วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่13


เหลือเวลาอีกเพียงสามเดือน ก็ถึงวันเลี้ยงปีใหม่ประจำปีของบริษัท ซึ่งจะมีงานเลียงขอบคุณพนักงานและประกาศผลการแข่งขันการทำยอดขาย ความฝันของผมใกล้จะเป็นความจริงแล้ว เหลือยอดขายอีกเพียง6เครื่อง ผมก็จะได้รางวัลอันดับที่3 เป็นสร้อยคอทองคำหนักสองบาท ในชีวิตของผมนั้น อย่าว่าแต่ทองสองบาทเลย แค่หนวดกุ้งบางๆผมก็ไม่เคยนึกฝันว่าตนเองจะได้เป็นเจ้าของ
"เอ็งว่าจะมีใครทำยอดขายได้รางวัลที่หนึ่งมั๊ยวะ..." วันหนึ่งผมได้นั่งคุยกับไอ้เฉลิม เซลล์รุ่นเดียวกับผม แต่มีหัวหน้าทีมกันคนละกลุ่ม
"พวกเราๆน่ะยากว่ะ..ตั้ง100เครื่องใครจะทำได้..แต่พวกซุปน่ะไม่แน่...พวกนี้จับโครงการใหญ่ๆได้สักสองสามแห่ง ยอดขายก็ทะลุเป้าแล้ว..." ไอ้เฉลิม คุ่แข่งคนหนึ่งของผมสาธยายให้ฟัง
"ทำไมวะ..พวกเราก็ขายงานโครงการบ้างสิวะ..."
"ไอ้ห่าเอ๊ย..มึงนี่ไม่รุ้อะไรเลย..ขายงานโครงการมันต้องสู้ราคากับเจ้าอื่น..ลำพังส่วนลด35% นั้นน่ะ..คิดว่าจะมีคนซื้อหรือวะ.."
"อ่าว..แล้วทำไมมึงถึงบอกว่าพวกซุปจะขายได้ล่ะ.." ผมถามซื่อ ๆ แบบไม่รู้เรื่องราว
"มึงนี่มันหล่อแต่ฟายจริงๆ ฮ่ะๆๆๆ..." ไอ้เฉลิมเพื่อนผมมันหลอกด่าผมเข้าให้ พร้อมหัวเราะฮ่ะๆอย่างชอบใจ
"พวกซุปน่ะเขามีส่วนลดมากกว่าเรา..รู้ไว้ด้วย..พวกเราน่ะลดได้แค่35% คอมมิชชั่นก็ไม่เหลือแล้ว แต่พวกซุปน่ะเขายังมีอีก3+1ให้เล่นกันได้..." ไอ้เฉลิมสาธยายให้ผมฟังอย่างคนที่รุ้เรื่องดี
"ยังไงวะ อธิบายให้ละเอียดหน่อยสิ จะได้เอาไว้เป็นความรู้..." ผมรีบถามออกไป เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลย
"ที่กูบอกว่า3+1น่ะ หมายถึง ถ้าพวกซุปเขาเป็นคนขายแอร์ได้เอง เขาจะสามารถลดราคาได้มากกว่าพวกเราอีก3%จากนั้นก็ยังเหลือยอดขายอีก1%เป็นค่าคอมมิชชั่นไงเล่า..ยอดนี้รวมทั้งที่พวกเราในทีมงานของเขาขายด้วย..ทีนี้กระจ่างมั๊ยวะ..แล้วแบบนี้มึงจะไปสู้ราคาพวกซุปได้ยังไง..กูถึงบอกว่างานโครงการน่ะ พวกเราไม่มีทางสู้ราคาได้"
"แล้วมึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงวะ..."
"วันนึงกูแอบเห็นใบสั่งซื้อของซุปกูน่ะสิ ว่าเขาลดราคาให้ลูกค้าเกินกว่า35%..ตอนแรกกูก็นึกว่าเค้าคิดผิด เลยไปถาม ถึงได้รู้ความจริงมาบอกมึงนี่ไง..ฮ่าๆๆๆๆ" [/post]ไอ้เฉลิมจบการสนทนาด้วยเสียงหัวเราะเยาะผม แล้วก็เดินจากไปแต่ความจริงที่มันบอกกับผมนั้น ผมกลับมองว่ามันคือโอกาศที่จะทำ
ให้ผมสามารถทำเป้าขายได้ร้อยเครื่องขึ้นไป ถ้าได้จับงานโครงการสักแห่งสองแห่ง ซึ่งในสมัยนั้นที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมีเนียมกำลัง
มีคนสนใจกันอยู่พอดี
แม้ผมจะทราบแล้วว่า ศักยภาพการขายของ เรื่องการลดราคามาสุ้กัน จะไม่สามารถสู้พวกบรรดาเหล่าซุปเปอร์ไวเซอร์ได้ แต่ของพรรค์นี้ ถ้าไม่ได้ลองสู้เลยสักครั้ง ผมไม่ถอดใจยอมแพ้แน่ๆ แม้เป้าหมายของผมจะเพิ่มมาเป็นอาคารก่อสร้างแบบคอนโดมิเนี่ยมทั้งหลายก็ตาม แต่ทว่าบรรดาบ้านเล็กๆ ออฟฟิตเล็กๆ หรือคอฟฟี่ช็อปเปิดใหม่ ที่ใช้เครื่องปรับอากาศไม่มากนัก ผมก็ไม่ทิ้งยังคงเป็นเป้าหมายหลักของผมต่อไป
จนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคงเป็นเดือนที่ถูกโฉลกกับราศีเกิดของผมเป็นแน่ ทำให้ผมได้พบกับนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับคุณลุงเจ้าของบ้านที่ทำให้ผมขายเครื่องปรับกาศสามเครื่องแรกได้ คงเพราะผมไม่เคยละทิ้งลูกค้าแม้จะขายได้แล้ว พอผมผ่านไปทางนั้นผมก็มักจะแวะเยี่ยมเยือนพูดคุยสอบถามการทำงานของแอร์แต่ละตัวที่ขายไปเสมอๆ
คุณลุงท่านนั้นจึงแนะนำให้ผมรู้จักญาติห่างๆของท่าน ที่กำลังสร้างคอนโดมีเนียมใกล้เสร็จแล้วขาดการตกแต่งภายในอีกเล็กน้อย และเครื่องปรับอากาศที่จะมาติดตั้งเท่านั้น เมื่อผมได้รับโอกาศที่จะได้เข้าพบตัวเจ้าของโครงการโดยตรง เพื่อพูดคุยเสนอราคา ทำให้ผมต้องกลับไปทำการบ้านเรื่องราคาขายกับทางบริษัทอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกล้าหาญไม่ผ่านผู้จัดการฝ่ายขายที่ควบคุมเหล่าบรรดาซุปเปอร์ไวเซอร์ทั้งหลาย ผมดักรอเพื่อเข้าพบกับเจ้าของบริษัทโดยตรงในออฟฟิตส่วนตัวของท่าน
ผมกลับออกมาจากห้องของเจ้าของบริษัทอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่เรียกว่ายิ้มไม่หุบ เพราะเสี่ยวิทย์เจ้าของบริษัทบอกกับผมว่า ตัวเขาก็สนใจคอนโดมิเนี่ยมโครงการนี้เช่นกัน แต่เข้าไม่ถึงตัวเจ้าของโครงการ  จำเป็นต้องผ่านคนดูแลพวกสถาปนิค หรือวิศวกรโครงการอะไรพวกนั้น ซึ่งพวกนี้ก็อย่างที่ทราบๆดีว่าจำต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชากันเสียก่อน แต่เมื่อผมมาเรียนบอกว่าผมเข้าถึงตัวเจ้าของโครงการได้โดยตรง เสี่ยวิทย์ก็บอกให้ผมสู้ราคาได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าคอมมิชชั่นที่จะได้รับ ขอให้ได้งานนี้มา จะมีเงินพิเศษ พร้อมตำแหน่งให้กับผม
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป้าหมายสุดยอดท็อปเซลล์นั้นจะเป็นของผม แต่ผมก็ได้รับมันมาในวันงานเลี้ยงส่งท้ายประจำปี แต่ผมไม่ได้มันมาเพราะราคาที่ลดสู้แต่อย่างใด เพราะบริษัทอื่นๆที่เข้าเสนอราคา ก็สู้กันลดราคากันแหลกลาญได้ไม่ต่างจากผม แต่ผมได้มันมาเพราะความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความหมั่นเพียรที่ผมไม่เคยทิ้งลูกค้าเลยสักรายเดียว โดยที่คุณลุงญาติของพี่เวทย์เป็นผู้ยืนยันการันตี
ผมแอบหยิกขาตัวเองแรงๆ เพราะคิดว่าผมกำลังฝันไปหรือเปล่า เมื่อเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยเจ้าKE30 สีดำคันนั้น แล้วก็พบว่าตนเองเจ็บขาเจ็บเนื้อที่กำลังหยิกแรงๆ แสดงว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน ของเด็กหนุ่มวัยเพียง22ซึ่งเรียนจบแค่มัธยมปลายเท่านั้น วันหยุดปีใหม่ปีนั้นผมคงเป็นคนที่โชคดีมีความสุขที่สุด ไหนจะเงินพิเศษเป็นค่าคอมมิชชั่นที่ทางบริษัทจ่ายให้สามหมื่นบาท ไหนจะเจ้ารถเก๋งสีดำคันนี้พร้อมค่าน้ำมันอีก5พัน ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีเงินเกือบ4หมื่นบาท สำหรับการเริ่มปีใหม่ปีนั้น พร้อมตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ ที่จะทำการประกาศแต่งตั้งในวันเปิดทำการเริ่มงานอีกครั้ง
"ก๊อกๆๆ...ชายจ๊ะ...มีรถใหม่นี่ขับเป็นหรือยัง..."
จู่ๆก็มีเสียงเคาะกระจก ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อผมไขกระจกด้านข้างลดลงมา เสียงอ่อนๆ หวานๆ ของพี่หน่อยก็ดังแทรกเข้ามา
"ยังไม่เป็นครับ.." แม้ว่าผมจะเคยขับรถเมล์ถอยเข้าเดินหน้าถอยหลังในอุ่ตามที่ลูกพี่คนขับรถวานใช้ก็จริง แต่นั่นมันเป็นอู่จอดรถว่างๆ ไม่ได้วิ่งไปวิ่งมาเหมือนเช่นที่ผมกำลังมองอยู่ด้านหน้ากระจก
"ตายจริง...แล้วนี่จะขับกลับบ้านยังไงคะ.."
แม้ผมจะรุ้สึกว่าเสียงของพี่หน่อยสาวใหญ่วัยสามสิบจะดูอ่อนหวานมากกว่าทุกครั้งก็ตาม แต่อารามความดีใจที่ผมมีรถขับ ทำให้ผมไม่รุ้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด
"แล้วแม่ย่านางประจำรถล่ะจ๊ะ..มีหรือยัง..."
เท่าที่ผมเคยรู้จากลูกพี่คนขับรถเมล์นั้น รถทุกคันย่อมมีแม่ย่านางให้กราบไหว้บูชาด้วยพวงมาลัยดอกไม้สดอยู่แล้ว แต่พอพี่หน่อยมาถามเช่นนั้น ผมก็ทำหน้างงเหว๋อๆ หรือว่าความรุ้นั้นมันผิด
"ฮิอิฮิอิๆๆๆ..พี่หมายถึงแฟนน่ะจ๊ะ เป็นแม่ย่านางของรถ ชายมีหรือยังจ๊ะ.." เสียงพี่หน่อยขบขันกับสีหน้างุนงงเหว๋อๆของผม ก่อนจะเฉลยให้ฟัง ผมรีบสั่นหัวปฎิเสธอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
"งั้นพี่จะสอนขับรถให้ แล้วจะพาชายไปส่งบ้าน พร้อมยอมเป็นแม่ย่านางจำเป็นให้สักครั้ง ดีมั๊ยจ๊ะ..."
พี่หน่อยพูดพร้อมเปิดประตุรถด้านข้างผมออก แล้วฉุดดึงมือผมลุกขึ้นออกมาจากรถ ก่อนจะแทรกร่างเซ็กซี่ๆ เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ผมได้แต่ยืนมองงงๆ สายตาแลเห็นกระโปรงพี่หน่อยถลกรั้งสูงขึ้นไปจนเกือบเห็นอะไรๆที่ไม่บังควรเห็น ทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนหน้าแดง รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที
"เดินอ้อมมาขึ้นรถสิจ๊ะ..หนุ่มน้อย..."
เสียงหวานๆของพี่หน่อยเร่งอีกครั้ง จนผมไม่มีเวลาไตร่ตรองเรื่องดีหรือไม่ คิดแต่เพียงว่าเรามันช่างโชคดีต้อนรับปีใหม่เหลือเกิน ที่ซุปสาวขวัญใจของพนักงานชายทั้งบริษัท มีเมตตาปราณียอมขับรถไปส่งบ้าน


ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 12





ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเสียวนะครับ แม้ผ่านมาสิบกว่าตอน ยังไม่เฉียดเข้าไปใกล้เลยแม้แต่นิด
เพราะเป็นเรื่องที่ผมตั้งใจจะเขียนให้ละเอียดในหลายๆแง่มุม ให้มันเป็นเรื่องยาวๆ มากกว่าทุกเรื่องที่ผมเคยเขียนมา....
ช่วยกันติดตามและให้กำลังใจกันต่อไปด้วยนะครับ แล้วพอถึงตอนเสียวๆ ท่านจะรู้ว่าคุ้มค่ากับการติดตามอ่านเรื่องนี้ของผม
suckaeed...
ก็อย่างที่ผมบอกไปในตอนที่แล้วว่า หลังจากคุณแม่ผมสิ้นชีวิตไป ชีวิตผมก็เหลือเพียงตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ผมจึงไม่เกรงกลัวที่จะทดลองเปลี่ยนงานใหม่ๆดู แม้ว่ามันอาจจะเสี่ยงถ้าไม่ประสพความสำเร็จก็ตาม แต่ผมตัวคนเดียวถ้าจะอิ่มหรือจะอดบ้าง ก็ไม่ต้องมีห่วงกังวลแต่อย่างใด แต่โชคผมยังดีที่รู้จักการเก็บหอมรอบริบมาตั้งแต่ยังเด็ก ผมไม่เที่ยว ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ จึงพอมีเงินเก็บบ้างอยู่เล็กน้อยจากงานที่ทำมาแม้ว่าผลตอบแทนมันจะไม่ได้มากมายอะไรเลย
ช่วงแรกๆที่ผมเข้ามาสมัครงานและผ่านการอบรมเป็นเซลล์ฝึกหัดนั้น ทางบริษัทให้ค่าตอบแทนเป็นเพียงเบี้ยงเลี้ยงรายวันที่เราเข้าทำงาน และเขียนรีพอร์ทว่าทั้งวันเราไปพบใครมาบ้างที่ไหนบ้าง โดยมีค่าตอบแทนเป็นเบี้ยงเลี้ยงวันละ50บาทเท่านั้น ทางบริษัทคงคิดว่าเงินจำนวนเพียงน้อบนิดนี้ให้เป็นค่ารถเมล์ ค่าน้ำดื่ม และอาหารกลางวันเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ คนอื่นๆที่เข้าอบรมในรุ่นเดียวกับผมอาจจะเดือดร้อนไม่พอใช้ แต่สำหรับผมบอกตามตรงเลยว่า บางวันยังเหลือใช้อีกตั้งสิบบาทด้วยซ้ำไป
ผมต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งเลยว่า หลังจากที่เริ่มงานจริงจัง โดยมีหัวหน้าทีมขายชื่อพี่หน่อยแล้วนั้น งานที่ผมเคยวาดวิมานใน
อากศว่ามันคงไม่ได้ยากเย็นขนาดขายไม่ได้เลยนั้น ความจริงแล้วมันขายได้ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ
แล้วคอมมิชชั่นที่เราเห็นว่าทางบริษัทจะจ่ายให้ตั้ง35เปอร์เซ็นต์นั้น พอเอาเข้าจริงๆ กว่าเราจะขายเครื่องปรับอากศได้เครื่องหนึ่งนั้น เราจำเป็นต้องต่อสู้กับคู่แข่งยี่ห้ออื่นๆ โดยการลดราคาขาย วิธีการลดราคาก็คือตัดค่าคอมมิชชั่นของเราออกไปบางส่วน แทนที่จะขายได้เครื่องละเป็นหมื่น บางครั้งได้แค่พันสองพันบาทเราก็จำเป็นต้องขายเสียแล้ว มิเช่นนั้นพอสิ้นเดือนเราจะไม่ได้เงินค่าคอมมิชชั่น และไม่มีผลงานเพียงพอให้ผ่านขั้นตอนของเซลล์ฝึกหัด
ในเดือนแรกที่ผมเริ่มทำงาน ผมต้องใช้ความอดทน และความเพียรเป็นอย่างสูง ในการขอเข้าพบลูกค้าเพื่ออธิบายรายละเอียดของสินค้าที่เราจะจำหน่าย เรียกว่าในเดือนแรกนั้น ผมเดินจนส้นรองเท้าสึกหมดจนต้องเปลี่ยนยางรองพื้นกันใหม่ นามบัตรก็ร่อนแจกจ่ายหมดไปเป็นกล่องๆ แต่ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จ จนรู้สึกทดท้อ ดีแต่ว่าพี่หน่อยซึ่งเป็นหัวหน้าคอยให้กำลังใจ ให้พยายามสู้ต่อไป ให้ผมรำลึกคำขวัญอยู่ในใจไว้เสมอว่า งานทุกงานย่อมสำเร็จด้วยความเพียร
หลังจากย่างเข้าปลายเดือนที่สอง ผมยังจำได้ดีจนทุกวันนี้เลยว่าผมดีใจขนาดไหน เมื่อผมขายแอร์ได้ทีเดียวสามเครื่องซ้อนๆให้กับบ้านหลังหนึ่งในซอยภาณุรังสี ย่านฝั่งธน เป็นบ้านที่สร้างใหม่ใกล้เสร็จแล้ว เหลือเพียงการตกแต่งสีภายนอกอีกเล็กน้อย ก็พร้อมย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้ามาอยู่อาศัย ผมเดินไปพบและเจอลูกค้าเจ้าของบ้านพอดีในวันอาทิตย์ ที่เขาพาครอบครัวเข้ามาดูบ้านใหม่ของเขา
เสียดายว่าผมลืมชื่อเจ้าของบ้านหลังนั้นไปเสียแล้ว แต่ทว่าเขาก็พาผมขึ้นไปชมบ้านด้านบนตามห้องต่างๆที่เขาคิดวางแผนไว้ว่าจะติดแอร์ ผมได้วัดขนาดห้อง แล้วคำนวณความเย็นของบีทียูว่าแต่ละห้องนั้นจะต้องใช้เครื่องปรับอากาศขนาดไหน พร้อมอธิบายระบบการทำงานของสินค้าที่ผมจะขายให้เจ้าของบ้านท่านนั้นฟังอย่างคล่องแคล่วชัดเจน จนเขาเกิดความสนใจ แต่ก็ขอปรึกษากับภรรยาเสียก่อน พร้อมขอนามบัตรผมไว้ ผมกลับออกมาจากบ้านหลังนั้น พร้อมกับวาดฝันไว้ว่าน่าจะขายได้ในไม่ช้า ถ้าไม่มีคู่แข่งมาแย่งตัดราคาไปเสียก่อน
ผมออกเดินไปหาลูกค้าอื่นๆอีกหลายหลัง จนกระทั่งเย็นจึงเดินทางกลับออฟฟิส ทันที่ที่ผมเข้าไปในบริษัท พี่หน่อยก็ชูกระดาษหลากสีที่อยู่ในมือ พร้อมตบมือหัวเราะด้วยความยินดีให้กับผม
"ชาย..พี่ยินดีด้วยนะ..เธอขายแอร์ได้แล้ว..นี่ไงใบสั่งซื้อ..." พี่หน่อยยื่นกระดาษหลากสีซึ่งเป็นใบสั่งซื้อให้ผมดู ผมรับกลับมาดูด้วยความงุนงงสงสัย ว่าผมขายได้อย่างไรกัน
[post]"ลูกค้าที่ชายไปติดต่อวันนี้ไงล่ะ..เขาพาครอบครัวเข้ามาที่บริษัท..บอกว่าชายไปติดต่ออธิบายเสนอขายแอร์ให้เขา ก็เลยตามมาดูของจริง แล้วตกลงสั่งซื้อทีเดียวสามเครื่องตามที่ชายอธิบายให้เขาทราบ...นี่ไงดูสิจ๊ะ.." พี่หน่อยรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความยินดีกับผม
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ถ้าเป็นหัวหน้าคนอื่นๆ อาจโมเมเอาว่าเป็นลุกค้าของตนเองก็เป็นได้ เพราะผมไปเสนอขายก็จริง แต่เขาก็มิได้เซ็นต์ใบสั่งซื้อมาให้กับผม เขาตามมาดูสินค้าและเซ็นต์ใบสั่งซื้อกับพี่หน่อยหัวหน้าของผมต่างหาก แม้ว่าราคาขายมันจะลดราคาลงไปมากจนกระทั่งเหลือค่าคอมมิชชั่นให้กับผมเพียงเครื่องละ1000กว่าบาทก็ตาม ผมก็ถือเสียว่ามันเป็นการขายของชิ้นแรกที่ผมทำได้สำเร็จแล้ว จึงก่อให้เกิดกำลังใจในงานขายขึ้นอีกมากมายกับผม
ผ่านมาจนกระทั่งถึงปลายเดือนทางบริษัทก็มีประกาศออกมาว่า ให้พนักงานเร่งยอดขายสินค้า โดยมีการตั้งรางวัลตอบแทนให้ในงานเลี้ยงวันสิ้นปี โดยนับผลประกอบการขายตั้งแต่เดือนกรกฏาคมเป็นต้นไป ผมจำได้ว่ารางวัลชนะเลิศนั้นตั้งยอดขายไว้ค่อนข้างสูงลิบ
ถึง100เครื่องภายในระยะเวลา6เดือน แต่รางวัลตอบแทนก็ล่อใจอย่างมากมายเป็นรถเก๋งโตโยต้า(มือสอง)รุ่นโคโรล่าKE30พร้อมเงินค่าน้ำมันอีก5000บาท แล้วยังมีรางวัลรองชนะเลิศอันดับอื่นๆอีกห้ารางวัล
สำหรับผมนั้น ไม่ได้เคยคิดหวังเลยแม้แต่น้อยว่าจะได้รถเป็นรางวัล เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำได้ หวังอย่างมากก็แค่รางวัลอื่นๆ ที่น่าจะทำได้ถ้าพยามยามทำงานให้หนักขึ้น เข้าพบลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น เซลล์คนอื่นๆ ในบริษัทส่วนมากเลือกกลุ่มเป้าหมายในกรุงเทพ ในย่านที่เจริญๆ โดยคาดการณ์ว่าจะมีกำลังซื้อได้มากกว่า แต่ผมกลับคิดตรงข้าม
ผมเลือกกลุ่มเป้าหมายย่านฝั่งธนบุรี เหตุผลของผมคือ แม้ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่า แต่การแข่งขันต่อสู้จากเซล์บริษัทอื่นๆ ก็น้อยกว่าเช่นกัน ขอให้ผมได้เจาะเข้าถึงตัวผู้บริโภคเท่านั้น ผมเชื่อว่าด้วยบุคลิคหน้าตา การพูดจาของผม และความซื่อสัตย์ จะสามารถชักจูงมัดใจลูกค้าได้แน่ๆ
ทันทีที่ได้เงินค่าคอมมิชชั่นจากงานขายครั้งแรก ผมก็รีโนเวทการแต่งตัวใหม่ด้วยกางเกงแสล็คผ้าดีๆ เสื้อเชิร์ตแขนยาวมียี่ห้อ พร้อมเน็คไท้ลายสวยๆ กับรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมใส่สบายนุ่มเท้าพร้อมสำหรับการเดินระยะไกลๆ รวมทั้งน้ำหอมโคโลจญ์กลิ่นอ่อนๆ ยามเข้าพบพูดคุยกับลูกค้าจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหงื่อรบกวนเขา
เมื่อผมเตรียมตัวได้พร้อม ขยันเข้าพบลูกค้าได้มากขึ้น ทำงานทั้งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บางครั้งก็ช่วงหัวค่ำนัดพบเพื่อเจอลูกค้า ในเดือนสิงหาคมผมก็เพิ่มยอดขายให้กับตนเองได้อีก5เครื่อง พอเดินถัดมาก็ได้อีก6เครื่อง ความหวังในรางวัลรองชนะเลิศอันดับต่างๆเริ่มอยู่ไม่ไกลจากความฝันของผมแล้ว

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่11


ผมทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ได้เกือบ6เดือน ก็ต้องลาออก ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ ประการแรกผมเกรงใจป้าข้างบ้านที่คอยดูแลช่วยเหลือแม่ผม ยามที่ผมกลับบ้านดึก อีกประการหนึ่งผมได้รับการชักชวนจากคุณลุงท่านหนึ่ง เสนองานใหม่ให้ผม
ความจริงแล้วผมกับคุณลุงท่านนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เพียงแค่เห็นหน้ากันบ่อยๆแทบทุกเช้าที่คุณลุงแกขึ้นรถเมล์สาย81 จากท่าน้ำศิริราชต้นทาง จนกระทั่งไปลงที่บางแค อันเป็นจุดหมายปลายทาง แกมักจะนอนงีบหลับบนรถเมล์เสมอๆ ซึ่งบางครั้งผมยังต้องปลุกให้แกตื่นเมื่อถึงตลาดบางแคแล้ว แกก็จะรีบลงจากรถไปขึ้นรถบัสหรือมินิแวนคันเล็กๆ สีน้ำเงินที่จอดรออยู่เพื่อไปยังที่ทำงาน
หลังจากเห็นหน้าเห็นตากันมานาน จนพอพูดคุยทักทายกันได้ ในวันหนึ่งคุณลุงสมศักดิ์ท่านนั้นก็เอ่ยปากพูดคุยเป็นเรื่องราวกับผม ถามรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมทั้งอายุ การศึกษา
"ลุงทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัททำข้อต่อน้ำแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย..ตอนนี้บริษัทที่ลุงทำงานกำลังขาดพนักงานตำแหน่งสโตร์..หนุ่มสนใจมั๊ยล่ะ...มีเงินเดือน มีสวัสดิการที่น่าจะดีกว่าเป็นกระป๋ารถเมล์เยอะแยะ..."
"สนใจครับ..แต่เอ้อ..ผมไม่มีประสพการณ์เลยนะครับ ไม่ทราบว่าจะทำได้มั๊ย..." ผมตอบไปตามความจริง
"เห้ย..งานไม่ยากหรอก..ท่าทางหนุ่มฉลาดดี..เรียนรู้สักวันเดียวขี้คร้านจะเป็นงาน..ฮ่าๆๆๆ.."
คุณลุงสมศักดิ์พูดอย่างอารมณ์ดี แล้วนัดแนะให้ผมไปหาท่านที่ทำงานในวันถัดไป ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเลย การได้งานทำประจำ ที่ไม่ต้องเสี่ยงห้อยโหนแบบกระเป๋ารถเมล์มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีเวลามาดูแลแม่ได้อีกด้วย[/post]
แล้วมันก็จริงอย่างทึลุงสมศักดิ์ว่างานมันไม่ได้ยากเลย แค่ใช้ความละเอียดรอบคอบเท่านั้นผมก็สามารถทำได้ แม้เงินเดือนที่จะเริ่ม
สตาร์ทจะน้อยกว่าเงินรายได้จากการเป็นกระเป๋ารถเมล์ก็ตาม แต่ก็มีสวัสดิการส่วนอื่นมาชดเชย เช่นมีคลีนิครักษาพยาบาล เจ็บป่วย
ลางานก็ไม่โดนหักเงินเดือน มีค่าโอเวอร์ไทม์ แถมปลายปียังมีเงินโบนัสเสียด้วย
เนื้องานก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด อย่างที่บอกว่าแค่ละเอียดรอบคอบ ก็สามารถทำงานตำแหน่งนี้ได้แล้ว สโตร์ที่ผมทำงานอยู่นั้น เป็นสถานที่เก็บอะหลั่ย และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต แค่มีคนเงินถือใบเบิกที่เซ็นต์โดยหัวหน้างานมายื่นให้ผม ผมก็หยิบสิ่งของนั้นๆส่งให้เขา พอสิ้นวันก็จัดการทำบัญชีรายละเอียดว่าแผนกใดๆเบิกอะไรไปใช้บ้าง แล้วตัดสต็อคว่าสิ่งของเหล่านั้นเหลืออยู่ในสโตร์อีกจำนวนเท่าใด ควรจะสั่งซื้อมาเพิ่มเติมเมื่อใดอย่างไร แค่นั้นเองก็เสร็จ
ผมไม่ทราบว่าในสมัยนั้นมีคอมพิวเตอร์ใช้งานแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆในหน่วยงานสโตร์ของผมนั้นยังไม่มีใช้ ข้าวของทุกอย่างเลยต้องตัดจากสต็อคการ์ด ซึ่งของบางอย่างก็ใหญ่โตหรือมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในโกดังสโตร์ อย่างเช่นเศษเหล็กหล่อ ถ่านโค๊ก น้ำมันเตา แก๊สแอล พี จี ซึ่งต้องเก็บอยุ่ด้านนอกโกดัง ผมก็จำเป็นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแล
ผมสนุกอยู่กับงานใหม่นี้ แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน ผมไปสมัครลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ทว่าน้อยครั้งมากๆ ที่ผมจะเข้าไปนั่งเรียน นั่งฟังอาจารย์บรรยาย แค่อ่านหนังสือ อ่านชีทที่มีวางขาย และถึงเวลาสอบ ก็ลางานเพื่อไปสอบเท่านั้น จนเวลาผ่านไปถึงสามปีอย่างรวดเร็วที่ผมไม่เคยติดต่อเพื่อนๆที่โรงเรียนเก่าเลยแม้สักครั้งเดียว นอกจากไม่เคยติดต่อแล้วผมก็ไม่ส่งข่าวให้เพื่อนๆรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน ได้เรียนต่อหรือไม่อย่างไร เรียกว่าผมเสมือนคนหายสาปสูญไปจากเพื่อนๆเลยก็ว่าได้
แต่แล้วเมื่อทำงานย่างเข้าปีที่4 ผมก็ลาออก หลังจากผ่านพิธีงานศพของคุณแม่ไปแล้ว ตอนนั้นผมเสมือนเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ เมื่อสิ้นบุญของแม่ ผมจึงลาออกจากงานที่ทำ เพราะคิดว่าเวลา3ปีเต็มๆกับงานสาขานี้ มันน่าจะพอเพียงได้แล้ว ผมมีเงินเก็บพอสมควร ช่วงที่ลาออกจากงานมาเพื่อหางานทำใหม่ ผมจึงไม่ลำบากแต่อย่างใด เวลาผ่านไปไม่นานแค่ไม่ถึงเดือนผมก็ได้งานใหม่ทำที่ดูน่าจะท้าทายชีวิตมากกว่า งานที่ว่านั้นคือเป็นเซลล์ขายเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์คอนดิชั่น นั่นเอง
ในสมัยนั้นแอร์แบบสปริทไทร์หรือแบบแยกส่วนคือมีแฟนคอร์ยตัวทำความเย็นอยุ่ในบ้าน ตัวคอนเด็นซิ่งอยู่นอกบ้าน ใช้การเดินท่อน้ำยาเชื่อมกัน ผนังบ้านถูกเจาะเป็นรุกลมๆเล็กๆเพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทย แต่ก่อนๆบ้านเรามีแค่แบบเดียวคือเป็นตุ้เหลี่ยมๆ ติดตรงช่องหน้าต่าง หรือไม่ก็เจาะกำแพงเป็นรุปสี่เหลี่ยมกว้างๆ แล้วเอาตู้แอร์ขึ้นไปตั้งวาง พอนานๆเข้าก็จะส่งเสียงดังรบกวน แต่แบบใหม่นั้นค่อนข้างเงียบกว่า จึงเป็นที่นิยม แม้ว่าราคาจะแพงกว่ามากก็ตามที
เมื่อผมเข้าไปสมัครงานใหม่นี้ ก่อนจะได้เริ่มงานก็จำเป็นต้องผ่านการอบรมเสียก่อน ถึงวิธีการขาย วิธีการพูดคุยแก้ปัญหาให้ลูกค้า และเท็คนิคปิดการขาย รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่เราจะขาย และสินค้าของคุ่แข่ง เรียกว่าติวเข้มกันถึงอาทิตย์เลยจึงจะจบหลักสูตรเพื่อเริ่มงาน
แม้ว่างานใหม่นี้จะมีเงินเดือนน้อยกว่าเก่าก็ตาม แต่สิ่งที่เราหวังนั้นคือคอมมิชชั่น จากการขายต่างหาก ที่ให้สูงพอสมควร ชนิดที่เรียกว่า ถ้าขายเครื่องปรับอากาศได้เพียงเดือนละเครื่องคอมมิชชั่นที่ได้รับนั้น จะมากกว่าเงินเดือนที่ผม เคยได้จากงานการทำงานสโตร์เสียด้วยซ้ำ
แม้ฟังดูเหมือนกับว่ามันเป็นงานง่ายๆ แต่ขอบอกเลยว่าเมื่อ ผมได้สัมผัสจริงๆเข้า มันกลับไม่ง่ายเลย มันต้องใช้ความเพียร ความอดทนอย่างสุง เพราะเครื่องปรับอากศในสมันเมื่อ40ปีที่แล้วมันเป้นสิ่งของฟุ่มเฟือย ต้องรวยจริงๆจึงจะสามารถเป้นเจ้าของได้ ราคาเครื่องในสมัยนั้นก็หาได้ต่างจากปัจจุบัน ห้องนอนขนาด4เมตรคูณ4เมตร ใช้เครื่องปรับอากาศขนาด1ตัน หรือ12000บีทียูก็พอ แต่ราคาเครื่องละ2หมื่นปลายๆนั้น มันมากโข ถ้าเทียบกับรถเก๋งโตโยต้า หรือนิสสันดัทสันป้ายแดง ราคาเพียงแค่2แสนต้นๆเอง เงินเดือนข้าราชการที่จบใหม่ ก็เพียงไม่กี่พันเช่นกัน ฉนั้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของผม จึงล้วนแล้วแต่เป็นบ้านของคนมีสตางค์ ที่กำลังก่อสร้างใหม่ หรือกำลังปรับปรุงใหม่เท่านั้น
และงานนี้นั่นแหละ คืองานที่ปรับเปลี่ยนชีวิตของผม จากนายสมชายหนอนนักสือ ไม่ประสีประสาในเรื่องผู้หญิง ให้กลายมาเป็นนายสมชายในปัจจุบัน

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 10





เวลาที่ผมรู้สึกว่ามีความสุข มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดชั่วโมงวาดเขียนของยัยเด็กกัน และชั่วโมงภาษาไทยของผม ผมจึง
รีบลุกขึ้นจากโต๊ะนั่ง ทั้งๆที่ยัยกันยังไม่ทันวาดรูปผมเสร็จ
"หมดเวลาแล้ว..พี่ต้องไปก่อนนะครับ..." ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยัยกันรีบเก็บดินสอใส่กล่อง พร้อมพับสมุดวาดเขียนที่ยังเขียนรูปค้างอยู่เข้าที
"ค่ะพี่..ชาย...กันวาดเสร็จแล้วจะเอาไปให้พี่ดูคนแรกเลยนะคะ..." ยัยกันพุดพร้อมเก็บข้าวของสิ่งต่างๆเข้าที แล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน
"อ่ะ..แล้วน้องกันจะวาดต่อได้ไงล่ะครับ  พี่คงไม่ได้มีเวลามาเป็นแบบให้แล้ว..." ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบจากปากเรียวบางเล้กๆนั้น กลับทำให้ใจผมพองโตขึ้นมาได้อย่างประหลาด
"กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ..."
ร่างของเจ้าของเสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆ แม้เดินจากไปแล้ว แต่กระแสเสียงมันยังดังซ้ำๆอยู่ในหัวของผม แม้กระทั่งผมเดินกลับเข้าห้อง
เรียนแล้วก็ตาม...กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ...
หลังจากวันนั้น วันที่ยัยกันตาโต มาทำให้หัวใจของผมพองขยาย ผมก็พยายามที่จะหลีกหนีไม่อยากเจอหน้าหล่อนอีก แม้ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเรียน เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ ใบหน้าหวานๆขาวๆเกลี้ยงเกลา ก็ยังลอยเข้ามารบกวนสมาธิการอ่านหนังสือของผมได้บ่อยๆ จนผมต้องท่องคาถากันใจตัวเองบ่อยๆ เวลาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ..เจียมตัว...ๆๆๆๆ
แล้วความโชคดีและโชคร้ายก็เข้ามาเยือนผมในระยะเวลาไม่ห่างกันเลย ผมโชคดีที่สอบได้ ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบมศ.5 ในภาคเรียนปรกติ ซึ่งเท่ากับผมมีวุฒิการศึกษาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้แล้ว แม้จะไม่เข้าเรียนในโรงเรียนก็ตาม แต่โชคร้ายกลับเป็น
เรื่องร้ายที่ทำให้ชีวิตผมพลิกผันจากความตั้งใจ อย่างที่เกริ่นในตอนแรกที่ว่าผมไม่มีโอกาศ ได้สอบเอ็นทรานซ์เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนเองตั้งเข็มเอาไว้
เรื่องนั้นก็คือมารดาของผมประสพอุบัติเหตุ ในขณะที่ทำงานจนพิการเป็นอัมพาธ ผมขอข้ามเรื่องสะเทือนใจในช่วงนี้ไปนะครับ ไม่
อยากเขียนเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผลที่ผมได้รับนั้น ทำให้ต้องเบนเข็มชีวิตใหม่ในเรื่องการเรียน ผมนอนคิดอยู่หลายคืน จนตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เพื่อมีเวลาหางานทำเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว สมัยนั้นยังไม่มีโครงการประกันสังคม แม่ผมจึงไม่ได้รับการช่วยเหลืออันใดมากมาย นัก เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างออกให้ พร้อมกับเงินเยียวยาอีกเล็กน้อย ชีวิตคนจนๆ
คนหนึ่งก็จบลง ง่ายๆแค่นั้นเองครับ
ผมลาออกจากโรงเรียนอย่างเงียบๆ เพื่อไปทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง โดยฝากร่างพิการของแม่ ให้ป้าข้างบ้านช่วยดูแลในช่วงที่ผมออกไปทำงาน แต่การทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ในสมัยนั้น มันทำตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกครั้ง ก็เที่ยงคืนไปแล้ว แรกๆป้าข้างบ้านก็ใจดีดูแลแม่ผมให้ แต่ครั้นนานๆเข้าผมก็เกรงใจ ที่ตนเองไม่มีเวลาด้วยตัวเอง ครั้งนี้ผมเลยทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ได้เพียงช่วงสั้นๆ ก็หางานใหม่ทำ
ผมยังคงจำได้ดี ไม่มีวันลืมถึงวันสุดท้ายที่ผมไปลาออกจากโรงเรียน แม้จะได้รับการคัดค้านจากอาจารย์ประจำชั้นและอาจารย์ใหญ่อย่างไรก้ตาม แต่ผมก็ยังยืนยัน พร้อมให้เหตุผลที่จำเป็นที่ต้องมาลาออกด้วยตนเองโดยไม่มีมารดาหรือผู้ปกครองมาจัดการให้ สุดท้ายอาจารย์ใหญ่ก็จะยอมให้ผมลาออกกลางคันโดยดี
"สมชาย..เธอเป็นเด็กดี...รักษามันไว้นะ..สักวันครูเชื่อว่ากรรมดีที่เธอกระทำ จะสนองตอบให้เป็นคนดีมีอนาคตที่ดีได้ในอนาคต" เป็นคำอวยพรสุดท้ายที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ หลังจากที่ผมก้มลงกราบแทบเท้า
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องอาจารย์ใหญ่แล้ว ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปบอกลาเพื่อนๆในห้อง แต่คิดว่าเรื่องนี้คุณครูประจำชั้นคงไปบอกข่าวให้เพื่อนๆทราบกันแล้ว  และก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อพบเพื่อนๆทั้งห้องยืนออกันอยู่ตรงบรรไดทางเดิน
"ไอ้ชาย..ทำไมต้องลาออกด้วยวะ..." ภาพมันเบลอจนผมจำไม่ได้หรอกว่าใครบ้างที่เป็นคนถามประโยคนี้ซ้ำ ผมไม่ได้บอกเหตุผลที่
แท้จริงให้เพื่อนๆทราบ บอกเพียงแต่ว่ามันเป็นความจำเป็น เพื่อนที่สนิทมากบางคนตรงเข้ามาสวมกอดลาบ้าง จับไม้จับมือลาบ้าง บางคนที่ใจอ่อนหน่อยถึงกับมีน้ำตาซึมที่หางตา บางคนก็อวยพรว่าเราจะต้องได้เจอกันในรั้วมหาวิทยาลัย สุดท้ายผมก็ได้ร่ำลาเพื่อนๆทุกคนจนคิดว่าครบหมดแล้ว
ขณะที่กำลังหันตัวกลับเพื่อจะเดินออกไปจากตัวตึกเรียน เบื่องหน้าของผมก็เจอร่างเพรียวสุงๆบางๆ ของเด็กมอต้นยืนขวางอยู่ ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลานั้นแสนคุ้นตา ยิ่งน้ำเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆนั้น แม้หลับตาผมก็ยังจำได้ดีว่าเป็นเด็กชื่อกันนั่นเอง
"พี่ชาย...จะลาออกจริงๆหรือคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆที่ผมเคยได้ยินจากริมฝีปากเรียวบางเสมอมานั้น กลับสั่นสะท้านเหมือนคนที่กำลังตกใจ เสียใจ
"ครับ.." ผมตอบได้เพียงสั้น ๆ เพราะไม่สามารถบังคับน้ำเสียงตนเองที่มันสั่นไหวได้เช่นกัน
"พี่ชายรอกันแป๊บนึงได้มั๊ยคะ...กันมีของมาให้..." เด็กสาวยื่นมือเรียวเล็กฉวยจับข้อมือผมเขย่าพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอ ผมไม่อยากให้เธอทำท่าทางที่ดูเปิดเผยความรู้สึกเช่นนี้ออกมาเลย เพราะเบื้องหลังของผมยังคงมีเพื่อนๆในห้องกลุ่มใหญ่ยืนมองอยู่ และหนึ่งในนั้นก็น่าจะมีไอ้เอกรวมอยู่ด้วย ผมรีบพยักหน้าตอบตกลง น้องกันก็หันกลับวิ่งไปยังห้องเรียนของเธอทันที
สักครู่ก็มีมือเอื้อมมาแตะที่ไหลผมเบาๆ ผมหันกลับไปมอง คาดการณ์ว่าคงเป็นไอ้เอกเพื่อนผมเป็นแน่ แล้วก็ใช่จริงๆ มันคงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมยอมรับว่าไม่กล้ามองสบตามันเลย ผมเหมือนคนทำผิด เพราะรู้ๆอยู่ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับน้องกัน
"กูเข้าใจเพื่อน...คนดีๆอย่างมึง สมควรแล้วที่น้องกันจะแอบชอบ..."
มันพูดสั้นๆ แต่ข้อความนั้นมันกินใจผมไปอีกนานแสนนาน สักครุ่น้องกันก็วิ่งกลับมาหาอย่างรีบร้อน ในมือของเธอมีม้วนกระดาษวาดเขียนสีขาวถืออยู่ เธอเดินตรงมายื่นใส่มือของผม
"กันวาดเสร็จหลายวันแล้วค่ะ..แต่ไม่เห็นพี่ชายมาโรงเรียน เลยยังไม่ได้เอามาให้..." แม้ผมไม่ได้คลี่ม้วนออกดู ผมก็รุ้ว่าภาพในกระ
ดาษวาดเขียนแผ่นนั้น มันเป็นภาพอะไร
"ขอบคุณครับ..พี่ไปก่อนนะ..."
ผมบอกน้องกันด้วยเสียงที่แผ่วเบาพริ้วสั่น ก่อนจะหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆด้วยประโยคเดียวกันอีกครั้ง แล้วเดินจากเพื่อนกลุ่มนั้นออกไปจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว จนกลับมาถึงบ้าน ผมถึงได้คลี่ม้วนกระดาษวาดเขียนออกดู มันเป็นภาพเหมือนของผมจริงๆ แม้ฝีมือการวาดลายเส้น แม้จะไม่ได้งดงามเหมือนมืออาชีพ แต่ถาพนั้นมันกลับสวยงามในความรู้สึกของผม จนอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของผมแทบจะทันที เมื่อความจริงที่อยู่ในใจเตือนตัวเองอีกครั้งให้เจียมตน..
ผมมองรูปวาดที่คลี่กางอยู่ในมืออีกครั้ง แลเห็นชื่อของคนวาดอยู่มุมล่างด้านขวาของภาพอย่างชัดเจน กันทิมา ตามด้วยนามสกุลและที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์อย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะจดจำ ม้วนภาพนั้นกลับเข้าที่ตามเดิม แล้ววางมันไว้ในกล่องใส่หนังสือ จากนั้นจำได้ว่าอีกสองสามปีผ่านไป ผมถึงได้หยิบถาพนั้นมาใส่กรอบ แล้วประดับอยู่ที่ฝาผนังบ้านผมจนกระทั่งทุกวันนี้

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 9

เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียว โรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว ผมขึ้นเรียนชั้นมศ.5 อันเป็นชั้นเรียนปีสุดท้ายแล้วก่อนที่จะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย อย่างที่บอกว่าผมตั้งความหวังไว้ที่มหาวิทยาลัยเกษตร จึงมุ่งแต่เรื่องการเรียน ส่วนเรื่องผู้หญิงหรือเรื่องอื่นๆนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจสนใจใครเลยสักคน แม้แต่ยัยกันตาโตที่มีทีท่าแสดงออกว่าเธอสนใจผมมากกว่าการเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนก็ตาม
แต่ก็ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่เรียนมาจากชั้นมศ.1 จนกระทั่งถึงปีสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ผมไม่เคยพบเคยเจอเด็กสาวคนไหนจะสวยน่ารัก อัธยาศัยดีเท่ากับยัยกันเด็กตาโตคนนี้เลย แม้แต่อัจฉราที่ผมเคยสนใจ หล่อนก็ยังไม่สวยไม่น่ารักเท่ายัยกัน
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรุ้สึกลึกๆเล็กๆทีค้างอยู่เพียงในใจของผมเท่านั้น เพราะความรู้สึกใหญ่ที่มันขวางกั้นตัวผมไว้ ก็คือการเจียมตัวที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจน ไอ้หน้าตารูปร่าง หรือสติปัญญาที่เรียนดีของผมนั้น มันคงไม่สามารถเข้ามาชดเชยได้นักหรอก ผมโตขึ้นมาอีกสองปี ไม่ใช่เด็กมอต้นที่เคยมีคนรักเคยมีความหวังกับเรื่องหวานๆ แต่บัดนี้ผมรู้สึกว่าตนเองโตขึ้นแล้ว เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นคงเพราะการได้ออกไปหางานพิเศษทำในช่วงปิดเทอม ผมจึงมีมุมมองรอบตัวที่รอบครอบขึ้น คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนฐานะอย่างผมจะสะเออะไปปลูกดอกรักกับยัยกันลูกคุณหนูคนนั้น
เมื่อคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นพอช่วงเปิดเทอมมา ผมก็เอาแต่ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว ประกอบกับช่วงเวลาเดือนสิงหาคมของทุกปี จะมีการสอบเทียบของบุคคลภายนอกหรือพูดง่ายๆก็คือพวกนักศึกษาผู้ใหญ่ ที่ไม่มีเวลาเรียนในโรงเรียนแบบพวกเรา ทางกระทรวงจัดให้มีการสอบวัดผลเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม ผมเลยมุมานะในการอ่านหนังสือเพื่อหวังเข้าสอบเทียบบ้าง เพราะถ้าสอบผ่านก็เท่ากับผมได้ประกาศนียบัตรจบชั้นมอปลายไปได้เลย โดยไม่ต้องคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเพื่อสอบไฟนอลเหมือนพวกนักเรียนทั่วๆไปอีกแล้ว
ผมจึงมักแอบหลบเพื่อนๆไปอ่านหนังสือตำราเรียนในห้องสมุดของโรงเรียนเสมอในช่วงเวลากลางวัน หรือช่วงเวลาเรียนที่เผอิญครุประจำในวิชานั้นๆติดธุระไม่ได้เข้าสอนผมก็จะแอบออกไปอ่านหนังสือตามลำพังตามซุ้มม้านั่งบ้าง โคนต้นไม้บ้าง เพราะอยู่ในห้องที่ไม่มีครูมาสอนคงอ่านหนังสือไม่ได้เป็นแน่ เพราะเพื่อนๆมันเอาแต่เล่นเอาแต่คุยส่งเสียงดังรบกวนสมาธิของผม
มีวันหนึ่งในวิชาภาษาไทยที่คุณครูป่วยไม่ได้มาสอน แล้วก็ไม่มีครูมาสอนแทน ผมก็จัดแจงหอบหนังสือออกไปหามุมสงบอ่านแบบเช่นเคย จำได้ว่าเป็นที่ซุ้มม้านั่งใต้ต้นหางนกยูงสีแดง ไม่ไกลจากตึกเรียนเท่าใดนักที่ผมแอบไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตามลำพังคนเดียวนั้น
"พี่ชาย...มานั่งทำอะไรคนเดียวที่นี่คะ..."
เสียงกรุ๊งกริ๊งทักมาที่ด้านหลัง จนผมสะดุ้งเพราะกำลังอ่านหนังสือเพลินๆอย่างตั้งใจ แม้ผมไม่ได้หันไปมองก็รุ้ว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ที่มีกังวารเสียงกรุ๊งกริ๊งแบบนี้ นอกเสียจากยัยเด็กกันตาโตคนนั้น
"อ่ะ..น้องกัน..ไม่เรียนหรือครับ.."
ผมเหลี๋ยวหน้าไปด้านหลังร้องทักตามมารยาท ยัยกันก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้า ในมือมีสมุดวาดเขียนเล่มโตกับดินสอสี่บีถืออยู่ หลายเดือนที่ผมไม่ได้เจอหล่อน ดูว่ายัยกันจะตัวสูงขึ้นตัวโตขึ้นจนเป็นสาว แต่วงหน้ายังเรียวขาวเกลี้ยงเกลาเฉกเช่นเดิม ไม่มีเม็ดสิวแต่งแต้มเหมือนเด็กสาวๆทั่วไปในวัยเดียวกัน
"เรียนค่ะพี่ชาย..วิชาวาดเขียน คุณครูเลยปล่อยออกมาให้หาภาพเพื่อสะเก็ตนอกห้อง..แล้วพี่ชายล่ะคะ..ไม่เรียนหรือ" ยัยกันพูดพร้อมกับค่อยทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม วางสมุดวาดเขียนเล่มโตให้ดูตรงหน้า ว่าหล่อนกำลังวาดวิวต้นไม้ข้างตึกเรียนค้างอยู่
"เรียนสิ..แต่ชั่วโมงนี้ครูภาษาไทยป่วย พี่เลยแอบมานั่งอ่านหนังสือข้างนอก.."
"พี่ชายขยันจัง..แต่อีกตั้งนานนี่คะกว่าจะสอบกลางภาค...ทำไมรีบอ่านเล่าคะ..." ยัยกันขยับปากเรียวๆพูดเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆ พร้อมขยับพลิกหน้ากระดาษวาดเขียนเปลี่ยนใหม่
"อ่าว..ไม่วาดภาพเดิมต่อล่ะครับ..." ผมถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหล่อนเริ่มสะเก็ตวาดภาพด้วยดินเสาแรงเงาเป็นวงกลมแทน
"กันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ..ขออนุญาตวาดภาพพี่ชายแทนได้มั๊ยคะ.." ผมตกใจที่ได้ยินคำตอบ และแม้ว่ายังไม่ทันตกลง มือเล็กๆขาวๆข้อนิ้วเรียวยาวของยัยกันก็เริ่มวาดโครงร่างลงไปในกระดาษสีขาวอย่างคล่องแคล่ว เหมือนคนที่ชำนาญในการวาดภาพเหมือน
"พี่ชายอ่านหนังสือต่อสิคะ..กันไม่รบกวนหรอก..."
ยัยเด็กกันพูดพร้อมจ้องหน้าจ้องตาของผมเขม็งด้วยแววตาที่สุกใสเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปาก เมื่อบอกให้ผมอ่านหนังสือต่อไปโดยที่หล่อนจะไม่รบกวน แต่ผมกลับไม่มีสมาธิที่จะอ่าน แม้ตาจะมองตัวหนังสือแต่ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลา ของยัยกันกับแทรกเข้ามาจนต้องปิดหนังสือไว้นิ่งๆ แล้วมองมือเรียวนิ้วยาวๆของยัยกันวาดเส้นภาพโครงหน้าของผมอย่างรวดเร็ว
"น้องกันเป็นยังไงบ้างล่ะ...." จู่ๆ ผมก็โพล่งถามขึ้นมาจนยัยกันชะงักมือที่กำลังวาด พร้อมเงยหน้ามองสบตาผมแป๋ว
"อะไรคือยังไงคะพี่ชาย.." ยัยกันอมยิ้มย้อนถามด้วยไม่ทราบว่าผมจะถามเรื่องอะไร
"เอ่อ...ก็..ความสัมพันธ์ของน้องกับเพื่อนพี่ แล้วก็กลุ่มน้องแจงน่ะครับ..."
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมผมถึงได้อยากรู้เรื่องเหล่านี้ จนถามยัยเด็กกันออกไป แต่เมื่อหลุดปากออกไปแล้วก็ทำได้แต่นิ่งรอฟังคำตอบจากปากหล่อน
"อ้อ...ก็ไม่มีอะไรนี่คะ..พี่ๆเขาก็สนุกไร้สาระไปวันๆ...กันคบเอาไว้เป็นเพื่อนคุยสนุกๆเท่านั้นแหละค่ะ..ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไหร่.."
คำตอบของยัยกันทำให้ผมต้องเพ่งมองหน้าหล่อนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เด็กตัวแค่นี้อายุเท่านี้กลับสามารถแยกแยะความสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ
"มันเป็นยังไงหรือครับ สนุกไร้สาระไปวันๆที่น้องกันบอกน่ะ..."
"อ้อ..ก็วันๆเอาแต่คุยเรื่องเที่ยวที่โน่นที่นี่ ห้างโน้นห้างนี้เปิดใหม่ไปมาหรือยัง หนังเรื่องอะไรสนุกไปดูมาแล้วหรือยัง..แบบนี้แหละค่ะที่กันบอกว่าสนุกๆไร้สาระไปวันๆ..."
ถ้าเป็นคนอื่นพูด ในข้อความนี้ผมก็คงคิดว่าเขากำลังตำหนิการกระทำของเพื่อนๆ ผม แต่เมื่อมันออกมาจากปากเรียวๆบางๆ ด้วยสุ้ม
เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆนั้น มันกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเลยว่ายัยกันกำลังก้าวร้าวตำหนิรุ่นพี่
"วัยรุ่นก็แบบนี้แหละน้องกัน ชีวิตวัยเรียน วัยเที่ยวเรียนรู้ประสพการณ์..ใครๆเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น.."
"ไม่จริงหรอกค่ะ..พี่ชายยังไม่เห็นเป็นแบบเพื่อนๆ ปิดเทอมก็ทำงานหาเงิน เวลาว่างก็อ่านหนังสือเรียน..แบบนี้แหละที่กันชอบ..."
ท้ายเสียงของยัยกันที่พูดออกมาทำให้ผมสะดุ้ง เพราะเธอไม่ได้พูดเฉยๆ แต่แก้มกลับแดงระเรื่อเป็นสีชมพู พร้อมก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ดูเหมือนช่วงเวลานั้นมันเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งมือที่กำลังวาดเส้นลายแรงเงาลงบนกระดาษสีขาว ทั้งหัวใจของผมที่
ดูเหมือนกับว่ามันกำลังหยุดเต้นไปชั่วขณะ จนสักครุ่ผมก็เปล่งเสียงหัวเราะแปร่งๆออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนั้น
"ที่พี่ไม่เหมือนเพื่อนๆ เพราะฐานะพี่ยากจนต่างหากครับ55555...เลยต้องทำงานหาเงินเก็บไว้เรียน ความจริงแล้วในใจพี่ลึกๆก็ไม่ต่างจากเพื่อน อยากเที่ยวบ้าง อยากดูหนังบ้างเหมือนกัน..." ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้เสแสร้งพูดให้ตนเองดูดีเลย เพราะความจริงในวัยขณะนั้นของผม ผมก็อยากจะทำแบบที่เพื่อนๆมันทำกัน

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 8




"แล้วมึงพาน้องกันเขามาขึ้นรถเมล์ได้ไงวะ..."
ผมแอบกระซิบถามไอ้เอกในช่วงที่ยัยกันตาโต มัวแต่มองดูหนังสือการ์ตูนที่วางขายในแผงลอยทางเดินลงท่าน้ำ แต่แทนที่ไอ้เอกเพื่อนของผมมันจะเฉลยคำตอบมันกลับหัวเราะหึๆ วางท่าน่ากวนตีน
"เอาไว้กูจะเล่าให้ฟัง...เรื่องมันยาวว่ะ..ต้องใช้ความสามารถพิเศษอย่างกูเท่านั้นถึงทำได้..."
คำตอบของมันกลับวกวน จนผู้ไม่รุ้ว่าไอ้ความสามารถพิเศษของไอ้เอกนั้นมันคืออะไร แล้วก็เหมือนจะเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะจนกระทั่งผมออกจากโรงเรียน จากเพื่อนๆไป ผมก็ลืมไปเลยว่าเคยถามอะไรไอ้เอกมันไว้
"เห้ยไอ้เอก...เรือมาแล้ว ไวไว..สิมึง.."
เสียงตะโกนโหวกเหวกจากโป๊ะท่าเรือจากไอ้เชิดดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ไอ้เอกเพื่อนผมเลยเดินต้อนยัยกันตาโต ลงไปรอเรื่อที่กำลังเข้ามาเทียบท่า ผมได้แต่มองเบื้องหลังของเพื่อนๆ พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในใจไม่เคยคิดอิจฉาในความโชคดีของเพื่อนๆเลยที่ได้พากันไปเที่ยว ที่ได้มีสาวๆควงกัน
หลังจากวันนั้นอีกสักเดือนเห็นจะได้ที่ผมบังเอิญได้เจอยัยเด็กกันอีกครั้ง และได้พูดคุยกับหล่อน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆก็ตามที เป็นเพราะในวันนั้นช่วงเวลาก่อนเพลเห็นจะได้ ขณะที่ผมได้ขึ้นเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารที่รถเมล์สาย42 ซึ่งทีท่ารถปลายทางอยู่ที่ท่าน้ำศิริราช และต้นทางเสาชิงช้า ช่วงเวลาก่อน11โมงเช้านั้น ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนแล้ว รถเลยใช้เวลารอคิวคันละ15นาทีก่อนที่จะออกจากท่าจอดเสาชิงช้า
ท่าจอดรถเมล์สาย42นั้นอยู่ด้านข้างของวัดสุทัศน์ ใกล้ๆโรงเรียนพาณิชย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ขณะที่รถคันที่ผมเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารกำลังรอคิววิ่งอยู่นั้น สายตาผมก็แลเห็นรถเบนซ์สีงาช้างคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดยังที่จอดรถที่ทางกทม.ทำไว้ให้กับวัดสุทัศน์ อยู่บริเวณสวนหย่อมเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมานัก
แม้ผมจะรุ้สึกคุ้นตากับสีรถและของประดับตกแต่งที่ตัวรถเบ็นซ์ แต่ผมก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นรถที่บ้านของยัยเด็กกันตาโต จนกระทั่งชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงที่เปิดประตูด้านคนขับลงมา แล้ววิ่งมาเปิดประตูด้านหลังให้บุคคลในรถลงมานั่นแหละ ผมถึงจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ขับรถมารับมาส่งยัยกันทุกเช้าและเย็นที่โรงเรียน
เพียงครู่เดียวพ่อแม่และยัยกันเด็กสาวตาโตคนนั้นก็ก้าวลงมาจากรถ จังหวะนั้นบังเอิญที่เธอหันมามองทางผมที่นั่งพักอยู่บนรถเมล์พอ
ดี ในระยะที่ห่างกันร่วมสิบเมตร แค่ถนนสายเล็กๆที่คั่นกลางเท่านั้น ผมเห็นเธอส่งยิ้มมาให้เมื่อสายตาของเราทั้งสองประสานกัน
แต่เพียงแค่แว๊บเดียวยัยกันก็ขมวดคิ้วมุ่นทำหน้าเหมือนเจ็บปวด ก่อนจะเอามือกุมท้องน้อยไว้ ผมเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวสวยด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พร้อมเครื่องประดับหรูหราสวยงามอันแสดงถึงฐานะของหล่อน เอียงหน้าไปถามยัยกันเสียงเบาๆ ยัยกันก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเอียงปากไปกระซิบอะไรกับมารดาเบาๆ หล่อนพยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย จากนั้นก็พาสามีพ่อของยัยกันเดินไปทางประตูเข้าวัด ทิ้งให้ยัยกันกับคนขับรถอยู่เพียงลำพังแค่สองคน
เมื่อร่างของบุพการีทั้งสองของยัยกัน หายลับเข้าประตูวัดไปแล้วเพียงครู่ ยัยกันก็ร้องสั่งคนขับรถของหล่อนเบาๆ ที่ผมไม่ได้ยินถนัดนัก เห็นเพียงเขาค้อมหัวพร้อมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินจากไป ผมมองตามเห็นว่าเขาเดินไปทางร้านขายน้ำที่อยู่ห่างออกไปสักห้าสิบเมตร ยัยกันก็ส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้งพร้อมส่งเสียงเรียกผมเบาๆ
"พี่ชาย..จำหนูได้มั๊ยคะ..."
ยัยกันพูดพร้อมขยับขาก้าวเดินข้ามถนนเข้ามายังรถเมล์ที่จอดอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าผมนิ่ง หล่อนคงไม่แน่ใจจึงยิงคำถามนี้ออกมา เพราะสีหน้าของผมนั้นที่ดูน่างุนงงสงสัย หล่อนคงเข้าใจว่าผมจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่เลย แม้วันเวลาที่ผ่านไป ผมจะพบยัยกันจริงๆจังๆแค่สองครั้ง คือครั้งแรกที่ไอ้เอกมันดึงผมไปพบยัยกันที่คิวขายขนมปัง กับครั้งล่าสุดบนรถเมล์ ที่หล่อนกับไอ้เอกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน
แต่ผมก็ยังจะได้ถึงวงหน้าเรียวขาวที่เกลี้ยงเกลา คิ้วโก่งดำขลับกับดวงตาสุกใสคู่สวย จมูกเป็นสันโด่งรับกับปากสีสดเต็มอิ่มโดยไม่ต้องแต่งแต้มสีสรร พร้อมกับเสียงพูดกรุ๊งกริ๊งหงุงหงิงกังวาลที่ไม่เหมือนใคร
"จำได้สิครับ..." ผมตอบเบาๆ พร้อมบีบอุ้งมือจับกระบอกเก็บเงินแน่นอย่างไม่รู้สึกตัว
"ดีจังที่บังเอิญเจอพี่.." ยัยกันเงยหน้าพูดกับผมด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งๆของหล่อน สองมือจับกระโปรงยาวพริ้วไปมา ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นคงเพราะความร้อนจากไอแดดของหน้าร้อน
"ครับดี..ที่ได้เจอน้องเช่นกัน...มาทำบุญกันหรือครับ..."
ครั้งนั้นผมยังรู้สึกแปลกใจตนเองเลยว่าทำไมเวลาเจอหน้ายัยเด็กคนนี้จังๆทีไร ผมช่างเหมือนคนสติเลื่อนลอยพร้อมใจเต้นระส่ำ เวลาพูดจาก็ดูติดๆขัดๆ โดยไม่ทราบเหตุผล
"ค่ะ..กันมากับคุณพ่อคุณแม่ มาถวายสังฆทานให้หลวงลุงค่ะ..."
เสียงกรุ๊งกริ๊งๆของยัยกันดังแจ้วๆ อีกยืดยาว แต่ดูเหมือนว่าผมจะจับใจความได้เพียงสั้นๆเท่านี้ ลูงคนขับรถก็เดินกลับมา ในมือถือถุงน้ำแดงติดมาด้วย เขายื่นส่งให้กับยัยกันด้วยทีท่าพินอบพิเทา พร้อมกับเงยหน้ามองจ้องผมเขม็งด้วยทีท่าไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก คงคิดอยุ่ในใจว่าผมนั้นเป็นใคร ถึงได้แอบมาคุยกับลูกสาวเจ้านายกระมัง
"พี่ที่โรงเรียนเดียวกันค่ะลุงชิด.."
น้องกันก็คงทราบว่าลุงชิดกำลังมองผมด้วยความแปลกใจ จึงรีบบอกเสียงเบาๆ ลุงชิดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเข้าใจ ก่อนจะจ้องมองหน้าผมอีกครั้ง ผมรีบยกมือไหว้สวัสดีทำความรู้จัก แม้ลุงชิดจะเป็นเพียงคนขับรถ แต่เขาก็อาวุโสกว่าผมเยอะ แม่ผมสอนผมเสมอว่าการไหว้ผู้อาวุโกกว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด ย่อมดีแก่ตัวเองเสมอ เหมือนจะเป็นผล เพราะลุงชิดแกยิ้มตอบสีหน้าแววตาค่อยดูเป็นมิตรขึ้น แล้วเดินผละไปยืนอยู่ข้างรถเบ็นซ์คันงาม
 "ทำไมพี่ชายต้องมาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ด้วยคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งของยัยกันถามขึ้นมา จนผมต้องชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างรถมามองหล่อน พร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ตอบคำถามไปทันที
"แล้วทำไมน้องกันไม่เข้าไปทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่เล่าครับ.."
"อ่อ...เผอิญมะกี้กันปวดท้องน่ะค่ะ..แต่ตอนนี้หายแล้ว" ยัยกันตอบยิ้มๆ แก้มเริ่มแดงขึ้นคงเพราะร้อนจากอุณหภูมิของไอแดด จนผมแลเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆไหลลงมาแถวจอนผม
"น้องกันเข้าไปยืนที่ร่มๆเถอะครับ ตรงนี้มันร้อนตากแดด..."
ผมร้องเตือนเบาๆ ยัยกันก็ยังไม่ยอมขยับตัว จนผมต้องร้องเตือนเป็นครั้งที่สองยัยกันตาโตจึงขยับเดินถอยไปยืนใต้ร่มไม้ที่ปลูกประดับไว้ข้างๆรถของเธอ พร้อมกวักมือเรียกให้ผมลงไปหา ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าหล่อนต้องการให้ผมลงไปหา ไปคุยเรื่องอันใดกันอีก ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เราแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
"พี่ชายคะ...ลงมานี่หน่อยค่ะ.."
ยัยกันตาโตร้องบอกพร้อมกวักมือเรียกผมหยอยๆให้ลงจากรถเมล์มาหาหล่อน แม้ผมจะไม่ค่อยยินดีนักที่จะทำตาม แต่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วลงจากรถเมล์ไปหาหล่อน เพราะเกรงว่าขืนปล่อยให้หล่อนร้องเรียกซ้ำอีก ผู้คนคงแปลกใจและสนใจที่จะมองดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกอายมากกว่าสถานนะที่เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำรถด้วยซ้ำ
เมื่อผมเดินลงยืนต่อหน้าหล่อน ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันเลยสักคำ พ่อกับแม่ของยัยกันตาโต ก็พากันเดินออกมาจากประตูวัด เขาทั้งสองรีบก้าวเดินข้ามถนนเล็กๆตรงมายังรถเบ็นซ์คันงามของตนเองทันที ที่เห็นมีเด็กนักเรียนชายนุ่งกางเกงสีกากีขาสั้นยืนอยู่เบื้องหน้าของลูกสาวคนสวยของตนเอง
"พี่ชายคะ..นี่คุณพ่อคุณแม่ของกัน..."
ยัยกันตาโตรีบแนะนำด้วยสุ้มเสียงกรุ๊งกริ๊ง อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทันที แม้ว่าผมจะมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน แต่เรื่องมารยาทแบบนี้ก็ได้รับการสั่งสอนมาจากผู้เป็นแม่อย่างดี ผมจึงรีบกระพุ้มมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างนอบน้อม พร้อมกับพยายามทำตัวให้
รีบเล็ก
"พ่อคะ..แม่คะ..นี่พี่ชาย พี่นักเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับหนูกันค่ะ..."
ยัยกันตาโตรีบแนะนำตัวผมให้พ่อแม่ของหล่อนรู้จักทันที ผมเหลือบสายตาขึ้นมองในใจคิดว่าคงได้รับการต้อนรับรู้จักอย่างหมางเมินตามวิสัยของคนร่ำรวยกว่าที่มักจะทำเช่นนี้เสมอ แต่ผิดคาด พ่อแม่ของน้องกันส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่มีทีท่ารังเกียจแม้สักนิด
"อืม..แล้วหลานชายมาทำอะไรแถวนี้นี่.."
พ่อน้องกันเป้นฝ่ายสอบถามผมขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดูหนักแน่นจริงจังตามวิสัยของบุรุษที่ผมคาดเดาว่าคงเป็นทหารหรือไม่ก็ตำรวจ เพราะจากบุคคลิคที่ฉายแววลักษณะผู้นำออกมาชัดเจน ต่างจากผู้เป็นแม่ที่เพียงแต่ยิ้มเย็นๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างไปจากลูกสาวเลยแม้สักนิด
"เอ้อ..ผมมาทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม เป็นกระเป๋ารถเมล์เก็บเงินค่าโดยสารที่รถเมล์สายนี้ครับ..."
ผมตอบพร้อมชี้มือไปยังรถเมล์ ด้วยความรู้สึกแสนธรรมดาและจริงใจไม่ได้รู้สึกถึงความอับอายที่ต้องมาทำงานหารายได้แม้สักนิด ผู้เป็นพ่อแม่ของยัยกันมองตามมือของผมด้วยความสนใจพร้อมผุดรอยยิ้มที่ริมฝีปากของทั้งคู่
"ขยันจริงนะหลานชาย...รุ้จักช่วยทางบ้านทำมาหากิน" ผมได้ยินเสียงชื่นชมจากปากของพ่อยัยกัน ก็รู้สึกหัวใจพองโตด้วยความอิ่มเอมใจ ทีทั้งสองท่านหาได้รังเกียจแม้แต่น้อย
"ผมต้องไปทำงานก่อนนะครับ สวัสดีครับ..."
แต่ผมจำต้องรีบกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่รถจะวิ่งออกจากท่า ด้วยความรุ้สึกที่ว่า จะมาเสนอหน้าอยู่เพื่ออะไร เมื่อผมเดินจากมาก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองอีกเลยว่า พ่อแม่ของยัยกันจะพูด หรือรู้สึกเช่นไรในเหตุการณ์ครั้งนี้

สวรรค์เบี่ยง 10


                               ชีวิตคนบ้านนอกก็เป็นไปตามครรลองของความเป็นบ้านนอก ไม่มีสิ่งเติมแต่ง ไม่มีสีสันต์ มีแต่ความเรียบง่าย
                               สามชีวิตที่อยู่กันมานาน ชีวิตดำเนินไปเช่นเดิม เหมือนๆเดิม ที่กรเปลี่ยนไปก็เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย
                               พ่อที่เหี่ยวโรย ลูกสาวที่โตเต็มที่ ลูกชายที่โตตามๆกันมา เมื่อร่างกายเปลี่ยนไป สรีระเปลี่บนไป สิ่งที่ตามมาก็คือ การเปลี่ยนไปของ
อารมณ์ และอารมณ์อะไรจะมีอิทธิพลเท่ากับอารมณ์ใคร่
                               สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อุบุติขึ้นมาบนโลกใบนี้ มีหน้าที่หลักที่ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างแน่นอนก็คือ การผสมพัธ์เพื่อสืบต่อเผ่าพันธ์
ของตนเอง แม้ว่าการผสมพันธ์จะกระทำได้เพียงครั้งเดียวก็ต้องยอม เช่นตั๊กแตนตัวผู้ มันจะมีโอกาสได้เชยชม เสพสมกับตัวเมียเพียงครั้งเดียวก็ตาม
แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ในขณะที่กำลังสมสู่ เจ้าตัวเมียก็จะกัดแทะหัวตัวผู้กินเป็นอาหาร (ไม่รู้มันจะโคตรเสียวไปถึงไหน)
                               แต่การสืบพันธ์ของมนุษย์มันถูกเสริมเติมแต่งจนเกินหน้าที่ มันถูกคัดแปลงจนเป็นการเสพที่แสนจะวิเศษ ไม่มีฤดูกาล ำม่มีสถานที่
ไม่ต้องรอความพร้อม ดมื่อมีความต้องการตรงกัน ก็เริ่มสร้างความพร้อมให้แก่กันและกัน และก็เริ่มผสมพันธ์
                               เช่นเดียวกับบ้านไอ้เที่ยง หลังจากมันได้รู้รสรักกับลูกสาวที่อัปลักษณ์แค่ภายนอก แต่ภายในนั้นยังสมบูรณ์เช่นสาวทั่วไป  เวลาเดียว
กัน อีเดือนที่เรือนร่างไม่เร้าใจให้ชายหนุ่มคนไหนมาจีบ แต่อีเดือนก็ได้รู้รสควยตั้งวัยแรกรุ่น ไล่มาตั้งแต่ขนาดเล็กชนิดเครียมพร้อม ขยับขึ้นมาเป็นขนาดกลางที่
เพิ่มรสชาดขึ้นมาบ้าง และที่สุดของที่สุดก็คือขนาดใหญ่เกินความต้องการ แต่ก็บันดาลให้อีเดือนสำลักความเสียวสุขได้ทุกครั้ง จนมันถึงกับใฝ่หาทุกเมื่อ
เชื่อวัน ครั้นถึงเวลาที่ได้เคยเสพมันก็จะโหยหา รู้สึกคันระริบไปทั้งโคกเนิน ลึกล้ำเข้าไปถึงในรูเลี้ยว และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นทุกคืน ไอ้เที่ยงก็คงจะมี
อาการเช่นเดียวกัน พอถึงที่นอนมันก็จะต้องสนองความต้องการทั้งของมันเองและของลูกสาว เหตุการณ์ซ้ำๆเช่นนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
"อูววว....หีเอ็งเนี่ยเย็ดมันส์เป็นบ้าเลย ทั้งคับทั้งดูด...โอววว....เสียวไปทั้งควยอ่ะ" ไอ้เที่ยงกดควยนิ่งปล่อยให้รูหีลูกสาวตอดดูดท่อนควย
"อื้มม....ก็ควยพ่อมันทั้งใหญ่ทั้งยาวอ่ะสิ มัน..มันยันถึงมดลูกอ่ะ...อูวว...ซี๊ดดดดด...." อีเดือนแอ่นก้นขึ้นรับให้พ่อมันกดเน้นแรงๆ
                                  หลังจากให้พ่อมันกระแทกจนน้ำแตกแล้ว พ่อมันก็หมดแรงนอนแผ่ปล่อยควยพับหลับไป
"อุ๋ย  ....ไอ้ดาว  เอ็ง...เอ็งจะเย็ดขเาหรอ" อีเดือนถามน้องชายเบาๆ ขณะที่มือมันขยุกขยิกอญุ่ที่เนินหี
"อื้มม...ข้าดูแล้วเงี่ยนอ่ะ ก็พ่อเล่นมาเย็ดให้ดูใกล้ๆน่ะสิ  นะ..ขเาขอเย็ดทีนะ" ไอ้ดาวถอดผ้าอีเดือนพี่สาวออก พร้อมๆกับของมัน
"เอออ...ข้าว่าเด๋ยวนี้ควยเอ็งมันชักจะใหญ่ยาวกว่าเดิมนะ" อีเดือนจับควยน้องมันกระทอกเล่นจนหนังร่นลงมาถึงโคนควย
"พี่ไม่ชอบหรอ"  ไอ้ดาวใช้นิ้วกระแซะร่องหีพี่สาวที่เริ่มแฉะเปียกขึ้นลง บางครั้งก็กดคลึงเม็ดแตดเล่น
"ชอบสิ ใหญ่ๆคับแน่นรูหีดี ยาวๆก็เข้าลึกยันมดลูกยิ่งเสียว" อีเดือนตอบพร้อมทั้งกึงร่างเปลือยน้องชายขึ้นมาคล่อมร่างมัน
"เบาๆนะเดี๋ยวพ่อตื่น" อีเดือนกระซิบเตือนน้องชาย
             บางครั้งอีเดือนก็จะหาโอกาสออกไปพบไอ้เปี๊ยกตามคำขอ และก็แน่นอนไอ้ดาวก็จะมีข้อแลกเปลี่ยน ให้ไอ้เปี๊ยกชวนอีแป้งออกไปด้วย
"น้องกูเพิ่งสิบสอง เอ็งก็จับมันเย็ดแระ กว่าจะโต กูว่าคงหีหลวมโพลก"
"คงไม่หรอก ควยข้าก็แค่นี้เอง ไม่ทำให้รูหีอีแป้งถึงกับหลวมหรอก"
"เอออ ๆ ๆ...ตามสบายมึงเหอะ ข้าก็เห็นมันแร่ดๆ ร่านๆ สงสัยจะหิวควย"
             มันก็เป็นดั่งเช่นพี่ชายมันบอก อีแป้งแทบจะโถมเข้ากอดรัดไอ้ดาวทันทีที่เห็นหน้ากัน  มันควักล้วงสิ่งที่มันอยากเล่นออกจากกางเกงไอ้ดาว  มันเป็นของเล่นที่อีแป้ง
ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เป็นท่อนแข็งๆหยุ่นๆอุ่นๆ ทั้งกำรูด ทั้งอม ทั้งดูด ทั้งเลีย มันจะดีใจมากๆที่ทำให้ไอ้ดาวเสียวจนตัวงอ  ไอ้ดาวก็จะสนองตอบด้วยการกอดจูบลูบคลำ ถึงแม้อกอีแป้งเพิ่ง
จะเป็นแค่ตุ่มโปนๆ แต่ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นบ้าง หัวเป็นหัวขึ้นมาบ้าง ไอ้ดาวก็ยังชื่นชมกับการเล่นให้อีแป้งเสียวจนร้องครางได้เหมือนกัน
"โอ๊ยย....อย่ากัดสิ มันเจ็บว๊อย"
"ทีเอ็งยังกัดหัวควยข้าเลย แต่..มันก็เสียวดี..ดูดแรงๆจิ"
             อีแป้งมันก็รู้เพียงว่าถ้าเล่นหีเล่นควยกันแล้วก็เย็ดกัน มันจะรู้สึกดีมากเมื่อตอนท่อนควยไอ้ดาวเข้าไปกระเด้าในรูหีมัน  วันไหนไม่ได้โดนไอ้ดาวเย็ดเอาควยกระเด้ารูหี
อีแป้งก็รู้สึกหงุดหงิด คันระยิบระยับไปทั้งรูหี จนบางครั้งมันแทบอยากบอกให้ไอ้เปี๊ยกพี่ชายมันช่วยเอาควยกระเด้ารูหีให้มันแทนควยไอ้ดาว แต่ก็ยังหวาดๆเพราะมันเคยเห็นควยพี่มันเย็ดอีเดือน
มันใหญ่ยาวกว่าของไอ้ดาว แค่ของไอ้ดาวมันก็ยังรู้สึกเต็มรูหีแล้ว ถ้าโดนของพี่ชายมันจะขนาดไหน แต่มานึกถึงตอนโดนไอ้ดาวเย็ดครั้งแรกมันก็เจ็บจนตัวสั่น พอโดนอีกสามสี่ครั้งก็มันส์
จนลืมเจ็บ มีแต่ความเสียว
             สักวันหนึ่ง......มันจะลองเย็ดกับไอ้เปี๊ยก.....

สอนรัก10

 

  นายปิงได้รับข่าวดีจากน้องกาน เรื่องทางบ้านน้องกุ้งพ่อแม่จะไม่อยู่หลายวัน
"ยัยกุ้งก็เลยชวนหนูไปนอนค้างด้วย คงจะหลายวันมั๊ง" น้องกานบอกชายหนุ่ม
ที่จริงน้องกานก็ยังไม่รู้ถึงตื้นลึกของสองหนุ่มสาว รู้แค่พี่ปิงสนใจยัยกุ้งเท่านั้น
ชายหนุ่มก็ยังคงอึ้งกับข่าวนี้ เพราะยังไม่รู้จะวางแผนยังงัยดี เพราะเป็นไปไม่ได้
ที่สองสาวจะยอมให้เย็ดพร้อมๆกัน แต่ก็คิดว่าคงต้องมีวิธีจนได้
"น้องกุ้งชวนไปวันไหนครับ" นายปิงวางหน้าเฉยถามแบบเรียบๆ
"ที่จริงคงอยากให้ไปตั้งแต่วันเสาร์เลยแหล่ะ เพราะพ่อแม่เดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ค่ะ"
"แหม..พี่กำลังว่าจะชวนน้องกานดูหนังวันเสาร์น่ะ" นายปิงวาดแผนการณ์อย่างรวดเร็ว
"ก็ดูรอบกลางวันสิคะ ตอนเย็นก็ไปค้างบ้านยัยกุ้ง" น้องกานเสนอแนะ
"แต่พี่อยากชวนไปนอนหอพี่น่ะ..นะ..นะ" นายปิงทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ตาส่อแววเจ้าชู้
"เดี๋ยวพี่ปิงก็รังแกหนูอีกอ่ะสิ" น้องกานนึกถึงคืนเสียวที่ไม่มีวันลืม พอพี่ปิงเอ่ยชวน ในใจ
น้องกาน หัวใจเต้นตุ๊บตุ๊บอย่างแรง นึกเสียวจี๊ดที่รูหี มันขมิบน้ำเงี่ยนออกมาโดนอัตโนมัติ
"พี่ไม่ได้รังแกสักหน่อย พี่ทำให้น้องกานมีความสุขมากกว่า"
"มันเจ็บน่ะ...แล้ว..แล้วพี่ปิงจะทำแบบนั้นอีกรึป่าวล่ะ" ถามทั้งที่รู้ว่าต้องโดนอีกแน่ๆ
"ก็แล้วแต่น้องกานสิ แต่พี่ต้องทำอยู่แล้ว อิอิ แต่ถ้าไม่ไหวพี่ก็ไม่ว่าอารัย เลิกทำก็ได้ครับ"
"งั้นหนูเลื่อนไปค้างบ้านยัยกุงวันจันทร์ก็ได้ค่ะ" เพื่อนรึจะสำคัญเท่าผัว ไปเสียวกับพิ่ปิง
ก่อนดีกว่า
"ขอบใจจ้ะ" นายปิงยิ้มอย่างลิงโลด แผนต่างๆผุดขึ้นในสมองเป็นฉากๆ
     เช้าวันเสาร์นายปิงโทรหาน้องกุ้งแต่เช้า
"คิดถึงน้องกุ้งจังเลยครับ คิดถึงทีไร พี่ควยแข็งทุกที"
"พี่ปิงน่ะ ชอบพูดลามกจัง คิดถึงก็มาหาสิ วันนี้กุ้งว่างค่ะ ไม่ได้ออกไปไหน"
ยัยกุ้งดีใจจนเนื้อเต้น อาไรจะเหมาะขนาดนี้ ที่บ้านไม่มีใครอยู่ ยังบังเอิญยัยกานก็เลื่อนนัด
น้องกุ้งนึกถึงวันที่แสนเสียว เธอยังจดจำได้ไม่ลืม สัมผัสที่แสนจะอบอุ่นจากอ้อมแขนพี่ปิง
"งั้นตอนเย็นๆพี่มาหานะครับ" นายปิงรีบฉวยโอกาสทันที
"ค่ะ" น้องกุ้งตอบรับยิ้มกริ่มด้วยความสมหวัง นึกถึงแล้วสยิวไปทั้งตัว
     นายปิงบึ่งมอไซด์ไปรับน้องกานทันที เลือกดูหนังรักกระจุ๋มกระจิ๋ม นั้งกอดนั่งจูบ
"พี่ปิงน่ะ เลยดูไม่รู้เรื่องเลย" น้องกานต่อว่าชายหนุ่มที่มือไม้อยู่ไม่สุข ควักล้วงไปทั่ว
"งั้นเลิกดูเหอะ กลับไปนอนกอดกันดีกว่านะครับ" นายปิงชวนแล้วลุกขึ้นจูงแขนเด็กสาว
     ถึงหอพัก นายปิงไม่ยอมให้เสียเวลา เริ่มบรรเลงเพลงกามทันที ทุกซอกทุกมุม
ถูกชายหนุ่มทั้งลูบทั้งจูบไปทั้งตัว ร่างเปลือยนอนระทดระทวยด้วยความปราถนา
"โอววว...พี่..พี่ปิง...อูวววว.."
"วันนี้พี่จะลองเอาควยเข้าใหม่นะ เอาเข้าเบาๆ..นะครับ"
"คะ...ค่ะ..ค่ะ.." น้องกานก็อยากจะลองให้ควยพี่ปิงเข้าลีกๆเหมือนกัน คงจะทนเจ็บได้
    จากการสำรวจร่างกายน้องกาน นายปิงรับรู้ถีงความพร้อมที่จะรับการเย็ดได้แล้ว
น้ำเงี่ยนที่ทะลักออกมาจนแฉะเยิ้มเต็มรูหี.. พร้อมแล้ว...
"เจ็บนิดหน่อยนะครับ" นายปิงแทรกร่างกำยำเข้าหว่างขาที่ถูกจับแบะอ้าด้วยเข่า
"อูววว....ซู๊ดดดดด....โอววววว....." เสียงครางอย่างอดกลั้น ปล่อยตัวรับหัวถอกเต็มที่
..................................................