วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่ 7




ผมเคยมีประสพการณ์จากการเป็นกระเป๋ารถเมล์มาในปีที่แล้ว คราวนี้ทางผู้จัดการการเดินรถ เลยจับให้ผมเป็นกระเป๋ารถเมล์เพียงคนเดียว ไม่ต้องยุ่งยากมีพี่เลี้ยงเหมือนปีที่ผ่านมา ผมก็ชอบเลยสิครับ เพราะเปอร์เซ็นต์การขายตั๋วและเบี้ยเลี้ยงประจำวันเราจะได้เต็มๆ ไม่ต้องแบ่งให้ใคร แต่ก็แลกมาซึ่งความเหน็ดเหนือยเป็นสองเท่า
อู่รถเมล์ที่ผมมาสมัครงานนั้น ได้รับสัมปทานการเดินรถอยู่สามเส้นทาง คือรถเมล์สาย42เส้นทางวิ่งระหว่างท่าน้ำศิริราช จนถึงเสาร์ชิงช้า เส้นทางที่สองคือสาย57วงกลมธนบุรี ท่าพักรถอยู่แถวๆสามแยกท่าพระ วิ่งเป็นวงกลมไปจนถึงท่าน้ำดินแดงแล้ววิ่งผ่านวงเวียนใหญ่กลับมาที่เดิม ส่วนสายสุดท้ายคือสาย81 วิ่งจากบางแคไปจนถึงท่าน้ำศิริราชเช่นกัน
พนักงานเก็บค่าโดยสารชั่วคราวแบบผมไม่สามารถที่จะเลือกเส้นทางได้แบบพนักงานประจำ ผมจึงจำต้องสลับกันขึ้นเก็บค่าโดยสารกันไปมา ซึ่งรถเมล์สาย57นั้นผมไม่ชอบเลย เพราะว่ารถมันค่อนข้างเก่า และเตี้ยมากในขณะที่ผมจบมศ.4นั้นผมสูงเกือบ180เซ็นต์เข้าไปแล้ว เวลาเดินตามผู้โดยสารไปเก็บเงิน ผมจึงต้องค้อมหัวลงหน่อยๆ ไม่เช่นนั้นหัวคงชนหลังคาหรือไม่ก็ราวจับ แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่
รถเมล์สาย81มากกว่าที่ผมไม่อยากขึ้นไปประจำทำงานเลย เพราะรถเมล์สายนี้มีนักเรียนช่างกลขึ้นที่ท่ารถบางแคเยอะมาก แล้วก็อย่างที่ทราบๆกัน พวกนี้มักจะพยายามเบี้ยวค่าโดยสาร พูดง่ายๆก็พยายามกวนตีนหาเรื่องพนักงานเก็บเงิน โดยเฉพาะพนักงานชั่วคราวที่แต่งเครื่องแบบนักเรียนมอปลายเช่นผม อีกประการหนึ่งก็คือรถเมล์สายนี้จะวิ่งผ่านหน้าปากซอยโรงเรียนผมนั่นเอง
ผมน่ะไม่แคร์สายตานักเรียนโรงเรียนเดียวกันหรอกครับที่จะเผอิญมาเห็นผมมาทำงานเช่นนี้ เพราะผมถือว่ามันเป็นงานสุจริต แต่ที่ไม่ชอบเลยเพราะว่า พอพวกมันเห็นผมมันก็จะทำตาเศร้าๆ หน้าตาน่าสงสาร แล้วไม่ยอมจ่ายเงิน ซึ่งความจริงแล้วมันก็หาใช่เงินมากมายจนทำให้รายได้ผมลดลง แต่ทว่าถ้าเผอิญมีนายตรวจขึ้นมาตรวจแล้วพบว่ามีคนไม่ยอมเสียค่าโดยสารนี่สิครับ ที่จะทำให้ผมโดนตำหนิได้
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผม เริ่มทำงานก็หาได้มีเหตุการณ์ดังที่ผมกังวลเลยแม้สักครั้ง ทำให้ผมเบาใจลืมเลือนเรื่องที่หวั่นเกรงไปเสียหมด รุ้สึกสนุกสนานกับการกระโดดขึ้นรถลงรถระหว่างประตูหน้าไปประตูหลังเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะบังเอิญเจอะเจอเพื่อนนักเรียนคนรู้จักขึ้นมา ผมก็พยายามที่จะไม่สบตาด้วย ปากร้องเพียงประโยคเดิมๆซ้ำๆว่า ขอค่าโดยสารด้วยครับ ๆ ๆ กับช่วยเดินชิดในด้วยครับแบ่งๆกันไป
"กูไม่จ่ายมีไรป่ะ..."
[post]แล้วผมก็คิดว่าวันนี้เจอดีเสียแล้ว เพราะเสียงห้าวๆเหมือนเด็กกำลังแตกเนื้อหนุ่มร้องดังขึ้น เมื่อผมขยับนิ้วมือจนกระบอกเก็บค่าโดยสารดังแก๊บๆ เข้าไปเบื้องหลังหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งขึ้นมาบนรถ ผมมักจะพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ประจำจนไม่รู้สึกตื่นกลัวหรืออารมณ์เสียที่ได้ยินเช่นนั้น นอกจากไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ผมก็ยังคงพูดประโยคเดิมๆซ้ำๆอีกครั้ง
"ขอค่าโดยสารด้วยครับๆ.."
แต่ทว่าไอ้หนุ่มใส่กางเกงยีนส์ขายาวที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่นั้น ก็ยังคงพูดประโยคเดิมๆของมันกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ผมเริ่มรุ้สึกว่าเสียงแหบๆห้าวๆของมันจะคุ้นหู จึงแทรกตัวเข้าไปยืนเบื้องหน้ามัน แล้วมองหน้ามันทันที
"อ้าวไอ้เอก..ไอ้เชิด ไอ้โต..."
ผมร้องทักไปได้เพียงแค่นั้นก็อ้าปากหวอ เพราะทั้งกลุ่มที่แต่งชุดไปรเวทขึ้นมาบนรถเมล์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผมรู้จัก ไอ้สามตัวนั้นก็เพื่อนสนิทในห้อง แต่บรรดาสาวๆที่มันพากันมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์เก่าที่ผมไม่อยากเจอไอ้โตกับแฟนมันอีปุ๊ แน่ละเมื่อมีไอ้เชิดก็คงต้องมีอีแจงเด็กแสบที่ทำให้ผมเสียคนรักไป แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าไอ้เอกเพื่อนสนิทของผมมันก็รวมอยู่ในก๊วนนี้ด้วย เด็กของมันยืนแอบอยู่ด้านหลังทำให้ผมมองหน้าหล่อนไม่ถนัด เห็นเพียงเส้นผมยาวๆที่ถูกถักเปียผูกโบร์ไว้ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะมองหน้าหล่อนต่อ
"เอ้าค่าโดยสาร..เท่าไหร่วะไอ้ชาย.." ไอ้เอกพูดพร้อมกับยื่นแบ็งค์สิบสีน้ำตาลอ่อนๆส่งมาให้ผมทันที
"เห้ย..ไม่ต้องก็ได้..." ผมปฏิเสธทันที เพราะพวกมันทั้งหลายก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันกับผม
"เอาไปเถอะ..พวกกูมากันตั้ง12คน..." ไอ้เอกมันยัดเงินใส่มือผมจนได้ สมองผมก็คำนวณอย่างรวดเร็ว คนละ75สตางค์12คนก็9บาทพอดี จึงดึงม้วนตั๋วออกมาจากกระบอกเท่ากับจำนวนคนแล้วฉีกส่งไปให้มัน แต่กลับมีมือเล็กๆที่ยืนแอบอยู่ด้านหลังไอ้เอกยื่นมารับแทน พร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆกล่าวขอบคุณเบาๆ
"ขอกันนะคะพี่เอก..จะเก็บเอาไว้สะสม..." เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆนั้นทำให้ผมชะงัก แล้วความรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีเมื่อแลสบตาโตๆกับเจ้าของเสียงผู้นั้น หูและตาผมไม่ฝาดเป็นแน่ เมื่อแลเห็นหน้าของเจ้าหล่อนใกล้ๆได้ชัดเจนว่าเจ้าของมือและเสียงผู้นั้นคือยัยเด็กชื่อกันนั่นเอง

"พวกมึงจะไปไหนกันวะ..."
ผมถามเสียงอุ๊บอิ๊บเบาๆเมินหน้ามองมาทางไอ้เอกกับกลุ่มยัยแจง พร้อมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสมือนกำลังอับอาย ที่เพื่อนๆมาพบเจอผมในสภาพนี้ ทั้งๆที่ปรกติผมไม่เคยอายถ้าสิ่งที่ทำอยู่นั้นสุจริตไม่ผิดกฏหมาย
"จะไปพิธภัณฑ์กันว่ะ..."
ไอ้เอกมันก็ตอบสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มที่ผมอ่านออกว่ามันกำลังภาคภูมิใจที่พายัยเด็กกันมาเที่ยวได้ แม้ในหัวของผมจะมีอีกมากมายหลายสิบคำถามที่อยากรู้ว่ามันกับน้องกันคบกันคุยกันแล้วหรือ แล้วมันทำอย่างไรจึงพายัยคุณหนูลูกไฮโซนั่งรถเบนซ์มาขึ้นรถเมล์ได้ แต่ทว่าผู้โดยสารที่เริ่มทะยอยขึ้นมาบนรถเมล์นั้นทวีจำนวนมากขึ้นๆ จนผมต้องเดินเบียดแทรกไปหาเพื่อเก็บเงินค่าโดยสาร ไม่มีช่วงเวลาเหมาะที่จะคุยจะถามอะไรไอ้เอกได้อีกเลย
แต่ความรู้สึกก็บอกกับผมว่า ตลอดเวลาที่ผมกำลังทำหน้าที่เก็บเงินค่าโดยสารอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจ้องมองด้วยความสนใจอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถแปลออกได้ว่าที่มองนั้นเพราะความแปลกใจ สนใจ หรือสมเพชกันแน่ ที่ปิดเทอมใหญ่ทั้งที เพื่อนๆต่างมีเวลาว่างมากพอที่จะพากันไปเที่ยวหาความสุข ในขณะเดียวกันผมกลับต้องมาทำงานหาเงินเหงือไหลอาบร่าง
เมื่อระยะทางผ่านไปเรื่อยๆคนก็แน่นจนเต็มรถ ผมก็คร้านที่จะเดินเบียดเสียดผู้คนไปเก็บค่าโดยสาร เพราะนั่นมันหมายถึงว่าผมจะต้องเดินผ่านกลุ่มเพื่อนๆคนรุ้จัก ผมเลยใช้วิธีกระโดดขึ้นรถจากบันไดด้านหน้าไปบันได้รถด้านหลังทุกป้ายรถเมล์ที่มองเห็นคนขึ้น จนกระทั่งรถไปสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่ท่าน้ำศิริราช ผมจึงเร่งเดินไปหานายท่าเพื่อให้เขาจดหมายเลขหน้าตั๋ว แล้วก็ประหลาดใจที่การวิ่งรถเที่ยวนี้ยอดจำหน่ายตั๋วไปเกือบ500ฉบับ ครั้นมานึกถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่ค่ารถโดยสารสูงถึงห้าหกบาท ก็ให้แปลกใจว่าทำไม ขสมก.ถึงได้ขาดทุน หรือเป็นเพราะประเทศไทยเศรษฐกิจดีขึ้นจนผู้คนเลิกสนใจนั่งรถเมล์ร้อนๆกันไปแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการตรวจเช็คยอดจำหน่ายตั๋วรถไปแล้ว ผมก็เดินกลับมาหากลุ่มเพื่อนๆ พบว่ายังคงมีไอ้เอกกับยัยเด็กกันตาโตเท่านั้นที่ยืนรออยู่ ส่วนคนอื่นๆกำลังทะยอยเดินลงไปรอเรือโดยสารข้ามฟาก ผมถอนหายใจดังเฮือกออกมาเพราะความเหน็ดเหนือย แต่กลับสบายใจขึ้นที่จะไม่ต้องเจอกับสายตาของกลุ่มยัยเด็กแจงมัน
"มึงไม่เหนื่อยมั่งหรือวะไอ้ชาย..กูเห็นมึงกระโดดไปกระโดดมายังงี้.."
ไอ้เอกยิงคำถามใส่ผมทันทีที่ผมเดินเข้ามาหา ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ใจอยากบอกมันเสียเหลือเกินว่ากูคนนะโว๊ย เหนื่อยเป็น แต่ที่จำต้องทำ เพราะบ้านกูจนไม่ร่ำรวยแบบมึง ที่มีเวลาว่างพาสาวไปเที่ยว

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่6


       เมื่อถึงวันเปิดภาคเรียนอีกครั้ง ดูเหมือนผมแทบจะใจสลายไปเลย เมื่อทราบว่าอัจฉราเพื่อนสาวคนเดียวของผม ที่ผมมีใจชมชอบให้เธอนั้น ได้ย้ายออกไปเรียนที่อื่น ผมจึงกลับมาหมกมุ่นอยู่กับตำราเรียนเพียงเรื่องเดียว ทำตัวใกล้เคียงหนอนหนังสือเข้าไปทุกวัน
ด้วยความมุ่งหวังที่จะพยายามเรียนให้ดี ทำเปอร์เซ็นต์การสอบและลำดับให้ดีๆ เพื่อหวังสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและคณะเรียนที่ผมมุ่งหวังไว้ โดยแทบจะไม่สนใจหรือใส่ใจเลยว่า หัวข้อการสนทนาที่ยอดฮิต ที่ร้อนแรงในกลุ่มนักเรียนชายในขณะนั้นมันคือเรื่องใด
"ห่าชัย..มึงเคยเห็นน้องตาโตละยังวะ..."
จู่ๆวันหนึ่งขณะที่กำลังยืนเข้าแถวเพื่อซื้ออาหารกลางวันทาน ไอ้เอกเพื่อนในห้องเรียนคนหนึ่งของผมก็กระซิบถาม แต่ดันส่งเสียงเสียค่อนข้างดัง ดีที่ว่าไม่มีใครใส่ใจมองมา คงเพราะสมาธิของเพื่อนๆในแถวต่างมุ่งหวังไปที่อาหารมื้อกลางวันกันแทน
"ใครคือน้องตาโตหรือวะ..."
ผมออมเสียงถามออกไปเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจในคำตอบที่ไอ้เอกมันบอกกลับมาว่า น้องกันตาโตที่มันพูดถึงนั้นคือน้องมศ.1 ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ในปีการศึกษานี้
"แล้วไง...ทุกปีก็มีน้องใหม่เข้ามาแบบนี้..ทำไมถึงตื่นเต้นนักวะไอ้เอก..." ผมถามด้วยน้ำเสียงปรกติ ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนไอ้คนที่กำลังเล่าเรื่องให้ฟังแม้แต่น้อย
"ไอ้ควายเอ๊ย...มึงนี่ฉลาดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวจริงๆ จึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้น้องกันตาโตเธอฮ็อตขนาดไหน.."
ไอ้เอกพูดพร้อมเตรียมยกมือมาเบิร์ดกระโหลกของผม แต่เมื่อเห็นสายตาดุๆของผมเสียก่อนมือที่ยกไว้ข้างนั้นจึงค้างเติ่ง ก่อนจะค่อยๆวางลงข้างลำตัว
"ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ..น้องนั่นจะฮ็อตยังไงก็เรื่องของเธอ..."
ผมพูดเหมือนบ่นๆด้วยความรำคาญ เพราะคาดการณ์ว่า คงไม่พ้นมาแนวทางเดียวกับยัยแจง ที่ทำเอาผมแสบสันต์ไปเมื่อปีก่อน พร้อมขยับขาก้าวเดินตามแถวเข้าไปใกล้ร้านขายข้าวแกงช้าๆอีกนิด
"เออมันก็ไม่เกี่ยวหรอก แต่ที่กูบอกมึงนี่เพื่อให้มึงรู้ไว้บ้าง ว่าเวลาใครๆเขาพูดถึงน้องกันตาโต มึงจะได้ไม่ปล่อยไก่ เหมือนที่กำลังคุย
กับกูวันนี้ไงวะ..ไอ้ฟาย...เห้ย!..นั่นไงน้องกันเดินมาโน่นแล้ว....."
ไอ้เอกมันพูดเหมือนน้อยใจที่ผมไม่สนใจเรื่องน้องอะไรนั่นที่มันมาบอก ตบท้ายด้วยการด่าว่าผมเป็นไอ้ฟายเสียงเบาๆ จากนั้นมันก็ร้องเอะอะพร้อมชี้ไม้ชี้มือไปที่ทางเดินใต้ถุนตึกเรียน ผมมองตามมือของไอ้เอก ก็เห็นนักเรียนทั้งชายและหญิงกลุ่มใหญ่กำลังเดินตรงมายังห้องอาหาร แต่ที่สะดุดตาตรงนักเรียนหญิงรูปร่างสูงๆ ถักผมเปียสองข้างผูกด้วยโบร์สีน้ำเงิน ที่เดินนำหน้ามานั้น โดยมีขบวนนักเรียนชายหญิงเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังกันมาเป็นพรวน
"นั่นไงไอ้ชาย .มึงเห็นมั๊ย น้องกันตาโตคนสวยเดินมาโน่นแล้ว.." น้ำเสียงไอ้เอกดูสั่นๆ ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาฉับพลัน เมื่อมันชี้นำให้ผมมองตามมือ
"อืมมมมม...นั่นน่ะหรอ..น้องกันของมึง..ท่าทางคงฮ็อตของจริง..." ผมพูดเหมือนไม่ใส่ใจรีบถอนสายตากลับมายังร้านข้าวแกงป้าเพ็ญที่คิวเริ่มหดสั้นลงทีละนิดๆทันที
"ไอ้ชายไปกับกู...."
เหลืออีกเพียงแค่สองคิวเท่านั้นผมก็จะได้สั่งอาหาร แต่แล้วไอ้เอกก็ลากมือผมออกมาจากแถว ที่ต้องรอคิวเกือบ10นาที แล้วดึงแขนผมไปยังกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่ต่อคิวเพื่อซื้อขนมปังที่อยู่อีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่รอถามความสมัครใจจากผมเลยแม้แต่น้อย
"ไอ้ห่าเอก...กูอยากกินข้าว.."
ผมร้องท้วงไปเบาๆ แต่เท้าก็ก้าวเดินตามแรงฉุดของไอ้เอกไปจนกระทั่งถึงคิวยาวเหยียดของนักเรียนที่ต่อคิวเข้าแถวเพื่อซื้อขนมปัง แต่มันกลับไม่พาผมไปต่อคิวเหมือนชาวบ้านเขา ดันพาผมไปยืนประจัญหน้ากับเจ้าของดวงตากลมโตสุกใส ที่เต็มไปด้วยประกายอยากรู้อยากเห็น บนใบหน้าขาวเรียวเกลี้ยงเกลาคนนั้นเสียแทน เล่นเอาบรรดานักเรียนคนอื่นๆ ที่ติดส้อยห้อยตามมาเข้าคิวซื้อขนมปังแบบน้องกัน มองหน้าเราสองคนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
"น้องกันชอบทานขนมปังหรือครับ..."
ไอ้เอกจีบปากบีบกล่องเสียงให้น้ำเสียงดูเนิบนาบอ่อนหวาน เมื่อร้องสอบถามเด็กสาวร่างสูงเพรียวเกินเด็กเข้าใหม่คนนั้น แต่อุ้งมือของมันที่บีบกระชับลำแขนของผมนั้นกลับร้อนผ่าวและชื้นเปียกไปด้วยเหงื่อ จนผมค่อยๆสลัดปลดแขนตนเองออกมาจากอุ้งมือของมันช้าๆ พร้อมกับมีเวลาพอที่จะมองสำรวจวงหน้าเรียวขาวเกลี้ยงเกลา สอดรับกับคิ้วโก่งดกดำ และริมฝีปากหยักแดงเต็มอิ่มามธรรมชาติของเด็กสาวคนนั้นอย่างรวดเร็ว
"ค่ะพี่เอก..." เด็กสาวคนนั้นตอบเบาๆด้วยสุ้มเสียงที่ไหวพริ้วเหมือนเสียงระฆังแก้วที่แขวนตามโบสถ์ มันดังหงุงหงิงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ แต่ก็ชัดถ้อยชัดคำ จนทำให้ผมเผลอตัวมองสำรวจวงหน้าขาวเรียวเกลี้ยงเกลานั้นอีกครั้ง พร้อมกับไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเพียงชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่น้องคนนี้เข้ามาเรียน เธอถึงได้เป็นหัวข้อสนทนาที่ฮ็อตและร้อนแรงในหมู่ผู้ชายในโรงเรียนผม

เพราะนอกจากความสวยน่ารักในตัวน้องกันแล้ว ภายหลังผมจึงได้ทราบว่าฐานะทางบ้านของเธอค่อนข้างจะร่ำรวย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่ทางบ้านมีคนขับรถเบนซ์มาส่ง มารับทุกเช้าเย็น ผมจำได้ว่าในครั้งนั้น หลังจากที่ไอ้เอกมันพาผมไปแนะนำตัวให้น้องกันรู้จักแล้ว ผมก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมาจากแถวคิวที่ต่อเพื่อซื้อขนมปัง ด้วยสายตาของนักเรียนทั้งหญิงและชายหลายสิบคู่ที่จ้องมองมาทางผม จนทำให้ผมเกิดความรู้สึกอึดอัด และโดยเฉพาะเมื่อเริ่มรู้สึกหน้าแดงจากสายตากลมโตสุกใสคู่นั้น ที่ปากสนทนากับไอ้เอกเพื่อนซี้ของผม แต่กลับส่งสายตาจ้องมองมาที่หน้าของผม จนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก แขนขาเริ่มรู้สึกว่ามันยาวเก้งก้างจนไม่รุ้จะวางไว้ที่ใดดี ใจเริ่มเต้นแรง จนรู้สึกอึดอัดจนแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก เหมือนมันกำลังจะตาย โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเดินจากมาตามลำพังแล้วนั่นแหละ ผมค่อยหายใจได้คล่องขึ้นเป็นปรกติ
หลังจากวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจสนใจเรื่องราวของน้องกันและบรรดาเพื่อนๆอีก เพราะวันๆที่ผ่านไปนอกจากการเข้าเรียนในห้อง พอ
มีเวลาว่างผมก็มักจะขลุกตัวอยู่ในห้องสมุด อ่านทบทวนตำรับตำราที่เรียนมา รวมทั้งเพิ่มความรู้ใหม่ๆที่ค้นหาเจอจากการได้อ่านหนังสือ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวันเป็นเดือน และจนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป เมื่อวันสุดท้ายที่สอบไฟนอลเสร็จ ผมก็รีบไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง และก็ได้งานทำช่วงปิดภาคเรียนสมใจ

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่5


ภายหลังจากที่เกิดเรื่องกับยัยแจงเด็กแสบ จนเป็นผลให้อัจฉรารักแรกของผมผิดใจกัน จนเธอเลิกคบ เลิกคุยกับผมไปจนกระทั่งเธอย้ายโรงเรียนหนี ผมก็ไม่ได้ใส่ใจใครอีก คงเป็นความรู้สึกที่เข็ดหลาบขยาดผู้หญิงอยู่ลึกๆในใจ ผมจึงมุมานะในการเรียนกลับกลายเป็นหนอนหนังสือตัวจริงเสียงจริงอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะพยายามสอบเข้าไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยให้ได้
ผมไม่ได้ตั้งความหวังเหมือนเด็กรุ่นเดียวกันทั่วๆไปในสมัยนั้นหรอกครับ ว่าขอให้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยใดก็ได้สักแห่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจแล้ว แต่สำหรับผมกลับมุ่งหวังที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเกษตร โดยเฉพาะคณะประมง ซึ่งผมก็ตอบตนเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมในครั้งกระโน้นจึงได้มีความคิดเช่นนี้ แต่อนิจาแม้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วผมกลับไม่มีโอกาศได้เฉียดไปใกล้ความหวังของผมเลยแม้สักนิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นแล้วผมจะค่อยๆลำดับเรื่องราวให้ฟัง
เมื่อใจตนเองมุ่งหวังไว้เช่นนี้แต่แรก อย่างที่บอกแต่แรกไปแล้ว ตัวผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน มีคุณแม่เพียงคนเดียว ซึ่งท่านก็มีอายุย่างเข้าวัยกลางคนไปแล้ว ผมเห็นท่านทำงานอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าตลอดทั้งวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเลี้ยงดูให้การศึกษากับตัวผม ผมก็ไม่ได้นั่งดูดาย พยามยามช่วยเหลือท่านทุกอย่าง เมื่อตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือให้ยัยแจงเด็กแสบแล้ว ผมก็จำเป็นต้องหางานพิเศษทำเท่าที่อายุ และความสามารถอันน้อยนิดจะพึงทำได้ เพื่อแบ่งเบาภาระของทางบ้าน
ผมเริ่มจากการไปสมัครงานเป็นเด็กเสริฟตามสถานบริการคาเฟ่ แต่ไปมาหลายที่แม้จะได้งานแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากช่วงเวลาที่ทำงานมันไม่เหมาะสมกับการเรียนของผม สุดท้ายผมเลยได้เป็นแค่พนักงานล้างจานตามร้านอาหารเล็กๆจำพวกร้านข้าวมันไก่ ร้านข้าวหมูแดง เพียงเท่านั้น ซึ่งไปทำงานทุกเย็นหลังเลิกเรียนจนถึง4ทุ่ม รวมทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ตลอดทั้งวัน
แม้จะได้เงินเดือนมาน้อยนิดเพียงแค่ไม่ถึง500ร้อยบาทต่อเดือน แต่เงินจำนวนนี้กลับมีค่ามหาศาลในความรู้สึกของผมในครั้งกระนั้น เพราะมันเป็นค่าอาหารกลางวันได้ตลอดทั้งเดือน รวมทั้งค่าอุปกรณ์การศึกษาต่างๆของผมด้วย เมื่อเลิกงานล้างถ้วยจานจากร้านข้าวมันไก่ในทุกคืน ผมก็จะหิ้วข้าวมันไก่ที่เจ้าของร้านขายไม่หมดกลับมาทานกับแม่ที่บ้านในทุกคืน เป็นเช่นนี้ประจำ จนกระทั่งผมเรียนจบม.ศ.4 ช่วงปิดเทอมใหญ่ถึง3เดือน ผมคิดว่าการทำงานล้างถ้วยจานอยู่ที่ร้านข้าวมันไก่แบบนี้ ผมคงไม่สามารถหาเงินเก็บได้มากพอสำหรับปีการศึกษาใหม่ ผมจึงลองไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย42 ซึ่งมีอู่อยู่ไม่ไกลจากที่บ้านผมนัก โชคดีของผมที่เจ้าของอู่ใจดียอมให้งานนี้กับผม แม้จะไม่มีเงินเดือนเฉกเช่นพนักงานประจำของเขา ผมได้เพียงเบี้ยเลี้ยงในวันที่ไปทำงาน กับเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3จากงานขายตั๋ว
แต่เมื่อมาคำนวณดูแล้วในแต่ละวันผมสามารถทำงานได้เงินเกือบร้อยบาท ผมจึงไม่รอช้าที่จะทำงานนี้ แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับอันตรายจากรถลาบ้างก็ตาม ที่กระเป๋าเก็บเงินค่าโดยสารจำต้องกระโดดขึ้นรถจากประตูด้านหน้าบ้างเพื่อไปประตูด้านหลังเพื่อเก็บเงินค่าโดยสารได้ทั่วถึง มิหนำซ้ำบางคราวก็โดนเด็กนักเรียนช่างกลที่เกเรพยายามเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน แม้ว่าค่าโดยสารรถเมล์ในสมัยนั้นจะเก็บเพียง75สตางค์ก็ตาม
"เห้ย!..ไอ้ชาย..มึงขี่ช้างเป็นมั๊ยวะ..." จู่ๆพนักงานรุ่นพี่ซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารประจำในรถคันเดียวกันกับผม ก็ถามขึ้นมาหลังจากรถจอดรอคิวกันอยู่ที่อู่จอดพักรถ
"พี่เบิ้ม..ผมคนกรุงเทพนะครับ...เกิดมายังไม่เคยขี่ช้างสักตัว..."
ผมตอบกลับไปด้วยความงุนงง พูดซื่อๆ เพราะเข้าใจว่าขี่ช้างนี้คือช้างตัวเป็นๆตัวใหญ่ๆมีงวงมีงา แต่พอตอบกลับไปแล้วก็โดนรุ่นพี่ตบกระโหลกหยอกๆดังเพลี๊ยะ แล้วหัวเราะงอหาย
"ไอ้ควายเอ๊ย..ขี่ช้างนี่ไม่ได้หมายถึงช้างโว๊ย..มันหมายถึง..."
จากนั้นพี่เบิ้ลมันก็ก้มหน้าลงมากระซิบที่หูของผม จึงทำให้ผมเข้าใจความหมายได้ว่า ขี่ช้างนั้นมันคือการทุจริตต่อหน้าที่ โดยเก็บเงินค่าโดยสารมาจากคนขึ้นรถ แต่เราไม่ได้ฉีกตั๋วให้เขา เงินจำนวนนั้นมันก็จะเข้ากระเป๋าเราทันที แม้ว่าจะน้อยนิดเพียงแค่75สตางค์ก็ตาม แต่ถ้าวันๆหนึ่งทำเช่นนี้สักร้อยครั้ง มันก็กลายเป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียว ดีกว่ากินเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3 หลายเท่า
"ไม่ละพี่..แบบนี้มันทุจริตนี่ครับ..เดี๋ยวนายตรวจจับได้...จะถูกไล่ออก.." ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันทีที่เข้าใจความหมาย ที่ถูกไอ้พี่เบิ้มชักชวนให้ร่วมกันกระทำ
"เออตามใจมึง กูบอกหนทางดีๆให้ เสือกโง่ไม่ทำก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาขวางทางกูแล้วกัน"
ไอ้พี่เบิ้มมันพูดขึงขัง น้ำเสียงข่มขู่ผมกลายๆ ผมจึงได้แต่เงียบ แม้จะรุ้สึกว่ากำลังโดนไอ้พี่เบิ้มมันเอาเปรียบก็ตาม เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่มันขี่ช้างนั้น มันหมายถึงยอดเงินการขายตั๋วของรถคันที่เรารับผิดชอบร่วมกันจะน้อยลงไปด้วยก็ตาม
แต่แล้วการกระทุจริตต่อหน้าที่ก็ได้รับผลกรรมตอบแทนเข้าให้ในวันหนึ่งที่โดนนายตวรจจับได้ โดยมีผู้โดยสารเป็นพยานยืนยันว่าได้เสียค่ารถแล้ว แต่พนักงานเก็บค่าโดยสารนั้นไม่ยอมฉีกตั๋ว แม้ว่าในรถจะมีพนักงานเก็บค่าโดยสารสองคนคือผมกับไอ้พี่เบิ้มก็ตาม แต่ผู้โดยสารยืนนันหนักแน่นว่าจำได้ว่าเป็นไอ้พี่เบิ้ม เพราะมันแต่งขุดพนักงาน ส่วนผมนั้นแต่งชุดนักเรียน เป็นอันว่าไอ้พี่เบิ้มถูกพักงานไป จึงเหลือผมเพียงลำพังในการเก็บค่าโดยสาร ซึ่งย่อมเป็นผลดีกับตัวผม เพราะไม่ต้องโดนแบ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับ แม้ว่ามันจะแลกกับความเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม
สุดท้ายผมก็ทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารจนกระทั่งเปิดเทอม มีเงินเก็บหลายพันบาทสามารถซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ รองเท้าใหม่ๆ ให้กับตนเองได้โดยไม่ต้องรบกวนเงินจากคุณแม่เลยแม้สักบาทเดียว



ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่4




"อืมมมมม..ก็น่าจะสดใสนะ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ได้ระบายออกซะมั่งไอ้หนอนหนังสือ..."
ไอ้โตพูดเหมือนมีปริศนา จากนั้นก็เดินกลับไปรวมกลุ่มซุบซิบกันต่อ จนได้ยินเสียงออดเรียกเข้าแถวในตอนเช้านั่นแหละ ถึงได้แตกตัวเดินกันไปเข้าแถวหน้าเสาธง ผมเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไปจนถึงสนามหญ้าหน้าเสาธง ช้าๆ จนเหลียวมองเห็นอัจฉราเดินตามมาจนทัน ผมหันหน้าไปหาทำทีท่าว่าจะทักเธอ แต่เธอกลับพูดลอยๆขึ้นมาว่า
"คนลามก..."
จากนั้นก็เดินชนไหล่จนผมเซ เพราะไม่ทันตั้งหลัก ไม่คิดว่าทางเดินออกกว้าง อัจฉราจะเจตนาเดินชนไหล่ผม พอผมเซเสียหลัก อัจฉรา เพื่อนสาวร่วมชั้นเรียนแต่คนละห้องกับผม สาวที่ผมแอบมองเพราะความชอบก็เดินสาวเท้าซอยเร็วๆ จากไปพร้อมทิ้งคำพูดให้ผมงุนงงว่าคนลามกนี่มันหมายถึงใคร หมายถึงผมหรืออย่างไร ผมไปทำลามกจกเปรตกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ แต่ผมก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ได้นานเท่าไหร่ ก็ต้องรีบเดินไปเข้าแถวให้ทันเพื่อนๆ ที่ส่วนใหญ่ยืนเรียงห้องใครห้องมันกันเรียบร้อยหมดแล้ว
รอสักพักพอนักเรียนทุกคนมาเข้าแถวกันครบและถึงเวลา8โมงเช้า เสียงเพลงชาติไทยก็ดังขึ้น นักเรียนที่เป็นตัวแทนชายหญิงค่อยๆสาวชักธงไตรรงค์ขึ้นสุ่ยอดเสาช้าๆ จนเพลงจบธงชาติไทยสามสีอันสง่างามก็ถูกชักชึ้นสู่ยอดเสาสำเร็จ จากนั้นก็มีพิธีสวดมนต์กันตอนเช้า เหมือนเช่นทุกๆวัน หลังจากสวดมนต์เสร็จ อาจารย์ฝ่ายปกครองก็ขึ้นไปยืนบนสแตนด์ พร้อมอบรมนั่งเรียนในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ เฉกเช่นทุกวัน เหมือนการรีเพลย์เทป ทุกคำพูดที่ผมได้ยินมานั้นตลอดเวลาเกือบสามปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนสงสัยว่าอาจารย์ปกครองท่านพูดไม่เบื่อบ้างรึไง ในเมื่อผมเห็นมีนักเรียนหลายสิบคนที่ต่างก็ยังแต่งตัวผิดกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่เสมอ
ใครทำผิดเรื่องใด ผมก็เห็นว่ายังคงผิดในเรื่องนั้นๆเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแม้สักนิด ตัวอย่างเช่นนักเรียนชายที่ชอบใส่ถุงเท้าสีผิดระเบียบผมก็ยังคงเห็นใส่กันอยู่เสมอ บ้างถูกริบไปสองสามวันมันก็ซื้อสีเดิมมาใส่อีก นักเรียนหญิงบางคนอย่างเช่นกลุ่มยัยแจงเด็กแรดที่ชอบใส่กระโปรงสั้นเลยหัวเข่า ผมก็ยังคงเห็นเธอใส่แบบนี้เสมอ มีเฉพาะแค่ตอนเข้าแถวหน้าเสาธงนี่กระมัง ที่เด็กสาวกลุ่มนั้น ขยับชายกระโปรงลงมาให้ถูกต้องตามระเบียบ พอหลังจากเลิกแถว เธอก็ถลกขอบกระโปรงพับม้วนขึ้น จนชายกระโปรงสั้นขึ้นเหนือเข่าแทบทุกครั้ง
"เห้ย!...ชาย..รอก่อน..."
สมศักดิ์ เพื่อนกลุ่มเรียนของผมคนหนึ่ง เดินตามมาจับไหล่ผมด้านหลัง แล้วร้องบอกให้ผมรอ หลังจากที่เลิกแถวแล้ว นักเรียนต่างคนต่างทะยอยเดินตามกันเป็นแถวๆเพื่อเข้าชั้นเรียน แต่สมศักดิ์ซึ่งตัวเตี้ยกว่าผมเกือบ20ซม. จึงยืนเข้าแถวอยู่ทางปลายแถว รีบเดินแซงขึ้นมาจนทันผมที่อยู่ช่วงๆหัวแถว
"เออ...เรื่องไรวะ..." ผมตอบไปพร้อมกับเดินช้าลง จนผ่านอาจารย์ที่ยืนคุมแถวแล้ว สมศักดิ์จึงดึงมือผมให้แยกออกจากกลุ่มแถว เดินไปทางห้องน้ำ
"มึงทำแบบนั้นจริงๆหรือวะ.....ไอ้ห่าเอ๊ย เห็นเงียบๆเรียบร้อยไม่นึกเลยว่าไวไฟเหมือนกันนะมึงอ่ะ..." พอแยกจากแถวปลอดคนแล้วไอ้สมศักดิ์ ก็ใส่มาเป็นชุด จนผมยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยงุนงงไม่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร
"กูทำอะไรวะ...พูดให้รู้เรื่องหน่อยสิโว๊ย..." ผมถามออกไปอย่างฉุนๆ เพราะตั้งแต่เช้ามาแล้วที่เจอไอ้โต ก็พูดแปลกๆ เจอสายตาคนที่มองมาเหมือนสงสัยแปลกใจ เยาะหยัน โดยเฉพาะคำพูดคนลามก ของอัจฉราที่ผมไม่มีวันลืม
"ห่าเอ๊ย....มึง..แม่ง...อำกูแน่เลย...คนเค้าพูดเรื่องมึงกันทั้งโรงเรียนแล้วตั้งแต่เช้า....มึงไม่ได้ยินมั่งหรอวะ.." ไอ้สมศักดิ์ยืนจ้องหน้าผมด้วยสายตาแปลกๆ
"เออ.....กูไม่รุ้เรื่องเลยว่ามึงหรือใครๆพูดเรื่องอะไรของกู ชัดมะ...คราวนี้มึงจะบอกได้รึยังว่ามันคืออะไร ถ้าไม่พูดกูจะไปเรียน เสียเวลากู...." ผมตอบสบัดเสียงด้วยรู้สึกเริ่มรำคาญหงุดหงิด
"เออ..บอกก็ได้วะ...เมื่อเช้ากู..ได้ยินจากปากไอ้โตว่าอีปุ๊เมียมันมาเล่าว่าเมื่อคืนมึงกับอีแจงเอากันว่ะ....จริงรึวะ...แม่งเด็ดมั๊ยเพื่อน...กูว่าคงเด็ดละ หน้ามันสวยๆเซ็กส์ๆ หุ่นก็น่าเอา..ฮาๆๆๆๆๆ"
ผมฟังไอ้สมศักดิ์พูดแล้วทั้งตกใจทั้งงุนงงว่าใครเอาเรื่องทำนองนี้มาเล่า ถ้ามาจากปากอีปุ๊ ก็น่าจะเป็นเพื่อนสาวตัวแสบหัวหน้ากลุ่มคือ
อีแจงนั่นแหละที่เอาเรื่องเท็จมาสร้างข่าวลือโคมลอย
"ห่าเอ๊ย..เรื่องลามกจกเปรต..อย่างกูนี่นะ...จะทำเรื่องเหี้ยๆแบบนั้นได้..."
ผมตอบกลับไปด้วยความรุ้สึกกึ่งโมโหกึ่งอาย มิน่าตั้งแต่เช้าแล้วที่ผมเห็นอากัปกิริยาแปลกๆจากนักเรียนที่จับกลุ่มคุยกัน ผมผละเดินจากไอ้สมศักดิ์ มุ่งหน้ากลับห้องเรียนด้วยเลยเวลาเริ่มเรียนวิชาแรกไปหลายนาทีแล้ว โดยไม่สนที่จะแก้ไขข่าวลือหรือตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น..เพราะรุ้ดีว่าแก้ตัวไปอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง มนุษย์นั้นไม่ว่ายุคใดสมัยใดต่างกระกายที่จะเสพข่าวฉาวๆคาวๆแบบนี้ทั้งนั้น ในเมื่อตัวผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ฉนั้นใครจะคิดจะลือจะพูดเช่นไรก็ปล่อยให้ลือให้พูดกันไปผมไม่แคร์ แต่สิ่งที่ผมจะต้องทำหลังเลิกเรียนนั้นตั้งใจไว้แล้วว่าต้องไปคุยกับอีแจงเด็กจอมแสบให้รู้เรื่อง ถ้าเธอเป็นคนปล่อยข่าว เธอก็ต้องเป็นคนแก้ข่าวให้กับผม
ผมกลับมาถึงห้องเรียน ก็เห็นครุสอนตณิตศาสตร์เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ผมจึงขออนุญาติท่านกลับเข้าห้อง เดินตรงไปในที่ของผม โดยไม่สนใจสายตาของเพื่อนๆที่มองมาแบบอยากรู้อยากเห็น ผมตัดเรื่องนั้นออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว ตั้งใจฟังครูอธิบายสอนวิชาคณิตศาสตร์ จนจบชั่วโมงเรียน แล้วครูสังคมก็เข้ามาต่อ จนเวลาผ่านไปถึงเวลาพักเที่ยงทานอาหารกลางวัน เพื่อนๆต่างรีบออกจากห้องเพื่อไปเข้าแถวซื้ออาหารทานกัน ส่วนผมนั้นมันเกิดอาการตื้อจนทานอะไรไม่ลง ผมจึงยังคงนั่งแช่อยุ่กับเก้าอี้เรียน จนเหลืออยู่คนเดียวภายในห้อง สักครุ่ความรุ้สึกเห็นใครแว๊บๆทางหางตาจึงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนมองออกไปหน้าประตูห้อง เห็นอัจฉรายืนลับๆล่อๆอยู่ตรงประตุห้องด้านหน้าชั้นเรียน
"มีธุระอะไรกับเราหรืออัจ..เข้าก่อนสิ..."
ผมทักถามออกไปเมื่อเห็นเธอยืนลับล่ออยู่แบบนั้น เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้ามาคุยกับผมหรือจะเดินหนี แต่พอผมเรียกไป เธอกลับส่ายหน้าเรียวๆ ขนตางอนๆวงหน้าสวยน่ารัก ปากแดงตามธรรมชาติ พร้อมกับยืนรีรออยุ่หน้าห้องไม่ยอมเข้ามา จนผมต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินไปหา
"มีธุระอะไรกับเราหรืออัจ.." ผมถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเดินเข้ายืนเผชิญหน้ากับอัจฉราที่ตรงหน้าประตุห้องเรียน แต่อัจฉราหลบสายตาของผม พูดอำอึ้งๆเบาๆตอบกลับมาว่า
"เรื่องที่เค้าลือกันน่ะ...เป็นเรื่องจริงใช่มั๊ย.."
เมื่อผมได้ยินคำพูดของอัจฉราผุ้หญิงที่ผมแอบมีใจชอบแล้ว ผมรู้สึกผิดหวังกับคำพูดของเธออย่างมาก..เรื่องที่ลือกันน่ะ จริงใช่มั๊ย..คำพูดมันบ่งบอกชัดเลยว่าเธอนั้นตัดสินใจเชื่อคำพูดข่าวลือนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ผมมองร่างเพรียวสมส่วนของอัจฉราด้วยความรุ้สึกผิดหวัง เธอเป็นกลุ่มเด็กเรียนเก่งเช่นเดียวกับผม ผลสอบของเธอก็เป็นที่หนึ่งของห้องเช่นเดียวกับผม คะแนนสอบของเราสองคนสูสีกันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอดตั้งแต่เรียนมอ.1 ผมจึงรุ้สึกผิดหวังที่คนฉลาดๆอย่างเธอกลับเชื่อข่าวลือทำนองนี้ได้
"แล้วอัจคิดว่าเราเป็นคนแบบนั้นหรือ..."ผมถามช้าๆอย่างใจเย็น แม้จะรุ้สึกผิดหวังในตัวเธอ
"ก็...ก็ไม่เห็นนายจะแก้ข่าว หรือเดือดร้อนนิ...มันก็น่าจะเป็นจริงใช่มั๊ย..."
อัจฉราพูดเสียงเบาหวิว แต่ยังคงไม่กล้าสบสายตากับผม ส่วนตัวผมนั้นเดินกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียนตามเดิม ไม่แม้จะตอบคำถามเธอสักคำ ด้วยความรุ้สึกผิดหวังน้อยใจ กับผู้หญิงที่ตนเองแอบชอบ ซึ่งผมก็คิดว่าอัจฉราพอรู้ตัวเช่นกันว่าผมนั้นมีใจกับเธอ
"สมชาย...เธอพูดสิ..ถ้าไม่จริงก็พูดออกมา..."
เสียงอัจฉราสั่นเครือพอเงยหน้าขึ้นมองมาที่ผม ผมก็เห็นนัยต์ตาคู่สวยของอัจมีน้ำตาเอ่อคลอเต็มสองคู่ พอเธอกระพริบขนตางอนยาว หยาดน้ำตาก็ไหลพรูลงมาตามข้างแก้ม จนผมตกใจ
"ร้องไห้ทำไมอัจ..." ผมลุกเดินเข้าไปหา ล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดส่งให้ อัจยื่นมือมารับซับน้ำตาจนแห้ง แต่ดวงตาของเธอยังแดงช้ำ
"ชาย..บอกกับเราสิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...." อัจฉราพูดจบก็เดินเลี่ยงไปยืนพิงราวระเบียงหน้าห้อง จนผมต้องเดินตามไปยืนเคียงใกล้ๆ
"อัจ...เธอก็รุ้ว่าเราเป็นคนแบบไหน...มีนิสัยเช่นใด เรื่องเลวๆแย่ๆ แบบนั้นเราไม่ได้ทำหรอก..."
ความจริงแล้วผมไม่อยากพูดไม่อยากอธิบายเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่อัจฉราก็ตาม แต่พอผมเห็นน้ำตาของเธอแล้วก็ใจอ่อนความรุ้สึกโมโหที่เธอเข้าใจผมในด้านร้ายลดลง จนผมต้องพูดออกมา แต่ยังไม่ทันได้คุยกันต่อหรือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ายัยเด็กแจงนั้นทำอะไรกับผม เสียงโหวกเหวกแหลมๆของนักเรียนหญิงมอ.ต้นที่ดังจากพื้นสนามหน้าตึกเรียนก็ดังขึ้นมา ผมมองลงไปเห็นกลุ่มเด็กแจงกับสมุนอีกสามสี่คนชี้ไม้ชี้มือมาที่ผมกับอัจฉราซึ่งยืนอยู่บนอาคารเรียนชั้นสาม จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินรี่เข้ามาในอาคารเรียน เพียงครุ่เดียวสาวกลุ่มแรดทั้งกลุ่มก็เดินขึ้นบันไดมาจนมาถึงที่ผมกับอัจฉรายืนคุยกันอยู่
"พี่อัจ...พี่ชายเค้าเป็นแฟนของไอ้แจงมันนะพี่...คิดจะแย่งแฟนของเพื่อนเราหรอคะ..."
ยัยกบสาวอกอวบตัวเตี้ยๆส่งเสียงแหลมๆแสบแก้วหูขึ้นมาก่อนทั้งๆที่ตัวเองยังเดินขึ้นมาไม่พ้นขั้นบรรได ส่วยยัยเด็กแจงตัวแสบนั้นกับ
อีปุ๊ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เดินตรงรี่เข้ามาหาอัจฉรากับผม ท่าทางดูเอาเรื่องจนอัจฉราต้องเดินเลี่ยงหลบมายืนอยู่ด้านหลังของผม
"ใครเป็นแฟนใคร...พูดใหม่สิ..." ผมยืนขวางกั้นกลางระหว่างอัจฉรากับกลุ่มเด็กแรด
"ก็พี่ชายนั่นแหละ..เป็นแฟนไอ้แจงมัน.." ยัยปุ๊แฟนไอ้โตเป็นคนพูดขึ้น แล้วก็มีเสียงรับอือๆจากกลุ่มสาวของพวกหล่อน ส่วนแจงนั้นกลับยืนก้มหน้านิ่งเงียบ
"แจงบอกกับใครๆแบบนี้งั้นรึ..." ผมพูดกับแจงด้วยเสียงเครียดๆ ต่ำๆ
"ใช่ค่ะ...พี่ชายเป็นแฟนของแจง..."
เด็กแจงพูดออกมาช้าๆ ส่งสายตาแบบดุๆข้ามผ่านไหล่ของผมไปจิก มองหน้าอัจฉราอย่างเอาเรื่อง จนดูเหมือนอัจฉราจะกลัวและอับอายผลุนผลันหันหลังวิ่งกลับไปที่ห้องเรียนของตนเอง แม้ผมจะพยายามคว้าข้อมือไว้ก็ไม่ทัน เรียกรั้งไว้เธอก็ไม่หันหลับมามอง เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากกลุ่มเด็กแรดโห่ดังลั่นไล่ตามหลัง อย่างชอบใจ
 จากนั้นพวกเธอก็พากันเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนงุนงง และโมโหอยุ่เพียงลำพัง และหลังจากนั้นจนกระทั่งปิดภาคเรียนจบม.ศ3 อัจฉราก็ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย แม้ผมจะพยายามไปดักคุยทำความเข้าใจกับเธอ แต่เธอก็ไม่สนทนาด้วย พอขึ้นม.ศ4 เธอก็ย้ายไปเรียนที่อื่น ทิ้งความเข้าใจผิดไว้เบื้องหลัง ทิ้งความรู้สึกดีๆที่ผมมีกับเธอไว้ด้วยความเข้าใจผิดกัน
ส่วนตัวผมนั้นตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือให้กับแจงอีก และดูเหมือนกับเธอก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด พอปลายภาคผมก็เห็นเธอควงหนุ่มคนใหม่ เป็นเพื่อนกันกับผมอยู่ห้องเดียวกันเสียด้วยครับ

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่3




"แจง...อย่า...ทำ..."
ผมยังไม่ทันพูดจบคำ ปากเรียวบางเฉียบของแจงก็เงยขึ้นมาแนบปิดปากผมแน่น ผมพยายามเม้มปากสนิท แต่รู้สึกถึงปลายลิ้นเรียวของแจงที่พยามยามแตะไล้ไปตามริมฝีปากของผม สองแขนแจงรัดร่างผมแนบสนิท อกอวบกลมเล็กเท่าผลส้มเขียวหวานของเธอเบียดเสียสีกับอกกว้างแกร่งของผมจนขนลุกเกรียว
"แจงอย่า!...."
ผมร้องเสียงหลงเมื่อแจงถอนริมฝีปากออกไป พร้อมกับละมือข้างหนึ่งที่โอบกอดผมอยู่เอื้อมมาจับเป้ากางเกงของผมเต็มๆมือ...พอ
ฝ่ามือของแจงสัมผัสอวัยวะที่อยู่ตรงเป้ากางเหงของผมเท่านั้น เธออ้าปากห่อเป็นวงกลม ทำตาวาวๆ แล้วยิ้มล้อเลียนผม
"ไหนบอกว่าอย่าไงคะพี่ชาย....ทำไมตรงนั้นพี่ชายถึงแข็งอ่ะคะ...อิอิอิ"
แจงพูดยิ้มๆ ทำตาวาวๆ พร้อมเหลือบตาลงต่ำ จ้องมองอวัยวะเพศของผมที่พองตัวอยู่ในอุ้งมือเล็กๆของเธอ จนผมเห็นแผงขนตา
งอนยาวเป็นแผงของเธอชัดเจน
เสียงหายใจของแจงดังฟืดๆ จนอกอวบเล็กๆของเธอกระเพื่อม เน้นฝ่ามือจับน้องชายผมกำเน้นๆ แต่ไม่ถึงกับทำให้ผมเจ็บ ส่วน
ตัวผมยืนตกตะลึงค้าง เหมือนร่างกลายเป็นหุ่นขี้ผึ้ง คืออยุ่ในท่าใด ก็อยู่ในท่านั้น ไม่ขยัยถอยหนี ซึ่งมันก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี
เพราะก้นของผมชนชิดกับขอบโต๊ะหนังสือตัวใหญ่แล้ว แต่เมื่อผมกลับมาย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นว่าทำไมผมถึงไม่เบี่ยงตัว
หลบไปด้านข้างก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจเพราะความรุ้สึกที่ประดังกันเข้ามาจนผมเลือกไม่ถูกว่าควรจะจัดการอย่างไร ไอ้ความรุ้สึกแรก
ก็คือทั้งตกใจ กลัว กลัวว่าแม่ของแจงแกจะเข้ามาเห็น ซึ่งพูดไปใครจะเชื่อว่าลูกสาวตนเองเป็นฝ่ายกระทำกับผม หาใช่ผมเป็น
คนทำแม้แต่น้อย
ส่วนอีกความรุ้สึกหนึ่งคือความรุ้สึกแปลกๆ เสียวๆ แม้ผมจะเคยใช้มือจับน้องชายตนเองเล่นบ้างจนมันแข็ง แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไร
มากไปกว่านั้น ด้วยถูกสอนมาว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ครั้นพอมาโดนมือเล็กๆนุ่มนวลของแจงจับไว้แบบนี้ มันจึงทั้งเสียวทั้งสยิว อย่าง
ไม่เคยรุ้สึกขนาดนี้มาก่อนเลย
ขณะที่ผมกำลังยืนใจเต้นตึ๊กๆ ไม่รุ้ว่าแจงจะทำอย่างไรต่อกับผมนั้น ปรากฎว่าเธอหัวเราะคิกๆ จ้องหน้าผมเมื่อเห็นว่าหน้าผมแดง
ด้วยความอาย เหงื่อไหลซึมจนหยดแหมะๆลงพื้น เธอยิ่งหัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอทุกวันนี้ผมยังจำได้ดีเลยว่า มันเป็นเสียง
หัวเราะที่บาดใจผมยิ่งนัก เพราะว่ามันผสมปนเประหว่างความขบขัน สมเพช และดูหมิ่น...
"พี่ชายก็...แจงแกล้งแค่นี้ทำตกใจไปได้...อิอิ"
แจงพูดไปหัวเราะขบขันไป แล้วก็แบมือปล่อยน้องชายของผมเป็นอิสระ ทำให้ผมถอนหายใจออกมาดังเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ความรุ้สึกเสียวสยิวจนอึดอัดค่อยๆลดลง เมื่อแจงเดินกลับไปนั่งโต๊ะเรียนตามเดิม พร้อมหันมาแลบลิ้นหลอกใส่ผม
"วันนี้พอแล้วค่ะคุณครู..แบร่ๆๆๆๆ"
แจงพูดเสร้จก็พับเก็บหนังสือสมุดลงยัดใส่ลิ้นชักโต๊ะเรียน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทำทีท่าจะเดินออกจากห้อง ผมจึงต้องเดินตามไปอย่างหงอยๆจ๋องๆ มองตามก้นกลมดิ๊กในกางเกงขาสั้นที่ส่ายยึกยักๆ เหมือนลูกตุ้มนาฬิกา จนออกมาที่ห้องรับแขก เห็นแม่ของแจงกับ
น้าสาวแจงกำลังดูละครทีวีกันอยู่พอดี
"อ่า.....เรียนเสร้จแล้วหรือคะลูกแจง..."
มารดาของแจงถามลอยๆ เมือ่เห็นแจงเดินนำผมออกมาจากห้องหนังสือ แจงตอบรับค่ะเบาๆ พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างๆเมื่อของเธอ ด้วยทีท่าไม่ระมัดระวังตัวเลยสักนิด ผมเห็นชายขากางเกงขาสั้นบานๆของแจงถลกเลิกขึ้นไปสูง โดยเฉพาะตรงง่ามขาที่ถ่างออกจนแลเห็นชั้นในบางๆสีเดียวกับกางเกงแว๊บออกมาเต็มสองตา ผมเห็นแล้วรีบเบือนหน้าหนี ใจกลับมาเต้นตึ๊กๆๆอีกครั้ง จนไม่ได้ยินเสียงของมารดาแจงที่เรียกผม
"พี่ชาย...พี่...แม่เรียกค่ะ..."
แจงขยับขากางโชร์ง่ามขาอวบๆสวยๆ อีกครั้งเมื่อแลเห็นว่าผมกำลังมองจ้องอยู่ พร้อมช่วยแม่เธอส่งเสียงเรียกผม จนผมสะดุ้งรีบหันหน้ากลับไปทางต้นเสียง
"เอ่อ...เรียกผมหรือครับ....มะ...มีอะไรครับ..."
"อ่ะน้าให้ชายเป็นค่าขนมค่ะ..."
มารดาของแจงส่งเงินใบสีแดงๆใส่มือผม โดยที่ผมไม่ได้ใส่ใจนับว่ามันเป็นจำนวนเท่าใด ทั้งๆที่ผมควรจะถามแกให้รุ้เรื่องกันก่อน
แต่จากเหตุการณ์ในห้องหนังสือที่แจงทำกับผมนั้น ทำให้ผมรีบเร่งจนลืมเรื่องสำคัญนี้ไปเสียฉิบ ผมรับเงินมายัดใส่กระเป๋างเกงวอร์ม พร้อมกล่าวขอบคุณแกไปด้วยเสียงสุภาพๆ
"พรุ่งนี้มาสอนน้องอีกนะคะ..." มารดาแจงสั่งเสียพร้อมกับหันไปบอกแจงลุกขึ้นเดินมาส่งผมที่ประตุรั้วบ้าน
ช่วงที่ผมเดินไปจูงจักรยานที่วางพิงไว้ข้างบ้านนั้น แจงเดินตามหลังมา พอถึงช่วงมืดๆหน่อยที่แสงสว่างส่องมาไม่ถึง แจงก็กระโดดกอดหลังผมแน่น จนผมตกใจเผลอตัวร้องโอ๊ว...แจงก็หัวเราะคิกๆทำหน้าเป็น ยิ้มๆล้อๆ แล้วเบี่ยงตัวขยับมายืนประชิดเบื่องหน้าผม
"พี่ชาย...ไม่เคยโดนจุบหรอคะ..." แจงถามยิ้มๆ ทำหน้าล้อเลียน ผมคร้านที่จะต่อปากต่อคำ จึงพยักหน้าแล้วบอกอืมเสียงต่ำๆ
"ถ้างั้นแจงก็เป็นผู้หญิงคนแรกสิคะ...ที่ได้จูบพี่...ฮาๆๆๆ"
ผมก้มหน้างุดด้วยความอาย รีบจับแฮนจักรยานเตรียมตัวจะจูงออกมา แต่แจงกลับยืนคล่อมขาระหว่างล้อหน้าของมันซะแบบนั้น
ทำให้ผมไม่สามารถจะจุงจักรยานหนีเธอไปได้
"ตอบก่อนสิคะพี่ชาย..ว่าใช่มั๊ย.. รวมทั้งตรงนั้นของพี่ชายด้วย ที่คงไม่เคยโดนมือใครจับ ฮิอิฮิ..." แจงยังซักถามล้อหลอกผมให้อาย
ให้ใจเต้นได้อย่างไม่ยอมเลิกลา
"อืมมมใช่...แล้วห้ามไปพูดให้ใครฟังนะ ถ้าไม่เชื่อพี่จะไม่มาสอนอีก..."
ผมยอมรับเร็วๆอย่างตัดความรำคาญ เพื่อจะได้กลับบ้านเสียที เพราะรุ้ตัวว่ายิ่งอยู่นาน ผมก็ยิ่งเหมือนลูกไล่ของยัยเด็กม.1คนนี้
เต็มทน พร้อมกำชับขู่แจงไปว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครๆ ด้วยเพราะผมรุ้ดีว่าพวกเธอมักชอบเอาเรื่องแบบนี้ไปคุยโม้โอ้อวดกัน
เสมอ จนคนอื่นที่ไม่รุ้เรื่องพลอยรุ้กันไปหมดเกือบทั้งโรงเรียน
"ค่า...ไม่บอกเจ้าค่ะ..ตะ..แต่ว่าพี่ชาย..ขอแจงจับตรงนั้นอีกครั้งได้ป่าว...อิอิ"
แจงพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่เป้ากางเกงของผมพร้อมมองด้วยสายตาวาวๆ เมื่อเห็นว่ามันยังคงตุงโป่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ไม่ยอม
สงบนิ่งเหมือนช่วงที่ขี่จักรยานมาเลย
"บ้าหรอแจง..เราเป็นผู้หญิงนะ..จู่ๆจะมาขอจับของผู้ชายได้ยังไง..เฮิ้ว...."
คนพูด พูดได้แบบไม่อายไม่กระดากปาก แต่ผมกลับอายเสียเอง รีบหนีบขาไขว้กัน แล้วขยับแฮนด์รถเบี่ยง จนล้อยางกระทบขาอ่อนขาวๆของแจงเบาๆ จนเธอต้องขยับขาออก ผมเลยจุงจักรยานออกมาได้ จากนั้นก็ขี่รถกลับบ้านด้วยความรุ้สึกปวดตึงตรงหว่างขา
เฮ้ออออออ....
รุ่งขึ้นเช้าผมก็ออกไปโรงเรียนตามเวลาปรกติของผมคือประมาญ7โมงเช้า ซึ่งยังไม่ค่อยร้อน และยังไม่ค่อยมีเพื่อนๆนักเรียนมากัน
มากนัก ผมมาถึงก็ขึ้นห้องไปนั่งรอพร้อมหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน ไม่ได้สนใจผู้ใด จนช่วงใกล้ๆ8โมงเช้าจึงมีนักเรียนทยอยกันมามากขึ้น ๆ ภายในห้องปรกติจะเริ่มมีเสียงพูดกันอื้ออึง แต่เช้านี้กลับผิดสังเกตุตรงที่เหล่าบรรดาเพื่อนๆในห้องต่างจับกลุ่มกันคุย
ซุ๊บซิบๆเงียบๆ จนพอผมรุ้สึกว่ามันผิดสังเกตุจึงเงยหน้าจากหังสือขึ้นมอง ก็เห็นบรรดาเพื่อนๆของผมต่างหันมามองผมเหมือนได้
นัดกันไว้
"เฮ้ยไอ้ชาย..เช้านี้สดใสมั๊ยวะ....ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ" เสียงไอ้โตเพื่อนในห้องคนหนึ่งถามขึ้นมาลอยๆ จนผมงงว่าจุ่ๆมันมาถามแบบนี้ทำไม
"อืมมมมม..ก็ดีนะ..ฝนไม่ตก แดดไม่ร้อน..."
ผมตอบเรียบๆ เพราะปรกติมักไม่ค่อยได้สนทนากับไอ้โตนี่มากนักด้วยมันอยู่ในกลุ่มเด็กเกเรียน เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน มีสาวๆ
ติดกันตรึม โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มแรดคนหนึ่งของยัยเด็กแจงตัวแสบก็เป็นแฟนของมันด้วย
"อืมมมมม..ก้น่าจะสดใสนะ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ได้ระบายออกซะมั่งไอ้หนอนหนังสือ..."
ไอ้โตพูดเหมือนมีปริศนา จากนั้นก็เดินกลับไปรวมกลุ่มซุบซิบกันต่อ จนได้ยินเสียงอ็อดเรียกเข้าแถวในตอนเช้านั่นแหละ ถึงได้
แตกตัวเดินกันไปเข้าแถวหน้าเสาธง

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่2




"แจงเอาสมุดพกมาให้พี่ดูหน่อยสิ จะได้รู้ว่าแจงอ่อนที่ตรงจุดไหน..."
เมื่อผมจำเป็นต้องรับหน้าที่สอนภาษาอังกฤษให้กับแจงเด็กแรดของโรงเรียน เพราะความต้องการเงิน ก็ต้องทำหน้าที่ให้คุ้มกับ
ค่าจ้างที่จะได้ พอแจงได้ฟังคำพูดของผม เธอก็เดินไปหยิบสมุดพกของเธอมาส่งให้ ผมเปิดดูผลการสอบวิชาภาษาอังกฤษ.
ในเทอมที่ผ่านมาแล้ว เห็นว่าเธอเรียนอ่อนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาหรือความเข้าใจในภาษา ผลสอบออกมาตกทั้ง
สองหมวด ผมถึงกับส่ายหัว แม้จะหนักใจ แต่ก็คิดว่าคงไม่เกินความสามารถผมแน่
"ถ้าแจงตั้งใจเรียน ทำตามที่พี่สอนได้ ไม่ขี้เกียจ พี่จะช่วยสอนจนแจงสอบได้...ตกลงมั๊ย"
ผมลองสอบถามดูความตั้งใจของเธอก่อน เมื่อแจงพยักหน้าตกลง อันดับแรกผมหยิบหนังสือเรียนของหลักสูตรตามชั้นม.1ที่
ธอเรียนอยู่ แล้วลองให้เธออ่านให้ฟัง แจงก็อ่านได้ แต่การออกสำเนียงยังผิดอยู่ ลิ้นยังแข็ง ผมจึงค่อยๆสอนการออกเสียงที
ละคำๆให้ถูกต้องกับเธอ ตลอดเวลาที่สอนนั้นก็ดูเธอใส่ใจตั้งใจเรียนดีไม่มีทีท่าหลุกหลิกซุกซน เหมือนตอนที่อยู่ในโรงเรียน
แม้แต่น้อย
ความจริงแล้วหน้าตารูปร่างของแจงก็จัดอยู่ในประเภทสาวสวยหุ่นดีได้ทีเดียวครับ เสียอย่างเดียวเองที่เธอไปอยุ่ในกลุ่มเด็กแรด
แต่ในยามนี้เวลาอยู่ที่บ้านกลับตรงกันข้าม เมื่อเธอไม่แสดงกิริยาแรดๆแบบที่อยู่ในโรงเรียนออกมา ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเธอ
สวยน่ารักครับ
"อ่ะคราวนี้พี่จะให้แจงเขียนคำศัพท์ตามที่พี่บอกนะ..."
แจงนั่งเขียนอยู่บนโต๊ะเรียนส่วนผมนั่งเก้าอี้อยู่ตรงข้ามกับเธอ ผมบอกคำศัพท์ไปทีละคำ เริ่มจากง่ายๆก่อน แล้วค่อยๆยากขึ้นจน
ครบ20คำ จากนั้นก็ขอดูคำศัพท์ที่เธอเขียนตามคำบอกของผม แต่เธอไม่ยอมให้ผมตรวจดูที่เธอเขียน เอากระดาษไปซ่อนไว้
ด้านหลังเสียแทน
"ส่งมาแจง...พี่จะได้ตรวจดูว่าแจงเขียนผิดถูกยังไงครับ..."
ผมพยายามพูดแบบสุภาพ แต่แจงก็ยังไม่ยอมส่งมา เมื่อไม่ยอมส่งผมเลยลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะไปเอามาดูให้รู้เรื่องแต่แจงก็ไม่ยอมส่ง
ให้ เอากระดาษคำตอบที่เขียนอ้อมไปซ่อนด้านหลัง
"เขียนผิดก็ไม่เป็นไร...เอามานี่"
เมื่อแจงก็ไม่ยอมส่ง ผมเลยยื้อแย่งเอื้อมมือไปคว้า แจงก็พลิกตัวหนี ผมเอื้อมมืออ้อมไปคว้าอีกครั้ง แจงพลิกตัวกลับกลายเป็นเข้า
มาอยู่ในอ้อมกอดผมได้อย่างไรก็ไม่รู้ แต่ขณะนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ คิดเพียงแค่ว่าอยากดูคำศัพท์ที่แจงเขียน หาได้สนใจร่างเพรียว
แต่อกอูมๆของแจงที่อยู่ในอ้อมกอด ตามองแต่เพียงกระดาษคำตอบที่อยู่ในมือเธอ จนร่างเพรียวสมส่วนของเธอเข้ามาอยู่ในอ้อม
กอดเต็มๆ โดยหันหลังมาให้ผม ดูเหมือนกลายเป็นว่าผมกำลังกอดเธอ ผมถึงได้รู้สึกตัว เพราะก้นงอนๆเล็กๆของเธอนั่นแหละที่
ส่ายเสียดสีอยู่ตรงกลางลำตัวของผม
"เอ่อ...พี่ขอโทษ..."
พอผมรู้สึกตัวก็รีบดึงแขนกลับ แล้วผงะถอยหลังออกไปครึ่งก้าว ความรุ้สึกว่าหน้าตนเองร้อนวูบด้วยความอาย พยายามถอยตัวห่าง
ออกมา แต่แจงกลับหมุนตัวหันมาเผชิญหน้า พร้อมก้าวขาตามเข้ามาจนประชิดติดตัวผม ผมถอยหลังจนก้นชนกับโต๊ะเรียน แจง
ก็ก้าวเข้ามาประชิดติดตัว ใบหน้าสวยๆน่ารักของเธอยิ้มละไม ในขณะที่หน้าผมร้อนวูบๆวาบๆ ด้วยความอายด้วยความประหม่า รู้สึก
ว่าร่างกายของผมกับแจงนั้นสัมผัสแนบกันอยู่หลายจุด ตั้งแต่ช่วงขาเรียวเปลือยของเธอสัมผัสลำขาแกร่งของผม จนถึงกลางลำตัวแนบกับร่างเพรียวสมส่วนของเธอจนถึงหน้าอก ผมเลยพยายามเอนตัวช่วงบนออกห่าง แต่กลับปรากฎว่าผมคิดผิดถนัด เพราะพอ
เอนตัวช่วงบนออกห่างลำตัวช่วงล่างของผมก็เลยแอ่นเข้าหา ทำให้ยิ่งแนบสนิทกับช่วงกลางลำตัวของเธอมากยิ่งขึ้น
"แจงถอยออกไปหน่อย..."
ผมต้องบอกให้เธอถอยห่างออก เพราะตัวของผมติดกับโต๊ะเรียนหนังสือ ไม่มีทางที่จะถอยออกไปได้อีกแล้ว แต่แทนที่แจงจะทำ
ตามที่ผมบอก เธอกลับจงใจแนบร่างช่างล่างเข้ามาอีกจนร่างเราสองคนแนบสนิทกัน
"แจงไม่ถอย...มีไรมั๊ยคะพี่ชาย..."
แจงลอยหน้าลอยตาพูด ใบหน้าสวยน่ารักยิ้มละไม แววตาของเธอผมไม่กล้ามองสบเพราะแว๊บแรกที่เห้นแววตาของแจงผมก็รุ้สึก
ครั้นเนื้อครั่นตัวเสียแล้ว
"แบบนี้ไม่ดีนะ...เดี๋ยวแม่แจงมาเห็น..."
เสียงของผมสั่นจนตัวเองรุ้สึก ผมพยายามพูดหวังให้เธอกลัว แต่กลับปรากฎว่านอกจากไม่กลัวแล้ว เธอกลับโน้มหน้าตัวเองเข้า
มาหา จนหน้าของเธออยู่ห่างจากผมไม่กี่นิ้ว ผมรู้สึกถึงแรงลมหายใจของเธอที่หายใจแรงๆจนอกเล็กๆกระเพื่อม ในขณะที่ผม
แขม่วท้องกลั้นหายใจอย่างสุดฤทธิ์
เมื่อแจงไม่ยอมถอยตัวออกไป ผมก็ตัดสินใจยกมือหมายจะดันร่างเพรียวของเธอให้ถอยห่าง ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง แจงก็เอน
ร่างช่วงบนออก แอ่นเนินสาวของเธอดันกึ่งกลางลำตัวของผมเต็มๆเน้นๆ มือสองข้างของผมที่หมายจะดันไหล่ของเธอออกก็เลย
พลาดตกลงมาสัมผัสกับอกกลมๆเล็กๆ ขนาดเท่าผลส้มเขียวหวานบางมดพอดิบพอดี
"อุ๊ย...พี่ขอโทษ..." ผมรีบชักมือกลับหน้าร้อนวูบด้วยความอาย ไม่มีเวลาพอที่จะรับรุ้ว่าอกเล็กๆของแจง แข็งหยุ่นมือขนาดไหน
"อุ๊ย...พี่ชาย...จับนมแจง...เดี๋ยวจะไปฟ้องแม่..."
ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีเจตนาจะจับนมของแจงแม้สักนิด แต่แจงกลับฉวยจังหวะนั้นขู่ผม ด้วยใบหน้ายิ้มละไม แต่ผมกลัวจริงๆในช่วง
เวลานั้น รีบขอโทษแล้วอธิบายให้เธอฟังว่าผมไม่ได้มีเจตนาจริงๆ
"แจงล้อ..พี่ชาย...เล่น..."
เมื่อแจงเห็นทีท่าของผมว่าตกใจกลัวว่าเธอจะไปฟ้องแม่ของเธอจริงๆ แจงก็เฉลยให้ฟังพร้อมหัวเราะ หน้าทะเล้น รอยยิ้มละไม
ฉายเต็มดวงตาและใบหน้าสวยๆน่ารัก ๆ ของเธอ
"พี่ชาย...ตกใจอะไรคะ...ไม่เคยจับนมผู้หญิงหรอ..."
แจงลอยหน้าลอยตาถามย้ำ ตอนนั้นผมประหม่าอายไม่กล้าสบตากับเธอจริงๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของชีวิตผมที่ได้ใกล้ชิดกับ
สาวจนถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้
"แจงบ้าไปแล้ว...ทำแบบนี้ไม่ดีเลยรู้มั๊ย..เรายังเรียนหนังสือกันอยู่..." ผมบ่นเบาๆรู้สึกกึ่งโมโหกึ่งอับอาย รู้สึกเหมือนตนเองเป็น
ลูกไล่ให้กับเธอยังไงไม่รู้
"นะๆๆ...อย่าโกรธแจงนะพี่ชาย..." แจงอ้อนสองมือจับแขนผมเขย่าแบบเด็กๆ พูดเสียงเบาๆจนเหมือนกระซิบ
"ไม่โกรธก็ได้..แต่ถอยออกไปหน่อย...พี่อึดอัด..."
ความที่กลัวว่าแจงจะไปฟ้องแม่เธอที่โดนผมจับหน้าอก ทำให้ผมลืมไปเสียสนิทว่าร่างของแจงยังแนบสนิทกับตัวของผม จน
รู้สึกถึงเนินสาวอูมๆของเธอที่เสียดสีกับเป้ากางเกงของผม
แจงหัวเราะคิกๆ พร้อมถอยขยับตัวออกห่างตามที่ผมบอก แล้วยื่นกระดาษที่เขียนคำศัพท์ส่งมาให้ตรงหน้าผม ผมมองดูแล้ว
ขมวดคิ้วมุ่น เพราะทั้งยี่สิบคำศัพท์ที่ผมบอกให้แจงเขียนนั้น กลับมีเพียงคำว่าLove เพียงคำเดียวทั้งๆที่ผมจำได้ว่า ไม่ได้บอก
ให้แจงเขียนแม้แต่น้อย
"อะไรนี่...ทำไมไม่เขียนตามที่พี่บอก มีแต่เลิฟๆๆๆๆ" ผมถามออกไปด้วยความรุ้สึกกึ่งโมโห โดยที่ไม่ทันนึกว่าคำที่เธอเขียนนั้นมัน
มีความหมายว่าอย่างไร
"ก็แจง ..love..พี่ชายนี่คะ......"
คำตอบของลูกศิษย์สาวถึงกับทำให้ผมชะงัก หน้ากลับมาร้อนวูบๆอีกครั้ง แล้วก็ใจหาย พร้อมเต้นโครมๆเมื่อแจงก้าวประชิดเข้า
มาติดตัวผมอีกครั้ง พร้อมยื่นสองแขนมาโอบกอดตัวผมแน่น เงยหน้าข้อนดวงตาหวานๆพยายามสบกับตาของผม เนินสาวของ
เธอที่แนบสนิทกับกึ่งกลางลำตัวของผมนั้น เบียดส่ายช้าๆ เบาๆ แต่ถึงจะเบาแค่ไหน ผมก็รุ้สึกขนลุกเกรียว ใจเต้นโครมคราม
ท่อนลำในกางเกงก็ดันมีความรุ้สึกจนมันพองแข็งขึ้นมาดุนดันกางเกงวอร์มผ้ายืดของผมออกมาเป็นก้อนแข็งๆ ดันดุนเนินสาว
อูมๆของแจงที่บดส่ายเบาๆ ช้าๆ
"แจง...อย่า...ทำ...แบบนี้..มัน"
ผมยังไม่ทันพูดจบคำ ปากเรียวบางเฉียบของแจงก็เงยขึ้นมาแนบปิดปากผมแน่น ผมพยายามเม้มปากสนิท แต่รู้สึกถึงปลายลิ้น
เรียวของแจงที่พยามยามแตะไล้ไปตามริมฝีปากของผม สองแขนแจงรัดร่างผมแนบสนิท อกอวบกลมเล็กเท่าผลส้มเขียวหวาน
ของเธอเบียดเสียสีกับอกกว้างแกร่งของผมจนขนลุกเกรียว

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่1



"พี่ชาย....รอแจงด้วยสิคะ..."
เสียงตะโกนร้องเรียกดังๆ ด้านหลังจนทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ก็เห็นสาวน้อยวัย14ในชุดนักเรียนคอซองวิ่งลิ่วไล่ตามจนผม
เปียสองข้างกวัดแกว่ง ใบหน้าขาวๆน่ารักๆตรงลักยิ้มที่ข้างแก้มทั้งสองนั้น คุ้นตายิ่งนัก จนผมต้องหยุดยืนรอ ให้น้องแจงวิ่งมา
จนทัน
"เรียกพี่มีไรครับ...."
ผมถามกลับออกไปอย่างไร้เยื่อใยไมตรี ด้วยความรุ้สึกที่สับสนอยู่ในหัว เรื่องแรกก็คือสาวน้อยชื่อแจงคนนี้ รู้กันดีในหมู่นักเรียน
มอต้นว่าแสบขนาดไหน เธอเป็นหัวโจกของกลุ่มแรดในโรงเรียน แม้จะเพิ่งเรียนอยู่มอหนึ่งเท่านั้นเอง ส่วนอีกประการคือผมไม่
อยากสนทนากับเด็กคนนี้มากนัก ด้วยเกรงว่าแป๋วหรืออัจฉราเพื่อนร่วมห้องของผมเธอจะเห็นเข้า เพราะแป๋วนั้นคือสาวสวยที่
ผมแอบชื่นชมหลงรักอยู่นั่นเอง
"มีไรว่ามา ...."
ผมกระชากเสียงถามด้วยความรุ้สึกรำคาญจนแสดงออกมาทางสีหน้า จากนั้นก็เดินเร็วๆ สาวเท้ายาวๆเดินต่อ แต่ก็เดินไปไหน
ได้ไม่กี่ก้าว ข้อมือของผมก็โดนจับยึดไว้จากมือเล็กๆนิ้วเรียวๆของแจง
"รอแปบสิคะคุณพี่ชาย....ขอพักเหนื่อยหายใจหายคอไม่ทันเลย....จะรีบไปไหนคะ..."
เสียงแจงบ่นอุ๊บอิ๊บหายใจฟืดฟาด จนอกตูมๆเล็กๆเท่าผลส้มเขียวหวานบางมดดันเสื้อนักเรียนออกมาเป็นก้อนกลมๆ ใบหน้าแดง
กร่ำเพราะเหนื่อยที่ต้องวิ่งไล่ตามผม
"คือว่าแจงอยากขอร้องให้พี่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้น่ะค่ะ...." น้องแจงแจ้งจุดประสงค์ของเธอให้ผมทราบ ผมไม่รู้ว่าเธอรุ้มาจาก
ไหนว่าผมเก่งวิชาภาษาอังกฤษ ถึงได้อยากให้ผมช่วยสอนให้
"พี่ขอโทษนะ..พี่ช่วยไม่ได้หรอก พี่ไม่มีเวลา...ต้องรีบกลับบ้านไปช่วยงาน...."
ผมบอกไปตามความจริง เพราะผมต้องรีบกลับไปช่วยแม่ที่ขายอาหารตามสั่งที่ตลาดนัดทุกเย็นหลังเลิกเรียน ไม่เคยมีเวลาว่าง
ที่จะเล่นหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
"ค่ะแจงทราบ...ว่าพี่ต้องไปช่วยงานคุณแม่...แต่ตอนเลิกเก็บร้านแล้วพี่พอมีเวลามั๊ยคะ...สักวันละชั่วโมง มาช่วยสอนภาษาให้แจง
คุณแม่แจงจ้างให้เงินด้วยนะคะ...."
คำว่าจ้างให้เงินด้วย ถึงกับทำให้ผมสนใจ เพราะฐานะครอบครัวผมนั้นยากจนไม่ได้มีเงินมากมาย การที่ผมสามารถหารายได้พิเศษ
เช่นนี้ ย่อมเป็นผลดีกับตัวผมอย่างยิ่ง
"แล้วแม่แจงจะให้พี่เท่าไหร่ล่ะ...."
เสียงผมค่อยอ่อนลง เมื่อรับรุ้ว่าเธอเรียกผมนั้นด้วยธุระจริงๆ หาใช่เรียกรั้งไว้เพื่อโชร์ให้เพื่อนกลุ่มแรดของเธอเห็นว่าเธอสามารถ
เรียกนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนมาคุยเรื่องไร้สาระได้
"พี่ชายไปตกลงกับแม่แจงเองสิคะ...เลิกร้านแล้วไปหาแจงที่บ้านแล้วกัน..บายค่ะ..."
แจงเด็กแสบพูดจบก็เดินจากไปรวมกลุ่มกับกลุ่มเพื่อนๆของเธอ ที่ต่างวี๊ดว๊ายส่งเสียงแซวมาที่ผม จนผมต้องรีบเดินหนีกลับไปช่วย
แม่เสริฟอาหารที่เพิงค้าในตลาดนัดตอนเย็น โดยที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
.........................................................................
เกือบสามทุ่มที่ตลาดนัดเริ่มวาย ผู้คนที่เดินมาจับจ่ายหาซื้อข้าวของใช้ของกินต่างทยอยกันกลับเหลือเพียงไม่กี่คน แม่ก็เริ่มเก็บร้านโดยมีผมคอยช่วยเหลือแบ่งเบางาน จนเสร้จเรียบร้อยกลับบ้าน ผมรีบเร่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นกางเกงวอร์มผ้ายืดกับเสื้อ
กีฬาสีของโรงเรียน จนแม่แปลกใจว่าผมจะแต่งตัวไปไหน
"จะไปไหนรึตาหนู...." แม่สุดา คือชื่อแม่ของผม เราอยู่กันเพียงสองคนแม่ลูก ส่วนพ่อผมนั้นทิ้งเราสองคนไปมีเมียใหม่แล้วก็มีลูก
ใหม่ ไม่เคยมาสนใจใยดีเราสองคนแม่ลูกอีกเลย
"หนูจะไปบ้านน้องมอ.1น่ะแม่...เห็นน้องเค้ามาบอกว่าแม่เค้าจะจ้างหนูให้สอนภาษาอังกฤษให้ลูกเค้านะครับ"
แม่มักเรียกผมว่าตาหนูจนติดปาก ส่วนผมก็แทนตัวเองว่าหนู มาตั้งแต่เด็ก แม้จะโตจนรูปร่างสุงกว่าแม่เกือบศอกแล้วก็ตาม
"แล้วทำไมต้องให้เค้าจ้างด้วยล่ะตาหนู...สอนให้เค้าฟรีๆก็ได้ไม่ใช่รึ..."
แม่สุดาของผมมักจะเป็นคนใจอารีย์แบบนี้เสมอ แม้ครอบครัวผมจะยากจน แต่แม่สุดานั้นกลับมีน้ำใจกับคนทั่วไป ใครไม่มีเงินมา
ขอข้าวแม่กิน แม่ยังตักให้กินฟรีๆได้เสมอ ส่วนผมนั้นก็ใช่จะแล้งน้ำใจเสียทีเดียว เรื่องสอนเรื่องติวหนังสือให้เพื่อนๆนั้น ผมก็ไม่
เคยคิดค่าจ้างค่าออนเลยสักครั้ง แต่สำหรับเด็กแจงนั้น ด้วยฐานะที่ร่ำรวยของเธอ บวกกับผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอเป็นการส่วน
ตัว เพราะนิดสัยแรดๆของพวกเธอนั่นแหละ ผมจึงจำเป็นต้องคิดค่าสอน
"โหยยยแม่ก็..เวลาหนูไปเรียนหนังสือ แม่ก็ต้องเสียค่าเทอมใช่มั๊ยครับ...ฉนั้นเมื่อหนูไปสอนหนังสือให้ใคร หนูก็ต้องคิดเงินเป็น
เรื่องธรรมดาน่ะแม่..."
ผมตอบแม่จบก็เตรียมตัวลงจากบ้าน แต่เนื่องจากบ้านของแจงนั้นอยู่ไกลถึงในตลาด ผมจึงต้องปั่นจักรยานไปหา ซึ่งบ้านแจงนั้น
แม้ผมจะไม่เคยไป แต่ก็หาไม่ยากอยุ่แล้วเนื่องจากเป็นบ้านคนรวยเจ้าของตลาดสดใครๆก็รุ้จัก
หลังจากที่ผมปั่นจักรยานพอเหงื่อซึมหลังก็ถึงบ้านของแจง กดกริ่งหน้าบ้านแล้วรอสักครุ่ก็มีคนมาเปิดประตุให้ เป็นสาววัยกลางคน
ผมรีบยกมือไหว้เพราะไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ยังไงก็ต้องไหว้ไว้ก่อน

"ผมมาหาแจงครับ จะมาสอนอังกฤษให้..." ผมรีบแจ้งวัตถุประสงค์ให้เธอทราบ หลังจากที่แกพาผมเข้าไปในบ้านจึงได้รู้ว่าสาววัย
กลางคนผู้ที่ผมไหว้นั้นคือน้าสาวของแจงนั่นเอง
ผมนั่งตัวรีบรอที่โซฟารับแขกสักครุ่ แม่ของแจงกับแจงก็เดินออกมาจากห้องด้านหลัง แม่แจงเป็นสาววัยกลางคน หน้าตาดูอ่อนวัย
กว่าแม่สุดาของผม แกใส่ชุดอยู่กับบ้านเป็นเสื้อคลุมตัวเดียวยาวๆชายละพื้นบ้าน ลวดลายดอกไม้สีแดงๆ ดูพราวแพรวด้วยเครื่องประดับบ่งบอกฐานะ ส่วนเด็กแจงตัวแสบนั้นใส่กางเกงขาสั้น ปลายขาบานๆสีชมพูกับเสื้อยืดสีขาวเอวลอยๆจนแทบจะมองเห็นหน้าท้องขาวๆกับสะดือกลมๆ หน้าตาท่าทางของแจงนั้นเวลาอยู่บ้านดูเรียบร้อยน่ารัก ต่างกับตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นไหนๆ
"สวัสดีครับผมชื่อชาย...." ผมรีบสวัสดีทักทายพร้อมแนะนำชื่อก่อนเป็นอันดับแรก
"หูยยย..ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอกพ่อหนุ่ม ทำตัวตามสบายจ๊ะ...น้าฝากน้องด้วยนะ ถ้าชายสอนจนน้องสอบผ่านได้ น้าจะมีรางวัลพิเศษให้ค่ะ..."
เสียงแม่ของแจงดูไพเราะมีสเน่ห์ มีความเป็นกันเองจนผมหายประหม่าเกร็ง เผลอตัวจ้องมองหน้าด้วยความชื่นชม จนลืมสอบถาม
เรื่องค่าจ้างที่จะให้ไปเลย
"ลูกแจงพาพี่ชายไปที่ห้องหนังสือสิคะ..จะได้เริ่มสอนกันเลย..."
แม่ของแจงคงรีบร้อนที่จะให้ผมสอนภาษาอังกฤษให้กับลูกสาว จนลืมถามถึงความพร้อมของผม แต่เมื่อผมเดินตามแจงไปในห้อง
หนังสือนั้น ก็เห็นว่ามันเป็นห้องที่มีตู้ชั้นวางหนังสือมากมายจริงๆ เหมือนเป้นห้องสมุดเล็กๆห้องหนึ่งทีเดียว ผมมองด้วยความรุ้สึก
อิจฉาเล็กๆ กับความโชคดีมีวาสนาของแจงที่มีเพรียบพร้อมทุกอย่าง ในขณะที่ผมจะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือก็ต้องนอนคว่ำกับ
พื้นกระดานเก่าๆ มีโคมไฟดวงเล็กๆไม่กี่แรงเทียนคอยให้แสงสว่าง ผิดกับห้องหนังสือที่ผมเข้ามายืนอยู่ในขณะนี้ ที่มีแสงสว่างส่อง
ทั่วไปทั้งห้อง มีแอร์เย็นๆ มีโต๊ะเก้าอี้พร้อมสรรพ นึกเสียดายโอกาสถ้าแม่ของแจงล่วงรู้ความประพฤฒิของลุกสาวตอนที่อยู่ในโรง
เรียน แกคงลมจับเป็นแน่

THE GAME 1



บ้านเดี่ยวชั้นเดียว แต่ทว่าโอ่โถง รอบบ้านมีสนามหญ้า ปลูกต้นไม้รายล้อม มันคือน้ำพักน้ำแรงของวิทิต เค้าอายุ 47 ปี มีอาชีพรับราชการอยู่ทางภาคเหนือ ด้วยความอดออมพร้อมด้วยคู่ชีวิตที่ขยันการงานอย่างงามตา ครอบครัวจึงได้มีบ้านที่สวยงาม งามตาอายุ 41 ปี เคยทำอาชีพขายอาหารแต่ปัจจุบันฐานะทางการเงินดีขึ้นมาก วิทิตจึงให้งามตาดูแลงานบ้าน ทั้ง 2 มีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นชายชื่อว่าคมกริช อายุ 23 ปี เรียนจบจากกรุงเทพ เมื่อจบแล้วก็กลับมาหางานทำใกล้บ้าน คนที่ 2 เป็นหญิงชื่อเปอร์โย อายุ 22 ปี เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งของภาคเหนือ ปัจจุบันเธอเรียนอยู่ปีสุดท้าย
“แม่ครับ วันเย็นนี้ไอ้แบงค์มันจะมาบ้านเรานะครับ” เช้าของวันเสาร์คมกริชวิ่งเข้าครัวตะโกนบอกแม่
“อ้าว... แบงค์ขึ้นเหนือมาเหรอลูก” งามตาหันกลับไปถามลูกชายทั้ง ๆ ที่ 2 มือยังล้างภาชนะอยู่
“ครับ มันมาเยี่ยมบ้านน่ะครับ”
“งั้นคมก็โทรบอกให้แบงค์พาพ่อกับแม่เค้ามาทานข้าวด้วยกันเลยสิ”
“คงไม่ต้องหรอกครับแม่ เพราะไอ้แบงค์มันบอกว่ามันจะมากับเพื่อนอีกคน” สิ้นคำคมกริชก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องทันที
“เฮ่อ... ลูกคนนี้ไม่รู้จักโตจริง ๆ” งามตาส่ายหน้าพูดเบา ๆ
“แม่คะ เปอร์ไปเรียนแล้วนะคะ” เปอร์โย เดินผ่านห้องครัวส่งเสียงบอกแม่
“จ้าลูก... อย่ากลับเย็นนะ” งามตาเหลียวรับคำ พลางคิดไปว่าชุดนักศึกษาแนบเนื้อตัวเล็ก กับกระโปรงสั้นรัดจนเห็นเป็นขอบชั้นในคงเป็นที่นิยมของสมัยนี้
   “ค่ะแม่” สิ้นเสียงตอบพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง
<-------->
เวลาเดินผ่านไปเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้ดูเหมือนมันจะผ่านไปเร็วมากในสายตาของงามตา เพราะเธอต้องตระเตรียมอาหารไว้ต้อนรับแขกที่กำลังจะมาในไม่ช้า เธอแหงนมองนาฬิกา 5 โมงเย็นแล้ว พลันก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดในบ้าน แต่เสียงนั้นมันคุ้นหูทำให้ไม่ต้องรีบเร่งอะไรมากนัก
“อ้าวตา วันนี้ทำอะไรเยอะแยะ”
“อ๋อ แบงค์เพื่อนลูกจะมาบ้านเราน่ะ”
“เหรอ เอ... จู่ ๆ ทำไมถึงจะมานะ อึ่ม... มีอะไรให้ผมช่วยบ้าง”
“ถ้าคุณคิดจะช่วย ตาว่าคุณช่วยไปอาบน้ำดีกว่า ทำงานมาเหนื่อย ๆ”
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวผมมา” วิทิตพูดพร้อมขโมยหอมแก้มภรรยาฟอดใหญ่
“บ้า... คุณเนี่ย ไม่โตเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยจริง ๆ” งามตาออกอาการเขินเล็กน้อย ถึงแม้จะแต่งงานกันมาหลายสิบปีแต่การแสดงความรักของทั้ง 2 นั้นไม่ลดลงเลย เค้าเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้ครอบครัวมีความสุข
<-------->
“ติ๊งต่อง” งามตาหันตามเสียงกริ่งประตู เธอรีบล้างมือแล้วออกไปเปิดทันที
“สวัสดีครับ”
“อ้าว... แบงค์มาแล้วเหรอ เข้ามาในบ้านก่อนสิ แหม ไม่ได้เจอซะนานโตเป็นหนุ่มเลยนะเรา ว่าแต่เมไม่มาด้วยเหรอ” งามตาถามแบงค์อย่างเป็นกันเอง
“อ๋อ... เมเค้าไปเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่น่ะครับ เอ่อ... ป้าครับ นี่กล้าครับ เป็นเพื่อนผมกับคมสมัยเรียนที่กรุงเทพน่ะครับ”
“สวัสดีครับคุณป้า” กล้ายกมือไหว้งามตาอย่างสุภาพนอบน้อม
“สวัสดีจ้า ทำตัวตามสบายนะ” ทั้ง 3 คน คุยไปพลางเดินไปพลาง
“เฮ่ย! ไอ้แบงค์ ไอ้กล้า มาแล้วเหรอวะ ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะมึง”
“คม พูดเพราะ ๆ สิจ๊ะลูก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ป้าตา เราคุยกันอย่างนี้แหละ”
“อ้าวว่าแต่ทำไมไม่เห็นเปอร์โยเลยล่ะครับ”
“ไปเรียนน่ะ อีกซักพักคงกลับ”
“กลับมาแล้วค่ะ” ยังไม่ทันขาดคำเปอร์โยก็เปิดประตูเอ่ยทักทายอย่างที่ทำทุกวัน
“เปอร์มาก็ดีแล้ว ไปช่วยแม่ทำกับข้าวหน่อย”
“ค่ะ...”
<-------->
  
   ระหว่างที่รองามตาทำกับข้าว เพื่อนสนิททั้ง 3 ก็มานั่งคุยสารทุกข์สุกดิบตามประสาวัยรุ่น ที่สำคัญทั้ง 3 คนต่างรู้ความลับของกันและกัน
“คม น้องมึงสวยขึ้นทุกวันเลยนะโว้ย” แบงค์ซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟายาวหน้าโทรทัศน์ข้าง ๆ กับคมกริชพูดเสียงกระชิบ
“เหี้ยและมึง น้องกูนะ”
“กูรู้แล้วน่า”
“ว่าแต่น้องเมของมึงเป็นไงบ้างวะ น่ารักชิบหาย” คมกริชกระชิบตอบ
“อ้าว... ไอ้เหี้ย เดี๋ยวเหอะ”
“เฮ่ย! เรื่องนี้กูยังไม่ได้ดู”
“เรื่องอะไรว่ะกล้า”
“Battle Royale”
“โห่... บ้านแม่งก็โคตรจะรวย เสือกไม่มีเงินซื้อหนังดูเหรอวะ หรือว่ามัวแต่ออกกำลังกายในร่มจนไม่มีเวลา” คมกริชพูดแดกดัน
“เอาดูดิ กูชอบเรื่องนี้ แม่งมันสัตว์อะ” แบงค์รีบพูดเสริม
“งั้นกูเปิดนะ” กล้าหันมาถาม
“เรื่องของมึง” สิ้นคำแผ่นซีดีก็ถูกเปิดทันที เพียงฉายไปได้ไม่นาน ฉากปลอกคอระเบิดก็เผยให้เห็น
“หนังอะไรน่ะลูก” วิทิตซึ่งมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวไม่นาน เมื่อเหลือบไปเห็นฉากน่าสยดสยองนั้นก็เอ่ยถามขึ้น
“Battle Royale น่ะครับพ่อ นักเรียนทุกคนต้องสวมปลอกคอ แล้วต้องฆ่ากัน เหลือคนสุดท้ายถึงชนะไม่ต้องตาย ถ้าไม่เชื่อฟังคุณครูหรือพยายามแหกกฎ แค่ครูกดรีโหมดปลอกคอก็ระเบิดทันที”
“หนังโหดแบบนี้ไม่น่าเอาเข้ามาฉายในเมืองไทยเลยนะ”
“ก็แค่หนังน่ะครับพ่อ ดูเอาสนุก ๆ”
<-------->
และแล้วทุกคนก็นั่งรับประทานอาหารค่ำกันอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางความเป็นกันเอง
“ติ๊งต่อง”
“เอ๋... ใครมาอีกล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับแม่” คมกริชรีบลุกไปเปิดประตู และก็ต้องชะงักกับเบื้องหน้า ชายชุดทหารสีดำสวมหมวกไหมพรมปิดบังอำพรางหน้ายกปืนขึ้นจ่อเอวเค้าโดยพลัน
“หันหลังกลับ แล้วเดินไป” คมกริชกลืนน้ำลายลงคอ ค่อย ๆ หันหลังกลับช้า ๆ ชายชุดดำปิดประตูแล้วใช้ปากกระบอกปืนดันหลังให้คมกริชเดิน เมื่อมาถึงโต๊ะอาหาร
“ใครน่ะลูก” วิทิตเอ่ยถาม
“กูเอง!!!” ชายชุดดำถีบข้อพับทำเอาคมกริชทรุดตัวลง แล้วจ่อปากกระบอกปืนไปที่ศีรษะของเค้า
“ว้าย!!!!”เสียงสาว ๆ กรีดร้องด้วยความกลัว
“อย่า... มาปล้นเหรอ... ชั้น.. ชั้นมีเงิน จะเอาเท่าไหร่ อย่าทำลูกชายชั้นเลย”
“กูไม่ได้มาปล้น!! กูมาเล่นสนุก”
“อะไรกัน!”  คมกริชตะโกนหมายจะหันกลับมาสู้ แต่ก็โดนด้ามปืนทุบเข้าที่ศีรษะ แต่ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก
“อย่าทำลูกชั้นเลย แกอยากได้อะไร” งามตารีบวิ่งมาคุกเข้าตรงหน้าร้องขอชีวิตลูกชาย น้ำเสียงเธอสั่นเครือน้ำตานองหน้า
“แดกนี่เข้าไป” ชายชุดดำควักกล่องเหล็กที่ไว้สำหรับใส่บุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโยนลงบนโต๊ะอาหาร เมื่อกระแทกพื้นโต๊ะมันก็เปิดออก ภายในมีลูกกลม ๆ คล้ายชอกโกแลต ทุกคนนิ่งเมื่อได้เห็น
“กูบอกให้แดกไง” ชายชุดดำพูดพลางเงื้อปืน
“จ้า.จ้า ชั้นยอมกินแล้วจ้า” งามตาลนลานหยิบก้อนสีดำนั้นเพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดกับลูกชาย
“กลืนเลย อย่าเสือกเคี้ยวล่ะ ไม่งั้นกูระเบิดสมองไอ้เหี้ยนี่แน่” งามตากระเดือกเม็ดสีดำนั้นลงคอ ความใหญ่มันประมาณลูกแก้วที่เด็กไว้สำหรับเล่นดีดลูกหิน ซึ่งมันก็พอจะทำให้น้ำหูน้ำตาของเธอไหลจนตาแดงก่ำ
“แม่...” คมกริชร้องเรียกด้วยความสงสาร
“พวกมึงด้วย แดกทุกคน มึงก็ด้วย” ชายชุดดำถีบเข้ากลางหลังของคมกริชจนเค้าถลาไปเกยที่โต๊ะอาหาร ท่ามกลางความเครียดนั้น ทุกคนหยิบเม็ดปริศนาสีดำกลืนมันลงท้องโดยไม่รู้ว่าคืออะไร
“ดีมาก เด็กดี” ชายชุดดำเก็บปืนเปลี่ยนเป็นควักแท่งบางอย่างลักษณะเหมือนรีโหมดออกมาแทน ทุกคนฉงนในการกระทำของเค้า กล้าซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับชายชุดดำที่สุดได้โอกาสที่เค้าไม่มีปืนในมือลุกขึ้นหมายจะชาร์ต แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“โอ้ย!!!!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างที่ทรุดลงนอนกองกับพื้นของกล้า
“กูไม่ได้อยากทำเลย ให้ตายสิ กูแค่มาเล่นสนุก ๆ เท่านั้น ขออย่าบังคับกูเลย” ชายชุดดำพูดกับกล้าที่จู่ ๆ ก็นอนชักดิ้นชักงอก่อนจะแน่นิ่ง โดยมีมือกุมบริเวณหน้าอก
“ว้าย!!!” บรรดาผู้หญิงเห็นก็กรีดร้อง ซึ่งเปอร์โยถึงกับน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษนะ ที่พวกมึงแดกเข้าไปเมื่อครู่น่ะ เป็นเครื่องช็อตไฟฟ้า”
“หาเครื่องช็อตไฟฟ้า” งามตาพูดตาเบิกโพลง
“เออ พวกมึงฟังไม่ผิดหรอก กูมาที่นี่แค่อยากเล่นอะไรหนุก ๆ ก็แค่นั้น ถ้ากูไม่กดรีโหมด พรุ่งนี้พวกมึงก็ขี้มันออกมาแล้ว แต่ไอ้เหี้ยนี่มันเสือกห้าว” ชายชุดดำพูดพร้อมก้มมองร่างที่กองอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
“พวกมึงไม่ต้องห่วงมันยังไม่ตายหรอก เพราะกูช็อตมันแค่แป๊บเดียว มึง... เอามันออกไปทิ้งข้างนอกกูเห็นแล้วไม่สบอารมณ์” ชายชุดดำชี้ปลายกระบอกปืนไปที่แบงค์ เค้าจำใจต้องลุกออกมาประคองร่างที่ไร้สติเพื่อนำออกนอกบ้าน
“ไอ้สัตว์ ถ้ามึงโทรเรียกตำรวจกูจะฆ่าพวกมึงให้หมด ส่วนพวกมึงไปรอที่ห้องรับแขก ไป!!!” ชายชุดดำตะคอกใส่พร้อมยกรีโหมดขึ้น มันทำเอาทุกคนไม่เว้นแม้แต่วิทิตผวารีบลุกขึ้นเดินไปตาม ๆ กัน

<-------->
เมื่อทุกคนออกจากห้องอาหารชายชุดดำก็เดินตามไปติด ๆ
“นั่งพื้นโว้ย!! โซฟานั่นของกู” ทุกคนสะดุ้งรีบทำตามทันที กลับลงไปนั่งแยกไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง
“เฮ่ย! เทพ!! ไอ้เหี้ยนี่จะโทรบอกตำรวจ” ชายชุดดำอีกคนจิกผมแบงค์เดินเข้ามายังห้องรับแขก อีกมือหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือไว้
“ไอ้เหี้ยนี่อยากตาย” เทพเดินเข้าหาพร้อมเหวี่ยงกำปั้นใส่ท้องน้อยจนแบงค์ล้มลงนอนตัวงอเป็นกุ้ง แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชายชุดดำชี้รีโมทไปที่แบงค์
“ยะ... อย่า... โอ้ยยยยยยยย!!!!!” คำขอร้องยังไม่ทันจบลง เทพก็กดรีโมททันที ร่างของแบงค์กระตุก ตาเบิกโพรงด้วยความเจ็บปวด แล้วค่อย ๆ นิ่งลง
“เหี้ยเอ้ย... มึงบังคับกูเองนะ... กะ เอ้ย.. ไอ้ชาติ มึงไปเตรียมงาน กูอยากดูแล้ว” เทพสั่งชาติแล้วกลับมานั่งที่โซฟา ชาติก็รีบวิ่งกลับออกไปนอกบ้าน ไม่นานเค้าก็กลับมาพร้อมกลับกระเป๋าใบใหญ่
“มึงเลือกเอาแล้วกันห้องไหนก็ได้” คำพูดของเทพทำเอาทุกคนงุนงง
“OK” ชาติรีบวิ่งไปพร้อมกระเป๋าใบใหญ่นั้นทันที
<-------->
 “เรียบร้อยแล้ว” เพียงไม่นานนัก เสียงชาติดังขึ้นมา ทุกคนก็หันไปมอง เห็นเค้ากำลังผ่อนสายไฟมาตามทางจนกระทั่งถึงโต๊ะที่เทพนั่งอยู่ สายไฟนั้นโยงมาจากห้องนอนของวิทิต เทพล้วงเอาโน้ตบุคออกจากกระเป๋าสีดำที่ชาติหิ้วมา แล้วเสียบสายต่าง ๆ เข้าหากันอย่างชำนาญ ไมค์ถูกตั้งไว้ด้านหน้า ภาพบนจอคือห้องนอน
“ทดสอบ... ทดสอบ...” เสียงพูดนั้นดังไปยังห้องนอนของวิทิต
“ชาติมึงคุมไอ้พวกนี้ไป ถ้ามันยึกยักฆ่าแม่งเลย” เทพสั่งพร้อมยื่นรีโหมดให้
“พวกมึง เข้าไปในห้อง” ทั้งหมดลุกขึ้นทำตามอย่างจำยอม เมื่อทุกคนเข้าห้องแล้วชาติก็ปิดประตูทันที
“Lady and gentleman ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ THE GAME” เสียงประกาศออกลำโพง แต่ล่ะคนมองตามก็เห็นมีกล้องทีวีวงจรปิดติดอยู่ด้วย
“ไม่ต้องมอง ถ้าใครขืนยุ่งกับมันคนนั้นจะได้ออกไปนอนข้างนอกตามไอ้คนที่เพิ่งโดนกูช็อตไป” เทพพูดสวนโดยพลันที่เห็นทุคนมอง
“เกมส์... เกมส์อะไรกัน” คมกริชเอ่ยขึ้น
“พวกมึงเคยดู Battle Royale มั๊ย”
“Battle Royale” คมกริชตกใจเบิกตาโพลงพร้อมอุทานออกมาเบา ๆ
“กติกาง่าย ๆ แต่กูจะไม่ให้มึงฆ่ากันหรอก มันโหดร้ายเกินไป ยิ่งพูดกูก็ยิ่งสงสารไอ้ 2 คนที่ปางตาย มันไม่มีโอกาสได้เสวยสุขแบบพวกมึง เอาล่ะ กติกาคือ มีเพียงวิธีเดียวที่จะได้อยู่เห็นตะวันของวันพรุ่งนี้ นั่นคือ ทำตามหัวข้อที่กูบอก ใครทำไม่ได้ ตาย!!!”
“อะไรกัน!!” เปอร์โยอุทานหน้าซีดเผือด ปล่อยชั้นออกไป เธอวิ่งเข้าหาประตูหมายจะเปิดมันออก
“อย่าเชียวถ้ายังไม่อยากตาย” เสียงปรามเนิบ ๆ แต่กลับทำเอาเธอชะงัก 2 ขาหมดเรี่ยวแรงนั่งพับเพียบลงกับพื้นห้องอย่างหมดหนทาง
“กูมีเวลาให้ 1 ชั่วโมง โดยมีภารกิจให้ทำตามทีละข้อ ถ้าเล่นเกมส์ผ่านตามที่กูบอกไว้ 5 ข้อกูจะปล่อย ถ้าไม่ทำตามเกมส์ของกู...”
“เกมส์เหี้ยอะไรของมึง!!! ไอ้เหี้ยบอกมาเลย มึงบอกมา!!!!” คมกริชเห็นน้องสาวนั่งร้องไห้ก็เกิดเดือดดาน ตะโกนท้าทายทั้งที่เทพยังพูดไม่ทันจบ
“งั้นกูจะเริ่มจับเวลาล่ะนะ ตอนนี้ 2 ทุ่มพอดี”
“ภารกิจข้อที่ 1 ผู้ชายอายุมาก ถอดเสื้อผ้าให้ผู้หญิงอายุน้อยออกให้หมด อ่อ... ไม่สิ พวกมึงคงเป็นครอบครัวเดียวกัน เอาเป็นว่า พ่อถอดเสื้อผ้าลูกสาวออกให้หมด”
“ไอ้เหี้ย!!! มึงจะบ้าเหรอ สัตว์ นี่ครอบครัวกูนะ!!!” คมกริชตะโกนด่า
“มึงไม่อยากทำก็ตามใจ เวลามันก็เดินไปเรื่อย ๆ ครบชั่วโมงเมื่อไหร่ แล้วเกมส์ยังไม่จบ กูจะเผาบ้านนี้ทิ้ง!”
“ว่าไงนะ” วิทิตลุกขึ้นอุทานทันที บ้านหลังนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงที่เค้าสร้างมา จู่ ๆ กลับจะมาถูกเผาง่าย ๆ เค้าวิ่งไปยังประตูบิดลูกบิดโดยพลัน มันหมุนได้แต่กลับติดบานพับซึ่งคล้องกุญแจอยู่ด้านนอก
“ไม่มีประโยชน์ พวกกูล๊อคมันจากด้านนอก” วิทิตไถลตัวลงกองอยู่กับพื้นอย่างสิ้นหวัง เค้าเหลียวมองไปยังลูกสาวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ช้า ๆ
“ไม่นะคะพ่อ” เปอร์โยเงยหน้ามองเอามือขวาขึ้นกอดหน้าอกไว้
“เปอร์ลูกพ่อ พ่อไม่อยากเสียบ้านหลังนี้ไป” เปอร์โยได้ฟังก็รีบถอยหลังจนไปติดมุมห้อง
“พ่อ... พ่อจะหลับตาเปอร์ พ่อจะไม่มอง”
“แม่คะ แม่” เปอร์โยร้องเรียกแม่ งามตาซึ่งนั่งฟังทุกคำพูดของวิทิตแต่ก็ไม่มีทีท่าแย้งอะไร เธอเองก็หวาดกลัว และไม่คิดว่าสามีจะคิดอะไรเกินเลยกับลูกสาว
“เปอร์ลูกแม่ แม่... ” งามตาไม่มีคำพูดใดเธอเบียงหน้าไม่มอง เพียงเปลือกตาหลับลงน้ำตาก็ไหลเป็นทาง
“พี่คม พี่คมช่วยเปอร์ด้วย” คมกริชซึ่งรักเปอร์โยปานแก้วตาดวงใจ แต่ก็ต้องกัดฟันทน เด็กหนุ่มค่อย ๆ ข่มตาหลับลงพร้อมหายใจยาวเพื่อเป็นการสงบสติอารมณ์ เมื่อทุกคนเงียบหมด วิทิตจึงคลานเข้าหาลูกสาว
“พ่อจะหลับตา ลูกพ่อ... พ่อจะหลับตา” วิทิตพูดเมื่อมาคุกเข้าอยู่ตรงหน้าลูกสาว เปอร์โยสะอื้นเล็กน้อยแต่มันคือฉันทามติของทุกคนให้เธอต้องเสียสละ เธอจึงค่อย ๆ ลดมือที่ปิดบังหน้าอกอิ่มของตนเองลง เปอร์โยสาววัย 22 หน้าอกอวบอิ่มกลมกลึงในชุดนักศึกษารัดแนบเนื้อจนกระดุมแทบปริ เอวคอด กระโปรงสั้นเหนือเข่าเข้ารูป นั่นคือภาพที่วิทิตเห็นก่อนจะหลับตาลง เค้าค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า ๆ นิ้วถูกกรีดออกเพื่อไม่ให้ฝ่ามือได้สัมผัสถูกเต้าอวบของลูกสาว เค้าต้องการเพียงแค่ให้นิ้วได้ปลดกระดุมออกเท่านั้น แต่การที่จะหาจุดที่เป็นกระดุมโดยไม่มองนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง วิทิตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปยังเนินอกอิ่มช้า ๆ เปอร์โยเม้มริมฝีปากหลับตาปี๋ ปลายนิ้วค่อย ๆ จรดลงบนเสื้อนักศึกษา แต่มันกลับไม่ใช่กระดุม ปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างกลับแทรกตัวผ่านร่องเสื้อซึ่งปริด้วยความคับแน่นของเต้าอวบเข้าไปจนแตะเข้ากับก้อนเนื้อใต้ชุดนักศึกษา เปอร์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังไม่ลืมตา วิทิตไล่นิ้วขึ้นมาจนเจอกระดุมเม็ดบน พอมันหลุดออกก็เหมือนถูกปลดปล่อย เสื้อรัดติ้วเด้งดีดเพราะหน้าอกที่อวบอัด เมื่อเม็ดแรกหลุดไปจึงไม่เป็นการยากสำหรับเม็ดต่อไป จนกระทั่งเม็ดสุดท้าย เมื่อเปอร์โยเห็นว่ากระดุมถูกถอดออกหมดแล้วจึงยกมือขึ้นหมายจะถอดเสื้อออกเอง
“อย่าเชียว!! อีนี่กูบอกว่าให้ผู้ชายถอดไม่ใช่มึง” เสียงจากลำโพงทำเอาเด็กสาวสะดุ้งพร้อมกับวิทิตที่ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ภาพที่เค้าเห็นคือเต้าอิ่มภายใต้บราเซียสีชมพูอ่อน มันทั้งขาวทั้งอวบได้รูป เห็นเช่นนั้นวิทิตก็รีบสะบัดหน้าหลับตาลงอย่างรู้สึกผิด
“เปอร์... พ่อขอโทษ พ่อขอโทษ” ผู้เป็นพ่อรีบเอ่อปากขอโทษขอโพยเมื่อพลั้งเผลอไปมองเอาเต้านมของลูกสาวอย่างไม่ตั้งใจ
“อย่าชักช้า... กูขอเตือน เวลามันกำลังเดินไปไม่หยุด และนี่เกมส์มันเพิ่งเริ่มขึ้น” เสียงเตือนจากเทพที่ดูเหมือนจะหวังดี ทำเอาวิทิตต้องกำมือทั้ง 2 ข้างแน่นด้วยความคับแค้นใจที่ช่วยอะไรครอบครัวไม่ได้เลย เค้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะผ่อนลมออกทางปากช้า ๆ แล้วค่อย ๆ คลายกำปั้นออก มือทั้ง 2 ข้างยกขึ้นอีกครั้ง มันสั่นเทาและขยับเข้าหาตัวลูกสาวอย่างช้า ๆ เค้ารู้สึกถึงคอปกเสื้อทั้ง 2 ข้างจึงค่อย ๆ ไล่ลงมายังตัวเสื้อด้านหน้า 2 มือจับมันแหวกออกช้า ๆ วิทิตต้องขยับตัวเข้าใกล้เธอเพื่อถอดแขนเสื้อทั้ง 2 ข้างให้พ้นจากไหล่น้อย ๆ ของลูกสาว มันเท่ากับว่าหน้าของเค้าต้องยื่นเข้าไปใกล้ร่างน้อย ๆ นั้นโดยอัตโนมัติ แต่ด้วยความที่เค้าหลับตาอยู่จึงไม่ทราบ แต่กลิ่นกายจากต้นคอขาว ๆ ของเด็กสาวสะพรั่งนั้นมันช่างเตะจมูกนัก เมื่อไอร้อนจากตัวลูกสาวปะทะเข้ากับแก้มเค้ารู้ได้ทันทีว่าขณะนี้เค้าอยู่ในท่าไหน แต่ในเวลานี้วิทิตไม่ได้คิดถึงสิ่งใดนอกจากทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเพื่อช่วยครอบครัวอันเป็นที่รัก เสื้อตัวน้อยถูกถอดออกอย่างไม่ยากเย็นนัก จากนั้นมือของเค้าก็ค่อย ๆ คลำหาตะขอบราเซียของลูกสาว เพียงมือของผู้เป็นพ่อแตะโดนแผ่นหลังก็ทำเอาเปอร์โยสะดุ้งเบา ๆ ซึ่งวิทิตก็รู้สึกได้ เค้าจึงยิ่งต้องระวังไม่ให้แตะถูกเนื้อต้องตัวลูกสาว แต่ยิ่งระวังเท่าไหร่มันยิ่งทำให้เค้าไม่มีไม่มีสมาธิเท่านั้น แต่ไม่นานตะขอมันก็ดีดออกจากกัน ร่างของสาวน้อยกระตุกตามแรงดีด จังหวะของการหายใจเริ่มแปรปรวน เธอรู้ทันทีว่าอีกไม่นานเต้าอวบอิ่มของตัวเองกำลังจะไร้ซึ่งบราเซียปิดบัง  วิทิตค่อย ๆ จับสายคล้องไหล่รูดลงมาช้า ๆ และแล้วบราเซียสีชมพูอ่อนก็หลุดออกจากร่างสาวน้อย สิ่งที่เผยให้เห็นในมอนิเตอร์ทำเอาเทพกลืนน้ำลาย
“ดีมาก... แต่กูว่ามึงช้าเกินไป ภารกิจง่าย ๆ ที่มึงยังทำได้แค่ครึ่งเดียว มึงรู้รึป่าวว่ามันผ่านไป 10 กว่านาทีแล้ว ถ้าพวกมึงยังไม่ยากดำเป็นตอตะโกไปพร้อม ๆ กับบ้านนี้ กูขอแนะนำให้เร่งมือหน่อย เวลามันไม่คอยพวกมึงที่มัวแต่เหนียมอายกันนะโว้ย”
“เปอร์โยลูกพ่อ พ่อขอโทษ แต่พ่อต้องทำ เชื่อพ่อนะ อีกไม่ช้ามันจะจบลง” วิทิตพูดทั้งที่ยังก้มหน้าหลับตา น้ำตาลูกผู้ชายที่ต้องทนกล้ำกลืนทำในสิ่งที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดค่อย ๆ ซึมเล็ดออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิท จนกระทั่งมันหยดลงสู่พื้นห้อง แต่จู่ ๆ เค้าก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสอันนุ่มนวล ปลายนิ้วโป้งน้อย ๆ ของลูกสาวค่อย ๆ ปาดผ่านแก้มที่เปียกชุ่ม วิทิตลืมตาขึ้นช้า ๆ เค้ามองหน้าลูกสาวอันเป็นที่รักยิ่ง
“ทำเถอะค่ะพ่อ ถึงยังไงร่างกายนี้ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อมอบให้หนู” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาที่แดงก่ำแต่ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม บัดนี้เธอปลงได้กับสิ่งที่กำลังดำเนินไป ไม่มีใครต้องการให้มันเกิดขึ้น เธอหวังเพียงว่าฝันร้ายนี้มันจะผ่านไปโดยเร็ว เปอร์โยยันตัวขึ้นยืนพลางหลับตาลงพร้อมสูดหายใจลึก เมื่อเป็นเช่นนี้วิทิตจึงขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่า เบื้องหน้าเค้าคือกระโปรงนักศึกษาสั้นแค่หน้าขาที่ฟิตพอดี สะโพกผายรับกับเอวที่คอดกิ่วเรื่อยลงมายังเรียวขาขาวเนียนไร้ที่ติ วิทิตประคองมือข้างซ้ายขึ้นแตะยังสะโพกลูกสาวพร้อมด้วยมือขวาที่เอื้อมไปยังด้านหลัง ซิบตัวน้อยถูกรูดลงช้า ๆ พร้อมกับขอบกระโปรงที่คลายตัวออก แต่ถึงกระนั้นแม้ซิบจะถูกรูดลงจนสุดแล้วด้วยสะโพกที่ผายออกของเธอมันทำให้กระโปรงไม่หลุดร่วงลงมากองกับพื้น ชายหนุ่มจึงปล่อยนิ้วที่จับซิบ ลดมือลงจับชายกระโปรงสั้นนั้นออกแรงดึงมันลงเบา ๆ ไม่ช้าสีดำขลับของกระโปรงนักศึกษาก็ค่อย ๆ เลื่อนลงเผยให้เห็นชั้นในสีเดียวกับบราเซีย เมื่อผ่านพ้นสะโพกกลมกลึงมันก็หลุดกองลงกับพื้น วิทิตหายใจแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เค้าประคอง 2 มืออันสั่นเทาแตะเข้ากับสะโพกอันกลมกลึงของลูกสาว เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็ทำเอาเปอร์โยร่างกระตุกใบหน้าร้อนผ่าว นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้างเริ่มเกาะเกี่ยวขอบชั้นในตัวจิ๋วพร้อมรั้งมันลงช้า ๆ เนินนูนภายใต้เส้นไหมอ่อน ๆ สีดำปรากฏให้เห็นทีละน้อย ๆ  และด้วยสัญชาติญาณของหญิงสาว เธอบีบหน้าขาเข้าหากันแน่น แต่ก็ไม่วายที่อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายจะถูกปลดออกจากตัวเธอ บัดนี้ร่างของหญิงสาวยืนเปลือยเปล่าอวดสรีระให้ผู้เป็นพ่อได้ยลอย่างเต็มตา
“เออ... ก็แค่นั้นแหละ ไม่เห็นจะยากซักหน่อย ฮ่า ๆ ๆ” เมื่อเปอร์โยรู้ว่าภารกิจแรกได้ลุล่วงแล้วก็รีบนั่งลงหยิบเสื้อขึ้นมาปิดบังเรือนร่างตนเองทันที
“ใครให้มึงเอาเสื้อขึ้นมาปิด!!” เปอร์โยสะดุ้งตามเสียงตะคอก
“ไม่งั้นกูจะให้ถอดเสื้อออกทำไม แม่งโง่เหี้ย ๆ” เสียงด่าทอทำเอาเด็กสาวตกใจน้ำตาไหล เธอจำใจละทิ้งเสื้อที่ปิดร่างเปลือยเปล่า เปอร์โยนั่งพับเพียบแขนข้างหนึ่งยกขึ้นบังเต้าอวบอีกมือที่เหลือต้องคอยปกปิดส่วนล่างไว้ สภาพในตอนนี้ของเด็กสาวไม่ต่างอะไรจากลูกนกที่ตกใจเสียงปืนของนายพรานอันโฉดชั่ว
“ข้อแรกพวกมึงใช้เวลาไป 15 นาที กูไม่อยากเดาเลยว่าพวกมึงจะได้เห็นแสงตะวันของพรุ่งนี้รึป่าว”
“ไอ้เหี้ย!!! ข้อต่อไปมึงจะให้ทำอะไร ไม่ต้องมาพูดถ่วงเวลา” คมกริชตะโดนเสียงลั่นห้อง เค้าลุกขึ้นมองไปยังกล้องที่จับภาพอยู่ 2 มือกำหมัดแน่น
“ฮ่า ๆ ๆ ใจร้อนจังนะมึง อยากมีความสุขแบบพ่อของมึงบ้างสินะ ได้เดี๋ยวกูจัดให้” คำพูดของเทพทำเอาคมกริชชะงัก เค้าหันมองน้องสาวทันที
“ไม่ใช่... ไม่ใช่... แม่มึงต่างหาก ไม่ใช่น้องสาว”
“ไอ้สัตว์!!!” คมกริชกัดกรามก้มหน้าด่าผ่านไรฟันเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความโกรธ สายตาอีก 2 คู่ต่างมองไปยังงามตาทันที
“อ๊ะ ๆ ๆ โกรธงั้นเหรอ งั้นกูไม่ให้มึงถอดเสื้อแม่มึงก็ได้... เอาล่ะ ข้อ 2 ทุกคนในห้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด” สิ้นเสียงคำสั่งทุกคนในห้องต่างพากันหันหน้าไปมองไปยังกล้องที่จับจ้องอิริยาบถของพวกเค้าทันที
“ใช่... พวงมึงไม่ต้องงง กูให้พวกมึงถอดเสื้อผ้าออกให้หมด นี่ถือว่ากูปราณีแล้วนะ ที่ไม่ให้ลูกถอดเสื้อผ้าแม่ตัวเอง ฮ่า ๆ ๆ” เสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาจากลำโพงนั้นมันช่างแฝงไปด้วยความสะใจ แต่ทว่าคำสั่งนี้เองที่ทำเอาคนทั้ง 3 ที่ยังมีเสื้อผ้าติดกายอยู่ค่อย ๆ เหลียวหันมามองกันและกัน
“ไม่นะคะ ไม่ ชั้นไม่ถอด ไม่” งามตานั่งกอดเข่าตัวสั่น พร้อมส่ายหน้าตามองสามีอันเป็นที่รัก ปากพร่ำปฏิเสธปานคนเสียสติ
“นี่มันก็เป็นแค่เกมส์ ถ้าพวกมึงผ่านมันไปได้ มันก็จบ อีกอย่ากูก็ไม่ได้ให้มึงฆ่ากันเองซักหน่อย แค่หลับหูหลับตาทำไปก็สิ้นเรื่อง กูอยากบอกนะ ยิ่งพวกมึงขัดขืนมันยิ่งทำให้กูสนุกว่ะ บางบ้านที่กูเคยไปแม่งสั่งปุ๊บทำปั๊บแป๊บเดียวจบเกมส์ กูล่ะโคตรเบื่อ เอาเถอะเลือกเอาว่าจะทำตามหรือจะรอความตาย จงอย่าลืมว่าเวลาไม่เคยคอยใคร” เสียงเตือนอย่างเย็นชาทำเอาคมกริชคอตกถอนหายใจ เค้าค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าตัวออกทีล่ะชิ้น ๆ จนเหลือแต่กางเกงใน
“ตา... ทำเถอะ...” ทั้งเงื่อนไขเรื่องบ้าน เรื่องความปลอดภัยของทุกคน วิทิตเห็นเช่นนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากกับภรรยา เค้าหมดความลังเลที่จะลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าตามลูกชาย เพียงไม่นานทั้งพ่อและลูกชายก็เปลือยเปล่า ลำควยของทั้งคู่เหี่ยวห้อยโตงเตงด้วยความกลัว แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังยาวกว่า 4 นิ้ว เปอร์โยซึ่งนั่งอยู่มุมห้องได้เห็นก็รีบเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งกอดเข่าก้มหน้าหลับตาเพื่อไม่ให้ให้ภาพ แต่ในความมืดเมื่อเปลือกตาหลับลงนั้นกลับบังเกิดภาพระหว่างเธอและพี่ชายที่เคยร่วมรักกันอย่างดูดดื่มในใจจึงรีบสลัดภาพนั้นทิ้งไปเสีย
“แม่ครับ... พวกเราไม่มีทางเลือก” คมกริชหันหลังให้ผู้เป็นแม่พูดพร้อมค่อย ๆ เดินไปยังผนังห้องแล้วนั่งลงหันหน้าเข้ากำแพง งามตาที่ยังคงสะอึกสะอื้นกับความกลัวมองหน้าวิทิตที่เดินผ่านไปนั่งยังอีกมุมห้องหนึ่ง ตอนนี้เหลือเพียงแต่ตัวเธอที่ยังมีเสื้อผ้าติดร่าง นี่อาจเป็นชะตากรรมที่ครอบครัวเธอต้องเผชิญ ทุกสิ่งมันสับสนไปหมด นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น หรือนี่เป็นเพียงแค่ฝัน
“พวกมึงช้ากว่าที่กูคิดนะ หรือว่าพวกมึงอยากตาย!!!” แต่แล้วเสียงจากลำโพงก็กระชากเธอออกจากภวังค์แห่งความคิด ตายงั้นเหรอ บัดนี้ความตายนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับเธอเมื่อเทียบกับความอดสูที่จะต้องแก้ผ้าต่อหน้าโจรร้าย แต่เมื่อเธอมองไปยังลูกชาย เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะทำงาน เค้ายังต้องเติบโตและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นต่อไป เปอร์โยเด็กสาวที่ยังมีอนาคตสดใสในภายภาคหน้า ความเป็นห่วงลูกฉุดดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นช้า ๆ งามตายกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มก่อนจะค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เพียงกระดุมเม็ดที่ 2 ถูกเกาะออกหน้าอกที่แสนอวบก็ปริดันกระดุมเม็ดถัดลงมาให้แทบหลุด เสื้อเชิ้ตแขนยาวถูกปล่อยลงกับพื้นข้างตัว พร้อมกับ 2 มืออ้อมไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอบราเซีย ไม่นานบราขนาด 34 คับ C ก็หลุดตามเสื้อลงไป เต้าอวบกลมได้รูปแม้จะคล้อยนิดหน่อย แต่ปลายยอดเล็กสีน้ำตาลอ่อนตัดกับผิวขาว ๆ ของคนเหนือ ทำเอา 2 โจรที่มองผ่านกล้องต้องหายใจยาว
“สวยอะไรอย่างนี้” เทพเผลอพูดออกไปอย่างลืมตัว แต่คำพูดที่แทรกตัวผ่านลำโพงมานั้นทำเอาคมกริชที่นั่งหันหลังให้ถึงกับเผลอคิดจินตนาการตามไป งามตาที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเริ่มถอดกระโปรงออก มันหลุดอย่างง่ายดาย หน้าท้องเธอยังคงแบนราบเหมือนของสาว ๆ เอว 24 กับสะโพก 35 ช่างรับกางเกงชั้นในผ้าบางไม่ต่างจากซีทรูสีขาวยิ่งนัก นิ้วเรียวค่อย ๆ เกี่ยวขอบสายชั้นในเส้นเล็ก ๆ เพื่อจะรูดมันลง แต่แล้ว
“พอแล้ว...” เสียงสิ้นสุดคำสั่งทำเอางามตาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าเพิ่งดีใจไป มันยังไม่จบ ข้อนี้พวกมึงใช้เวลาไป 8 นาที รวมเป็น 23 นาที อีก 3 ข้อเท่านั้น พวกกูก็จะไป แต่เวลา 37 นาที สำหรับพวกมึงมันช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับความยืดยาดลังเล...”
“พวกแกรีบบอกมาเลย เรื่องมันจะได้จบ ๆ ไปซะ” เทพยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงแทรกขึ้นมา เสียงนั้นทำเอาทุกคนงุนงง งามตานั่นเอง บัดนี้ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วขอเพียงให้มันจบลงไปเท่านั้น... เธอคิด
“ดี! ข้อ 3 กูจะให้ลูก ๆ ได้เป็นลูกกตัญญู” ทั้งคมกริช และเปอร์โย เงยหน้าขึ้นทันที
“พ่อ กับแม่ แยกกันไปนอนลงกับพื้นข้าง ๆ เตียงทั้ง 2 ข้าง” ถึงแม้ความหวาดกลัวจะลดน้อยลงมาก แต่คำสั่งที่ยังไม่ชัดเจนส่งให้ ทั้งงามตา และวิทิตยังคงนิ่ง
“กูบอกให้ทำตามไง สัตว์!” เทพตะคอกเสียงออกลำโพงดังลั่น 2 สามีภรรยาถึงกับสะดุ้ง ทำตามที่สั่ง โดยวิทิตนอนอยู่ด้านขวาของเตียง และงามตาอยู่ทางด้านซ้าย
“เอาล่ะ ลูก ๆ ทั้ง 2 วันนี้ปรนนิบัติ คุณพ่อคุณแม่กันหน่อย ข้าง ๆ เตียงกูได้วางขวดเบบี้ออยล์ไว้ให้พวกมึงแล้วคนล่ะขวด ไป... จงเอามันชโลมตัวผู้ให้กำเนิดแล้วนวดคลายความเครียดที่ได้รับจากพวกกูซะ ฮ่า ๆ ๆ” เปอร์โยและคมกริชซึ่งนั่งอยู่กันคนละฟากลุกขึ้นตามคำสั่ง เพียงทั้ง 2 ได้มองเรือนร่างของกันและกันก็นึกถึงอดีตที่ได้เสพสมความสุขอันแสนดูดดื่ม เปอร์โยก้มหน้าเล็กน้อย เธอหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ทั้ง 2 ต่างเดินเพื่อไปยังร่างของบุพการี เปอร์โยซึ่งเดินถึงก่อน เธอก็นั่งลงข้างงามตาผู้เป็นแม่
“ใครบอก... กูให้ลูกชายนวดแม่ ลูกสาวนวดพ่อต่างหาก ฮ่า ๆ ๆ” ทั้ง 4 คนถึงกับตะลึงในคำพูดนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก
“พวกมึงจะโวยวาย จะด่ากู หรือจะไม่ทำก็ได้ แต่เวลามันยังคงเดินต่อไป” คมกริชถอนหายใจยาวแล้วเดินกลับมายังเตียงอีกฟาก เมื่อสวนกับน้องสาวก็ได้เห็นภาพ แม่ผู้ให้กำเนิดนอนร่างเปลือยเปล่าเหลือเพียงชั้นในบาง ๆ ที่แทบจะไม่ปิดอะไรเลย ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวภาพตรงหน้าเธอคือพ่ออันเป็นที่เคารพ กลางลำตัวเป็นลำควยที่เหี่ยวนิ่มดูไร้พิษสงแต่เมื่อเห็นแล้วทำเอาหัวใจเด็กสาวหวั่น ๆ พิกล ทั้ง 2 หนุ่มสาวรู้สึกตัวร้อนผ่าวอย่างแปลกประหลาดก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ
“นั่นแหละ อย่างนั้น ว่าง่าย ๆ โตเร็ว ๆ ข้อนี้ มีข้อจำกัดเป็นเงื่อนเวลา กูจะเปิดเพลง เพลงจบถือว่าผ่านภารกิจ แต่... กูขอเตือน ถ้ากูเห็นว่าพวกมึง 2 คนไม่ตั้งใจนวดให้ทั่วตัว ย้ำให้ทั่วตัว หรือ หยุดนวดกูจะกด Pause เพราะฉะนั้น เพลงนี้จะสั้นหรือจะยาว มันอยู่ที่พวกมึง 2 คน เอาล่ะ บนหัวของพ่อกับแม่มึง กูวางขวดเบบี้ออยล์ไว้ พวกมึงเอามาชโลมตัวแล้วนวดซะ ไม่ต้องห่วง มันไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ระคายผิว เพราะกูใช้นวดควยเป็นประจำ ฮ่า ๆ ๆ” คมกริชซึ่งนั่งอยู่ข้างงามตาแต่หันหน้าไปยังปลายเตียง เค้ายังคงนิ่งไม่ทำตามคำสั่ง แต่แล้วก็มีมือเย็น ๆ มาจับที่ข้อมือของเค้า คมกริชเหลียวตามสัมผัสที่ได้รับทันที
“ทำเถอะลูก เราไม่มีทางเลือก” นี่คือคำที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของงามตาผู้เป็นแม่ เธอพูดกับลูกชายด้วยแววตาที่อบอุ่นก่อนที่จะค่อย ๆ เบี่ยงหน้าหลับตาลงช้า ๆ คมกริชเห็นเช่นนั้นจึงเอื้อมไปหยิบขวดเบบี้ออยล์แต่ระหว่างที่ยกตัวเอื้อมไปนั้นเอง ปลายควยซึ่งห้อยอยู่ก็พลันสัมผัสเข้ากับแก้มขวาของงามตา
“อุ้ย... ขอโทษครับแม่” คมกริชรีบกล่าวขอโทษพร้อมโหย่งตัว แต่ไม่มีเสียงตอบจากเธอ งามตายังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น เมื่อเด็กหนุ่มได้น้ำมันอยู่ในมือก็กลับมานั่งขัดสมาธถอนหายใจยาว เค้าเริ่มพินิจพิจารณาเรือนร่างที่อยู่ตรงหน้า มันช่างงดงามเสียนี่กระไร เต้าอวบใหญ่กับหน้าท้องที่แบนราบ ขยับสลับขึ้นลงตามแรงหายใจ ที่กลางลำตัวนั้นถึงแม้จะมีชั้นใน แต่ด้วยเป็นผ้าบาง ๆ จึงมองเห็นเส้นไหมอันดำขลับแต่ทว่าไม่รกรุงรัง มันเป็นเนินนูนน่าลองจับดูยิ่งนัก คมกริชเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหูร้อน ลำควยมีปฏิกิริยาแปลก ๆ จนต้องใช้มือซ้ายกดท่อนเอ็นลง เสียงกริ๊กเป็นสัญญาณให้งามตารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น และแล้วฝาขวดก็ถูกเปิดออก น้ำมันถูกหยดลงบนหน้าท้องของเธอ เด็กหนุ่มใช้มือซ้ายแตะลงไปเบา ๆ อย่าประหม่า ปลายนิ้วกลางเริ่มลูบวนเป็นวงกลมช้า ๆ สลับกับน้ำมันที่หยดลงไปทีละน้อย เพียงไม่นานคมกริชก็เริ่มกล้าพอที่จะใช้ฝ่ามือลูบไล้เรือนร่างนั้น ซึ่งงามตาก็รู้สึกได้ถึงแรงสัมผัสที่เพิ่มขึ้น เด็กหนุ่มจ้องมองเต้านมที่กระเพื่อมขึ้นลงพลางกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก เค้ายังคงกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะนวดเลื่อนขึ้นไป แต่ในความคิดนั้นเอง เพลง... ใช่เพลงยังไม่ได้เปิดขึ้นทั้ง ๆ ที่เค้าก็นวดเรือนร่างของผู้เป็นแม่แล้ว คมกริชหันมองไปยังกล้องที่จับจ้องอยู่
“ควย ๆ มึงไม่ต้องมองกู มึงหันไปมองน้องสาวมึงโน้น มันยังเบี่ยงหน้าหลับตาอยู่เลย” เทพซึ่งกำลังจับจ้องการกระทำของคมกริชอย่างจดจ่อรีบสวนขึ้นก่อนที่คมกริชจะเอ่ยปาก เด็กหนุ่มได้ฟังก็พลันหันไปมองน้องสาวยังฟากตรงข้ามของเตียงทันที สิ่งที่เห็นคือเปอร์โยกำลังลืมตาขึ้นมองมายังเค้าพอดี คมกริชขมวดคิ้วพยักหน้าเบา ๆ บอกให้น้องสาวทำตามที่โจรสั่ง
“เราไม่มีเวลาแล้ว” คมกริชบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงปลงตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คิดซะว่านวดให้พ่อเหมือนตอนเด็ก ๆ ก็แล้วกัน” เด็กสาวเหลียวมองไปตามเสียง คุณพ่อของเธอพูดพลางยื่นขวดน้ำมันให้พร้อมค่อย ๆ หลับตาลง เปอร์โยยื่นมือไปรับมันแต่โดยดี แต่ในใจยังคิด เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ เธอก็เคยนวดให้พ่อแต่มันไม่ใช่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ เด็กสาวเงยหน้ามองพี่ชายอีกครั้ง ซึ่งคมกริชก็พยักหน้าเบา ๆ ไม่นานเสียงกริ๊กก็ดังขึ้น น้ำมันถูกหยดลงบนตัวของวิทิตพร้อมกับเสียงเพลงบรรเลงที่ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเกมส์ข้อ 3 ได้เริ่มขึ้นแล้ว มือน้อย ๆ ค่อย ๆ ลูบน้ำมันไปทั่วร่างของวิทิต ด้วยความที่เปอร์โยไม่ถูกอำนาจฝ่ายต่ำครอบงำ มันจึงไม่ยากที่เธอจะนวดไล้ไปตามลำตัวและแขนของผู้เป็นพ่อ ต่างกับคมกริชที่ยังคงลูบหน้าท้องของงามตาอยู่ เค้าเริ่มกัดริมฝีปากพร้อมพยามยามบังคับการหายใจให้เป็นปกติ เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหัวใจเต้นแรง มือซ้ายที่ลูบไล้อยู่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมายังฐานของเต้าอวบพลางใช้ปลายนิ้วโป้งวนขึ้นไปก่อนจะลูบไปยังสีข้าง หัวใจเด็กหนุ่มแทบจะหยุดเต้น นี่เค้าได้สัมผัสเต้าอวบของแม่ คมกริชทำแบบเดิมอยู่ 2 - 3 ครั้งจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงติงจากงามตา ความย่ามใจเริ่มเกาะกินความคิดของเด็กหนุ่ม เค้าเริ่มหยดน้ำมันลงบนปทุมถันของแม่โดยตรงซึ่งงามตาก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการนวดน้ำมันนี้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายสบายตัว มือหยาบ ๆ ของคมกริชค่อย ๆ ลูบขึ้นมาจากหน้าท้องผ่านใต้ฐานของเต้าอวบ อุ้งมือเค้าบีบก้อนเนื้อเบา ๆ แล้วลูบขึ้นโดยมีง่ามนิ้วชี้และนิ้วกลางบรรจงหนีบที่หัวนมของเธอเบา ๆ ก่อนจะผ่านไปยังลำคอขาวให้เหมือนกับไม่จงใจ รสสัมผัสนี้ทำเอางามตาถึงกับขนลุกเล็กน้อยพร้อมกับจะลืมตาแต่มือของลูกชายที่ลูบลงไปยังแขนข้างขวาของเธอทำให้เธอรู้สึกว่ามันคงเป็นการนวดธรรมดา งามตาจึงยังคงนอนหลับตารับความผ่อนคลายอยู่เช่นนั้น ต่างจากคมกริชที่ยิ่งนวดยิ่งเครียด เค้าเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เต้าอวบนั้นช่างมีแรงดึงดูด มันนุ่มเนียนและยังลื่นไปด้วยน้ำมันที่ชโลมอยู่ ปลายยอดก็ชูชันเป็นเม็ดถึงแม้จะไม่เป็นสีชมพูแต่ก็น่าขบดูด เหลียวไปมองยังกลางลำตัว ความโหนกนูนของเนินหีนั้นถ้าได้เอาลำควยแทรกผ่านเข้าไปจนหนอกควยบดกับเนินหีมันจะรู้สึกดีแค่ไหน ความคิดของเด็กหนุ่มเริ่มเตลิดไปไกล มืออันสั่นเทาด้วยความคิดที่แสนอุบาทว์ค่อย ๆ นวดไล้กลับมายังหัวไหล่ของผู้เป็นแม่ น้ำมันถูกบีบลงบนเรือนร่างเปลือยอีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้คมกริชบีบมันจนเปียกชุ่มไปทั้งร่าง ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหรือว่าลำตัว เว้นไว้เพียงแต่ส่วนกลางที่ยังถูกปกปิดด้วยชั้นในตัวน้อยอันแสนบาง ขวดเบบี้ออยล์ถูกวางลงตรงหน้างามตาที่เปลือกตายังคงปิดสนิท 2 มือของเด็กหนุ่มเริ่มทำงานไปพร้อม ๆ กัน ความประหม่าหายไปแต่กลับมีความกระสันในจิตใจเข้าแทนที่ มือซ้ายของเค้านวดคลึงผ่านหน้าท้องอันแบนราบลงไปยังสะโพกผาย เพียงขอบชั้นในถูกน้ำมันที่ติดมากับฝ่ามือก็แปลเปลี่ยนจากสีขาวเป็นใสจนแนบเนื้อ คมกริชบรรจงบีบนวด 2 ขาด้วยมือซ้ายโดยยังมีมือขวาวางอยู่บนหน้าท้องของเธอ การที่ถูกนวดอย่างนี้มันทำให้งามตารู้สึกผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าที่ต้องยืนอยู่ทั้งวัน
“อื่ม...” เสียงครางด้วยความสบายเล็ดออกมาจากริมฝีปากของงามตา ซึ่งคมกริชก็ได้ยิน เด็กหนุ่มทึกทักเหมาเอาเองว่านี่คือเสียงแห่งความกระสันของมารดา มือขวาที่วางอยู่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นช้า ๆ โดยยังมีมือซ้ายนวดวนอยู่บริเวณต้นขาซ้ายของเธอ คมกริชไม่ลังเลแล้วที่จะบีบนวดยังเต้านมอวบตรงหน้า ความนุ่มกับความลื่นผสมผสานให้เด็กหนุ่มเคล้นคลึงเต้านมผู้เป็นแม่ด้วยความนิ่มนวล งามตาเริ่มรู้สึกถึงปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของการนวดของลูกชาย มือซ้ายที่เคยบีบคลึงกลับค่อย ๆ กลายเป็นลูบเบา ๆ สลับหยุดนิ่งกลายเป็นมือขวาที่นวดวนอยู่กับเต้านมของเธอ แต่แทนที่งามตาจะลืมตามองเพื่อหยุดการกระทำของลูกชาย เธอกลับมีความรู้สึกแปลก ๆ อุ้งมือซึ่งไม่ใช่ของสามี หากแต่เป็นของลูกชายที่เธอเลี้ยงดูมาแต่เล็ก เค้ากำลังคิดอะไรกับเรารึป่าว งามตาเริ่มสับสนในความคิด สัมผัสที่แผ่วเบาค่อย ๆ เน้นขึ้นกับเต้าอวบของเธอ ปลายยอดถูกเขี่ยด้วยนิ้วโป้งเมื่อฝ่ามือนวดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันก็ทำเอาอารมณ์ของเธอครุกรุ่นขึ้นมา ยิ่งคิดงามตาก็ยิ่งหัวใจเต้นแรงขาทั้ง 2 บีบเข้าหากันโดยอัตโนมัติ น้ำบางอย่างกำลังแทรกตัวผ่านร่องหลืบของเธอจนรู้สึกได้ นี่เรากำลังมีความต้องการกับลูกชายงั้นเหรอ ความคิดของเธอปั่นป่วนไปหมด แต่แล้วมันก็หยุดลงเมื่อมือที่นวดคลึงเต้านมเธอยกขึ้น แต่เพียงเสียววินาทีนั้นเอง ความแฉะก็ประดังมายังส่วนกลางของเธอ คมกริชบีบน้ำมันลงบนชั้นในตัวน้อยของแม่ ผ้าเบาบางเมื่อถูกน้ำมันก็แนบติดกับผิวเผยให้เห็นเส้นไหมและพูเนื้อเปรียบประดุจไม่ได้ใส่อาภรณ์ใดเลย งามตารู้สึกเช่นนั้นจึงจะลืมตาขึ้นแต่ช้าไป มือซ้ายซึ่งวางอยู่บนหน้าขาของเธออยู่แล้วแทรกปลายนิ้วผ่านร่องขาทั้ง 2 ที่บีบเข้าหากับก่อนจะรูดผ่านขึ้นไปยังพูเนื้อ โดยปลายนิ้วชี้ถูเข้ากับร่องหีของเธออย่างจัง ร่างของงามตากระตุกสะท้าน เปลือกตาที่ตั้งใจจะลืมขึ้นเมื่อครู่กลับกลายเป็นบีบเข้าหากันพร้อมขมวดคิ้วด้วยความเสียว ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ส่งให้คมกริชยิ่งย่ามใจซึ่งคราวนี้เค้าไม่ได้คิดผิด ความเงี่ยนเข้าครอบงำแม่ลูกทั้ง 2 จนถึงขั้วหัวใจซะแล้ว แค่ปลายนิ้วชี้ถูกพูเนื้อเบา ๆ ก็ปลุกลำควยของเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้น มันค่อย ๆ แข็งตัวเป็นลำ แต่คมกริชหาสนใจมันไม่ เค้าเริ่มตักตวงความสุขในการสัมผัสเรือนร่างของผู้เป็นแม่โดยหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัว มือขวาของเค้าบรรจงบีบนวดเต้านมของแม่สลับไปมาทั้ง 2 ข้าง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ใช้เพียงปลายนิ้วเขี่ย ครั้งนี้เด็กหนุ่มนวดสลับใช้นิ้วบีบบี้หัวนมเธอเบา ๆ  มือซ้ายซึ่งสาระวนอยู่กับหน้าขาค่อย ๆ แหวกต้นขาเธอออกช้า ๆ ซึ่งมันก็แยกออกตามใจเด็กหนุ่มหวัง เค้าค่อย ๆ บีบนวดทั้งต้นขาและเต้านมไปพร้อม ๆ กัน
“อื่ม...” เสียงครางดังออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนั้นหามาจากความผ่อนคลายไม่ มันกลับเปลี่ยนเป็นความเสียวที่ได้รับจากรสมือของลูกชายที่เธอเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ คมกริชเริ่มลูบปลายนิ้วขึ้นมายังขาหนีบของแม่โดยใช้ปลายนิ้วเกี่ยวลอดผ่านขอบชั้นในเข้าไปสัมผัสเนินเนื้อเล็กน้อย แล้วลูบมันขึ้นไปจนปลายนิ้วผ่านออกมายังสะโพกด้านข้างก่อนจะหมุนลงไปลงยังต้นขาอย่างเก่า ตอนนี้มือที่บีบนวดเต้าอวบเริ่มไม่ทำงานแล้วเพราะคมกริชกำลังใส่ใจกับพูหีอูม ๆ ตรงหน้า เค้าเริ่มโหย่งตัว เปลี่ยนเป็นท่านั่งคุกเข่าเพื่อเอื้อมไปนวดต้นขาทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ ใบหน้าที่ก้มลงมองตรงกับเนินเนื้อพอดีช่างกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของเด็กหนุ่มให้พุ่งพล่าน งามตาที่ความเงี่ยนเข้าครอบงำนั้นเมื่อรู้สึกว่าลูกชายเปลี่ยนท่านั่งจึงเปิดเปลือกตามอง และภาพที่เห็นก็ทำเอาเธอยิ่งจมดิ่งลงในห้วงแห่งราคะ ลูกชายคนเดียวกำลังขะมักเขม้นนวดต้นขาของเธอ แก่นกายกลางลำตัวชี้โด่เป็นลำ มองด้วยสายตาคงไม่น้อยกว่าหกนิ้วครึ่งเป็นแน่ นี่ลูกชายเธอก็คงจะเงี่ยนในเรือนร่างของเธอด้วยเช่นกันสินะ ความคิดอัปรีย์ต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามาส่งให้น้ำเงี่ยนของเธอยิ่งไหลออกมา 2 ขาค่อย ๆ แยกออกช้า ๆ อย่างลืมตัว งามตาหลับตาลงอีกครั้งพร้อมซึมซับความเสียวที่ลูกชายป้อนให้ ซึ่งเธอก็ไม่ผิดหวังเลย เพียงขาเธอแยกออกเล็กน้อยนั้นมันทำให้คมกริชทำอะไรได้ถนัดขึ้นมาก 2 มือของเด็กหนุ่มกดปลายนิ้วทั้ง 4 ลูบลงกับหน้าขาลงไปถึงหัวเข่าแล้วลูบขึ้นมาด้วยอุ้งมือโดยมีนิ้วโป้งอยู่ด้านใน เมื่อถึงยังโคนขาคมกริชใช้นิ้วโป้งข้างซ้ายนำร่องผ่านขอบชั้นในเข้าไปรั้งพูหีซ้ายให้เปิดออก ก่อนจะตามด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวาแซะผ่านขอบชั้นใน แล้วค่อย ๆ กรีดปลายนิ้วกลางรูดตั้งแต่ง่ามก้นผ่านขึ้นมายังร่องเสียวที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำเงี่ยนแล้วลากผ่านช่องหีขึ้นมายังเม็ดละมุน คมกริชลองคลึงมันเบา ๆ พลันร่างของผู้เป็นแม่ก็กระตุกรับ ยิ่งเห็นเช่นนั้นคมกริชก็ยิ่งได้ใจ เค้าเริ่มใช้ปลายนิ้วกลางนั้นหมุนวนไปมากับเม็ดเสียวที่เริ่มเต่งขึ้น
“อื้มมมมม...” เสียงครางกับอาการตอบรับดังกล่าวทำเอาเด็กหนุ่มหน้ามืดพอที่จะกล้าทำอะไรเพิ่มมากขึ้นโดยลืมนึกไปว่านี่คือแม่บังเกิดเกล้าของตน มือซ้ายที่ช่วยประคองรั้งพูหีถูกถอนออก เช่นเดียวกับมือขวา มือทั้ง 2 ค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้นมาจนพ้นขอบชั้นในตัวน้อย แล้วสิ่งที่งามตาไม่คาดฝันว่าลูกชายจะกล้าก็บังเกิดขึ้น คมกริชค่อย ๆ กดปลายนิ้วกลางทั้ง 2 ข้างแทรกผ่านขอบชั้นในแล้วดันมือลงหมายจะให้ชั้นในอาภารณ์ตัวสุดท้ายหลุดออกไป

สวรรค์เบี่ยง 9



                         อีเดือนกับไอ้ดาวได้มีโอกาสดูหนังสดพ่อมันเย็ดน้าแก้ว พร้อมกับแสดงเองด้วยอีกหลายวัน จนสุดท้ายน้าแก้วก็ขออนุญาติพ่อมันเพื่อ
กลับเมืองกรุง ไอ้เที่ยงก็รู้สึกเสียดายๆหีรัดๆของน้องเมียบ้างเป็นธรรมดา แต่อีแก้วก็รับปากว่าจะกลับมาให้พี่เขยเย็ดต่ออีกแน่ๆ เพราะมันก็ติดใจใน
รสควยลำเขื่องของพี่เขยเช่นกัน โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้พี่เขยมันเริ่มชำนาญมากขึ้น หลังจากที่มันได้สอนและสาธิตให้หลายกระบวนท่า
                          ไอ้เที่ยงกลับขึ้นมานอนบนบ้านเช่นเดิม สองพี่น้องก็เลยอดดู พร้อมทั้งอดเย็ดกันตอนนอน แต่ก็พออาศัยความมืด และผ้าห่มที่ห่มร่วม
กัน อดแอบล้วงควักกันเล่นไม่ได้ และไอ้ดาวก็หาวิธีที่จะเอาควยยัดเข้ารูหีอีเดือนจนได้ มันยกขาอีเดือนพาดคล่อมตัวมัน แล้วมันก็ตะแคงสอดควยเข้ารูหี
จนได้ อีเดือนก็เลยพอจะหายเงี่ยนได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สะใจเท่ากับเย็ดกันแบบอิสระ อีกทั้งในใจมันอดคิดถึงลำควยใหญ่ๆของไอ้เปี๊ยกไม่ได้  ทั้งที่ควย
ไอ้ดาวมันเริ่มใหญ่ขึ้นบ้างก็ตาม
"พ่อคิดถึงน้าแก้วหรอ เห็นนั่งใจลอยเชียว" อีเดือนแซวพ่อมัน ตอนเย็นๆที่เคยมีน้าแก้วทำกับแกล้มให้พ่อมันแกล้มเหล่าก่อนกินข้าว
"อื้มม...ก็คิดถึงมั่งแหล่ะ อยู่ด้วยกันตั้งนานหลายวัน" ไอ้เที่ยงอดคิดถึงร่างอวบๆน้องเมียไม่ได้
"พ่อก็หาเมียใหม่สักคนสิ จะได้ไม่ต้องคิดถึงน้าแก้วอ่ะ" อีเดือนออกความคิดให้พ่อมัน
"เฮ๊ย..ใครเค้าจะสนใจข้าวะ แก่แล้วด้วย จนด้วย"
"พ่อยังไม่แก่หรอก ยังทำอาไรๆได้นิ" อีเดือนเกือบบอกไปตรงๆว่ายังเย็ดได้
"ทำอาไรของเอ็งน่ะมันทำอาไรวะ"
"ไม่รู้หรอ ก็เห็นนอนกันข้างล่างด้วยกันทุกคืนอ่ะ" อีเดือนพูดแล้วก็หน้าแดง
"เอ็งรู้หรอว่าข้าทำอาไรกัน" ไอ้เที่ยงถามแล้วมองหน้าลูกสาวที่ถึงแม้จะร่างกายจะพิการ แต่ส่วนอื่นๆมันดูแล้วก็ยังอดกลืนน้ำลายไมได้
"อื่มม...รู้สิ ก็ฉันกับไอ้ดาวแอบดูทุกวันน่ะ" อีเดือนสารภาพตามความจริง
"อ้าวหรอ แล้ว..แล้วเอ็งอยากลงมานอนข้างล่างบ้างมั๊ยล่ะ"
"อื้มม...คงเย็นดีนะพ่อ"
"เออ...เย็นดีกว่านอนข้างบน  คืนนี้ลองมานอนดูมั๊ยล่ะ"
"จ้ะพ่อ คืนนี้ฉันจะลงมานอนด้วยนะ" อีเดือนตัดสินใจจะลองควยใหญ่ๆของพ่อมัน ที่มันเห็นเย็ดน้าแก้วมาหลาวัน  นึกแล้วมันก็รู้สึกเสียวแปล๊บๆ
                        คืนนี้ไอ้เที่ยงนั่งซดเหล้าขาวคนเดียว จนหมดขวด โดยไม่ลืมบอกลูกว่าจะนอนที่แคร่ข้างล่าง แต่ก็อดเหลือบมองลูกสาวอย่างมีเลศนัย
"ไอ้ดาวหลับแล้วหรอวะ" ไอ้เที่ยงตระกรองกอดลูกสาว จมูกดอมดมไปทั่วใบหน้า ที่ดูอัปลักษณ์ของอีเดือน
"ละ...หลับ..หลับแล้วจ้ะ" อีเดือนตอบเสียงกระเส่า มือโอบกอดพ่อมันเช่นกัน
"เอ็งแอบดูข้าเย็ดกัน คงนึกอยากล่ะสิ ใช่ป่าววะ"
"ใช่...ใช่จ้ะ"
"อื้มม...ก็น่าสงสารเอ็งนะ ใครก็ไม่อยากมาจีบ ทั่งที่ส่วนน่าดูเอ็งก็ยังมีนะ ดูสินมก็เป็นเต้าออกสวย" ไอ้เที่ยงไม่พูดปล่าวมือกุมเค้นเล่นไปด้วย
"อุ๊ย...พ่ออ่ะ มัน...มันเสียวอ่ะ"
"ไหน...ข้าขอดูเต็มๆตาหน่อยสิ"  ไอ้เที่ยงถอดเสื้ออีเดือนออก เผยให้เห็นเต้าเต่งหัวนมชูชัน  จนมันอดที่จะก้มลงดูดไม่ได้
"อูยยย....พ่อจ๋า...มัน...มันเสียวอ่ะ" อีเดือนแอ่นอกให้พ่อมันทั้งดูดทั้งเค้น
"ถอด...ถอดออกเหอะ ขอดูหีเอ็งหน่อย" ไอ้เที่ยงจัดการกับซิ่นจนร่างเปลือยของลูกสาวปรากฎกับสายตาในแสงเดือนลางๆ
                       ไอ้เที่ยงไม่ปล่อยให้เสียเวลา มันจูบไซ้จากบนลงมาจนถึงเนินโคกที่มีหมอยปกคลุมบางๆ ลิ้นแลบเลียตามวิธีของมันจนอีเดือนเสียว
สท้านไปทั้งตัว ยิ่งตอนพ่อมันดูดเม็ดแตด แล้วใช้นิ้วแยงคว้านไปทั่งรูหีที่บัดนี้เปียกแฉะด้วยน้ำเงี่ยน
"อูววว....ซู๊ดดดด....." อีเดือนครางลั่น มือมันเปะปะจนกระทบลำควยเขื่องที่มันเคยจ้องมองอย่างกระหายมาหลายวัน มันใหญ่จนกำแทบไม่รอบ
อีเดือนถึงกับแอบกลืนน้ำลายลงคอ ในใจนึกหวาดๆเหมือนกัน เพราะขนาดของไอ้เปี๊ยกมันยังคับแน่นรูหีมัน นี่ขนาดใหญ่กว่ามากๆไม่รู้จะเป็นยังไง
                        อีเดือนดึงรั้งให้พ่อมันขยับก้นขึ้นมาคล่อมหน้ามัน มันอ้าปากอมหัวถอกขนาดเกือบเท่าไข่ไก่เข้าเต็มปาก
"อื้มมมม....." มืออีเดือนล้วงกำคลึงพวงกระโปกพ่อมันคลึงไปมา
"อูยยย....ดี....ดี....เสียวหัวควยอ่ะ อูยยยย......"
                        หลังจากโดนดูดเลีย ทั้งนิ้วล้วงจนอีเดือนเกร็งกระตุก ทะลักน้ำเงี่ยนออกมาให้ไอ้เที่ยงดูดเลียจนเกลี้ยง  ไอ้เที่ยงก็ขยับร่างกำยำขึ้นมา
คล่อมร่างอัปลักษณ์ของลูกสาว สองเข่ามันดันแยกขาลูกสาวถ่างอ้า ลำควยแข็งห้อยโทงเทงด้วยความใหญายาว  ไอ้เที่ยงประคองลำควยจ่อรูหี
"ข้า...ข้าเอาควยเข้า...เข้ารูหีเอ็งนะ" มันกระซิบเสียงแหบพล่า ค่อยกดส่งหัวควยป้อใหญ่พลุบเข้ารูหีที่บีบรัดตึงแน่น
"โอ๊ยยยย....ค่อยๆนะพ่อ ควยพ่อมันใหญ๋จังเลย  อูยยยย...." อีเดือนกระเถิบร่างหนีท่อนควยที่พยายามยัดเข้ารูหี
"ใหญ่ๆสิดี เดี๋ยวเอ็งจะชอบน่ะนะ  ทนนิดนึงนะ" มันบอกพร้อมกับออกแรงกดดันลำควยลึกเข้าในรูหีลูกสาว
"อูวววว.....เบา...เบานะพ่อ  อูวววว....แน่นไปหมดเลย  อูวววววว....ซี๊ดดดด....."  อีเดือนโอบรอบลำตัวพ่อมัน ไอ้เที่ยงกดอีกสองสามครั้งลำควยก็มุดเข้า
ในรูหีจนมิดโคน หมอยหยาบกดบดกับเม็ดแตดจนอีเดือนสยิวไปทั้งตัว
"โอววว....เสียว....เสียวจังเลย....ซู๊ดดดดด....กด...กดแรงๆเลยพ่อ...อูยยยย...." อีเดือนยกก้นให้พ่อมันกดเน้นจนเจ็บปากมดลูก
"ข้า...ข้าจะกระเด้านะ"
"จ้ะ..จ้ะ..อย่าเพิ่งแรงนะ  อูยยย....ใหญ่...ยาว..จัง...อูววว....หีแหกมั๊ยเนี่ย...โอวววว....."
                            ไอ้เที่ยงเพิ่งได้เย็ดหีเด็กอีกครั้ง ตั้งแต่มันเย็ดแม่อีเดือนจนท้อง มันก็ไม่ได้เย็ดหีเด็กอีกเลย  จนถึงวันนี้
"โอววว...หีเอ็งมันรัดควยดีจัง...อูววว....แน่น...แน่นดีจัง" มันเริ่มโหมกระเด้าแรงขึ้น...แรงขึ้น
"อูยย...ดีจัง...ซี๊ดดดด....แรงๆเลยพ่อ  ....ซู๊ดดดด..." อีเดือนกอดพ่อมันแน่น ร่างบิดไปมา ก้นยกขึ้นรับอย่างถูกจังหวะ
                              ตั๊บ....ตั๊บ......ตั๊บ......
"โอวว...ฉันเสียว...เสียวจ้ะพ่อ...โอยยย....เสร็จ....เสร็จแล้ว....โอยยย"  อีเดือนแอ่นยกก้นลอย ไอ้เที่ยงกดเน้นแน่นก่อนที่จะกระฉูดน้ำควยออกมา
"โอยย....ข้าก็เสร็จ...เสร็จ...อูยยย...."  ไอ้เที่ยงกอดกดลำควยนิ่ง ลำควยพองเป็นจังหวะรับการขมิบรัดของรูหีลูกสาว
                              ไอ้เที่ยงฉลองหีลูกสาวอีกสองยกเต็มๆจนเกือบแจ้ง
"แหม...เมื่อคืนเย็ดกับพ่อมันส์ไปเลยนะพี่" ไอ้ดาวแอบมากระซิบกระเซ้าพี่สาวมันตอนเช้าตรู่
"อื้มม...มันส์กว่าเย็ดกับเอ็งอ่ะ อิอิ" อีเดือนตอบยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินเลยไปหุงข้าว
"สักวันควยกูคงใหญ่ขึ้นบ้างหรอกน่า" ไอ้ดาวบ่นเบาๆ


สอนรัก9

 

  หัวถอกจมเข้าในรูหีน้องกานแล้ว นายปิงรู้สึกถึงปากรูหีรัดขอบหัวถอกแน่น
"โอ๊ยย...อูยยย...อูยยย...." น้องกานดิ้นรนกกระเสือกกระสนที่จะถอยหนี มือขยุ้มทึ้งผ้าปูที่นอน
ใบหน้าส่ายไปมา น้ำตาซึมเต็มเบ้า ริมฝีปากเม้มจนแน่น นายปิงเพ่งมองหน้าเด็กสาวด้วยความห่วงใย
ก่อนตัดสินใจถอนหัวถอกออกจากรูหีน้องกาน
"เจ็บมากหรอ งั้นพอก่อนก็ได้นะ" ใบหน้าแนบใบหน้าเด็กสาวอย่างปลอบโยน ในใจนึกสงสารเด็กสาว
ที่ยังไม่พร้อมที่จะโดนเย็ด ขนาดโคกหีที่ยังเล็กเกินกว่าที่จะรับลำควยขนาดใหญ่ของเขา แต่จะเลิก
ไปเลยก็คงไม่ดี เพราะจะทำให้เด็กสาวจดจำแต่ความเจ็บปวด วันข้างหน้าก็คงอดเย็ดแน่นอน
     นายปิงเลื่อนตัวจูบไล้ลงมา จากใบหน้าที่ยังตื่นๆ จูบพรมไปทั่งแก้มคาง ไล้ตามซอกคอลงมา
ดูดเน้นที่หัวนม พร้อมทั้งฝ่ามือกางกุมเต่าอวบบีบเค้นแผ่วเบา
"อูววว...ซู๊ดดด...."น้องกานเสียวจนต้องแอ่นอกขึ่นรับการดูดเม้มของริมฝีปากของชายหนุ่ม
     บนเนินเกลี้ยงเกลา ยังปราศจากเส้นหมอย ทั้งที่น้องกานอายุจะสิบสี่แล้ว ร่องหียังเปียกเยิ้ม
ด้วยน้ำเงี่ยน นายปิงงกนิ้วกลาวหงายมือ ค่อยๆสอดเข้ารูหีที่หัวถอกเคยมุกเข้าไปแล้ว ภายใน
ยังชุ่มด้วยน้ำเงี่ยน ชายหนุ่มสอดเข้าเพียงช่วงปากรู กระดกนิ้วควานภายในรูหี เขาจะเก็บเยื่อ
พรหมจารีย์ของน้องกานเอาไว้ให้หัวถอกเป็นตัวทะลวงภายหลัง ใบหน้าก้มดูดเลียสองแคม
ปลายลิ้นลากตามร่องหี ดูดเลียน้ำเงี่ยนจนเกลี้ยง ยอดแหลมเล็กเม็ดแตดโดนปลายลิ้นสัมผัส
กระดกรัวเลียอย่างแรง
"อูววว....อูวววว...ซู๊ดดด..." น้องกานหายจากเจ็บมารับรู้ความเสียวกระสันต์อีกรูปแบบนึง
ครั้งนี้มันเสียวอย่างเดียว เสียวสบายไม่มีเจ็บ ก้นยกส่ายไปมาด้วยความเสียว นิ้วกลางยัง
วนเวียนในรูหี ลิ้นที่แลบเลยไปมาตามร่อง บางครั้งวนเวียนที่เม็ดแตดที่หลบซ่อนในในร่องแคม
"โอวว...พี่..พี่ปิง..หนูเสียว..เสียวทนไม่ไหวแล้ว" ก้นยกแอ่นยิ่งขึ้น สองมือเด็กสาวกดหัวแน่น
     นายปิงยังคงดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งใจให้เด็กสาวบรรลุซึ่งความเสียวด้วยนิ้วและ
ลิ้นของตัวเอง เป็นการประกันความอยากเอาไว้วันหน้า ซึ่งเด็กสาวจะต้องจดจำความเสียวนี้
ไปอีกนานเท่านาน
     นายปิงขยับตัวมานั่งคล่อมทีหน้าอกเด็กสาว ควยยาวใหญ่พาดร่องอกอวบ ชายหนุ่มใช้
สองมือประคองเต้าเต่งมาโอบลำควย ถึงมันจะโอบไม่มืดแต่เต้าเต่งก็ได้สัมผัสลำควยที่ร้อนผ่าว
ปลายหัวถอกยื่นออกจนเกือบถึงใบหน้าเด็กสาว ชายหนุ่มกระเด้ายาวๆ สองมือประกบดันสองเต้า
รัดลำควย สองหัวแม่มือกดเน้นหัวนมทั้งสองข้าง
"อื้ออ..พี่ปิงเล่นอาไรก็ไม่รุ้" เด็กสาวเพ่งมองหัวถอกที่ผลุบโผล่เข้าออกระหว่าเต้านม ตาม
จังหวะกระเด้าของชายหนุ่ม มองหัวถอกแดงกำ่ด้วยความสนใจ มิน่าหล่ะเมื่อกี๊ถึงได้แน่นจนเจ็บ
ก็มันใหญ่เหลือเกิน เธอนึกขอบคุณพี่ปิงที่หยุดทำต่อ และนึกขอบคุณที่ส่งเธอขึ้นสวรรค์ มันเป็น
ความเสียวสูดๆครั้งแรกในชีวิต
"น้ำพี่จะออกแล้วนะ จะ..จะเสร็จแล้ว" นายปิงบีบรัดเต้านมอย่างแรง แรงบีบส่งไปรัดลำควย
ที่กระเด้าอย่างเร็ว น้ำควยพวยพุ่ง ปี๊ด ปี๊ด เต็มเประเปื้อนไปถึงใบหน้าน้องกาน
"น้ำ..น้ำอาไร" น้องกานระล่ำระลักถามชายหนุ่ม มือปาดตามใบหน้าเพื่อทำความสอาด
"นี่แหล่ะน้ำควย ที่ทำให้ผู้หญิงท้องไง" ชายหนุ่มอธิบาย พร้อมกับยื่่นปลายควยเขี่ยน้ำกาม
ที่เปรอะตามคาง จนถึงริมฝีปากเด็กสาว กดหัวถอกที่ริมฝีปากเด็กสาว จนน้องกานต้องเผยอ
ริมฝีปากให้หัวถอกป้อมใหญ่ยัดเข้าในปาก มันใหญ่จนเต็มปากเด็กสาว
"อื้ออ..อื้อออ.."เด็กสาวตกใจที่พี่ปิงยัดหัวถอกเข้าปากโดยไม่บอกกล่าว มือเอื้อมมาจับสัมผัส
ลำควยอย่างไม่ตั้งใจ
"โอ้โห...มัน...มันใหญ่จัง" เธอพึมพำออกมาเบาๆ มองมันอย่างเต็มตา ชายหนุ่มก็นั่งโชว์ปล่อยให้
เด็กสาวกำลำควยที่กำไม่รอบ เพ่งมองอย่างพิจารณา
     ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงแขนเด็กสาวเข้าไปชำระล้างเนื้อตัวในห้องน้ำก่อนที่จะเช็ดตัวให้เด็กสาว
อย่างทนุถนอม บนเตียงร่างเปลือยปล่าวสองหนุ่มสาวกอดกันกลม นายปิงยังป้อนลิ้นป้อนรัก นัวเนีย
กับริมฝีปากอวบอิ่ม สองเต้าเต่งตึงไม่ยอมห่าง
"ไม่ต้องใส่หรอก แก้ผ้ากอดกันนอนดีแล้วนะ จะได้หลับสบาย" นายปิงกระซิบบอกเด็กสาว
......................................................