วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

บาบูกู้ชู้ 1

  
บทที่ ๓
"แชร์พี่รสเมื่อไหร่จะส่งดอกจ๊ะ?" บาหยันถามลูกแชร์
"รอสองสามวันก่อนได้ไหม หมุนไม่ทันเลย"
"พี่รสพูดอย่างนี้เรื่อย ฉันต้องออกเงินแชร์แทนพี่รสทุกครั้ง" บาหยันหน้าง้ำต่อว่า
"พี่ก็ให้ดอกบาหยันนี่นา" รสสุคนธ์เสียงอ่อย
“ฮึ...! ให้ดอก ดอกแต่ละทีกว่าจะได้แทบกระอักเลือดตาย ฉันไม่อยากได้หรอก"
"โธ่ ก้อเห็นอยู่แล้วมันขายไม่ดีจริงๆ ดูซิ ของซื้อไว้เหลือแบะแบน"
"ทุกคนล้วนแต่บ่นขายไม่ดีแต่เขาก็ให้ มีน้อยคนที่ขัดอย่างพี่รส ไม่ละ ฉันถอนตัวดีกว่า"
รสสุคนธ์ตกใจหน้าเสียลงทันใด หากถอนค้ำประกัน เครดิตก็ไม่มี ขณะนี้แชร์กำลังหมุนจี๋อยู่หลายวง หากไม่มีบาหยันค้ำประกัน ทุกคนก็ต้องบีบบังคับให้ถอนตัวออก ความหายนะก็วิ่งเข้ามาแทนที่ รีบยุดมือไว้ละล่ำละลักว่า
"เชื่อพี่สักครั้งเถอะน่า บาหยัน พี่จะไม่ให้เสียคำพูดที่ให้ไว้จริงๆ"
บาหยันกลับตอบเสียงเข้มท่าทางขึงขังมิใช่ขู่
"ฉันจะเชื่อหนนี้อีกครั้งเดียว ถ้าพี่รสผิดคำพูด ฉันจะไม่ค้ำประกันอีกต่อไปจริงๆ"
บาหยันกระแทกเท้าจากไปอย่างขุ่นเคือง ตนทำหน้าที่เก็บดอกเบี้ยแทนป๊ะ ไม่ค่อยได้ครบตามจำนวน ทำให้ป๊ะบ่นบ่อยๆ จึงคาดหน้าทุกคนในตลาดแล้วก็เดินสะบัดหน้ากลับบ้าน
แม่ค้าคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างเหลืออด
"อำมหิตหน้าเลือดฉิบหาย ถุย...!”
"เราไม่กู้มันก็ไม่รู้จะกู้ที่ไหน" อีกคนรำพัน
"อำมหิตหน้าเลือดทั้งโคตร ไม่มีน้ำใจเมตตาการุญต่อเพื่อนมนุษย์เลย" คนเก่าว่า
มีอีกมากมายสนับสนุนล้วนแต่หยาบคาย ทุกคนในตลาดแผงลอยล้วนเป็นลูกหนี้แขกบาเลย์มาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ เบ็นลูกหนี้เจ้าเก่าที่สัตย์ซื่อ นำดอกเบี้ยให้แขกบาเลย์กลายเป็นเศรษฐี
"สิบบาทไป สิบเอ็ดบาทมา ยี่สิบบาทไป ยี่สิบสองบาทต้องมาน่ะ"
วิธีการของแขกบาเลย์กลับหาได้ตรงคำนิยามไม่ ใครกู้สิบบาท ให้เพียงเก้าบาท ชักล่วงหน้าหนึ่งบาทตามธรรมเนียม เดือนต่อไปไม่ส่งต้นก็ต้องส่งดอกแทน
โลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเงินผ่อน แขกบาเลย์ก็คิดระบบเงินผ่อนตาม ให้กู้เงินก้อนใหญ่แล้วค่อย ๆ ผ่อนส่งตามรายเดือน บางอย่างก็ผ่อนส่งตามรายวัน ซึ่งทุกคนนิยมการผ่อนส่งตามยุคสมัย
เจ้าหนี้ชอบ ลูกหนี้ก็ชอบ ต่างคนต่างชอบ การผ่อนส่งจึงเจริญรุ่งเรือง
เจ้าหนี้ได้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ลูกหนี้ไม่ต้องผ่อนชำระครั้งเดียวหมด ทำให้การเงินทรุดฮวบ
จากรายเดือนก็ผ่อนส่งเป็นรายวัน เป็นที่สนุกสนานครึกครื้นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ดีนักแล
การเล่นแชร์ก็เหมือนกู้เงินใช้แล้วผ่อนส่ง เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่อยู่ในความนิยมของทุกคน วงแชร์ตั้งขึ้นดังดอกเห็ด คล้ายจะผลัดกันเป็นหัวหน้า วนเวียนเบี้ยให้ดอกกันทุกวัน.
ใครหมุนไม่ทันก็ไปกู้จากแขกบาเลย์ นายทุนใหญ่ นับวันหนี้สินยิ่งพอกเป็นดินพอกหางหมู
ต่างซึมซาบแก่ใจทุกคน ชาตินี้ก็ใช้กันไม่หมด มีวิธีเดียวจะใช้หนี้หมดสิ้นก็คือ
ช่วยกันแช่งให้ตายหมดทั้งโคตร....!
มีหลายคนพยายามจะเป็นนายทุนเข้ามาแทนที่แขกบาเลย์ นายทุนหลายคนถูกโกงหน้าตาเฉย แต่กับแขกบาเลย์มักจะไม่มีใครกล้าโกง ใช่ว่าจะกลัวเกรงอิทธิพลก็หาไม่ สาเหตุใดกลับไม่มีใครรู้
รสสุคนธ์วัยเดียวกับบาหยัน กำพร้าพ่ออยู่กับแม่ และมีภาระเลี้ยงน้องเล็ก ๆ อีกสองคน ขายของอยู่ในตลาด มีความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขัดสน เศรษฐกิจสะเทือนทั่วถึงกันหมด คนจะซื้อไม่ค่อยมี ประจวบกับมารดาต้องล้มเจ็บลงอีกคน ภาวะฝืดเคืองก็เข้ามากลุ้มรุมขนานหนัก เพราะหวังเงินก้อนจะมารักษาแม่ และผดุงความเป็นอยู่พอรอดตัว หวังรอให้เศรษฐกิจดีขึ้น จะค่อยๆ ใช้หนี้ไปจนหมด
นับวันยิ่งทรุดและถลำตัวหนัก รสสุคนธ์จำเป็นต้องกลายเป็นคนหน้าหนาผิดสัจจะเพราะไม่มีเงินให้ จำอดกล้ำกลืนต่อวาจาดูถูกเสียดสีนานา ยามยากไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครและไม่มีใครยอมให้พึ่งอีกด้วย
เพื่อนสาวร่วมชะตากรรมรุ่นพี่กระซิบอย่างเห็นใจ
"รส ไปขอความช่วยเหลือจากบาลัมซิ"
รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัวหน้าซีดเผือด มองหน้าเพื่อนสาวผู้แนะนำคล้ายไม่เชื่อหูตนเอง
ดูเผินๆ แล้วน่าหัวร่อ มันช่างเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกลิ้นดี  พ่อเป็นคนออกเงินให้กู้ ลูกสาวมาเบ็นผู้เก็บดอกขยิกทุกวัน ยื่นคำขาดมาแล้ว กลับคิดไปหวังความช่วยเหลือจากลูกชายเจ้าของเงินกู้อีก
ความหมายนี้ รสสคนธ์กลับเข้าใจลึกซึ้ง เพราะได้รับการติดต่อมาก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง
นั่นคือการพลีตัวเองขัดดอกชั่วคราว
ถึงรู้ก็ต้องแกล้งทำไม่รู้ ตนเป็นสาวจะต้องงำไว้มิดชิด ทำเป็นไม่เข้าใจความหมายว่า
"พ่อให้เงินกู้  ลูกชายน่ะหรือจะให้ยืมเงินมาใช้ให้พ่อ เบ็นไปไม่ได้ดอกพี่"
“ไม่ลองดูแล้วจะรู้หรือ เป็นได้หรือไม่"
รสสุคนธ์แกล้งทำเป็นนึกได้ หัวเราะว่า
"อ๋อ ลูกชายคิดจะรัฐประหารพ่อหรือ ?"
"เขาจะปฏิวัติรัฐประหารกันยังไงเราไม่เกี่ยว แต่พี่แน่ใจว่าต้องได้ก็แล้วกัน"
"พี่เคยไปขอความช่วยเหลือเขามาแล้วหรือ ?"
รสสุคนธ์ย้อนถามซื่อ ๆ เล่นเอาผู้ถูกย้อนหน้าแดงวูบร้อนผ่าวทั้งตัว กัดฟันฝืนยิ้มว่า
"พี่ไม่เคย แต่เคยได้ยินมา"
"ได้ยินมาจากใคร ?" หญิงสาวซักต่อ
"อย่าทำไก๋เลยน่า รสก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน"
หญิงสาววาบเข้าหัวใจ เย็นถึงไขสันหลัง แสร้งก้มทำงานหลบซ่อนพิรุธ ใจเต้นตึกว่า
"โธ่เอ๊ย ถ้ารู้ก๊อวิ่งไปหานานแล้วซี"
"เอาละ คราวนี้เป็นอันรู้แล้วจะไปหามั้ย ?"
หญิงสาวสะท้านสะเทือน ต่อวาจารุกกลับมายิ่งนัก ส่ายหน้าบอกเบา ๆ ว่า
"อย่าดีกว่า กลัวจะหนีเสือปะจระเข้เข้าจะยิ่งซ้ำร้ายหนัก"
"ถ้าเราเป็นรส จะลองไปดูสักครั้ง ฟังเงื่อนไขของเขาดูก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายนี่นา"
เพื่อนสาวหาช่องทางแนะให้ด้วยความหวังดี เพื่อนสาวผู้แนะนำก็รีบผละจากไปโดยเร็ว
เย็นนั้นเอง บาลัมก็ได้มาหารสสุคนธ์ที่บ้าน หญิงสาวตกใจจนหน้าเผือดขาว มันเป็นเรื่องที่เสียวสยองใจยิ่ง แสร้งทำไม่เห็น ก้มหน้าซักเสื้อผ้าด้วยมือสั่นเทิ้ม ! ใจสั่นระริก เหงื่อแตกเต็มตัว
บาลัมเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ ถามเสียงร่าเริงเยี่ยงคนคุ้นเคยสนิทกันว่า
"ป้าเริ่มค่อยยังชั่วหรือยังรส?"
หญิงสาวข่มอาการสะท้านตอบออม ๆ เสียงว่า
"อาการไม่ดีขึ้นเลย"
"ฉันไปเยี่ยมบ้างได้ไหม ?"
"เชิญจ้ะ" รสสุคนธ์ตอบแทบไม่ได้ยิน
บาลัมก้าวขึ้นเรือนไปตามลำพัง บาลัมเคยเป็นเพื่อนเล่นมาในสมัยเด็กและอยู่โรงเรียนเดียวกัน คุ้นเคยสนิทกันและพูดเล่นกันมาเรื่อยจนทุกวันนี้ แม่เจ็บมานานแล้ว เขาไม่เคยมาเยี่ยม พอรับการทาบทามจากเพื่อนของเขาแล้วไม่เคยวี่แววอีก เพิ่งพูดกับเพื่อนสาวมาตอนกลางวันหยก ๆ เย็นมาเยี่ยมไข้แม่แล้ว
เด็กอมมือก็รู้ว่าบาลัมมาทำไม !
ซักผ้าตากเสร็จแล้ว ยืนรีรอจะขึ้นเรือนดีหรือไม่ อับอายอดสูใจจะประจันหน้ากับเขายิ่งนัก ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าจะไม่บัดสีใจอย่างนี้เลย ห้กใจก้าวขึ้นเรือนด้วยมารยาทเจ้าของบ้าน
"ขอบใจบาลัมที่มาเยี่ยมแม่จ้ะ" หญิงสาวปฏิสันถารตามมารยาท
"อย่าขอบใจเลย ป้าเริ่มป่วยมาหลายวันแล้ว ถ้าฉันมีแก่ใจจริง ก็มาเยี่ยมนานแล้วเหมือนกัน บังเอิญผ่านมา ก็ถือโอกาสแวะเยี่ยมฐานรู้จักคุ้นเคยชอบพอกันเท่านั้น”
"ถึงกระนั้นก็ต้องขอบใจที่ยังมีแก่ใจ"
เขามีไหวพริบแก้ตัวได้กลมกลืน หญิงสาวฉลาดพอจะใช้มารยาทเข้ารับไม่ขัดเขิน คราวนี้บาลัมถามเสียงจริงจังบ้างว่า
"รสสุคนธ์น่าจะพาแม่ไปโรงพยาบาลนะ ขืนรักษาตามมีตามเกิดมีแต่ทรงกับทรุด"
หญิงสาวน้ำตาคลอตอบเสียงเครือสะท้าน
"ใครเล่าอยากจะเก็บดองไว้ บาลัมก็รู้สภาพแร้นแค้นของฉันแล้ว"
"น่าจะหยิบยืมใครก่อนค่อยหาใช้ทีหลัง"
รสสุคนธ์น้ำตาทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้น ร้องออกมาอย่างระทมใจสุดแสน
"ฉันอยากฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์นัก...."
บาลัมชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้รุนแรง นิ่งรอจนเสียงร้องไห้เหลือเพียงสะอื้นเบา ๆ จึงว่า
"รส เรามาพูดกันอย่างเป็นงานเป็นการ ตรงไปตรงมาไม่เยิ่นเย้อดีไหม ?"
รสสุคนธ์ใจหายวาบ เสียงสะอื้นสะดุดลงฉับพลัน ใจเต้นตึกมือกำแน่นอย่างลืมตัว
"ไม่เห็นก็ไม่อยากสน เห็นแล้วก็สังเวชใจนัก ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ รสจะต้องให้สัญญากับฉัน จะต้องนำเงินนี้ไปรักษาแม่ทันที ห้ามนำมาใช้ทางด้านอื่น เรื่องใช้ไว้พูดกันทีหลัง มีก็ให้ ไม่มีก็ยังไม่ต้องเร่งร้อน ไม่มีหนังสือสัญญาใด ๆ และขอให้ปกปิกเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดด้วย"
กล่าวจบไม่ยอมรอให้หญิงสาวตัดสินใจตกลงอย่างใด นำเงินห้าร้อยบาทวางไว้ตรงหน้านั้นเฉย ๆ ไม่ได้ส่งใส่มือให้หญิงสาว แล้วลุกเดินลงบันไดไปทันที
หญิงสาวนั่งตะลึงพรึงเพริด เหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน เบิ่งตามองเงินก้อนนั้นค้างแข็ง
มันไม่มากมายนัก แต่พอจะนำแม่ฝากฝังไว้ในโรงพยาบาลได้ พอจะรักษาแม่ให้หายขาด ดีกว่ารักษากันแบบตามบุญตามกรรม เงินจำนวนนี้คือชีวิตแม่ !
เรื่องอื่นไว้พูดกันทีหลัง ชีวิตแม่สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด รีบพาแม่ส่งโรงพยาบาลทันใด
น้ำใจและบุญคุณ ถือเบ็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่สุด เกิดมาในชีวิตก็เพิ่งพบในครั้งนี้เอง!

แม่หายกลับมาอยู่บ้านแล้ว หายเพราะเงินก้อนนี้แท้ ๆ ทีเดียว
ครั้งนี้ก็ถึงคราวจะต้องตอบแทนบุญคุณกันละ จะตอบแทนบุญคุณอย่างใดจึงจะสาสม
วันนี้วันพระ แม่ถือศีลแปดและนอนค้างวัด ตกเย็นบาลัมเดินหน้ายิ้มระรื่นมาหา รสสุคนธ์พลอยยิ้มรับอ่อนหวาน ลืมความหมองหม่นทุกข์ตรมและความอับอายบัดสีระทึกใจไปหมดแล้ว
"ป้าเริ่มถือศีลแปด ค้างที่วัดใช่ไหม ?"
“จ้ะ” หญิงสาวตอบยิ้มแย้ม
บาลัมยื่นซองจดหมายที่ผนึกแน่นส่งให้ รสสุคนธ์รับมาถือไว้ในมืออย่างงง ๆ บาลัมกระซิบ
"เงินสองพันบาทขอมอบให้รสไว้ใช้ คืนนี้อย่าชักบันไดขึ้นนะ"
กล่าวจบเขาเดินลิ่วผละจากไปรวดเร็ว รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัวตกใจวับ ซองเงินในมือหล่นสู่พื้น ยืนตัวชาสั่นระริก มองเงินที่พื้นด้วยสายตาที่บอกความรู้สึกไม่ถูก
"คืนนี้ ตนจะต้องใช้หนี้บุญคุณแล้ว...."
น้ำตาหยดแหมะ ๆ ลงสู่พื้น เข่าอ่อนล้าทรุดตัวลงนั่ง มึนงงเซ่อเหมือนถูกตีแสกหน้า
บาลัมเคยใช้เพื่อนมาติดต่อ ขอเชยภิรมย์สวาทชื่นด้วยเงินสดสามพันบาท หล่อนปฏิเสธทันที !
ครั้งนั้น หล่อนปฏิเสธด้วยความโกรธแค้นแน่นอก ซ้ำยังว่าฝากให้เสีย ๆ หาย ๆ
ครั้งนี้ กลับใช้เงินสดเพียงสองพันห้าร้อยบาท น้อยกว่าครั้งแรกห้าร้อยบาทด้วยซ้ำ
ครั้งนั้นหล่อนโกรธแค้นแสนสาหัส ครั้งนี้หล่อนกลับไม่ได้โกรธแค้นสักนิดเดียว
เพราะหัวใจของหล่อน ชาตื้อไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดเหลืออยู่เลย
เนื่องจากรสสุคนธ์กำลังจะเป็นลม ด้วยความรู้สึกนานาที่ประดังขึ้นมาพร้อมกันในบัดใจ
หญิงสาวสู่ภาวะคับขันที่สุดในชีวิตแล้วจะมีเทพบุตรหรือคนรักมาช่วยไว้ทันไหม ?
คนรัก....! อา....เขาเป็นหนุ่มชาวไร่ที่ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร ชาวไร่จน ๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกับหล่อน แม่ค้าแผงลอยในตลาดสดจน ๆ คนหนึ่ง

บาลัมเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นบันไดไม่ถูกดึงขึ้นก็ยิ้มกว้างออกมา รีบก้าวขึ้นบันไดสู่ชานและดึงบันไดขึ้นมาวางบนชานอย่างแผ่วเบา
บนเรือนมืดสนิท มืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด แลเห็นเพียงมุ้งกางอยู่กลางเรือนหลังหนึ่ง รีบดึงไฟฉายปากกาออกมา ฉายกดลงไปที่มุ้งกราดไปทั่ว ตามองสอดลอดเข้าไปก็ตะลึงพรึงเพริด
ไม่มีใครนอนอยู่ในมุ้งเลยสักคนเดียว
รู้สึกผิดท่ารีบดับไฟในมือลง เตรียมจะผละจากเรือนก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแว่วเสียงเรียกแผ่ว
"บาลัม....! อย่าเปิดไฟ..... "
บาลัมแลเห็นเงาตะคุ่ม รีบคลานเข้าไปหาทันที ไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกก็ได้ยินเสียงดังแผ่วมาอีก
"ฟังฉันพูดบาลัม ครั้งแรกบาลัมส่งเพื่อนมาติดต่อให้เงินฉันเท่าไหร่ ?"
"ฉันจะให้เพิ่มขึ้นเท่าที่บอกครั้งแรก"
"ก็ได้ แต่ฉันยอมขายให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ต้องพูดกันอีก"
"เอ้อ... ..ครั้งเดียว ..ได้.... ได้...."
"ห้ามบอกเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด ชำระเงินแล้วสาบานมา"
บาลัมชำระเงินแล้ว กล่าวคำสาบานสาหัสสากรรจ์ ทั้งพระผู้เป็นเจ้าของตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาว สาบานพลางหัวเราะเสียงครื้นเครงในใจไปพลาง
บาลัมตามรสสุคนธ์เข้าไปในมุ้งที่มืดตื๋อ มือสากหนาลูบไล้ไปบนร่างอวบอั๋นของหญิงถาว สัมผัสถูกผิวหนังเห่อพองขนลุกซู่ตัวสั่นระริกก็รู้ทัน กอดรัดร่างอวบแน่น แล้วเฟ้นจูบไปบนใบหน้าอิ่มจิ้มลิ้ม จูบนวดไปบนใบหน้าไม่รุนแรงเร่งร้อน รู้แต่หญิงสาวหลบเบี่ยงไม่ยอมให้ริมฝีปากแก่ตนก็ไม่รุกเร้า
ฝ่ามือแตะบนอกอวบสล้าง รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัว ปัดมือออกเต็มแรง และกุมป้องแน่นไม่ยินยอมให้ถูกต้อง ฝ่ามือสากโลมเคล้าไปบนตะโพกนุ่มควานไปบนขาอ่อนก็เสียวเปรี้ยวทั้งตัว บิดเบือนหลบและสลัดป้ดป้องไม่ยอมให้แตะต้องนูนเนินสามเหลี่ยมทองคำ กระอึกกระอักไม่ยอมให้คลายเข็มขัดออกจนแล้วจนรอด
บาลัมจึงใช้มือแหวกชายผ้านุ่งขึ้นมา ได้รับการต่อต้านพอเป็นพิธี หล่อนยอมให้สมในลักษณะมีเสื้อผ้าครบชุด กระนั้นก็ยังชักช้าไม่สู้ยินยอมให้รูดอันเดอร์แวร์ออกจากร่าง
บาลัมแยกเขี้ยวยิ้มในความมืด ตนอายุเยาว์มิใช่ไก่อ่อนเพิ่งงอกเดือย ไม่ใช่ไก่กระทงเพิ่งสอนขัน แท้จริงเป็นไก่ชนที่ชำนาญเวทีทุกสภาพมาแล้วจัดเจน
หญิงสาวไม่ต้องการให้เขาเอ่ยปากก็ไม่พูด ต้องการให้เขาสมสวาทชื่นแบบใดไม่ข้ดข้อง ลดเลี้ยวตามใจให้เข้ารอยทุกประการตามกลลวงให้ตายใจ
รสสุคนธ์ตัวสั่นพลิ้วสะท้านวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย บนสามเหลี่ยมนุ่มเต่งนูนถูกวัตถุนุ่มลื่นเกลี้ยงแข็งนุ่มถูไถ ขยุกขยิกคล้ายจะแหวกรอยระแหงธรรมชาติเลี้ยวลงให้ได้ก็ขยดตัวสั่นพลิ้ว
บาลัมได้ยินเสียงหอบระริกข้างหู มือจิกมาที่ไหล่ขยุ้มลืมตัว ใบหน้าพลิกกระสับกระส่ายไปมา  ในลำคอมีเสียงดังครึ่กครั่ก คล้ายสำลักน้ำลายด้วยความเหน็ดเหนื่อย แก้มร้อนผ่าวดังอังอยู่บนเตา จูบคลุกไปมาบนใบหน้าไม่นาน ก็ได้ดูดปากนุ่มหอมน้ำลายสาวอย่างชื่นฉ่ำใจ
รสสุดนธ์กระดกลิ้นหลบวูบวาบตาหลับปี๋ สองมือโอบรัดรอบคอเขาแน่น ลิ้นร้อนผ่าวไล้ลูบไปมาให้ดิ้นกระแด่ว อ้าปากร้องอื้ออ้า ไม่นานก็เผลอดูดอมลิ้นปล่อยให้ไต่เคลียไปภายในปาก
รู้สึกหายใจอึดอัดแน่น เมื่อถูกปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออก หายร้อนอบอ้าวยามหลุดจากกาย เนินเนื้ออวบล้นกรวยรับปากจมูกสูดเคล้า เคราที่โกนใหม่ ๆ ลากถูทำให้กระเดี๋ยมซ่านเสียวจนต้องจิกหัวรั้งขึ้น
ยกทรงถูกลอกออกจากกายอีกชิ้น ทรวงอกโอฬารทะลักสู่อุ้งมือสาก บิดตัวดิ้นเสลือกสลนไปมา ปัดมือออกจากทรวงอกให้มีโอกาสในการหายใจสะดวก
ที่สุดก็เหลือแต่ตัวล่อนจ้อนเช่นเดียวกับบาลัม เย็นยะเยียบที่สันหลัง หนาวกรูในอก ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวจับใจ สยะแสยงตะครั่นตะครอใจต่อเจ้าสิ่งนั้นที่กำลังก้มหัวลงดื่มน้ำในห้วยลึกช้า ๆ
ด่ำลงไปทีละนิด แยกดินร่องระแหงอ่อนนุ่มเปิดเป็นช่องกว้าง ร้องหวีดออกมาเต็มเสียงอย่างลืมตัว ปากถูกอมแน่นแต่มือยังมีอิสระ ฟาดทุบจิกตีชกไปที่ใบหน้าและตามร่างกายไม่เลือกที่ ครางครวญเสียงเครือระริกด้วยความเจ็บสะท้านป่านจะขาดใจตายดับดิ้นลงในฉับพลัน
ปางนั้น รสสุคนธ์คล้ายดังถูกขุนเขาพระสุเมรุกดทับหนักหน่วง กดแล้วบดขยี้เพื่อให้แหลกเป็นผุยผง ปาดควานแซะเซาะให้รวมตัวมั่นใหม่แล้วโขลกต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นเยี่ยงนี้ ลมออกหูอื้อสมองลั่นจนได้ยินเสียง ทั้งที่หลับตายังเห็นแสงระยิบระยับปลิวว่อนไปมาใจหวิวๆ ระริกรอน หัวใจสั่นแกว่งโยนไปมาจะหลุดจากขั้วมิหลุดแหล่ หญิงสาวกำลังจะเป็นลมในพริบตา
ลมกัมมัชวาตหรือลมหัวด้วนกำลังคุกคาม ขดเอ็นในกายรัดพันเข้าหากันยุ่งเหยิง ลอยลิบลิ่วแล้วหล่นจากฟ้าดิ่งลงพสุธา พริบตาร่างของตนคล้ายแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
อย่างแช่มช้าถูกรวมตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง บดและโขลกต่อในลักษณะเดิม จนน้ำพริกในครกเข้าลายมือเฉกเช่นครั้งแรก พอได้ที่ทีไรครกก็หกคว่ำให้น้ำพริกกระจายเกลื่อนพื้น เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา และในครั้งที่สามนั้นแล จึงพบกระแสน้ำร้อนจัดพุ่งกระฉูดใส่รุนแรงเหลือจะทนทาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น