึ่งจังหวะที่พี่อ๊อฟเข้ามาน่ะ เราเองก็ยังมีคนคุยๆ ดูๆ อยู่บ้างเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่ แต่ไม่รู้สิ... อาจเพราะว่าพี่สาวเรากับคนที่บ้านเค้าคอยสนับสนุนด้วยมั้ง เราก็เลยตกปากรับคำ และยอมลองคบกับพี่อ๊อฟไปง่ายๆ ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าอยากจะลองมีแฟนที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเฉยๆ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะจริงจังอะไรเท่าไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ลากยาวมาจนได้แต่งงานกันถึงทุกวันนี้นี่แหละ

พี่อ๊อฟเค้าเป็นคนน่ารักค่ะ เทคแคร์เอาอกเอาใจเราตลอด ค่อนข้างมีเหตุผล และเป็นผู้ใหญ่กว่าเรามากๆๆๆ ไม่เจ้าชู้ ไม่งี่เง่า บุหรี่กับเหล้าก็ไม่เคยแตะ การพนันก็ไม่ได้เล่น เสียอย่างเดียว... พี่แกน่ะขี้หึงมากไปหน่อย...

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องเข้าใจผิดใหญ่โตกันมาทีนึงแล้ว ซึ่งต้นเหตุก็ไม่ใช่อะไรเล้ยยย ก็แค่เพื่อนผู้ชายในแผนกเรา เกิดไปปิ๊งสาวในแผนกบัญชีขึ้นมา มันก็เลยชอบแชทมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักกับเราอยู่บ่อยๆ ทีนี้พอปรึกษากันบ่อยเข้า พี่อ๊อฟแกก็เกิดตะหงิดๆ ขึ้นมาจ้า หาว่าเราติดแชทกับหนุ่มอื่น ของขึ้นซะงั้น ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าเวลาที่พี่แกหึงขึ้นมาทีไรนะ สติสตังหลุดหมด อารมณ์ร้อนจนไม่ยอมฟังเหตุผลทุกที ภาพของหนุ่มรุ่นพี่ผู้มีเหตุผลใจเย็นที่ว่ามาก่อนหน้านี้นี่ หายวับไปกับตาเลยจ้าาาา

วันดีคืนดี พี่แกก็เลยแอบเอามือถือเราไปส่งข้อความเฉ่งเพื่อนเราซะงั้น...

แค่นั้นยังไม่สาแก่ใจ ยังมีการขู่ว่าจะมาขอเคลียร์กันตัวๆ ที่ออฟฟิศเราอีก คราวนี้ก็วงแตกสิคะ... เพื่อนๆ ที่แผนกก็เลยได้รู้ฤทธิ์แฟนเรากันหมดว่าพี่แกน่ะ 'ขี้หึงตัวพ่อ' จนกลายเป็นมุกให้เพื่อนๆ พี่ๆ เค้าหยิบมาล้อกันสนุกสนานเฮฮาไปอีก แถมเรื่องทำนองนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งซะด้วยสิ เฮ้อ...

“ถามจริง ถ้าวันนึงเค้าเกิดเผลอไปมีใจให้ผู้ชายคนอื่นจริงๆ อ้วนจะทำไงอ่ะ” เราเคยลองเอ่ยปากถามพี่อ๊อฟเล่นๆ ไปครั้งนึง
“ไม่เห็นต้องถามเลย เค้าจะตามไปอัดเธอทั้งคู่ถึงที่ทำงานเลย คอยดู” พ่อคุณเค้าตอบกลับมาทันควันเหมือนตั้งใจขู่
“หูย.... ยังไม่ได้พูดซักคำเลยว่าเป็นเพื่อนที่ทำงาน”
“ก็นั่นแหละ จะเพื่อนที่ไหนก็เหมือนกันอ่ะ โดนแน่ ขอบอก” พี่อ๊อฟย้ำคำ พร้อมกับกระชับโอบเอวเราเข้าไปกอดไว้ด้วยความหวง

“โธ่เอ๊ย อ้วนใจดีกับเค้าขนาดนี้ เค้าจะกล้าไปมีคนอื่นได้ไงเล่า คิดมาก” เราพูดยืนยันให้พี่อ๊อฟสบายใจ
“จริงเร้ออ?” พี่แกยังเล่นตัว ทำทีเหมือนไม่เชื่อ เราเลยตอบกวนๆ กลับไปเป็นเพลงซะเลย
“จริงซิ”
“แน่นะ?” บ๊ะ พ่อคุณก็ยอมเล่นด้วยแฮะ
“อ๋อ แน่ซิ” เราดัดเสียงร้องใส่ทำนองเต็มที่ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

ซึ่งไอ้ความขี้หึงเกินเหตุของพี่อ๊อฟนี่แหละ ที่มีส่วนให้เราตัดสินใจลาออกจากงานกราฟฟิกฯ มาเลือกเป็นฟรีแลนซ์วาดภาพอยู่บ้านแทน พร้อมกับเอาเวลาว่างที่มีไปลงเรียนต่อโทในสายการตลาด ซึ่งแอบสนใจอยากเรียนมาตั้งนานแล้ว

อย่างที่บอกไปตอนแรกค่ะว่าเรากับพี่เค้าแต่งงานกันมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว หลังจากที่จดทะเบียนเป็นผัวเมียอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เราทั้งคู่ก็เลยตัดสินใจใช้เงินเก็บที่พอจะมีอยู่ ซื้อทาวเฮ้าส์สวยๆ ไว้สร้างครอบครัวร่วมกันสองคน ซึ่งชีวิตแต่งงานของเราทั้งคู่นั้นก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากมายหรอกค่ะ ก่อนแต่งเป็นยังไง หลังแต่งก็ยังเหมือนเดิม

ไอ้ที่เคยแอบวาดฝันไว้ว่าพอได้เป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ชีวิตคู่คงจะต้องหวานชื่น ได้สวีทหวานแหววอยู่ร่วมบ้านเดียวกันทุกวันทุกคืน แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นคนละเรื่องเลย ด้วยความที่เราวุ่นๆ อยู่กับงานวิจัย ส่วนแฟนก็ต้องเดินทางไปจัดงานต่างจังหวัดบ่อยๆ กว่าจะกลับบ้านมาแต่ละที พี่แกก็เหนื่อยจนหมดแรงจะกุ๊กกิ๊กกับเราแล้วล่ะ มันก็เลยเหลือแต่เราที่ต้องหมกตัวอยู่ที่บ้านคนเดียว ไม่ได้ออกไปเที่ยวอะไรที่ไหนข้างนอก เพราะแค่นั่งแก้งานวิจัยมันก็เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์ที่จะออกไปไหนอีกแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็แทบจะกลายเป็นดักแด้สาวไปแล้วล่ะค่ะ แฮะๆ

เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ของเราก็ค่อนข้างน่ารักค่ะ บ้างฝั่งขวามือเป็นครอบครัวสองสามีภรรยา โดยที่ฝ่ายหญิงกำลังอยู่ในช่วงตั้งท้องลูกคนแรก ดูอบอุ่นทีเดียว ซึ่งเราก็พอจะเคยคุยๆ ทักทายกันบ้างตามประสาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงหลังติดกัน แต่เราจะไปสนิทสนมกับเพื่อนบ้านอีกหลังนึงมากกว่า นั่นก็คือบ้านหลังทางซ้ายมือ ด้วยความที่สองสาวพี่น้องเจ้าของบ้านนั้น มีไลฟ์สไตล์และความชอบที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเราอยู่พอสมควร

น้องเปิ้ล พี่สาวคนโตนั้นเด็กกว่าเราแค่ปีเดียว ส่วนน้องส้มคนเล็กก็ห่างกับเราอยู่แค่ 3 ปี ก็เลยค่อนข้างคุยกันถูกคอได้แทบทุกเรื่อง ทั้งคู่มีพื้นเพเป็นคนนครปฐม แต่เข้ามาปักหลักเรียนหนังสือและทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนที่พ่อแม่ของทั้งคู่จะตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ไว้ให้สองสาวได้พักอยู่ด้วยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว โดยไม่ต้องไปเสียค่าเช่าคอนโดรายเดือนให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ

ซึ่ง... ต้นตอของปัญหาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังนี้ ก็มีที่มาจากเพื่อนบ้านหลังนี้นี่แหละค่ะ... แต่ว่าไม่ได้เกิดเรื่องเพราะสองสาวอย่างเปิ้ลกับส้มหรอกนะ แต่เป็นนายโม น้องชายคนเล็กของทั้งคู่ต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตเราต้องวุ่นวายขึ้นมา...

นายโมหรือแตงโม เป็นเด็กหนุ่มเฟรชชี่ปีหนึ่ง อายุราวๆ 18-19 ปี พึ่งจะย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับพี่สาวทั้งสองคนได้ไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากยังหาหอพักใกล้ๆ กับมหาฯลัยที่ถูกใจไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ได้เจอหน้าและเอ่ยปากทักทายกันอยู่บ่อยๆ เรากับน้องเค้าก็เลยเริ่มที่จะสนิทสนมและคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ

บ่อยครั้งที่เราสองคนมักจะยืนคุยเล่นกันหน้าบ้านได้เป็นสิบๆ นาที ยิ่งช่วงไหนที่พี่อ๊อฟติดออกทริปไปนานๆ หลายวันนะ เราก็มักจะได้ตาโมนี่แหละ ที่คอยมาชวนคุยหยอกเย้าให้พอจะคลายเหงาขึ้นมาบ้าง จนเราเองยังแอบนึกในใจเลยว่า เออเนอะ เด็กคนนี้มันอัธยาศัยดีนะ คุยสนุกฟังได้ไม่มีเบื่อเลย ยิ่งตาโมเค้าเรียนทางสายมัลติมีเดียดีไซน์ ซึ่งค่อนข้างจะใกล้เคียงกับสายอาชีพของเราที่เป็นพวกกราฟฟิกอิลลัสเตรสด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งคุยกันสนุกถูกคอขึ้นไปอีก

แต่พอเราลองเอาเรื่องเพื่อนใหม่คนนี้ไปเล่าให้พี่อ๊อฟฟัง พี่เค้ากลับทำท่าเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แถมยังคอยเตือนๆ ว่าอย่าไปคุยไปสนิทสนมอะไรมากซะอีก ซึ่งเราก็พอจะเข้าใจที่พี่เค้ากังวลนะ เพราะโมเนี่ย ก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึงเลยแหละ หุ่นเหิ่นก็ฟิตเปรี๊ยะล่ำบึ้ก สมกับที่ชอบเข้ายิมออกกำลังกายเกือบทุกวัน เวลาเย็นๆ ก็มักจะเห็นน้องมันวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ในหมู่บ้านตลอด แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็ช่างฟิตรัดเข้ากับหุ่นล่ำๆ ซะเหลือเกิน จนบางทีเรายังแอบเผลอมองเป็นอาหารตาอยู่บ่อยๆ แฮ่....

ส่วนแฟนเรานั้นจะออกอวบๆ นิดๆ มีน้ำมีนวล ด้วยความที่พี่เค้าเองก็เข้าวัย 30 ต้นๆ แล้ว พวกระบบเผาผลาญภายในร่างมันก็เลยไม่ได้ทำงานสมบูรณ์ 100% เต็มเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัว ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ ก็เลยยิ่งทำให้พี่เค้าไม่ได้มีเวลามาออกกำลังกายดูแลสุขภาพของตัวเองเท่าไหร่ ช่วงหลังๆ แกก็เลยดูอวบๆ ขึ้นมาพอสมควร มีแก้ม มีพุง แต่ก็ยังไม่ถึงกับอ้วนอะไรนะคะ เราว่ากำลังดีเลยแหละ เวลาเห็นพุงย้วยๆ ของพี่เค้าแล้วเรานะอดเอามือไปจกเล่นไม่ได้ทุกที 555+

แต่ถ้าเอาไปเทียบกับหุ่นล่ำๆ กับกล้ามแน่นๆ ของตาโมแล้ว อย่างพี่อ๊อฟนี่ก็ต้องเรียกว่าหุ่นอาเสี่ยเลยแหละค่ะ... ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่พี่เค้าจะนึกระแวงขึ้นมา เพราะว่าผู้ชายที่ไหนก็คงไม่อยากให้เมียตัวเองไปสนิทสนมกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อล่ำแบบนี้ซักเท่าไหร่ ถึงแม้เราจะยืนยันไปแล้วว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจก็ตาม

“พี่พัช ผมถามอะไรหน่อยสิพี่” นายโมเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่เรากำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน ส่วนโมเองก็กำลังยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวไปวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ที่รั้วข้างๆ เสื้อยืดสีเทาขนาดพอดีตัว รัดกระชับเข้ากับหน้าอกจนมองเห็นเป็นแผงกล้ามขนาดกำลังสวย
“ว่า?” เราขานรับกลับไปสั้นๆ สายยางในมือก็คอยฉีดน้ำใส่กระถางริมรั้วไปด้วย

“ทุกวันนี้พี่ใช้แม็คบุ๊คโปรทำงานอยู่ใช่ป่ะ?” โมเอ่ยปากถามต่อพร้อมกับชะโงกหน้าข้ามรั้วมาใกล้ๆ
“อือฮึ?” เราครางเบาๆ ในลำคอแทนคำตอบ
“ผมเห็นมีแต่คนบอกว่า ถ้าจะทำงานออกแบบก็ต้องเปลี่ยนมาใช้แม็คกัน เพราะมันดีกว่า สะดวกกว่า อันนี้มันจริงรึเปล่าพี่? มันต่างกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วอย่างสายที่ผมเรียนนี่จำเป็นต้องใช้แม็คด้วยมั้ย?”

“อืม... พี่ว่ามันก็แล้วแต่นะ คือที่เค้าบอกว่าดี มันก็ส่วนนึง เพราะแม็คมันออกแบบมาให้ใช้สำหรับงานดีไซน์อยู่แล้วอ่ะ พวกฟังก์ชั่นยิบย่อยมันจะค่อนข้างตรงสเป็คกว่า เสถียรกว่า เวลาซิงก์โปรแกรมอะไรพวกนี้มันก็จะง่าย แต่ราคาก็จะแพงกว่าพีซีทั่วไปไง ถ้าซื้อในราคาเท่ากัน ก็แทบจะได้สเป็คเครื่องพีซีเป็นสองเท่าของแม็คอ่ะ

พี่ว่ามันก็แล้วแต่คนนะ บางคนเค้าก็ถนัดพีซีมากกว่า อย่างพวกสายตัดต่อพรีเมียร์โปรเค้าก็เน้นไปทางพีซีกัน ถ้าโมยังไม่ได้ทำงานจริงจัง หรือพึ่งเริ่มเรียน พี่ว่ายังไม่ต้องรีบซื้อก็ได้ มันค่อนข้างสิ้นเปลืองเหมือนกัน รอได้งานก่อนแล้วค่อยถอนทุนเอาก็ยังไม่สาย เพราะพี่เองก็พึ่งมาเริ่มใช้แม็คตอนทำงานเหมือนกัน แต่พอได้ลองแล้วก็เลยรู้ว่ามันก็โอเคอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ มันถึงมีวลีที่ว่า 'Once you go Mac, You never go back.' ไง” เราอธิบายให้โมฟังตามที่ตัวเองเข้าใจ

“อืม... ถ้าแม็คมันแพงอย่างที่พี่ว่า งั้นผมไปซื้อเคเอฟซีกินดีกว่า น่าจะประหยัดกว่า” โมยิงมุกควายกลับมาดื้อๆ
“จ้ะ ตามสบายเลยพ่อคุณ แหม... หลอกให้พี่พล่ามสาระซะยาวเหยียด ที่แท้ตัวเองจะเล่นมุกก็ไม่บอก” เราเอ็ดไปบ้าง
“โอ้ย ล้อเล่นคร้าบพี่ ผมก็คงยังไม่ซื้อตอนนี้หรอก ที่ดูราคามาก็ค่อนข้างแพงไปหน่อย ถ้าจะให้ซื้อแม็คบุ๊คธรรมดามามันก็ใช้งานแรงๆ ไม่ได้อีก ก็ว่าจะเล็งพีซีไปก่อน น่าจะได้คุ้มกว่าสำหรับตอนนี้” โมว่าพลางก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าทั้งสองข้างให้แน่นๆ

“จ้า ก็ลองดูๆ แล้วกัน ถ้าเกิดอยากได้พวกโปรแกรมออกแบบก็ค่อยมายืมแผ่นที่พี่ไปลงก็ได้” เราเสนอความช่วยเหลือไปตามมารยาท
“ครับผม ขอบคุณมากฮะพี่ งั้นผมไปวิ่งก่อนละ” อีกฝ่ายชิงพูดตัดบทพร้อมกับเปิดประตูรั้วออกไปวิ่ง
“จ้ะๆ ตามสบาย” เราว่าแล้วก็หันไปรดน้ำต้นไม้ต่อโดยไม่ได้คิดอะไรอีก

พอสนิทกันได้ไม่นาน โมก็เริ่มที่จะมาตีซี้กับเรามากขึ้น เริ่มจากเอ่ยปากขอเบอร์กับเฟสบุ๊คเรา ซึ่งเราก็ให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะไหนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านข้างๆ กันอยู่แล้ว  พอให้ปั๊บโมก็แอดเรามาแทบจะในทันที ซึ่งก็พึ่งมานึกเอะใจเอาทีหลังนี่แหละ ว่าขนาดเปิ้ลกับส้มที่สนิทกันมาก่อนหน้านี้ เราก็ยังไม่เคยมีเฟสบุ๊คของทั้งคู่เลยนี่นา...

ซึ่งพอได้มาเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊คนี่แหละเราเลยเริ่มจับสังเกตได้ว่า โมจะคอยมาคอมเมนท์ในรูปเดี่ยวของเราอยู่ตลอด ส่วนรูปคู่ของเรากับแฟนนั้นโมจะไม่เคยเข้ามาคอมเมนท์เลย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ทันได้นึกสงสัยอะไรนะ ไม่กล้าคิดไปไกลว่าน้องมันจะมาแอบชอบหรือหมายปองอะไรกับเรา เพราะมันเองก็หน้าตาดีขนาดนั้น ก็น่าจะมีสาวๆ มาติดพันอยู่บ้าง ส่วนเราเองก็มีผัวเป็นตัวเป็นตนให้เห็นแบบนี้

ด้วยความที่เราอยู่บ้านแทบจะตลอด ทำให้วันไหนที่โมไม่มีเรียนก็มักจะแวะมาคอยชวนเราคุยเล่นอยู่เป็นระยะๆ แรกๆ ก็ยังมากดกริ่งยืนรอหน้าบ้าน มาขอยืมหนังสือไปอ่านบ้าง ยืมหนังไปดูบ้าง เนื่องจากที่บ้านเราค่อนข้างเก็บสะสมหนังสือกับหนังไว้พอสมควร หรือไม่ก็แวะมาขอใช้เน็ตส่งงานบ้าง อ้างว่าที่บ้านเน็ตเสีย ซึ่งเราก็ไม่เคยจะปฏิเสธหรอกค่ะ แต่พอส่งงานเสร็จอีตานี่ก็ดันชอบนั่งแช่ เล่นเน็ตต่อนานๆ น่ะสิ เฮ้อ...

แล้วพอหลังๆ ที่เริ่มสนิทกันมากขึ้นก็ชักจะไม่ค่อยกดกริ่งละ บางทีก็เปิดประตูรั้ว เดินดุ่มๆ เข้ามาเคาะประตูหน้าบ้านดื้อๆ เลยจ้า เล่นเอาเราแอบสะดุ้งไปหลายที เพราะปกติเวลาเรานั่งทำงานอยู่ห้องรับแขกข้างล่าง เราจะไม่ได้ล็อคประตูบ้านไว้ ส่วนใหญ่จะเปิดไว้แค่ประตูมุ้งลวดด้านใน เพื่อให้ลมมันพัดถ่ายเทเข้ามาในตัวบ้าน เพราะตอนกลางวันจะเปิดแค่พัดลมเฉยๆ

บางทีก็จะชอบมานั่งแช่เป็นเพื่อนเรานานๆ นั่งอ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เราก็นั่งทำรายงานของตัวเองไป จนเราลุกขึ้นมาพักเข้าห้องน้ำ ก็ยังเห็นตานี่นั่งเอกเขนกอ่านอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ไม่ยอมขยับไปไหนเลย หรือบางทีก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเล่นๆ แบบจงใจให้เรารู้ตัวด้วยนะ เหมือนอยากจะแกล้งยั่วให้เราเสียสมาธิ พอเราหันไปมองด้วยสายตาดุๆ มันก็ดันอมยิ้มชอบใจแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่ออีก คือแบบ.... อะไรของเมิงคะคุณน้องงงง?? จะกวนพี่ทำเพื่อ???

คือเราเข้าใจนะว่าน้องมันคุยเก่ง อัธยาศัยดี แต่บางวันนี่เราแทบไม่มีสมาธิจะทำงานเลย น้องมันมานั่งใกล้ๆเรา งุ้งงิ้งๆ ชวนคุยตลอด จะเงียบใส่หรือไล่กลับไปเลยก็ไม่ได้ ไอ้ครั้นจะให้ออกไปหาร้านกาแฟนั่งทำงานข้างนอกมันก็ไม่ใช่เรื่อง ไหนจะเปลืองเงิน ไหนจะขี้เกียจ แถมยังต้องมาคอยลุ้นว่าวันไหนที่ร้านจะเอะอะเสียงดังรึเปล่า เนื่องจากเราต้องใช้สมาธิค่อนข้างมาก ถ้าถ่อออกไปข้างนอกแล้วมันวุ่นวายไม่ต่างกันก็ไม่รู้จะออกไปทำไม สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะรับมือกับเจ้าหนูจำไมอย่างโมดีกว่า อย่างน้อยก็อยู่บ้านตัวเอง ยังทำอะไรได้สะดวกกว่าข้างนอก

“โห พี่พัชเคยวาดภาพประกอบให้อะบุ๊กด้วยเหรอ? เจ๋งอ่ะ” โมเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ระหว่างที่กำลังด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ตู้หนังสือในห้องรับแขก ในขณะที่เราก็กำลังตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์ๆ ลบๆ รายงานตัวเองไปเรื่อยๆ
“อื้อ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้วาดให้เค้าแล้วล่ะ เหมือนว่าทางนั้นเค้าก็มีเด็กใหม่ๆ เข้ามาทำให้เรื่อยๆ” เราตอบโดยไม่ได้หันไปมอง
“แล้ว... แล้ว... อย่างผมนี่พอจะไปทำพวกกราฟฟิกให้เค้าได้อ๊ะป่าวอ่ะ? พี่พัชช่วยพาผมเข้าไปทำหน่อยดิ นะๆๆ” โมอ้อนขอดื้อๆ

“โอ๊ยตาบ้า พี่ก็เป็นแค่ลูกจ้างเค้าอีกทีนึงป่ะ ไม่ใช่บ.ก.ในนั้นซักหน่อย จะได้เดินเข้าไปฝากงานกันง่ายๆ เหมือนกับฝากเงินแบงค์” เราหันไปพูดแบบติดตลก
“โธ่... น่านะ พี่ลองคุยๆ แนะนำผมไปหน่อยซี่” โมยังคงอ้อนไม่เลิก แต่จังหวะนั้นแฟนเราโทรเข้ามาพอดี เราเลยขอตัวมารับโทรศัพท์ชั่วคราว

“จ้า ว่าไงอ้วน?” เราเอ่ยทักทายตามปกติ
“ตัวเองวันนี้เค้าเลิกไม่ดึกนะ จะแวะซื้อข้าวเข้าไปให้ อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย?” พี่อ๊อฟเอ่ยกลับมาตามสาย
“กินๆๆ เค้าอยากกินเย็นตาโฟที่อ้วนเคยซื้อมาคราวก่อนอ่ะ เอาพิเศษเลยนะ”
“แหม กลัวไม่อิ่มเหรอจ๊ะ เอาบัวลอยด้วยมั้ยล่ะ เผื่อมันขายจะได้ซื้อไปให้”

“เอาหมดอ่ะ อ้วนซื้อมาเค้าก็กินได้หมดแหละ” เราตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“วุ้ย คำก็อ้วน สองคำก็อ้วน ไม่ได้ดูตัวเองเล้ยย หลังๆ นี่แก้มจะแตกอยู่แล้วนะเราน่ะ” พี่อ๊อฟเริ่มหันมาแซวเรื่องไขมันบนร่างเราบ้าง
“อะไรๆ มั่วละ แค่นี้นะ จะทำงานต่อแล้ว ถ้ามีผลไม้ก็ซื้อมาด้วยก็ได้นะ เผื่อไว้กินวันอื่นอีก”
“จ้าแม่คุณ เดี๋ยวดูให้แล้วกันนะ คิดถึงนะจ๊ะที่รัก”
“ค่า เค้าก็คิดถึงอ้วนเหมือนกัน รีบๆ กลับนะ” เราพูดแล้วก็กดตัดสาย

“พวกพี่นี่คุยกันมุ้งมิ้งดีเนอะ สวีทกันน่าดู” อีตาโมที่นั่งฟังอยู่นาน เอ่ยปากแซวขึ้นมา
“ธรรมด๊าา วัยรุ่นคุยกันก็เงี้ยแหละ” เราตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอย่างมั่นใจ เรียกเสียงหัวเราะจากปากโม
“งั้นผมไปดีกว่า ให้วัยรุ่นเค้าจู๋จี๋กันไป ไม่อยากอยู่เป็น ก.ข.ค.” โมพูดแล้วก็ลุกเดินกลับออกไปนอกบ้าน
“ไม่ทันแล้วย่ะ!” เราโวยไล่หลังไปอย่างหมั่นไส้

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโมก็มักจะโผล่มาป่วนแค่เป็นพักๆ เต็มที่ก็ไม่เกินชั่วโมง สองชั่วโมง ซึ่งถ้ามองว่าอย่างน้อยเราก็ยังได้เพื่อนไว้คุยแก้เหงา เวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนานๆ ทุกวันๆ มันก็ยังพอจะโอเคนะ แต่หลังๆ ชักจะลามปาม เริ่มมีเอ่ยปากชวนไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ไม่ก็ชวนไปยิมบ้าง เพราะเห็นว่าเราเองก็ชอบออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน ซึ่งเราก็จะคอยปฏิเสธแบบสุภาพไปตลอดนะ

เพราะถึงเราสองคนจะค่อนข้างสนิทกันยังไง แต่จะให้ไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันก็คงดูยังไงๆ อยู่ใช่มั้ยคะ? แต่อีตานี่ก็ยังหน้าด้านหน้าทน ยังคอยหาโอกาสชวนเราอยู่เป็นระยะๆ ไม่เคยขาด พอตื้อบ่อยๆ เข้าบางทีมันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะ คือโมมันก็เด็กอ่ะค่ะ อายุห่างกับเราตั้งเกือบ 10 ปี จะให้เรามานั่งเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับมันทุกวันก็ไม่ไหว บางทีก็อยากจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่ด้วยความเกรงใจก็เลยไม่กล้าเอ่ยปากไล่น้องมันออกไปตรงๆ ซักที

จนกระทั่งวันนึง... เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นใจเข้าทางเจ้าโมจนได้

อยู่ดีๆ แม็คบุ๊คของเราก็ดันเดี้ยงไปดื้อๆ พยายามยังไงก็เปิดไม่ติดขึ้นมา ไอ้เรายิ่งมีนัดส่งงานที่แก้ไขให้ลูกค้าตอนบ่ายๆ ซะด้วย แถมเหลือต้องแก้ไขอาร์ตเวิร์คบางจุดอีกนิดหน่อย ถ้าจะมัวรอเอาคอมไปซ่อมก็คงจะไม่ทันการ หรือจะออกไปหาร้านเน็ตที่มีโปรแกรมออกแบบก็ดูจะยุ่งยากเกินไปอีก ก็เลยตัดสินใจลองโทรไปหาโมดู เผื่อว่าถ้าเกิดน้องมันอยู่บ้าน จะได้เข้าไปขอยืมใช้คอมฯชั่วคราว

แต่ก็เหมือนนรกชังสวรรค์แกล้งค่ะ อีตาโมดันไปเรียนพอดี! โอ๊ยจะบ้าตาย ทีเวลายุ่งๆ ล่ะชอบโผล่มาป่วนไม่หยุดหย่อน แต่พอเวลาต้องการตัวแล้วดันหายต๋อมไปซะนี่ เรานี่แทบอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ

“เดี๋ยวผมแว้นไปหาก็ได้พี่” คำตอบของโมทำให้เราอดแปลกใจไม่ได้
“เฮ้ยไม่เป็นไร! เกรงใจ ลำบากโมเปล่าๆ” เรารีบปฏิเสธไปตามมารยาท
“สบาย แว้นแป๊บเดียวแหละ นี่พักเที่ยงพอดี” โมยังยืนกรานเสนอตัวตามเดิม ทำให้เราเริ่มลังเลตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายก็เลยต้องยอมรับความช่วยเหลือจากโม พร้อมกับพูดขอบอกขอบใจไปยกใหญ่

เพียงไม่ถึง 20 นาที รถมอเตอร์ไซค์ของนายโมก็มาบีบแตรเรียกอยู่หน้าบ้าน

“ขอบคุณนะโม ถ้าไม่ได้โมมาช่วยนี่ พี่ต้องแย่แน่ๆ เลยอ่ะ” เราเอ่ยปากขอบคุณโม มือก็คอยขยับเม้าส์ปากกาแก้อาร์ตเวิร์คด้วยความเร่งรีบ นึกประทับใจในความมีน้ำใจของน้องมันอยู่พอสมควร
“ไม่เป็นไรฮะ ก่อนหน้านี้ผมก็รบกวนพี่ไว้เยอะ เรื่องแค่นี้สบายมาก” โมตอบอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับยกขวดน้ำขึ้นจิบ

“แล้วนี่โมต้องรีบกลับไปเรียนรึเปล่า?” เราถามอย่างนึกเกรงใจ
“คาบบ่ายไม่ค่อยมีอะไรหรอกฮะ ผมเซฟงานใส่แฟลชไดรฟ์ให้เพื่อนไปส่งแล้ว วันนี้ก็โดดได้สบายๆ”
“โหย... พี่ขอโทษจริงๆ นะ... ว้าย!! ทำอะไรอ่ะโม!?” เราพูดยังไม่ทันจะจบประโยค ก็เผลอร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่น ก็อีตาโมน่ะสิคะ มันดันถอดเสื้อโชว์หุ่นให้เราดูแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ผมแค่จะเปลี่ยนเสื้ออ่ะพี่ ข้างนอกแดดมันแรง ขับมอไซค์มาเหงื่อชุ่มไปหมด” โมอ้างพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อยืดในตะกร้าผ้าขึ้นมาใส่ เฮ้อ... แล้วไป ทีแรกแอบคิดว่าน้องมันจะทำมิดีมิร้ายเราซะอีก แต่กว่าที่น้องมันจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ไอ้เราก็เลยได้เห็นมัดกล้ามล่ำๆ บนแผงอกแซ่บๆ ของมันไปเต็มสองตาแล้วล่ะค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้กะจะแอบถ้ำมองหรอกนะ แต่ว่าสายตาเรามันดันเหลือบไปเห็นเองอ้ะ แล้วก็ดันลืมตัวเผลอจ้องนานไปหน่อย แฮะๆ...

เราใช้เวลาไม่นานก็แก้ไฟล์งานเสร็จ พออัพโหลดส่งตัวอย่างให้ลูกค้าดูเรียบร้อยแล้วก็เป็นอันหมดธุระวุ่นวายในช่วงบ่ายนี้

“ขอบคุณนะจ๊ะ ไว้เดี๋ยววันหลังพี่กับพี่อ๊อฟค่อยพาโมไปเลี้ยงข้าวตอบแทนแล้วกันนะ” เราเอ่ยออกไปตามมารยาท
“ถ้างั้น... พี่พัชเลี้ยงผมวันนี้เลยก็ได้ครับ” ตาโมรีบตอบกลับมาทันควัน พร้อมกับยิ้มแฉ่งเหมือนเด็กๆ  รอยยิ้มบนใบหน้าของหมอนี่ ดูไปดูมาก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลยแฮะ
“หมายถึง... ตอนนี้เลยเหรอ?”
“ใช่ครับ”

เราเองเห็นว่าน้องมันก็อุตส่าห์สละเวลามาช่วยเราถึงขนาดนี้ แถมนี่มันก็พึ่งจะเที่ยง แค่ไปกินมื้อกลางวันด้วยกันสองคนซักมื้อ มันคงจะไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากมายเท่าไหร่ ก็เลยยอมตกลงปลงใจไปง่ายๆ

“อือ... ถ้างั้น อยากกินอะไรอ่ะเรา?”
“ผัดไทยมั้ยฮะ? ผมรู้จักอยู่ร้านนึง อร่อยใช้ได้เลย อยู่เลยสี่แยกไปนิดเดียวเอง” โมเสนอขึ้นมา
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวขอพี่ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” เราตอบพร้อมกับขอตัวกลับเข้ามาเปลี่ยนชุดที่บ้าน

จากที่สวมชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่บ้าน เราก็เปลี่ยนมาเป็นกางเกงยีนส์ขายาวแทน เสื้อยืดยังเป็นตัวเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยเสื้อคลุมแขนยาวบางๆ อีกตัวทับอยู่ด้านนอก เพื่อให้มันดูมิดชิดทะมัดทะแมงมากขึ้น แถมยังช่วยป้องกันผิวเราจากไอแดดแรงๆ ในช่วงบ่ายได้อีกด้วย พอเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินขึ้นไปนั่งซ้อนมอไซค์ของโมเพื่อขับไปที่ร้านผัดไทยทันที

เราเลือกนั่งในท่าหันข้าง ใช้มือซ้ายจับยึดพนักด้านหลังของตัวเบาะเพื่อช่วยทรงตัว โดยนั่งเว้นระยะออกห่างมาจากตัวคนขับอยู่นิดหน่อย แต่ด้วยความที่โมนั้นขับรถค่อนข้างเร็ว เวลาที่รถเบรกแต่ละที ร่างของเราจึงค่อยๆ กระเถิบไถลเข้าไปชิดกับร่างของโมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วเราก็เลยต้องใช้มือขวาที่ว่างอยู่คอยดันประคองไว้ที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย

“เกาะเอวก็ได้นะครับ ถ้าพี่พัชนั่งไม่ถนัด” นายโมเอ่ยปากออกมาดังๆ เหมือนเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร นั่งได้ๆ” เราตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังพอๆ กัน ค่อยๆ ใช้มือดันร่างของตัวเองให้กระเถิบถอยห่างกลับมาทางด้านหลังทีละนิดๆ ไม่นานเราทั้งคู่ก็ขับมาถึงที่หมายในที่สุด

เราสั่งผัดไทยกุ้งของตัวเองมาหนึ่งจาน ส่วนโมนั้นสั่งทั้งผัดไทยรวมมิตรพิเศษ พ่วงด้วยขนมผักกาดอีกหนึ่งจาน ดูหน้าตาน่าทานทีเดียว
 
“ใช้ได้มั้ยพี่พัช?” โมเอ่ยปากถามถึงเรื่องของรสชาติ
“อื้อๆ อร่อยดี ไม่น่าเชื่อเลย พี่กับแฟนอยู่ที่นี่มาเป็นปีๆ ยังไม่เคยรู้จักร้านนี้เลย แต่โมพึ่งมาอยู่ได้แป๊บเดียว ดันรู้จักร้านอร่อยๆ ก่อนพี่ซะอีก เจ๋งอ่ะ” เราตอบกลับไปอย่างนึกชื่นชม
“ก็นิดนึงอ่ะฮะ ว่างๆ ผมก็ขับมอไซค์ร่อนไปร่อนมาอยู่แถวๆ นี้แหละ ก็เลยได้ลองร้านนู้นร้านนี้เยอะหน่อย”

“รู้จักร้านอร่อยเยอะแบบนี้ สงสัยจะพาสาวๆ มากินบ่อยล่ะสิ ใช่เปล่า...?” เราแกล้งหยอกน้องมันเล่น
“โอ๊ย สาวๆ ที่ว่าน่ะก็พี่เปิ้ลกับพี่ส้มนั่นแหละครับ อย่างผมจะไปมีสาวที่ไหนอีก” อีกฝ่ายตอบกลับมาแบบติดตลก แต่แฝงอารมณ์เศร้าๆ เหงาๆ อยู่ในที

“อ้าว... แล้วทำไมไม่ลองหาแฟนจริงๆ จังๆ ดูซักคนล่ะ? หล่อๆ แบบโมพี่ว่าคงหาได้ไม่ยากอยู่แล้วล่ะมั้ง”
“อืม... คือมันก็มีคนมาคุยด้วยเรื่อยๆ นะครับ แต่ส่วนใหญ่ ผู้หญิงที่ผมเจอเค้าก็นิสัยเด็กๆ อ่ะ ยังง้องๆ แง้งๆ เอะอะก็งอน เอะอะก็หึง ผมก็เลยไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่”
“มันก็ปกติของผู้หญิงรึเปล่าอ่ะ มันก็มีหึงมีหวง มีงอนกันเป็นธรรมดาแหละมั้ง พี่ว่านะ”

“มันก็คงใช่แหละครับ แต่ที่ผมเจอมันยังไม่ถูกใจน่ะสิ ยังไม่เห็นใครที่ใช่เหมือนคนแถวๆ นี้เลย” โมหยอดเปิดประเด็นมาตรงๆ
“ใคร..? หืม? หมายถึงพี่อ่ะนะ? เฮ้ย! พูดเป็นเล่น” เราหลุดปากออกมาอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องมันจะกล้าพูดตรงขนาดนี้
“จริงๆ นะครับ แบบพี่พัชเนี่ย สเป็คผมเลย ทั้งสวย ทั้งเก่ง นิสัยก็ใจดีน่ารัก ถ้าผมจะมีแฟนก็ขอเป็นพี่ เอ้ย! ให้ได้อย่างพี่ก็คงจะดี” โมแกล้งพูดผิดๆ ถูกๆ แต่เราก็รู้ทันว่ามันหมายถึงแบบนั้นจริงๆ  พอมาแบบนี้ก็ชัดแล้วค่ะ ว่าน้องมันกำลังคิดอะไรเกินเลยกับเราแน่ๆ

“คือจะบอกว่าชอบคนแก่ว่างั้น?” เราพยายามตอบเลี่ยงๆ ด้วยการพูดขำๆ กลับไป
“โหย อย่างพี่พัชเนี่ยยังไม่เรียกแก่หรอกครับ แบบนี้เค้าเรียกสดๆ สวยๆ กำลังดี” คำพูดของโมทำให้เราอดหัวเราะไม่ได้
“ตาบ๊องเอ๊ย ไปเอาคำพูดของใครที่ไหนมาอ้างอีก พอๆ เลิกอวยเลย เดี๋ยวพี่จะลอยขึ้นสวรรค์ไปซะก่อน” เราพูดขำๆ พร้อมกับชวนเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งตาโมเองก็ยอมคล้อยตามง่ายๆ ไม่ได้ฝืนดันทุรังอะไรมากมาย

เราสองคนจัดการกับอาหารตรงหน้าจนเสร็จ ก่อนที่โมจะขอสั่งผัดไทยกลับบ้านอีกสองห่อ สำหรับเตรียมไว้ให้พี่สาวทั้ง 2 คนที่บ้าน

“มา งั้นเดี๋ยวมื้อนี้พี่ออกให้เอง” เราควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมา เตรียมจะจ่ายค่าอาหารให้ตามที่เคยสัญญาไว้
“ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ต้องเลี้ยงหรอก อุตส่าห์ได้มาเดทกันทั้งที ผมจะปล่อยให้พี่เลี้ยงได้ไง ยังไงมื้อนี้ก็จ่ายของใครของมันไปนั่นแหละ” โมเนียนตอบกลับมาดื้อๆ เล่นเอาเราหน้าชาไปเลย ที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่า 'เดท' ออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำขนาดนี้

“ตลกแระ เดทเดิทอะไรเล่า... โมไม่ต้องออกหรอก เดี๋ยวพี่เลี้ยง ตอบแทนที่อุตส่าห์เสียเวลามาช่วยพี่วันนี้ไง” เรายังยืนกรานที่จะจ่ายให้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนสุดท้ายโมเองก็ต้องยอมให้เราเลี้ยงค่าอาหารในที่สุด แม้ว่าจะไม่ยอมให้จ่ายในส่วนที่ซื้อกลับบ้านก็ตาม

พอกินเสร็จ เราก็ตัดสินใจแยกตัวออกมา โดยอ้างกับโมว่าจะแวะไปหาเพื่อน แต่จริงๆ แล้วคือแค่แวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ห้างเฉยๆ เพราะกลัวว่าถ้ารีบกลับไปบ้านตอนนี้ เดี๋ยวตาโมจะขอตามเข้ามานั่งเล่นในบ้านเราอีก ซึ่งน้องมันก็ยอมเชื่อง่ายๆ

พอช่วงค่ำๆ โมก็ยังแชทมาชวนเราคุยในเฟสบุ๊คอีก  เราก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างไปตามปกติ โดยไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องประเด็นที่ร้านผัดไทยให้วุ่นวายใจ ก่อนที่ทางนั้นจะทิ้งท้ายด้วยการส่งข้อความคิดถึงกับฝันดีมาให้ ซึ่งเราก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

=======================================

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น โมก็เริ่มกล้าที่จะแสดงความรู้สึกกับเรามากขึ้น เวลาที่คุยกันก็มักจะชอบพูดสองแง่สองง่ามว่ารู้สึกดีๆ กับเรา อยู่ด้วยแล้วสบายใจอะไรทำนองนั้น ซึ่งเราก็ได้แต่ตอบปฏิเสธไปแบบเลี่ยงๆ เหมือนเป็นเรื่องตลกขำๆ ทุกครั้ง ซึ่งการที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรกับเราเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนบ้าน มันก็ทำให้ความรู้สึกที่เรามีอยู่เริ่มไม่เหมือนเดิม

ใจนึงเราก็แอบรู้สึกปลื้มเล็กๆ นะ ที่อายุก็ปูนนี้แล้ว แต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ก็ยังมีเด็กหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ มาติดพันชอบพอกับเราอีก แต่บางทีก็รู้สึกอึดอัดเล็กๆ เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย เวลาจะคุยจะตอบอะไรก็ต้องมานั่งกลั่นกรอง กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองอีกรึเปล่า

ตอนแรกเราก็คิดนะ ว่าเออ เด็กมันคงกำลังเห่อปั๊บปี้เลิฟ พอได้มาสนิทกับสาวรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ๆ กัน ได้เจอหน้าทักทายพูดคุยกันบ่อยๆ ก็เลยอาจจะเผลอหวั่นไหวหลงคิดว่าตัวเองมีใจได้ไม่ยาก ถ้าปล่อยๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวน้องมันก็คงเบื่อๆ หรือเลิกสนใจไปเอง แต่พอเวลาผ่านไปซักระยะ มันก็ยังไม่เห็นจะมีทีท่าว่าตาโมจะยอมถอดใจไปง่ายๆ อย่างที่คิด

อาจเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยพูด เงียบๆ ไม่หือไม่อือ ไม่กล้าดุกล้าด่ากับใครเค้าไปตรงๆ ด้วยมั้ง ถ้าเกิดไม่ชอบใจเวลาที่มีผู้ชายมาจีบ ก็จะแค่เงียบๆ นิ่งๆ ทำเฉยๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นเค้าเลิกสนใจ เลิกตามกันนะ มีแต่ตาโมนี่แหละ ที่ยังคอยตามตื้อไม่เลิก แถมพอเห็นเราไม่ได้ว่าอะไร ก็เลยยิ่งดูจะได้ใจมากขึ้นซะอีก ฮ่วย...

ช่วงหลังๆ พ่อคุณเค้าก็เลยยิ่งแวะมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านเราบ่อยขึ้นไปอีก เราเคยลองแกล้งล็อคประตูบ้านไว้ แต่น้องมันก็ยังคอยมาเคาะ คอยโทรเรียก จนเราต้องเดินมาเปิดให้อยู่ดี ซึ่งพอเป็นแบบนี้เราเองก็ค่อนข้างลำบากใจนะ เกรงใจแฟนตัวเองด้วย

“โมมาบ้านพี่บ่อยๆ แบบนี้ พี่เกรงใจพี่อ๊อฟเหมือนกันนะ กลัวเค้าจะเข้าใจโมผิด แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” เราตัดสินใจระบายความรู้สึกออกไปให้โมฟังตรงๆ หลังจากที่ทนอึดอัดมาพักใหญ่ๆ  แต่เหมือนว่าน้องมันจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด
“ถ้างั้นพี่พัชก็อย่าบอกให้พี่อ๊อฟเค้ารู้สิครับ” ตาโมตอบกลับมาหน้าตาย

สุดท้ายตานี่ก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม แถมดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ บางวันดีหน่อย ไม่ได้มานั่งแช่ในบ้านนานๆ แค่แวะเอาขนมมาฝาก แต่ก็ยังไม่วาย มีหยอดทิ้งท้ายว่าตั้งใจซื้อมาให้เรา ต้องกินให้หมดด้วยนะ อะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็จะคอยโอนให้พี่อ๊อฟกินตลอดแหละค่ะ แต่ไม่บอกหรอกนะว่าใครให้มา เดี๋ยวจะงานเข้าเอาไม่รู้ตัว

เราไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับปัญหาพวกนี้ยังไงดี ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้มีใจอะไรกับเค้าด้วย บอกน้องมันไปตรงๆ ก็แล้ว กลับยิ่งทำให้อะไรๆ ดูจะหนักข้อมากขึ้นไปอีก บ้านก็บ้านเราแท้ๆ ดันต้องมาเจอกับเรื่องวุ่นวายไร้สาระให้ต้องหนักใจอยู่เกือบทุกวัน ไอ้ครั้นจะไปเล่าให้พี่อ๊อฟฟัง ก็คงมีแต่จะทำให้เรื่องมันยิ่งลุกลามใหญ่โตไม่เข้าเรื่อง ไม่แน่ว่าถ้าพี่อ๊อฟรู้เข้าแล้วจะพาลไปอาละวาดเอากับพวกเปิ้ลกับส้มด้วย ซึ่งคนทั่วไปก็คงไม่มีใครอยากจะไปทะเลาะหรือมีปัญหากับเพื่อนบ้านหลังติดกันหรอก จริงมั้ยคะ?

จนกระทั่งเหตุการณ์มันดำเนินมาถึงจุดพีค

มีอยู่วันนึง เรากำลังเตรียมตัวจะเล่นคาร์ดิโอที่บ้าน หน้าต่งหน้าต่างก็รูดม่านปิดไว้หมดแล้ว เหลือแค่ไม่ได้ล็อคประตู เสื้อผ้าตอนนั้นก็ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ ท่อนบนเป็นเสื้อกล้ามครึ่งตัวสำหรับออกกำลังกายสีชมพู ส่วนข้างล่างเป็นกางเกงขาสั้นรัดรูปสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบไว้เรียบร้อย จู่ๆ อีตาโมก็โผล่พรวดเข้ามาจากประตูหน้าบ้าน! แม่เจ้า! ตอนนั้นเราตกใจสุดๆ หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม

“เฮ้ย! โมเข้ามาทำไม!?” เราหลุดปากร้องออกไปอย่างตกใจ รีบคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างๆ มาห่มบังร่างตัวเองไว้พร้อมกับหันหลังหลบ ตาโมได้ยินก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้ามาใกล้ๆ
“โอ๋ๆ ขอโทษนะ ผมจะเอาหนังสือมาคืน ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ตกใจ” ตาโมพูดเนียนๆ แล้วเดินอ้อมมากอดเราจากทางด้านหลังดื้อๆ

เรายอมรับนะว่าตอนนั้นเราตกใจจนตัวแข็งทื่อ ขนลุกไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเอ๋อให้น้องมันกอดรัดซะแน่น หน้าอกเบียดเสียดกับแผ่นหลังเรา เวลาที่ท่อนแขนของโมโอบกระชับเข้ามา มันรู้สึกแปลกๆ หวิวๆ จนตัวสั่นไปหมด รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังดันทิ่มก้นเราอยู่

เราหันหน้ากลับไปจ้องสบตากับโม สายตาของเราสองคนจ้องประสานกันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวๆ วูบวาบ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ ก่อนที่เราจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ใช้สองมือดันร่างตัวเองออก พร้อมกับรีบชิงออกปากไล่

“โม... โมกลับไปก่อนนะ พี่ขอเวลาออกกำลังกายแป๊บนึง ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง” เราเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบพร่าและสั่นสะท้าน

โมฟังแล้วก็ไม่ได้ออกอาการงอแงแต่อย่างใด ตอบเออออง่ายๆ ก่อนจะเดินกลับออกไปทางประตูหน้าบ้าน ทิ้งให้เราได้แต่ยืนหอบแฮ่กๆ เหงื่อกายแตกพลั่กๆ ซึ่งถ้าตรงหน้านั้นมีกระจกอยู่ด้วย เราก็คงจะได้เห็นว่าใบหน้าของตัวเองนั้นมันกลายเป็นสีแดงแป๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันเป็นช่วงเวลาแค่เพียงสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งนาที ที่ร่างของเราสองคนแนบชิดกัน ช่วงเวลาแห่งความวาบหวิวในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำ มันกลับทำให้หัวใจของเราเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มอายุห่างกันเกือบ 10 ปีอย่างโม

เชื่อมั้ยว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับมันมากไปกว่าการเป็นเพื่อนบ้านธรรมดาๆ เลยนะ แต่อ้อมกอดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แค่เศษเสี้ยวนาที กลับทำให้หัวใจของเราเตลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดนี้... ภาพของโมที่เคยเป็นเด็กกะโปโลคนนึง กลับถูกแทนที่ด้วยภาพของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างกำยำหน้าตาหล่อเหลา อ้อมกอดอบอุ่นจากมัดกล้ามแขน แผงอกแน่นๆ ที่เบียดเสียดเราอยู่

และที่ร้อนแรงที่สุดก็คือ... เจ้าแท่งเนื้ออวบอ้วนแข็งๆ ที่พยายามบดเบียดเข้าหาบั้นท้ายของเรา ขนาดว่าสัมผัสกันแค่ช่วงสั้นๆ ผ่านเนื้อผ้าเรายังรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งและใหญ่โตของมันได้ชัดเจนถึงเพียงนี้... แล้วรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของมันจะใหญ่โตน่ากลัวขนาดไหนกันนะเนี่ย...?

เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ นี่เราเผลอคิดทะลึ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย!?

เราได้แต่นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ ที่มัวแต่ยืนนิ่งปล่อยให้โมได้โอบได้กอดตามใจชอบ โดยไม่ได้พยายามแสดงอาการไม่พอใจ หรือแสดงกิริยาห้ามปรามแบบจริงจังให้อีกฝ่ายได้เห็นเลยซักนิด ซึ่งถ้าเกิดว่าตอนนั้นตาโมมันเกิดหื่นแล้วจะปล้ำเราขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปมีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนหรือต่อสู้ได้ซักแค่ไหน อึ๋ย..... พอนึกแบบนี้แล้วเราก็อดเสียวสันหลังวาบขึ้นมาไม่ได้

เราพยายามสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปให้เร็วที่สุด หันมาตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังกายตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก แต่ก็เหมือนว่าภาพและรสสัมผัสจากเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นมันจะยังคงคอยหลอกหลอนเราโดยไม่ลบเลือนหายไปไหน เราใช้เวลาเรียกเหงื่ออยู่ราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็เริ่มเหนียวตัวไปหมด เนื้อตัวเปียกชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มชุด โดยเฉพาะตรงบริเวณหว่างขาที่มันช่างรู้สึกเหนอะหนะมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหงื่อหรือว่าเกิดจากอะไรกันแน่...

หลังรอดจากเหตุการณ์หวาดเสียวมาได้แบบหวุดหวิด เราก็ยังไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังอยู่ดี ยังคงพยายามทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากไม่อยากให้มันลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ แถมว่ากันตรงๆ แล้ว... น้องมันก็ยังไม่ได้ถึงขั้นลวนลามเราแบบประเจิดประเจ้อ ยังพอจะอ้างได้ว่าแค่ตั้งใจจะช่วยกอดปลอบเราให้หายตกใจเท่านั้นเอง ซึ่งไอ้การที่เราทำตัวนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดเลยก็ว่าได้

เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่า ช่วงที่ตาโมเริ่มเดินหน้าเข้ามาจีบเรานั้น พอเราเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ไม่ตอบโต้อะไรออกไป กลับยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นได้ใจ กล้าเดินหน้ารุกเข้ามามากกว่าเดิม แล้วล่าสุดนี่น้องมันเล่นบุกเข้ามากอดเราถึงในบ้านขนาดนี้ แต่เราดันไม่ได้แสดงท่าทีโวยวายอะไรออกไปเลย อีตาโมก็คงยิ่งหลงคิดว่าเรามีใจจะเล่นด้วยแน่ๆ ล่ะค่ะ

“ขอคุยอะไรหน่อยได้มั้ย” เราตัดสินใจโทรไปเคลียร์กับโมตรงๆ ในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งโชคดีที่วันนั้นพี่อ๊อฟต้องไปจัดบูธเตรียมงาน ไม่ได้กลับบ้านพอดี ทำให้เราพอจะมีเวลาสะสางปัญหาส่วนตัวได้โดยไม่ต้องมานั่งพะวงหลัง
“ว่าไงครับพี่” โมตอบกลับมาแทบจะในทันที
“พี่ถามจริงๆ นะ โมกำลังคิดอะไรเกินเลยกับพี่รึเปล่า” เราแสร้งถามเปิดประเด็น ทั้งๆ ที่ในใจน่ะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ฝั่งโมเงียบไปอีกครู่นึง แล้วจึงตอบกลับมา

“นี่พี่คิดว่าผมกำลังจีบพี่อยู่เหรอ” คำตอบของโมทำเอาเราแอบฉุนนิดๆ
“ก็แล้วที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าจีบเหรอ” เราเอ่ยถามย้ำด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
“ก็จีบน่ะสิครับ แฮะๆ” อีตาโมดันตอบกลับมาแบบหน้าด้านๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เล่นเอาเราไปต่อไม่ถูก

“จะบ้าเหรอ นี่พี่แก่กว่าโมเป็นสิบปีเลยนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ เรื่องความรักความชอบ มันไม่เกี่ยวกับอายุซักหน่อย”
“พอเหอะ พี่ว่ามันไม่เวิร์คหรอก”
“พี่พัชไม่รู้สึกอะไรกับผมมั่งเลยเหรอ แค่เพราะผมเกิดช้าไปนิดเดียวเนี่ยนะ” อีตาโมรัวใส่มาเป็นชุดๆ คราวนี้ชักขำไม่ออกแล้วค่ะ

“แต่พี่มีครอบครัวแล้วนะโม” เรารีบยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมชอบพี่พัชจริงๆ นี่นา... พี่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมอยากคบหาด้วยจริงๆ นะ”
“แต่ว่ามันไม่ดี” เราพยายามที่จะทักท้วงกลับไป แต่อีกฝ่ายนั้นไม่ยอมเปิดโอกาสให้เราได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
“พี่ไม่ต้องมารู้สึกอะไรกับผมก็ได้ ปล่อยให้ผมได้แอบชอบพี่ข้างเดียวอยู่แบบนี้ ขอแค่พี่อย่ารังเกียจผม อย่าหลบหน้าผม แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ” คำพูดอ้อนวอนของโมทำให้เราเถียงอะไรไม่ออก

“ถ้าโมยังยืนยันจะทำแบบนั้นจริงๆ สัญญาได้มั้ยว่าทุกอย่างมันจะหยุดอยู่แค่นี้ อย่าให้อะไรมันเลยเถิดไปมากกว่านี้อีก พี่ให้โมได้แค่นี้จริงๆ” เราตัดสินใจเสนอทางออกที่คิดว่าดีที่สุดออกไปให้กับอีกฝ่าย แม้จะรู้ดีว่ามันค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ทวีความวุ่นวายและยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าโมก็รีบตกปากรับคำในทันที

แต่เมื่อทุกอย่างมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว.... ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ก็เลยมีแต่จะยิ่งถลำลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ...

=======================================

แม้ปากจะบอกว่าพอใจกับการได้เป็นฝ่ายแอบชอบเราอยู่ข้างเดียวเงียบๆ แต่การกระทำของโมที่แสดงออกมานั้น ดูเหมือนมีแต่จะยิ่งตรงกันข้ามกับที่ตัวเองเคยพูดมา เวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคนในบ้าน มือไม้ของโมก็ชักจะเริ่มอยู่ไม่สุข เริ่มมีเนียนๆ ยื่นมาแตะเนื้อต้องตัว พยายามจับมือถือแขนเราทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเราก็จะคอยบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงมันอยู่ตลอด

เราเองตั้งใจไว้ว่าจะหยุดไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่เกินเลยไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะแค่นี้เราก็ถือว่าทำผิดต่อพี่อ๊อฟมามากพอแล้ว แต่อย่างที่เค้าว่ากัน 'น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน' แล้วนับประสาอะไรกับใจคน โดยเฉพาะกับหัวใจอันบอบบางของผู้หญิงขี้เหงาวัยเฉียดๆ จะ 30 แบบเรา ที่ต้องมาโดนเด็กหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดี มาคอยออเซาะออดอ้อน พร่ำบอกรักให้ฟังแทบจะวันเว้นวัน

พอเจอตื้อหนักๆ เข้า ไอ้เราก็ชักจะเริ่มออกอาการเป๋ๆ มีแอบเผลอใจ หวั่นไหวไปกับน้องมันบ้างเหมือนกัน จนช่วงหลังๆ เราก็เริ่มที่จะทำใจ ปล่อยให้น้องมันจับมือถือแขนเราได้ตามใจชอบ จนกลายเป็นเรื่องปกติ นานๆ ทีถึงจะคอยชักมือหลบบ้าง พอให้ไม่น่าเกลียด

จากที่เคยยืนกรานปากแข็งกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเผลอไปชอบโม ไม่มีทางสนใจ สุดท้ายกลับกลายเป็นเราเสียเอง ที่ทำตัวเหมือนคอยให้ท่า ปากว่าตาขยิบ เปิดทางให้อีกฝ่ายได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมถึงร่างกายแบบนี้ ไม่ทันได้รู้ตัวเลยซักนิดว่าไอ้การเข้ามาวุ่นวาย เจ๊าะแจ๊ะวอแวของตาโมที่เคยนึกรำคาญใจ มันกลับกลายเป็นว่าทำให้เรายิ่งรู้สึกกระชุ่มกระชวย รู้สึกภูมิใจที่มีเด็กหนุ่มหล่อๆ มาคอยหยอดขนมจีบอยู่แบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่... ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลกอะไร ถ้าสุดท้ายแล้วน้องมันจะพออ่านความรู้สึกของเราออก ในเมื่อเรากล้าเล่นด้วยแล้ว อีกฝ่ายก็เลยกล้าที่จะรุกเข้ามาประชิดแบบถึงเนื้อถึงตัว โดยไม่นึกเกรงใจใดๆ อีกต่อไป

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่คอยฉุดรั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโมต้องเลยเถิด ก็คือเส้นบางๆ ที่เรียกกันว่า 'ศีลธรรม' ซึ่งต่อให้เส้นศีลธรรมของเราจะมั่นคงหนักแน่นซักเพียงไหน แต่ในเมื่อเรากล้าปล่อยให้มันถูกบั่น ถูกทอนลงทุกวันๆ สุดท้ายแล้วมันก็มีแต่จะนับวัน รอเวลาที่จะขาดผึงออกจากกันเท่านั้นเอง

ซึ่งไอ้เจ้าเวลาที่ว่านั้น... ก็ดันเดินทางมาถึง โดยที่เราไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ซะด้วย....

“พี่พัช ไปหาไรกินกันมั้ย?” โมเอ่ยปากชวน ระหว่างที่นั่งดูเราทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ไม่เอา พี่ไม่อยากออกไปไหน” เราพยายามหาข้ออ้างปฏิเสธ แต่อีน้องมันก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ถ้างั้น เดี๋ยวผมไปซื้อเข้ามาให้นะ พี่อยากกินอะไรอ่ะ?”
“ไม่ต้องหรอก โมไปกินก่อนเลยก็ได้ พี่ยังไม่หิว” เราเองก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน สุดท้ายตาโมก็เลยต้องยอมเดินคอตกออกไปหาอะไรกินคนเดียว

เราก็ดันเผลอนึกไปว่าอีตานี่จะยอมแพ้ง่ายๆ แต่ที่ไหนได้... อีก 15 นาทีต่อมา โมก็เดินกลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับถุงก๋วยเตี๋ยวในมือสองถุง

“ผมซื้อเย็นตาโฟมาฝาก พี่พัชกินกับผมนะพี่” พ่อตัวดีเอ่ยปากพร้อมกับเดินไปแกะเย็นตาโฟใส่ชามในครัวโดยไม่รอคำตอบ
“ปัดโธ่... พี่ก็บอกแล้วนี่นาว่าไม่ต้องๆ ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ” เราบ่นอุบอิบ แต่ก็ยังยื่นมือไปรับชามก๋วยเตี๋ยวมาจากมือของอีกฝ่าย
“อร่อยนะครับ ลองกินดูก่อน ร้านนี้ผมพึ่งไปลองมาอาทิตย์ก่อนเอง” โมพูดแล้วส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ เชอะ! คิดว่าเอาของกินมาล่อแล้วเราจะหลงกลรึไง?

ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เย็นตาโฟในชามของเราก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป ฮ่วย....

ก็น้องมันเล่นมัดมือชก แอบไปซื้อเข้ามาให้กินถึงบ้านนี่นา... ทั้งๆ ที่เราเองก็พยายามปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ ไม่ใช่ว่าจะยอมเออออไปกับมันง่ายๆ ซะหน่อย เราพยายามคิดหาข้ออ้างมาเข้าข้างตัวเอง เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดทีหลัง

“อร่อยดีนะครับ” โมเอ่ยปากชวนคุย ระหว่างที่กำลังช่วยเราล้างชามอยู่ในครัวหลังบ้าน
“อืม ก็อร่อยดี ร้านมันอยู่ตรงไหนนะ?”
“อยู่ตรงปากซอยข้างๆ นี่เองครับ ชื่อร้านลูกชิ้นลุงอ้วน”
“อ๋อ... อืม คุ้นๆ เหมือนพี่จะเคยเห็นอยู่”
“ครับ ร้านนั้นแหละครับ” โมตอบทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราสองคนจะเงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา

บรรยากาศในครัวชักเริ่มจะอึดอัด พอเราจะหันหน้ากลับไปชวนคุยอีกที ริมฝีปากของเราก็พลันปะทะเข้ากับริมฝีปากของโมที่จู่โจมเข้ามาแบบพอดิบพอดี

“อื้อ!? อื้ออออออ!!!” เราได้แต่ร้องอู้อี้อยู่ในลำคอด้วยอารามตกใจ ดวงตาเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน ริมฝีปากถูกประกบล็อคไว้จนไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ออกมาได้

เราพยายามใช้ท่อนแขนผลักร่างของโมให้ถอยห่างออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ่งพยายามดัน อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรง โถมร่างเข้าประชิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ร่างบางๆ ของเราจะค่อยๆ ลอยละลิ่วเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนายโมอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ ก็แหม... ผู้หญิงร่างบางๆ สูงแค่ 160 นิดๆ แบบเรา จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปขัดขืนเด็กหนุ่มหุ่นล่ำบึ้กสูง 180 ต้นๆ ได้ล่ะคะ?

“อือ... อออ โม ปล่อยพี่นะ! ยะ.. อย่า.. อื้ม! อื้อออออ!” เราออกแรงดิ้นสะบัดใบหน้าจนหลุดออก พยายามเอ่ยปากร้องห้ามเสียงหลง แต่ไม่ถึงอึดใจ ก็ถูกพ่อตัวดีตามประกบจูบปากอีกรอบ แถมคราวนี้อีกฝ่ายยังพยายามสอดลิ้นเข้ามาในช่องปากของเราอีกด้วย
“นี่... พี่โกรธ.. จริงๆ นะ... อึ่ อือ.. อออ อื้ม... มมม อื้ออออ!” ไม่ว่าเราจะดิ้นรนออกมาได้ซักกี่ครั้ง โมก็จะยังคอยตามประกบจูบปากเราอย่างไม่ย่อท้อ เสียงครางอู้อี้ของเราจึงดังแข่งกับเสียงดูดปากจ๊วบจ๊าบ สลับกันไปมา

ลิ้นสากๆ ของโมคอยตามพัวพันรัดรึงเข้ากับปลายลิ้นของเราจนแทบจะหายใจไม่ออก มัดกล้ามแน่นๆ ที่กำลังโอบกอดกระชับ กลับกลายเป็นหลักพึ่งพิงที่คอยช่วยประคองร่างของเราเอาไว้ ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น ด้วยเพราะแข้งขานั้นเกิดอ่อนปวกเปียกจนแทบหมดเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวได้ไหว

มันเป็นจูบแรกระหว่างเราสองคน เป็นรสจูบที่เปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนและดูดดื่ม  มันช่างหนักแน่น... ดุดัน... ซ้ำยังกะทันหันจนแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือได้ทัน เราได้แต่ยืนบื้อเป็นเป้านิ่ง ปล่อยตัวปล่อยใจให้โมได้ชอนไชด้วยปลายลิ้นและริมฝีปาก สองมือที่เคยโอบกอดเราไว้นิ่งๆ บัดนี้กลับเลื้อยไล้ไต่สำรวจไปตามส่วนโค้งเว้าบนลำตัวของเราอย่างสนุกมือ

ในใจเราแอบเผลอคิดไปล่วงหน้าแล้วว่า วันนี้ตัวเองคงจะไม่รอดพ้นเงื้อมมือของตาโมแน่ๆ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นรูปภาพงานแต่งของเรากับพี่อ๊อฟที่แขวนติดอยู่ที่ผนัง หัวใจของเราก็พลันเจ็บจี๊ดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...

นี่เรากำลังจะปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมาย่ำยีโดยไม่คิดจะต่อต้านขัดขืนเลยเหรอ!?

พอคิดแบบนี้แล้ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในหัวของเราก็พลันหวนย้อนคืนมาอีก ไม่มีทาง! เราจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายหื่นกามที่ไหนได้เข้ามาทำอะไรตามใจชอบในบ้านของเราแน่ๆ อย่างน้อยก็ขอลองสู้ตายดูซักตั้ง!

แต่ขณะที่เรากำลังรวบรวมกำลังเพื่อเตรียมจะดิ้นรนขัดขืนนั้นเอง จู่ๆ โมก็กลับถอนริมฝีปากออกมาดื้อๆ มองเห็นน้ำลายยืดยาวติดเป็นสาย สองมือที่เคยซุกซนก็พลันหยุดแน่นิ่งเหมือนกับของเล่นที่พึ่งจะถ่านหมด สายตาของเราสองคนจ้องประสานกัน แววตาของเราตอนนี้สะท้อนแต่ความรู้สึกสับสนปนสงสัย ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรต่อไปกันแน่

“ผมชอบพี่พัชนะครับ... ชอบมากด้วย... ให้โอกาสผมหน่อยได้มั้ย?” จู่ๆ โมก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลแต่แฝงเอาไว้ด้วยความจริงจัง แตกต่างจากภาพของไอ้หนุ่มหื่นกระหายเลือดเมื่อครู่นี้แบบคนละเรื่องเลยล่ะค่ะ

ว่าแต่... ให้โอกาสอะไรของแก? หมายความว่าไงยะ!?

ท่าทีนุ่มนวลของโมทำให้เราเกิดสับสนขึ้นมาจนทำอะไรต่อไม่ถูก ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ใหญ่ โตกว่า อายุมากกว่าแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้เด็กหนุ่มอายุห่างกันเกือบหนึ่งรอบ มาเล่นเอาล่อเอาเถิดจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอยู่แบบนี้ จังหวะที่เรากำลังนิ่งอึ้งค้างอยู่นั้น อีตาโมก็ไม่รอช้าล่ะค่ะ รีบฉวยโอกาสประกบปากจูบเราอีกครั้งทันที

พอโดนบุกอีกรอบคราวนี้เราหมดเรี่ยวแรงเลยค่ะ กลับกลายเป็นยินยอมพร้อมใจ ปล่อยให้น้องมันดูดปากแลกลิ้นซะจนหนำใจ ได้แต่ยืนตัวสั่นสะท้านแข้งขาอ่อนปวกเปียก สองมือของเราก็เผลอโอบหาร่างของโมอย่างลืมตัว

คราวนี้เราจนมุมของจริงแล้วค่ะ หมดสิ้นทั้งความหวังและพลังที่จะต้านทานรสสัมผัสอันเร้าใจของนายโมได้โดยสิ้นเชิง...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น