วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่ 7




ผมเคยมีประสพการณ์จากการเป็นกระเป๋ารถเมล์มาในปีที่แล้ว คราวนี้ทางผู้จัดการการเดินรถ เลยจับให้ผมเป็นกระเป๋ารถเมล์เพียงคนเดียว ไม่ต้องยุ่งยากมีพี่เลี้ยงเหมือนปีที่ผ่านมา ผมก็ชอบเลยสิครับ เพราะเปอร์เซ็นต์การขายตั๋วและเบี้ยเลี้ยงประจำวันเราจะได้เต็มๆ ไม่ต้องแบ่งให้ใคร แต่ก็แลกมาซึ่งความเหน็ดเหนือยเป็นสองเท่า
อู่รถเมล์ที่ผมมาสมัครงานนั้น ได้รับสัมปทานการเดินรถอยู่สามเส้นทาง คือรถเมล์สาย42เส้นทางวิ่งระหว่างท่าน้ำศิริราช จนถึงเสาร์ชิงช้า เส้นทางที่สองคือสาย57วงกลมธนบุรี ท่าพักรถอยู่แถวๆสามแยกท่าพระ วิ่งเป็นวงกลมไปจนถึงท่าน้ำดินแดงแล้ววิ่งผ่านวงเวียนใหญ่กลับมาที่เดิม ส่วนสายสุดท้ายคือสาย81 วิ่งจากบางแคไปจนถึงท่าน้ำศิริราชเช่นกัน
พนักงานเก็บค่าโดยสารชั่วคราวแบบผมไม่สามารถที่จะเลือกเส้นทางได้แบบพนักงานประจำ ผมจึงจำต้องสลับกันขึ้นเก็บค่าโดยสารกันไปมา ซึ่งรถเมล์สาย57นั้นผมไม่ชอบเลย เพราะว่ารถมันค่อนข้างเก่า และเตี้ยมากในขณะที่ผมจบมศ.4นั้นผมสูงเกือบ180เซ็นต์เข้าไปแล้ว เวลาเดินตามผู้โดยสารไปเก็บเงิน ผมจึงต้องค้อมหัวลงหน่อยๆ ไม่เช่นนั้นหัวคงชนหลังคาหรือไม่ก็ราวจับ แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่
รถเมล์สาย81มากกว่าที่ผมไม่อยากขึ้นไปประจำทำงานเลย เพราะรถเมล์สายนี้มีนักเรียนช่างกลขึ้นที่ท่ารถบางแคเยอะมาก แล้วก็อย่างที่ทราบๆกัน พวกนี้มักจะพยายามเบี้ยวค่าโดยสาร พูดง่ายๆก็พยายามกวนตีนหาเรื่องพนักงานเก็บเงิน โดยเฉพาะพนักงานชั่วคราวที่แต่งเครื่องแบบนักเรียนมอปลายเช่นผม อีกประการหนึ่งก็คือรถเมล์สายนี้จะวิ่งผ่านหน้าปากซอยโรงเรียนผมนั่นเอง
ผมน่ะไม่แคร์สายตานักเรียนโรงเรียนเดียวกันหรอกครับที่จะเผอิญมาเห็นผมมาทำงานเช่นนี้ เพราะผมถือว่ามันเป็นงานสุจริต แต่ที่ไม่ชอบเลยเพราะว่า พอพวกมันเห็นผมมันก็จะทำตาเศร้าๆ หน้าตาน่าสงสาร แล้วไม่ยอมจ่ายเงิน ซึ่งความจริงแล้วมันก็หาใช่เงินมากมายจนทำให้รายได้ผมลดลง แต่ทว่าถ้าเผอิญมีนายตรวจขึ้นมาตรวจแล้วพบว่ามีคนไม่ยอมเสียค่าโดยสารนี่สิครับ ที่จะทำให้ผมโดนตำหนิได้
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผม เริ่มทำงานก็หาได้มีเหตุการณ์ดังที่ผมกังวลเลยแม้สักครั้ง ทำให้ผมเบาใจลืมเลือนเรื่องที่หวั่นเกรงไปเสียหมด รุ้สึกสนุกสนานกับการกระโดดขึ้นรถลงรถระหว่างประตูหน้าไปประตูหลังเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะบังเอิญเจอะเจอเพื่อนนักเรียนคนรู้จักขึ้นมา ผมก็พยายามที่จะไม่สบตาด้วย ปากร้องเพียงประโยคเดิมๆซ้ำๆว่า ขอค่าโดยสารด้วยครับ ๆ ๆ กับช่วยเดินชิดในด้วยครับแบ่งๆกันไป
"กูไม่จ่ายมีไรป่ะ..."
[post]แล้วผมก็คิดว่าวันนี้เจอดีเสียแล้ว เพราะเสียงห้าวๆเหมือนเด็กกำลังแตกเนื้อหนุ่มร้องดังขึ้น เมื่อผมขยับนิ้วมือจนกระบอกเก็บค่าโดยสารดังแก๊บๆ เข้าไปเบื้องหลังหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งขึ้นมาบนรถ ผมมักจะพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ประจำจนไม่รู้สึกตื่นกลัวหรืออารมณ์เสียที่ได้ยินเช่นนั้น นอกจากไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ผมก็ยังคงพูดประโยคเดิมๆซ้ำๆอีกครั้ง
"ขอค่าโดยสารด้วยครับๆ.."
แต่ทว่าไอ้หนุ่มใส่กางเกงยีนส์ขายาวที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่นั้น ก็ยังคงพูดประโยคเดิมๆของมันกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ผมเริ่มรุ้สึกว่าเสียงแหบๆห้าวๆของมันจะคุ้นหู จึงแทรกตัวเข้าไปยืนเบื้องหน้ามัน แล้วมองหน้ามันทันที
"อ้าวไอ้เอก..ไอ้เชิด ไอ้โต..."
ผมร้องทักไปได้เพียงแค่นั้นก็อ้าปากหวอ เพราะทั้งกลุ่มที่แต่งชุดไปรเวทขึ้นมาบนรถเมล์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผมรู้จัก ไอ้สามตัวนั้นก็เพื่อนสนิทในห้อง แต่บรรดาสาวๆที่มันพากันมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์เก่าที่ผมไม่อยากเจอไอ้โตกับแฟนมันอีปุ๊ แน่ละเมื่อมีไอ้เชิดก็คงต้องมีอีแจงเด็กแสบที่ทำให้ผมเสียคนรักไป แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าไอ้เอกเพื่อนสนิทของผมมันก็รวมอยู่ในก๊วนนี้ด้วย เด็กของมันยืนแอบอยู่ด้านหลังทำให้ผมมองหน้าหล่อนไม่ถนัด เห็นเพียงเส้นผมยาวๆที่ถูกถักเปียผูกโบร์ไว้ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะมองหน้าหล่อนต่อ
"เอ้าค่าโดยสาร..เท่าไหร่วะไอ้ชาย.." ไอ้เอกพูดพร้อมกับยื่นแบ็งค์สิบสีน้ำตาลอ่อนๆส่งมาให้ผมทันที
"เห้ย..ไม่ต้องก็ได้..." ผมปฏิเสธทันที เพราะพวกมันทั้งหลายก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันกับผม
"เอาไปเถอะ..พวกกูมากันตั้ง12คน..." ไอ้เอกมันยัดเงินใส่มือผมจนได้ สมองผมก็คำนวณอย่างรวดเร็ว คนละ75สตางค์12คนก็9บาทพอดี จึงดึงม้วนตั๋วออกมาจากกระบอกเท่ากับจำนวนคนแล้วฉีกส่งไปให้มัน แต่กลับมีมือเล็กๆที่ยืนแอบอยู่ด้านหลังไอ้เอกยื่นมารับแทน พร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆกล่าวขอบคุณเบาๆ
"ขอกันนะคะพี่เอก..จะเก็บเอาไว้สะสม..." เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆนั้นทำให้ผมชะงัก แล้วความรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีเมื่อแลสบตาโตๆกับเจ้าของเสียงผู้นั้น หูและตาผมไม่ฝาดเป็นแน่ เมื่อแลเห็นหน้าของเจ้าหล่อนใกล้ๆได้ชัดเจนว่าเจ้าของมือและเสียงผู้นั้นคือยัยเด็กชื่อกันนั่นเอง

"พวกมึงจะไปไหนกันวะ..."
ผมถามเสียงอุ๊บอิ๊บเบาๆเมินหน้ามองมาทางไอ้เอกกับกลุ่มยัยแจง พร้อมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสมือนกำลังอับอาย ที่เพื่อนๆมาพบเจอผมในสภาพนี้ ทั้งๆที่ปรกติผมไม่เคยอายถ้าสิ่งที่ทำอยู่นั้นสุจริตไม่ผิดกฏหมาย
"จะไปพิธภัณฑ์กันว่ะ..."
ไอ้เอกมันก็ตอบสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มที่ผมอ่านออกว่ามันกำลังภาคภูมิใจที่พายัยเด็กกันมาเที่ยวได้ แม้ในหัวของผมจะมีอีกมากมายหลายสิบคำถามที่อยากรู้ว่ามันกับน้องกันคบกันคุยกันแล้วหรือ แล้วมันทำอย่างไรจึงพายัยคุณหนูลูกไฮโซนั่งรถเบนซ์มาขึ้นรถเมล์ได้ แต่ทว่าผู้โดยสารที่เริ่มทะยอยขึ้นมาบนรถเมล์นั้นทวีจำนวนมากขึ้นๆ จนผมต้องเดินเบียดแทรกไปหาเพื่อเก็บเงินค่าโดยสาร ไม่มีช่วงเวลาเหมาะที่จะคุยจะถามอะไรไอ้เอกได้อีกเลย
แต่ความรู้สึกก็บอกกับผมว่า ตลอดเวลาที่ผมกำลังทำหน้าที่เก็บเงินค่าโดยสารอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจ้องมองด้วยความสนใจอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถแปลออกได้ว่าที่มองนั้นเพราะความแปลกใจ สนใจ หรือสมเพชกันแน่ ที่ปิดเทอมใหญ่ทั้งที เพื่อนๆต่างมีเวลาว่างมากพอที่จะพากันไปเที่ยวหาความสุข ในขณะเดียวกันผมกลับต้องมาทำงานหาเงินเหงือไหลอาบร่าง
เมื่อระยะทางผ่านไปเรื่อยๆคนก็แน่นจนเต็มรถ ผมก็คร้านที่จะเดินเบียดเสียดผู้คนไปเก็บค่าโดยสาร เพราะนั่นมันหมายถึงว่าผมจะต้องเดินผ่านกลุ่มเพื่อนๆคนรุ้จัก ผมเลยใช้วิธีกระโดดขึ้นรถจากบันไดด้านหน้าไปบันได้รถด้านหลังทุกป้ายรถเมล์ที่มองเห็นคนขึ้น จนกระทั่งรถไปสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่ท่าน้ำศิริราช ผมจึงเร่งเดินไปหานายท่าเพื่อให้เขาจดหมายเลขหน้าตั๋ว แล้วก็ประหลาดใจที่การวิ่งรถเที่ยวนี้ยอดจำหน่ายตั๋วไปเกือบ500ฉบับ ครั้นมานึกถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่ค่ารถโดยสารสูงถึงห้าหกบาท ก็ให้แปลกใจว่าทำไม ขสมก.ถึงได้ขาดทุน หรือเป็นเพราะประเทศไทยเศรษฐกิจดีขึ้นจนผู้คนเลิกสนใจนั่งรถเมล์ร้อนๆกันไปแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการตรวจเช็คยอดจำหน่ายตั๋วรถไปแล้ว ผมก็เดินกลับมาหากลุ่มเพื่อนๆ พบว่ายังคงมีไอ้เอกกับยัยเด็กกันตาโตเท่านั้นที่ยืนรออยู่ ส่วนคนอื่นๆกำลังทะยอยเดินลงไปรอเรือโดยสารข้ามฟาก ผมถอนหายใจดังเฮือกออกมาเพราะความเหน็ดเหนือย แต่กลับสบายใจขึ้นที่จะไม่ต้องเจอกับสายตาของกลุ่มยัยเด็กแจงมัน
"มึงไม่เหนื่อยมั่งหรือวะไอ้ชาย..กูเห็นมึงกระโดดไปกระโดดมายังงี้.."
ไอ้เอกยิงคำถามใส่ผมทันทีที่ผมเดินเข้ามาหา ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ใจอยากบอกมันเสียเหลือเกินว่ากูคนนะโว๊ย เหนื่อยเป็น แต่ที่จำต้องทำ เพราะบ้านกูจนไม่ร่ำรวยแบบมึง ที่มีเวลาว่างพาสาวไปเที่ยว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น