วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

โดนเพื่อนเล่นเมีย

 
 
ผมทำงานเอกชนเข้ากะดึกแห่งหนึ่งแถวบางนา-ตราด ส่วนภรรยาทำงานที่ร้านเสริมสวยย่านบางพลีเมืองใหม่วันหนึ่งเมื่อต้นปีเพื่อนผมกลับจากซาอุ ได้มาขออาศัย 2-3 วันก็เลี้ยงฉลองเกือบทุกเย็นมีอยู่คืนหนนึ่งผมต้องเข้ากะดึกเพื่อนและภรรยาก็ชนแก้วกันตลอดเพราะเริ่มสนิทกันผมสังเกตุเพื่อนมันเริ่มมองภรรยาผมตาเป็นมันรุปร่างขาวอวบอัดดีไม่หยอกผมคิดตั้งมโนภาพว่าถ้าเห็นคนอื่นแสดงบทรักกับภรรยาตัวเองคงมีรสชาติดีแค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วเพราะภรรยาผมอารมณ์รุนแรงบางคืนยังสู้เธอไม่ได้จนเธออารรมณ์ค้างเหมือนกัน ผมจึงวางแผนถ้าเพื่อนกล้าเข้าไปตีท้ายครัวแล้วก็เป็นจริงเมื่อผมแกล้งไปทำงานแต่ไม่ได้ไปเพราะผมได้ลาป่วยไว้ก่อนแล้วเพราะรู้ว่าต้องเกิดอะรขึ้นแน่นอนเกือบเที่ยงคืนผมก็ค่อยๆย่องเข้าบ้านลัดเลาะเข้าหลังบ้านโผล่หน้าตรงบานเกล็ดขอบหน้าต่างตรงเตียงพอดีผมเห็นถรรยากำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวแล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ


เจ้าเพื่อนนั่นเองมันบอกว่า ผกา เปิดประตูหน่อยผมมีของขวัญให้คุณเธอก็เดินมาเปิดประตูเท่านั้นเจ้าเพื่อนดันพรวดเข้ามาปิดประตูหันขวับมาคว้าร่างภรราผมเข้าไปกอดจูบฟัดพอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็สายไปเสียแล้วร่างงามถูกเจ้าเพื่อนอุ้มไปวางบนเตียง จากนั้นมันก็โถมขึ้นมาบนเรือนร่างจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ร้องว่าอย่าๆปล่อยๆพี่ปล่อยผกา แต่ไร้ผล เหมือนเสือที่เห็นเหยื่อมันกอดรัดร่างอันอวบอั๋นเต็มไม้เต็มมือมิให้ดิ้นรน มันช่างตื่นแต้นจริงๆ ภรรยาดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนมันได้จูบซอกไซ้ทั้งซอกคอ ติ่งหู แก้มอันขาวนวลพยายามจะประกบปากภรรยาผมหลบดิ้นไปมา มันจับแขนทั้งสองข้างราบกับที่นอนกดไม่ให้ดิ้น ลักษณะที่จะข่มขืนให้สมใจอยาก เธอดิ้นจนผ้าเช็ดตัวหลุดยอดปทุมถันตั้งลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เพื่อนทำตาวาวแบบไม่เคยเห็นสูดดมยอดอกอย่างชื่นใจยอดอกได้ถูกงับสลับซ้ายขวามันสอดมือเข้าแผ่นหลังเพื่อดันให้อกลอยเด่นขึ้นมามันจูบดุดไซ้อย่างหืดกระหายจนร่างภรรยาผมเริ่มอ่อนแรงลงบิดไปมาด้วยความเสียวซ่านมือขวาได้ลูบไล้ตรงขาอ่อนและแล้วก็มาสะดุดตรงเนินสวาทที่มีหญ้าอุยปกคลุมอยู่เล็กน้อยมันลูบไล้ไปเรื่อยจนร่างภรรยาผมบิดไปมา

ตอนนี้มือนของเพื่อนได้ชอนไชที่เนื้อสวาทอย่างต่อเนื่องปากภรรยายังพูดขอร้องต่างๆนาๆ โอ..อือ.ปล่อยผกาเถอะอย่าทำผกาเลย แต่เพื่อนกลับตอบว่าผมรักคุณไม่เคยเห็นหุ่นใครสวยเซ็กซี่เท่าคุณเลยขอผมเถอะผมทนไม่ไหวแล้วผมจะให้ความสุขแก่คุณเต็มที่เลลย จากนั้นมันก็เลื่อนมาจูบที่เนินเนื้อ ภรรยาผมดิ้นพลาดเเหมือนงูถูกทุบ บิดกายมือกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น เจ้าเเพื่อนได้เดินเกมสวาทอย่างชำนาญ จนร่างเธอหมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้น แต้เหลือแต่ความกำหนัดเข้ามาแทนที่ ปากห่อปล่อยเสียง ซูด ซี๊ด โอ.พี่ชิด ผกาจะไม่ไหวแล้ว เจ้าเพื่อนไม่ฟังเสียงมันทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องลิ้นสากชำแรกเข้ารองหลืบดูดดื่มสายธารจากบ่อน้อยสใจอยากและปลุกสวาทให้ภรรยาอย่างเต็มที่ ไฟราคะโหมกระหน่ำจนลืมทุกอย่างปากขอร้องอย่างลืมตัว จนเพื่อนพึงพอใจมันรู้ว่าเหยื่อหมดแรงที่จะต่อสู้และสมยอมแล้วทั้งที่นอนร่างเปปลือยเปล่ากลางเตียงนอนหายใจรวยรินพร้อมที่จะให้ข้าศึกรุมกระหน่ำได้เลยมันลุกขึ้นถอดกางเกงขาสั้นออกเท่านั้นเองอาวุธที่ยาวใหญ่ดีดผึงออกมาใชวื แข็งหัวใหญ่บานราวดอกเห็ด ภรรยาผมทำท่าตกใจพเพราะไม่เคยเห็นอะไรจะขนาดนั้นทำท่าจะขยับร่างหนีเจ้าเพื่อนก็โถมขึ้นมาบนร่างเปลือยที่พยายามหนีจนไปติดหัวเตียง

มันได้กอดฟัดร่างจนเธอจำยอม ขาทั้ง2ถูกจับแยกออกจากกันมันพยายามแทรกกายเข้าหว่างขาทันทียอดปทุมถันถูกดูดเน้นจนเสียวซ่านขณะเดียกันท่อนซุงกำลังตอกลิ่มเข้าร่องหลืบตรงเนินเนื่อนั้นเมื่อธรรมชาติเรียกร้องที่สุดจะทนความกำหนัดได้ ขาทั้ง 2 ได้อ้าสุดๆเสียงอูยๆเจ็บๆเบาๆค่ะ ขนาดเข้าครึ่งเดียว หน้าภรรยาบิดเบี้ยวไปมาเพราะความคับแน่นเจ้าเอนหันมาดูดเม้มที่ติ่งหูซอกคอ และยอดเม็ดบัวงามเพื่อเพิ่มความกำ หนัดให้ขับน้ำหล่อลื่นออกมาชโลมหัวลิ่มมากขึ้นพร้อมกับขยับท่อนซุงเข้าออกช้าๆพอเกือบสุดมันจึงดันพรวดเดียวมิดยันข้างในร่างภรรยาทลึ่งพรวดผวากอดรัดไว้แน่นเมื่อทุกอย่างเข้าที่เพื่อนจึงเริ่มพูดว่า โอ.ผกา ฟิตดีจัง ดูซิมันตอดรัดตุบๆ จนผมทนไม่ไหวแล้วแต่การที่ทั้งสองกินเหล้าทำให้ทนได้นานกว่าปกติ สเยงเจ๊าะเจ๊ะๆจนเสียงทั้งคู่ผสานกันโอ..อือ.พี่ชิดผกาจะทนไม่ไหวแล้ว โอ.ผกามัฟิตตอดรัดท่อนซุงผมตลอด รู้ไหมคุณกำลังจะเป็นของผมแล้วนี่แหละของขวัญที่ผมจะให้ก่อนกลับ เดี๋ยวขออีกนะ ภรรยาไม่ตอบได้แต่หลับตาพริ้มพยักหน้ารับเท่านั้นเพื่อนได้โหมกระหน่ำบดขยี้ตรงเนินเนื้ออย่างเต็มที่จนเธอต้องส่ายสะโพกและก้นร่อนรับไปมาแบบถึงพริกถึงขิงและแล้วนาที่สุดท้ายก็มาถึงเจ้าเพื่อนชักท่อนซุงออกมาเกือบสุแล้วกดพรวดเข้าไปอีก4-5ครั้ง

ร่างทั้ง2ผวากอดกันแน่นแทบจะเป็นเนื้อเดียวสายธารพุ่งกระฉูดเข้าร่องหลืบขาทั้ง2ข้างรัดร่างฝ่ายชายพร้อมกับร่างภรรยากระตุกปากประกบดูดลิ้นกันทั้งคู่กอดกันนอนนิ่ง สักครู่เจ้าเพื่อนขยับสะโพกชักท่อนซุงเข้าออกแต่เธอหมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้อีกจึงปล่อยให้ฝ่ายชายเดินเกมสวาทต่อจนหนำใจบนเรือนร่างเปลือยนั้นสะโพกได้ถูกยกรับการกระแทกต่อท่อนซุงที่เข้าออกจนร่างบิดเกร็งปล่อยสายธานเอ่อล้นออกมาภายนอกทั้งคู่กอดกันแน่นอีกครั้ง ภรรยาผมบอกพอแล้วค่ะใจจะขาด ขอให้มีแค่คืนนี้คืนเดียวเจ้าเพื่อนก็รับปากแล้วก็ขอจูบภรรยาผมอีกครั้งทุกซอกมุมบนร่างเปลือยจนเธอบิดไปมาแต่ก็ปล่อยให้เพื่อนทำต่อไปเจ้าเพื่อนเริ่มครั้งที่3เอาความเป็นชายกระหน่ำจนเธอย้ายสะโพกหลบไปมา ยิ่งเพิ่มความหืดกระหหายให้แก่ฝ่ายชายมากขึ้นชักเข้าชักออกอย่างรุนแรงเกือบ10นาทีสายธารทั้งคู่ผสมเข้าหากันอีกครั้งจนผกาบอก พอเถอะไม่ไหวแล้ว โอ.ดีจริงๆโอกาสหน้าผมจะมาใหม่นะเธอไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ

ได้ทั้งแฟนสาวและแม่แฟน EP.1 จุดเริ่มต้นความหื่น

 
 
สวัสดีครับ ก่อนที่จะเล่าเรื่อง ขอบอกกสักนิดนะครับเรื่องที่เล่านี่เป็นเรื่องจริงไม่ได้แต่งหรือมโนไปก๊อปปี้เรื่องใครมาขึ้นมาเรื่องอาจยาวเพราะผมพิมพ์เองสดๆ อยากจะเล่าตั้งแต่ต้นจนจบตั้งแต่อายุ 15 – 31 เลยครับจะเปลี่ยนก็ชื่อตัวผมและของคนที่จะเล่าแค่นั้นเองนะครับ
เล่าตั้งแต่เริ่มก่อนแล้วกัน ผมชื่อ เอ อายุปัจจุบัน 31 ปีย้อนกลับไปตอนผมอายุ15 รูปร่างผมเป็นชายร่างกายผอมจัดว่าหน้าตาปานกลางไม่หล่อและไม่ขี้เหร่  ตอนสมัยมัธยมก็มีแฟนหรือมีผู้หญิงเข้ามาเลื่อยๆแต่ผมเป็นคนขี้อายเลยไม่ค่อยมีอะไรเด็ดๆเกี่ยวกับเซ็กซักเท่าไหร่ แล้วจะเน้นตั้งแต่คบกับแฟนที่เป็นเด็กเรียนซะส่วนมากผมมีความชอบเรื่องแปลกเช่นดมกางเกงในคนที่รู้จักไม่รู้ว่าตอนนั้นโรคจิตรึป่าวเริ่มตั้งแต่ไปนอนบ้านเพื่อนสมัย ม.ต้น ได้เห็นแม่เพื่อนอายุประมาณ 30 กว่าๆหุ่นผอมผิวคล้ำๆ อมน้ำผึ้ง ตอนแรกปกติไม่ได้คิดอะไรเลย จนถึงเวลาอาบน้ำแม่เพื่อนได้แขวนเสื้อในกางเกงในไว้ตรงที่แขวนผ้าเช็ดตัวด้วยความที่เห็นผมเป็นเด็ก แกคงไม่ได้คิดอะไร ผมเริ่มมองเสื้อในกางเกงในแล้วรู้สึกใจหวิวๆแปลกเหมือนอยากจะหยิบมาดม ผมเริ่มเอามือไปจับเสื้อในสีฟ้าอ่อนๆ บีบตรงฟองน้ำรู้สึกว่าควยเริ่มแข็งแล้วมีอารมณ์แบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเริ่มดมสูดกลิ่นเสื้อในหอมน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วก็หยิบกางเกงในสีฟ้าอ่อนที่เป็นเซ็ตเดียวกับเสื้อในมาลับกันดมกับเสื้อในจนถึงเอากางเกงในมาคุมควยแล้วชักมันเป็นเองธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องไปดูใครหรือไปศึกษาที่ไหนมาเลย มันเป็นความรู้สึกที่เสียวและฟินมากจนน้ำแตกปล่อยลงโถ้ส้วมแล้วแขวงไว้ที่เดิม เป็นการชักว่าวที่ฟินที่สุดเลยครับหลังจากออกจากห้องน้ำเห็นแม่เพื่อนครั้งนี้ความคิดผมไม่ปกติแล้ว มองทั้งนมทั้งต้นขา กะขนาดนมว่าใหญ่แค่ไหนวัดจากเสื้อใน หลังจากคืนนั้นก็เก็บแม่เพื่อนไปจินตนาการว่าได้เย็ดแล้วชักว่าวอยู่หลายคืนเลย แล้วมีโอกาสได้ไปบ้านเพื่อนที่มีน้องสาวพี่สาวก็จะทำแบบเดียวกันสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เลยไม่สามารถแอบถ่ายเก็บไว้ดูได้


นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้ผม มีอาการที่หลายคนเรียกว่า หื่นโรคจิตก็เป็นได้ พอเวลาผ่านไปเริ่มมีแฟน

แต่ก็ไม่ได้อะไรมากแค่คบกันสมัยเริ่มมีอะไรกัน เลิกกันวนเวียนอยู่แบบนี้  (ขอไม่เล่าเรื่องแฟนเก่าๆที่ผ่านมา

เพราะเหมือนประการณ์หลายๆคนในสมัยเด็กๆ) พอเริ่มเข้า ม.ปลาย จาก ม.ต้น ที่เป็นโรงเรียนชายล้วน ตอน

ม.ปลายก็มีผู้หญิงมารวมในห้องด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ เกด ย้ายมาจากโรงเรียนลูกคุณหนูมายังโรงเรียน

ประจำจังหวัดที่ผมเรียนอยู่เธอเป็นผมขาว ตัวเล็ก นมแบนแทบไม่เห็นเนินออกมากเลยเธอเป็นคนขี้อายไม่

ค่อยพูดจะนั่งอยู่หน้าห้องเรียนตลอดเพื่อนห้องอื่นหรือกระทั้งห้องเดียวกันก็รุมจีบเธอแต่คนที่ครองหัวใจเธอ

กลับเป็นไอ้กิต เพื่อนสนิทผมนั้นสิด้วยความที่เราอยู่ห้องเดียวกันแล้วไอ้กิตเป็นเพื่อนสนิทผมด้วยเราจึงไปไหน

มาไหนด้วยกันจนทำให้ผมเริ่มคุยกับเกดมากขึ้น จนเวลาผ่านไปซะประมาณ 8-9 เดือนไอ้กิตได้เปลี่ยน

สรรพนามจากเกด กลายแทนเมียแทน แค่นั้นรู้เลยว่าเกดต้องโดนเพื่อนผมเย็ดแล้วแน่นอนหลังจากนั้นจาก

เกดเวลาใส่เสื้อทรับในมาเรียน ก็กลายเป็นไม่ใส่มา ทำให้เห็นสีเสื้อในทะลุเสื้อขาวมาเป็นประจำแล้วมีช่วงหนึ่ง

ต้องทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ ผมต้องไปนอนค้างบ้านไอ้กิตเพื่อนรักของผมซึ้งนั่งรถกลับบ้านไอกิตกันสามคน

พอถึงห้องนั่งเล่นสักพักไอ้กิตส่งซิกให้ผมให้ไปเดินเล่นตลาดนั้นข้างล่างก่อน แค่นั้นแหละรู้เลยว่าต้องการทำ

ภารกิจฟิตโช้กันแน่ๆ ผมก็ออกจากห้องแต่ก็ยังไม่ลงไป แอบเอาหูฟังตรงประตูยินเสียงพูดกันสักพักแล้วก็

เงียบไป อีกไม่นานก็ได้ยินเสียงเกดร้องเบาๆ อ๊าๆ โอ้ยเป็นจังหวะ ควยนี่ผมลุกขึ้นตรงเฉียงซ้ายเลย ไม่คิดว่าจะ

ได้ฟังเสียงเด็กที่เลี้ยงแบบลูกคุณหนูร้องเป็นจังหวะแบบนี้ผมฟังได้สักพักลงไปเดินเล่นจนเพื่อนโทรมาให้ขึ้นไป

ในห้องได้...พอเข้ามาในห้องเกดก็ทำเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปจาก ม.4 จนถึง ม.6 กาล

เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนไอ้กิตเหมือนเริ่มจะเบื่อเกด ทะเลาะกันบ่อย...






นึกว่าจะป่องกับลูกซะแล้ว(ลืมยาคุม)

 

 

สัมพันธ์ลับๆเกินกว่าแม่ลูก ระหว่างฉันกับลูกชายที่มีต่อกันมาหลายเดือน และเรื่อยมาจนถึงในช่วงที่มหา’ลัยของลูกชายปิดเทอม ลูกชายก็มาอยู่บ้าน แต่คราวนี้หนูนิดแฟนสาวของเขาที่เรียนที่เดียวกัน ได้ตามมาด้วย ซึ่งลูกชายอยากจะให้แฟนของเขาได้ไปบ้านหาพ่อแม่ของเธอบ้าง โดยให้เหตุผลกับเธอว่าเดี๋ยวพ่อแม่ของเธอจะสงสัยเอา แต่เธอบอกอยากอยู่ใกล้ๆกับลูกชายซักพัก เวลาที่เหลืออีกสองอาทิตย์ถึงจะไปบ้านของเธอ ซึ่งลูกชายก็เลยปฏิเสธไม่ได้เดี๋ยวเธอจะผิดสังเกต เราสองแม่ลูกก็ได้แต่ต้องทำตัวไม่ให้ผิดปรกติ จะให้หนูนิดล่วงรู้ความสัมพันธ์ที่เป็นความลับอันดำมืดเกินแม่ลูกของเราสองคนไม่ได้เป็นอันขาด มองหน้าสบตากันทีไรมัน อึดอั้ด อึดอัด และไหนเลยฉันจะต้องทนนอนฟังเสียงที่บางครั้งมีเล็ดลอดมาจากห้องของลูกเวลาที่เขาเล่นจ้ำจี้กับแฟน ซึ่งแม่หม้ายอย่างฉันใด้ยินแล้วเปรี้ยวปาก นอนเหนียวหว่างขา คิดในใจอยากจะลงไปในครัวหาแตงกวามาช่วยตัวเองเสียเหลือเกิน แต่ก็ตัดใจเก็บเปรี้ยวไว้กินหวาน รอกินแตงของลูกดีกว่า ฉันต้องทนนอนกระสับกระส่ายตั้งนานแหม..เวลามันก็ช่างเดินชักช้า ทรมานเสียเหลือเกินกว่าจะหลับลงได้
แล้วก็มาถึงวันที่แฟนของลูกชายได้กลับไปบ้านของเธอซึ่งอยู่อีกจังหวัดนึง หลังจากลูกชายไปส่งแฟนขึ้นรถแล้ว พอเขากลับมาถึงบ้าน ดูแล้วลูกชายเก็บอาการไม่อยู่เลยนะเรา แทบจะรอมืดไม่ไหวเลยนะ ซึ่งที่บ้านชั้นล่างฉันนั้นได้เปิดเป็นร้านขายของชำอยู่ ครั้นพอช่วงปลอดคนที่มาซื้อของลูกชายก็ได้เข้ามาหาทำเป็นกอดเป็นหอมยกใหญ่ แต่ไม่ได้กอดหอมอย่างเดียว มือไม้สะเปะสะปะจับไปทั่วตัวแม่ จนต้องปรามไว้เพราะกลัวว่าเกิดลูกค้าจะปุบปับโผล่มาเห็นเข้า และบ่อยครั้งลูกชายจะเดินเข้ามากอดและทำเป็นพูดพรำ่บ่น หน้าเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่นั่นแหละว่า รักแม่จังๆ แต่มันมืดช้าจังเลย ฉันรู้ว่าลูกชายพูดอย่างนี้เขาส่อถึงอะไร จึงกระเซร้าเขาว่าแฟนตัวเองพึ่งจะกลับไป แล้วอย่างนี้จะเหลืออะไรให้แม่ล่ะเนี่ย ลูกชายบอกยังอยู่อีกเยอะ แล้วเราก็หัวเราะและสบตากันอย่างมีความหมาย ไม่ใช่แค่ลูกชายหรอกที่รอเวลาค่ำด้วยใจจดจ่อ ซึ่งฉันก็ด้วยแทบจะรอให้ถึงตอนมืดไม่ไหวเหมือนกัน
หลังจากที่ฉันปิดหน้าร้านเสร็จก็รีบขึ้นบ้านเพื่อจะอาบน้ำอาบท่าชำระร่างกาย ตอนกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ลูกชายเปิดประตูห้องของเขาออกมาพอดี พอเห็นฉันกำลังจะเข้าไปอาบน้ำก็จะขอตามเข้าไปด้วย ฉันไม่ยอมให้ลูกชายเข้าไป เขาอ้อนอยากอาบน้ำถูสบู่ให้แม่ เรื่องอะไรจะยอมล่ะ ถ้าให้เข้าไปด้วยมีเรอะจะแค่ถูสบู่ และฉันมีธุระจะทำด้วย แต่เจ้าลูกชายสุดหล่อกลับสายตาดี มองเห็นของที่ฉันถืออยู่ ก็อายลูกชายละนะที่เขารู้ทันแม่ เมื่อเขาเห็นของในมือของฉัน ที่อุตส่าห์ถือหลบๆแล้วนะ “อยากช่วยแม่อ่ะ..” เขาบุ้ยปากมาที่กรรไกรและมีดโกนในมือ ฉันส่ายหน้าแบบเขินๆ “แม่ทำเองได้น่ะ”
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ขัดสีฉวีวรรณทุกซอกหลืบจนคิดว่าหอมดีแล้ว กลับเข้าห้องนอนมาก็เจอลูกชายนอนรอบนเตียงของฉันอยู่แล้ว กางเกงบอกเซอร์ตุงเชียว ตามปรกติฉันจะเป็นคนที่ดูแลร่างกายอย่างดีและจะต้องพิถีพิถันทาครีมบำรุงผิวนวดจนทั่วตัวก่อนนอน แต่สำหรับวันนี้ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวคงจะมีคนนวดให้โดยไม่ต้องใช้ครีม
แล้วคนที่จะนวดให้ฉันก็ได้ผุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างไวด้วยแววตากรุ้มกริ่ม แล้วเข้ามาโอบกอดทางด้านหลังขณะที่ฉันกำลังยืนหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยที่ไม่ได้ระวังตัวลูกชายได้ปลดปมผ้าเช็ดตัวของฉันออก ฉันเหลือบตามองที่กระจก สาวใหญ่ผิวขาวอวบอึ๋มคนนึงกำลังถูกกอดจากด้านหลังด้วยวงแขนของชายหนุ่มรุ่นลูกที่มีร่างกายกำยำและหน้าตาดี มันก็ไม่ผิดอะไรที่ลูกชายจะกอดแม่ แต่ว่าการโอบกอดกันตอนนี้มันต่างจากการกอดระหว่างแม่กับลูกทั่วไป เพราะตัวของแม่กับลูกชายนั้นเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ มือของเขาประคองจับที่ปทุมถันอย่างแผ่วเบา และอีกมือของลูกชายได้ลูบไล้ที่เนินเนื้อสามเหลี่ยมกลางหว่างขาของฉัน และกุมมันจนเต็มมือของเขา มันช่างเหมือนกับผัวกำลังกอดเมียมากกว่าลูกกอดแม่ เสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่าคิดถึงแม่ ฉันยิ้มให้อย่างรู้ทัน คิดถึงแม่หรือปิ๊ของแม่กันแน่ขยำจนเต็มมือเชียว และเขาได้ก้มหน้าลงฝังจมูกเข้ากับซอกคอ ฉันขนลุกซู่ ดุ้นเนื้อแข็งๆของเขามันเบียดดุนด้านหลังจนฉันรับรู้ได้ถึงความใหญ่ของมัน สัมผัสได้ถึงความอุ่นและแข็งเป็นสาก จนฉันอดใจไว้ไม่อยู่ต้องเอามือไปกำมันไว้ และมันยิ่งแข็งขึ้นแถมยังกระดกผงาดในอุ้งมือ ด้วยความอยากที่สะสมมานานทำให้ฉันสิ้นสุดความอดทน ได้หันตัวกลับมากอดกับลูกชาย โดยเขาได้เอาปากมาประกบกับปากของแม่ ฉันได้เผยอปากรับและเราได้แลกจูบดูดลิ้นกันอย่างดูดดื่ม โดยที่มือของลูกชายก็ไม่ได้อยู่เฉยลูบไล้ไปจนทั่วร่างกายเขาได้บีบขยำที่เต้านมและแก้มก้นของฉันจนเต็มสองมือของเขา ดุ้นเนื้ออุ่นร้อนที่แข็งโป๊กได้เบียดอัดกับหน้าท้องของฉันจนแน่นนั้นทำให้ฉันต้องคว้ามันกำแล้วรูด จนเจ้าของแท่งเนื้อถึงกับแขม่วท้อง แล้วลูกชายได้ถอนปากออกจากริมฝีปากของแม่ จ้องหน้าฉันตาละห้อยแล้วก้มมองอาวุธของตัวเอง ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร ฉันย่อตัวลง ปลายทวนของลูกชายจ่ออยู่ตรงหน้าของฉัน หัวของมันแดงคล้ำบานเป็นดอกเห็ด ฉันอ้าปากจนกว้างแล้วอมจนมิดเงี่ยง ทั้งอมทั้งดูดและเอาปลายลิ้นดุนๆที่ตรงปลายทู่ ลูกชายสูดปาก ซี๊ด..ด..เกร็งท้องน้อยจนเป็นลอนและถึงกับเผลอตัวจับหัวแม่กดไว้ซะแน่น จนฉันหายใจแทบไม่ออก ฉันได้ใช้ปากโม๊กให้ลูกชายจนเขาเสียวยืนแทบไม่ไหว เข่าอ่อนยวบๆหยู่หลายหน ถึงกับเอ่ยปากบอกแม่พอเหอะกลัวว่าน้ำจะพุ่งซะก่อน แม้แต่ฉันเองก็ด้วย มีอารมณ์ต้องการอยากร่วมเพศที่สะสมมาเป็นอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้ก็เกิดมีกำหนัดจนจิ๋มฉ่ำแฉะน้ำปริ่มแทบจะหยดไปเหมือนกัน ถึงกับลุกขึ้นเป็นฝ่ายเดินนำลูกชายไปที่เตียง เขาเดินแกว่งทวนตามมาติดๆ พอขึ้นเตียงได้ลูกชายไม่รอช้าจับขาของแม่ถ่างออก เขาจ้องมองจิ๋มแม่แล้วยิ้มอย่างพอใจ ที่แม่ได้รู้ใจลูกชายสุดที่รัก ฉันรู้ว่าลูกชอบที่จะใช้ปากกับมัน ฉันจึงได้แต่งเล็มขนที่จิ๊มิมาอย่างดี โดยไม่ได้โกนซะจนเหี้ยนเพียงแค่ซอยตัดสั้นบางๆเท่านั้น ลูกชายจ้องมองจิ๋มแม่ด้วยแววตาออกอาการสุดหื่น แล้วเริ่มลงลิ้นแซะร่องของผืนนาแปลงน้อย ยังใช้ปากเก่งเหมือนเดิม ลิ้นที่กระดกระรัวไม่ทำให้ผิดหวัง ฉันใจหวิววาบหวามเมื่อลูกชายทั้งเลียทั้งดูดที่ติ่งเสียวจนฉันต้องครางอู๊ย..ย.. เจอเข้าแบบนี้จะให้เฉยได้อย่างไร ฉันถึงกับแอ่นร่อนหอยเพื่อให้ลูกได้ยกซดอย่างเอร็ดอร่อยจนปากเปียกปากแฉะ ลูกก็จริงๆเลยใจคอจะทรมานแม่ให้ขาดใจหรือไง แค่ลิ้นยังไม่พอแถมเอานิ้วจิ้มเข้าไปอีกแล้วทั้งสะกิดทั้งคว้าน เสียวจี๊ดๆที่จิ๋มจนน้ำตาเล็ดเยี่ยวแทบปริบ ฉันทนไม่ไหวแล้วอยากให้เขาลงไถที่นาแปลงน้อยเสียเหลือเกิน มือของฉันที่ขยุ้มไหล่เขาจนแดงจ้ำทำให้ลูกชายเงยหน้าขึ้นมอง เราสบตากัน ฉันพยักหน้าด้วยสายตาวิงวอนเป็นสัญญาณว่าขอแม่เถอะนะ ลูกชายได้ยันกายลุกขึ้นแล้วแทรกตัวเข้ากลางหว่างขาที่อ้ารออยู่แล้ว ลูกชายได้จับเอาหัวไถทู่ๆกดลงไปที่นาผืนน้อยขนาดเท่าฝ่ามือของฉัน พงหญ้าที่ถูกถางเร็มมาจนเกือบจะเตียนทำให้มองเห็นชัดถึงผืนนาที่แตกระแหงเป็นร่อง และขณะที่กำลังถูกหัวไถของลูกชายกดแซะลงไป ร่องนั้นก็ยิ่งแยะอ้ายิ่งกว่าเดิม จนเห็นดินชั้นในแดงระเรื่อ แถมในร่องมีน้ำขลุกขลิกอยู่แล้วด้วยจึงทำให้ผืนนาไม่แห้งเกินไปนัก ลูกชายจึงกดไถลงได้สะดวกเอว เขาดันมันลงไปจนมิดด้าม แล้วเขาก็กระหน่ำซอยซ่วบ..บ..บ. น้ำยิ่งปริบออกมามากขึ้นจนเสียงไถนานั้นดังเจ๊าะแจ๊ะๆ ตัวฉันกระเด้งกระดอนจนหัวสั่นหัวคลอนจากแรงกระทุ้งอันหนักหน่วง เสียวหีสุดๆ แม้ฉันโดนลูกชายเย็ดมาก็หลายครั้งแล้วแต่ลำควยที่อวบอ้วนของเขาก็ยังคับแน่นรูหีอยู่ดี ยิ่งพอมาเจอลูกชายทั้งบดทั้งส่ายเอวคว้านด้วยแล้ว ฉันถึงกับต้องสูดปากร้องครางซู้ด..ด.อูย..ย..วงแขนของฉันกระวัดขึ้นโอบกอดรัดตัวของเขาไว้แน่น มันแซ่บถึงทรวงจริงๆ เสียวในรูมากจนหมดอาย ฉันได้เด้งโคกหีขึ้นรับท่อนควยของลูกชายที่กระเด้าและบดลงมาอย่างเต็มที่ พอเสียวมากๆช่องคลอดก็บีบตัวตุบๆตอดรัดแท่งทวนของลูกชายจนเขาถึงกับสูดปากร้องอูย..ย.. แม่น่ะเสร็จถึงจุดสุดยอดไปตั้งแต่ช่วงที่ลูกชายส่ายเอวคว้านบดแท่งทวนในช่องสังวาสแล้ว แต่ลูกชายยังอึดกัดฟันขย่มตอไม่มีผ่อน โห..โดนหีขมิบดูดควยขนาดนี้ยังทนทานได้ เก่งจริงนะลูก เขายังโหมกระเด้าแบบไม่หยุดด้วยพลังหนุ่มที่มีอย่างเหลือเฟือ และไอ้ดุ้นอันใหญ่ขณะที่มุดเข้ามุดออกนั้นก็ได้เสียดสีกับเม็ดเสียวเต็มๆและอีกอย่างความยาวของมันที่ทิ่มลึกจนถึงปากมดลูกทำให้ฉันเสียวขึ้นมาอีกแล้วจนตัวสั่น ลูกชายได้ปั่มปั๊มทำให้ฉันเสร็จถึงสองครั้งติดๆ ใจหวิวๆแทบจะขาดเสียให้ได้ และเวลาเดียวกันนั้นลูกชายได้ทิ้งทวนชุดสุดท้ายขย่มปั้ก..ก..ก ก่อนที่เขาจะอัดแท่งทวนแช่และคลึงหนอกบดกับโคกของฉันไว้เสียแน่น มันแน่นจนภายในรูสัมผัสได้ถึงลำทวนที่อุ่นและกำลังขยายพองกระดุ๊บๆ พลิบตาเดียวก็รับรู้ได้ถึงแรงพุ่งของน้ำอสุจิที่ฉีดออกมาเป็นจังหวะ ปริ้ด.ด.ด.. มันพ่นเข้าสู่โพรงมดลูกส่วนลึกของฉันอย่างแรงจนรู้สึกได้ แล้วลูกชายก็ซบตัวลงทับและเกร็งกอดฉันไว้เต็มวงแขน ทั้งสองเราหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและกอดกันไว้ทั้งที่ตัวมีแต่เหงื่อ หลังจากหายเหนื่อยเขาหอมแก้มฉันแล้วลุกขึ้น เขาถอนตัวดึงคันไถออก หัวไถทู่ๆตกห้อยไม่ตั้งเหมือนก่อน และมันยังเปียกชุ่มเป็นมันวาว ลูกชายทิ้งไว้เพียงรอยไถที่ผืนนาน้อยของฉันจนเป็นร่องอ้าที่ยังไม่หุบ และได้มีน้ำขาวขุ่นไหลรินออกมาจากรอยแยกจนหยดเป็นดวงบนผ้าปูที่นอน.
เช้าวันรุ่งขึ้นฉันต้องใจหายวาบเมื่อเปิดเจอวันนัดฉีดยาคุม ซึ่งเลยกำหนดมาวันนึงแล้วด้วย ในตอนกลางคืนฉันได้เอากับลูกชายไปแล้วถึงสองยก และเขาก็ได้แตกในแบบเต็มๆไปแล้วด้วยถึงสองครั้งสองครา ใจตุ้มๆต่อมๆอยู่สองวันกังวลว่าท้องจะป่องกับลูกชายหรือเปล่า ถ้าเกิดติดขึ้นมาจริงๆจะเอาหน้าไปไว้ไหน แต่แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อประจำเดือนมาตามปรกติ หลังจากนั้นฉันก็ได้เขียนวันที่ฉีดยาคุมและวันที่จะฉีดในครั้งต่อไปไว้บนปฏิทินเลยจะได้เห็นชัดๆกันลืม.

บาบูกู้ชู้ 3

   
บทที่ ๖
บาหยันนำรถเครื่องลัดมาบนเส้นทางเล็กๆ ดับเครื่องจอดหน้ารั้วบ้านม่ายสาคร ลงจากรถลอดมือถอดเชือกคล้องออก เปิดประตูรั้วนำรถเข้าไปจอดใต้ถุนเรือนสูง ย้อนกลับมาปิดรั้วกลับที่เดิม ขึ้นบันไดเรือนสูง ก็พบปรีชานอนแผ่หลา มือเท้ากางอยู่กลางชานกำลังหลับสนิทอยู่
มองไปกลางลำตัวก็หน้าร้อนวูบ ปรีชานอนถอดเสื้อ นุ่งกางเกงแพรตัวเดียว เท้าข้างหนึ่งป่ายไปบนหมอนข้าง อีกข้างถ่างสุดเหยียด ขอบกางเกงแพรหลุดลุ่ยลงมาต่ำกว่าสะดือน่าชัง
สิ่งที่น่าชังคือส่วนที่ต่ำลงมา ยืดตัววางกล้ามวางโตยโสเหมือนเจ้าของ คล้ายกับจงใจเบ่งกล้ามอวดตนฉะนั้น เกิดความหมั่นไส้ใคร่จะทุบลงไป ให้หักคามือสมกับที่ขุ่นเคือง
ข่มใจไม่ไปมองให้คายลูกตา นั่งลงข้างตัว เขย่าหน้าอกปลุกเรียก
"ปรีชา....ตื่นเสียทีซี สายแล้วนะ"
ปรีชาลืมตาขี้นดูแวบหนึ่ง จับต้นแขนดึงหงายลงนอนข้าง ๆ ขาป่ายกลับมาก่ายเกยต่างหมอนข้าง มือกำที่หน้าอกขยี้แรง ๆ แล้วหลับตาต่อไปใหม่ บาหยันกระชากมือออกตวาดใส่ดัง ๆ อย่างเคืองจัด
"บ้าเรอะ ทะลึ่งชิบหายเลย"
ทั้งสองลุกนั่งพร้อมกัน ปรีชาตาเหลือกกว้าง ใบหน้าแตกตื่น ลุกพรวดพราดถอยกรูดร้องลั่น
"บรื๋อ....เป็นผีมาหลอกถึงบ้าน...”
บาหยันกำลังจะค้อนใส่ ครั้นเห็นท่าทางปรีชาก็กลั้วหัวเราะ รีบเปลี่ยนเป็นเหลือกตาช้อนขึ้นแลบลิ้นออกมายาวเหยียด ปรีชาร้องลั่นหันหลังจะเผ่นหนีกลับเผ่นไปที่ครัว บาหยันซัดก้ากออกมาดัง ๆ
"นักเลงใหญ่กลัวผี....กั้ก....กั้ก...."
ปรีชาหายงัวเงียตื่นเต็มที่ เดินออกจากห้องครัวหน้าบึ้งตึง กลับไปนอนทอดตัวที่เดิม บาหยันหยุดยืนหัวร่อกึกร้องลั่นถลาเข้าไปโยกไหล่ไม่พอใจว่า
"ยังจะนอนอีก สามโมงเช้าแล้วนะ"
"จะสามหรือสี่โมงก็ชั่งปะไร ยุ่งฉิบหาย...."
"เอ๊ะ! นี่พูดกันไม่รู้เรื่องเรอะ"
"มาร...มาร....มารโว้ย....!"
ปรีชาลุกพรวดพราดไปล้างหน้า บ้วนปากลวก ๆ กระแทกเท้ากึง ๆ สู่ห้องของตนปิดประตูดังปังขึ้นเตียงนอนต่อ บาหยันช่วยเก็บหมอนกับหมอนข้างให้ พอเปิดประตูห้องแลเห็นก็ขว้างใส่อย่างขัดใจ
"ไม่ไปรึ ปรีชา?"
"ไม่ไป! จะไปไหนก็เชิญจะนอนต่อ"
"แล้วรับปากรับคำให้แต่งตัวเก้อทำไม....”
ปรีชายกมืออุดหูถลึงตาใส่
"แหกปากเอ็ดตะโร หยังก๊ะถูกใครฉุดไปสะบึมส์แน่ะ เฮ้ย....! อย่านะ...”
ประโยคท้ายร้องห้ามเสียงหลง เผ่นพรวดลงจากเตียงถลาเข้าไปหา บาหยันโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำดำไหม้ไปแถบ เดือดดาลดังควันพุ่งจากตัว ทำร้ายปรีชาไม่ได้ดังคิด ถอดเสื้อยืดที่สวมใส่มา กระชากทิ้งเป็นการระบายโทสะ ปรีชากระโจนพรวดเข้ายื้อแย่งกอดปล้ำไว้ทัน ร้องลั่นว่า
"หยุด! ฟังเรื่องก่อนซีมันเป็นยังไงค่อยโกรธทีหลัง เค้าลงท้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตั้งสามสี่พักต้องมานอนหลับที่กลางเรือน จะได้วิ่งลงบันไดได้ทัน หมดแรงตาโหลลึกเป็นศอก"
"ไม่เชื่อ! ลงท้องกินยาก็หาย"
"ขี้ทีกินทีหมดไปตั้งขวด เพิ่งหยุดเมื่อเช้านี้เอง"
"ไปฟัดกะหรี่มาหมดแรงก็บอกเถอะ พอตื่นก็คึกไล่ตะครุบดื้อ ๆ ยังมีหน้ามาพูดอีก"
"อ๋อ กำลังเคลิ้มหลับฝันร้าย ทะเลาะกันเรื่องไม่ไปนี่แหละ บาหยันโกรธก็เลยกลั้นใจตาย เราห้ามก็ไม่เชื่อ นอนตัวแข็งทื่อนิ่งเฉย คลำหัวใจดูก็ไม่เต้น ลืมตานึกว่าผีหลอกเลยเผ่นหนี"
ความโกรธหายวับไปกับอากาศ หัวเราะคิก
"กินข้าวรึยัง ?"
"กินกาแฟขนมปังอิ่มตื้อ วันนี้งดเถอะ วันหลังยังมี อย่าโกรธเลยนะ"
ปรีชาคลายมือจากอ้อมกอดสู่เตียง นอนคว่ำหน้าให้ท้องวางบนขอบเตียง เท้ายันพื้น บาหยันเดินเข้ามาหา บอกเสียงเรียบ ๆ ว่า
"ขึ้นไปนอนให้สบายก็ไม่เอา"
"นอนสบายก็หลับปุ๋ยไป นอนอย่างนี้แหละตาจะได้แข็งคุยได้นาน"
หญิงสาวก็นอนลงข้าง ๆ แบบเดียวกับเขา มือลูบไล้เส้นผมยุ่งเหยิงให้กลับคืนที่
"หน้าตาสดใสไม่เห็นซีดเซียวเลย"
ปรีชาใช้นิ้วลูบขนบนแขนครางออกมาว่า
"อื้อฮือ....ขนเต็มทั้งตัวเลย"
"ลิงมาเกิดไม่รู้เหรอ ?"
"โอ๊ะ....มีหนวดด้วยซี" ปรีชาร้องขึ้นแตกตื่น
"หนักหัวกบาลใครล่ะ ?" บาหยันสวนขึ้นอย่างโกรธงอนไม่พอใจที่ได้ยินคำตำหนิ
"ปากร้ายอย่างนี้นี่เล่าคนถึงลือให้แซ่ด"
"ว่าเค้าได้ละก้อดี พอเค้าย้อนเอาบ้างก็หาว่าเค้าปากร้าย มันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ"
"เค้าว่าตัวหรือ ?" ปรีชาย้อนให้บ้าง
"แดกว่าให้อย่างนี้แล้วยังหาว่าไม่ได้ว่าอีก เค้าอ่อนง้อให้หน่อยยิ่งเต๊ะจุ๊ยใหญ่ ฮึ!"
บาหยันสะบัดหน้า พลิกกลับไปด้านตรงข้ามอย่างเคืองขุ่น ปรีชาลูบไล้แผ่นหลังที่มีขนละมุนเต็มตัว มีลายวนเวียนไปมาเป็นก้นหอยจากเอวจรดถึงบ่าไหล่ เสียงอ่อนลงว่า
"เราไม่มีเจตนาว่าร้ายให้ตัว เย้าเล่นนิดหน่อย ตัวกลับโกรธจริงๆ"
"หางเสียงไม่ได้บอกเย้าเล่น เค้ากินข้าวเหมือนตัวฟังออกเหมือนกัน"
บรีชาทับไปบนแผ่นหลัง แนบหน้ากับบ่าด้านตรงข้าม ปากจ่อริมหูบอกเบาๆ
"ไปดูหนังกันเถอะ"
ปรีชาลุกขึ้นยืน สะดุดชายกางเกงของตนเซถลา บาหยันกรากเข้าไปกอดรัดประคองว่า
"ยังไม่มีแรงก็นอนไปซี ใครไปว่าตัวล่ะ?"
"ตัวจะกลับบ้านหรือจะนอนคุยกันเล่น"
"ไล่เหรอ เค้ากลับก็ได้"
ปรีซารัดตะโพกบีบเบาๆ ขยี้ล้อว่า
"งอนกระทั้งก้น”
บาหยันเม้มปากถลึงตาใส่ง้างมือขึ้นดุร้าย
"มาว่าเค้าปากร้าย ตัวยิ่งเหม็นร้ายกว่าหลายเท่า พูดดีด้วยยิ่งเอาใหญ่"
"รู้ว่าเค้าร้ายนักมาดีด้วยทำไม?"
"เค้านึกถึงบุญคุณที่เคยช่วยเหลือ ถึงยอมทนให้หรอก ไม่งั้นอย่าหมายเลย"
"เมื่อนึกถึงบุญคุณก็ต้องเอาใจปะเหลาะซี"
"เรียกเค้าเป็นพี่ซี จะยอมเอาใจทุกอย่างเลย" บาหยันต่อรองเอาชนะ
"เรียกก็ได้ ไม่รักษาคำพูดก็ไม่ต้องพูดกัน" ปรีชาไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"ต้องร้องเรื่อย ๆ ไป ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใคร ไม่อย่างนั้นก็ไม่ตกลง"
"ทำไมถึงอยากเป็นพี่เค้านัก?"
"มีน้องชายเบ็นนักเลงคุ้มกัน ไม่มีใครกล้าคิดร้าย ใครก็อยากได้"
"ตกลง เรียกเบ็นพี่บาหยันแต่บัดนี้เลย"
สัญญาสันติภาพจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ข้อเสนอถูกใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
คนหนึ่งอยากเบีนฮีโร่ อีกคนอยากเป็นผู้พิชิตมีศักดิ์เหนือกว่า เข้าล้อคพอดีทั้งคู่
"กระโปรงใหม่ตัวนี้สวยจังเลย ทันสมัยนำแฟชั่นเปี๊ยบเลย เอ้อ ..ตัว....เอ๊ย พี่บาหยันนุ่งกางเกงแพรของชาเดี๋ยวชานุ่งผ้าขาวม้าแทน"
บาหยันหัวเราะเสียงปลาบปลื้ม ฉุดข้อมือว่า
"ไม่ต้อง พี่ยังมีอีกชั้นหนึ่ง"
ว่าแล้วก็ถอดกระโปรงตัวสั้นเต่อยาว ไม่ถึงสองคืบออก เหลือกางเกงในสีครามอ่อน ปรีชามองไปที่สามเหลี่ยม เบ็นรูปมือปิดกุมป้องอย่างมีศิลป์ชวนเซ็กซี่ เช่นเดียวกับเสื้อบางตัวมีมือกุมหน้าอก
"แม่โวย ปิดตั้งสองมือ มือเดียวก็ปิดมิด ช่างเข้าใจซื้อดีนี่ มีกี่ตัว?"
"หลายตัว เบ็นรูปหัวใจบ้าง วงแหวนบ้าง เป็นรูปรังนกบ้าง"
กระโปรงปลายบานกว้างสั้นเต่อ กางเกงในก็ต้องมีสีสรรลวดลายสะดุดตา การนุ่งสั้นเต่อยากจะปกปิด ไม่ให้เห็นกางเกงใน จำเป็นต้องให้สวยทั้งในด้วย คนเห็นจะได้ไม่เก็บไปนินทา
บาหยันจงใจอวดกางเกงในเซ็กซี่ราคาแพงอยู่แล้ว ไม่สะทกสะท้านที่มีผ้าเพียงสองชิ้นปิดคลุมร่างกาย นอนเคียงกันบนเตียงกับปรีชาหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งเซ็นสัญญายอมเป็นน้องมาในบัดใจ
ปรีชาลูบเรียวหนวดบนริมฝีปาก ซักด้วยความสนใจ
"ทำไม่ไม่โกนทิ้งไปล่ะ""
"โกนแล้วก็ขึ้นมาอีกเลยไม่อยากโกนส่ง"
"ปล่อยไว้นานๆ ไม่ยาวหรือ?"
"ไว้นานกี่เดือนก็ไม่เคยยาวกว่านี้"
"แปลกดี พี่บาหยันน่าจะหายาทาขนร่วงมาทานะ" ปรีชาแนะนำด้วยความหวังดี
"ไม่ได้ผลหรอก หลายขนานแล้ว"
มือไล้ลูบไปบนบ่าไหล่ที่มีขนสลวย จากขอบยกทรงตอนล่างตรงหน้าท้องจรดขอบกางเกงในมีขนอ่อนนิ่มขึ้นสลวยมือชวนลูบไล้เล่น ถามอย่างกังขา
"ที่หน้าอกมีขนไหม ?"
"มีเหมือนกันทั้งตัวเลย" บาหยันตอบรวบยอด เพียงไม่ได้บอกว่าที่ใดมีหนาแน่นกว่ากัน
"เวลาแต่งงานมีลูก ลูกไม่ดูดขนติดปากหรือ?"
"หัวนมไม่มี อย่ามาหลอกดูหน่อยเลย"
บาหยันตอบอย่างรู้กัน ปรีชายังไม่ยอมแพ้ว่า
"มันต้องมีแหง เว้นแต่จะมากหรือน้อย"
"มีก็ได้" บาหยันตอบเสียงสะบัดไม่พอใจ
ปรีชานอนหงายกลับคืนบิดขี้เกียจพลางว่า
"เค้ายั่วพี่น้ำใสมากกว่านี้ยังไม่เห็นโกรธเลย หน้ายิ้มแฉ่งพูดเพราะตลอดเวลา"
"นานไปรู้นิสัยซึ้งก็ทนได้ นี่ยังใหม่อยู่นี่"
บาหยันพลิกตัวกอดรัดซุกหน้าแอบอกหัวเราะประจบ ปรีชากอดร่างดำเป็นมันวาวเพราะขนที่อ่อนนิ่มสลวยว่า
"กอดพี่บาหยันวันแรก ไม่เห็นใหญ่อย่างนี้เลย คงโตตามมือละมั้ง ?"
บาหยันหยิกปากให้เบา ๆ หน้าบึ้งงอนว่า
"ปากร้ายอย่างนี้ คอยว่ากระแนะกระแหนเรื่อย ไม่อยากให้กอดแล้ว"
บาหยันพลิกตะแคงหันกลับให้อย่างไม่ต้องใจ ปรีชากอดรัดป่ายปีนต่างหมอนข้างจึงเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำหน้าประท้วง
"พูดดี ๆ ไม่ก็คำก็หมดเรื่องพูด พอยั่วเย้าก็มีเรื่องพูดมากมาย"
"เยอะแยะไปเรื่องจะพูดคุย แต่ไม่เอามาพูดเอง ชอบหาเรื่องก็บอกเถอะ"
"ขอตังค์ชาใช้บ้างซีพี่บาหยัน"
"อ้อ จับได้แล้ว ยอมลงทุนเรียกเบ็นพี่ ต้องการประเหลาะตังค์ใช้น่ะเอง"
"ตัวอยากเป็นพี่เค้า ต้องการประเหลาะ ใช้เค้าเหมือนกันแหละน่า"
"เค้าบอกตัวตามตรงแล้วว่าต้องการคนคุ้มครอง" บาหยันว่าอ้างขึ้นบ้าง
"เค้าคุ้มครองให้ก็มีค่าตอบแทน" ปรีชาไม่ยอมแพ้
"จะคิดเป็นรายเดือนหรือคิดเป็นครั้งคราว ?"
"อย่างพี่น้องหรืออย่างคนอื่นๆ ?"
"อ้อ อัตราไม่เหมือนกัน"
"งั้นซี แล้วต้องดูเรื่องหนักเบาเป็นเกณฑ์ด้วย"
"เราสัญญาเป็นพี่น้องกันแล้ว ก็คิดอย่างพี่น้องซี" บาหยันไว้ฉลาด
"ได้ คิดอย่างพี่น้องไม่มีราคา"
"ดีจริงๆ อย่างนี้ซิถึงจะน่านับถือ"
"คุ้มครองอย่างพี่น้องไม่มีราคา ขอเมื่อไรก็ต้องให้ตามจำนวนที่ขอ"
"อ๊ะ! เกิดขอทุกวันครั้งละมากๆ เค้าก้อเสียเปรียบตาย"
"ถ้ากลัวเสียเปรียบก็คิดราคาทั่วไป"
"เป็นรายเดือนใช่ไหม ?"
"เป็นรายครั้ง”
"ไม่เข้าใจ"
"ไม่เรียกหาก็ถือธุระไม่ใช่"
บาหยันโวยวายขึ้นไม่เห็นพ้อง
"เอ๊ะ! ใครจะตรัสรู้ล่วงหน้าจะมีเรื่องล่ะ ?"
"ไม่รับคุ้มครองตลอด ๒๔ ชั่วโมง"
"แม้กระทั่งพี่น้อง ?"
"เรื่องพี่น้องไม่ร้องจ้างวาน คุ้มกรองตลอด ๒๔ ชั่วโมงให้เอง"
"เค้าก๊อถูกไถซับไถซ้อนยับเยินไปเลย" บาหยันร้องอุทธรณ์ ไม่เห็นด้วย
"ก็บอกเงื่อนไขแล้ว เลือกเอาตามชอบ"
ทั้งสองแสดงลวดลายทันกัน หวังยึดอีกผ่ายหาประโยชน์ให้เกิดกับตนเองมากที่สุด ต่างคล้ายรู้นัยกันการคบหาครั้งหลัง หาได้เกิดจากความบริสุทธิ์ใจต่อกันไม่
อาชีพตกดอก ได้รับการสาปแช่งจากลูกหนี้อื้ออึงทั้งสองหู จะมากจะน้อยคนถูกแช่งย่อมหวาดเกรงขยาดแขยงอยู่ไม่มากก็น้อย คำสาปแช่งคนกินพริกกินเกลือรุมกันเป็นจุดเดียว เหตุร้ายก็เกิดขึ้นตามคำสาปแช่ง เล่าระลือกันอย่างสนุกปาก บาหยันทั้งโกรธทั้งอายและทั้งหวาดกลัวมากขึ้น
แววนักเลงของปรีชาไม่ย่อย อิทธิพลของสถานศึกษาและสมัครพรรคพวก เรืองแสงเปล่งศักดา คนไม่กล้าดูถูก หากเพราะความสนิทสนมกันขึ้น ตนย่อมได้ประโยชน์เป็นผลตอบแทน
สาเหตุนี้ ทำให้บาหยันอ่อนข้อลงให้ แต่ก็ยังแฝงความเย่อหยิ่งถือตัวให้เห็นบ่อย ๆ ปรีชากลับไม่แยแส จำต้องข่มใจจนกระทั่งทำสัญญาสันติภาพถาวรขึ้นมาดังกล่าว
ปรีชาไม่สู้จะชอบหน้าบาหยันนักเพราะชอบสำแดงความมีเงินข่มตนเสมอ ปรีชามีจุดอ่อนที่ชอบยอชอบปะเหลาะ แข็งแกร่งไปไม่ตลอด บัดอ่อนบัดแข็งเรื่อยมา
สันติภาพถาวรตามเงื่อนไขยอมลงให้เพราะเงินที่แม่ให้ไว้ใช้สอยระหว่างไม่อยู่บ้าน ถูกผลาญเรียบวุธไปในพริบตา หากแม่อยู่ยังพอมีข้าวกินและยังไถได้บ่อย ๆ
ปรีชาไถรีดมารดาอำมหิตเกินไป จึงถูกผาลไถของบาบูหนุ่มซ้ำเติมอย่างแสบเผ็ดเหลือใจ !
ครั้นได้จังหวะ ปรีชาลงมือไถรีดอย่างเหี้ยมเกรียมไม่ปรานี
"ตกลง พี่ยอมจ่าย ต้องการเท่าไหร่ ?"
"เพียงร้อยเดียว ขนหน้าแข้งพี่บาหยันไม่ร่วงหรอก" ปรีชาหยอดให้ต้องใจ
"ขนหน้าแข้งไม่ร่วง แต่หนวดริมฝีปากก็ถูกเผาเกรียมไปทั้งแถบหนึ่งเชียวละ"
ทั้งสองหัวเราะชอบใจออกมาพร้อมกัน โผผวาเข้ากอดรัดกันแน่นด้วยความยินดี ต่างยื่นปากจะจูบแก้มอีกฝ่ายหนึ่ง
อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดหมาย
ปากประกบแนบต่อกันและดูดแรงๆ พร้อมกัน เสียงดังจ๊วบ !

บทที่ ๗
ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวใจหายวับ ตะลึงไปชั่ววิบตา คลายมือผละจากกันลนลาน ต่างเลิกตะแคงหันหลังให้กัน ต่างรู้แก่ใจเป็นอุบัติเหตุ ชายอับอาย หญิงกลับใจเต้นระทึกดังกลองรัว
ชายหญิงรักกันที่ตรงไหน ?
เบ็นคำถามกว้างใหญ่ไม่มีขอบเขต คำตอบก็มีมากมายล้วนแล้วแต่ฟังขึ้นด้วยกันทั้งนั้น
แต่คำตอบที่ถูกต้องตรงเผ๋ง ไม่อ้อมค้อมและรวบรัดที่สุด มีประการเดียวคือ รูปร่างหน้าตา!
นื่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความรัก เบ็นแกนสำคัญสุดยอด อื่นๆ เป็นเรื่องรองลงมา
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็น ไม่ว่าบุรุษสตรีดีเลิศสุดประเสริฐสุด เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติวิเศษสุดในโลกไม่มีบุรุษสตรีใดในภพมาเทียมเทียบเท่า
ทว่า บุรุษสตรีดังกล่าว มีใบหน้าอัปลักษณ์ที่สุด แลเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี อีกทั้งรูปร่างก็ทรามที่สุด มองดูแล้วก็ให้ทุเรศตาแสนสะอิดสะเอียน
อยากทราบว่า มีใครรักลงคอไหม ?
ปรีชาอยู่ในวัยรุ่น ใบหน้าหล่อคมสัน รูปร่างเพรียวสมชาย นิสัยไปข้างนักเลงติดจะอันธพาลหน่อยๆ อย่าว่าแต่บาหยันต้องตาพอใจเลย สาวๆ ก็ต้องตาพอใจแม้นๆ กัน
บาหยันดำเป็นถ่านขึ้นมัน ตากลมใหญ่ ใบหน้าไม่สะสวย เรียกว่าไม่ถึงอัปลักษณ์และไม่ถึงกับขี้เหร่จัด พอไปได้อย่างเต็มกลืน มีแต่รูปร่างเท่านั้นที่เปล่งปลั่งสมบูรณ์ด้วยวัยสาว พอจะวัดเหวี่ยงกับสาวอื่นได้ไม่ด้อยกว่ากัน เปรียบเทียบ ความงามของปรีชากับบาหยัน ได้แก่นกยูงกับอีกา สมคำอุปมาจริงๆ
หัวใจไม่เคยนึกรักพิศวาส ซ้ำยังมีอคติกินใจแอบแฝงอยู่ แม่ยืมเงินบาบูเฒ่า ผู้อำมหิตไม่เห็นแก่หน้าใคร บาหยันมาพัวพันตีสนิทก็หวังมาเก็บดอกเบี้ยลับ ๆ พลอยรู้สึกขัดหูขัดตาดื้อ ๆ อย่างนั้นเอง
ตั้งแต่บาหยันขึ้นเรือนจนบัดนี้ ยังไม่เคยจูบเลยสักครั้ง เท่าที่กอดรัดก็เพราะมีจุดมุ่งหมายหาเงินใช้อยู่ในใจ เร้นลับจูบไปแล้วทำไมจะต้องอับอาย อายเพราะไม่อยากให้บาหยันชี้หน้าด้วยเข้าใจผิด
ปรีชาท่องดงพิศวาส มาแล้วไม่น้อย จูบไปแล้วบาหยันกลับเอียงอายไม่เอะอะโวยวาย สำนึกได้ทันควัน อาการของบาบี๋สาว ส่อความพึงพอใจตนแลเห็นอยู่ชัดๆ เนื้อขึ้นเขียง หลับหูหลับตาขม้ำกิน ไม่ให้เสียเชิงชาย ขืนปล่อยละคงถูกหยามเหยียดในใจความไม่เอาไหนให้อับอายขายหน้าไปทั่วธรณีบู๊ลิ้มแน่นอน
คิดแล้วเท่านั้นไม่รอช้า พลิกกายหันกลับมือลูบไล้ไปบนแผ่นหลังสลวยมือไปมาปลอบเอาใจหยั่งเชิง เห็นบาบี๋สาวนอนนิ่งเฉยก็ได้ใจ วงแขนเปลี่ยนเป็นกอดรัดเกยทับด้านหลังแนบหน้ากับบ่าด้านตรงข้าม จูบเบา ๆ ที่ริมหูบาบี๋สาว เลียนแบบบาบูหนุ่มทำกับแม่ของตน ดังเรียนมาจากสำนักเดียวกัน
บาหยันสะท้านเยือกตาหลับปี๋ พลิกหน้าหลบไปอีกด้านหนึ่งทันใด ปรีชาจึงจูบไปบนผิวดำเหนียงเป็นมันวาวด้วยขนนุ่มสลวย อืมม์ เนื้อนุ่มเย็นมีกลิ่นหอมสาบสาว เช่นสาวสวยเหมือนกัน
บาหยันร้องอี้อ้าปัดป่ายพลิกดิ้นไม่ยอมให้จูบ
"ปรีชา....ไม่เอา อย่าเล่นอย่างนี้ซี”
ปรีชาไม่โง่ฮึดดื้อจะเอาให้ได้อย่างใจ แถมปล่อยมือพลิกกลับมานอนเคียงข้าง บาบี๋สาวก็พลิกใบหน้าหลบไปอีกด้านตรงข้ามอย่างไม่อาจหักห้าม ความอดสูอับอาย ปรีชาลูบไล้แผ่นหลังนุ่มสลวยมือว่า
"ไหนสัญญาว่าจะไม่โกรธงอนอีก ?"
"ไม่ได้โกรธ" บาหยันตอบเสียงอู้อี้
"พี่บาหยัน ไม่โกรธก็หันหน้ามาซี พี่ไม่หันหน้ามาก้อแสดงว่า ปากกับใจไม่ตรงกัน"
บาหยันฝืนหักอายพลิกแต่ใบหน้าหันกลับมา ตากลับหลับพริ้มไม่กล้าลืม ปรีชาไล้หนวดเรียวปากเล่น มือแตะลูบไปบนริมฝีปากเบา ๆ ยั่วเย้าดังจะช่วยลบรอยจูบให้ บาบี๋สาวรู้ทันยิ่งอายหนัก ตาหลับปากอ้างับใส่นิ้ว ปรีชาหลบแล้วกอดรัดทางด้านหลังหัวเราะว่า
"พี่บาหยันไม่พลิกตะแคงหันหน้ามา ชาจูบจะหาว่าชารังแกนะ"
บาหยันอึกอักกลัวปรีชาจะเอาจริง กัดฟันยอมให้กอดดีกว่ายอมให้จูบ ค่อยพลิกตะแคงตามมือรั้งคล้ายดังเสียไม่ได้ ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวจะถูกจูบก็กลัว เนื้อสั่นเต้นระริกอย่างไม่อาจทนทานต่อความรู้สึก
ซุกหน้าแอบอิงบ่าติดอกดั่งกลัวถูกจูบ ลมหายใจเข้าออกก็แอบจูบแผ่นอกเสียหลายครั้ง ปรีซาเริ่มมืออยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปบนลอนตะโพกหนานุ่มเข้าแล้ว บาบี๋สาวกลัวจะถูกนิ้วไชลอดด้านหลัง รีบปัดออกพลิกตัวนอนหงาย ร่างของเจ้าเด็กหนุ่มก็เกยทับอกหนักอึ้ง ร่างอวบถูกรอดรัดเต็มอ้อมก็สั่นเทิ้ม
ปลายคางถูกดูดเบา ๆ ก็ใจหายวาบ พลิกหลบพลางจะร้อง กลายเป็นเสนอปากตนเองเข้าไปในปากร้อนผ่าว ถูกประกบจูบแนบแน่น เสียงไม่ดังจ๊วบเหมือนครั้งที่แล้ว แต่บดคลึงไซ้บิดไปมาดังปลากัด
มือจิกผม จะดึงออกก็อาลัยต่อรสจูบลวกลนใจ กลายเป็นขยี้กดไปไม่รู้ตัว จูบนี้ช่างยาวนานสมใจนัก ซาบซ่านรัญจวนใจยิ่งนัก จำใจปล่อยให้ลอยหลุดจาก หอบระริกด้วยอาวรณ์
อยากไซ้จูบที่ไหนก็ไม่คิดหวงอีกแล้ว ปรีชาไซ้จูบไปบนความดำเป็นมันของแก้ม ลำคอและไต่ลงมาบนอกนุ่มที่เบ่งบานเต็มที่ เนื้อผิวที่ล้นกรวยดำปี๋มีขนอ่อนสลวยมือเป็นทางยาว กลับชวนจูบคลุกเสียนี่กระไร ไม่ยอมเสียเวลาปลดขอที่รัดแน่น เพียงง้างให้หลวมรูดลง ก็ได้ซบเกลือกไปบนพุ่มพวงดำมันนั้น
ปลายส่วนที่จะแดงกลับดำปี๋ ดำยิ่งกว่าความดำในร่างทุกส่วน ชันเขม็งเชิดชูขึ้นยามถูกมือลูบเคล้าต้อง ขนอุยบนทรวงชูแข่งตั้งขึ้นราวกับขนเม่น
ถึงยามนี้แล้วจะสะสางปัญหาใดไม่ยากเย็น อันเดอร์แวร์ตัวงามถูกรูดลงจากกาย บาบี๋สาวร้องลั่นมือกุมป้องแน่น แม้สายตาเขาจะเหลือบเห็นความดำทมึนบนสามเหลี่ยมทองคำแล้วก็ตาม
กุมได้กุมไป ไม่ยอมเปิดทางให้ก็ไม่คิดยื้อยุดให้ขัดน้ำใจ มือลูบไล้ไปบนขาอ่อนอุดมด้วยขนอุยดั่งกำมะหยี่สัมผัสให้ความรู้สึกประหลาดพิสดารกว่าเนื้อขาวๆ เรียบลื่นมานักต่อนัก
ปรีชาไม่นึกฝัน ตนเองจะมาสมสวาทกับบาบี๋สาวดำทมิฬผู้แสนจะหมั่นไส้ เนื้อกายสาวเต่งตั่งอัดแน่นสมบูรณ์สมวัยสมเชื้อชาติ ไม่อยากดูดไปบนปากที่มีกลิ่นไม่สู้สะอาดนัก คลุกไปบนปั้นเนื้อแข็งนุ่มบนหน้าอก ให้กลิ่นรสชาติอบอวลซาบซ่านใจยิ่งกว่าสาวบางคน
ตั้งแต่หัวเข่าขึ้นมา ไม่มีส่วนใดจะไม่ถูกมือแตะต้อง เว้นสามเหลี่ยมทองคำแห่งเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่ใบหน้า ถึงทรวงอกบาบี๋สาว ถูกทั้งมือและปากจมูกคลุกเคล้าจนทั่วถึงทุกแห่ง
ถูกเข้ากลยุทธนี้ บาหยันผู้จัดจ้านยโส ไม่เคยต้องมือชายใดโลมเคล้าก็อ่อนปวกเปียก
ไม่อยากสลัดปัดป้องหวงแหนอีกแล้ว มือเปลี่ยนมาโอบรัดกายแน่น เจ้าหนุ่มกลับยักท่าน่าคลั่งใจนัก เฉยเมยไม่ยอมประกบทั้งที่เปิดทางสะดวกให้หมดสิ้น คล้ายจะรอเชิงให้ประกบเสียเองฉะนั้น
อารมณ์แปลกประหลาด ของบาบี๋สาวผู้ทะนง ฉุนโกรธไม่พอใจในความล่าช้าขึ้นมาทันใด
มือเปลี่ยนจากโอบรัดเป็นผลักไส ไม่ยินยอม ปากอ้าขึ้นจะแผดด่าให้ผละจาก ปรีชาคล้ายจะรู้ใจอีก ประกบปากตะครุบปิด และดูดเคล้าใหม่ รสซาบซ่าน ไม่ทำให้เปลี่ยนใจไปจากท่าทีขัดขืน
เสมือนมนต์อาถรรพณ์ประหลาด อสรพิษร้ายสยบลูาเขียดน้อยให้งันงกฉันใดฉันนั้น
บาบี๋สาวหยุดการดิ้นรนผลักไส กลายเป็นแตกตื่นลนลานขวัญสยองไป บิดเอวส่ายตะโพกหนีลนลาน วิธีนี้กลับเป็นเหมือนแมวหยอกล้อหนูให้สั่นเทิ้มหนักเข้าไปอีก
บาบี๋สาวครางเสียงระทดท้อ อ่อนอกใจจะคิดหลบหนีอีกแล้ว โอบรัดรอบคอมันแน่น ปากแนบปากดูดอย่างรุนแรง จวบจนบัดนี้เพิ่งจูบตอบเป็นครั้งแรก เจ้าหนุ่มไม่ยอมใช้ลิ้นก็ใช้ลิ้นเสียเอง
ในเวลาเดียวกัน ก็เสนอเป้าสู่ปากกระบอกปืนให้อย่างไม่อาจทานทนต่อเปลวพิศวาสที่ลุกไหม้รุนแรงและทารุณต่อความรู้สึกอันทรมานอย่างบอกไม่ถูก เสร็จๆ เรื่อง ไปเสียจะได้รู้แล้วรู้รอดไป
ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก ถึงจุดหมายแล้วหมดกังวลใจเสียที ต่อไปนี้ ใครจะทำอย่างไรก็ช่างหัวมัน มือร่วงผลอยจากกอดรัด ตาหลับพริ้ม หัวใจรวยรินออกมาอย่างเคลิ้มสุข
ถูกสมครั้งแรก มีเสียงเล่าลือถึงรสชาติเจ็บปวด บาบี๋สาว กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ รู้แต่เพียงถูกอัดแยกแทบร้าว อึดอัดไม่สบายใจชั่ววูบก็พบความสุขสันต์พิสดารอย่างที่ไม่เคยพบ
ปรีชารู้สึกถึงความนุ่มแน่นของบาบี๋สาวในหล่มลึกร้อนระอุกำลังอยู่ในระดับสบายยิ่ง ชาติพันธุ์คือส่วนหนึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกับชนชาติอื่นที่เสพลิ้มชิมรสมา แรงโน้มถ่วงภายในนับว่าน่าตื่นใจยิ่ง
"พี่บาหยัน" ปรีชากระซิบ
"หือ? " บาบี๋สาวครางในลำคอ
"วันหลังจะมาอีกไหม ?"
"ไม่มาแล้วเข็ดจนตาย"
"งั้นเราอย่าทำลายกันและกันเลยนะ"
ปรีชาทำท่าถอนสายบัวผละจาก บาหยันรัดแน่นไม่ยอมให้ปลีกตัวไป กระซิบละล่ำละลัก
"อา..มาอีก..นี่แน่ะ"
บาหยันขม้ำไปบนไหล่เต็มคำ ปรีชาร้องโอดโอยเสียงหัวเราะ ระดมจูบหนักหน่วงรุนแรง
บาบี๋สาวสะท้านเยือกทั้งตัว ลูกหนี้หนุ่มเริ่มทรยศจริงจังเข้าแล้ว พละกำลังของคนรูปร่างประเปรียว น่าจะมีแต่ความว่องไว ไม่น่าจะมีกำลังมหาศาลขนาดนี้ ความว่องไว ที่คิดว่าจะมีกลับเชื่องช้าอึดอาดเบ็นเรือเกลือ แล่นทวนกระแสลมตื้อต้า พุ่งใส่แต่ละครั้ง เสมือนถูกท่อนซุงกระทุ้งใส่เต็มรัก
เจ้าหนี้สาวผู้ดำเหนี่ยงเป็นตอตะโก สูดปากสูดคอเหมือนกินพริกขี้หนูเข้าไปเต็มกำ ใบหน้าดำมันเหมือนดินหม้อร้อนผ่าว ดำแดงผสมกันกลายเป็นสีพิลึกดูไม่ออกเป็นสีใด
เบ็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกสมสวาท รู้นั้นรู้อยู่เขากระทำกันอย่างไร ผลเป็นอย่างไรรู้เพียงลางเลือน ความรู้ทั้งสองประการนี้ กล่าวแล้วก็คือไม่รู้
มาคราวนี้บาบี๋สาวผู้ยโสก็รู้ชัดแล้ว ผลจากการถูกกระทำก็พลอยรู้ในแบบครึ่งๆ กลางๆ เพราะยังไม่รู้รสชาติไคลแม้กซ์สุดท้าย ซึ่งต่อไปก็ต้องรู้อยู่ดี
จะเบ็นด้วยนิสัยแข็งกระด้าง ยอมหักไม่ยอมงอหรือจะผลรับจากกัดกินพริกขี้หนูเข้าไปแล้วสำแดงฤทธิ์ออกมายากจะรู้ บาบี๋สาวไม่ยอมให้ตัวเองเบ็นครกรับการกระทุ้งบดขยี้ของสาก
บาบี๋สาวก็เริ่มชกตอบโต้ในแบบมวยวัด ไม่มีศิลปลีลาใด ๆ ถูกชกมาก็ชกสวนตอบโต้ แรงมาเท่าไรก็หนักไปเท่านั้น เหมือนแพะชนกันไม่ผิด
ถอยห่าง ได้ระยะก็พุ่งหัว เข้าชนกันดังสนั่น หวั่นไหวตั้งหลักได้ก็ทะยานเข้าหากันใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างออกรสและสนุกสนาน หนักเข้าก็ชักอ่อนแรงป้อแป้หืดขึ้นคอครืดคราด
ไม่ยอมโถมปะทะรุนแรงอีกแล้ว กอดเกี่ยวรัดแน่นร้องเสียงอื้ออ้าสูดปากคร่ำครวญ ประกบเหนียวแน่นไม่ยอมเปิดช่องว่างให้แพะหนุ่มไล่ขวิดตะบึงใส่อีก
แพะหนุ่มพลันรู้สึก หลุดเข้าไปในวงจรดูดดึงเหนียวแน่น แรงโน้มถ่วงมหาศาลสมคำนิยามของเพื่อนร้าย เคยดิ้นหลุดมาบ่อย ๆ คราวนี้กลับดิ้นไม่หลุด จากมวยวัดมาเป็นแพะชนกัน จากแพะชนกัน กลายเป็นมวยปล้ำกอดรัดบดขยี้ต่อกันนัวเนีย เสียงหอบหายใจดังควายเหนื่อยทั้งคู่
สะใจและสาสมใจไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่างได้รับความรื่นเริงบันเทิงสุขเพียบพูนด้วยกันทั้งคู่
อาจจะเป็นกำกงกำเกวียน กรรมนั้นไม่ไปถูกกับผู้กระทำ กลับลามไปสู่พี่น้องให้รับเคราะห์แทน กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมก็จริง บางครั้งก็ยังพลาดเบ้าหมายไปอย่างน่าอนาถ
เจ้าหนี้ผู้โหดร้ายทารุณและอำมหิต ทวงหนี้อย่างไม่เห็นแก่หน้าใครท่ามกลางเสียงสาปแช่งของประดาลูกหนี้ทั้งหลาย คำสาปแช่งกลับศักดิ์สิทธิ์น่ากลัว บันดาลให้มาพบลูกหนี้ที่โหดเหี้ยมกว่า อำมหิตกว่าหลายเท่า ทั้งรีดทั้งไถแทบจะฉีกร่างเจ้าหนี้ กระจุยกระจาย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
น่าประหลาด ที่เจ้าหนี้กลับยินยอมพร้อมใจ ให้ร่างกายกระจุยกระจายอย่างสุขชื่น และเบาโว่งอย่างพิสดารทั้งไม่เข็ดกลัวอีกด้วย...!

จบบริบูรณ์

บาบูกู้ชู้ 2

  
บทที่ ๔
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ได้แท้กับครอบครัวของแขกบาเลย์
เฉพาะอย่างยิ่ง...บาหยัน
คนที่เกลียดชังจับใจก็คือบรรดาลูกหนี้ทั้งหลาย ซึ่งเบ็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด
ก็น่าเห็นใจหรอก คนให้กู้อยากได้ดอกเบี้ย คนกู้ก็ไม่อยากชำระทั้งต้นและดอก
เจ้าหนี้มันอยากหน้าเลือด อำมหิต ไม่เคยมีใจการุญต่อลูกหนี้คนใดเลย
ลูกหนี้ยามเลือดเข้าตา ดอกเบี้ยเท่าไรก็เอา ถึงคราวส่งดอกกลับยักท่าเล่นองค์ราวกับเป็นเจ้าหนี้ของคนให้กู้ขอหนี้สินคืนเหมือนขอทาน พวกอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง
ทัศนะของเจ้าหนี้กับลูกหนี้ เดินสวนกันอย่างนี้ทุกราย ผิดถูกก็ไปทะเลาะกันเอาเอง
การทวงหนี้ก็เป็นเรื่องกวนอารมณ์พอดู นี่มิใช่เข้าข้างเจ้าหนี้คนใดเลย
ลูกหนี้ที่อับจน ก็มักยอมให้เจ้าหนี้ก่นด่าจนเหนื่อยหอบ จิตเจตนาไม่คิดอยากโกงหนี้ แต่มันไม่มีจะให้จึงต้องทนยอมให้โขลกสับเหมือนคนหน้าด้าน ถ้าไม่เป็นหนี้แล้วจะยอมให้ขนาดนี้หรือ
เพราะเหตุนี้เอง จึงเพาะให้คนทวงหนี้เหิมเกริม ปากร้ายและดูถูกคนอย่างร้ายกาจ
บาหยันติดตามไปทวงหนี้กับป๊ะบ่อย ๆ นิสัยชั่วทรามก็ติดตัวให้คนเกลียดมากขึ้นทุกวัน
บาหยันไม่ใช่คนสวยงาม ซ้ำยังดำเป็นตอตะโก กลายเป็นปมด้อยให้คนขอดข้อนสนุกปาก นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่ประดาลูกหนี้ทั้งหลายคิดแก้แค้นได้
คนจะเลวร้ายไปหมดไม่มีส่วนดีเลย ไม่มีหรอก ดุจดั่งบาหยันปากร้ายรูปชั่วตัวดำ
ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีพวกหนุ่มวัยรุ่นตาเป็นมันจับกลุ่มคิดฉุดไปสะบึมส์หรือ
อย่าเพิ่งใจร้อน แล้วจะรู้เองดียังไง
คนจ้องกับคนเมินเป็นธรรมดาอยู่เอง คนไม่รู้ตัวย่อมพลาดท่าเสียที
หากรู้ตัวล่วงหน้ายังแต่ให้ฉุดไปสะบึมส์ มันก็สมใจทั้งผู้ฉุดและผู้ถูกฉุดแล้วมิใช่หรือ
บาหยันถูกฉุดไปลงแขกเมื่อใด บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายคงแสดงความยินดีสุดเหวี่ยงทีเดียว
น่าเสียดายที่มีผู้ไปขัดความสุขของผู้ฉุด ขัดความเบิกบานสำราญใจของบรรดาลูกหนี้ทั้งหลาย
ไอ้คนที่เสือกไปช่วยดันชื่อปรีชาซะนี่
เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ บาหยันถูกฉุดกลางวันแสก ๆ กลางทุ่งไม่มีคนเห็น
จำเพาะทุ่งนั้น ปรีชาประกาศขีดเบ็นอาณาจักรแห่งความปลอดภัยไว้แล้ว ดันไปพบจังหน้าด้วย
"ปรีชา....ปรีชา....ช่วยด๊วย...ช่วยด้วย..."
บาหยันกู่ก้องร้องหวีดโวยวายลั่น ปรีชากำลังจะเดินกลับบ้านได้ยินเสียง นึกฉุนพวกเดียวกัน ห้ามไม่ฟัง และโกรธตัวเองที่เสือกกลับเอาตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี
ให้เกลียดชังอย่างไรปรีชาก็ทนดูไม่ได้ พอแลเห็นไม้กระทู้เครื่องทุ่นแรงเหมาะมือ ก็โผนไปคว้ามายึดไว้หมายจะทำท่าขู่ให้พวกเดียวกันทิ้งเหยื่อด้วยความจำใจแท้ๆ
ระยะทางร้อยเมตรวิ่งอกตั้งไม่กี่อึดใจก็ถึง ทั้งที่จงใจให้ล่าช้าเปิดโอกาสให้หนี พวกฉุดถือว่ามีสามคนฮึดสู้ ปรีชาเดือดดาลนัก แผดเสียงร้องด่าล่วงหน้าไป
"ไอ้โคตร....กูบอกแล้วไม่เชื่อ เสือกมาฉุดให้กูเห็นตำตาทำไม ?"
ห่างไม่ถึง ๓๐ เมตร ต่างแลเห็นหน้ากันชัด ไม่ใช่พวกเดียวกับตน
กลายเป็นพวกศัตรูร้ายของตนไปฉิบ....!
นักเรียนตีกันถือเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
ปรีชาห้ามล้อกึกมองศัตรูของตนด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลน ถุยใส่ตรง ๆ
“ถุย…! จะตีก๊ะพวกมึงก็พลอยลากเอาชื่อกูพลอยเสียไปด้วย"
"พวกกูแกล้งทำหยามหน้ามึงหรอกเว้ย ไอ้สัตว์!"
"อ๋า....! อย่างนี้ก๊อเรี่ยมน่ะซิ ทูนหัวของเรียม ได้...ได้...มึงไม่เข้ากูเข้าก่อนก็ได้วะ"
ปรีชาลากกระทู้เข้าใส่แบบเสือลากหาง หมุนควงตีดะเข้ากลางกลุ่ม ถูกใครก็ชั่งหัวมัน ขอชิงลงมือก่อนได้เปรียบกว่า เก็บได้มากเท่าไรก็ยิ่งเจ็บตัวน้อยลงเท่านั้น ทั้งสามไม่มีอาวุธที่มีอานุภาพพอ ๆ กันจะปะทะ พากันกระโจนถอยกรูดไปตั้งหลัก วนเวียนหาโอกาสเพื่อรุมสะกรัมให้เต็มที่
เสียงหวีดร้องของบาหยันดังไม่เบา บังเอิญพวกเลี้ยงวัวลูกสมุนพี่ชายเดินผ่านมาสองคน .. บาหยันรีบจาระไนไขความไม่รอช้า คราวนี้ก็เป็นสามต่อสาม
คนมีชนักติดตัวมักจะคิดหนีมากกว่าสู้ ดังนั้นการหนีไม่เหลียวหลังก็เกิดขึ้น หนุ่มเลี้ยงวัวสองคนไล่กวดตาม ปรีชากลับยืนเฉยควงไม้ในมือหัวเราะชอบใจลั่นทุ่ง
บาหยันเดินเข้าไปหาร้องบอกเสียงสั่น ๆ
"ขอบใจมากปรีชา ไม่งั้นเรา....เราไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว"
"ไม่ต้องขอบใจ... ไม่ต้องขอบใจ ผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยไปอย่างนั้นเอง"
บาหยันเม้มปากอย่างขัดเคือง ถลึงตาใส่ดุร้าย ชั่วพริบตาก็คลายสีหน้าลงถามเสียงอ่อย ๆ
"ปรีชายังเคืองฉันไม่หายหรือ ?"
“เอ๊ะ...นี่เราโกรธกันตั้งต๊ะเมื่อไหร่ ?" ปรีชาแสร้งทำหน้าเลิ่กลั่กยียวนใส่อย่างขวางตา
"ไม่โกรธก็ไม่โกรธ พาเรากลับบ้านด้วยซี"
"มาได้ก็กลับไปเองซี ใครใช้ให้มาล่อตาไอ้พวกนั้นมันฉุดมาสะบึมส์ล่ะ"
"เค้าตั้งใจมาหาตัวที่บ้านต่างหาก"
"เราไม่พูดกันมานานแล้ว มาหาทำไม ?"
ทั้งสองเถียงกันเหมือนทารกเล่นกัน นี่ก็คือความเคยชินของคนทั้งสอง บาหยันว่า
"ไอ้พวกนั้นมันบอกกันว่า เราเป็นแฟนนาย ฉุดไปหยามน้ำหน้ามันถอะ"
"ปากหมา ! แฟนนายปรีชาไม่ดำเป็นดินปืนอย่างนี้หรอก อย่างน้อย...."
"เออ....เราก็อยากดูนักจะสวยซักแค่ไหน ดำๆ อย่างนี้ควงแฟนหล่อกว่าตัวเยอะแยะ"
บาหยันกระแทกเสียงใส่อย่างโกรธงอนไม่ต้องใจ ปรีชาหัวเราะไหล่กระเพื่อมไม่มีเสียง ท่าเหยียดหยามยียวนพิลึก เหวี่ยงไม้ในมือเป็นวงโค้งไปไกล หันหลังออกเดินกลับบ้านทันที
"ปรีชา ใจเธอดำยิ่งกว่าหมึก ฉันเกลียด เกลียด....ไม่ต้องการเห็นหน้าอีก"
บาหยันทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้โฮออกมา ด้วยฤทธิ์โมโหอัดแน่นอก ปรีชาเบรคกึกหันกลับมาดูด้วยสีหน้าตื่น ๆ เหลียวซ้ายและขวาวุ่นวายร้องห้ามว่า
"แหกปากร้องไปได้ ใครไม่รู้ก็ว่าเราปลุกปล้ำรับเคราะห์แทนไอ้พวกนั้นไป"
"จะร้อง....จะร้องให้ดังกว่านี้"
บาหยันแผดเสียงดังคับทุ่ง ปรีชาหันหลังกลับก็วีงถลาเข้ามาหากระหืดกระหอบว่า
“จะหนีเราไปไหน ?"
ปรีชาถูกกระชากจนเซถลา ตั้งหลักได้ก็มองหญิงสาวอย่างเคือง ๆ ครั้นเห็นบาหยันหัวเราะคิกทั้งน้ำตาก็ทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งว่า
"หัวเราะอะไร ไม่เห็นขำเลย"
บาหยันยกชายเสื้อเช็ดน้ำตาเปิดพุงให้เห็น ปรีชามองหน้าท้องตรงสะดือหญิงสาวอย่างฉงน
ขนสลวยดำลางเลือนเป็นทิวลามถึงลิ้นปี่ มองหน้าก็แลเห็นหนวดบนเรียวปาก มองแขนก็มีขนปกคลุมดำราวกับผู้ชาย มองหน้าแข้งก็มีขนดกเช่นผู้ชายอีก
ทั้งร่างคล้ายคลุมด้วยขน ละเอียดอ่อนจาง ๆ อยู่ชั้นหนึ่ง กระทบแสงแดดเป็นเงาระยับน่าพิศวง
ทั้งสองหาได้มีจิตใจเกลียดชังต่อกัน ลึกซึ้งจริงจังไม่  เป็นด้วยอารมณ์ของวัยรุ่นที่คิดจะเอาชนะแก่กัน ขิงก็ราข่าก็แรง กลายเป็นโกรธเคืองกันเหมือนเด็ก ๆ ใครง้อก่อนคนนั้นก็เป็นฝ่ายแพ้
ปรีชาช่วยเหลือบาหยัน หาใช่ความรักยุติธรรมไม่ ช่วยอย่างชนิดคนที่มีจังหวะ คอยทีท่าจะหาทางประชดแดกดันเยี่ยงผู้มีชัยชนะเหนือกว่า ครั้นบาหยันงอนง้อก็อดจะหยิ่งภาคภูมิใจไม่ได้
ร่มไม้ใหญ่ข้างทางเดิน กลายเป็นที่นั่งพักหลบลมร้อนของคนทั้งสองชั่วคราว บาหยันแย้มยิ้มให้เริงร่า อาการหยิ่งยโสไม่มีเหลืออยู่ เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังเสียงแจ๋ว
"แหม! ทีแรกใจหายโม้ด คิดว่าไม่รอดตัวแน่แล้ว พอเห็นปรีชาดีใจสุดขีด ถึงอย่างไรปรีชาก็ต้องช่วยเราแน่ พวกนั้นตั้งสามคน ยังไม่กล้าสู้ปรีชาคนเดียวเลย เพิ่งรู้ว่าเก่งจริงๆ"
ปรีชารู้สึกปลื้มเปรมเทบลอยจากพื้น เห็นเป็นต่อถือโอกาสทำปั้นปึ่งถามเสียงห้วน ๆ ไม่สนใจ
"จะไปหาเราทำไม เราไม่พูดกันมานานแล้ว ยังอยากจะพูดกับเราอีกหรือ?"
"วันนั้นพูดผิดหูคำเดียว ผูกใจเจ็บโกรธเอาจริงจังหรือ เป็นนักเลงเค้าต้องใจหนักแน่น..."
"ใครบอกเราเป็นนักเลง เราเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ยอมหนีคนต่างหาก" ปรีชาว่า
"เราโกรธกันเกือบปี เพราะเรื่องขี้หมาก้อนเดียว ไม่น่าเลยนะ" บาหยันโอนอ่อนให้
"ดีกันก็ได้ แต่จะให้เหมือนเก่าไม่เอา"
"เอ๊ะ! ทำไมล่ะ ?" บาหยันร้องถามดัง ๆ
"ไม่อยากให้ใครๆ ต่อใครเข้าใจผิดว่า เราเป็นแฟนกัน" ปรีชาบอกตามตรง
"อ๋อ ปรีชากลัวแฟนจะโกรธใช่มั้ยล่ะ ?"
"เรายังไม่มีแฟน แต่ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ล้อ"
"ปรีชาอายที่มีแฟนรูปร่างดำปี๋อย่างเราเหรอ ?" บาหยันถามเสียงเครือ
"เราไม่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจผิด ๆ ต่างหาก" ปรีชาแก้ตัวน้ำใส ๆ
บาหยันจ้องหน้าปรีชา คาดคั้นถามจริงจังว่า
"หากเราเป็นแฟนกันจริง ปรีชาอายเพื่อนมั้ย "
"เราไม่ได้รักกัน อายมันทำไม ?"
น้ำเสียงปรีชาบอกชัด ไม่ต้องการบาหยันเป็นแฟน มองกระจกแล้วตนเองยังน่าดูกว่าบาหยันมากนัก หากจะมีแฟนก็ไม่ต้องการคนรูปร่างดำเป็นถ่านอย่างนี้
บาหยันก็หยิ่งในตัวเอง ถึงจะไม่สวยก็ยังมีเงินใช้สอยมากกว่าสาวสวยมากมาย เบ็นลูกสาวเศรษฐีเงินกู้ที่ใคร ๆ พากันงอตัวให้มากมาย ปรีชาก็เคยเป็นลูกหนี้ตนบ่อย ๆ
ทิฐิคนทั้งสองเกี่ยงกันตรงนี้เอง เรื่องราวจึงวกวนเหมือนเด็กเล่นขายของกัน ไม่มีใครยอมลงให้แก่กัน ทิฐิคนทั้งสองแรงกล้ามากจะหาจุดลงเอยต่อกัน อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์
เท่าที่ต่างอ่อนข้อให้กันคนละครึ่ง คบหากันได้เหมือนเก่าก็นับว่ายุติข้อพิพาทได้แล้ว ทั้งสองคืนดีกันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่สนิทกันดีเหมือนเก่า คล้ายดังมีช่องว่างเกิดขึ้นขวางกั้น ไม่มีใครยอมลู่ช่องว่างนั้น ให้อีกฝ่ายหนึ่งเก็บเอามาว่าเสียดสีให้ในภายหลัง.

บทที่ ๕
บ้านชายทุ่งชั้นเดียว ค่อนข้างเก่ามากแต่ไม่ถึงกับคร่ำคร่า ไม่ได้ปลูกโดดเด่นแยกจากบ้านอื่น มีรั้วรอบขอบชิดล้อมที่ดินของตนเป็นสัดส่วน อยู่ริมสุดกว่าบ้านอื่นจึงรับลมทุ่งได้เต็มที่
บ้านและที่ดินเป็นสมบัติของสามีที่เหลือไว้ให้สาครอยู่กับลูกทั้งสามตลอดมา ลูกสาวคนโตเรียนต่อได้เพียงครึ่งปีก็ตัดสินใจลาออกแต่งงาน ไปทำหน้าที่แม่บ้านของผู้พิพากษาผัวหนุ่ม ซึ่งย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นต่อ น้ำใสจึงนำน้องชายคนเล็ก ไปอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาต่อแทนมารดา
ภาระหนักอึ้งหลุดจากอกเปลาะใหญ่ ปานยกภูเขาหลวงออกจากอกก็ว่าได้ เหลือปรีชาคนเดียวอยู่กับหล่อนตลอดมาเพียงคนเดียวทำให้สาครกลัดกลุ้มสุดขีดหนักกว่าภูเขาถล่มทับทรวงเสียด้วยซ้ำไป
ฝนกำลังตั้งเค้ามาทำท่าตกใหญ่ ลมทุ่งที่พัดโกรกไม่ขาดสาย เริ่มกรรโชกพัดกระแทกกระทั้นม่านหน้าต่างสะบัดเลียงดังพึ่บพั่บ อากาศค่อยสลัวลงทีละน้อย
สาครอยู่กับบ้าน สวมเสื้อหลวมกว้างนุ่งกางเกงแพรสีเขียวเข้ม นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นที่เช็ดถูทำความสะอาดจนขึ้นมัน อีกผู้หนึ่งเบ็นหนุ่มแล้ว นอนคว่ำหน้ากับตักนุ่ม มือโอบรัดรอบเอว คล้ายกับจะอ้อนเอาสิ่งใดสึ่งหนึ่ง ใบหน้าสาครยิ้มน้อย ๆ มือลูบไล้เส้นผมหยิกหยองประกายตาสุกใสบอกรักสนิทใจ
หนุ่มที่ซบเกลือกตักนุ่มก็คือบาลัมนันเอง....
อา....ท่าทีคนทั้งสองมีอาการพิกลเสียแล้ว ลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว
มองเผิน ๆ บาลัมอายุแก่กว่าลูกสาวคนโตเพียงปีเดียว พอจะเป็นลูกชายของหล่อนได้สบายมาก คนทั้งสองรักใคร่กันอีกแบบหนึ่ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นรักพิศวาสต่อกัน
มองให้ซึ้ง ๆ บาลัมหน้าตาคมคายหล่อเหลา เป็นหนุ่มที่แข็งแรง มีหญิงหลายคนไม่รังเกียจจะเป็นคู่พิศวาส
บาลัมเอง ก็ได้ชื่อเป็นผู้ช่ำชองในดงกามจนมีชื่ออื้อฉาว เก็บดอกเบี้ยพิศวาสกับลูกหนี้ที่เป็นหญิงอย่างพิสดาร ไม่เลือกหญิงนั้นจะมีสามีหรือไม่ ไม่รังเกียจอายุอานามอีกด้วย
สาครเล่า วัยสามลิบเศษ ๆ กำลังอยู่ในสภาพแข็งแรง รูปกายเต่งตึง ตกพุ่มม่ายมานานถึงหาปีกว่า ย่อมมีจิตใจว้าเหว่กระสันสวาท มาพบกับบาลัมซึ่งเป็นหนุ่มวัย ๒๐ ไม่รังเกียจวัยเยี่ยงนี้ มีหรือคนทั้งสองจะไม่ภิรมย์สวาทชื่นก่อกันลับ ๆ อาศัยความสนิทสนมกันบังหน้าให้คนไม่กล้าคิดเหลวไหล
ความจริงหาใช่เป็นดั่งนี้ไม่ สาครรู้เต็มอก บาลัมรักน้ำใส ให้ความช่วยเหลือในด้านการเงินทุ่มเทให้ไม่เสียดาย หล่อนไม่รังเกียจหนุ่มต่างเชื้อชาติศาสนาผู้นี้ หากน้ำใสรักด้วยก็ไม่ขัดขวางใด ๆ จนใจที่น้ำใสมีคนรักที่ดีกว่าและเหนือกว่ามาก หล่อนได้แต่เก็บความสงสารเห็นใจไว้ในอก
ทุ่มเงินช่วยเหลือให้มากมายแล้วยังผิดหวังรุนแรง หัวอกใครก็ต้องเจ็บช้ำขมขื่นและคิดแค้น บาลัมก็ไม่นอกเหนือไปกว่า เว้นแต่ไม่มีความแค้นเคืองใดๆ กับครอบครัวนี้
"ผมรักน้ำใส ทุ่มเททุกอย่างให้ไม่เสียกาย จุดประสงค์ต้องการให้หญิงที่ผมรัก มีความสุขสมตามที่ต้องการ น้ำใสพบความสุขสมและได้ดีเกินหน้าอย่างนี้ ผมก็ชื่นใจและดีใจที่เขามีวาสนาสูงมาก ผมไม่โกรธน้ำใสเพราะน้ำใสไม่ได้บอกรักผมแล้วมาทรยศที่หลัง ความผิดหวังเสียใจย่อมมีอยู่เป็นธรรมดาครับ"
บาลัมสารภาพกับหล่อนด้วยใบหน้าหมองคล้ำเศร้าสร้อย น้ำเสียงขมขื่นเจ็บปวดคับแค้นใจยิ่ง พยายามฝืนยิ้มปลอบหัวใจตนเอง หล่อนพลอยรู้สึกเวทนาเห็นใจรักสลายของเขายิ่ง ปลอบเอาใจว่า
"อาเห็นใจบาลัม อาให้โอกาสบาลัมมาเต็มที่แล้ว บาลัมไม่อาจเอาชนะใจน้ำใสได้ อารักลูกสาวเอ็นดูบาลัมก็อยากให้แต่งงานอยู่กินกัน แต่อาก็ถือสุภาษิต ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่"
"ผมไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าใคร เพียงแต่น้อยใจในวาสนาของผมไม่เทียมเท่า ผมรักน้ำใสไม่ใช่เวลาวันสองวัน รักมาหลายปี กระทั่งฝังรากหยั่งลึกในหัวใจ เมื่อรักโค่นลงแตกกระจาย ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่เกิดความเสียดายอาลัยรักสุดแสน อาคงไม่ว่าผมเบ็นคนอ่อนแอนะครับ"
สาครส่ายหน้ายิ้มให้อ่อนหวานว่า
"อารู้รสชาติความสูญเสียเผ็ดแสบเพียงใดมาแล้ว น้ำใสไม่ผิดกับตายจากบาลัมไปชั่วชีวิต อาก็ใจที่ลูกสาวได้ดีมีสุข ในทำนองเดียวกันก็เวทนาบาลัมที่ผิดหวังในชีวิต เสียดายการทุ่มเทของบาลัมให้มามากมาย อาจะไม่ยอมให้พลอยสูญสลายกลายเป็นอากาศธาตุ บาลัมจะต้องได้กลับคืนมาแน่นอน ขอเพียงให้เวลาอาอีกสักหน่อย จะค่อย ๆ ให้คืนจนหมดสิ้น"
บาลัมจับมือหล่อนบีบเบา ๆ กล่าวเสียงเครือ
"อาอย่าพูดอย่างนั้น ผมได้บอกอาแต่แรกแล้ว เป็นการช่วยเหลือที่ไม่หวังผลตอบแทน"
"บาลัมก็อย่าโกหกตัวเอง บาลัมหวังผลอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่เกิดผลตามที่ต้องการ บาลัมให้ความช่วยเหลือบริสุทธิ์ใจเพราะรักน้ำใส อาจึงยอมรับการช่วยเหลือเพราะคิดว่าการช่วยเหลือคนที่ตนรักเป็นเรื่องธรรมดา แต่ภายหลังบาลัมผิดหวังในการช่วยเหลือ อาไม่อาจทำไม่รู้ไม่ชี้"
"หากอาพูดอย่างนี้ก็เหมือนซ้ำเติมผมตรง ๆ อายอมรับการช่วยเหลือ คิดอย่างไรผมก็คิดอย่างนั้น ผมคืนคำก็เหมือนผมถ่มน้ำลายไปแล้วเลียกลับคืน"
"บาลัม ไม่ไช่เงินเล็กน้อยนะ ขอให้...."
"อาสาครจะทำให้ผมดูถูก อาเสแสร้งทำเป็นรักผม พรางผมด้วยการหลอกลวง ความรักนับถือที่ผมมีต่ออา เหมือนแม่ของผมคนหนึ่งพลอยเสื่อมค่าลงหมดสิ้น อาไม่ได้รักเอ็นดูผมเหมือนลูกคนหนึ่งหรือ?"
"น้ำใสแต่งงานเป็นสุขไปแล้ว"
"เลิกพูดถึงน้ำใสชั่วคราว แต่ก่อนบ้านเราอยู่ชิดติดกัน อาเคยกอดรัดจูบผมและรักเอ็นดูผมสนิทใจ เป็นเพื่อนเล่นของลูก ๆ อามาจนอาผู้ชายตาย จึงแยกไปอยู่ในเมือง ความสนิทสนมแต่ก่อนร่อนชะไรยังมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ผมเปลี่ยนรักของเด็กมาเป็นรักของหนุ่มสาวที่มีต่อน้ำใส อายินดีเปิดทางให้ไม่กีดขวาง แสดงถึงน้ำใจรักของอาที่มีต่อผมนั้นมากมายเพียงใด  ผมเป็นลูกเขยไม่ได้ก็ขอเป็นลูกชายอาอีกคนเหมือนก่อน ๆ อาจะใจร้ายถึงกับตัดรอนไมตรีอย่างเหี้ยมเกรียมหรือ ?"
บาลัมกล่าวไม่ผิด หล่อนรักเอ็นดูเขาเสมือนลูกคนหนึ่ง นิสัยของบาลัมทำให้เกิดเอ็นดูจากใจจริง สามีเคยเปิดใจให้ฟัง หากเด็กรักกันและบาลัมไม่เปลี่ยนนิสัยจากเดิม ก็ไม่ควรกีดกันเด็กเพราะเชื้อชาติศาสนา หล่อนเห็นพ้องด้วยทุกประการ
ความประพฤติของลูกคนอื่นกับลูกตน เป็นข้อเปรียบเทียบเด่นชัด ผู้เป็นสายโลหิตนำแต่เรื่องกลัดกลุ้มใจมาให้แทบไม่เว้นแต่ละวัน ลูกคนอื่นกลับประจ๋อประแจ๋อยู่ใกล้ชิดปลุกปลอบให้กำลังใจสาคร ในยามว้าเหว่และคับแค้น ค่อยเบนความรักในสายโลหิตมาให้กับลูกคนอื่นด้วยเหตุนี้
มือลูบไล้เส้นผมหยิกหยองบนหัวผลักไหล่ว่า
"ฝนทำท่าจะตกหนัก ไม่ไปดูแลฝูงวัวฝูงแพะบ้างหรือบาลัม ?"
"พวกคนงานจัดการเองครับ" บาลัมว่า
"หนีงานมาแอบนอนอย่างนี้ ป๊ะรู้เรื่องเข้าจะถูกดุ อย่าทำให้ป๊ะเสียใจซี"
บาลัมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ คางวางลงกลางแอ่ง ปากจมูกแนบติดท้อง คางที่ถูไถกับชายสามเหลี่ยมทองคำโดยไม่เจตนา สาครรู้สึกพิพักพิพ่วนชอบกล ผลักหัวบาลัมออกห่างพลางว่า
"บาลัมโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วยังชอบกลิ้งเกลือกเป็นทารกอีก ลุกขึ้นเถอะ"
บาลัมกลับหัวเราะหน้าทะเล้นล้อว่า
"นั่นแน่ อาหวงตัก คงมีเรื่องลับที่เป็นข่าวมงคลอยู่ในใจเป็นแน่"
สาครหัวเราะเบา ๆ มือบิดไปบนแผ่นหลังเขาแรง ๆ บาลัมสะดุ้งสุดตัวทะลึ่งพรวดขึ้นร้องลั่น
"โอย...โอย.
"หยิกเบา ๆ แค่นี้ทำมารยาปวด...."
ถ้อยคำหยุดชะงักกลางคัน สายตามองใบหน้าเหยเกเจ็บปวดตื่น ๆ ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ...หลังเป็นแผลหรือบาลัม ?"
บาลัมแนบแก้มกับตักนุ่มอีกครั้ง สาครเลิกชายเสื้อขึ้นแล้วร้องอุทานเสียงแตกตื่น
แผ่นหลังขึ้นเป็นลำดำปึ้ดคล้ายถูกฟาดมาอย่างแรง มือลูบไล้ไปบนแผลแผ่วเบาถามต่อ
"ไปตีกับใครมาบาลัม ?"
"ตีกับป๊ะครับ" บาลัมตอบพลางสูดปาก
"ไปทำอะไรมาถึงถูกหวดอย่างนี้ล่ะ ?"
บาลัมนิ่งไม่ตอบ สาครโยกไหล่บังคับ บาลัมซุกหน้ากับตักบอกเสียงแทบไม่ได้ยินว่า
"เรื่องวัวที่ผมทำหายตัวนั้นแหละครับ"
วัวตัวนั้น เรื่องมันนานมาเป็นปีแล้ว บาลัมแอบนำไปขายพร้อมกับแพะอ้วนอีกสองตัว นำเงินมาจุนเจือครอบครัวของหล่อน บาลัมรับรองแข็งขัน เรื่องนี้จะไม่มีวันล่วงรู้ถึงหูบาเลย์เด็ดขาด
สาครใจไม่ดีตลอดเวลา ครั้นเรื่องเงียบหายก็พลอยลืมเลือน บาเลย์รักเงินยิ่งกว่าพระเจ้าที่กราบไหว้บูชา บาลัมจึงถูกเจ็บมาอย่างหนัก ม่ายสาวใหญ่รู้สึกตื้นตันคอหอยแทบสะอื้นออกมา
"ลุกขึ้นเถอะ อาจะไปเอายาหม่องมาทาให้"
"ไม่ต้องหรอกครับ สองวันก็หายเอง"
ม่ายสาวใหญ่บิดหูแรง ๆ ดึงหัวจากตัก ลุกสู่ห้องนอนหยิบตลับยาทาแก้เคล็ดบวม บาลัมตามเข้ามาในห้อง กอดรัดเอวทางด้านหลัง หล่อนบังคับเสียงเข้ม
"ถอดเสื้อออกเร็วเข้า อย่าดื้อน่า"
บาลัมถอดเสื้อออกโยนไปทางหนึ่ง ดึงมือหล่อนให้นั่งบนขอบเตียง ตนเองคว่ำหน้ากับตักนุ่มโอบรัดรอบตะโพก ซุกปากจมูกแนบติดท้องสูดกลิ่นหอมตาหลับพริ้ม ปล่อยมือทายาบนหลังอย่างสุขใจ
"เล่ารายละเอียดให้ฟังบ้างซิ"
"ป๊ะรู้ก็หนวดสั่น คว้าตะพดหวดควายประเคนเข้าให้ ผมก้อวิ่งจากบ้านเปิดแน่บมา"
บาลัมเล่ารวบรัดพลางหัวเราะเสียงร่าเริง สาครรู้สึกปวดใจที่เขารับโทษเพราะหล่อนแท้ ๆ
ข้อเท็จจริงหาใช่เหตุนี้ไม่ บาลัมแอบทำรัฐประหารใต้ดินกับแขกบาเลย์ ยักยอกเบียดบังผลประโยชน์มหาศาล นำไปพร่าผลาญเล่นอย่างสนุกมือ อะไรก็ไม่เจ็บปวดหัวใจเท่า ตนออกเงินกู้กินดอก ลูกชายกลับยักยอกเงินไปชำระแทนลูกหนี้ แลกกับรสพิศวาสของลูกหนี้อย่างชุ่มโชก บาเลย์แค้นจนหนวดกระดิก คว้าตะพดได้ก็เผ่นเข้าตีกบาลเต็มเหนี่ยว บาลัมหันหลังเผ่นหนี หลังก็เลยรับเคราะห์แทน
บาลัมพลิกตัวนอนหงาย จับมือนุ่มมาจูบหนักๆ หลายครั้งติดกัน เคราบนแก้มโกนใหม่ ๆ เหมือนตุ่มหนามแหลม ถูไถไปบนหลังมือนุ่มและกลางใจมือ คันคะยุกคะยิกให้ความสุขอันพิสดาร
ตักนุ่มที่เป็นเนื้ออ่อน เคราหนามไม่อาจแทงทะลุกางเกงแพรก็จริง ยามถูไถเน้นคลึงไปมาทำให้กระเดี๋ยมซ่าน คางวางตรงร่องชายสามเหลี่ยมทำให้ใจวิบวับ ชายเสื้อหลวมกว้างสั้นเต่อแค่เอว ปากจมูกของบาลัมสูดไซ้เนื้อกลิ่นบนแผ่นท้องบริเวณสะดือ ซ้ำมีเคราหนามรากไถให้เกิดสุขพิสดารยิ่งขึ้น
"บาลัมนอนบนเตียงให้สบายก็ได้นะ"
สาครบอกพลางลุกขยับให้เขานอนสะดวก บาลัมกลับเหนี่ยวไหล่มนให้หงายร่างลง ม่ายสาวใหญ่ทานแรงไม่ไหวและไม่ทันรู้ตัว เสียหลักหงายร่างลงพร้อมกับเสียงร้องอุทานแหลม
ปากจมูกบาลัมฝังไปบนกลางสามเหลี่ยมพอดี !
มันเบ็นอุบัติเหตุมากกว่าจะจงใจให้เกิดขึ้น สะดุ้งแล้วใจหักหวำเสียวนืดจนสยิวเยือก
ปากบาลัมเม้มกลางร่องเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวก็เรียกเลือดในกายไหลพล่านรุนแรง.
บาลัมไม่มีเจตนาในการกระทำ เงยหน้าขึ้นก่อนที่ม่ายลูกติดสามจะทันขยับตัวด้วยซ้ำ ใบหน้ายิ้มระรื่นกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะขบขันว่า
"ถูกหวดอีกครั้ง ไม่ถึงกับช้ำงอมจนต้องนอนพักฟื้นหรอกครับอา"
สาครพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้เป็นปกติ ลุกขึ้นนั่งว่า
"อาเห็นเจ็บหนักก็อยากให้นอนพักผ่อน เมื่อไม่นอนก็ไม่ขัดใจ"
"ผมนอนหนุนตักอาสุขใจกว่า แต่อากลับไม่อยากให้ผมแตะต้องตัก"
บาลัมพ้อให้ และขยับจะลุกนั่ง หล่อนดึงเขาให้นอนลงดังเดิมยิ้มให้ว่า
"ไม่รังเกียจ แต่หนักจัง บาลัมไม่ใช่เด็กแล้วอย่าหนุนให้นานนัก"
บาลัมหลับตานำมือหล่อนมากุมกอดแนบอก นิ้วคลึงเล่นบนกลางใจมือเบา ๆ พึมพำว่า
"ผมอยากนอนหนุนตักแม่ แต่แม่มักจะไล่ตะเพิดเสมอ ไม่เคยยอมให้เลยครับ"
สาครสะเทือนใจยิ่งนัก ตนอยากให้ปรีชานอนหนุนตักประจ๋อประแจ๋แก้เหงา ปลุกปลอบหัวใจยามอ้างว้าง ปรีชากลับไม่เคยอยู่ใกล้ชิด นอกจากเวลากินกับนอนเท่านั้น
กลางใจมือถูกคลึงแผ่วไล้แล่นไปมา สาครรู้สึกซาบซ่านต่อรสพิสดารไม่คิดชักมือกลับพลางว่า
"บาลัมอยากหนุนตักแม่เมื่อไรมาหาอา จะให้หนุนแทน แต่อย่าให้นานนักอาหนักทนไม่ได้"
"อืมม์ ผมนึกออกแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่หนักเหมือนหนุนตักครับ"
บาลัมลุกขึ้นนั่งช้อนร่างหล่อนอุ้มขึ้นรวดเร็ว วางไปบนเตียงทางริมอีกด้านหนึ่ง จับตะโพกให้พลิกตะแคงเอียงกลับ ล้มตัวนอนขวางเตียงให้ท้ายทอยวางไปบนขาต่างหมอนหนุน ถามยิ้ม ๆ ว่า
"ไม่ทารุณเหมือนตะกี้ใช่ไหมครับ?"
หล่อนพยักหน้าไม่ตอบคำ ตาหรี่หลับลงเบา ๆ ทรวงอกสะท้านนิด ๆ ด้วยแรงหายใจ ปล่อยมือให้เขากุมจูบถูไถไปมา มืออีกข้างลูบไล้ไปบนเส้นผมหยิกหยอง
ต่างเงียบงันไปพักใหญ่
"อาจะไปเยี่ยมน้ำใสเมื่อไหร่ครับ?"
“พรุ่งนี้" สาครตอบเสียงแผ่วหวิว
"อาลาโรงเรียนกี่วัน ?"
"โรงเรียนปิดเทอมแล้วไม่ต้องลา"
"อาจะไปอยู่กี่วันฮะ ?"
"อยากอยู่ให้ครบวันปิด หนีความกลัดกลุ้มไม่สบายใจไปพักผ่อนให้เต็มที่สักครั้ง"
บาลัมลูบแขนนุ่มไปมาเบา ๆ เสมือนปลอบใจ สาครรู้สึกหน้าตักเบาหวิว แล้วอกนุ่มก็ถูกพิงแทน มือที่วางบนหัวจึงเปลี่ยนเป็นโอบรอบไหล่ ต่างนึ่งอึ้งคล้ายจะล่วงรู้ใจกันพักหนึ่ง
"ผมเห็นใจอา อาคิดถูกแล้ว ไปพักให้หายกลุ้มใจค่อยกลับมาผจญกับมันใหม่ก็ดีครับ"
หล่อนนิ่งไม่ตอบ หัวของบาลัมพิงกับหัวไหล่ นำแขนอวบมากอดรัดแนบอก หางตามองใบหน้าผุดผ่องตาหลับพริ้ม จมูกได้กลิ่นอ่อน ๆ จากลมหายใจ บาลัมพลิกตัวไปตามยาวของเตียง
หัววางติดกันแต่เยื้องต่ำกว่า ปากนุ่มวางติดกลางแก้มดงเคราหนาม มือโอบไปรอบตัวเบา ๆ มือข้างที่ลูบหัวหยิกหยอง เปลี่ยนมาเป็นไล้เล่นบนเคราหนามอย่างสุขใจ
"อาจากไปเสียนาน อาได้รับดวามสุขประโลมใจ ผมกลับสูญเสียค่าสูงส่งน่าใจหาย"
"คงไม่ถึงอาทิตย์ก็ต้องรีบกลับ"
"จะรีบกลับมาผจญกรรมทำไมครับ ?"
"มันใช่จะสุขกายสุขใจก็หาไม่ ไปทางโน้นหัวใจก็ผูกพันหวั่นเกรงทางนี้"
บาลัมนิ่งอึ้ง สาครถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ปล่อยมือพลิกตัวนอนหงาย บาลัมเคลื่อนกายตาม แก้มหนาด้วยเคราหนามวางอยู่ข้างซอกไหล่ ปากจมูกวางติดอยู่กับคางมน มือที่กอดรัดเปลี่ยนเป็นวางทับไปบนมือที่วางอยู่หน้าท้องกุมไล้เล่น รำพึงสะทกสะท้อนใจแผ่วเบา
"ความสมบูรณ์ของคนไม่ประจวบเหมาะกัน น่าแค้นนัก ผมน่าจะเกิดมาเบ็นลูกอา ปรีชาน่าจะกลับไปเกิดเป็นลูกป๊ะ"
"อาคงเป็นสุขที่สุดในโลก"
"ผมก็เช่นเดียวกันครับ"
วงแขนทั้งสองคนกลายเบ็นโอบรัดต่อกันแนบแน่น ม่ายสาวใหญ่เกิดความรู้สึกอบอุ่น ดั่งมีลูกรักกอดแนบอกระคนกับความรู้สึกซาบซ่านที่แซมขึ้น ขัดอารมณ์สุขนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ณ บัดนี้ บาลัมก็ได้เกลือกชบไปบนอกนุ่มใหญ่ เพียงสัมผัสก็รู้ได้ด้วยความเชี่ยวชาญ ผ่านความสมบุกสมบันมามากพอแรง กระนั้นก็ยังมีความนุ่มน่าพิสมัยอยู่
บาลัมซ่อนความกระหายไว้มิดเม้น ยังไม่คิดรีบร้อนจะเผด็จสวาทตามที่จ้องมานาน โอกาสเปิดช่องให้กระดืบมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จะลิ้มชิมรสสวาทก็ยามที่ม่ายลูกติดเคลิ้มต่อรสกระสันรัญจวนใจเต็มที่
ถึงยามนั้นแล้วย่อมได้รสโอชาสุดเหยียด...
อา....น่าสมเพชม่ายลูกติดสาม หลงพาซื่อต่อความบริสุทธิ์ใจของฉลามร้าย ถูกลอบเคล้าคลึงไม่รู้ตัว แม้บางครั้งรสกระสันรัญจวนจะลุกฮือวูบวาบขึ้น กลับเข้าใจเอาว่า มันเกิดจากบังเอิญมากกว่า
เพราะบาลัมไม่เร่งร้อน จะจับแต่ก็แสร้งปล่อย พลิกตัวลงนอนหงายเคียงกัน ตาหลับพริ้มอยู่อีกครู่หนึ่ง สมองครุ่นคิดหาวิธีการให้แนบเนียนต่อ ให้ลมสวาทเป่าเปลวปรารถนาร้อนแรงให้ลุกไหม้ขึ้นช้า ๆ จนกว่าลุกฮือโหมเต็มที่ดับไม่อยู่รู้ตัวก็สายเสียแล้ว นั่นแหละจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วนตามที่ตนต้องการ
สาครมิใช่จะสวยหยาดเยิ้มยั่วเย้ากามา งามสมวัยและมีเสน่ห์ของแม่ม่ายติดอยู่ตามธรรมชาติ อีกทั้งมิใช่เป็นคนร้อนแรงด้วยกามตัณหาราคะ ตรงข้าม กลับเย็นชาจนลือชื่อ บาลัมจึงไม่กล้าผลีผลามใส่เช่นเหยื่อรายอื่น ๆ หวั่นเกรงอิทธิพลลูกเขยหล่อน จะตลบแก้แค้นในภายหลัง
แผนจับแต่แสร้งปล่อยของบาลัมก็ได้ผล ม่ายร้างรสสวาทมาหลายปี รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อรสสุขซ่านซึ่งนาน ๆ จะมีสักครั้ง มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามธรรมดา ไร้คุณค่าสำหรับบุคคลอื่น ๆ
เงินบาทเดียวไม่มีความหมายกับคนรวย แต่มันมหาศาลสำหรับกระยาจกเข็ญใจนัก
ถึงอย่างไร กุลสตรีก็ยังมีความละอายบัดสึใจ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ผีสางเทวดาก็ต้องล่วงรู้ ผีสางเทวดาไม่สำคัญเท่าหัวใจตนเอง บัดสีละอายใจจะให้มันเกิดขึ้น
การหลับตาเป็นการดีอย่างหนึ่ง สามารถซ่อนเร้นพิรุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดบาลัมเชี่ยวชาญเอาการ ก็ยังแหยงกลัวจะเผยพิรุธให้เห็น กับทั้งหวั่นเกรงผลการกระทำไม่เกิดผลอีกด้วย
ความอดกลั้นของบาลัมทนอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ สาครไม่พลิกตัวกอดตามดังที่วางแผนไว้ จึงเปลี่ยนใจย้อนกลับไปกอดร่างอวบใหม่และได้รับการกอดตอบเหมือนเดิมก็ว้าวุ่นใจยิ่ง
ครั้งนี้บาลัมเพิ่งมีโอกาสฝังพงหนามที่คางลงบนซอกคออ่อนนิ่มเป็นครั้งแรก ม่ายสาครกระเดี๋ยมสยิวออกมาให้เห็น เกลื่อนเคราหนามบนแก้มกับบ่าอวบอย่างมีเจตนาแอบแฝง ม่ายสาครถอนหายใจเฮือกอย่างไม่อาจสะกดกลั้น หัวเราะคิกออกมาพลางผลักใบหน้าเขาออกห่าง รั้งคอให้ใบหน้ากอดซบกับอกนุ่ม เป็นการป้องกันเคราหนามทำร้ายทางอ้อม
บาลัมร้องโอดโอยในใจ อาวุธพิชิตทางอ้อมถูกสกัด เท่ากับหมดหวังสิ้นเชิง จะถอยผละไว้วันหน้าก็เสียดายจังหวะงดงาม มือกอดรัดร่างอวบซบไปบนอกนุ่มไซ้ไปมาว่า
"ผมไม่ได้สาปแช่ง เรื่องราวในโลกไม่แน่นอนตามที่เห็นเสมอไป มันอาจผันแปรผิดจากที่ตั้งใจไว้ หากน้ำใสแยกทางกับผัว อาจะต้องช่วยพูดกับน้ำใสให้ผมนะครับ"
"บาลัมไม่รังเกียจน้ำใสหรือ ?"
"ผมรักน้ำใส อื่น ๆ ไม่สนใจ ขอเพียงอารับปากคำเดียว ผมก็พอใจแล้วครับ"
สาครถอนใจอย่างเวทนาความรักของหนุ่มต่างเชื้อชาติ ซึ่งมีต่อลูกสาวตนงมงายบ่ายเบี่ยงว่า
"อาไม่อยากคิดไปในแง่ร้ายให้เสียวใจตัวเอง อาไม่อยากทำลายน้ำใจบาลัมด้วย"
"ผมไม่ควรวาดภาพเสียวสยองใจให้อาฟังเลย ยกโทษความเห็นแก่ตัวของผมสักครั้งนะฮะ"
มือนุ่มลูบไล้เส้นผมหยิกหยองบนหัวอย่างสมเพช จังหวะเปิดให้แล้ว ขืนชักช้าทำใจเย็นเช่นครั้งก่อน มีหวังส่อพิรุธชวดเสพรสพิศวาสไปชั่วกาลนาน
บาลัมค่อยขยับจนทับอก แขนสอดรัดร่างอวบแน่นแก้มแนบแก้มผ่องจูบเบา ๆ ที่ติ่งหูครั้งหนึ่งวงแขนอวบรัดกายเขาแน่นกว่าเดิม หนุ่มแขกแอบซ่อนยิ้มอย่างสมคะเน เขยิบอีกนิดริมฝีปากก็วางติดจอนผมริมใบหูเล็ก ปากดูดแผ่วเบาลอบใช้ลิ้นลูบตาม สาครพลิกคว่ำหลบ บาลัมจำต้องเงยหน้าขึ้น
การมองคราวนี้เป็นการมองอย่างใกล้ชิด จึงเห็นสายเลือดจาง ๆ อยู่บนผิวแก้มอิ่ม รั้งใจไม่อยู่อีกแล้ว บาบูหนุ่มจึงกดปากจมูกไปบนกลางแก้มผ่อง ถูนวดด้วยขนหนามตามเชิง
ม่ายสาครดิ้นกระเดียมเช่นเหยื่อสาวทั้งหลายหัวเราะคิกออกมาเบา ๆ ดึงเส้นผมบนหัวเขาออกจากการบดขยี้ บาลัมคลายอ้อมกอดออกมาแตะลงที่เอวเบา ๆ ลูบไล้เล่น
สาครจับมือดึงออกร้องห้าม แต่ไม่ห้ามการกอด ครั้งนี้ บาลัมสอดมือเข้าไปในเสื้อหลวมกว้างแล้ว ขนรุงรังตามท่อนแขนไล้ไปบนแผ่นหลังเนื้อเปล่าให้ซ่านสยิวเพิ่มขึ้น
ม่ายสาวใหญ่ไม่ทันเชิงบาบูหนุ่ม ดิ้นกระแด่วผลักพลิกผสมเสียงหัวเราะ ใบหน้าอิ่มเปล่งปลั่งถูกปากจมูกสูดซบกลิ่น ระคายพงหนามที่ทิ่มตำตามใบหน้าให้จั๊กจี้จั๊กเดียม
ไม่กี่อึดใจก็ชินต่อรสกระเดียมจั๊กจี้ เกิดรสชาติแทรกซ้อนขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง เบ็นรสกำซาบซ่านรัญจวน ลมหายใจเริ่มหอบขึ้นมาน้อย ๆ ใบหน้าค่อยทวีความแดงเข้มขึ้นทีละนิด
ขณะที่ดิ้นถูไถเท้าทั้งสองบิดไปมาด้วยแรงจั๊กจี้พลิกกลับไปกลับมาหาที่หลบเบือน ใบหน้าถูกพรมจูบหนักหน่วงเรียกความรัญจวนวิ่งกระเจิงซ่าน พลิกหลบไปหลบมาริมฝีปากแตะถูกกันไม่ตั้งใจ
อยากดิ้นหลบไปให้พ้น อีกใจหนึ่งก็อาลัยต่อรสชาติชาบซ่าน นานแล้วไม่เคยเกิดขึ้นเลยเกิดแล้วก็ไม่อยากให้มันสูญสลายไปรวดเร็ว บาบูหนุ่มก็ไม่ได้รุกล้ำก้ำเกินชวนให้เอะใจ
ยิ่งนานยิ่งมีมาก มีมากจนรู้สึกไม่ชอบมาพากล เป็นความรู้สึกของสัญชาตญาณ และมีประสบการณ์มาช่ำโชก ความแคลงใจก็เกิดขึ้นมาอย่างสะดุดใจเยี่ยงคนฉลาดมีไหวพริบ
น่าเสียดายที่ม่ายสาครรู้สึกตัวช้าเกินไป กว่าจะรู้เขาคือจิ้งจอกตัวร้ายแอบลอบกัด ร่างกายถูกลอบคลุกเคล้าจนแทบไม่หลงเหลือไปหมดแล้ว
ดิ้นพลิกหลบอ้าปากจะร้องห้ามให้ระงับการกระทำ ปากนุ่มก็ถูกประกบแน่น สะดุ้งเยือกสุดตัวใจคอหาย ร่างอวบถูกรัดแน่นประหนึ่งงูรัดเขียด ร่างหนักอึ้งกำยำของบาบูหนุ่มขึ้นมาทาบทับเบื้องบนไปแล้ว สามเหลี่ยมโอฬารปะทะกับเขี้ยวเล็บจิ้งจอก ม่ายสาวใหญ่ตกใจแทบลิ้นสติ
กำลังดิ้นรนนั้นไม่ต้องพูดถึง ลงถูกประกบแนบเยี่ยงนี้แล้วจะมีประโยชน์ใด ความชำนาญในการหลบหลีกให้พ้นภัย ถูกสกัดไว้ทุกด้านหมดสิ้น
ประหนึ่งลิ่มแข็งแกร่งชำแรกไปบนเนื้อไม้อ่อนนุ่ม ช้าๆ แต่หนักหน่วงมั่นคงยิ่ง ต่อให้มีพลังทัดเทียมกันหรือมากกว่าก็ดิ้นไม่หลุด เพราะลิ่มแกร่งผ่านเยื่อไม้อ่อนหมดสิ้นแล้ว !
ครั้นแล้ว คำร่ำลือที่ไม่เคยนึกเชื่อมาก่อน เป็นประกายวับขึ้นในสมองทันใด
บาบูหนุ่มมาเก็บเงินกู้ทั้งต้นและดอกจากหล่อนแล้ว ไม่ใช่ดอกเงินแต่เป็นดอกพิศวาส !
ม่ายลูกติดขบกรามแน่น เสียรู้เสียเชิงจนเสียตัว ไม่ปรารถนาให้ผู้ชนะเห็นความอ่อนแอและน้ำตาแห่งการสูญเสียเกินค่ากว่าทั้งต้นและดอกมากมายนัก!
ม่ายลูกติดสามลืมตาขึ้นมองหน้าเขาตรงๆ ไม่มีประกายแค้นเคือง ไม่มีประกายพิศวาสรัญจวนใจ มีแต่ความเยือกเย็นเช่นคนปลงตก บาลัมชะงักไม่กล้าดำเนินต่อ หล่อนถามเสียงปรกติ
"นี่คือการทวงทั้งต้นและดอกคืนใช่ไหม ?"
"เอ้อ.. .เอ้อ....ผมไม่เจตนา มัน..มัน..”
"ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ กล้าทำไม่กล้ารับ ขากลับเอาผ้าถุงฉันนุ่งกลับบ้านได้"
บาลัมคว่ำหน้ากับบ่าซ่อนความอดสูสุดขีด สาครกล่าวต่อเสียงปรกติเช่นเคยว่า
"เธอผูกอาฆาตแค้น เพราะลงทุนไปแล้วไม่ได้ลูกสาวฉันสมใจนึก ลงมือล้างแค้นกับผู้เป็นแม่อย่างนี้ คิดดีถูกต้องแล้วหรือ ? ลูกหนี้ทุกคนไม่กล้าพูด เธอก็ย่ามใจมาเก็บดอกพิศวาสจากฉัน เคยคิดถึงผลลัพธ์จากการกระทำ จะสนองตอบกลับไปบ้างไหม ?"
บาบูหนุ่ม ตัวสั่นเบา ๆ หล่อนกล่าวต่อ
"ไม่ต้องขอโทษ ไม่มีการอโหสิ ไม่ต้องยุติการกระทำทั้งมวล จงทำไปตามที่เธอนึกคิดต้องการ ขอบอกเป็นคำขาดให้สำนึกไว้ด้วย ฉันชำระหนี้สินให้หมดแล้วไม่บิดพลิ้ว แล้วอย่าสะเออะหน้ามาเหยียบบ้านฉันอีกต่อไป เร่งรีบเข้า หากปรีชากลับมาเห็น เธอจะลำบาก"
บาลัมนอนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปแล้ว ม่ายสาครจำต้องขยับร่างกายนำขึ้นก่อน
น่าเห็นใจบาบูหนุ่ม ตกอยู่ในท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัว เหยื่อเงินกู้ไม่เคยอย่างนี้สักราย
ทุกคนก็ต้องการอิสรภาพ ทุกคนก็รักชีวิตตัวเอง สภาพของบาบูหนุ่ม ถูกคุกคามในด้านอิสรภาพของร่างกาย ความปลอดภัยของชีวิตอย่างน่าสะพรึงกล้วยิ่ง
อิสรภาพทางร่างกายจากลูกเขย ชีวิตและทรัพย์สินจากน้ำมือลูกชาย เมื่อเพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับบาบูหนุ่มผู้เก็บดอกเงินกู้อย่างพิสดารผู้นี้
พริบตานั้น บาบูหนุ่มก็สำนึกได้ด้วยความเสียใจใหญ่หลวง ได้ไม่เท่าเสีย เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด ถึงจะล้างแค้นล้างอายได้ก็อยู่ต่อไปอย่างคนไม่มีความสุข
กับเหยื่อเงินกู้ทั้งหลาย บาลัมเก็บดอกเบี้ยพิศวาสด้วยอัตราที่เหมาะสมไม่เสียเปรียบนัก
ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปล่อยเลยตามเลย จะทำอย่างไร ? เป็นปัญหาหญ้าปากคอกแท้ ๆ !
บาบูหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ม่ายลูกหนี้นอนสงบเฉยตาหลับพริ้ม ไม่สลัดขัดขวางในการถอดเสื้อ รูดกางเกงทั้งสองตัวและเข็มขัดออกจากกายจนหมดเกลี้ยงตัว
ฟ้าตั้งเค้าดำทมึนกว่าเดิม ลมฝนกรรโชกกระแทกกระทั้นเข้ามา ม่านหน้าต่างสะบัดพึ่บพับด้วยแรงลมอากาศเย็นฉ่ำกว่าปรกติมากมาย คนทั้งสองบนเตียงกลับไม่สนใจสภาพดินฟ้าอากาศ
อกใหญ่นุ่มไปข้างเหลว คล้อยต่ำลงมาหย่อนยานไม่มีสภาพน่าดูเท่าที่ควร เนื้อกายแต่งตึง ใบหน้าสวยพอสมควร กลิ่นกายหอมชื่น ให้รสที่ซาบซ่านพอใช้
ม่ายลูกหนี้รู้สึกถึงความแกร่งกร้าว หนักหน่วงของบาบูหนุ่ม ดุจดังปักษาใหญ่โฉบลงครั้งแล้วครั้งเล่า ไล่ตะครุบลูกแกะกลางทุ่งจิกกินเป็นอาหาร ความหนุ่มและกำยำของร่างกาย อาศัยความชำนาญหลบหลีกการปะทะ ผ่อนหนักเป็นเบา เกิดอารมณ์ร่วม รุกรับขับเคี่ยวตีโต้อย่างสนุกสนาน
หลายปีแล้ว ยังไม่เคยลิ้มรสความสุขสันต์เช่นนี้ ปล่อยออกให้หมดอย่างสะใจไปเสียเลย
บาบูหนุ่มคึกคักกระปรี้กระเปร่า ลูกหนี้ไม่ใช่ท่อนไม้ปราศจากชีวิต การรุกรับตีโต้ย่อมทำให้เกิดรสชาติทับทวีคูณ สนุกสนานสำราญบันเทิงกามอย่างสุดขีด สำแดงความทรหดออกมาให้เห็น
ม่ายสาครถูกถล่มหมอบราบคาบแก้วไปสามพักสามครา เยี่ยงลูกหนี้สาวคนแรก
หล่อนกล่าวขึ้นอย่างแสบหัวใจต่อรสชาติเผ็ดร้อนสะหัวใจตนเองและเจ้าหนี้
"ฉันแก่แล้ว อายุจะสี่สิบซ้ำไม่สวยงามยั่วยวนใจ ได้เสพเคล้าความเป็นหนุ่มรุ่นลูกอย่างถึงอกถึงใจสุดขีด แถมยังได้เงินใช้อีกตั้งหมื่น นับเป็นราคาสูงกว่าสาวบริสุทธิ์หลายเท่า ถ้ายังติดใจ พรุ่งนี้มาใหม่ อย่าลืมนำเงินอีกหมื่นบาทติดมือมาชำระด้วยล่ะ"

บาบูกู้ชู้ 1

  
บทที่ ๓
"แชร์พี่รสเมื่อไหร่จะส่งดอกจ๊ะ?" บาหยันถามลูกแชร์
"รอสองสามวันก่อนได้ไหม หมุนไม่ทันเลย"
"พี่รสพูดอย่างนี้เรื่อย ฉันต้องออกเงินแชร์แทนพี่รสทุกครั้ง" บาหยันหน้าง้ำต่อว่า
"พี่ก็ให้ดอกบาหยันนี่นา" รสสุคนธ์เสียงอ่อย
“ฮึ...! ให้ดอก ดอกแต่ละทีกว่าจะได้แทบกระอักเลือดตาย ฉันไม่อยากได้หรอก"
"โธ่ ก้อเห็นอยู่แล้วมันขายไม่ดีจริงๆ ดูซิ ของซื้อไว้เหลือแบะแบน"
"ทุกคนล้วนแต่บ่นขายไม่ดีแต่เขาก็ให้ มีน้อยคนที่ขัดอย่างพี่รส ไม่ละ ฉันถอนตัวดีกว่า"
รสสุคนธ์ตกใจหน้าเสียลงทันใด หากถอนค้ำประกัน เครดิตก็ไม่มี ขณะนี้แชร์กำลังหมุนจี๋อยู่หลายวง หากไม่มีบาหยันค้ำประกัน ทุกคนก็ต้องบีบบังคับให้ถอนตัวออก ความหายนะก็วิ่งเข้ามาแทนที่ รีบยุดมือไว้ละล่ำละลักว่า
"เชื่อพี่สักครั้งเถอะน่า บาหยัน พี่จะไม่ให้เสียคำพูดที่ให้ไว้จริงๆ"
บาหยันกลับตอบเสียงเข้มท่าทางขึงขังมิใช่ขู่
"ฉันจะเชื่อหนนี้อีกครั้งเดียว ถ้าพี่รสผิดคำพูด ฉันจะไม่ค้ำประกันอีกต่อไปจริงๆ"
บาหยันกระแทกเท้าจากไปอย่างขุ่นเคือง ตนทำหน้าที่เก็บดอกเบี้ยแทนป๊ะ ไม่ค่อยได้ครบตามจำนวน ทำให้ป๊ะบ่นบ่อยๆ จึงคาดหน้าทุกคนในตลาดแล้วก็เดินสะบัดหน้ากลับบ้าน
แม่ค้าคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างเหลืออด
"อำมหิตหน้าเลือดฉิบหาย ถุย...!”
"เราไม่กู้มันก็ไม่รู้จะกู้ที่ไหน" อีกคนรำพัน
"อำมหิตหน้าเลือดทั้งโคตร ไม่มีน้ำใจเมตตาการุญต่อเพื่อนมนุษย์เลย" คนเก่าว่า
มีอีกมากมายสนับสนุนล้วนแต่หยาบคาย ทุกคนในตลาดแผงลอยล้วนเป็นลูกหนี้แขกบาเลย์มาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ เบ็นลูกหนี้เจ้าเก่าที่สัตย์ซื่อ นำดอกเบี้ยให้แขกบาเลย์กลายเป็นเศรษฐี
"สิบบาทไป สิบเอ็ดบาทมา ยี่สิบบาทไป ยี่สิบสองบาทต้องมาน่ะ"
วิธีการของแขกบาเลย์กลับหาได้ตรงคำนิยามไม่ ใครกู้สิบบาท ให้เพียงเก้าบาท ชักล่วงหน้าหนึ่งบาทตามธรรมเนียม เดือนต่อไปไม่ส่งต้นก็ต้องส่งดอกแทน
โลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเงินผ่อน แขกบาเลย์ก็คิดระบบเงินผ่อนตาม ให้กู้เงินก้อนใหญ่แล้วค่อย ๆ ผ่อนส่งตามรายเดือน บางอย่างก็ผ่อนส่งตามรายวัน ซึ่งทุกคนนิยมการผ่อนส่งตามยุคสมัย
เจ้าหนี้ชอบ ลูกหนี้ก็ชอบ ต่างคนต่างชอบ การผ่อนส่งจึงเจริญรุ่งเรือง
เจ้าหนี้ได้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ลูกหนี้ไม่ต้องผ่อนชำระครั้งเดียวหมด ทำให้การเงินทรุดฮวบ
จากรายเดือนก็ผ่อนส่งเป็นรายวัน เป็นที่สนุกสนานครึกครื้นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ดีนักแล
การเล่นแชร์ก็เหมือนกู้เงินใช้แล้วผ่อนส่ง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่อยู่ในความนิยมของทุกคน วงแชร์ตั้งขึ้นดังดอกเห็ด คล้ายจะผลัดกันเป็นหัวหน้า วนเวียนเบี้ยให้ดอกกันทุกวัน.
ใครหมุนไม่ทันก็ไปกู้จากแขกบาเลย์ นายทุนใหญ่ นับวันหนี้สินยิ่งพอกเป็นดินพอกหางหมู
ต่างซึมซาบแก่ใจทุกคน ชาตินี้ก็ใช้กันไม่หมด มีวิธีเดียวจะใช้หนี้หมดสิ้นก็คือ
ช่วยกันแช่งให้ตายหมดทั้งโคตร....!
มีหลายคนพยายามจะเป็นนายทุนเข้ามาแทนที่แขกบาเลย์ นายทุนหลายคนถูกโกงหน้าตาเฉย แต่กับแขกบาเลย์มักจะไม่มีใครกล้าโกง ใช่ว่าจะกลัวเกรงอิทธิพลก็หาไม่ สาเหตุใดกลับไม่มีใครรู้
รสสุคนธ์วัยเดียวกับบาหยัน กำพร้าพ่ออยู่กับแม่ และมีภาระเลี้ยงน้องเล็ก ๆ อีกสองคน ขายของอยู่ในตลาด มีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขัดสน เศรษฐกิจสะเทือนทั่วถึงกันหมด คนจะซื้อไม่ค่อยมี ประจวบกับมารดาต้องล้มเจ็บลงอีกคน ภาวะฝืดเคืองก็เข้ามากลุ้มรุมขนานหนัก เพราะหวังเงินก้อนจะมารักษาแม่ และผดุงความเป็นอยู่พอรอดตัว หวังรอให้เศรษฐกิจดีขึ้น จะค่อยๆ ใช้หนี้ไปจนหมด
นับวันยิ่งทรุดและถลำตัวหนัก รสสุคนธ์จำเป็นต้องกลายเป็นคนหน้าหนาผิดสัจจะเพราะไม่มีเงินให้ จำอดกล้ำกลืนต่อวาจาดูถูกเสียดสีนานา ยามยากไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครและไม่มีใครยอมให้พึ่งอีกด้วย
เพื่อนสาวร่วมชะตากรรมรุ่นพี่กระซิบอย่างเห็นใจ
"รส ไปขอความช่วยเหลือจากบาลัมซิ"
รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัวหน้าซีดเผือด มองหน้าเพื่อนสาวผู้แนะนำคล้ายไม่เชื่อหูตนเอง
ดูเผินๆ แล้วน่าหัวร่อ มันช่างเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกลิ้นดี  พ่อเป็นคนออกเงินให้กู้ ลูกสาวมาเบ็นผู้เก็บดอกขยิกทุกวัน ยื่นคำขาดมาแล้ว กลับคิดไปหวังความช่วยเหลือจากลูกชายเจ้าของเงินกู้อีก
ความหมายนี้ รสสคนธ์กลับเข้าใจลึกซึ้ง เพราะได้รับการติดต่อมาก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง
นั่นคือการพลีตัวเองขัดดอกชั่วคราว
ถึงรู้ก็ต้องแกล้งทำไม่รู้ ตนเป็นสาวจะต้องงำไว้มิดชิด ทำเป็นไม่เข้าใจความหมายว่า
"พ่อให้เงินกู้  ลูกชายน่ะหรือจะให้ยืมเงินมาใช้ให้พ่อ เบ็นไปไม่ได้ดอกพี่"
“ไม่ลองดูแล้วจะรู้หรือ เป็นได้หรือไม่"
รสสุคนธ์แกล้งทำเป็นนึกได้ หัวเราะว่า
"อ๋อ ลูกชายคิดจะรัฐประหารพ่อหรือ ?"
"เขาจะปฏิวัติรัฐประหารกันยังไงเราไม่เกี่ยว แต่พี่แน่ใจว่าต้องได้ก็แล้วกัน"
"พี่เคยไปขอความช่วยเหลือเขามาแล้วหรือ ?"
รสสุคนธ์ย้อนถามซื่อ ๆ เล่นเอาผู้ถูกย้อนหน้าแดงวูบร้อนผ่าวทั้งตัว กัดฟันฝืนยิ้มว่า
"พี่ไม่เคย แต่เคยได้ยินมา"
"ได้ยินมาจากใคร ?" หญิงสาวซักต่อ
"อย่าทำไก๋เลยน่า รสก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน"
หญิงสาววาบเข้าหัวใจ เย็นถึงไขสันหลัง แสร้งก้มทำงานหลบซ่อนพิรุธ ใจเต้นตึกว่า
"โธ่เอ๊ย ถ้ารู้ก๊อวิ่งไปหานานแล้วซี"
"เอาละ คราวนี้เป็นอันรู้แล้วจะไปหามั้ย ?"
หญิงสาวสะท้านสะเทือน ต่อวาจารุกกลับมายิ่งนัก ส่ายหน้าบอกเบา ๆ ว่า
"อย่าดีกว่า กลัวจะหนีเสือปะจระเข้เข้าจะยิ่งซ้ำร้ายหนัก"
"ถ้าเราเป็นรส จะลองไปดูสักครั้ง ฟังเงื่อนไขของเขาดูก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายนี่นา"
เพื่อนสาวหาช่องทางแนะให้ด้วยความหวังดี เพื่อนสาวผู้แนะนำก็รีบผละจากไปโดยเร็ว
เย็นนั้นเอง บาลัมก็ได้มาหารสสุคนธ์ที่บ้าน หญิงสาวตกใจจนหน้าเผือดขาว มันเป็นเรื่องที่เสียวสยองใจยิ่ง แสร้งทำไม่เห็น ก้มหน้าซักเสื้อผ้าด้วยมือสั่นเทิ้ม ! ใจสั่นระริก เหงื่อแตกเต็มตัว
บาลัมเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ ถามเสียงร่าเริงเยี่ยงคนคุ้นเคยสนิทกันว่า
"ป้าเริ่มค่อยยังชั่วหรือยังรส?"
หญิงสาวข่มอาการสะท้านตอบออม ๆ เสียงว่า
"อาการไม่ดีขึ้นเลย"
"ฉันไปเยี่ยมบ้างได้ไหม ?"
"เชิญจ้ะ" รสสุคนธ์ตอบแทบไม่ได้ยิน
บาลัมก้าวขึ้นเรือนไปตามลำพัง บาลัมเคยเป็นเพื่อนเล่นมาในสมัยเด็กและอยู่โรงเรียนเดียวกัน คุ้นเคยสนิทกันและพูดเล่นกันมาเรื่อยจนทุกวันนี้ แม่เจ็บมานานแล้ว เขาไม่เคยมาเยี่ยม พอรับการทาบทามจากเพื่อนของเขาแล้วไม่เคยวี่แววอีก เพิ่งพูดกับเพื่อนสาวมาตอนกลางวันหยก ๆ เย็นมาเยี่ยมไข้แม่แล้ว
เด็กอมมือก็รู้ว่าบาลัมมาทำไม !
ซักผ้าตากเสร็จแล้ว ยืนรีรอจะขึ้นเรือนดีหรือไม่ อับอายอดสูใจจะประจันหน้ากับเขายิ่งนัก ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าจะไม่บัดสีใจอย่างนี้เลย ห้กใจก้าวขึ้นเรือนด้วยมารยาทเจ้าของบ้าน
"ขอบใจบาลัมที่มาเยี่ยมแม่จ้ะ" หญิงสาวปฏิสันถารตามมารยาท
"อย่าขอบใจเลย ป้าเริ่มป่วยมาหลายวันแล้ว ถ้าฉันมีแก่ใจจริง ก็มาเยี่ยมนานแล้วเหมือนกัน บังเอิญผ่านมา ก็ถือโอกาสแวะเยี่ยมฐานรู้จักคุ้นเคยชอบพอกันเท่านั้น”
"ถึงกระนั้นก็ต้องขอบใจที่ยังมีแก่ใจ"
เขามีไหวพริบแก้ตัวได้กลมกลืน หญิงสาวฉลาดพอจะใช้มารยาทเข้ารับไม่ขัดเขิน คราวนี้บาลัมถามเสียงจริงจังบ้างว่า
"รสสุคนธ์น่าจะพาแม่ไปโรงพยาบาลนะ ขืนรักษาตามมีตามเกิดมีแต่ทรงกับทรุด"
หญิงสาวน้ำตาคลอตอบเสียงเครือสะท้าน
"ใครเล่าอยากจะเก็บดองไว้ บาลัมก็รู้สภาพแร้นแค้นของฉันแล้ว"
"น่าจะหยิบยืมใครก่อนค่อยหาใช้ทีหลัง"
รสสุคนธ์น้ำตาทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้น ร้องออกมาอย่างระทมใจสุดแสน
"ฉันอยากฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์นัก...."
บาลัมชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้รุนแรง นิ่งรอจนเสียงร้องไห้เหลือเพียงสะอื้นเบา ๆ จึงว่า
"รส เรามาพูดกันอย่างเป็นงานเป็นการ ตรงไปตรงมาไม่เยิ่นเย้อดีไหม ?"
รสสุคนธ์ใจหายวาบ เสียงสะอื้นสะดุดลงฉับพลัน ใจเต้นตึกมือกำแน่นอย่างลืมตัว
"ไม่เห็นก็ไม่อยากสน เห็นแล้วก็สังเวชใจนัก ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ รสจะต้องให้สัญญากับฉัน จะต้องนำเงินนี้ไปรักษาแม่ทันที ห้ามนำมาใช้ทางด้านอื่น เรื่องใช้ไว้พูดกันทีหลัง มีก็ให้ ไม่มีก็ยังไม่ต้องเร่งร้อน ไม่มีหนังสือสัญญาใด ๆ และขอให้ปกปิกเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดด้วย"
กล่าวจบไม่ยอมรอให้หญิงสาวตัดสินใจตกลงอย่างใด นำเงินห้าร้อยบาทวางไว้ตรงหน้านั้นเฉย ๆ ไม่ได้ส่งใส่มือให้หญิงสาว แล้วลุกเดินลงบันไดไปทันที
หญิงสาวนั่งตะลึงพรึงเพริด เหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน เบิ่งตามองเงินก้อนนั้นค้างแข็ง
มันไม่มากมายนัก แต่พอจะนำแม่ฝากฝังไว้ในโรงพยาบาลได้ พอจะรักษาแม่ให้หายขาด ดีกว่ารักษากันแบบตามบุญตามกรรม เงินจำนวนนี้คือชีวิตแม่ !
เรื่องอื่นไว้พูดกันทีหลัง ชีวิตแม่สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด รีบพาแม่ส่งโรงพยาบาลทันใด
น้ำใจและบุญคุณ ถือเบ็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่สุด เกิดมาในชีวิตก็เพิ่งพบในครั้งนี้เอง!

แม่หายกลับมาอยู่บ้านแล้ว หายเพราะเงินก้อนนี้แท้ ๆ ทีเดียว
ครั้งนี้ก็ถึงคราวจะต้องตอบแทนบุญคุณกันละ จะตอบแทนบุญคุณอย่างใดจึงจะสาสม
วันนี้วันพระ แม่ถือศีลแปดและนอนค้างวัด ตกเย็นบาลัมเดินหน้ายิ้มระรื่นมาหา รสสุคนธ์พลอยยิ้มรับอ่อนหวาน ลืมความหมองหม่นทุกข์ตรมและความอับอายบัดสีระทึกใจไปหมดแล้ว
"ป้าเริ่มถือศีลแปด ค้างที่วัดใช่ไหม ?"
“จ้ะ” หญิงสาวตอบยิ้มแย้ม
บาลัมยื่นซองจดหมายที่ผนึกแน่นส่งให้ รสสุคนธ์รับมาถือไว้ในมืออย่างงง ๆ บาลัมกระซิบ
"เงินสองพันบาทขอมอบให้รสไว้ใช้ คืนนี้อย่าชักบันไดขึ้นนะ"
กล่าวจบเขาเดินลิ่วผละจากไปรวดเร็ว รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัวตกใจวับ ซองเงินในมือหล่นสู่พื้น ยืนตัวชาสั่นระริก มองเงินที่พื้นด้วยสายตาที่บอกความรู้สึกไม่ถูก
"คืนนี้ ตนจะต้องใช้หนี้บุญคุณแล้ว...."
น้ำตาหยดแหมะ ๆ ลงสู่พื้น เข่าอ่อนล้าทรุดตัวลงนั่ง มึนงงเซ่อเหมือนถูกตีแสกหน้า
บาลัมเคยใช้เพื่อนมาติดต่อ ขอเชยภิรมย์สวาทชื่นด้วยเงินสดสามพันบาท หล่อนปฏิเสธทันที !
ครั้งนั้น หล่อนปฏิเสธด้วยความโกรธแค้นแน่นอก ซ้ำยังว่าฝากให้เสีย ๆ หาย ๆ
ครั้งนี้ กลับใช้เงินสดเพียงสองพันห้าร้อยบาท น้อยกว่าครั้งแรกห้าร้อยบาทด้วยซ้ำ
ครั้งนั้นหล่อนโกรธแค้นแสนสาหัส ครั้งนี้หล่อนกลับไม่ได้โกรธแค้นสักนิดเดียว
เพราะหัวใจของหล่อน ชาตื้อไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดเหลืออยู่เลย
เนื่องจากรสสุคนธ์กำลังจะเป็นลม ด้วยความรู้สึกนานาที่ประดังขึ้นมาพร้อมกันในบัดใจ
หญิงสาวสู่ภาวะคับขันที่สุดในชีวิตแล้วจะมีเทพบุตรหรือคนรักมาช่วยไว้ทันไหม ?
คนรัก....! อา....เขาเป็นหนุ่มชาวไร่ที่ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร ชาวไร่จน ๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกับหล่อน แม่ค้าแผงลอยในตลาดสดจน ๆ คนหนึ่ง

บาลัมเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นบันไดไม่ถูกดึงขึ้นก็ยิ้มกว้างออกมา รีบก้าวขึ้นบันไดสู่ชานและดึงบันไดขึ้นมาวางบนชานอย่างแผ่วเบา
บนเรือนมืดสนิท มืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด แลเห็นเพียงมุ้งกางอยู่กลางเรือนหลังหนึ่ง รีบดึงไฟฉายปากกาออกมา ฉายกดลงไปที่มุ้งกราดไปทั่ว ตามองสอดลอดเข้าไปก็ตะลึงพรึงเพริด
ไม่มีใครนอนอยู่ในมุ้งเลยสักคนเดียว
รู้สึกผิดท่ารีบดับไฟในมือลง เตรียมจะผละจากเรือนก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแว่วเสียงเรียกแผ่ว
"บาลัม....! อย่าเปิดไฟ..... "
บาลัมแลเห็นเงาตะคุ่ม รีบคลานเข้าไปหาทันที ไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกก็ได้ยินเสียงดังแผ่วมาอีก
"ฟังฉันพูดบาลัม ครั้งแรกบาลัมส่งเพื่อนมาติดต่อให้เงินฉันเท่าไหร่ ?"
"ฉันจะให้เพิ่มขึ้นเท่าที่บอกครั้งแรก"
"ก็ได้ แต่ฉันยอมขายให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ต้องพูดกันอีก"
"เอ้อ... ..ครั้งเดียว ..ได้.... ได้...."
"ห้ามบอกเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด ชำระเงินแล้วสาบานมา"
บาลัมชำระเงินแล้ว กล่าวคำสาบานสาหัสสากรรจ์ ทั้งพระผู้เป็นเจ้าของตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาว สาบานพลางหัวเราะเสียงครื้นเครงในใจไปพลาง
บาลัมตามรสสุคนธ์เข้าไปในมุ้งที่มืดตื๋อ มือสากหนาลูบไล้ไปบนร่างอวบอั๋นของหญิงถาว สัมผัสถูกผิวหนังเห่อพองขนลุกซู่ตัวสั่นระริกก็รู้ทัน กอดรัดร่างอวบแน่น แล้วเฟ้นจูบไปบนใบหน้าอิ่มจิ้มลิ้ม จูบนวดไปบนใบหน้าไม่รุนแรงเร่งร้อน รู้แต่หญิงสาวหลบเบี่ยงไม่ยอมให้ริมฝีปากแก่ตนก็ไม่รุกเร้า
ฝ่ามือแตะบนอกอวบสล้าง รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัว ปัดมือออกเต็มแรง และกุมป้องแน่นไม่ยินยอมให้ถูกต้อง ฝ่ามือสากโลมเคล้าไปบนตะโพกนุ่มควานไปบนขาอ่อนก็เสียวเปรี้ยวทั้งตัว บิดเบือนหลบและสลัดป้ดป้องไม่ยอมให้แตะต้องนูนเนินสามเหลี่ยมทองคำ กระอึกกระอักไม่ยอมให้คลายเข็มขัดออกจนแล้วจนรอด
บาลัมจึงใช้มือแหวกชายผ้านุ่งขึ้นมา ได้รับการต่อต้านพอเป็นพิธี หล่อนยอมให้สมในลักษณะมีเสื้อผ้าครบชุด กระนั้นก็ยังชักช้าไม่สู้ยินยอมให้รูดอันเดอร์แวร์ออกจากร่าง
บาลัมแยกเขี้ยวยิ้มในความมืด ตนอายุเยาว์มิใช่ไก่อ่อนเพิ่งงอกเดือย ไม่ใช่ไก่กระทงเพิ่งสอนขัน แท้จริงเป็นไก่ชนที่ชำนาญเวทีทุกสภาพมาแล้วจัดเจน
หญิงสาวไม่ต้องการให้เขาเอ่ยปากก็ไม่พูด ต้องการให้เขาสมสวาทชื่นแบบใดไม่ข้ดข้อง ลดเลี้ยวตามใจให้เข้ารอยทุกประการตามกลลวงให้ตายใจ
รสสุคนธ์ตัวสั่นพลิ้วสะท้านวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย บนสามเหลี่ยมนุ่มเต่งนูนถูกวัตถุนุ่มลื่นเกลี้ยงแข็งนุ่มถูไถ ขยุกขยิกคล้ายจะแหวกรอยระแหงธรรมชาติเลี้ยวลงให้ได้ก็ขยดตัวสั่นพลิ้ว
บาลัมได้ยินเสียงหอบระริกข้างหู มือจิกมาที่ไหล่ขยุ้มลืมตัว ใบหน้าพลิกกระสับกระส่ายไปมา  ในลำคอมีเสียงดังครึ่กครั่ก คล้ายสำลักน้ำลายด้วยความเหน็ดเหนื่อย แก้มร้อนผ่าวดังอังอยู่บนเตา จูบคลุกไปมาบนใบหน้าไม่นาน ก็ได้ดูดปากนุ่มหอมน้ำลายสาวอย่างชื่นฉ่ำใจ
รสสุดนธ์กระดกลิ้นหลบวูบวาบตาหลับปี๋ สองมือโอบรัดรอบคอเขาแน่น ลิ้นร้อนผ่าวไล้ลูบไปมาให้ดิ้นกระแด่ว อ้าปากร้องอื้ออ้า ไม่นานก็เผลอดูดอมลิ้นปล่อยให้ไต่เคลียไปภายในปาก
รู้สึกหายใจอึดอัดแน่น เมื่อถูกปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออก หายร้อนอบอ้าวยามหลุดจากกาย เนินเนื้ออวบล้นกรวยรับปากจมูกสูดเคล้า เคราที่โกนใหม่ ๆ ลากถูทำให้กระเดี๋ยมซ่านเสียวจนต้องจิกหัวรั้งขึ้น
ยกทรงถูกลอกออกจากกายอีกชิ้น ทรวงอกโอฬารทะลักสู่อุ้งมือสาก บิดตัวดิ้นเสลือกสลนไปมา ปัดมือออกจากทรวงอกให้มีโอกาสในการหายใจสะดวก
ที่สุดก็เหลือแต่ตัวล่อนจ้อนเช่นเดียวกับบาลัม เย็นยะเยียบที่สันหลัง หนาวกรูในอก ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวจับใจ สยะแสยงตะครั่นตะครอใจต่อเจ้าสิ่งนั้นที่กำลังก้มหัวลงดื่มน้ำในห้วยลึกช้า ๆ
ด่ำลงไปทีละนิด แยกดินร่องระแหงอ่อนนุ่มเปิดเป็นช่องกว้าง ร้องหวีดออกมาเต็มเสียงอย่างลืมตัว ปากถูกอมแน่นแต่มือยังมีอิสระ ฟาดทุบจิกตีชกไปที่ใบหน้าและตามร่างกายไม่เลือกที่ ครางครวญเสียงเครือระริกด้วยความเจ็บสะท้านป่านจะขาดใจตายดับดิ้นลงในฉับพลัน
ปางนั้น รสสุคนธ์คล้ายดังถูกขุนเขาพระสุเมรุกดทับหนักหน่วง กดแล้วบดขยี้เพื่อให้แหลกเป็นผุยผง ปาดควานแซะเซาะให้รวมตัวมั่นใหม่แล้วโขลกต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นเยี่ยงนี้ ลมออกหูอื้อสมองลั่นจนได้ยินเสียง ทั้งที่หลับตายังเห็นแสงระยิบระยับปลิวว่อนไปมาใจหวิวๆ ระริกรอน หัวใจสั่นแกว่งโยนไปมาจะหลุดจากขั้วมิหลุดแหล่ หญิงสาวกำลังจะเป็นลมในพริบตา
ลมกัมมัชวาตหรือลมหัวด้วนกำลังคุกคาม ขดเอ็นในกายรัดพันเข้าหากันยุ่งเหยิง ลอยลิบลิ่วแล้วหล่นจากฟ้าดิ่งลงพสุธา พริบตาร่างของตนคล้ายแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
อย่างแช่มช้าถูกรวมตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง บดและโขลกต่อในลักษณะเดิม จนน้ำพริกในครกเข้าลายมือเฉกเช่นครั้งแรก พอได้ที่ทีไรครกก็หกคว่ำให้น้ำพริกกระจายเกลื่อนพื้น เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา และในครั้งที่สามนั้นแล จึงพบกระแสน้ำร้อนจัดพุ่งกระฉูดใส่รุนแรงเหลือจะทนทาน.

บาบูกู้ชู้

 
 
 
บทที่ ๑
บาเลย์บอกลูกชายเสียงขุ่นมัว
"บาลัม เอ็งรีบหาเมียได้แล้วน่ะ"
“กินคนเดียว ป๊ะยังบ่นเช้าบ่นเย็นเป็นตาแก่หงำเหงือก หาเมียมาช่วยกินช่วยใช้อีกคนป๊ะหลับไปแล้วปากก็ต้องบ่น.....”
"กูไม่ให้มึงอยู่น่ะ" บาเลย์แผดเสียงขัดขึ้นกลางคัน "ไสหัวมึงไปทั้งผัวเมียน่ะ"
บาล้มกระดิกขาเอียงหน้ามองบิดา ทำตาหยีเป็นเชิงล้อเลียน หัวร่อว่า
"อ้าว ป๊ะให้ฉันหาเมียทำไมกัน ?"
"มึงมีเมียแล้วก็พาเมียแยกไปอยู่กันคนละบ้าน ทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเอาเองน่ะ"
บาลัมเกาคางทำท่าครุ่นคิดหนัก ๆ ทำหน้าขึงขังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
"เอ....หาเมียดี ๆ สักคนหายากนะป๊ะ จะให้ดีเหมือนแม่ปราบป๊ะซะอยู่หมัดน่ะหายากนา"
นางแฉล้มร้องด่าลูกชายเสียงหัวเราะ
"เออ....มึงหาให้ได้อย่างแม่มึงเถอะวะ"
"ไม่อยากเหมือนป๊ะ" บาลัมพูดหน้าตาเฉย
"รียำน่ะ" บาเลย์ร้องด่า "พ่ออย่างกู ตายแล้วเกิดใหม่ก็อย่าร้องไห้หาอีกน่ะ"
"เพราะป๊ะดี แม่ก็ยอด ฉันอยากอยู่ไปนานๆ คิดอยากมีเมียเมื่อไรจะบอกป๊ะเอง"
"กูให้วัวมึงครึ่งฝูง" บาเลย์ติดสินบน
บาล้มกลับส่ายหน้าไม่เห็นพ้อง แย้งขึงขัง
"วัวครึ่งฝูงน้อยไป ไม่อยากได้"
"แพะอีกครึ่งฝูง" บาเลย์แข็งใจขึ้นราคา
"ก็ยังน้อยไปอีก สมบัติป๊ะมีมากกว่าวัว ๑๐ ฝูง แพะ ๒๐ ฝูง..”
"กูให้อย่างละฝูง มึงต้องอย่ามากวนกูอีก"
"อีนี้จ๋านไม่ไปน่ะ จ๋านยังเด็กอยู่ รักป๊ะกับแม่ม้าก-มากน่ะ อยากอยู่กับป๊ะกับแม่ต่อไปน่ะ"
"ซ่นตีนน่ะ ไอ้ลูกรียำ!"
บาลัมเลียนสำเนียงพูดของบาเลย์ในสมัยอดีต บาเลย์ด่าสวนท่ามกลางเสียงหัวร่องอหายของแม่กับลูกสาว บาลัมยกขาพาดไปบนตักของบาหยันผู้เบ็นน้องสาว บาหยันเขกไปบนหน้าแข้งแรงๆ พี่ชายหดขาคืนกลับมือลูบคลำหน้าแข้งสูดปากเบา ๆ ทำเสียงล้อเลียนพ่อต่ออย่างสนุก
"อูย....บาหยันโตเป็นสาวแล้ว ป๊ะให้แต่งงานพ้นหูพ้นตาไปดีกว่าน่ะ ขืนอยู่ไปไม่ดีน่ะ"
บาหยันแปร๋นใส่พี่ชายเสียงดุร้ายไม่พอใจ
"คนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน อย่าเที่ยวป่ายลากคนอื่นไปยุ่งด้วย ตัวใครตัวมันย่ะ"
บาลัมแลบลิ้นทำคอหดพูดลิ้นแบๆ ยั่วต่อ
"ตัวใครตัวมัน เฮอะ... ..เด็กดีของป๊ะกับแม่ ได้....ได้ ... วัวกับแพะต่างคนต่างหากินไม่ทำร้ายกัน แพะตัวเล็กกว่าก็ต้องหลีกทางให้วัวครองทุ่งหญ้า”
บาลัมเห็นบาหยันทำตาเขียวรีบหักหางเสือหนี แต่ไม่วายเหน็บแนมเป็นนัยรู้กัน
บาเลย์หมดปัญญาเอาชนะลูกชาย หันไปมองตาเมียให้ทำหน้าที่แทนต่อ นางแฉล้มว่า
"บาลัม ป๊ะอยากให้มีเมียเป็นหลักเป็นฐาน ช่วยกันทำมาหากินตั้งตัวเบ็นผู้ใหญ่จริงๆ เสียที ไม่ใช่ต้องการจะไล่ออกจากบ้าน จะอยู่ที่ไหนก็ได้ไม่ว่า ขัดสนต้องการช่วยเหลือก็จะช่วย รักชอบใครไม่ใช่ให้ไปฉุดพาหนี บอกมาเถอะ  พ่อแม่จะจัดการสู่ขอให้ตามประเพณี"
บาลัมถูมือด้วยความยินดี หน้าระรื่นเปลี่ยนทีท่าไปฉับพลันทันตาเห็น
"ป๊ะกับแม่ต้องไปขอให้จริงๆ นะ"
"เออ รักใคร่ใครก็บอกมาเถอะ"
"ฉันเล็งไว้ ๓ คน คนใดคนหนึ่งก็ได้"
นางแฉล้มหัวเราะชอบใจเห็นฟันดำเต็มปากว่า
"แม่โวย....! ชอบใจทีเดียวพร้อมกันสามคนเลย ชอบลูกสาวใครมากก็บอกมาเลย"
"ชอบมากที่สุดก็ลูกสาวผู้ว่า ฯ ประณตจ้ะแม่"
สองผัวเมียสะดุ้งสุดตัว บาหยันหัวเราะคิกออกมาเบา ๆ บาลัมปั้นหน้าบอกเสียงขึงขัง
"แม่ต้องจัดการไปสู่ขอตามประเพณีนะ"
"คนที่รองลงมาล่ะ ลูกใคร?” แม่แข็งใจถาม
"ลูกสาวผู้กำกับวิชาญจ้ะแม่"
คราวนี้บาหยันปล่อยเสียงอหาย  บาลัมไม่ได้มองหน้ายู่ยี่พ่อแม่ รีบเสนอคนที่สามอย่างทันใจ
"คนสุดท้ายนี้ไม่ค่อยรักเท่าไรนัก แต่ได้ก็ดี เธอเป็นลูกสาวนายอำเภอเมืองจ้ะแม่"
บาเลย์คว้าที่เขี่ยบุหรี่ นางแฉล้มกำลังเหลียวจะควานหาวัตถุเหมาะมือ บาลัมรีบโถมเข้าไปกอดแม่กำบังพร้อมกับป้องกันไม่ให้แม่หยิบฉวยวัตถุเหมาะมือได้ถนัด
บาเลย์แผดเสียงก้อง
"ชาติหมา! ไปให้พ้นหน้ากูนะ"
บาลัมถือโอกาสโกยแน่บจากบ้านทันที ต่างพากันถอนหายใจดังเฮือก แม้แต่บาลัมก็ถอนหายใจดังเฮือกออกมาอีกเหมือนกัน เว้นแต่บาหยันคนเดียวหัวเราะหน้าทะเล้นไม่หยุดปาก
บาลัมเร่ไปหาเพื่อนรักที่ชอบพอกันกระซิบถาม
"เบ็นยังไง ได้เรื่องมั้ยวะ?"
เพื่อนแบมือยักไหล่ แสดงว่าไม่ได้เรื่อง บาลัมตะคอกเสียงฉุนเฉียวใส่หน้า
"แล้วเสือกแนะให้ขายขี้หน้า ข่าวรู้ถึงป๊ะ กูถูกถลกหนังหัวคราวนี้เอง"
"เฮ้ย....ไม่กล้าหรอกวะ" เพื่อนว่า
"ว่าได้เรอะวะ คนกำลังเลือดเข้าตา พอได้ถือโอกาสแบล็คเมล์ กูพังแหง"
เพื่อนกลืนน้ำลายเอื๊อก บาลัมว่าก็มีเหตุผล พลาดท่าเสียทีไปแล้วก็คิดหาทางแก้
บาลัมหัวหมุนงุ่นง่าน ผละจากเพื่อนออกสู่คอกปศุสัตว์ของตนกลางทุ่ง ลูกน้องพาฝูงวัวกับแพะออกหากินตามปรกติ ควบม้าสู่ทุ่งกว้าง เอนหลังพิงต้นไม้หลบพักบังแดดร้อนระอุอ้าว
คะนึงนึกถึงเรื่องเพื่อนไปทำพลาดมา ก็งุ่นง่านไม่เป็นสุข ใต้ร่มไม้ที่เคยนอนอย่างเกียจคร้านร้อนดังอยู่ในเตาอบ ควบม้ากลับสู่บ้านที่เคยเป็นร่มแหล่งพักใจ
เบีดประตูรั้วบ้านเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย แทนที่จะขึ้นเรือนกลับไปนั่งบนเปลเชือกที่ผูกไว้ใต้ถุนเรือนสูง ทอดตัวลงนอนพลางจุดบุหรี่ยัดเข้าปอดอย่างอัดอั้น
จักรยานสามล้อบรรทุกหญิงสาวผู้หนึ่ง พร้อมด้วยสิ่งของที่ซื้อหามาเต็มรถ มีเด็กวัย ๑๓ ขวบนั่งมา ช่วยกันหอบหิ้วรองลงจากรถสามล้อเข้ามาในบ้าน เด็กชายนั่งรถสามล้อกลับไป ปล่อยให้หญิงสาวสู่ใต้ถุนเรือนเพียงคนเดียว หล่อนมองหน้าคมสันที่กำลังเครียดขึ้ง ยิ้มเล็กน้อยว่า
"ถูกแตนที่ไหนต่อยมาล่ะ ?"
"อ้าว ผมเห็นบ้านปิดใส่กุญแจ ยังนึกว่าออกไปทำงานเสียอีก" บาลัมว่า
"วันนี้มาฆบูชา ช่างไม่รู้เสียเลย"
หล่อนเย้าเสียงหัวเราะ บาลัมแก้ว่า
"ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธนี่ครับ"
กล่าวจบก็ช่วยหิ้วของที่ซื้อมาจากตลาดขึ้นเรือน
หล่อนไขกุญแจให้เขานำหน้าเข้าไปก่อน วัยของคนทั้งสองห่างกันพอจะเป็นแม่ลูกกันได้ คนทั้งสองแสดงอาการคุ้นเคยสนิทสนมกันยิ่ง
สาครวัยสามสิบเศษ อ่อนวัยกว่านางแฉล้มสองปี มีบุตรชายหญิงรวม ๓ คน ส่วนนางแฉล้มมีบุตรชายหญิงสองคน หากนำคนทั้งสองไปยืนเทียบกัน เหมือนอายุห่างไกลกันเป็นรอบ
สาวใหญ่รื้อสิ่งของที่ซื้อมาพลางถาม
"คงถูกป๊ะเล่นงานมาอีกละซี"
ให้นับถือสนิทสนมกันมาอย่างไร บาลัมก็ไม่กล้าบอกความจริงให้ฟัง หัวเราะว่า
"ป๊ะด่าไม่จริงจังหรอกครับ ไอ้เด็กเลี้ยงแพะมันทำแพะหายไปตัวหนึ่ง เลยลมเสีย"
"ปิดบาเลย์ ไม่มีทางปิดอยู่หรอก"
"เพราะอย่างนั้นซิครับ อื่น ๆ พอว่า ถ้าสัตว์เลี้ยงหายละก้อ ฟ้าพิโรธดี ๆ นี่เอง"
สาครหัวเราะอย่างรู้ความหมายคำว่าอื่นๆ ของบาลัมหมายถึงสิ่งใด เสริมว่า
"เรื่องจำนี่ต้องยกให้บาเลย์เป็นเยี่ยม แพะกับวัวรวมกันกว่าสองร้อยตัว ตัวไหนออกลูกตัวไหนขายไปแล้ว รูปพรรณตำหนิอย่างไร จำแม่นยำจนกลัวใจ"
"เรื่องนี้ไม่ได้แกล้งชมป๊ะ หนึ่งไม่มีสองจริงๆ ครับ" บาลัมกล่าวอย่างภูมิใจแทน
"เธอควรจะหัดเอาไว้ให้เหมือนป๊ะซี"
"แก่ตายไปเกิดใหม่อีกชาติก็ทำไม่ได้"
"อ้าว แล้วทำไมถึงรู้ ตัวไหนมันหายไปล่ะ?"
สาครถามอย่างสนเท่ห์
"ง่ายนิดเดียว นับว่าอยู่ครบจำนวนของมันก็ใช้ได้ แยกเป็นตัวใหญ่ตัวเล็กก็พอจะรู้ ๆ ครับ"
สาวใหญ่หัวเราะเสียงขบขัน บาลัมรีบพาเรื่องออกทันทีตามจังหวะ
"วันนี้วันหยุด ไม่เห็นสามพี่น้องเลยฮะ"
"ขออนุญาตไปเที่ยวตั้งแต่เช้าแล้ว"
"ปรีชาเรียนอะไรต่อฮะ ?"
"ช่างกล" หล่อนตอบสั้น ๆ
"น้ำใส จบปีนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ?"
"ขอต่ออีกสองปี"
สาครบอกแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
หน้าแม้จะยิ้มแย้ม ความกังวลใจกลับอยู่ที่ดวงตาบาลัมพอจะจับความกังวลใจของหล่อนได้ บีบมือนุ่มพลางยิ้มให้ว่า
"ให้ผมช่วยเหลืออาเถอะ อย่าเกรงใจผมเลยฮะ ผมตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ"
สาครบีบมือตอบพลางส่งยิ้มให้อ่อนโยนว่า
"ขอบใจบาลัมมากที่มีน้ำใจ ไว้ให้อับจนหนทางจริง ๆ จะไปหาบาเลย์ที่บ้าน...”
บาลัมรีบค้านขัดขึ้นกลางคันเสียงแข็งทันใด
"อย่า.... ..อย่าไปหาป๊ะเป็นอันขาด เรื่องเงินไม่ว่าหน้าไหน ป๊ะไม่เคยเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นอัตราปรกติเช่นทุกคน ไม่เลือกหน้าเป็นญาติหรือมิตร"
"อาเต็มใจให้อยู่แล้วถึงได้ไปหา"
"ผมออกปากช่วยเหลือทั้งที อากลับไม่ยอมรับ คล้ายเห็นผมเป็นคนอื่นไปแล้ว"
เขาพ้อเสียงน้อยใจ หล่อนยิ้มปลอบว่า
"เงินของบาลัมก็เงินของบาเลย์...."
"คนละส่วนกันเด็ดขาด" บาลัมค้าน "ผมกับป๊ะมีเงินกันคนละถุงนะครับ"
"แต่อาก็รู้ บาลัมมีรายได้พอประมาณเท่านั้น"
เขากลับดึงดันอย่างไม่ยอมแพ้ต่อความจริงว่า
"อาต้องการเมื่อไรบอกผม ผมมีให้อาก็แล้วกัน อาไม่รับแต่ไปขอกู้จากใคร ผมรู้ทีหลังก็ไม่ต้องนับถือกันครับ"
สาครถอนหายใจออกมาเบา ๆ ว่า
"ถ้าบาลัมไม่คิดดอกเหมือนคนอื่นก็ไม่ต้องมานับถืออาเหมือนกัน"

บทที่ ๒
"ปรีชา ทำไมไม่คิดเรียนต่อในมหาวิทยาลัยฯ” บาหยันถามเด็กหนุ่ม
"ใจรักช่างกล" ปรีชาตอบสั้น ๆ
"น่าจะเรียนวิศวะก็ไม่เอา เรียนช่างกลเราไม่นึกชอบสักนิดเลย"
"มันไม่ดีตรงไหน ?" ปรีชาย้อนถาม
"นิสัยปรีชาผิดกับก่อนนี้มาก" บาหยันบ่นอย่างไม่พอใจนิด ๆ "รักทางนักเลง...”
"คนสู้คนก็หาว่าเป็นนักเลง เรามีเลือดนักสู้ที่ไม่ต้องการให้ใครเหยียดหยาม"
"อุดมคติของนายเป็นอย่างนั้นหรือ ?"
"แบบเดียวกับลุงบาเลย์นับถือเงินเป็นพระเจ้า....”
"อย่ามาว่าป๊ะเรานะ!" บาหยันกระชากเสียงใส่ ไม่พอใจ "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับป๊ะ....”
"พูดความจริงโกรธ ก็ไม่ต้องพูดกัน"
ปรีชาตอบห้วน ๆ ไม่ไยดี บาหยันหน้างอเป็นตะหวักยืนขึ้นเท้าสะเอวแปร๋นใส่
"ไม่พูดก็ได้ อย่างก๊ะเค้าง้อตัวนักนี่"
"ตัวเองก็นับถือเงินเบ็นพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ดีกว่าเรานักหรอก" ปรีชาย้ำซ้ำ
"ดีละ ! ขอให้จองหองไปเหอะ อย่ามาขอกู้ยืมเงินเราอีกก็แล้วกัน"
"ยืมแล้วไม่เคยโกง ดอกเบี้ยไม่เคยเบี้ยว ไม่ให้ยืมก็ไปยืมคนอื่นได้ ไม่หน้าเลือดเหมือนตัว เฮอะ... ถูกรุมฉุดเมื่อไรจะสำนึกคุณนักเรียนอาชีวะ"
"ถึงถูกฉุดก็ไม่เรียกให้มาช่วย คนเก่ง....! ขอให้ยกพวกตีกันเมื่อไรตายคามีดคาไม้ทันตาเห็น เจ้าประคู้น! จะบนแพะเป็น ๆ บูชายันต์หนึ่งตัว"
"เจ้าประคู้น... ขอให้ถูกฉุดไปโทรมอย่างว่าจริง ๆ เถอะ จะบนหัวหมูหนึ่งหัว"
บาหยันด่าคำหยาบคายออกมาคำหนึ่ง กระทืบเท้าหันหลังวิ่งไปทันที ปรีชากลับหัวเราะเย้ยหยันตามหลังไม่หวั่นหวาด มิตรภาพของหนุ่มวัย ๑๖ กับสาววัย ๑๗ พังครืนลงอย่างไม่มีเค้าพายุให้เห็น
ตรงข้ามกับหนุ่มบาลัมวัย ๑๙ กับสาวน้ำใสวัย ๑๘ ราบรื่นระมุนละไมไม่มีระลอกเลย
"น้ำใสจะเรียนต่ออีกหรือ ?" บาลัมถาม
"อีกสองปีเท่านั้น เรียนจบรับเงินเดือนสูงตามอัตรา ดีกว่าค่อย ๆ ไต่ทีละปี"
"ปก.ศ. สูง เกลื่อนกลาดมากินอัตราต่ำ....”
"ไม่ช้าก็ปรับให้ตามวุฒิ" หญิงสาวบอก
"อีก ๒ ปี.....อีก ๒ ปี.. " บาลัมพึมพำ
หญิงสาวชม้ายมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ บาลัมฝืนยิ้มเลียริมฝีปากคล้ายจะพูดลำบากว่า
"เอ้อ....เราหมายถึง....หมายถึง...."
หมายถึงอะไร บาลัมติดกะกุกตะกัก น้ำใสกลับหัวเราะเสียงสดใสว่า
"กลัวเราหัวสูงเพราะเรียนสูงใช่ไหมล่ะ ? ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม"
บาล้มถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ผืนยิ้มว่า
"ถูกแล้ว ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันและช่วยเหลือกันตามลักษณะมิตรแท้"
"เราดีใจจริงๆ ที่มีเพื่อนอย่างบาลัม เราจะรักกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมาดีไหม ?"
"แต่เราต่างเชื้อชาติ ศาสนาและ...."
"สิ่งเหล่านี้หาใช่เป็นอุปสรรคไม่ สำคัญอยู่ที่น้ำใสใจจริงของการคบหาต่างหาก"
บาลัมกลืนน้ำลายอย่างแร้นแค้น น้ำใสคงเป็นน้ำใสที่มีหัวใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง สมัยเด็กอย่างไรเป็นสาวก็อย่างนั้น ส่วนเขาซิ หัวใจกลับเปลี่ยนแปรกลับกลายไปเสียแล้ว !
นี่ก็ไม่อาจตำหนิ วัยเด็กที่เคยเล่นหัวรักใคร่กลมเกลียวกันมาตลอด ครั้นร่างกายเติบโตสู่วัยหนุ่มสาว รักฉันท์เพื่อนสมัยเด็กค่อย ๆ แปรรูป กลับกลายเป็นรักของหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวอย่างซาบซึ้งตรึงใจ
หัวใจหญิงสาวกลับบริสุทธิ์ซื่อ กระจ่างแจ่มใสเหมือนน้ำใสสะอาดสมชื่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเยี่ยงอย่างนี้แล้ว บาลัมหรือจะกล้าเอ่ยปาก ได้แต่เก็บรักไว้ในหัวใจเงียบกริบ
เชื้อชาติศาสนาถึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องใหญ่เอาการทีเดียว
บาเลย์เป็นแขกเฝ้ายาม อาศัยเงินเดือนที่เก็บออมซื้อหาแพะมาคู่หนึ่งเลี้ยงดูยามว่าง ให้มันเที่ยวหากินไปตามธรรมชาติ มันตกลูกขยายพันธ์ุเรื่อย ๆ ขายเบ็นเงินมาบ้าง นำเงินนั้นไปให้คนกู้ยืมกินดอกเบี้ย นำเงินดอกเบี้ยซื้อวัวเล็ก ๆ คู่หนึ่ง เลี้ยงเล่น ๆ เช่นเดียวกับแพะ ปล่อยให้มันเกิดลูกเป็นผลิตผลตามธรรมชาติ จำเนียรกาลผ่านไป รายได้จากการขายทั้งเนื้อและน้ำนมจากแพะและวัว รวมทั้งดอกเบี้ยจากเงินที่หว่านโปรยไปทั่วในละแวกบ้านนั้น ขยายไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นนายทุนใหญ่คนหนึ่ง
นางแฉล้มลูกสาวคนจีนแม่ไทย ทาสเงินกู้ของบาเลย์ ไม่มีปัญญาส่งทั้งต้นและดอกเบี้ยทบต้น ตัดใจยกลูกสาวให้มาเป็นลูกจ้างช่วยเลี้ยงสัตว์ วัยของคนทั้งสองห่างไกลกันพอจะเป็นพ่อลูกได้ ๔๐ กับ ๑๙
ความใกล้ชิดที่อยู่ร่วมกันมาถึง ๕ ปี บาเลย์ยังไม่มีลูกเมีย ค่อย ๆ เลี้ยงต้อยจนเด็กสาวเติบใหญ่ บาเลย์ก็จัดการอย่างละเมียดละมุนอย่างฉลาด หญิงสาวจำต้องกลายเป็นเมียแขกแบบเลยตามเลย
ให้กำเนิดลูกชายหญิงแก่บาเลย์ บาลัมเบ็นลูกคนโต หน้าตาหล่อเหลาคมสัน ผิวคล้ำและมีหนวดขนไม่มากผิดปรกติ ผิดกับบาหยัน ผิวดำสนิทผิดกับบาเลย์ ขนดกงามตามเชื้อสาย จมูกโด่งตากลมโตดำขลับ หน้าตาไม่สวยงาม เพียงพอดูได้เท่านั้น ปากร้ายพอ ๆ กับผิวที่ดำราวกับหมึก
บาเลย์พอมีเมียก็ลาออกจากอยู่ยาม นิสัยกลับกลายตามเมียไปหมดสิ้น สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ นับถือเงินเป็นพระเจ้า เป็นเจ้าหนี้ที่อำมหิตเหี้ยมเกรียมที่สุดของลูกหนี้ นิสัยนี้ถ่ายทอดให้กับลูกสาวหมดสิ้น บาเลย์กลัวเมียจนคนรู้กันทั่ว ลูกทั้งสองจึงถูกเลี้ยงอย่างคนไทยทั่วไป รวมทั้งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมในด้านการแต่งกาย บาลัมจึงเป็นลูกแขกที่ไม่ต้องไว้หางเปียตามบาเลย์
ทั้งสูกชายลูกสาว เรียนจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับก็ไม่ได้เรียนต่อ บาลัมทำหน้าที่เลี้ยงสัตว์แทนบาเลย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บาเลย์เพียงเป็นผู้คอยควบคุมดูแลรอบนอก จัดการหาซื้อและขาย มีเงินเดือนให้บาลัมพอกินพอใช้ บาลัมไม่พอใช้ก็หันมาไถรีดกับแม่เสมอ ๆ
เพราะเหตุนี้เอง บาเลย์จึงเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ใคร่ให้ลูกชายมีเมียแยกไปให้พ้นหูพ้นตาไปเสีย สองผัวเมียกับลูกสาวต่างก็รู้แก่ใจ บาลัมหลงรักน้ำใสมานานแล้ว
สองครอบครัวนี้เคยอยู่ชิดติดกันมาแต่ก่อน เด็กทั้งห้าเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนและวิ่งเล่นด้วยกัน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รักใคร่ชอบพอเรียกหากันตามศักดิ์ของอายุ
พ่อของน้ำใสเป็นเสมียนอำเภอ สาครเบ็นครูประชาบาลปราศจากวุฒิทางครู เงินเดือนค่อยไต่ขั้นตามระยะเวลา สอบได้ชั้นตรีหลังสามีวายชนม์ได้สองปี พอได้ชั้นตรีไม่นาน ครอบครัวบาเลย์ก็ย้ายจากทุ่งเข้าไปอยู่ในชุมชนหนาแน่น ตามประสาคนมีเงินแล้วกลัวตาย
สาครตกพุ่มม่ายมาห้าปี ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความแร้นแค้น ภาระที่เลี้ยงดูลูกทั้งสามที่กำลังกินกำลังนอนค่อนข้างจะฝืดเคืองแร้นแค้น มีหนี้สินอยู่ไม่น้อย หล่อนไม่คิดจะมีคู่อีก เพราะกลัวลูกทั้งสามจะไม่ได้รับความสุขเท่าที่ควร  หล่อนรักเอ็นดูบาลัมกับบาหยันเช่นลูก ๆ ของตนไม่เคยเดียดฉันท์ต่อเชื้อชาติ
หากน้ำใสจะรักบาลัม หล่อนเห็นชอบด้วย น้ำใสกลับบอกแม่ตามตรงไม่ปิดบัง
"น้ำใสไม่มีอะไรกับบาลัม คบหาเช่นเพื่อนต่างเพศคนหนึ่ง หากน้ำใสจะรัก แม่เห็นว่าควรจะรักใครคะระหว่างคุณศักดากับบาลัม ?"
หญิงสาวถามแม่อย่างฉลาด ศักดาคือผู้พิพากษาหนุ่มผู้มีอนาคตไกล กับบาลัมผู้เป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์เล็ก ๆ มันเป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นเด่นชัดอยู่ไนตัว
"คุณศักดาจะมาสู่ขอกับแม่ แต่น้ำใสขอผัดเรียนจบ ปก.ศ สูงก่อนค่ะแม่ขา"
หล่อนไม่อยากให้ลูกเรียนต่อ อยากให้แต่งงานในเร็วๆ วัน เนื่องจากสาเหตุสองประการ
ความไม่แน่นอนกับภาระที่เลี้ยงดูที่หนักแปล้ แต่หล่อนก็ไม่ยอมปริปากให้ลูกรักเสียกำลังใจ สู้กัดฟันรับภาระหนักอึ้งไว้เงียบ ๆ คนเดียว แต่หล่อนก็กำชับลูกสาวเข้มงวด
"อย่าได้บอกเรื่องนี้ให้บาลัมรู้เป็นอันขาดนะ"
บาลัมใช่ว่าจะไม่รู้ น้ำใสเรียนสูงขึ้นย่อมจะมีทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เขาเดินทางเข้าหามารดาหญิงที่ตนรักอย่างเฉลียวฉลาด คือช่วยเหลือครอบครัวนี้อย่างไม่กลัวเสียดายต่อความหมดเปลือง สาครย่อมรู้จิตใจหนุ่มต่างเชื้อชาติดี ระมัดระวังไม่ยอมให้มีการใช้จ่ายเติบมือจนกลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วเกิดข้อพูกพันให้ลูกสาวต้องประสบความขมขื่นใจภายหลัง
คนมีลูกใช่ว่าจะอบรมลูกให้ดีได้หมดทุกคนก็หาไม่ลูกสาวคนโตกับลูกชายคนเล็ก อยู่ในโอวาท แต่ลูกชายคนกลางกลับนอกคอก ทำให้สาครผิดหวังเสียน้ำใจที่สุด
อายุเพียง ๑๖ ปรีชาได้รับครอบเครื่องจากเพื่อนมาครบขบวน สาครพยายามที่จะรั้งกลับมาตามแนวทางที่ปูไว้ กลับถูกสิ่งแวดล้อมทำลายยับเยิน
ถึงลูกจะชั่วเลว แม่ก็ตัดลูกไม่ขาด
ใยรักเหนียวแน่นนี้เอง รัดคอให้หล่อนตายทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ
ทุกคนต่างมีเพื่อน เพื่อนคือมิตรและศัตรูตัวฉกาจของชีวิต แล้วแต่จะฉุดถึงไปทางใด
เพื่อนของปรีชาบอกกับเขาว่า
"นังบาหยันดูจะรักมึงโขอยู่ น่าจะจัดการสงเคราะห์ให้สมปรารถนาเสียเลย"
"ดำเป็นถ่านยังนึกว่าตัวเองสวย ยัดไม่ลงว่ะ" ปรีชาบอกอย่างเกลียดชัง
"ลืมแล้วรึวะ แรงโน้มถ่วง ร้ายนักแล"
"กูไม่ชอบ หยิ่งชิบหาย หน้าเลือด ใครอยากพุ่งหาจุดแรงโน้มถ่วงก็เชิญ"
"ไอ้เพชรชวนกูคะยิกหลายบ่อย กูละอยากจนม้ามสั่น มึงกลับไม่สนด๊าย"
ปรีชายักไหล่หัวร่อย่างดูแคลน เพื่อนจึงชี้โพรงให้เจาะง่ายๆ ว่า
"ไม่สนก็หลอกยัดอัฐซีวะ"
"กูไม่ชอบเป็นแมงกระจั๊วโว้ย ลูกผู้ชายมันต้องไว้ศักดิ์ศรี หิวก็เยี่ยงอย่างเสือวะ"
"ถังแน่นตึง ใครๆ ก็อยากตกถัง"
"กูกลัวถังพลิกคว่ำอัดกูหายใจไม่ออกว่ะ"
"ใบแดง ๆ น่าสนนาเพื่อน" เพื่อนยั่วยุ
"กูหาทางอื่นได้ ไม่เสียศักดิ์ศรีด้วย"
ปรีชาพูดอย่างยโส หาทางอื่นก็คือไถจากแม่ จริงอย่างว่า ไถแม่จะเสียศักดิ์ศรีใด
"มึงไม่เอาแน่นะ หน่อยจะเสียใจ"
ปรีชาตาลุกโพลงอย่างตื่นเต้น เพราะเข้าใจความหมายของเพื่อนดี
"กูไม่ยอมเอี่ยวด้วยนะ บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน มีเรื่องอย่าซัดทอดก็แล้วกัน"
"เออน่า พวกกูจักการกันเอง ว่าแต่เอ็งเถอะอย่าเสือกปากโป้งคาบไปบอกพี่มันล่ะ"
ปรีชาพยักหน้าบอกเสียงเครียดว่า
"มึงอย่าเสือกไปทำไมมันแถวใกล้บ้านกูนา"
"ทำไมต้องมีข้อแม้เรื่องสถานที่ด้วย"
"กูเห็นตำตาแล้วไม่ช่วย กูทนไม่ได้ว่ะ" ปรีชาบอกตรง ๆ “รู้ถึงหูแม่กูเข้าผู้ใหญ่จะเกิดผิดใดกัน พ่อแม่และพี่ชายมันล้วนดีต่อพวกกูซะด้วย จะทำอะไรไปให้ไกลหูไกลตาอย่าให้กูรู้เห็นเลยวะ"
"กูไม่เอา ไอ้พวกนู้นก็เอา"
"ใครอยากลากไปโทรมที่ไหนก็ตามใจ กูเห็นก็ต้องช่วยไม่ว่าพวกไหน"
พวกโน้นก็คือคู่อริของพวกตน ต่างมีจุดหมายตรงกัน แล้วแต่ใครจะมีโอกาสก่อน.

ผัวน้อยผัวหลวง

 

 


จี๊ปแลนด์โรเวอร์สีเขียวใบไม้คันหนึ่งได้พาประเวทฝาแฝดผู้น้องพร้อมด้วยลุงมั่นผู้นำทางแล่นมาระหว่างธรรมชาติอันงดงาม ในบริเวณป่าตอนหนึ่งของเชียงใหม่
จี๊ปคันนี้บรรทุกกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระต่าง ๆ มากมายรวมทั้งวิสกี้ เครื่องกระป๋องและปืนพร้อมด้วยลูกกระสุน...
“จวนถึงหรือยังครับลุง?”
เสียงประเวทร้องถามลุงมั่นผู้นำทางอย่างร้อนรน
“จวนแล้วนาย อีกหนึ่งกิโลคงถึง” แกตอบโดยมิยอมมองหน้า
ประเวทหัวเราะเบา ๆ เพราะขำในคำของแก
“ผมถามทีไร ลุงเป็นบอกจวนถึงทุกที...เอ่อ! แต่ว่าเขามีผู้หญิงมาด้วยแน่รึ”
“แน่ครับ-แหม! คุณเอ้ย...ผู้หญิงอะไร...? สวยเป็นบ้ายังกะหยาดฟ้ามาดินเชียว”
แกตอบพร้อมกับอัดควันบุหรี่เข้าปอดอย่างแรง
“ดูเหมือนจะชื่อ สา-สา นี่แหละครับ ผมได้ยินคุณคนนั้นท่านเรียกอย่างนี้”
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาต้องประสพกับปัญหาโลกแตก...ระหว่างหญิงคนรัก...กับพี่ชายร่วมสายโลหิต
ความจริงเขารักพี่ประวิทย์มาก และพี่วิทย์ก็รักเขาไม่น้อยเลย...
แต่เหตุใด? พี่จึงมาแย่งรักไปจากเขา อันนี้จึงทำให้ประเวทต้องบึ่งมาเชียงใหม่ เพื่อทำความตกลงกับพี่ชายบางประการ
ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทาง ที่บริเวณหมู่บ้านห้าหกหลังนั้น
ประวิทย์ผู้ซึ่งมีหน้าตาและรูปร่างเหมือนประเวทราวกับพิมพ์เดียวกำลังสร้างกรงสำหรับดักสัตว์ป่าอยู่ใต้ถุนเรือนของเขา เสียงเครื่องยนต์ทำให้เขาต้องหันไปมองดู
เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็รีบวิ่งออกมาจากใต้ถุนเรือน โบกมือให้แล้วตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง
“น้องเวท...น้องเวท”
ประเวทลงจากรถและวิ่งปราดเข้าไปหา
“สวัสดีพี่วิทย์...ไม่ได้พบกันเสียหลายปี คิดถึงเหลือเกิน”
“คิดถึงพี่หรือคิดถึงใครเอ่ย” เขาพูดเย้าพลางดึงมือน้องชายมานั่งบนแคร่ทางหลังบ้าน...
เมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ประวิทย์ก็เปิดฉากสนทนาถึงเรื่องที่เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพื่อผดุงฐานะของน้องตามแผนการของนางปลั่ง
“พี่เชื่อนางปลั่งสนิท - จึงคิดชิงวิสามาให้พ้นจากน้อง แต่เมื่อรู้ความลับลมคมในของนางปลั่ง มันก็สายเสียแล้ว...น้องเวทอภัยให้พี่เถอะ!” เขาพูดเสียงเรียบและเนิบนาบ
คำพูดของน้องชายทำให้ประวิทย์ยิ้มที่มุมปากและกระซิบกระซาบตกลงความในใจให้ประเวทฟังจนทั้งสองหัวเราะก๊าก... ก็พอดีวิสาเดินตรงเข้ามา
“สาจ๋า...พี่ขอแนะนำให้สารู้จักน้องของพี่”
วิสาร่างอวบอัดหน้าอกภูเขาตกตลึงพรึงเพริด และเมื่อรับไหว้น้องชายฝาแฝดแล้ว ก็ทักทายกันตามมรรยาท แต่ใจหล่อนนั้นไม่หายตื่นเต้น
“ยินดีมากครับ! ที่ผมได้รู้จักพี่สา” ประเวทพูดยิ้ม ๆ ตามแผนการของประวิทย์
“ความจริงเราควรรู้จักกันนานแล้ว”
“ค่ะ” ยิ้มให้เขาก่อนพูด
“ควรจะเป็นเช่นนั้น อ้า...พี่ยอมรับว่าขณะนี้พี่ตื่นเต้นเหลือเกิน ทำไม-วิทย์กับเวทจึงเหมือนกันอย่างนี้”
ฝาแฝดทั้งคู่หัวเราะชอบใจและหลิ่วตาให้กันอย่างมีเลศนัย
“อย่าว่าแต่สาจะแปลกใจเลย” ประวิทย์ผู้พี่พูด “แม้แต่คนบ้านเราที่นี่ ดูซิ! ยังจ้องมองดูพี่กับน้องชายตาเป็นมันเลย”
ทั้งสามช่วยกันขนสัมภาระขึ้นไปไว้บนเรือนรับรอง และจัดทำความสะอาดบังกะโลหลังเล็กเพื่อให้ประเวทพัก
คืนนี้พระจันทร์เด่นเต็มดวง ประเวทนอนไม่หลับจึงถือวิสาสะเดินขึ้นบันไดไปทางหลังเรือนบังกะโลอย่างเงียบ เดินจรดปลายเท้าให้เบาเมื่อได้ยินเสียงประวิทย์กับวิสาหยอกเย้าอยู่ในห้องนอน
เขาจึงค่อยย่องแอบมองพี่ชายกับวิสาตามรอยไม้แผ่นหนึ่งซึ่งแตกเป็นแนวยาว
ภาพที่เห็นทำให้เย็นวาบไปทั้งตัว อารมณ์อันเร่าร้อนได้เกิดขึ้นจนจิตใจคึกคักอย่างห้ามไม่อยู่
เขาแลเห็นพี่ชายนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวกำลังกอดจูบเล้าโลมวิสาอยู่บนเตียงนอน วิสานั่งอยู่บนตักประวิทย์ ร่างของหล่อนท่อนล่างเปลือย ท่อนบนนั้นมียกทรงปิดปทุมทิพย์ซึ่งเกือบหลุดทะเล้นออกมานอกเสื้อตัวนั้น
“เวทขา...อิ่มหรือยังคะ” หล่อนเรียกชื่อนี้ อนิจจา! หล่อนช่างไม่รู้เอาเสียเลย
“ยังหรอกสาจ๋า พี่ไม่อิ่มง่าย ๆ คืนนี้ขอเย็ดห้าที”
“อุ๊ย ไม่ค่ะ” พลางตบปากเขาเบา ๆ “จะมากไปละเวทขา ครั้งเดียวก็เหี่ยว ยังจะมีหน้ามาบอกถึงห้า”
เขาหัวเราะพลางสลัดผ้าขาวม้าให้หล่อนเห็นควย
“นี่หรือเหี่ยว” ตบหัวประทานอวดหล่อนและถอกแดงเถือกต่อหน้า
“ต๊าย-ควยลุกอีกแล้ว โธ่เวทขา เย็ดเมื่อกี้หยก ๆ ยังแสบไม่หายเลย”
“งั้นหรือ”
“ค่ะ” เธอขานพร้อมกับเอื้อมมือไปเกาะกุมลำควยเขาเล่นมั่ง และจับคลำรูดลงมาจนถึงพวงอัณฑะขยี้ขยำบีบบี้
“สา”
“เรียกสาทำไม?”
“ยิ่งบีบพี่ยิ่งเสียว สาจ๋า พี่เป็นกระษัย โบราณว่าถ้าได้ปากผู้หญิงกัดยิ่งดี มันแพ้กัน”
“โกหก สาไม่เชื่อ”
“โธ่...สา ซิ”
“ซิ อาไร”
“กัดให้พี่”
“โอยตายแล้ว จะให้สากัดกระโปก อี้ไม่เอา” หล่อนหลับตาสั่นหน้าเหมือนขยะแขยง
แต่เขาได้ตวัดกายหล่อนให้นอนหงานบนเตียงแล้ว เขาก็หมุนตัวกลับหัวลงทางปลายเท้าหล่อน และอ้าขาออกให้ลูกกระโปกใกล้ปากหล่อนทันที
กัดก็กัด วิสาคิดอยู่ในใจ เพื่อเขาจะได้เห็นอกเมียว่าทำให้ผัวได้ทุก ๆ อย่าง
ดังนั้นมือจึงจับลูกกระโปกมาจูบเสียก่อนโดยมิรอช้า และแล้วก็ยัดเข้าปากใช้ฟันขบเม้ม ๆ แต่เพียงค่อย ๆ
“โอย สาจ๋า ดีจัง เห็นใจน้องเหลือแล้ว” เขาพูด พอหยุดปากก็สอดลิ้นของตัวเข้าในรูแคมหล่อนบ้าง
วิสาสาวทรงสล้างสะดุ้ง เมื่อลิ้นเขาระรัวอยู่ตรงปลายแตด
“อูย...เวทขา โอย” หล่อนครางเมื่อคลายจากการกัดเม็ดกระษัย
เท่านั้นเองเขาก็รู้ซึ้งในหางเสียงว่าหล่อนครางเพื่อประสงค์สิ่งใด จึงลุกขึ้นนั่ง ดึงหล่อนให้ขวางกายตรงแง่เตียง และโดยไม่มีการเจรจา เขาก็โดดไปยืนที่พื้นห้อง ขยับตัวให้เข้ามาในหว่างขา ซึ่งเขาแยกแหกออกด้วยมือไม้สั่นเทา ได้ระดับดีแล้วก็เสยพรวด
“อุ๊ย...โอย...ซี๊ด...เวทขา เข้าหมดแล้ว อูย...ทำไมเย็ดคว้านอย่างนี้” พูดออกมาทั้ง ๆ ที่นอนตาปรือดูเขากระเด้าส่ายโยกย้ายตะโพกไปมาทั้งซ้ายขวา
“สาจ๋า” เรียกหล่อนเบา ๆ
“ขา” ขานรับพลางหลบตาเขา
“พี่อยากเย็ดสาทั้งคืน”
“โอ้...โฮ...! ไหวหรือ”
“ไหวซี”
หล่อนพยักหน้ายิ้ม และคิดในหัวใจ เมื่อไหวก็เอาซี เรื่องนี้หล่อนชอบ
ประเวทซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นประวิทย์โดยอัตโนมัตินั้น เขายังแอบดูการสังวาสของพี่ชายกับวิสาอย่างมิเคลื่อนไหว
เขาเห็นหญิงสาวนอนแอ่นและเด้งบั้นเด้ารับลำควยฉับ...ฉับ ปากก็ซี๊ด...ซ้าด...เพราะสุดรัญจวน
ครั้งหนึ่งแลเห็นพี่ชายชักลำควยออกเกือบหลุดและกระทุ้งพรวดเข้ามิด แล้วประกบร่างทาบลงกับแผ่นอกวิสา
“น้ำออกแล้วหรือคะ” วิสาถามเสียงใส
“ครับ”
“ยี้ย์...ขี้แพ้..หน้าไม่อาย..เชอะ!” หล่อนแกล้งกระเซ้าพลันสลัดตัวชายหนุ่มร่วงจากอก พร้อมกับลุกขึ้นเดินลงส้นออกไปทางประตูหนึ่งซึ่งทะลุถึงห้องน้ำ
เพียงลับร่างหล่อนเท่านั้น ประวิทย์ซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ลุกถลันพรวดพราดออกจากห้อง และเมื่อขาก้าวพ้นธรณีประตูก็หยุดชะงัก เพราะเงาของบุคคลหนึ่งยืนจังก้า เมื่อเพ่งสายตาดูรู้ว่าเป็นใครแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูด
“รอนานไหม...เวท” ร้องถามเสียงกระซิบ
“พักใหญ่พี่...พี่”
“งั้นรึ เร็ว ๆ เข้าเถอะ รีบถอดเสื้อกางเกงมาให้พี่ แล้วนุ่งผ้าขาวม้านี้เข้าไป” เขามิรอช้าปฏิบัติตามทันที
เสียงน้ำยังดังซู่ซ่าอยู่ในห้องน้ำ ประเวทเดินเข้าไปยังประตูห้องน้ำซึ่งเปิดแง้มอยู่ เขาเปิดออกและพาตัวเข้าไป
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน หล่อนก็ร้องเสียงใส
“อุ๊ย...เวทนี่เข้ามาทำไมคะ--ออกไป” หล่อนกล่าวเต็มไปด้วยจริตจะก้าน
แต่ชายหนุ่มเหมือนไม่สนใจคำหล่อน เขาเดินตรงเข้าไปจนประชิด พลางรั้งร่างอวบอัดนั้นไว้แนบอก ประทับจูบลงละเลงบนพวงแก้ม
เสียงหล่อนครางอู้อี้ และหัวเราะคิก
“เวทนี่เก่งมาก...ควยลุกเร็วจัง” พูดแล้วมองหัวถอกแดงเถือกอย่างพอใจ โดยมิได้สงสัยแต่น้อยว่าฝาแฝดคู่นี้สับตัวกัน
อีกครั้งหนึ่งปากของเขาประกบกับปากหญิงสาว หล่อนชำนาญเชิงจึงใช้ลิ้นแลบมาตวัดพันกับลิ้นชายหนุ่ม เป็นครู่ใหญ่จึงถอนออกเพราะสุดกระหาย
“เวทขา...อย่าขี้แยอีกนะคะ เมื่อกี้...สายังเคืองไม่หายเลย”
“พี่ขอรับรองจ๊ะ..สา...” หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อมองดูชายหนุ่มอย่างพอใจในคำรับรอง
เมื่อรู้อารมณ์หล่อนถึงขั้นไหนแล้ว เวทก็ดุนร่างเปลือยของวิสาพิงขอบโอ่ง
“อุ๊ยอะไรนี่...ไม่อ๊าว...ไม่เอา..สาไม่ชอบพิงโอ่ง...มันเย็นตูด” ร้องออกมาพร้อมกับดีดดิ้นกายน้อย ๆ แต่ทว่ามิได้ผลักไสประการใด
ขณะนี้ตูดหล่อนกระทบขอบโอ่งแล้ว พร้อมกันร่างของเวทก็แทรกเข้าในหว่างสองขาหล่อน ทิ่มผิดทิ่มถูกจนวิสาสุดจะทนต่อไปได้ จึงเอื้อมมือมาจับลำยาวนั้นจ่อเข้าที่ปากแคม เวทดันเบา ๆ หัวถอกจึงผลุบเข้าไปบานในรูสวรรค์ร่วมครึ่ง
เมื่อโน้มตัวเข้าไปอีก ส่วนล่างของคนทั้งสองจึงแอ่นเข้าหากันสนิท ก้มตัวลงจูบที่ฐานนมและใช้ปากดูดเม็ดทับทิมข้างละพัก ก็จับขาวิสาทั้งสองข้างขึ้นไว้ที่เอว
วิสาสะดุ้งเล็กน้อย
“วุ๊ย...เวท เดี๋ยวล้มตกโอ่ง”
“กลัวล้มก็กอดคอให้แน่นซี...ไม่งั้นตกโอ่งไม่รู้เน้อ” พูดแล้วยิ้ม
หญิงสาวว่าง่ายดายอะไรเช่นนี้ เมื่อสาวกอดคอเขาไว้แน่น จึงใช้มือทั้งสองข้างช้อนตะโพกหนาไปด้วยก้อนเนื้อ
ครั้งแล้วเขาก็เดินเย็ดโดยใช้จังหวะการเดินเป็นแรงกระเด้า
“โอย...สาตายแล้ว...เวทนี่..เย็ดพิลึก” หล่อนร้องและนึก คงไม่มีใครอีกแล้วที่เย็ดพิเรนทร์อย่างเขาเอาหล่อนขณะนี้
“พอที...พอที...เวทขา...สาเมื่อยแขนค่ะ”
เขาจึงวางหล่อนลงยืนที่พื้น และชักลำควยออกจากรูหีทันที
“อุ๊ย เอาออกทำไม โธ่....”
เขาไม่ตอบ กลับผลักร่างงามนั้นข่มขืนให้โก้งโค้ง
“จะบ้าหรือไง” ว่าเขาออกไป แต่แล้วก็สยิวกายจนรูตูดรูแตดเต้นขมิบ
เมื่อเขาแทงท่อนเนื้อเฉี่ยวก้นครูดไถลจนเข้าไปในกลีบหี...หล่อนก็ครวญคราง
“โอย เย็ดเหมือนสุนัข...อูย...เวทขา..สาไม่เคยพบเคยเห็น...โอย...ซี๊ด...เวท-เวทชอบมากรึคะ?” ครวญครางกระท่อนกระแท่น แต่ยังไม่วายทะเล้นหน้าถาม
“ชอบซี สาจ๋า...พี่บอกตรง ๆ โก้งโค้งดีจริง ๆ”
“จริงซี...เวทขา มันบัดสีจะตาย” กล่าวพร้อมกับกระดกก้นงอน ซึ่งขณะนี้มันบานราวกระด้ง และกระเด้งส่ายยั่วตัณหาให้กำเริบร่าน
“อูยเวทขา...เวท-ข-ขา โอย...แรง ๆ”
เขาก็ตามใจที่หล่อนขอร้อง กระทุ้งเข้าไปเต็มที่
“ว๊าย...เวทขา โอย...ซี๊ด...น้ำรักสาแตกแล้ว โอย อร่อยเป็นบ้าเป็นบออะไรเช่นนี้”
ฤทธิ์ตัณหาเป็นเช่นนี้เองหรือโอ้...! พลังของมันแผ่คลุมไปทั่วโลก ทุก ๆ ชีวิตมนุษย์และสัตว์ต่างก็หนีมิพ้นคำว่า ‘เย็ด’ ไปได้สักราย
“สา”
“ขา”
“น้องขมิบมันรึ”
“อุ๊ย! เปล่า มันขมิบเองกระมังคะ” ตอบอย่างอาย ๆ
เวทยังคงคาควยแช่ไว้ในรูเสน่หา ด้วยวิสาขอร้องให้แช่มันไว้ เนื้อตัวหล่อนเกร็งกระตุกพลอยพาให้พลังเนื้ออ่อนในรูกลับเต้นขมิบดังเช่นเวทร้องถามตะกี้ เขาหมดเรี่ยวแรงเพราะวิสาดูดเอาน้ำกามแทบว่าจะหมดน้ำเลือดในร่างกาย ทั้งสองบ่มสวาทกันอย่างมีชีวิตชีวา หล่อนยอมสารภาพกับเขาอย่างหมดยางอายว่า “ชอบท่าโก้งโค้งมาก”
สามวันต่อมาก็ถึงโปรแกรมสองพี่น้องฝาแฝดพร้อมด้วยวิสากับนายพรานผู้นำทาง และลูกหลานอีกสามคนได้พากันล่องป่าลึกในวันรุ่งขึ้น ตามที่ได้กำหนดกันไว้
ความสำราญในป่าลึกทำให้วิสาสดชื่นถึงขนาดหล่อนได้ร่วมรสรักกับฝาแฝดซึ่งผลัดเปลี่ยนกันบำเรอสวาทอย่างเต็มอิ่ม
“สาจ๊ะ ไปซุ่มยิงไก่ป่ากับพี่ตามลำพังเถอะ” เอ่ยชวนหล่อนขณะที่กำลังอยู่ในเต็นท์ ตัดเล็บนิ้วให้เขา
“จะดีหรือคะ ไปตามลำพัง ปะเหมาะเคราะห์ร้ายไปเจอเจ้าลายพาดกลอนเข้าจะลำบาก”
“ปืนอยู่ในมือพี่ สายังกลัวอีกรึ” เขาพูดและหัวเราะในลำคอ
หล่อนไม่ตอบกับค้อนคมที่ใบหน้าเพราะรู้ทัน ยังจำเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายนี้ได้ดี ฮึ คนอะไร ชวนไปเก็บหน่อไม้ พอลับตาคนขอเย็ดเอาดื้อ ๆ แต่หล่อนก็โอนอ่อนผ่อนตามเขา มาเดี่ยวนี้เขาชวนไปยิงไก่ป่าอีกแล้ว เอาซี...เธอชอบ
“ไปก็ไป แต่อย่าให้ไกลนักนะคะ” เสียงหล่อนบอกเขา หวานหูพิกล
ในซุ้มไม้นั้น หญิงสาวนั่งพิงอกเขา “ผาสุกเหลือกเกิน เวทขา อยากจะอยู่เป็นคนป่ากับพี่จนตาย”
“จริง...จริงหรือ”
“ค่ะ” สิ้นคำของหล่อน จมูกเขาก็กลิ้งตามใบหน้าใบหู เรื่อยลงมาถึงซอกคอตีนผม
วิสาหลับตาพริ้ม สุขใจอย่างประหลาดท่ามกลางขุนเขาลำเนาไม้และชายเคียงข้าง
“เวทขา สานึกแปลกใจเหลือเกิน ทำไมเวทจึงเก่งกาจและกวนสาบ่อย ๆ เมื่อวานนี้ก็หลายหน”
ชายหนุ่มอึ้ง อึกอักในลำคอ
“โธ่ เมียพี่สวยไม่สร้าง เสน่ห์พริ้งพราวทั้งตัว จะให้อดใจได้หรือ และอีกประการหนึ่งบรรยากาศสิ่งแวดล้อมรอบข้างมันเป็นแรงกระตุ้นเตือนใจให้ฮึกเหิม
“อุ๊ย พูดแต่ปากซี มือจับเข้าไปทำไม เวทขา...รู้ไม๊คะ สาขาดประจำเดือนมาหลายวันแล้ว”
“งั้นรึ” เสียงเขาค่อนข้างดัง
หล่อนพยักหน้า
“ค่ะ น่ากลัวสา...ตั้งท้อง”
“แต่คนท้องอ่อน ๆ เขาว่ากำหนัดแรงจริงไหม สา” ถามพร้อมกับตวัดร่างหล่อนแนบแน่น
หล่อนทำหน้าย่น ปล่อยหัวเราะออกมา มันช่างยวนโลกีย์เสียจริงหนอ
“ใครบอกพี่ หือ” เคลียแก้มใกล้ใบหูเขา พร้อมกระซิบถามเสียงออเซาะว่า
“คนท้องชอบเย็ด ฮึ ใครบอก”
“ดวงตาน้องนะซีบอกพี่”
“วุ๊ย” หยิกปลายเล็บลงที่โคนขาชาย เลยทำให้เขาสะดุ้ง มือที่ล้วงคลำโคกสวรรค์นั้นหดกลับ พลอยพาให้เส้นหมอยที่ลูบเล่นติดตามมือออกมาโดยเขามิได้จงใจ
“อูย เวทนี่สัปดนเหลือเกิน ดูซิ ดึงขนสาทำไม”
เขาตีหน้าชอบกล ก็พอดีกวางป่าตัวหนึ่งเดินเข้ามา ดังนั้นเสียงปืนจึงดังขึ้นหนึ่งนัด ยังผลให้กวางเคราะห์ร้ายตัวนั้นดิ้นพราด
เลยเป็นอันว่าเขามิได้เอาหล่อนในซุ้มไม้ เพราะเสียงปืนทำให้พวกลูกหาบตะโกนกู่ก้อง
เย็นนั้น เนื้อกวางได้เป็นอาหารแกล้มเหล้าอันดีเลิศแก่ชาวคณะ ทั้งประวิทย์และประเวท ตลอดจนพวกลูกหาบต่างเมาแอ๋ตาม ๆ กัน วิสาก็มึนไปกับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะโดนคะยั้นคะยอจากฝาแฝดทั้งคู่
เสียงซึงของชาวป่าดีดมาแต่ไกล พวกลูกหาบเมื่อเมาถึงขนาดก็ร้องรำทำเพลงไปตามประสีประสา
“ห้วยเจิ่งน้ำสองดำแหวกว่ายเก็บลั่นทม ร้อยมาลัยแทนฝากใจอ้ายเอย”
เสียงซึงดังทำนองนี้ทำให้วิสาอยากเล่นน้ำในลำห้วย จึงเอ่ยชวนขึ้น
“เวทขา สาอยากเล่นน้ำจัง” ฝาแฝดพี่น้องมองสบตากันเหมือนหนึ่งจะตกลงใจ
ดังนั้นฝาแฝดผู้น้องจึงลุกขึ้นยืนและยิ้มให้หล่อน
“ไปซี พี่ก็อยากอาบน้ำเหมือนกัน”
“รึคะ ใจเราตรงกัน” หล่อนกล่าวอ้อแอ้เหมือนลิ้นคับปาก ย่อมแสดงว่าเธอเมาไม่น้อย
น้ำในลำห้วยนั้นใสแจ๋วเย็นยะเยือก แต่ฤทธิ์เหล้าทำให้ทั้งสองมิรู้สึกสะท้านหนาวเย็น ยังคงดำแหวกว่ายอย่างสมใจ
“อุ๊ยเวทนี่บ้า...อี๊ย์” เสียงหญิงสาวว่าเขา แต่หัวเราะระริก
“จับตูดจับก้นสาทำไม”
“อ้า...อ้า” อยู่แค่นี้ก็พลันกระชากร่างวิสาเข้ามาในวงแขน จูบกระหน่ำทั่วใบหน้า หญิงสาวดีดดิ้นจนน้ำกระเพื่อม
“โอย...ตายแล้ว จะเย็ดสาละซี ไม่เอาเอ๊า มันในน้ำ อี๊ย์ ดูซิ เอาควยมาทิ่มตูดสา ว๊าย โธ่ ถอดโสร่งทำไม”
เมื่อปลุกปล้ำจนโสร่งหลุดจากกายหล่อนแล้ว เขาก็แก้ผ้าตัวเองล่อนจ้อนเช่นกัน ประคองหล่อนมาที่เนินหิน ซึ่งตำกว่าระดับน้ำในห้วยเล็กน้อย
เขาวางร่างหล่อนราบไปกับเนินกลางน้ำ จับควยแข็งโด่เพ่นพ่านไปตามท้องน้อยหว่างก้นย้อย และทิ่มลำลึงค์ดะไป ไม่ว่ารูไหนต่อรูไหน
วิสาหัวเราะก๊าก เปล่งเสียงออกมา
“นี่เวทจะเอาทางตูดหรือยังไง”
“เปล่าครับ แทงผิด”
“แกล้งสานะซี แอ่นจนอย่างนี้แล้วยังทะแทงพลาดอีกหรือ”
ได้ยินเสียงหล่อนร้องว่า เขาจึงทิ่มท่อนเอ็นลงไปกลางรอยผ่าทันที
กดลำเข้าไปโดยแรง จนปากแคมอมควยสนิทแทบเป็นเนื้อเดียว
“อูย” หล่อนอูยออกมาหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข เขาถอนควยแล้วดันเข้าไป มันผลุบเข้าผลุบออกเป็นจ้าละหวั่น
น้ำในห้วยมันได้ระดับกับตูดหล่อนพอดี ก็เพิ่มปั่นป่วนตามกำลังโยกแห่งร่างกาย
น้ำกระฉอกจะไหลเข้าในรูโยนี ชายหนุ่มก็ไม่ยอม กระแทกลึงค์เข้าไป มันจึงไหลออกมาทุกคราวที่เขากระแทก
เสียงบุ๋ม ๆ บล็อก ๆ ตลอดเวลา ฟองน้ำลอยขึ้นมาแล้วก็แตกเป็นฝอยน่าดูนัก
ในที่สุด เกมสังวาสก็ถึงจุดสุดยอด “โอย...ทำไมถึงเสียวอย่างนี้ เวทขา มันเหลือเกิน อูย...กระเด้าหนัก ๆ อีกหน่อย”
เวทก็เมามันถึงขนาด เพราะเขากระแทกกระทั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย มันช่างถึงอกถึงใจอะไรเช่นนี้
“เวทขา...สาทนไม่ไหวแล้ว โอย...เวท...เวท น้ำเย็ดสาออกแล้ว อูย...”
เช่นกันกับชายหนุ่ม เขาฉีดน้ำอุ่น ๆ เข้าไปในปากมดลูกหญิงสาวแทบหมดไส้หมดพุง
เมื่อน้ำกามไหลออกมาพร้อม ๆ กัน มันก็ปนเคล้ากับสายน้ำเป็นสายยาว ๆ เหมือนวุ้นขาวลอยอยู่เหนือธารา
ทั้งสองนอนประกอบแช่อยู่ในน้ำ โดยมีเนินหินรองรับอยู่เป็นเวลานานจึงกลับ
อากาศในตอนดึกยิ่งทวีความเย็นเยือกรอบ ๆ บริเวณกระโจมของคณะล่องไพร พวกลูกหาบต่างเปลี่ยนเวรอยู่ยามสุมเพลิงมิได้ขาดระยะ ดวงจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ทั่วทั้งราวป่ามีแต่ความวิเวกวังเวง นาน ๆ ครั้งจึงได้ยินเสียงหมาไนหอนโหยมากับสายลมหนาว
วิสาขี้ร้อน หล่อนนอนเปลือยกายล่อนจ้อนหันหน้าเข้าหากันอยู่ในอ้อมกอดของฝาแฝดผู้พี่ หล่อนหลับสนิท เสียงกรนฟี้ ๆ เบา ๆ ดังอยู่ตลอดเวลา
ประเวทผู้น้องนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง ความหนาวเหน็บทำให้ไม่สามารถที่จะข่มตาหลับลงได้ จึงพยุงกายลุกขึ้นเดินมาหยิบตราขาว เทมันลงไปในแก้วจนเต็ม ยกดื่มกระดกจนเกลี้ยง เขานั่งสะลึมสะลือ อัดบุหรี่เข้าปอดอย่างแรงอยู่บนลังใบใหญ่ชั่วครู่ ฤทธิ์เหล้าทำให้เม็ดเลือดวิ่งพล่าน แต่มันก็ไม่ทำให้คลายหนาวได้เลย แต่เมื่อเขาเหลือบสายตาไปเห็นวิสานอนกอดกันกลมดิกดังจะเย้ยลมหนาว โดยซ่อนร่างไว้ในผ้าห่มผืนใหญ่เช่นนั้น มันน่าอิจฉาพี่วิทย์เสียจริง
“เมาเหล้าก็พอจะทนหรอกหนา แต่เมาเสน่หานี่ซิ มันสุดจะทน”
เขาคิดอย่างนี้ จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปเปิดโปง แทรกตัวราบเคียงข้างทันที แม้จะเป็นด้านหลังของหญิงสาวก็ยังได้กลิ่นไอตัวพาให้อบอุ่นอย่างวิเศษสุด
วิสาเป็นคนนอนดิ้น เมื่อพลิกซ้ายก็ผวากอดก่ายฝาแฝดผู้น้อง
พลิกซ้ายย้ายขวานิทราอยู่ในภวังค์อันแสนหวานจวบจนกระทั่งใกล้รุ่ง จึงเคลิ้มฝันไปว่า
หล่อนเดินคนเดียวเที่ยวเก็บดอกไม้ในป่ามาแซมผม และแล้วในฝันหล่อนรู้สึกปวดปัสสาวะ จึงเข้าไปในซุ้มไม้ใบหนา หันหน้าหันหลังเมื่อแน่ใจว่าปลอดสายตามนุษย์ที่จะเห็นตูดเธอขณะเยี่ยว จึงถลกกระโปรงนั่งฉี่ออกมาดังซ่า เสียงเหมือนท่อแป๊บน้ำแตก
แต่อนิจจา ในฝันหล่อนฝันเช่นไร ในชีวิตจริงก็เป็นเช่นนั้น
จึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้น
แล้วหล่อนก็สะดุ้งสุดตัว เปล่งเสียงหลงออกมา
“อุ๊ย อะไรกันนี่” หล่อนฉงนใจที่เห็นฝาแฝดทั้งคู่นอนเคียงข้างทั้งซ้ายขวา
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว จึงรัวกำปั้นลงบนแผ่นอกคนทั้งสองเป็นพัลวัน เพราะมิรู้ว่าแฝดคนไหนเป็นผัวกันแน่
“ตื่น...ตื่น” ปลุกเขาเสียงลั่น ทั้งสองรู้สึกตัวก็ลืมตาโพลง และเมื่อสบตากันแล้วก็ตีหน้าชอบกล
“เวท แก...แก...” เสียงแฝดผู้พี่ตะกุกตะกัก
“ครับ ผมเองพี่วิทย์ ผมทนหนาวไม่ได้ จึงต้องขอบารมีไออุ่นจากวิสา”
“เอ๊ะ ... ใครวิทย์...ใครเวท” หล่อนขมวดหัวคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง และใช้ความสังเกตอย่างถี่ถ้วน
“อ๋อ นี่เวทใช่แล้ว เพราะสาจำเล็บที่ตัดให้เมื่อวานนี้ได้” พูดพร้อมกับหันมาตีหน้ายักษ์กับแฝดผู้น้องที่เล็บยาว
“เธอไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะ พี่เสียใจมาก”
เมื่อเห็นพิธีแตก ประวิทย์ผู้ชิงสวาทจากประเวทก็สารภาพความจริงที่เป็นมาทั้งหมดให้หล่อนทราบ
วิสายกมือทาบอกเมื่อรู้ความจริง หลุดคำออกมาได้เพียงคำเดียว
“โธ่...” แล้วยกมือปิดหน้าร้องไห้กระซิก ๆ
“อย่าร้องเลยสาจ๋า” ประเวทใช้มือลูบหลังปลอบหล่อน
“ไหน ๆ มันก็ผ่านมาถึงเพียงนี้แล้ว สาจ๋า อย่าได้รังเกียจเลย พี่และพี่วิทย์จะมอบความเป็นผัวให้กับน้องเสมอต้นเสมอปลาย”
“สากลัวค่ะ” สะอื้นคำออกมาพร้อมกับพูดต่อ
“สาเป็นหญิง จะให้มีผัวน้อย-ผัวหลวง สากระดากใจเหลือเกิน”
วิทย์กับเวทไม่ถือ เขานั่งอมยิ้มที่หล่อนคลายวิตก แฝดผู้พี่จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“ผู้ชายยังมีน้อยมีหลวงได้นี่นา สาย่อมเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว”
“แต่นี่สาเป็นหญิงนะ” หล่อนขัดขึ้น
“จริงนะซี พี่ถึงเอาทำเมีย”
“อุ๊ย บ้า..” หันมาหยิกเวททันที
เมื่อตกลงได้แล้ว วิทย์และเวทก็ยกขบวนกลับ
เวลาได้ผ่านมาอีกหลายวัน เขาทั้งสองได้ผลัดเปลี่ยนให้ความเป็นผัวหล่อนอย่างพิสดาร บางคืนถึงนอนร่วมเตียงเดียวกันทั้งหมด
วิสาตื่นเต้นเสียเหลือเกินที่ได้ร่วมรสรักอันแปลกพิลึก จนเดี๋ยวนี้แทบว่าคืนหนึ่ง ถ้าเย็ดหล่อนไม่ถึงสี่ห้าเกมเป็นต้องปลุกให้พี่น้องคู่นี้ตื่นขึ้นมาเอา ม่ายงั้นหล่อนนอนไม่หลับ
บ่ายวันนี้ประเวทขับรถเข้าไปซื้อของในเมืองตามลำพัง คงปล่อยให้พี่วิทย์อยู่กับวิสาสองต่อสอง และขณะนี้เขาก็กำลังร่วมประเวณีกันพอเหมาะพอเจาะ
“วิทย์ไม่เบื่อสาบ้างหรือคะ วิทย์ขา...เย็ดกับสาทุกวันคืนอย่างนี้” หล่อนกล่างพลางดีดเด้งตัวไปมาให้เข้าจังหวะกระแทกกระทั้น
“ไม่มีเบื่อหรอก กลัวสานะซี จะเบื่อ”
“ม่ายเบื่อค่ะ สาชอบเย็ดกับพี่” หล่อนลากหางเสียง
“งั้นเรอะ”
“ฮื่อ” พยักหน้ายิ้มรับคำ แววตาเยิ้มบ่งบอกถึงความลึกซึ้งภายในว่าหล่อนเป็นคนขี้เย็ดไม่น้อย
“สาชอบค่อยหรือแรง?”
“ชอบค่อย ๆ ก่อนค่ะ แล้วถึงแรงทีหลัง..อย่างนี้ อูย..วิทย์ขา...เย็ดแรง ๆ ได้แล้ว”
วิทย์ก็กระแทกเต็มแรงเป็นการตามใจหล่อน
“อูย...วิทย์ขา..โอย...”
“โอยอะไรรึ สา”
“มันเสียวขึ้นหัวใจนะซี...โอย..กลั้นไม่ไหวแล้ว...น้ำ...น้ำ...”
“จะออกหรือ” ชิงถามหล่อน
“อูย...ค่ะ”
“งั้นพร้อมกับพี่”
แล้วทั้งคู่ก็กบดานกันแน่นิ่งแนบสนิท มันเป็นสัญลักษณ์ขัดกับคำที่ว่า
เล่นกับไฟ ไฟเลียให้เสียโฉม
เล่นกับชาย ชายโลมให้โฉมเสีย
ประการแรกจริง แต่ขอค้านประการหลัง
เพราะวิสา หล่อนเล่นกับชาย หล่อนกลับเลอโฉม ยิ่งโดนเล้าโลมมากเท่าใด ผิวพรรณยิ่งผ่องใสมากเท่านั้น
ทุกวันคืนหล่อนมีความสุขที่สุดกับผัวทั้งสอง
ครั้งหนึ่งที่ต้องจากหล่อนไปกรุงเทพฯ เพื่อธุรกิจที่มีอยู่นั้น
หล่อนก็ว้าเหว่...คิดถึงผัวน้อย...
และยามที่ผัวน้อยกลับมา...บังเอิญให้ผัวหลวงต้องมีอันจากไป...
หล่อนก็คิดถึงผัวหลวง...ดังนั้นเรื่องของเรื่องจึงอวสานลงแต่เพียงนี้...