วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

บาบูกู้ชู้ 3

   
บทที่ ๖
บาหยันนำรถเครื่องลัดมาบนเส้นทางเล็กๆ ดับเครื่องจอดหน้ารั้วบ้านม่ายสาคร ลงจากรถลอดมือถอดเชือกคล้องออก เปิดประตูรั้วนำรถเข้าไปจอดใต้ถุนเรือนสูง ย้อนกลับมาปิดรั้วกลับที่เดิม ขึ้นบันไดเรือนสูง ก็พบปรีชานอนแผ่หลา มือเท้ากางอยู่กลางชานกำลังหลับสนิทอยู่
มองไปกลางลำตัวก็หน้าร้อนวูบ ปรีชานอนถอดเสื้อ นุ่งกางเกงแพรตัวเดียว เท้าข้างหนึ่งป่ายไปบนหมอนข้าง อีกข้างถ่างสุดเหยียด ขอบกางเกงแพรหลุดลุ่ยลงมาต่ำกว่าสะดือน่าชัง
สิ่งที่น่าชังคือส่วนที่ต่ำลงมา ยืดตัววางกล้ามวางโตยโสเหมือนเจ้าของ คล้ายกับจงใจเบ่งกล้ามอวดตนฉะนั้น เกิดความหมั่นไส้ใคร่จะทุบลงไป ให้หักคามือสมกับที่ขุ่นเคือง
ข่มใจไม่ไปมองให้คายลูกตา นั่งลงข้างตัว เขย่าหน้าอกปลุกเรียก
"ปรีชา....ตื่นเสียทีซี สายแล้วนะ"
ปรีชาลืมตาขี้นดูแวบหนึ่ง จับต้นแขนดึงหงายลงนอนข้าง ๆ ขาป่ายกลับมาก่ายเกยต่างหมอนข้าง มือกำที่หน้าอกขยี้แรง ๆ แล้วหลับตาต่อไปใหม่ บาหยันกระชากมือออกตวาดใส่ดัง ๆ อย่างเคืองจัด
"บ้าเรอะ ทะลึ่งชิบหายเลย"
ทั้งสองลุกนั่งพร้อมกัน ปรีชาตาเหลือกกว้าง ใบหน้าแตกตื่น ลุกพรวดพราดถอยกรูดร้องลั่น
"บรื๋อ....เป็นผีมาหลอกถึงบ้าน...”
บาหยันกำลังจะค้อนใส่ ครั้นเห็นท่าทางปรีชาก็กลั้วหัวเราะ รีบเปลี่ยนเป็นเหลือกตาช้อนขึ้นแลบลิ้นออกมายาวเหยียด ปรีชาร้องลั่นหันหลังจะเผ่นหนีกลับเผ่นไปที่ครัว บาหยันซัดก้ากออกมาดัง ๆ
"นักเลงใหญ่กลัวผี....กั้ก....กั้ก...."
ปรีชาหายงัวเงียตื่นเต็มที่ เดินออกจากห้องครัวหน้าบึ้งตึง กลับไปนอนทอดตัวที่เดิม บาหยันหยุดยืนหัวร่อกึกร้องลั่นถลาเข้าไปโยกไหล่ไม่พอใจว่า
"ยังจะนอนอีก สามโมงเช้าแล้วนะ"
"จะสามหรือสี่โมงก็ชั่งปะไร ยุ่งฉิบหาย...."
"เอ๊ะ! นี่พูดกันไม่รู้เรื่องเรอะ"
"มาร...มาร....มารโว้ย....!"
ปรีชาลุกพรวดพราดไปล้างหน้า บ้วนปากลวก ๆ กระแทกเท้ากึง ๆ สู่ห้องของตนปิดประตูดังปังขึ้นเตียงนอนต่อ บาหยันช่วยเก็บหมอนกับหมอนข้างให้ พอเปิดประตูห้องแลเห็นก็ขว้างใส่อย่างขัดใจ
"ไม่ไปรึ ปรีชา?"
"ไม่ไป! จะไปไหนก็เชิญจะนอนต่อ"
"แล้วรับปากรับคำให้แต่งตัวเก้อทำไม....”
ปรีชายกมืออุดหูถลึงตาใส่
"แหกปากเอ็ดตะโร หยังก๊ะถูกใครฉุดไปสะบึมส์แน่ะ เฮ้ย....! อย่านะ...”
ประโยคท้ายร้องห้ามเสียงหลง เผ่นพรวดลงจากเตียงถลาเข้าไปหา บาหยันโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำดำไหม้ไปแถบ เดือดดาลดังควันพุ่งจากตัว ทำร้ายปรีชาไม่ได้ดังคิด ถอดเสื้อยืดที่สวมใส่มา กระชากทิ้งเป็นการระบายโทสะ ปรีชากระโจนพรวดเข้ายื้อแย่งกอดปล้ำไว้ทัน ร้องลั่นว่า
"หยุด! ฟังเรื่องก่อนซีมันเป็นยังไงค่อยโกรธทีหลัง เค้าลงท้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตั้งสามสี่พักต้องมานอนหลับที่กลางเรือน จะได้วิ่งลงบันไดได้ทัน หมดแรงตาโหลลึกเป็นศอก"
"ไม่เชื่อ! ลงท้องกินยาก็หาย"
"ขี้ทีกินทีหมดไปตั้งขวด เพิ่งหยุดเมื่อเช้านี้เอง"
"ไปฟัดกะหรี่มาหมดแรงก็บอกเถอะ พอตื่นก็คึกไล่ตะครุบดื้อ ๆ ยังมีหน้ามาพูดอีก"
"อ๋อ กำลังเคลิ้มหลับฝันร้าย ทะเลาะกันเรื่องไม่ไปนี่แหละ บาหยันโกรธก็เลยกลั้นใจตาย เราห้ามก็ไม่เชื่อ นอนตัวแข็งทื่อนิ่งเฉย คลำหัวใจดูก็ไม่เต้น ลืมตานึกว่าผีหลอกเลยเผ่นหนี"
ความโกรธหายวับไปกับอากาศ หัวเราะคิก
"กินข้าวรึยัง ?"
"กินกาแฟขนมปังอิ่มตื้อ วันนี้งดเถอะ วันหลังยังมี อย่าโกรธเลยนะ"
ปรีชาคลายมือจากอ้อมกอดสู่เตียง นอนคว่ำหน้าให้ท้องวางบนขอบเตียง เท้ายันพื้น บาหยันเดินเข้ามาหา บอกเสียงเรียบ ๆ ว่า
"ขึ้นไปนอนให้สบายก็ไม่เอา"
"นอนสบายก็หลับปุ๋ยไป นอนอย่างนี้แหละตาจะได้แข็งคุยได้นาน"
หญิงสาวก็นอนลงข้าง ๆ แบบเดียวกับเขา มือลูบไล้เส้นผมยุ่งเหยิงให้กลับคืนที่
"หน้าตาสดใสไม่เห็นซีดเซียวเลย"
ปรีชาใช้นิ้วลูบขนบนแขนครางออกมาว่า
"อื้อฮือ....ขนเต็มทั้งตัวเลย"
"ลิงมาเกิดไม่รู้เหรอ ?"
"โอ๊ะ....มีหนวดด้วยซี" ปรีชาร้องขึ้นแตกตื่น
"หนักหัวกบาลใครล่ะ ?" บาหยันสวนขึ้นอย่างโกรธงอนไม่พอใจที่ได้ยินคำตำหนิ
"ปากร้ายอย่างนี้นี่เล่าคนถึงลือให้แซ่ด"
"ว่าเค้าได้ละก้อดี พอเค้าย้อนเอาบ้างก็หาว่าเค้าปากร้าย มันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ"
"เค้าว่าตัวหรือ ?" ปรีชาย้อนให้บ้าง
"แดกว่าให้อย่างนี้แล้วยังหาว่าไม่ได้ว่าอีก เค้าอ่อนง้อให้หน่อยยิ่งเต๊ะจุ๊ยใหญ่ ฮึ!"
บาหยันสะบัดหน้า พลิกกลับไปด้านตรงข้ามอย่างเคืองขุ่น ปรีชาลูบไล้แผ่นหลังที่มีขนละมุนเต็มตัว มีลายวนเวียนไปมาเป็นก้นหอยจากเอวจรดถึงบ่าไหล่ เสียงอ่อนลงว่า
"เราไม่มีเจตนาว่าร้ายให้ตัว เย้าเล่นนิดหน่อย ตัวกลับโกรธจริงๆ"
"หางเสียงไม่ได้บอกเย้าเล่น เค้ากินข้าวเหมือนตัวฟังออกเหมือนกัน"
บรีชาทับไปบนแผ่นหลัง แนบหน้ากับบ่าด้านตรงข้าม ปากจ่อริมหูบอกเบาๆ
"ไปดูหนังกันเถอะ"
ปรีชาลุกขึ้นยืน สะดุดชายกางเกงของตนเซถลา บาหยันกรากเข้าไปกอดรัดประคองว่า
"ยังไม่มีแรงก็นอนไปซี ใครไปว่าตัวล่ะ?"
"ตัวจะกลับบ้านหรือจะนอนคุยกันเล่น"
"ไล่เหรอ เค้ากลับก็ได้"
ปรีซารัดตะโพกบีบเบาๆ ขยี้ล้อว่า
"งอนกระทั้งก้น”
บาหยันเม้มปากถลึงตาใส่ง้างมือขึ้นดุร้าย
"มาว่าเค้าปากร้าย ตัวยิ่งเหม็นร้ายกว่าหลายเท่า พูดดีด้วยยิ่งเอาใหญ่"
"รู้ว่าเค้าร้ายนักมาดีด้วยทำไม?"
"เค้านึกถึงบุญคุณที่เคยช่วยเหลือ ถึงยอมทนให้หรอก ไม่งั้นอย่าหมายเลย"
"เมื่อนึกถึงบุญคุณก็ต้องเอาใจปะเหลาะซี"
"เรียกเค้าเป็นพี่ซี จะยอมเอาใจทุกอย่างเลย" บาหยันต่อรองเอาชนะ
"เรียกก็ได้ ไม่รักษาคำพูดก็ไม่ต้องพูดกัน" ปรีชาไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"ต้องร้องเรื่อย ๆ ไป ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใคร ไม่อย่างนั้นก็ไม่ตกลง"
"ทำไมถึงอยากเป็นพี่เค้านัก?"
"มีน้องชายเบ็นนักเลงคุ้มกัน ไม่มีใครกล้าคิดร้าย ใครก็อยากได้"
"ตกลง เรียกเบ็นพี่บาหยันแต่บัดนี้เลย"
สัญญาสันติภาพจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ข้อเสนอถูกใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
คนหนึ่งอยากเบีนฮีโร่ อีกคนอยากเป็นผู้พิชิตมีศักดิ์เหนือกว่า เข้าล้อคพอดีทั้งคู่
"กระโปรงใหม่ตัวนี้สวยจังเลย ทันสมัยนำแฟชั่นเปี๊ยบเลย เอ้อ ..ตัว....เอ๊ย พี่บาหยันนุ่งกางเกงแพรของชาเดี๋ยวชานุ่งผ้าขาวม้าแทน"
บาหยันหัวเราะเสียงปลาบปลื้ม ฉุดข้อมือว่า
"ไม่ต้อง พี่ยังมีอีกชั้นหนึ่ง"
ว่าแล้วก็ถอดกระโปรงตัวสั้นเต่อยาว ไม่ถึงสองคืบออก เหลือกางเกงในสีครามอ่อน ปรีชามองไปที่สามเหลี่ยม เบ็นรูปมือปิดกุมป้องอย่างมีศิลป์ชวนเซ็กซี่ เช่นเดียวกับเสื้อบางตัวมีมือกุมหน้าอก
"แม่โวย ปิดตั้งสองมือ มือเดียวก็ปิดมิด ช่างเข้าใจซื้อดีนี่ มีกี่ตัว?"
"หลายตัว เบ็นรูปหัวใจบ้าง วงแหวนบ้าง เป็นรูปรังนกบ้าง"
กระโปรงปลายบานกว้างสั้นเต่อ กางเกงในก็ต้องมีสีสรรลวดลายสะดุดตา การนุ่งสั้นเต่อยากจะปกปิด ไม่ให้เห็นกางเกงใน จำเป็นต้องให้สวยทั้งในด้วย คนเห็นจะได้ไม่เก็บไปนินทา
บาหยันจงใจอวดกางเกงในเซ็กซี่ราคาแพงอยู่แล้ว ไม่สะทกสะท้านที่มีผ้าเพียงสองชิ้นปิดคลุมร่างกาย นอนเคียงกันบนเตียงกับปรีชาหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งเซ็นสัญญายอมเป็นน้องมาในบัดใจ
ปรีชาลูบเรียวหนวดบนริมฝีปาก ซักด้วยความสนใจ
"ทำไม่ไม่โกนทิ้งไปล่ะ""
"โกนแล้วก็ขึ้นมาอีกเลยไม่อยากโกนส่ง"
"ปล่อยไว้นานๆ ไม่ยาวหรือ?"
"ไว้นานกี่เดือนก็ไม่เคยยาวกว่านี้"
"แปลกดี พี่บาหยันน่าจะหายาทาขนร่วงมาทานะ" ปรีชาแนะนำด้วยความหวังดี
"ไม่ได้ผลหรอก หลายขนานแล้ว"
มือไล้ลูบไปบนบ่าไหล่ที่มีขนสลวย จากขอบยกทรงตอนล่างตรงหน้าท้องจรดขอบกางเกงในมีขนอ่อนนิ่มขึ้นสลวยมือชวนลูบไล้เล่น ถามอย่างกังขา
"ที่หน้าอกมีขนไหม ?"
"มีเหมือนกันทั้งตัวเลย" บาหยันตอบรวบยอด เพียงไม่ได้บอกว่าที่ใดมีหนาแน่นกว่ากัน
"เวลาแต่งงานมีลูก ลูกไม่ดูดขนติดปากหรือ?"
"หัวนมไม่มี อย่ามาหลอกดูหน่อยเลย"
บาหยันตอบอย่างรู้กัน ปรีชายังไม่ยอมแพ้ว่า
"มันต้องมีแหง เว้นแต่จะมากหรือน้อย"
"มีก็ได้" บาหยันตอบเสียงสะบัดไม่พอใจ
ปรีชานอนหงายกลับคืนบิดขี้เกียจพลางว่า
"เค้ายั่วพี่น้ำใสมากกว่านี้ยังไม่เห็นโกรธเลย หน้ายิ้มแฉ่งพูดเพราะตลอดเวลา"
"นานไปรู้นิสัยซึ้งก็ทนได้ นี่ยังใหม่อยู่นี่"
บาหยันพลิกตัวกอดรัดซุกหน้าแอบอกหัวเราะประจบ ปรีชากอดร่างดำเป็นมันวาวเพราะขนที่อ่อนนิ่มสลวยว่า
"กอดพี่บาหยันวันแรก ไม่เห็นใหญ่อย่างนี้เลย คงโตตามมือละมั้ง ?"
บาหยันหยิกปากให้เบา ๆ หน้าบึ้งงอนว่า
"ปากร้ายอย่างนี้ คอยว่ากระแนะกระแหนเรื่อย ไม่อยากให้กอดแล้ว"
บาหยันพลิกตะแคงหันกลับให้อย่างไม่ต้องใจ ปรีชากอดรัดป่ายปีนต่างหมอนข้างจึงเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำหน้าประท้วง
"พูดดี ๆ ไม่ก็คำก็หมดเรื่องพูด พอยั่วเย้าก็มีเรื่องพูดมากมาย"
"เยอะแยะไปเรื่องจะพูดคุย แต่ไม่เอามาพูดเอง ชอบหาเรื่องก็บอกเถอะ"
"ขอตังค์ชาใช้บ้างซีพี่บาหยัน"
"อ้อ จับได้แล้ว ยอมลงทุนเรียกเบ็นพี่ ต้องการประเหลาะตังค์ใช้น่ะเอง"
"ตัวอยากเป็นพี่เค้า ต้องการประเหลาะ ใช้เค้าเหมือนกันแหละน่า"
"เค้าบอกตัวตามตรงแล้วว่าต้องการคนคุ้มครอง" บาหยันว่าอ้างขึ้นบ้าง
"เค้าคุ้มครองให้ก็มีค่าตอบแทน" ปรีชาไม่ยอมแพ้
"จะคิดเป็นรายเดือนหรือคิดเป็นครั้งคราว ?"
"อย่างพี่น้องหรืออย่างคนอื่นๆ ?"
"อ้อ อัตราไม่เหมือนกัน"
"งั้นซี แล้วต้องดูเรื่องหนักเบาเป็นเกณฑ์ด้วย"
"เราสัญญาเป็นพี่น้องกันแล้ว ก็คิดอย่างพี่น้องซี" บาหยันไว้ฉลาด
"ได้ คิดอย่างพี่น้องไม่มีราคา"
"ดีจริงๆ อย่างนี้ซิถึงจะน่านับถือ"
"คุ้มครองอย่างพี่น้องไม่มีราคา ขอเมื่อไรก็ต้องให้ตามจำนวนที่ขอ"
"อ๊ะ! เกิดขอทุกวันครั้งละมากๆ เค้าก้อเสียเปรียบตาย"
"ถ้ากลัวเสียเปรียบก็คิดราคาทั่วไป"
"เป็นรายเดือนใช่ไหม ?"
"เป็นรายครั้ง”
"ไม่เข้าใจ"
"ไม่เรียกหาก็ถือธุระไม่ใช่"
บาหยันโวยวายขึ้นไม่เห็นพ้อง
"เอ๊ะ! ใครจะตรัสรู้ล่วงหน้าจะมีเรื่องล่ะ ?"
"ไม่รับคุ้มครองตลอด ๒๔ ชั่วโมง"
"แม้กระทั่งพี่น้อง ?"
"เรื่องพี่น้องไม่ร้องจ้างวาน คุ้มกรองตลอด ๒๔ ชั่วโมงให้เอง"
"เค้าก๊อถูกไถซับไถซ้อนยับเยินไปเลย" บาหยันร้องอุทธรณ์ ไม่เห็นด้วย
"ก็บอกเงื่อนไขแล้ว เลือกเอาตามชอบ"
ทั้งสองแสดงลวดลายทันกัน หวังยึดอีกผ่ายหาประโยชน์ให้เกิดกับตนเองมากที่สุด ต่างคล้ายรู้นัยกันการคบหาครั้งหลัง หาได้เกิดจากความบริสุทธิ์ใจต่อกันไม่
อาชีพตกดอก ได้รับการสาปแช่งจากลูกหนี้อื้ออึงทั้งสองหู จะมากจะน้อยคนถูกแช่งย่อมหวาดเกรงขยาดแขยงอยู่ไม่มากก็น้อย คำสาปแช่งคนกินพริกกินเกลือรุมกันเป็นจุดเดียว เหตุร้ายก็เกิดขึ้นตามคำสาปแช่ง เล่าระลือกันอย่างสนุกปาก บาหยันทั้งโกรธทั้งอายและทั้งหวาดกลัวมากขึ้น
แววนักเลงของปรีชาไม่ย่อย อิทธิพลของสถานศึกษาและสมัครพรรคพวก เรืองแสงเปล่งศักดา คนไม่กล้าดูถูก หากเพราะความสนิทสนมกันขึ้น ตนย่อมได้ประโยชน์เป็นผลตอบแทน
สาเหตุนี้ ทำให้บาหยันอ่อนข้อลงให้ แต่ก็ยังแฝงความเย่อหยิ่งถือตัวให้เห็นบ่อย ๆ ปรีชากลับไม่แยแส จำต้องข่มใจจนกระทั่งทำสัญญาสันติภาพถาวรขึ้นมาดังกล่าว
ปรีชาไม่สู้จะชอบหน้าบาหยันนักเพราะชอบสำแดงความมีเงินข่มตนเสมอ ปรีชามีจุดอ่อนที่ชอบยอชอบปะเหลาะ แข็งแกร่งไปไม่ตลอด บัดอ่อนบัดแข็งเรื่อยมา
สันติภาพถาวรตามเงื่อนไขยอมลงให้เพราะเงินที่แม่ให้ไว้ใช้สอยระหว่างไม่อยู่บ้าน ถูกผลาญเรียบวุธไปในพริบตา หากแม่อยู่ยังพอมีข้าวกินและยังไถได้บ่อย ๆ
ปรีชาไถรีดมารดาอำมหิตเกินไป จึงถูกผาลไถของบาบูหนุ่มซ้ำเติมอย่างแสบเผ็ดเหลือใจ !
ครั้นได้จังหวะ ปรีชาลงมือไถรีดอย่างเหี้ยมเกรียมไม่ปรานี
"ตกลง พี่ยอมจ่าย ต้องการเท่าไหร่ ?"
"เพียงร้อยเดียว ขนหน้าแข้งพี่บาหยันไม่ร่วงหรอก" ปรีชาหยอดให้ต้องใจ
"ขนหน้าแข้งไม่ร่วง แต่หนวดริมฝีปากก็ถูกเผาเกรียมไปทั้งแถบหนึ่งเชียวละ"
ทั้งสองหัวเราะชอบใจออกมาพร้อมกัน โผผวาเข้ากอดรัดกันแน่นด้วยความยินดี ต่างยื่นปากจะจูบแก้มอีกฝ่ายหนึ่ง
อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดหมาย
ปากประกบแนบต่อกันและดูดแรงๆ พร้อมกัน เสียงดังจ๊วบ !

บทที่ ๗
ทั้งสองสะดุ้งสุดตัวใจหายวับ ตะลึงไปชั่ววิบตา คลายมือผละจากกันลนลาน ต่างเลิกตะแคงหันหลังให้กัน ต่างรู้แก่ใจเป็นอุบัติเหตุ ชายอับอาย หญิงกลับใจเต้นระทึกดังกลองรัว
ชายหญิงรักกันที่ตรงไหน ?
เบ็นคำถามกว้างใหญ่ไม่มีขอบเขต คำตอบก็มีมากมายล้วนแล้วแต่ฟังขึ้นด้วยกันทั้งนั้น
แต่คำตอบที่ถูกต้องตรงเผ๋ง ไม่อ้อมค้อมและรวบรัดที่สุด มีประการเดียวคือ รูปร่างหน้าตา!
นื่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความรัก เบ็นแกนสำคัญสุดยอด อื่นๆ เป็นเรื่องรองลงมา
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็น ไม่ว่าบุรุษสตรีดีเลิศสุดประเสริฐสุด เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติวิเศษสุดในโลกไม่มีบุรุษสตรีใดในภพมาเทียมเทียบเท่า
ทว่า บุรุษสตรีดังกล่าว มีใบหน้าอัปลักษณ์ที่สุด แลเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี อีกทั้งรูปร่างก็ทรามที่สุด มองดูแล้วก็ให้ทุเรศตาแสนสะอิดสะเอียน
อยากทราบว่า มีใครรักลงคอไหม ?
ปรีชาอยู่ในวัยรุ่น ใบหน้าหล่อคมสัน รูปร่างเพรียวสมชาย นิสัยไปข้างนักเลงติดจะอันธพาลหน่อยๆ อย่าว่าแต่บาหยันต้องตาพอใจเลย สาวๆ ก็ต้องตาพอใจแม้นๆ กัน
บาหยันดำเป็นถ่านขึ้นมัน ตากลมใหญ่ ใบหน้าไม่สะสวย เรียกว่าไม่ถึงอัปลักษณ์และไม่ถึงกับขี้เหร่จัด พอไปได้อย่างเต็มกลืน มีแต่รูปร่างเท่านั้นที่เปล่งปลั่งสมบูรณ์ด้วยวัยสาว พอจะวัดเหวี่ยงกับสาวอื่นได้ไม่ด้อยกว่ากัน เปรียบเทียบ ความงามของปรีชากับบาหยัน ได้แก่นกยูงกับอีกา สมคำอุปมาจริงๆ
หัวใจไม่เคยนึกรักพิศวาส ซ้ำยังมีอคติกินใจแอบแฝงอยู่ แม่ยืมเงินบาบูเฒ่า ผู้อำมหิตไม่เห็นแก่หน้าใคร บาหยันมาพัวพันตีสนิทก็หวังมาเก็บดอกเบี้ยลับ ๆ พลอยรู้สึกขัดหูขัดตาดื้อ ๆ อย่างนั้นเอง
ตั้งแต่บาหยันขึ้นเรือนจนบัดนี้ ยังไม่เคยจูบเลยสักครั้ง เท่าที่กอดรัดก็เพราะมีจุดมุ่งหมายหาเงินใช้อยู่ในใจ เร้นลับจูบไปแล้วทำไมจะต้องอับอาย อายเพราะไม่อยากให้บาหยันชี้หน้าด้วยเข้าใจผิด
ปรีชาท่องดงพิศวาส มาแล้วไม่น้อย จูบไปแล้วบาหยันกลับเอียงอายไม่เอะอะโวยวาย สำนึกได้ทันควัน อาการของบาบี๋สาว ส่อความพึงพอใจตนแลเห็นอยู่ชัดๆ เนื้อขึ้นเขียง หลับหูหลับตาขม้ำกิน ไม่ให้เสียเชิงชาย ขืนปล่อยละคงถูกหยามเหยียดในใจความไม่เอาไหนให้อับอายขายหน้าไปทั่วธรณีบู๊ลิ้มแน่นอน
คิดแล้วเท่านั้นไม่รอช้า พลิกกายหันกลับมือลูบไล้ไปบนแผ่นหลังสลวยมือไปมาปลอบเอาใจหยั่งเชิง เห็นบาบี๋สาวนอนนิ่งเฉยก็ได้ใจ วงแขนเปลี่ยนเป็นกอดรัดเกยทับด้านหลังแนบหน้ากับบ่าด้านตรงข้าม จูบเบา ๆ ที่ริมหูบาบี๋สาว เลียนแบบบาบูหนุ่มทำกับแม่ของตน ดังเรียนมาจากสำนักเดียวกัน
บาหยันสะท้านเยือกตาหลับปี๋ พลิกหน้าหลบไปอีกด้านหนึ่งทันใด ปรีชาจึงจูบไปบนผิวดำเหนียงเป็นมันวาวด้วยขนนุ่มสลวย อืมม์ เนื้อนุ่มเย็นมีกลิ่นหอมสาบสาว เช่นสาวสวยเหมือนกัน
บาหยันร้องอี้อ้าปัดป่ายพลิกดิ้นไม่ยอมให้จูบ
"ปรีชา....ไม่เอา อย่าเล่นอย่างนี้ซี”
ปรีชาไม่โง่ฮึดดื้อจะเอาให้ได้อย่างใจ แถมปล่อยมือพลิกกลับมานอนเคียงข้าง บาบี๋สาวก็พลิกใบหน้าหลบไปอีกด้านตรงข้ามอย่างไม่อาจหักห้าม ความอดสูอับอาย ปรีชาลูบไล้แผ่นหลังนุ่มสลวยมือว่า
"ไหนสัญญาว่าจะไม่โกรธงอนอีก ?"
"ไม่ได้โกรธ" บาหยันตอบเสียงอู้อี้
"พี่บาหยัน ไม่โกรธก็หันหน้ามาซี พี่ไม่หันหน้ามาก้อแสดงว่า ปากกับใจไม่ตรงกัน"
บาหยันฝืนหักอายพลิกแต่ใบหน้าหันกลับมา ตากลับหลับพริ้มไม่กล้าลืม ปรีชาไล้หนวดเรียวปากเล่น มือแตะลูบไปบนริมฝีปากเบา ๆ ยั่วเย้าดังจะช่วยลบรอยจูบให้ บาบี๋สาวรู้ทันยิ่งอายหนัก ตาหลับปากอ้างับใส่นิ้ว ปรีชาหลบแล้วกอดรัดทางด้านหลังหัวเราะว่า
"พี่บาหยันไม่พลิกตะแคงหันหน้ามา ชาจูบจะหาว่าชารังแกนะ"
บาหยันอึกอักกลัวปรีชาจะเอาจริง กัดฟันยอมให้กอดดีกว่ายอมให้จูบ ค่อยพลิกตะแคงตามมือรั้งคล้ายดังเสียไม่ได้ ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวจะถูกจูบก็กลัว เนื้อสั่นเต้นระริกอย่างไม่อาจทนทานต่อความรู้สึก
ซุกหน้าแอบอิงบ่าติดอกดั่งกลัวถูกจูบ ลมหายใจเข้าออกก็แอบจูบแผ่นอกเสียหลายครั้ง ปรีซาเริ่มมืออยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปบนลอนตะโพกหนานุ่มเข้าแล้ว บาบี๋สาวกลัวจะถูกนิ้วไชลอดด้านหลัง รีบปัดออกพลิกตัวนอนหงาย ร่างของเจ้าเด็กหนุ่มก็เกยทับอกหนักอึ้ง ร่างอวบถูกรอดรัดเต็มอ้อมก็สั่นเทิ้ม
ปลายคางถูกดูดเบา ๆ ก็ใจหายวาบ พลิกหลบพลางจะร้อง กลายเป็นเสนอปากตนเองเข้าไปในปากร้อนผ่าว ถูกประกบจูบแนบแน่น เสียงไม่ดังจ๊วบเหมือนครั้งที่แล้ว แต่บดคลึงไซ้บิดไปมาดังปลากัด
มือจิกผม จะดึงออกก็อาลัยต่อรสจูบลวกลนใจ กลายเป็นขยี้กดไปไม่รู้ตัว จูบนี้ช่างยาวนานสมใจนัก ซาบซ่านรัญจวนใจยิ่งนัก จำใจปล่อยให้ลอยหลุดจาก หอบระริกด้วยอาวรณ์
อยากไซ้จูบที่ไหนก็ไม่คิดหวงอีกแล้ว ปรีชาไซ้จูบไปบนความดำเป็นมันของแก้ม ลำคอและไต่ลงมาบนอกนุ่มที่เบ่งบานเต็มที่ เนื้อผิวที่ล้นกรวยดำปี๋มีขนอ่อนสลวยมือเป็นทางยาว กลับชวนจูบคลุกเสียนี่กระไร ไม่ยอมเสียเวลาปลดขอที่รัดแน่น เพียงง้างให้หลวมรูดลง ก็ได้ซบเกลือกไปบนพุ่มพวงดำมันนั้น
ปลายส่วนที่จะแดงกลับดำปี๋ ดำยิ่งกว่าความดำในร่างทุกส่วน ชันเขม็งเชิดชูขึ้นยามถูกมือลูบเคล้าต้อง ขนอุยบนทรวงชูแข่งตั้งขึ้นราวกับขนเม่น
ถึงยามนี้แล้วจะสะสางปัญหาใดไม่ยากเย็น อันเดอร์แวร์ตัวงามถูกรูดลงจากกาย บาบี๋สาวร้องลั่นมือกุมป้องแน่น แม้สายตาเขาจะเหลือบเห็นความดำทมึนบนสามเหลี่ยมทองคำแล้วก็ตาม
กุมได้กุมไป ไม่ยอมเปิดทางให้ก็ไม่คิดยื้อยุดให้ขัดน้ำใจ มือลูบไล้ไปบนขาอ่อนอุดมด้วยขนอุยดั่งกำมะหยี่สัมผัสให้ความรู้สึกประหลาดพิสดารกว่าเนื้อขาวๆ เรียบลื่นมานักต่อนัก
ปรีชาไม่นึกฝัน ตนเองจะมาสมสวาทกับบาบี๋สาวดำทมิฬผู้แสนจะหมั่นไส้ เนื้อกายสาวเต่งตั่งอัดแน่นสมบูรณ์สมวัยสมเชื้อชาติ ไม่อยากดูดไปบนปากที่มีกลิ่นไม่สู้สะอาดนัก คลุกไปบนปั้นเนื้อแข็งนุ่มบนหน้าอก ให้กลิ่นรสชาติอบอวลซาบซ่านใจยิ่งกว่าสาวบางคน
ตั้งแต่หัวเข่าขึ้นมา ไม่มีส่วนใดจะไม่ถูกมือแตะต้อง เว้นสามเหลี่ยมทองคำแห่งเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่ใบหน้า ถึงทรวงอกบาบี๋สาว ถูกทั้งมือและปากจมูกคลุกเคล้าจนทั่วถึงทุกแห่ง
ถูกเข้ากลยุทธนี้ บาหยันผู้จัดจ้านยโส ไม่เคยต้องมือชายใดโลมเคล้าก็อ่อนปวกเปียก
ไม่อยากสลัดปัดป้องหวงแหนอีกแล้ว มือเปลี่ยนมาโอบรัดกายแน่น เจ้าหนุ่มกลับยักท่าน่าคลั่งใจนัก เฉยเมยไม่ยอมประกบทั้งที่เปิดทางสะดวกให้หมดสิ้น คล้ายจะรอเชิงให้ประกบเสียเองฉะนั้น
อารมณ์แปลกประหลาด ของบาบี๋สาวผู้ทะนง ฉุนโกรธไม่พอใจในความล่าช้าขึ้นมาทันใด
มือเปลี่ยนจากโอบรัดเป็นผลักไส ไม่ยินยอม ปากอ้าขึ้นจะแผดด่าให้ผละจาก ปรีชาคล้ายจะรู้ใจอีก ประกบปากตะครุบปิด และดูดเคล้าใหม่ รสซาบซ่าน ไม่ทำให้เปลี่ยนใจไปจากท่าทีขัดขืน
เสมือนมนต์อาถรรพณ์ประหลาด อสรพิษร้ายสยบลูาเขียดน้อยให้งันงกฉันใดฉันนั้น
บาบี๋สาวหยุดการดิ้นรนผลักไส กลายเป็นแตกตื่นลนลานขวัญสยองไป บิดเอวส่ายตะโพกหนีลนลาน วิธีนี้กลับเป็นเหมือนแมวหยอกล้อหนูให้สั่นเทิ้มหนักเข้าไปอีก
บาบี๋สาวครางเสียงระทดท้อ อ่อนอกใจจะคิดหลบหนีอีกแล้ว โอบรัดรอบคอมันแน่น ปากแนบปากดูดอย่างรุนแรง จวบจนบัดนี้เพิ่งจูบตอบเป็นครั้งแรก เจ้าหนุ่มไม่ยอมใช้ลิ้นก็ใช้ลิ้นเสียเอง
ในเวลาเดียวกัน ก็เสนอเป้าสู่ปากกระบอกปืนให้อย่างไม่อาจทานทนต่อเปลวพิศวาสที่ลุกไหม้รุนแรงและทารุณต่อความรู้สึกอันทรมานอย่างบอกไม่ถูก เสร็จๆ เรื่อง ไปเสียจะได้รู้แล้วรู้รอดไป
ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก ถึงจุดหมายแล้วหมดกังวลใจเสียที ต่อไปนี้ ใครจะทำอย่างไรก็ช่างหัวมัน มือร่วงผลอยจากกอดรัด ตาหลับพริ้ม หัวใจรวยรินออกมาอย่างเคลิ้มสุข
ถูกสมครั้งแรก มีเสียงเล่าลือถึงรสชาติเจ็บปวด บาบี๋สาว กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ รู้แต่เพียงถูกอัดแยกแทบร้าว อึดอัดไม่สบายใจชั่ววูบก็พบความสุขสันต์พิสดารอย่างที่ไม่เคยพบ
ปรีชารู้สึกถึงความนุ่มแน่นของบาบี๋สาวในหล่มลึกร้อนระอุกำลังอยู่ในระดับสบายยิ่ง ชาติพันธุ์คือส่วนหนึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกับชนชาติอื่นที่เสพลิ้มชิมรสมา แรงโน้มถ่วงภายในนับว่าน่าตื่นใจยิ่ง
"พี่บาหยัน" ปรีชากระซิบ
"หือ? " บาบี๋สาวครางในลำคอ
"วันหลังจะมาอีกไหม ?"
"ไม่มาแล้วเข็ดจนตาย"
"งั้นเราอย่าทำลายกันและกันเลยนะ"
ปรีชาทำท่าถอนสายบัวผละจาก บาหยันรัดแน่นไม่ยอมให้ปลีกตัวไป กระซิบละล่ำละลัก
"อา..มาอีก..นี่แน่ะ"
บาหยันขม้ำไปบนไหล่เต็มคำ ปรีชาร้องโอดโอยเสียงหัวเราะ ระดมจูบหนักหน่วงรุนแรง
บาบี๋สาวสะท้านเยือกทั้งตัว ลูกหนี้หนุ่มเริ่มทรยศจริงจังเข้าแล้ว พละกำลังของคนรูปร่างประเปรียว น่าจะมีแต่ความว่องไว ไม่น่าจะมีกำลังมหาศาลขนาดนี้ ความว่องไว ที่คิดว่าจะมีกลับเชื่องช้าอึดอาดเบ็นเรือเกลือ แล่นทวนกระแสลมตื้อต้า พุ่งใส่แต่ละครั้ง เสมือนถูกท่อนซุงกระทุ้งใส่เต็มรัก
เจ้าหนี้สาวผู้ดำเหนี่ยงเป็นตอตะโก สูดปากสูดคอเหมือนกินพริกขี้หนูเข้าไปเต็มกำ ใบหน้าดำมันเหมือนดินหม้อร้อนผ่าว ดำแดงผสมกันกลายเป็นสีพิลึกดูไม่ออกเป็นสีใด
เบ็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกสมสวาท รู้นั้นรู้อยู่เขากระทำกันอย่างไร ผลเป็นอย่างไรรู้เพียงลางเลือน ความรู้ทั้งสองประการนี้ กล่าวแล้วก็คือไม่รู้
มาคราวนี้บาบี๋สาวผู้ยโสก็รู้ชัดแล้ว ผลจากการถูกกระทำก็พลอยรู้ในแบบครึ่งๆ กลางๆ เพราะยังไม่รู้รสชาติไคลแม้กซ์สุดท้าย ซึ่งต่อไปก็ต้องรู้อยู่ดี
จะเบ็นด้วยนิสัยแข็งกระด้าง ยอมหักไม่ยอมงอหรือจะผลรับจากกัดกินพริกขี้หนูเข้าไปแล้วสำแดงฤทธิ์ออกมายากจะรู้ บาบี๋สาวไม่ยอมให้ตัวเองเบ็นครกรับการกระทุ้งบดขยี้ของสาก
บาบี๋สาวก็เริ่มชกตอบโต้ในแบบมวยวัด ไม่มีศิลปลีลาใด ๆ ถูกชกมาก็ชกสวนตอบโต้ แรงมาเท่าไรก็หนักไปเท่านั้น เหมือนแพะชนกันไม่ผิด
ถอยห่าง ได้ระยะก็พุ่งหัว เข้าชนกันดังสนั่น หวั่นไหวตั้งหลักได้ก็ทะยานเข้าหากันใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างออกรสและสนุกสนาน หนักเข้าก็ชักอ่อนแรงป้อแป้หืดขึ้นคอครืดคราด
ไม่ยอมโถมปะทะรุนแรงอีกแล้ว กอดเกี่ยวรัดแน่นร้องเสียงอื้ออ้าสูดปากคร่ำครวญ ประกบเหนียวแน่นไม่ยอมเปิดช่องว่างให้แพะหนุ่มไล่ขวิดตะบึงใส่อีก
แพะหนุ่มพลันรู้สึก หลุดเข้าไปในวงจรดูดดึงเหนียวแน่น แรงโน้มถ่วงมหาศาลสมคำนิยามของเพื่อนร้าย เคยดิ้นหลุดมาบ่อย ๆ คราวนี้กลับดิ้นไม่หลุด จากมวยวัดมาเป็นแพะชนกัน จากแพะชนกัน กลายเป็นมวยปล้ำกอดรัดบดขยี้ต่อกันนัวเนีย เสียงหอบหายใจดังควายเหนื่อยทั้งคู่
สะใจและสาสมใจไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่างได้รับความรื่นเริงบันเทิงสุขเพียบพูนด้วยกันทั้งคู่
อาจจะเป็นกำกงกำเกวียน กรรมนั้นไม่ไปถูกกับผู้กระทำ กลับลามไปสู่พี่น้องให้รับเคราะห์แทน กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมก็จริง บางครั้งก็ยังพลาดเบ้าหมายไปอย่างน่าอนาถ
เจ้าหนี้ผู้โหดร้ายทารุณและอำมหิต ทวงหนี้อย่างไม่เห็นแก่หน้าใครท่ามกลางเสียงสาปแช่งของประดาลูกหนี้ทั้งหลาย คำสาปแช่งกลับศักดิ์สิทธิ์น่ากลัว บันดาลให้มาพบลูกหนี้ที่โหดเหี้ยมกว่า อำมหิตกว่าหลายเท่า ทั้งรีดทั้งไถแทบจะฉีกร่างเจ้าหนี้ กระจุยกระจาย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
น่าประหลาด ที่เจ้าหนี้กลับยินยอมพร้อมใจ ให้ร่างกายกระจุยกระจายอย่างสุขชื่น และเบาโว่งอย่างพิสดารทั้งไม่เข็ดกลัวอีกด้วย...!

จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น