วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ตอนที่5


ภายหลังจากที่เกิดเรื่องกับยัยแจงเด็กแสบ จนเป็นผลให้อัจฉรารักแรกของผมผิดใจกัน จนเธอเลิกคบ เลิกคุยกับผมไปจนกระทั่งเธอย้ายโรงเรียนหนี ผมก็ไม่ได้ใส่ใจใครอีก คงเป็นความรู้สึกที่เข็ดหลาบขยาดผู้หญิงอยู่ลึกๆในใจ ผมจึงมุมานะในการเรียนกลับกลายเป็นหนอนหนังสือตัวจริงเสียงจริงอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะพยายามสอบเข้าไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยให้ได้
ผมไม่ได้ตั้งความหวังเหมือนเด็กรุ่นเดียวกันทั่วๆไปในสมัยนั้นหรอกครับ ว่าขอให้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยใดก็ได้สักแห่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจแล้ว แต่สำหรับผมกลับมุ่งหวังที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเกษตร โดยเฉพาะคณะประมง ซึ่งผมก็ตอบตนเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมในครั้งกระโน้นจึงได้มีความคิดเช่นนี้ แต่อนิจาแม้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วผมกลับไม่มีโอกาศได้เฉียดไปใกล้ความหวังของผมเลยแม้สักนิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นแล้วผมจะค่อยๆลำดับเรื่องราวให้ฟัง
เมื่อใจตนเองมุ่งหวังไว้เช่นนี้แต่แรก อย่างที่บอกแต่แรกไปแล้ว ตัวผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน มีคุณแม่เพียงคนเดียว ซึ่งท่านก็มีอายุย่างเข้าวัยกลางคนไปแล้ว ผมเห็นท่านทำงานอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าตลอดทั้งวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเลี้ยงดูให้การศึกษากับตัวผม ผมก็ไม่ได้นั่งดูดาย พยามยามช่วยเหลือท่านทุกอย่าง เมื่อตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือให้ยัยแจงเด็กแสบแล้ว ผมก็จำเป็นต้องหางานพิเศษทำเท่าที่อายุ และความสามารถอันน้อยนิดจะพึงทำได้ เพื่อแบ่งเบาภาระของทางบ้าน
ผมเริ่มจากการไปสมัครงานเป็นเด็กเสริฟตามสถานบริการคาเฟ่ แต่ไปมาหลายที่แม้จะได้งานแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากช่วงเวลาที่ทำงานมันไม่เหมาะสมกับการเรียนของผม สุดท้ายผมเลยได้เป็นแค่พนักงานล้างจานตามร้านอาหารเล็กๆจำพวกร้านข้าวมันไก่ ร้านข้าวหมูแดง เพียงเท่านั้น ซึ่งไปทำงานทุกเย็นหลังเลิกเรียนจนถึง4ทุ่ม รวมทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ตลอดทั้งวัน
แม้จะได้เงินเดือนมาน้อยนิดเพียงแค่ไม่ถึง500ร้อยบาทต่อเดือน แต่เงินจำนวนนี้กลับมีค่ามหาศาลในความรู้สึกของผมในครั้งกระนั้น เพราะมันเป็นค่าอาหารกลางวันได้ตลอดทั้งเดือน รวมทั้งค่าอุปกรณ์การศึกษาต่างๆของผมด้วย เมื่อเลิกงานล้างถ้วยจานจากร้านข้าวมันไก่ในทุกคืน ผมก็จะหิ้วข้าวมันไก่ที่เจ้าของร้านขายไม่หมดกลับมาทานกับแม่ที่บ้านในทุกคืน เป็นเช่นนี้ประจำ จนกระทั่งผมเรียนจบม.ศ.4 ช่วงปิดเทอมใหญ่ถึง3เดือน ผมคิดว่าการทำงานล้างถ้วยจานอยู่ที่ร้านข้าวมันไก่แบบนี้ ผมคงไม่สามารถหาเงินเก็บได้มากพอสำหรับปีการศึกษาใหม่ ผมจึงลองไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย42 ซึ่งมีอู่อยู่ไม่ไกลจากที่บ้านผมนัก โชคดีของผมที่เจ้าของอู่ใจดียอมให้งานนี้กับผม แม้จะไม่มีเงินเดือนเฉกเช่นพนักงานประจำของเขา ผมได้เพียงเบี้ยเลี้ยงในวันที่ไปทำงาน กับเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3จากงานขายตั๋ว
แต่เมื่อมาคำนวณดูแล้วในแต่ละวันผมสามารถทำงานได้เงินเกือบร้อยบาท ผมจึงไม่รอช้าที่จะทำงานนี้ แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับอันตรายจากรถลาบ้างก็ตาม ที่กระเป๋าเก็บเงินค่าโดยสารจำต้องกระโดดขึ้นรถจากประตูด้านหน้าบ้างเพื่อไปประตูด้านหลังเพื่อเก็บเงินค่าโดยสารได้ทั่วถึง มิหนำซ้ำบางคราวก็โดนเด็กนักเรียนช่างกลที่เกเรพยายามเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน แม้ว่าค่าโดยสารรถเมล์ในสมัยนั้นจะเก็บเพียง75สตางค์ก็ตาม
"เห้ย!..ไอ้ชาย..มึงขี่ช้างเป็นมั๊ยวะ..." จู่ๆพนักงานรุ่นพี่ซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารประจำในรถคันเดียวกันกับผม ก็ถามขึ้นมาหลังจากรถจอดรอคิวกันอยู่ที่อู่จอดพักรถ
"พี่เบิ้ม..ผมคนกรุงเทพนะครับ...เกิดมายังไม่เคยขี่ช้างสักตัว..."
ผมตอบกลับไปด้วยความงุนงง พูดซื่อๆ เพราะเข้าใจว่าขี่ช้างนี้คือช้างตัวเป็นๆตัวใหญ่ๆมีงวงมีงา แต่พอตอบกลับไปแล้วก็โดนรุ่นพี่ตบกระโหลกหยอกๆดังเพลี๊ยะ แล้วหัวเราะงอหาย
"ไอ้ควายเอ๊ย..ขี่ช้างนี่ไม่ได้หมายถึงช้างโว๊ย..มันหมายถึง..."
จากนั้นพี่เบิ้ลมันก็ก้มหน้าลงมากระซิบที่หูของผม จึงทำให้ผมเข้าใจความหมายได้ว่า ขี่ช้างนั้นมันคือการทุจริตต่อหน้าที่ โดยเก็บเงินค่าโดยสารมาจากคนขึ้นรถ แต่เราไม่ได้ฉีกตั๋วให้เขา เงินจำนวนนั้นมันก็จะเข้ากระเป๋าเราทันที แม้ว่าจะน้อยนิดเพียงแค่75สตางค์ก็ตาม แต่ถ้าวันๆหนึ่งทำเช่นนี้สักร้อยครั้ง มันก็กลายเป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียว ดีกว่ากินเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3 หลายเท่า
"ไม่ละพี่..แบบนี้มันทุจริตนี่ครับ..เดี๋ยวนายตรวจจับได้...จะถูกไล่ออก.." ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันทีที่เข้าใจความหมาย ที่ถูกไอ้พี่เบิ้มชักชวนให้ร่วมกันกระทำ
"เออตามใจมึง กูบอกหนทางดีๆให้ เสือกโง่ไม่ทำก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาขวางทางกูแล้วกัน"
ไอ้พี่เบิ้มมันพูดขึงขัง น้ำเสียงข่มขู่ผมกลายๆ ผมจึงได้แต่เงียบ แม้จะรุ้สึกว่ากำลังโดนไอ้พี่เบิ้มมันเอาเปรียบก็ตาม เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่มันขี่ช้างนั้น มันหมายถึงยอดเงินการขายตั๋วของรถคันที่เรารับผิดชอบร่วมกันจะน้อยลงไปด้วยก็ตาม
แต่แล้วการกระทุจริตต่อหน้าที่ก็ได้รับผลกรรมตอบแทนเข้าให้ในวันหนึ่งที่โดนนายตวรจจับได้ โดยมีผู้โดยสารเป็นพยานยืนยันว่าได้เสียค่ารถแล้ว แต่พนักงานเก็บค่าโดยสารนั้นไม่ยอมฉีกตั๋ว แม้ว่าในรถจะมีพนักงานเก็บค่าโดยสารสองคนคือผมกับไอ้พี่เบิ้มก็ตาม แต่ผู้โดยสารยืนนันหนักแน่นว่าจำได้ว่าเป็นไอ้พี่เบิ้ม เพราะมันแต่งขุดพนักงาน ส่วนผมนั้นแต่งชุดนักเรียน เป็นอันว่าไอ้พี่เบิ้มถูกพักงานไป จึงเหลือผมเพียงลำพังในการเก็บค่าโดยสาร ซึ่งย่อมเป็นผลดีกับตัวผม เพราะไม่ต้องโดนแบ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับ แม้ว่ามันจะแลกกับความเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม
สุดท้ายผมก็ทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารจนกระทั่งเปิดเทอม มีเงินเก็บหลายพันบาทสามารถซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ รองเท้าใหม่ๆ ให้กับตนเองได้โดยไม่ต้องรบกวนเงินจากคุณแม่เลยแม้สักบาทเดียว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น