วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

บาบูกู้ชู้

 
 
 
บทที่ ๑
บาเลย์บอกลูกชายเสียงขุ่นมัว
"บาลัม เอ็งรีบหาเมียได้แล้วน่ะ"
“กินคนเดียว ป๊ะยังบ่นเช้าบ่นเย็นเป็นตาแก่หงำเหงือก หาเมียมาช่วยกินช่วยใช้อีกคนป๊ะหลับไปแล้วปากก็ต้องบ่น.....”
"กูไม่ให้มึงอยู่น่ะ" บาเลย์แผดเสียงขัดขึ้นกลางคัน "ไสหัวมึงไปทั้งผัวเมียน่ะ"
บาล้มกระดิกขาเอียงหน้ามองบิดา ทำตาหยีเป็นเชิงล้อเลียน หัวร่อว่า
"อ้าว ป๊ะให้ฉันหาเมียทำไมกัน ?"
"มึงมีเมียแล้วก็พาเมียแยกไปอยู่กันคนละบ้าน ทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเอาเองน่ะ"
บาลัมเกาคางทำท่าครุ่นคิดหนัก ๆ ทำหน้าขึงขังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
"เอ....หาเมียดี ๆ สักคนหายากนะป๊ะ จะให้ดีเหมือนแม่ปราบป๊ะซะอยู่หมัดน่ะหายากนา"
นางแฉล้มร้องด่าลูกชายเสียงหัวเราะ
"เออ....มึงหาให้ได้อย่างแม่มึงเถอะวะ"
"ไม่อยากเหมือนป๊ะ" บาลัมพูดหน้าตาเฉย
"รียำน่ะ" บาเลย์ร้องด่า "พ่ออย่างกู ตายแล้วเกิดใหม่ก็อย่าร้องไห้หาอีกน่ะ"
"เพราะป๊ะดี แม่ก็ยอด ฉันอยากอยู่ไปนานๆ คิดอยากมีเมียเมื่อไรจะบอกป๊ะเอง"
"กูให้วัวมึงครึ่งฝูง" บาเลย์ติดสินบน
บาล้มกลับส่ายหน้าไม่เห็นพ้อง แย้งขึงขัง
"วัวครึ่งฝูงน้อยไป ไม่อยากได้"
"แพะอีกครึ่งฝูง" บาเลย์แข็งใจขึ้นราคา
"ก็ยังน้อยไปอีก สมบัติป๊ะมีมากกว่าวัว ๑๐ ฝูง แพะ ๒๐ ฝูง..”
"กูให้อย่างละฝูง มึงต้องอย่ามากวนกูอีก"
"อีนี้จ๋านไม่ไปน่ะ จ๋านยังเด็กอยู่ รักป๊ะกับแม่ม้าก-มากน่ะ อยากอยู่กับป๊ะกับแม่ต่อไปน่ะ"
"ซ่นตีนน่ะ ไอ้ลูกรียำ!"
บาลัมเลียนสำเนียงพูดของบาเลย์ในสมัยอดีต บาเลย์ด่าสวนท่ามกลางเสียงหัวร่องอหายของแม่กับลูกสาว บาลัมยกขาพาดไปบนตักของบาหยันผู้เบ็นน้องสาว บาหยันเขกไปบนหน้าแข้งแรงๆ พี่ชายหดขาคืนกลับมือลูบคลำหน้าแข้งสูดปากเบา ๆ ทำเสียงล้อเลียนพ่อต่ออย่างสนุก
"อูย....บาหยันโตเป็นสาวแล้ว ป๊ะให้แต่งงานพ้นหูพ้นตาไปดีกว่าน่ะ ขืนอยู่ไปไม่ดีน่ะ"
บาหยันแปร๋นใส่พี่ชายเสียงดุร้ายไม่พอใจ
"คนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน อย่าเที่ยวป่ายลากคนอื่นไปยุ่งด้วย ตัวใครตัวมันย่ะ"
บาลัมแลบลิ้นทำคอหดพูดลิ้นแบๆ ยั่วต่อ
"ตัวใครตัวมัน เฮอะ... ..เด็กดีของป๊ะกับแม่ ได้....ได้ ... วัวกับแพะต่างคนต่างหากินไม่ทำร้ายกัน แพะตัวเล็กกว่าก็ต้องหลีกทางให้วัวครองทุ่งหญ้า”
บาลัมเห็นบาหยันทำตาเขียวรีบหักหางเสือหนี แต่ไม่วายเหน็บแนมเป็นนัยรู้กัน
บาเลย์หมดปัญญาเอาชนะลูกชาย หันไปมองตาเมียให้ทำหน้าที่แทนต่อ นางแฉล้มว่า
"บาลัม ป๊ะอยากให้มีเมียเป็นหลักเป็นฐาน ช่วยกันทำมาหากินตั้งตัวเบ็นผู้ใหญ่จริงๆ เสียที ไม่ใช่ต้องการจะไล่ออกจากบ้าน จะอยู่ที่ไหนก็ได้ไม่ว่า ขัดสนต้องการช่วยเหลือก็จะช่วย รักชอบใครไม่ใช่ให้ไปฉุดพาหนี บอกมาเถอะ  พ่อแม่จะจัดการสู่ขอให้ตามประเพณี"
บาลัมถูมือด้วยความยินดี หน้าระรื่นเปลี่ยนทีท่าไปฉับพลันทันตาเห็น
"ป๊ะกับแม่ต้องไปขอให้จริงๆ นะ"
"เออ รักใคร่ใครก็บอกมาเถอะ"
"ฉันเล็งไว้ ๓ คน คนใดคนหนึ่งก็ได้"
นางแฉล้มหัวเราะชอบใจเห็นฟันดำเต็มปากว่า
"แม่โวย....! ชอบใจทีเดียวพร้อมกันสามคนเลย ชอบลูกสาวใครมากก็บอกมาเลย"
"ชอบมากที่สุดก็ลูกสาวผู้ว่า ฯ ประณตจ้ะแม่"
สองผัวเมียสะดุ้งสุดตัว บาหยันหัวเราะคิกออกมาเบา ๆ บาลัมปั้นหน้าบอกเสียงขึงขัง
"แม่ต้องจัดการไปสู่ขอตามประเพณีนะ"
"คนที่รองลงมาล่ะ ลูกใคร?” แม่แข็งใจถาม
"ลูกสาวผู้กำกับวิชาญจ้ะแม่"
คราวนี้บาหยันปล่อยเสียงอหาย  บาลัมไม่ได้มองหน้ายู่ยี่พ่อแม่ รีบเสนอคนที่สามอย่างทันใจ
"คนสุดท้ายนี้ไม่ค่อยรักเท่าไรนัก แต่ได้ก็ดี เธอเป็นลูกสาวนายอำเภอเมืองจ้ะแม่"
บาเลย์คว้าที่เขี่ยบุหรี่ นางแฉล้มกำลังเหลียวจะควานหาวัตถุเหมาะมือ บาลัมรีบโถมเข้าไปกอดแม่กำบังพร้อมกับป้องกันไม่ให้แม่หยิบฉวยวัตถุเหมาะมือได้ถนัด
บาเลย์แผดเสียงก้อง
"ชาติหมา! ไปให้พ้นหน้ากูนะ"
บาลัมถือโอกาสโกยแน่บจากบ้านทันที ต่างพากันถอนหายใจดังเฮือก แม้แต่บาลัมก็ถอนหายใจดังเฮือกออกมาอีกเหมือนกัน เว้นแต่บาหยันคนเดียวหัวเราะหน้าทะเล้นไม่หยุดปาก
บาลัมเร่ไปหาเพื่อนรักที่ชอบพอกันกระซิบถาม
"เบ็นยังไง ได้เรื่องมั้ยวะ?"
เพื่อนแบมือยักไหล่ แสดงว่าไม่ได้เรื่อง บาลัมตะคอกเสียงฉุนเฉียวใส่หน้า
"แล้วเสือกแนะให้ขายขี้หน้า ข่าวรู้ถึงป๊ะ กูถูกถลกหนังหัวคราวนี้เอง"
"เฮ้ย....ไม่กล้าหรอกวะ" เพื่อนว่า
"ว่าได้เรอะวะ คนกำลังเลือดเข้าตา พอได้ถือโอกาสแบล็คเมล์ กูพังแหง"
เพื่อนกลืนน้ำลายเอื๊อก บาลัมว่าก็มีเหตุผล พลาดท่าเสียทีไปแล้วก็คิดหาทางแก้
บาลัมหัวหมุนงุ่นง่าน ผละจากเพื่อนออกสู่คอกปศุสัตว์ของตนกลางทุ่ง ลูกน้องพาฝูงวัวกับแพะออกหากินตามปรกติ ควบม้าสู่ทุ่งกว้าง เอนหลังพิงต้นไม้หลบพักบังแดดร้อนระอุอ้าว
คะนึงนึกถึงเรื่องเพื่อนไปทำพลาดมา ก็งุ่นง่านไม่เป็นสุข ใต้ร่มไม้ที่เคยนอนอย่างเกียจคร้านร้อนดังอยู่ในเตาอบ ควบม้ากลับสู่บ้านที่เคยเป็นร่มแหล่งพักใจ
เบีดประตูรั้วบ้านเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย แทนที่จะขึ้นเรือนกลับไปนั่งบนเปลเชือกที่ผูกไว้ใต้ถุนเรือนสูง ทอดตัวลงนอนพลางจุดบุหรี่ยัดเข้าปอดอย่างอัดอั้น
จักรยานสามล้อบรรทุกหญิงสาวผู้หนึ่ง พร้อมด้วยสิ่งของที่ซื้อหามาเต็มรถ มีเด็กวัย ๑๓ ขวบนั่งมา ช่วยกันหอบหิ้วรองลงจากรถสามล้อเข้ามาในบ้าน เด็กชายนั่งรถสามล้อกลับไป ปล่อยให้หญิงสาวสู่ใต้ถุนเรือนเพียงคนเดียว หล่อนมองหน้าคมสันที่กำลังเครียดขึ้ง ยิ้มเล็กน้อยว่า
"ถูกแตนที่ไหนต่อยมาล่ะ ?"
"อ้าว ผมเห็นบ้านปิดใส่กุญแจ ยังนึกว่าออกไปทำงานเสียอีก" บาลัมว่า
"วันนี้มาฆบูชา ช่างไม่รู้เสียเลย"
หล่อนเย้าเสียงหัวเราะ บาลัมแก้ว่า
"ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธนี่ครับ"
กล่าวจบก็ช่วยหิ้วของที่ซื้อมาจากตลาดขึ้นเรือน
หล่อนไขกุญแจให้เขานำหน้าเข้าไปก่อน วัยของคนทั้งสองห่างกันพอจะเป็นแม่ลูกกันได้ คนทั้งสองแสดงอาการคุ้นเคยสนิทสนมกันยิ่ง
สาครวัยสามสิบเศษ อ่อนวัยกว่านางแฉล้มสองปี มีบุตรชายหญิงรวม ๓ คน ส่วนนางแฉล้มมีบุตรชายหญิงสองคน หากนำคนทั้งสองไปยืนเทียบกัน เหมือนอายุห่างไกลกันเป็นรอบ
สาวใหญ่รื้อสิ่งของที่ซื้อมาพลางถาม
"คงถูกป๊ะเล่นงานมาอีกละซี"
ให้นับถือสนิทสนมกันมาอย่างไร บาลัมก็ไม่กล้าบอกความจริงให้ฟัง หัวเราะว่า
"ป๊ะด่าไม่จริงจังหรอกครับ ไอ้เด็กเลี้ยงแพะมันทำแพะหายไปตัวหนึ่ง เลยลมเสีย"
"ปิดบาเลย์ ไม่มีทางปิดอยู่หรอก"
"เพราะอย่างนั้นซิครับ อื่น ๆ พอว่า ถ้าสัตว์เลี้ยงหายละก้อ ฟ้าพิโรธดี ๆ นี่เอง"
สาครหัวเราะอย่างรู้ความหมายคำว่าอื่นๆ ของบาลัมหมายถึงสิ่งใด เสริมว่า
"เรื่องจำนี่ต้องยกให้บาเลย์เป็นเยี่ยม แพะกับวัวรวมกันกว่าสองร้อยตัว ตัวไหนออกลูกตัวไหนขายไปแล้ว รูปพรรณตำหนิอย่างไร จำแม่นยำจนกลัวใจ"
"เรื่องนี้ไม่ได้แกล้งชมป๊ะ หนึ่งไม่มีสองจริงๆ ครับ" บาลัมกล่าวอย่างภูมิใจแทน
"เธอควรจะหัดเอาไว้ให้เหมือนป๊ะซี"
"แก่ตายไปเกิดใหม่อีกชาติก็ทำไม่ได้"
"อ้าว แล้วทำไมถึงรู้ ตัวไหนมันหายไปล่ะ?"
สาครถามอย่างสนเท่ห์
"ง่ายนิดเดียว นับว่าอยู่ครบจำนวนของมันก็ใช้ได้ แยกเป็นตัวใหญ่ตัวเล็กก็พอจะรู้ ๆ ครับ"
สาวใหญ่หัวเราะเสียงขบขัน บาลัมรีบพาเรื่องออกทันทีตามจังหวะ
"วันนี้วันหยุด ไม่เห็นสามพี่น้องเลยฮะ"
"ขออนุญาตไปเที่ยวตั้งแต่เช้าแล้ว"
"ปรีชาเรียนอะไรต่อฮะ ?"
"ช่างกล" หล่อนตอบสั้น ๆ
"น้ำใส จบปีนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ?"
"ขอต่ออีกสองปี"
สาครบอกแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
หน้าแม้จะยิ้มแย้ม ความกังวลใจกลับอยู่ที่ดวงตาบาลัมพอจะจับความกังวลใจของหล่อนได้ บีบมือนุ่มพลางยิ้มให้ว่า
"ให้ผมช่วยเหลืออาเถอะ อย่าเกรงใจผมเลยฮะ ผมตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ"
สาครบีบมือตอบพลางส่งยิ้มให้อ่อนโยนว่า
"ขอบใจบาลัมมากที่มีน้ำใจ ไว้ให้อับจนหนทางจริง ๆ จะไปหาบาเลย์ที่บ้าน...”
บาลัมรีบค้านขัดขึ้นกลางคันเสียงแข็งทันใด
"อย่า.... ..อย่าไปหาป๊ะเป็นอันขาด เรื่องเงินไม่ว่าหน้าไหน ป๊ะไม่เคยเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นอัตราปรกติเช่นทุกคน ไม่เลือกหน้าเป็นญาติหรือมิตร"
"อาเต็มใจให้อยู่แล้วถึงได้ไปหา"
"ผมออกปากช่วยเหลือทั้งที อากลับไม่ยอมรับ คล้ายเห็นผมเป็นคนอื่นไปแล้ว"
เขาพ้อเสียงน้อยใจ หล่อนยิ้มปลอบว่า
"เงินของบาลัมก็เงินของบาเลย์...."
"คนละส่วนกันเด็ดขาด" บาลัมค้าน "ผมกับป๊ะมีเงินกันคนละถุงนะครับ"
"แต่อาก็รู้ บาลัมมีรายได้พอประมาณเท่านั้น"
เขากลับดึงดันอย่างไม่ยอมแพ้ต่อความจริงว่า
"อาต้องการเมื่อไรบอกผม ผมมีให้อาก็แล้วกัน อาไม่รับแต่ไปขอกู้จากใคร ผมรู้ทีหลังก็ไม่ต้องนับถือกันครับ"
สาครถอนหายใจออกมาเบา ๆ ว่า
"ถ้าบาลัมไม่คิดดอกเหมือนคนอื่นก็ไม่ต้องมานับถืออาเหมือนกัน"

บทที่ ๒
"ปรีชา ทำไมไม่คิดเรียนต่อในมหาวิทยาลัยฯ” บาหยันถามเด็กหนุ่ม
"ใจรักช่างกล" ปรีชาตอบสั้น ๆ
"น่าจะเรียนวิศวะก็ไม่เอา เรียนช่างกลเราไม่นึกชอบสักนิดเลย"
"มันไม่ดีตรงไหน ?" ปรีชาย้อนถาม
"นิสัยปรีชาผิดกับก่อนนี้มาก" บาหยันบ่นอย่างไม่พอใจนิด ๆ "รักทางนักเลง...”
"คนสู้คนก็หาว่าเป็นนักเลง เรามีเลือดนักสู้ที่ไม่ต้องการให้ใครเหยียดหยาม"
"อุดมคติของนายเป็นอย่างนั้นหรือ ?"
"แบบเดียวกับลุงบาเลย์นับถือเงินเป็นพระเจ้า....”
"อย่ามาว่าป๊ะเรานะ!" บาหยันกระชากเสียงใส่ ไม่พอใจ "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับป๊ะ....”
"พูดความจริงโกรธ ก็ไม่ต้องพูดกัน"
ปรีชาตอบห้วน ๆ ไม่ไยดี บาหยันหน้างอเป็นตะหวักยืนขึ้นเท้าสะเอวแปร๋นใส่
"ไม่พูดก็ได้ อย่างก๊ะเค้าง้อตัวนักนี่"
"ตัวเองก็นับถือเงินเบ็นพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ดีกว่าเรานักหรอก" ปรีชาย้ำซ้ำ
"ดีละ ! ขอให้จองหองไปเหอะ อย่ามาขอกู้ยืมเงินเราอีกก็แล้วกัน"
"ยืมแล้วไม่เคยโกง ดอกเบี้ยไม่เคยเบี้ยว ไม่ให้ยืมก็ไปยืมคนอื่นได้ ไม่หน้าเลือดเหมือนตัว เฮอะ... ถูกรุมฉุดเมื่อไรจะสำนึกคุณนักเรียนอาชีวะ"
"ถึงถูกฉุดก็ไม่เรียกให้มาช่วย คนเก่ง....! ขอให้ยกพวกตีกันเมื่อไรตายคามีดคาไม้ทันตาเห็น เจ้าประคู้น! จะบนแพะเป็น ๆ บูชายันต์หนึ่งตัว"
"เจ้าประคู้น... ขอให้ถูกฉุดไปโทรมอย่างว่าจริง ๆ เถอะ จะบนหัวหมูหนึ่งหัว"
บาหยันด่าคำหยาบคายออกมาคำหนึ่ง กระทืบเท้าหันหลังวิ่งไปทันที ปรีชากลับหัวเราะเย้ยหยันตามหลังไม่หวั่นหวาด มิตรภาพของหนุ่มวัย ๑๖ กับสาววัย ๑๗ พังครืนลงอย่างไม่มีเค้าพายุให้เห็น
ตรงข้ามกับหนุ่มบาลัมวัย ๑๙ กับสาวน้ำใสวัย ๑๘ ราบรื่นระมุนละไมไม่มีระลอกเลย
"น้ำใสจะเรียนต่ออีกหรือ ?" บาลัมถาม
"อีกสองปีเท่านั้น เรียนจบรับเงินเดือนสูงตามอัตรา ดีกว่าค่อย ๆ ไต่ทีละปี"
"ปก.ศ. สูง เกลื่อนกลาดมากินอัตราต่ำ....”
"ไม่ช้าก็ปรับให้ตามวุฒิ" หญิงสาวบอก
"อีก ๒ ปี.....อีก ๒ ปี.. " บาลัมพึมพำ
หญิงสาวชม้ายมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ บาลัมฝืนยิ้มเลียริมฝีปากคล้ายจะพูดลำบากว่า
"เอ้อ....เราหมายถึง....หมายถึง...."
หมายถึงอะไร บาลัมติดกะกุกตะกัก น้ำใสกลับหัวเราะเสียงสดใสว่า
"กลัวเราหัวสูงเพราะเรียนสูงใช่ไหมล่ะ ? ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม"
บาล้มถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ผืนยิ้มว่า
"ถูกแล้ว ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันและช่วยเหลือกันตามลักษณะมิตรแท้"
"เราดีใจจริงๆ ที่มีเพื่อนอย่างบาลัม เราจะรักกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมาดีไหม ?"
"แต่เราต่างเชื้อชาติ ศาสนาและ...."
"สิ่งเหล่านี้หาใช่เป็นอุปสรรคไม่ สำคัญอยู่ที่น้ำใสใจจริงของการคบหาต่างหาก"
บาลัมกลืนน้ำลายอย่างแร้นแค้น น้ำใสคงเป็นน้ำใสที่มีหัวใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง สมัยเด็กอย่างไรเป็นสาวก็อย่างนั้น ส่วนเขาซิ หัวใจกลับเปลี่ยนแปรกลับกลายไปเสียแล้ว !
นี่ก็ไม่อาจตำหนิ วัยเด็กที่เคยเล่นหัวรักใคร่กลมเกลียวกันมาตลอด ครั้นร่างกายเติบโตสู่วัยหนุ่มสาว รักฉันท์เพื่อนสมัยเด็กค่อย ๆ แปรรูป กลับกลายเป็นรักของหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวอย่างซาบซึ้งตรึงใจ
หัวใจหญิงสาวกลับบริสุทธิ์ซื่อ กระจ่างแจ่มใสเหมือนน้ำใสสะอาดสมชื่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเยี่ยงอย่างนี้แล้ว บาลัมหรือจะกล้าเอ่ยปาก ได้แต่เก็บรักไว้ในหัวใจเงียบกริบ
เชื้อชาติศาสนาถึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องใหญ่เอาการทีเดียว
บาเลย์เป็นแขกเฝ้ายาม อาศัยเงินเดือนที่เก็บออมซื้อหาแพะมาคู่หนึ่งเลี้ยงดูยามว่าง ให้มันเที่ยวหากินไปตามธรรมชาติ มันตกลูกขยายพันธ์ุเรื่อย ๆ ขายเบ็นเงินมาบ้าง นำเงินนั้นไปให้คนกู้ยืมกินดอกเบี้ย นำเงินดอกเบี้ยซื้อวัวเล็ก ๆ คู่หนึ่ง เลี้ยงเล่น ๆ เช่นเดียวกับแพะ ปล่อยให้มันเกิดลูกเป็นผลิตผลตามธรรมชาติ จำเนียรกาลผ่านไป รายได้จากการขายทั้งเนื้อและน้ำนมจากแพะและวัว รวมทั้งดอกเบี้ยจากเงินที่หว่านโปรยไปทั่วในละแวกบ้านนั้น ขยายไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นนายทุนใหญ่คนหนึ่ง
นางแฉล้มลูกสาวคนจีนแม่ไทย ทาสเงินกู้ของบาเลย์ ไม่มีปัญญาส่งทั้งต้นและดอกเบี้ยทบต้น ตัดใจยกลูกสาวให้มาเป็นลูกจ้างช่วยเลี้ยงสัตว์ วัยของคนทั้งสองห่างไกลกันพอจะเป็นพ่อลูกได้ ๔๐ กับ ๑๙
ความใกล้ชิดที่อยู่ร่วมกันมาถึง ๕ ปี บาเลย์ยังไม่มีลูกเมีย ค่อย ๆ เลี้ยงต้อยจนเด็กสาวเติบใหญ่ บาเลย์ก็จัดการอย่างละเมียดละมุนอย่างฉลาด หญิงสาวจำต้องกลายเป็นเมียแขกแบบเลยตามเลย
ให้กำเนิดลูกชายหญิงแก่บาเลย์ บาลัมเบ็นลูกคนโต หน้าตาหล่อเหลาคมสัน ผิวคล้ำและมีหนวดขนไม่มากผิดปรกติ ผิดกับบาหยัน ผิวดำสนิทผิดกับบาเลย์ ขนดกงามตามเชื้อสาย จมูกโด่งตากลมโตดำขลับ หน้าตาไม่สวยงาม เพียงพอดูได้เท่านั้น ปากร้ายพอ ๆ กับผิวที่ดำราวกับหมึก
บาเลย์พอมีเมียก็ลาออกจากอยู่ยาม นิสัยกลับกลายตามเมียไปหมดสิ้น สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ นับถือเงินเป็นพระเจ้า เป็นเจ้าหนี้ที่อำมหิตเหี้ยมเกรียมที่สุดของลูกหนี้ นิสัยนี้ถ่ายทอดให้กับลูกสาวหมดสิ้น บาเลย์กลัวเมียจนคนรู้กันทั่ว ลูกทั้งสองจึงถูกเลี้ยงอย่างคนไทยทั่วไป รวมทั้งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมในด้านการแต่งกาย บาลัมจึงเป็นลูกแขกที่ไม่ต้องไว้หางเปียตามบาเลย์
ทั้งสูกชายลูกสาว เรียนจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับก็ไม่ได้เรียนต่อ บาลัมทำหน้าที่เลี้ยงสัตว์แทนบาเลย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บาเลย์เพียงเป็นผู้คอยควบคุมดูแลรอบนอก จัดการหาซื้อและขาย มีเงินเดือนให้บาลัมพอกินพอใช้ บาลัมไม่พอใช้ก็หันมาไถรีดกับแม่เสมอ ๆ
เพราะเหตุนี้เอง บาเลย์จึงเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ใคร่ให้ลูกชายมีเมียแยกไปให้พ้นหูพ้นตาไปเสีย สองผัวเมียกับลูกสาวต่างก็รู้แก่ใจ บาลัมหลงรักน้ำใสมานานแล้ว
สองครอบครัวนี้เคยอยู่ชิดติดกันมาแต่ก่อน เด็กทั้งห้าเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนและวิ่งเล่นด้วยกัน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รักใคร่ชอบพอเรียกหากันตามศักดิ์ของอายุ
พ่อของน้ำใสเป็นเสมียนอำเภอ สาครเบ็นครูประชาบาลปราศจากวุฒิทางครู เงินเดือนค่อยไต่ขั้นตามระยะเวลา สอบได้ชั้นตรีหลังสามีวายชนม์ได้สองปี พอได้ชั้นตรีไม่นาน ครอบครัวบาเลย์ก็ย้ายจากทุ่งเข้าไปอยู่ในชุมชนหนาแน่น ตามประสาคนมีเงินแล้วกลัวตาย
สาครตกพุ่มม่ายมาห้าปี ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความแร้นแค้น ภาระที่เลี้ยงดูลูกทั้งสามที่กำลังกินกำลังนอนค่อนข้างจะฝืดเคืองแร้นแค้น มีหนี้สินอยู่ไม่น้อย หล่อนไม่คิดจะมีคู่อีก เพราะกลัวลูกทั้งสามจะไม่ได้รับความสุขเท่าที่ควร  หล่อนรักเอ็นดูบาลัมกับบาหยันเช่นลูก ๆ ของตนไม่เคยเดียดฉันท์ต่อเชื้อชาติ
หากน้ำใสจะรักบาลัม หล่อนเห็นชอบด้วย น้ำใสกลับบอกแม่ตามตรงไม่ปิดบัง
"น้ำใสไม่มีอะไรกับบาลัม คบหาเช่นเพื่อนต่างเพศคนหนึ่ง หากน้ำใสจะรัก แม่เห็นว่าควรจะรักใครคะระหว่างคุณศักดากับบาลัม ?"
หญิงสาวถามแม่อย่างฉลาด ศักดาคือผู้พิพากษาหนุ่มผู้มีอนาคตไกล กับบาลัมผู้เป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์เล็ก ๆ มันเป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นเด่นชัดอยู่ไนตัว
"คุณศักดาจะมาสู่ขอกับแม่ แต่น้ำใสขอผัดเรียนจบ ปก.ศ สูงก่อนค่ะแม่ขา"
หล่อนไม่อยากให้ลูกเรียนต่อ อยากให้แต่งงานในเร็วๆ วัน เนื่องจากสาเหตุสองประการ
ความไม่แน่นอนกับภาระที่เลี้ยงดูที่หนักแปล้ แต่หล่อนก็ไม่ยอมปริปากให้ลูกรักเสียกำลังใจ สู้กัดฟันรับภาระหนักอึ้งไว้เงียบ ๆ คนเดียว แต่หล่อนก็กำชับลูกสาวเข้มงวด
"อย่าได้บอกเรื่องนี้ให้บาลัมรู้เป็นอันขาดนะ"
บาลัมใช่ว่าจะไม่รู้ น้ำใสเรียนสูงขึ้นย่อมจะมีทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เขาเดินทางเข้าหามารดาหญิงที่ตนรักอย่างเฉลียวฉลาด คือช่วยเหลือครอบครัวนี้อย่างไม่กลัวเสียดายต่อความหมดเปลือง สาครย่อมรู้จิตใจหนุ่มต่างเชื้อชาติดี ระมัดระวังไม่ยอมให้มีการใช้จ่ายเติบมือจนกลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วเกิดข้อพูกพันให้ลูกสาวต้องประสบความขมขื่นใจภายหลัง
คนมีลูกใช่ว่าจะอบรมลูกให้ดีได้หมดทุกคนก็หาไม่ลูกสาวคนโตกับลูกชายคนเล็ก อยู่ในโอวาท แต่ลูกชายคนกลางกลับนอกคอก ทำให้สาครผิดหวังเสียน้ำใจที่สุด
อายุเพียง ๑๖ ปรีชาได้รับครอบเครื่องจากเพื่อนมาครบขบวน สาครพยายามที่จะรั้งกลับมาตามแนวทางที่ปูไว้ กลับถูกสิ่งแวดล้อมทำลายยับเยิน
ถึงลูกจะชั่วเลว แม่ก็ตัดลูกไม่ขาด
ใยรักเหนียวแน่นนี้เอง รัดคอให้หล่อนตายทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ
ทุกคนต่างมีเพื่อน เพื่อนคือมิตรและศัตรูตัวฉกาจของชีวิต แล้วแต่จะฉุดถึงไปทางใด
เพื่อนของปรีชาบอกกับเขาว่า
"นังบาหยันดูจะรักมึงโขอยู่ น่าจะจัดการสงเคราะห์ให้สมปรารถนาเสียเลย"
"ดำเป็นถ่านยังนึกว่าตัวเองสวย ยัดไม่ลงว่ะ" ปรีชาบอกอย่างเกลียดชัง
"ลืมแล้วรึวะ แรงโน้มถ่วง ร้ายนักแล"
"กูไม่ชอบ หยิ่งชิบหาย หน้าเลือด ใครอยากพุ่งหาจุดแรงโน้มถ่วงก็เชิญ"
"ไอ้เพชรชวนกูคะยิกหลายบ่อย กูละอยากจนม้ามสั่น มึงกลับไม่สนด๊าย"
ปรีชายักไหล่หัวร่อย่างดูแคลน เพื่อนจึงชี้โพรงให้เจาะง่ายๆ ว่า
"ไม่สนก็หลอกยัดอัฐซีวะ"
"กูไม่ชอบเป็นแมงกระจั๊วโว้ย ลูกผู้ชายมันต้องไว้ศักดิ์ศรี หิวก็เยี่ยงอย่างเสือวะ"
"ถังแน่นตึง ใครๆ ก็อยากตกถัง"
"กูกลัวถังพลิกคว่ำอัดกูหายใจไม่ออกว่ะ"
"ใบแดง ๆ น่าสนนาเพื่อน" เพื่อนยั่วยุ
"กูหาทางอื่นได้ ไม่เสียศักดิ์ศรีด้วย"
ปรีชาพูดอย่างยโส หาทางอื่นก็คือไถจากแม่ จริงอย่างว่า ไถแม่จะเสียศักดิ์ศรีใด
"มึงไม่เอาแน่นะ หน่อยจะเสียใจ"
ปรีชาตาลุกโพลงอย่างตื่นเต้น เพราะเข้าใจความหมายของเพื่อนดี
"กูไม่ยอมเอี่ยวด้วยนะ บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน มีเรื่องอย่าซัดทอดก็แล้วกัน"
"เออน่า พวกกูจักการกันเอง ว่าแต่เอ็งเถอะอย่าเสือกปากโป้งคาบไปบอกพี่มันล่ะ"
ปรีชาพยักหน้าบอกเสียงเครียดว่า
"มึงอย่าเสือกไปทำไมมันแถวใกล้บ้านกูนา"
"ทำไมต้องมีข้อแม้เรื่องสถานที่ด้วย"
"กูเห็นตำตาแล้วไม่ช่วย กูทนไม่ได้ว่ะ" ปรีชาบอกตรง ๆ “รู้ถึงหูแม่กูเข้าผู้ใหญ่จะเกิดผิดใดกัน พ่อแม่และพี่ชายมันล้วนดีต่อพวกกูซะด้วย จะทำอะไรไปให้ไกลหูไกลตาอย่าให้กูรู้เห็นเลยวะ"
"กูไม่เอา ไอ้พวกนู้นก็เอา"
"ใครอยากลากไปโทรมที่ไหนก็ตามใจ กูเห็นก็ต้องช่วยไม่ว่าพวกไหน"
พวกโน้นก็คือคู่อริของพวกตน ต่างมีจุดหมายตรงกัน แล้วแต่ใครจะมีโอกาสก่อน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น