บทที่ ๔
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ได้แท้กับครอบครัวของแขกบาเลย์
เฉพาะอย่างยิ่ง...บาหยัน
คนที่เกลียดชังจับใจก็คือบรรดาลูกหนี้ทั้งหลาย ซึ่งเบ็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด
ก็น่าเห็นใจหรอก คนให้กู้อยากได้ดอกเบี้ย คนกู้ก็ไม่อยากชำระทั้งต้นและดอก
เจ้าหนี้มันอยากหน้าเลือด อำมหิต ไม่เคยมีใจการุญต่อลูกหนี้คนใดเลย
ลูกหนี้ยามเลือดเข้าตา ดอกเบี้ยเท่าไรก็เอา ถึงคราวส่งดอกกลับยักท่าเล่นองค์ราวกับเป็นเจ้าหนี้ของคนให้กู้ขอหนี้สินคืนเหมือนขอทาน พวกอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง
ทัศนะของเจ้าหนี้กับลูกหนี้ เดินสวนกันอย่างนี้ทุกราย ผิดถูกก็ไปทะเลาะกันเอาเอง
การทวงหนี้ก็เป็นเรื่องกวนอารมณ์พอดู นี่มิใช่เข้าข้างเจ้าหนี้คนใดเลย
ลูกหนี้ที่อับจน ก็มักยอมให้เจ้าหนี้ก่นด่าจนเหนื่อยหอบ จิตเจตนาไม่คิดอยากโกงหนี้ แต่มันไม่มีจะให้จึงต้องทนยอมให้โขลกสับเหมือนคนหน้าด้าน ถ้าไม่เป็นหนี้แล้วจะยอมให้ขนาดนี้หรือ
เพราะเหตุนี้เอง จึงเพาะให้คนทวงหนี้เหิมเกริม ปากร้ายและดูถูกคนอย่างร้ายกาจ
บาหยันติดตามไปทวงหนี้กับป๊ะบ่อย ๆ นิสัยชั่วทรามก็ติดตัวให้คนเกลียดมากขึ้นทุกวัน
บาหยันไม่ใช่คนสวยงาม ซ้ำยังดำเป็นตอตะโก กลายเป็นปมด้อยให้คนขอดข้อนสนุกปาก นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่ประดาลูกหนี้ทั้งหลายคิดแก้แค้นได้
คนจะเลวร้ายไปหมดไม่มีส่วนดีเลย ไม่มีหรอก ดุจดั่งบาหยันปากร้ายรูปชั่วตัวดำ
ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีพวกหนุ่มวัยรุ่นตาเป็นมันจับกลุ่มคิดฉุดไปสะบึมส์หรือ
อย่าเพิ่งใจร้อน แล้วจะรู้เองดียังไง
คนจ้องกับคนเมินเป็นธรรมดาอยู่เอง คนไม่รู้ตัวย่อมพลาดท่าเสียที
หากรู้ตัวล่วงหน้ายังแต่ให้ฉุดไปสะบึมส์ มันก็สมใจทั้งผู้ฉุดและผู้ถูกฉุดแล้วมิใช่หรือ
บาหยันถูกฉุดไปลงแขกเมื่อใด บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายคงแสดงความยินดีสุดเหวี่ยงทีเดียว
น่าเสียดายที่มีผู้ไปขัดความสุขของผู้ฉุด ขัดความเบิกบานสำราญใจของบรรดาลูกหนี้ทั้งหลาย
ไอ้คนที่เสือกไปช่วยดันชื่อปรีชาซะนี่
เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ บาหยันถูกฉุดกลางวันแสก ๆ กลางทุ่งไม่มีคนเห็น
จำเพาะทุ่งนั้น ปรีชาประกาศขีดเบ็นอาณาจักรแห่งความปลอดภัยไว้แล้ว ดันไปพบจังหน้าด้วย
"ปรีชา....ปรีชา....ช่วยด๊วย...ช่วยด้วย..."
บาหยันกู่ก้องร้องหวีดโวยวายลั่น ปรีชากำลังจะเดินกลับบ้านได้ยินเสียง นึกฉุนพวกเดียวกัน ห้ามไม่ฟัง และโกรธตัวเองที่เสือกกลับเอาตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี
ให้เกลียดชังอย่างไรปรีชาก็ทนดูไม่ได้ พอแลเห็นไม้กระทู้เครื่องทุ่นแรงเหมาะมือ ก็โผนไปคว้ามายึดไว้หมายจะทำท่าขู่ให้พวกเดียวกันทิ้งเหยื่อด้วยความจำใจแท้ๆ
ระยะทางร้อยเมตรวิ่งอกตั้งไม่กี่อึดใจก็ถึง ทั้งที่จงใจให้ล่าช้าเปิดโอกาสให้หนี พวกฉุดถือว่ามีสามคนฮึดสู้ ปรีชาเดือดดาลนัก แผดเสียงร้องด่าล่วงหน้าไป
"ไอ้โคตร....กูบอกแล้วไม่เชื่อ เสือกมาฉุดให้กูเห็นตำตาทำไม ?"
ห่างไม่ถึง ๓๐ เมตร ต่างแลเห็นหน้ากันชัด ไม่ใช่พวกเดียวกับตน
กลายเป็นพวกศัตรูร้ายของตนไปฉิบ....!
นักเรียนตีกันถือเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
ปรีชาห้ามล้อกึกมองศัตรูของตนด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลน ถุยใส่ตรง ๆ
“ถุย…! จะตีก๊ะพวกมึงก็พลอยลากเอาชื่อกูพลอยเสียไปด้วย"
"พวกกูแกล้งทำหยามหน้ามึงหรอกเว้ย ไอ้สัตว์!"
"อ๋า....! อย่างนี้ก๊อเรี่ยมน่ะซิ ทูนหัวของเรียม ได้...ได้...มึงไม่เข้ากูเข้าก่อนก็ได้วะ"
ปรีชาลากกระทู้เข้าใส่แบบเสือลากหาง หมุนควงตีดะเข้ากลางกลุ่ม ถูกใครก็ชั่งหัวมัน ขอชิงลงมือก่อนได้เปรียบกว่า เก็บได้มากเท่าไรก็ยิ่งเจ็บตัวน้อยลงเท่านั้น ทั้งสามไม่มีอาวุธที่มีอานุภาพพอ ๆ กันจะปะทะ พากันกระโจนถอยกรูดไปตั้งหลัก วนเวียนหาโอกาสเพื่อรุมสะกรัมให้เต็มที่
เสียงหวีดร้องของบาหยันดังไม่เบา บังเอิญพวกเลี้ยงวัวลูกสมุนพี่ชายเดินผ่านมาสองคน .. บาหยันรีบจาระไนไขความไม่รอช้า คราวนี้ก็เป็นสามต่อสาม
คนมีชนักติดตัวมักจะคิดหนีมากกว่าสู้ ดังนั้นการหนีไม่เหลียวหลังก็เกิดขึ้น หนุ่มเลี้ยงวัวสองคนไล่กวดตาม ปรีชากลับยืนเฉยควงไม้ในมือหัวเราะชอบใจลั่นทุ่ง
บาหยันเดินเข้าไปหาร้องบอกเสียงสั่น ๆ
"ขอบใจมากปรีชา ไม่งั้นเรา....เราไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว"
"ไม่ต้องขอบใจ... ไม่ต้องขอบใจ ผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยไปอย่างนั้นเอง"
บาหยันเม้มปากอย่างขัดเคือง ถลึงตาใส่ดุร้าย ชั่วพริบตาก็คลายสีหน้าลงถามเสียงอ่อย ๆ
"ปรีชายังเคืองฉันไม่หายหรือ ?"
“เอ๊ะ...นี่เราโกรธกันตั้งต๊ะเมื่อไหร่ ?" ปรีชาแสร้งทำหน้าเลิ่กลั่กยียวนใส่อย่างขวางตา
"ไม่โกรธก็ไม่โกรธ พาเรากลับบ้านด้วยซี"
"มาได้ก็กลับไปเองซี ใครใช้ให้มาล่อตาไอ้พวกนั้นมันฉุดมาสะบึมส์ล่ะ"
"เค้าตั้งใจมาหาตัวที่บ้านต่างหาก"
"เราไม่พูดกันมานานแล้ว มาหาทำไม ?"
ทั้งสองเถียงกันเหมือนทารกเล่นกัน นี่ก็คือความเคยชินของคนทั้งสอง บาหยันว่า
"ไอ้พวกนั้นมันบอกกันว่า เราเป็นแฟนนาย ฉุดไปหยามน้ำหน้ามันถอะ"
"ปากหมา ! แฟนนายปรีชาไม่ดำเป็นดินปืนอย่างนี้หรอก อย่างน้อย...."
"เออ....เราก็อยากดูนักจะสวยซักแค่ไหน ดำๆ อย่างนี้ควงแฟนหล่อกว่าตัวเยอะแยะ"
บาหยันกระแทกเสียงใส่อย่างโกรธงอนไม่ต้องใจ ปรีชาหัวเราะไหล่กระเพื่อมไม่มีเสียง ท่าเหยียดหยามยียวนพิลึก เหวี่ยงไม้ในมือเป็นวงโค้งไปไกล หันหลังออกเดินกลับบ้านทันที
"ปรีชา ใจเธอดำยิ่งกว่าหมึก ฉันเกลียด เกลียด....ไม่ต้องการเห็นหน้าอีก"
บาหยันทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้โฮออกมา ด้วยฤทธิ์โมโหอัดแน่นอก ปรีชาเบรคกึกหันกลับมาดูด้วยสีหน้าตื่น ๆ เหลียวซ้ายและขวาวุ่นวายร้องห้ามว่า
"แหกปากร้องไปได้ ใครไม่รู้ก็ว่าเราปลุกปล้ำรับเคราะห์แทนไอ้พวกนั้นไป"
"จะร้อง....จะร้องให้ดังกว่านี้"
บาหยันแผดเสียงดังคับทุ่ง ปรีชาหันหลังกลับก็วีงถลาเข้ามาหากระหืดกระหอบว่า
“จะหนีเราไปไหน ?"
ปรีชาถูกกระชากจนเซถลา ตั้งหลักได้ก็มองหญิงสาวอย่างเคือง ๆ ครั้นเห็นบาหยันหัวเราะคิกทั้งน้ำตาก็ทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งว่า
"หัวเราะอะไร ไม่เห็นขำเลย"
บาหยันยกชายเสื้อเช็ดน้ำตาเปิดพุงให้เห็น ปรีชามองหน้าท้องตรงสะดือหญิงสาวอย่างฉงน
ขนสลวยดำลางเลือนเป็นทิวลามถึงลิ้นปี่ มองหน้าก็แลเห็นหนวดบนเรียวปาก มองแขนก็มีขนปกคลุมดำราวกับผู้ชาย มองหน้าแข้งก็มีขนดกเช่นผู้ชายอีก
ทั้งร่างคล้ายคลุมด้วยขน ละเอียดอ่อนจาง ๆ อยู่ชั้นหนึ่ง กระทบแสงแดดเป็นเงาระยับน่าพิศวง
ทั้งสองหาได้มีจิตใจเกลียดชังต่อกัน ลึกซึ้งจริงจังไม่ เป็นด้วยอารมณ์ของวัยรุ่นที่คิดจะเอาชนะแก่กัน ขิงก็ราข่าก็แรง กลายเป็นโกรธเคืองกันเหมือนเด็ก ๆ ใครง้อก่อนคนนั้นก็เป็นฝ่ายแพ้
ปรีชาช่วยเหลือบาหยัน หาใช่ความรักยุติธรรมไม่ ช่วยอย่างชนิดคนที่มีจังหวะ คอยทีท่าจะหาทางประชดแดกดันเยี่ยงผู้มีชัยชนะเหนือกว่า ครั้นบาหยันงอนง้อก็อดจะหยิ่งภาคภูมิใจไม่ได้
ร่มไม้ใหญ่ข้างทางเดิน กลายเป็นที่นั่งพักหลบลมร้อนของคนทั้งสองชั่วคราว บาหยันแย้มยิ้มให้เริงร่า อาการหยิ่งยโสไม่มีเหลืออยู่ เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังเสียงแจ๋ว
"แหม! ทีแรกใจหายโม้ด คิดว่าไม่รอดตัวแน่แล้ว พอเห็นปรีชาดีใจสุดขีด ถึงอย่างไรปรีชาก็ต้องช่วยเราแน่ พวกนั้นตั้งสามคน ยังไม่กล้าสู้ปรีชาคนเดียวเลย เพิ่งรู้ว่าเก่งจริงๆ"
ปรีชารู้สึกปลื้มเปรมเทบลอยจากพื้น เห็นเป็นต่อถือโอกาสทำปั้นปึ่งถามเสียงห้วน ๆ ไม่สนใจ
"จะไปหาเราทำไม เราไม่พูดกันมานานแล้ว ยังอยากจะพูดกับเราอีกหรือ?"
"วันนั้นพูดผิดหูคำเดียว ผูกใจเจ็บโกรธเอาจริงจังหรือ เป็นนักเลงเค้าต้องใจหนักแน่น..."
"ใครบอกเราเป็นนักเลง เราเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ยอมหนีคนต่างหาก" ปรีชาว่า
"เราโกรธกันเกือบปี เพราะเรื่องขี้หมาก้อนเดียว ไม่น่าเลยนะ" บาหยันโอนอ่อนให้
"ดีกันก็ได้ แต่จะให้เหมือนเก่าไม่เอา"
"เอ๊ะ! ทำไมล่ะ ?" บาหยันร้องถามดัง ๆ
"ไม่อยากให้ใครๆ ต่อใครเข้าใจผิดว่า เราเป็นแฟนกัน" ปรีชาบอกตามตรง
"อ๋อ ปรีชากลัวแฟนจะโกรธใช่มั้ยล่ะ ?"
"เรายังไม่มีแฟน แต่ไม่อยากให้เพื่อน ๆ ล้อ"
"ปรีชาอายที่มีแฟนรูปร่างดำปี๋อย่างเราเหรอ ?" บาหยันถามเสียงเครือ
"เราไม่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจผิด ๆ ต่างหาก" ปรีชาแก้ตัวน้ำใส ๆ
บาหยันจ้องหน้าปรีชา คาดคั้นถามจริงจังว่า
"หากเราเป็นแฟนกันจริง ปรีชาอายเพื่อนมั้ย "
"เราไม่ได้รักกัน อายมันทำไม ?"
น้ำเสียงปรีชาบอกชัด ไม่ต้องการบาหยันเป็นแฟน มองกระจกแล้วตนเองยังน่าดูกว่าบาหยันมากนัก หากจะมีแฟนก็ไม่ต้องการคนรูปร่างดำเป็นถ่านอย่างนี้
บาหยันก็หยิ่งในตัวเอง ถึงจะไม่สวยก็ยังมีเงินใช้สอยมากกว่าสาวสวยมากมาย เบ็นลูกสาวเศรษฐีเงินกู้ที่ใคร ๆ พากันงอตัวให้มากมาย ปรีชาก็เคยเป็นลูกหนี้ตนบ่อย ๆ
ทิฐิคนทั้งสองเกี่ยงกันตรงนี้เอง เรื่องราวจึงวกวนเหมือนเด็กเล่นขายของกัน ไม่มีใครยอมลงให้แก่กัน ทิฐิคนทั้งสองแรงกล้ามากจะหาจุดลงเอยต่อกัน อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์
เท่าที่ต่างอ่อนข้อให้กันคนละครึ่ง คบหากันได้เหมือนเก่าก็นับว่ายุติข้อพิพาทได้แล้ว ทั้งสองคืนดีกันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่สนิทกันดีเหมือนเก่า คล้ายดังมีช่องว่างเกิดขึ้นขวางกั้น ไม่มีใครยอมลู่ช่องว่างนั้น ให้อีกฝ่ายหนึ่งเก็บเอามาว่าเสียดสีให้ในภายหลัง.
บทที่ ๕
บ้านชายทุ่งชั้นเดียว ค่อนข้างเก่ามากแต่ไม่ถึงกับคร่ำคร่า ไม่ได้ปลูกโดดเด่นแยกจากบ้านอื่น มีรั้วรอบขอบชิดล้อมที่ดินของตนเป็นสัดส่วน อยู่ริมสุดกว่าบ้านอื่นจึงรับลมทุ่งได้เต็มที่
บ้านและที่ดินเป็นสมบัติของสามีที่เหลือไว้ให้สาครอยู่กับลูกทั้งสามตลอดมา ลูกสาวคนโตเรียนต่อได้เพียงครึ่งปีก็ตัดสินใจลาออกแต่งงาน ไปทำหน้าที่แม่บ้านของผู้พิพากษาผัวหนุ่ม ซึ่งย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นต่อ น้ำใสจึงนำน้องชายคนเล็ก ไปอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาต่อแทนมารดา
ภาระหนักอึ้งหลุดจากอกเปลาะใหญ่ ปานยกภูเขาหลวงออกจากอกก็ว่าได้ เหลือปรีชาคนเดียวอยู่กับหล่อนตลอดมาเพียงคนเดียวทำให้สาครกลัดกลุ้มสุดขีดหนักกว่าภูเขาถล่มทับทรวงเสียด้วยซ้ำไป
ฝนกำลังตั้งเค้ามาทำท่าตกใหญ่ ลมทุ่งที่พัดโกรกไม่ขาดสาย เริ่มกรรโชกพัดกระแทกกระทั้นม่านหน้าต่างสะบัดเลียงดังพึ่บพั่บ อากาศค่อยสลัวลงทีละน้อย
สาครอยู่กับบ้าน สวมเสื้อหลวมกว้างนุ่งกางเกงแพรสีเขียวเข้ม นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นที่เช็ดถูทำความสะอาดจนขึ้นมัน อีกผู้หนึ่งเบ็นหนุ่มแล้ว นอนคว่ำหน้ากับตักนุ่ม มือโอบรัดรอบเอว คล้ายกับจะอ้อนเอาสิ่งใดสึ่งหนึ่ง ใบหน้าสาครยิ้มน้อย ๆ มือลูบไล้เส้นผมหยิกหยองประกายตาสุกใสบอกรักสนิทใจ
หนุ่มที่ซบเกลือกตักนุ่มก็คือบาลัมนันเอง....
อา....ท่าทีคนทั้งสองมีอาการพิกลเสียแล้ว ลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว
มองเผิน ๆ บาลัมอายุแก่กว่าลูกสาวคนโตเพียงปีเดียว พอจะเป็นลูกชายของหล่อนได้สบายมาก คนทั้งสองรักใคร่กันอีกแบบหนึ่ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นรักพิศวาสต่อกัน
มองให้ซึ้ง ๆ บาลัมหน้าตาคมคายหล่อเหลา เป็นหนุ่มที่แข็งแรง มีหญิงหลายคนไม่รังเกียจจะเป็นคู่พิศวาส
บาลัมเอง ก็ได้ชื่อเป็นผู้ช่ำชองในดงกามจนมีชื่ออื้อฉาว เก็บดอกเบี้ยพิศวาสกับลูกหนี้ที่เป็นหญิงอย่างพิสดาร ไม่เลือกหญิงนั้นจะมีสามีหรือไม่ ไม่รังเกียจอายุอานามอีกด้วย
สาครเล่า วัยสามลิบเศษ ๆ กำลังอยู่ในสภาพแข็งแรง รูปกายเต่งตึง ตกพุ่มม่ายมานานถึงหาปีกว่า ย่อมมีจิตใจว้าเหว่กระสันสวาท มาพบกับบาลัมซึ่งเป็นหนุ่มวัย ๒๐ ไม่รังเกียจวัยเยี่ยงนี้ มีหรือคนทั้งสองจะไม่ภิรมย์สวาทชื่นก่อกันลับ ๆ อาศัยความสนิทสนมกันบังหน้าให้คนไม่กล้าคิดเหลวไหล
ความจริงหาใช่เป็นดั่งนี้ไม่ สาครรู้เต็มอก บาลัมรักน้ำใส ให้ความช่วยเหลือในด้านการเงินทุ่มเทให้ไม่เสียดาย หล่อนไม่รังเกียจหนุ่มต่างเชื้อชาติศาสนาผู้นี้ หากน้ำใสรักด้วยก็ไม่ขัดขวางใด ๆ จนใจที่น้ำใสมีคนรักที่ดีกว่าและเหนือกว่ามาก หล่อนได้แต่เก็บความสงสารเห็นใจไว้ในอก
ทุ่มเงินช่วยเหลือให้มากมายแล้วยังผิดหวังรุนแรง หัวอกใครก็ต้องเจ็บช้ำขมขื่นและคิดแค้น บาลัมก็ไม่นอกเหนือไปกว่า เว้นแต่ไม่มีความแค้นเคืองใดๆ กับครอบครัวนี้
"ผมรักน้ำใส ทุ่มเททุกอย่างให้ไม่เสียกาย จุดประสงค์ต้องการให้หญิงที่ผมรัก มีความสุขสมตามที่ต้องการ น้ำใสพบความสุขสมและได้ดีเกินหน้าอย่างนี้ ผมก็ชื่นใจและดีใจที่เขามีวาสนาสูงมาก ผมไม่โกรธน้ำใสเพราะน้ำใสไม่ได้บอกรักผมแล้วมาทรยศที่หลัง ความผิดหวังเสียใจย่อมมีอยู่เป็นธรรมดาครับ"
บาลัมสารภาพกับหล่อนด้วยใบหน้าหมองคล้ำเศร้าสร้อย น้ำเสียงขมขื่นเจ็บปวดคับแค้นใจยิ่ง พยายามฝืนยิ้มปลอบหัวใจตนเอง หล่อนพลอยรู้สึกเวทนาเห็นใจรักสลายของเขายิ่ง ปลอบเอาใจว่า
"อาเห็นใจบาลัม อาให้โอกาสบาลัมมาเต็มที่แล้ว บาลัมไม่อาจเอาชนะใจน้ำใสได้ อารักลูกสาวเอ็นดูบาลัมก็อยากให้แต่งงานอยู่กินกัน แต่อาก็ถือสุภาษิต ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่"
"ผมไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าใคร เพียงแต่น้อยใจในวาสนาของผมไม่เทียมเท่า ผมรักน้ำใสไม่ใช่เวลาวันสองวัน รักมาหลายปี กระทั่งฝังรากหยั่งลึกในหัวใจ เมื่อรักโค่นลงแตกกระจาย ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่เกิดความเสียดายอาลัยรักสุดแสน อาคงไม่ว่าผมเบ็นคนอ่อนแอนะครับ"
สาครส่ายหน้ายิ้มให้อ่อนหวานว่า
"อารู้รสชาติความสูญเสียเผ็ดแสบเพียงใดมาแล้ว น้ำใสไม่ผิดกับตายจากบาลัมไปชั่วชีวิต อาก็ใจที่ลูกสาวได้ดีมีสุข ในทำนองเดียวกันก็เวทนาบาลัมที่ผิดหวังในชีวิต เสียดายการทุ่มเทของบาลัมให้มามากมาย อาจะไม่ยอมให้พลอยสูญสลายกลายเป็นอากาศธาตุ บาลัมจะต้องได้กลับคืนมาแน่นอน ขอเพียงให้เวลาอาอีกสักหน่อย จะค่อย ๆ ให้คืนจนหมดสิ้น"
บาลัมจับมือหล่อนบีบเบา ๆ กล่าวเสียงเครือ
"อาอย่าพูดอย่างนั้น ผมได้บอกอาแต่แรกแล้ว เป็นการช่วยเหลือที่ไม่หวังผลตอบแทน"
"บาลัมก็อย่าโกหกตัวเอง บาลัมหวังผลอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่เกิดผลตามที่ต้องการ บาลัมให้ความช่วยเหลือบริสุทธิ์ใจเพราะรักน้ำใส อาจึงยอมรับการช่วยเหลือเพราะคิดว่าการช่วยเหลือคนที่ตนรักเป็นเรื่องธรรมดา แต่ภายหลังบาลัมผิดหวังในการช่วยเหลือ อาไม่อาจทำไม่รู้ไม่ชี้"
"หากอาพูดอย่างนี้ก็เหมือนซ้ำเติมผมตรง ๆ อายอมรับการช่วยเหลือ คิดอย่างไรผมก็คิดอย่างนั้น ผมคืนคำก็เหมือนผมถ่มน้ำลายไปแล้วเลียกลับคืน"
"บาลัม ไม่ไช่เงินเล็กน้อยนะ ขอให้...."
"อาสาครจะทำให้ผมดูถูก อาเสแสร้งทำเป็นรักผม พรางผมด้วยการหลอกลวง ความรักนับถือที่ผมมีต่ออา เหมือนแม่ของผมคนหนึ่งพลอยเสื่อมค่าลงหมดสิ้น อาไม่ได้รักเอ็นดูผมเหมือนลูกคนหนึ่งหรือ?"
"น้ำใสแต่งงานเป็นสุขไปแล้ว"
"เลิกพูดถึงน้ำใสชั่วคราว แต่ก่อนบ้านเราอยู่ชิดติดกัน อาเคยกอดรัดจูบผมและรักเอ็นดูผมสนิทใจ เป็นเพื่อนเล่นของลูก ๆ อามาจนอาผู้ชายตาย จึงแยกไปอยู่ในเมือง ความสนิทสนมแต่ก่อนร่อนชะไรยังมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ผมเปลี่ยนรักของเด็กมาเป็นรักของหนุ่มสาวที่มีต่อน้ำใส อายินดีเปิดทางให้ไม่กีดขวาง แสดงถึงน้ำใจรักของอาที่มีต่อผมนั้นมากมายเพียงใด ผมเป็นลูกเขยไม่ได้ก็ขอเป็นลูกชายอาอีกคนเหมือนก่อน ๆ อาจะใจร้ายถึงกับตัดรอนไมตรีอย่างเหี้ยมเกรียมหรือ ?"
บาลัมกล่าวไม่ผิด หล่อนรักเอ็นดูเขาเสมือนลูกคนหนึ่ง นิสัยของบาลัมทำให้เกิดเอ็นดูจากใจจริง สามีเคยเปิดใจให้ฟัง หากเด็กรักกันและบาลัมไม่เปลี่ยนนิสัยจากเดิม ก็ไม่ควรกีดกันเด็กเพราะเชื้อชาติศาสนา หล่อนเห็นพ้องด้วยทุกประการ
ความประพฤติของลูกคนอื่นกับลูกตน เป็นข้อเปรียบเทียบเด่นชัด ผู้เป็นสายโลหิตนำแต่เรื่องกลัดกลุ้มใจมาให้แทบไม่เว้นแต่ละวัน ลูกคนอื่นกลับประจ๋อประแจ๋อยู่ใกล้ชิดปลุกปลอบให้กำลังใจสาคร ในยามว้าเหว่และคับแค้น ค่อยเบนความรักในสายโลหิตมาให้กับลูกคนอื่นด้วยเหตุนี้
มือลูบไล้เส้นผมหยิกหยองบนหัวผลักไหล่ว่า
"ฝนทำท่าจะตกหนัก ไม่ไปดูแลฝูงวัวฝูงแพะบ้างหรือบาลัม ?"
"พวกคนงานจัดการเองครับ" บาลัมว่า
"หนีงานมาแอบนอนอย่างนี้ ป๊ะรู้เรื่องเข้าจะถูกดุ อย่าทำให้ป๊ะเสียใจซี"
บาลัมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ คางวางลงกลางแอ่ง ปากจมูกแนบติดท้อง คางที่ถูไถกับชายสามเหลี่ยมทองคำโดยไม่เจตนา สาครรู้สึกพิพักพิพ่วนชอบกล ผลักหัวบาลัมออกห่างพลางว่า
"บาลัมโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วยังชอบกลิ้งเกลือกเป็นทารกอีก ลุกขึ้นเถอะ"
บาลัมกลับหัวเราะหน้าทะเล้นล้อว่า
"นั่นแน่ อาหวงตัก คงมีเรื่องลับที่เป็นข่าวมงคลอยู่ในใจเป็นแน่"
สาครหัวเราะเบา ๆ มือบิดไปบนแผ่นหลังเขาแรง ๆ บาลัมสะดุ้งสุดตัวทะลึ่งพรวดขึ้นร้องลั่น
"โอย...โอย.
"หยิกเบา ๆ แค่นี้ทำมารยาปวด...."
ถ้อยคำหยุดชะงักกลางคัน สายตามองใบหน้าเหยเกเจ็บปวดตื่น ๆ ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ...หลังเป็นแผลหรือบาลัม ?"
บาลัมแนบแก้มกับตักนุ่มอีกครั้ง สาครเลิกชายเสื้อขึ้นแล้วร้องอุทานเสียงแตกตื่น
แผ่นหลังขึ้นเป็นลำดำปึ้ดคล้ายถูกฟาดมาอย่างแรง มือลูบไล้ไปบนแผลแผ่วเบาถามต่อ
"ไปตีกับใครมาบาลัม ?"
"ตีกับป๊ะครับ" บาลัมตอบพลางสูดปาก
"ไปทำอะไรมาถึงถูกหวดอย่างนี้ล่ะ ?"
บาลัมนิ่งไม่ตอบ สาครโยกไหล่บังคับ บาลัมซุกหน้ากับตักบอกเสียงแทบไม่ได้ยินว่า
"เรื่องวัวที่ผมทำหายตัวนั้นแหละครับ"
วัวตัวนั้น เรื่องมันนานมาเป็นปีแล้ว บาลัมแอบนำไปขายพร้อมกับแพะอ้วนอีกสองตัว นำเงินมาจุนเจือครอบครัวของหล่อน บาลัมรับรองแข็งขัน เรื่องนี้จะไม่มีวันล่วงรู้ถึงหูบาเลย์เด็ดขาด
สาครใจไม่ดีตลอดเวลา ครั้นเรื่องเงียบหายก็พลอยลืมเลือน บาเลย์รักเงินยิ่งกว่าพระเจ้าที่กราบไหว้บูชา บาลัมจึงถูกเจ็บมาอย่างหนัก ม่ายสาวใหญ่รู้สึกตื้นตันคอหอยแทบสะอื้นออกมา
"ลุกขึ้นเถอะ อาจะไปเอายาหม่องมาทาให้"
"ไม่ต้องหรอกครับ สองวันก็หายเอง"
ม่ายสาวใหญ่บิดหูแรง ๆ ดึงหัวจากตัก ลุกสู่ห้องนอนหยิบตลับยาทาแก้เคล็ดบวม บาลัมตามเข้ามาในห้อง กอดรัดเอวทางด้านหลัง หล่อนบังคับเสียงเข้ม
"ถอดเสื้อออกเร็วเข้า อย่าดื้อน่า"
บาลัมถอดเสื้อออกโยนไปทางหนึ่ง ดึงมือหล่อนให้นั่งบนขอบเตียง ตนเองคว่ำหน้ากับตักนุ่มโอบรัดรอบตะโพก ซุกปากจมูกแนบติดท้องสูดกลิ่นหอมตาหลับพริ้ม ปล่อยมือทายาบนหลังอย่างสุขใจ
"เล่ารายละเอียดให้ฟังบ้างซิ"
"ป๊ะรู้ก็หนวดสั่น คว้าตะพดหวดควายประเคนเข้าให้ ผมก้อวิ่งจากบ้านเปิดแน่บมา"
บาลัมเล่ารวบรัดพลางหัวเราะเสียงร่าเริง สาครรู้สึกปวดใจที่เขารับโทษเพราะหล่อนแท้ ๆ
ข้อเท็จจริงหาใช่เหตุนี้ไม่ บาลัมแอบทำรัฐประหารใต้ดินกับแขกบาเลย์ ยักยอกเบียดบังผลประโยชน์มหาศาล นำไปพร่าผลาญเล่นอย่างสนุกมือ อะไรก็ไม่เจ็บปวดหัวใจเท่า ตนออกเงินกู้กินดอก ลูกชายกลับยักยอกเงินไปชำระแทนลูกหนี้ แลกกับรสพิศวาสของลูกหนี้อย่างชุ่มโชก บาเลย์แค้นจนหนวดกระดิก คว้าตะพดได้ก็เผ่นเข้าตีกบาลเต็มเหนี่ยว บาลัมหันหลังเผ่นหนี หลังก็เลยรับเคราะห์แทน
บาลัมพลิกตัวนอนหงาย จับมือนุ่มมาจูบหนักๆ หลายครั้งติดกัน เคราบนแก้มโกนใหม่ ๆ เหมือนตุ่มหนามแหลม ถูไถไปบนหลังมือนุ่มและกลางใจมือ คันคะยุกคะยิกให้ความสุขอันพิสดาร
ตักนุ่มที่เป็นเนื้ออ่อน เคราหนามไม่อาจแทงทะลุกางเกงแพรก็จริง ยามถูไถเน้นคลึงไปมาทำให้กระเดี๋ยมซ่าน คางวางตรงร่องชายสามเหลี่ยมทำให้ใจวิบวับ ชายเสื้อหลวมกว้างสั้นเต่อแค่เอว ปากจมูกของบาลัมสูดไซ้เนื้อกลิ่นบนแผ่นท้องบริเวณสะดือ ซ้ำมีเคราหนามรากไถให้เกิดสุขพิสดารยิ่งขึ้น
"บาลัมนอนบนเตียงให้สบายก็ได้นะ"
สาครบอกพลางลุกขยับให้เขานอนสะดวก บาลัมกลับเหนี่ยวไหล่มนให้หงายร่างลง ม่ายสาวใหญ่ทานแรงไม่ไหวและไม่ทันรู้ตัว เสียหลักหงายร่างลงพร้อมกับเสียงร้องอุทานแหลม
ปากจมูกบาลัมฝังไปบนกลางสามเหลี่ยมพอดี !
มันเบ็นอุบัติเหตุมากกว่าจะจงใจให้เกิดขึ้น สะดุ้งแล้วใจหักหวำเสียวนืดจนสยิวเยือก
ปากบาลัมเม้มกลางร่องเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวก็เรียกเลือดในกายไหลพล่านรุนแรง.
บาลัมไม่มีเจตนาในการกระทำ เงยหน้าขึ้นก่อนที่ม่ายลูกติดสามจะทันขยับตัวด้วยซ้ำ ใบหน้ายิ้มระรื่นกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะขบขันว่า
"ถูกหวดอีกครั้ง ไม่ถึงกับช้ำงอมจนต้องนอนพักฟื้นหรอกครับอา"
สาครพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้เป็นปกติ ลุกขึ้นนั่งว่า
"อาเห็นเจ็บหนักก็อยากให้นอนพักผ่อน เมื่อไม่นอนก็ไม่ขัดใจ"
"ผมนอนหนุนตักอาสุขใจกว่า แต่อากลับไม่อยากให้ผมแตะต้องตัก"
บาลัมพ้อให้ และขยับจะลุกนั่ง หล่อนดึงเขาให้นอนลงดังเดิมยิ้มให้ว่า
"ไม่รังเกียจ แต่หนักจัง บาลัมไม่ใช่เด็กแล้วอย่าหนุนให้นานนัก"
บาลัมหลับตานำมือหล่อนมากุมกอดแนบอก นิ้วคลึงเล่นบนกลางใจมือเบา ๆ พึมพำว่า
"ผมอยากนอนหนุนตักแม่ แต่แม่มักจะไล่ตะเพิดเสมอ ไม่เคยยอมให้เลยครับ"
สาครสะเทือนใจยิ่งนัก ตนอยากให้ปรีชานอนหนุนตักประจ๋อประแจ๋แก้เหงา ปลุกปลอบหัวใจยามอ้างว้าง ปรีชากลับไม่เคยอยู่ใกล้ชิด นอกจากเวลากินกับนอนเท่านั้น
กลางใจมือถูกคลึงแผ่วไล้แล่นไปมา สาครรู้สึกซาบซ่านต่อรสพิสดารไม่คิดชักมือกลับพลางว่า
"บาลัมอยากหนุนตักแม่เมื่อไรมาหาอา จะให้หนุนแทน แต่อย่าให้นานนักอาหนักทนไม่ได้"
"อืมม์ ผมนึกออกแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่หนักเหมือนหนุนตักครับ"
บาลัมลุกขึ้นนั่งช้อนร่างหล่อนอุ้มขึ้นรวดเร็ว วางไปบนเตียงทางริมอีกด้านหนึ่ง จับตะโพกให้พลิกตะแคงเอียงกลับ ล้มตัวนอนขวางเตียงให้ท้ายทอยวางไปบนขาต่างหมอนหนุน ถามยิ้ม ๆ ว่า
"ไม่ทารุณเหมือนตะกี้ใช่ไหมครับ?"
หล่อนพยักหน้าไม่ตอบคำ ตาหรี่หลับลงเบา ๆ ทรวงอกสะท้านนิด ๆ ด้วยแรงหายใจ ปล่อยมือให้เขากุมจูบถูไถไปมา มืออีกข้างลูบไล้ไปบนเส้นผมหยิกหยอง
ต่างเงียบงันไปพักใหญ่
"อาจะไปเยี่ยมน้ำใสเมื่อไหร่ครับ?"
“พรุ่งนี้" สาครตอบเสียงแผ่วหวิว
"อาลาโรงเรียนกี่วัน ?"
"โรงเรียนปิดเทอมแล้วไม่ต้องลา"
"อาจะไปอยู่กี่วันฮะ ?"
"อยากอยู่ให้ครบวันปิด หนีความกลัดกลุ้มไม่สบายใจไปพักผ่อนให้เต็มที่สักครั้ง"
บาลัมลูบแขนนุ่มไปมาเบา ๆ เสมือนปลอบใจ สาครรู้สึกหน้าตักเบาหวิว แล้วอกนุ่มก็ถูกพิงแทน มือที่วางบนหัวจึงเปลี่ยนเป็นโอบรอบไหล่ ต่างนึ่งอึ้งคล้ายจะล่วงรู้ใจกันพักหนึ่ง
"ผมเห็นใจอา อาคิดถูกแล้ว ไปพักให้หายกลุ้มใจค่อยกลับมาผจญกับมันใหม่ก็ดีครับ"
หล่อนนิ่งไม่ตอบ หัวของบาลัมพิงกับหัวไหล่ นำแขนอวบมากอดรัดแนบอก หางตามองใบหน้าผุดผ่องตาหลับพริ้ม จมูกได้กลิ่นอ่อน ๆ จากลมหายใจ บาลัมพลิกตัวไปตามยาวของเตียง
หัววางติดกันแต่เยื้องต่ำกว่า ปากนุ่มวางติดกลางแก้มดงเคราหนาม มือโอบไปรอบตัวเบา ๆ มือข้างที่ลูบหัวหยิกหยอง เปลี่ยนมาเป็นไล้เล่นบนเคราหนามอย่างสุขใจ
"อาจากไปเสียนาน อาได้รับดวามสุขประโลมใจ ผมกลับสูญเสียค่าสูงส่งน่าใจหาย"
"คงไม่ถึงอาทิตย์ก็ต้องรีบกลับ"
"จะรีบกลับมาผจญกรรมทำไมครับ ?"
"มันใช่จะสุขกายสุขใจก็หาไม่ ไปทางโน้นหัวใจก็ผูกพันหวั่นเกรงทางนี้"
บาลัมนิ่งอึ้ง สาครถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ปล่อยมือพลิกตัวนอนหงาย บาลัมเคลื่อนกายตาม แก้มหนาด้วยเคราหนามวางอยู่ข้างซอกไหล่ ปากจมูกวางติดอยู่กับคางมน มือที่กอดรัดเปลี่ยนเป็นวางทับไปบนมือที่วางอยู่หน้าท้องกุมไล้เล่น รำพึงสะทกสะท้อนใจแผ่วเบา
"ความสมบูรณ์ของคนไม่ประจวบเหมาะกัน น่าแค้นนัก ผมน่าจะเกิดมาเบ็นลูกอา ปรีชาน่าจะกลับไปเกิดเป็นลูกป๊ะ"
"อาคงเป็นสุขที่สุดในโลก"
"ผมก็เช่นเดียวกันครับ"
วงแขนทั้งสองคนกลายเบ็นโอบรัดต่อกันแนบแน่น ม่ายสาวใหญ่เกิดความรู้สึกอบอุ่น ดั่งมีลูกรักกอดแนบอกระคนกับความรู้สึกซาบซ่านที่แซมขึ้น ขัดอารมณ์สุขนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ณ บัดนี้ บาลัมก็ได้เกลือกชบไปบนอกนุ่มใหญ่ เพียงสัมผัสก็รู้ได้ด้วยความเชี่ยวชาญ ผ่านความสมบุกสมบันมามากพอแรง กระนั้นก็ยังมีความนุ่มน่าพิสมัยอยู่
บาลัมซ่อนความกระหายไว้มิดเม้น ยังไม่คิดรีบร้อนจะเผด็จสวาทตามที่จ้องมานาน โอกาสเปิดช่องให้กระดืบมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จะลิ้มชิมรสสวาทก็ยามที่ม่ายลูกติดเคลิ้มต่อรสกระสันรัญจวนใจเต็มที่
ถึงยามนั้นแล้วย่อมได้รสโอชาสุดเหยียด...
อา....น่าสมเพชม่ายลูกติดสาม หลงพาซื่อต่อความบริสุทธิ์ใจของฉลามร้าย ถูกลอบเคล้าคลึงไม่รู้ตัว แม้บางครั้งรสกระสันรัญจวนจะลุกฮือวูบวาบขึ้น กลับเข้าใจเอาว่า มันเกิดจากบังเอิญมากกว่า
เพราะบาลัมไม่เร่งร้อน จะจับแต่ก็แสร้งปล่อย พลิกตัวลงนอนหงายเคียงกัน ตาหลับพริ้มอยู่อีกครู่หนึ่ง สมองครุ่นคิดหาวิธีการให้แนบเนียนต่อ ให้ลมสวาทเป่าเปลวปรารถนาร้อนแรงให้ลุกไหม้ขึ้นช้า ๆ จนกว่าลุกฮือโหมเต็มที่ดับไม่อยู่รู้ตัวก็สายเสียแล้ว นั่นแหละจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วนตามที่ตนต้องการ
สาครมิใช่จะสวยหยาดเยิ้มยั่วเย้ากามา งามสมวัยและมีเสน่ห์ของแม่ม่ายติดอยู่ตามธรรมชาติ อีกทั้งมิใช่เป็นคนร้อนแรงด้วยกามตัณหาราคะ ตรงข้าม กลับเย็นชาจนลือชื่อ บาลัมจึงไม่กล้าผลีผลามใส่เช่นเหยื่อรายอื่น ๆ หวั่นเกรงอิทธิพลลูกเขยหล่อน จะตลบแก้แค้นในภายหลัง
แผนจับแต่แสร้งปล่อยของบาลัมก็ได้ผล ม่ายร้างรสสวาทมาหลายปี รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อรสสุขซ่านซึ่งนาน ๆ จะมีสักครั้ง มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามธรรมดา ไร้คุณค่าสำหรับบุคคลอื่น ๆ
เงินบาทเดียวไม่มีความหมายกับคนรวย แต่มันมหาศาลสำหรับกระยาจกเข็ญใจนัก
ถึงอย่างไร กุลสตรีก็ยังมีความละอายบัดสึใจ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ผีสางเทวดาก็ต้องล่วงรู้ ผีสางเทวดาไม่สำคัญเท่าหัวใจตนเอง บัดสีละอายใจจะให้มันเกิดขึ้น
การหลับตาเป็นการดีอย่างหนึ่ง สามารถซ่อนเร้นพิรุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดบาลัมเชี่ยวชาญเอาการ ก็ยังแหยงกลัวจะเผยพิรุธให้เห็น กับทั้งหวั่นเกรงผลการกระทำไม่เกิดผลอีกด้วย
ความอดกลั้นของบาลัมทนอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ สาครไม่พลิกตัวกอดตามดังที่วางแผนไว้ จึงเปลี่ยนใจย้อนกลับไปกอดร่างอวบใหม่และได้รับการกอดตอบเหมือนเดิมก็ว้าวุ่นใจยิ่ง
ครั้งนี้บาลัมเพิ่งมีโอกาสฝังพงหนามที่คางลงบนซอกคออ่อนนิ่มเป็นครั้งแรก ม่ายสาครกระเดี๋ยมสยิวออกมาให้เห็น เกลื่อนเคราหนามบนแก้มกับบ่าอวบอย่างมีเจตนาแอบแฝง ม่ายสาครถอนหายใจเฮือกอย่างไม่อาจสะกดกลั้น หัวเราะคิกออกมาพลางผลักใบหน้าเขาออกห่าง รั้งคอให้ใบหน้ากอดซบกับอกนุ่ม เป็นการป้องกันเคราหนามทำร้ายทางอ้อม
บาลัมร้องโอดโอยในใจ อาวุธพิชิตทางอ้อมถูกสกัด เท่ากับหมดหวังสิ้นเชิง จะถอยผละไว้วันหน้าก็เสียดายจังหวะงดงาม มือกอดรัดร่างอวบซบไปบนอกนุ่มไซ้ไปมาว่า
"ผมไม่ได้สาปแช่ง เรื่องราวในโลกไม่แน่นอนตามที่เห็นเสมอไป มันอาจผันแปรผิดจากที่ตั้งใจไว้ หากน้ำใสแยกทางกับผัว อาจะต้องช่วยพูดกับน้ำใสให้ผมนะครับ"
"บาลัมไม่รังเกียจน้ำใสหรือ ?"
"ผมรักน้ำใส อื่น ๆ ไม่สนใจ ขอเพียงอารับปากคำเดียว ผมก็พอใจแล้วครับ"
สาครถอนใจอย่างเวทนาความรักของหนุ่มต่างเชื้อชาติ ซึ่งมีต่อลูกสาวตนงมงายบ่ายเบี่ยงว่า
"อาไม่อยากคิดไปในแง่ร้ายให้เสียวใจตัวเอง อาไม่อยากทำลายน้ำใจบาลัมด้วย"
"ผมไม่ควรวาดภาพเสียวสยองใจให้อาฟังเลย ยกโทษความเห็นแก่ตัวของผมสักครั้งนะฮะ"
มือนุ่มลูบไล้เส้นผมหยิกหยองบนหัวอย่างสมเพช จังหวะเปิดให้แล้ว ขืนชักช้าทำใจเย็นเช่นครั้งก่อน มีหวังส่อพิรุธชวดเสพรสพิศวาสไปชั่วกาลนาน
บาลัมค่อยขยับจนทับอก แขนสอดรัดร่างอวบแน่นแก้มแนบแก้มผ่องจูบเบา ๆ ที่ติ่งหูครั้งหนึ่งวงแขนอวบรัดกายเขาแน่นกว่าเดิม หนุ่มแขกแอบซ่อนยิ้มอย่างสมคะเน เขยิบอีกนิดริมฝีปากก็วางติดจอนผมริมใบหูเล็ก ปากดูดแผ่วเบาลอบใช้ลิ้นลูบตาม สาครพลิกคว่ำหลบ บาลัมจำต้องเงยหน้าขึ้น
การมองคราวนี้เป็นการมองอย่างใกล้ชิด จึงเห็นสายเลือดจาง ๆ อยู่บนผิวแก้มอิ่ม รั้งใจไม่อยู่อีกแล้ว บาบูหนุ่มจึงกดปากจมูกไปบนกลางแก้มผ่อง ถูนวดด้วยขนหนามตามเชิง
ม่ายสาครดิ้นกระเดียมเช่นเหยื่อสาวทั้งหลายหัวเราะคิกออกมาเบา ๆ ดึงเส้นผมบนหัวเขาออกจากการบดขยี้ บาลัมคลายอ้อมกอดออกมาแตะลงที่เอวเบา ๆ ลูบไล้เล่น
สาครจับมือดึงออกร้องห้าม แต่ไม่ห้ามการกอด ครั้งนี้ บาลัมสอดมือเข้าไปในเสื้อหลวมกว้างแล้ว ขนรุงรังตามท่อนแขนไล้ไปบนแผ่นหลังเนื้อเปล่าให้ซ่านสยิวเพิ่มขึ้น
ม่ายสาวใหญ่ไม่ทันเชิงบาบูหนุ่ม ดิ้นกระแด่วผลักพลิกผสมเสียงหัวเราะ ใบหน้าอิ่มเปล่งปลั่งถูกปากจมูกสูดซบกลิ่น ระคายพงหนามที่ทิ่มตำตามใบหน้าให้จั๊กจี้จั๊กเดียม
ไม่กี่อึดใจก็ชินต่อรสกระเดียมจั๊กจี้ เกิดรสชาติแทรกซ้อนขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง เบ็นรสกำซาบซ่านรัญจวน ลมหายใจเริ่มหอบขึ้นมาน้อย ๆ ใบหน้าค่อยทวีความแดงเข้มขึ้นทีละนิด
ขณะที่ดิ้นถูไถเท้าทั้งสองบิดไปมาด้วยแรงจั๊กจี้พลิกกลับไปกลับมาหาที่หลบเบือน ใบหน้าถูกพรมจูบหนักหน่วงเรียกความรัญจวนวิ่งกระเจิงซ่าน พลิกหลบไปหลบมาริมฝีปากแตะถูกกันไม่ตั้งใจ
อยากดิ้นหลบไปให้พ้น อีกใจหนึ่งก็อาลัยต่อรสชาติชาบซ่าน นานแล้วไม่เคยเกิดขึ้นเลยเกิดแล้วก็ไม่อยากให้มันสูญสลายไปรวดเร็ว บาบูหนุ่มก็ไม่ได้รุกล้ำก้ำเกินชวนให้เอะใจ
ยิ่งนานยิ่งมีมาก มีมากจนรู้สึกไม่ชอบมาพากล เป็นความรู้สึกของสัญชาตญาณ และมีประสบการณ์มาช่ำโชก ความแคลงใจก็เกิดขึ้นมาอย่างสะดุดใจเยี่ยงคนฉลาดมีไหวพริบ
น่าเสียดายที่ม่ายสาครรู้สึกตัวช้าเกินไป กว่าจะรู้เขาคือจิ้งจอกตัวร้ายแอบลอบกัด ร่างกายถูกลอบคลุกเคล้าจนแทบไม่หลงเหลือไปหมดแล้ว
ดิ้นพลิกหลบอ้าปากจะร้องห้ามให้ระงับการกระทำ ปากนุ่มก็ถูกประกบแน่น สะดุ้งเยือกสุดตัวใจคอหาย ร่างอวบถูกรัดแน่นประหนึ่งงูรัดเขียด ร่างหนักอึ้งกำยำของบาบูหนุ่มขึ้นมาทาบทับเบื้องบนไปแล้ว สามเหลี่ยมโอฬารปะทะกับเขี้ยวเล็บจิ้งจอก ม่ายสาวใหญ่ตกใจแทบลิ้นสติ
กำลังดิ้นรนนั้นไม่ต้องพูดถึง ลงถูกประกบแนบเยี่ยงนี้แล้วจะมีประโยชน์ใด ความชำนาญในการหลบหลีกให้พ้นภัย ถูกสกัดไว้ทุกด้านหมดสิ้น
ประหนึ่งลิ่มแข็งแกร่งชำแรกไปบนเนื้อไม้อ่อนนุ่ม ช้าๆ แต่หนักหน่วงมั่นคงยิ่ง ต่อให้มีพลังทัดเทียมกันหรือมากกว่าก็ดิ้นไม่หลุด เพราะลิ่มแกร่งผ่านเยื่อไม้อ่อนหมดสิ้นแล้ว !
ครั้นแล้ว คำร่ำลือที่ไม่เคยนึกเชื่อมาก่อน เป็นประกายวับขึ้นในสมองทันใด
บาบูหนุ่มมาเก็บเงินกู้ทั้งต้นและดอกจากหล่อนแล้ว ไม่ใช่ดอกเงินแต่เป็นดอกพิศวาส !
ม่ายลูกติดขบกรามแน่น เสียรู้เสียเชิงจนเสียตัว ไม่ปรารถนาให้ผู้ชนะเห็นความอ่อนแอและน้ำตาแห่งการสูญเสียเกินค่ากว่าทั้งต้นและดอกมากมายนัก!
ม่ายลูกติดสามลืมตาขึ้นมองหน้าเขาตรงๆ ไม่มีประกายแค้นเคือง ไม่มีประกายพิศวาสรัญจวนใจ มีแต่ความเยือกเย็นเช่นคนปลงตก บาลัมชะงักไม่กล้าดำเนินต่อ หล่อนถามเสียงปรกติ
"นี่คือการทวงทั้งต้นและดอกคืนใช่ไหม ?"
"เอ้อ.. .เอ้อ....ผมไม่เจตนา มัน..มัน..”
"ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ กล้าทำไม่กล้ารับ ขากลับเอาผ้าถุงฉันนุ่งกลับบ้านได้"
บาลัมคว่ำหน้ากับบ่าซ่อนความอดสูสุดขีด สาครกล่าวต่อเสียงปรกติเช่นเคยว่า
"เธอผูกอาฆาตแค้น เพราะลงทุนไปแล้วไม่ได้ลูกสาวฉันสมใจนึก ลงมือล้างแค้นกับผู้เป็นแม่อย่างนี้ คิดดีถูกต้องแล้วหรือ ? ลูกหนี้ทุกคนไม่กล้าพูด เธอก็ย่ามใจมาเก็บดอกพิศวาสจากฉัน เคยคิดถึงผลลัพธ์จากการกระทำ จะสนองตอบกลับไปบ้างไหม ?"
บาบูหนุ่ม ตัวสั่นเบา ๆ หล่อนกล่าวต่อ
"ไม่ต้องขอโทษ ไม่มีการอโหสิ ไม่ต้องยุติการกระทำทั้งมวล จงทำไปตามที่เธอนึกคิดต้องการ ขอบอกเป็นคำขาดให้สำนึกไว้ด้วย ฉันชำระหนี้สินให้หมดแล้วไม่บิดพลิ้ว แล้วอย่าสะเออะหน้ามาเหยียบบ้านฉันอีกต่อไป เร่งรีบเข้า หากปรีชากลับมาเห็น เธอจะลำบาก"
บาลัมนอนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปแล้ว ม่ายสาครจำต้องขยับร่างกายนำขึ้นก่อน
น่าเห็นใจบาบูหนุ่ม ตกอยู่ในท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัว เหยื่อเงินกู้ไม่เคยอย่างนี้สักราย
ทุกคนก็ต้องการอิสรภาพ ทุกคนก็รักชีวิตตัวเอง สภาพของบาบูหนุ่ม ถูกคุกคามในด้านอิสรภาพของร่างกาย ความปลอดภัยของชีวิตอย่างน่าสะพรึงกล้วยิ่ง
อิสรภาพทางร่างกายจากลูกเขย ชีวิตและทรัพย์สินจากน้ำมือลูกชาย เมื่อเพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับบาบูหนุ่มผู้เก็บดอกเงินกู้อย่างพิสดารผู้นี้
พริบตานั้น บาบูหนุ่มก็สำนึกได้ด้วยความเสียใจใหญ่หลวง ได้ไม่เท่าเสีย เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด ถึงจะล้างแค้นล้างอายได้ก็อยู่ต่อไปอย่างคนไม่มีความสุข
กับเหยื่อเงินกู้ทั้งหลาย บาลัมเก็บดอกเบี้ยพิศวาสด้วยอัตราที่เหมาะสมไม่เสียเปรียบนัก
ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปล่อยเลยตามเลย จะทำอย่างไร ? เป็นปัญหาหญ้าปากคอกแท้ ๆ !
บาบูหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ม่ายลูกหนี้นอนสงบเฉยตาหลับพริ้ม ไม่สลัดขัดขวางในการถอดเสื้อ รูดกางเกงทั้งสองตัวและเข็มขัดออกจากกายจนหมดเกลี้ยงตัว
ฟ้าตั้งเค้าดำทมึนกว่าเดิม ลมฝนกรรโชกกระแทกกระทั้นเข้ามา ม่านหน้าต่างสะบัดพึ่บพับด้วยแรงลมอากาศเย็นฉ่ำกว่าปรกติมากมาย คนทั้งสองบนเตียงกลับไม่สนใจสภาพดินฟ้าอากาศ
อกใหญ่นุ่มไปข้างเหลว คล้อยต่ำลงมาหย่อนยานไม่มีสภาพน่าดูเท่าที่ควร เนื้อกายแต่งตึง ใบหน้าสวยพอสมควร กลิ่นกายหอมชื่น ให้รสที่ซาบซ่านพอใช้
ม่ายลูกหนี้รู้สึกถึงความแกร่งกร้าว หนักหน่วงของบาบูหนุ่ม ดุจดังปักษาใหญ่โฉบลงครั้งแล้วครั้งเล่า ไล่ตะครุบลูกแกะกลางทุ่งจิกกินเป็นอาหาร ความหนุ่มและกำยำของร่างกาย อาศัยความชำนาญหลบหลีกการปะทะ ผ่อนหนักเป็นเบา เกิดอารมณ์ร่วม รุกรับขับเคี่ยวตีโต้อย่างสนุกสนาน
หลายปีแล้ว ยังไม่เคยลิ้มรสความสุขสันต์เช่นนี้ ปล่อยออกให้หมดอย่างสะใจไปเสียเลย
บาบูหนุ่มคึกคักกระปรี้กระเปร่า ลูกหนี้ไม่ใช่ท่อนไม้ปราศจากชีวิต การรุกรับตีโต้ย่อมทำให้เกิดรสชาติทับทวีคูณ สนุกสนานสำราญบันเทิงกามอย่างสุดขีด สำแดงความทรหดออกมาให้เห็น
ม่ายสาครถูกถล่มหมอบราบคาบแก้วไปสามพักสามครา เยี่ยงลูกหนี้สาวคนแรก
หล่อนกล่าวขึ้นอย่างแสบหัวใจต่อรสชาติเผ็ดร้อนสะหัวใจตนเองและเจ้าหนี้
"ฉันแก่แล้ว อายุจะสี่สิบซ้ำไม่สวยงามยั่วยวนใจ ได้เสพเคล้าความเป็นหนุ่มรุ่นลูกอย่างถึงอกถึงใจสุดขีด แถมยังได้เงินใช้อีกตั้งหมื่น นับเป็นราคาสูงกว่าสาวบริสุทธิ์หลายเท่า ถ้ายังติดใจ พรุ่งนี้มาใหม่ อย่าลืมนำเงินอีกหมื่นบาทติดมือมาชำระด้วยล่ะ"
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
บาบูกู้ชู้ 2
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น