วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่11


ผมทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ได้เกือบ6เดือน ก็ต้องลาออก ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ ประการแรกผมเกรงใจป้าข้างบ้านที่คอยดูแลช่วยเหลือแม่ผม ยามที่ผมกลับบ้านดึก อีกประการหนึ่งผมได้รับการชักชวนจากคุณลุงท่านหนึ่ง เสนองานใหม่ให้ผม
ความจริงแล้วผมกับคุณลุงท่านนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เพียงแค่เห็นหน้ากันบ่อยๆแทบทุกเช้าที่คุณลุงแกขึ้นรถเมล์สาย81 จากท่าน้ำศิริราชต้นทาง จนกระทั่งไปลงที่บางแค อันเป็นจุดหมายปลายทาง แกมักจะนอนงีบหลับบนรถเมล์เสมอๆ ซึ่งบางครั้งผมยังต้องปลุกให้แกตื่นเมื่อถึงตลาดบางแคแล้ว แกก็จะรีบลงจากรถไปขึ้นรถบัสหรือมินิแวนคันเล็กๆ สีน้ำเงินที่จอดรออยู่เพื่อไปยังที่ทำงาน
หลังจากเห็นหน้าเห็นตากันมานาน จนพอพูดคุยทักทายกันได้ ในวันหนึ่งคุณลุงสมศักดิ์ท่านนั้นก็เอ่ยปากพูดคุยเป็นเรื่องราวกับผม ถามรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมทั้งอายุ การศึกษา
"ลุงทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัททำข้อต่อน้ำแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย..ตอนนี้บริษัทที่ลุงทำงานกำลังขาดพนักงานตำแหน่งสโตร์..หนุ่มสนใจมั๊ยล่ะ...มีเงินเดือน มีสวัสดิการที่น่าจะดีกว่าเป็นกระป๋ารถเมล์เยอะแยะ..."
"สนใจครับ..แต่เอ้อ..ผมไม่มีประสพการณ์เลยนะครับ ไม่ทราบว่าจะทำได้มั๊ย..." ผมตอบไปตามความจริง
"เห้ย..งานไม่ยากหรอก..ท่าทางหนุ่มฉลาดดี..เรียนรู้สักวันเดียวขี้คร้านจะเป็นงาน..ฮ่าๆๆๆ.."
คุณลุงสมศักดิ์พูดอย่างอารมณ์ดี แล้วนัดแนะให้ผมไปหาท่านที่ทำงานในวันถัดไป ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเลย การได้งานทำประจำ ที่ไม่ต้องเสี่ยงห้อยโหนแบบกระเป๋ารถเมล์มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีเวลามาดูแลแม่ได้อีกด้วย[/post]
แล้วมันก็จริงอย่างทึลุงสมศักดิ์ว่างานมันไม่ได้ยากเลย แค่ใช้ความละเอียดรอบคอบเท่านั้นผมก็สามารถทำได้ แม้เงินเดือนที่จะเริ่ม
สตาร์ทจะน้อยกว่าเงินรายได้จากการเป็นกระเป๋ารถเมล์ก็ตาม แต่ก็มีสวัสดิการส่วนอื่นมาชดเชย เช่นมีคลีนิครักษาพยาบาล เจ็บป่วย
ลางานก็ไม่โดนหักเงินเดือน มีค่าโอเวอร์ไทม์ แถมปลายปียังมีเงินโบนัสเสียด้วย
เนื้องานก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด อย่างที่บอกว่าแค่ละเอียดรอบคอบ ก็สามารถทำงานตำแหน่งนี้ได้แล้ว สโตร์ที่ผมทำงานอยู่นั้น เป็นสถานที่เก็บอะหลั่ย และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต แค่มีคนเงินถือใบเบิกที่เซ็นต์โดยหัวหน้างานมายื่นให้ผม ผมก็หยิบสิ่งของนั้นๆส่งให้เขา พอสิ้นวันก็จัดการทำบัญชีรายละเอียดว่าแผนกใดๆเบิกอะไรไปใช้บ้าง แล้วตัดสต็อคว่าสิ่งของเหล่านั้นเหลืออยู่ในสโตร์อีกจำนวนเท่าใด ควรจะสั่งซื้อมาเพิ่มเติมเมื่อใดอย่างไร แค่นั้นเองก็เสร็จ
ผมไม่ทราบว่าในสมัยนั้นมีคอมพิวเตอร์ใช้งานแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆในหน่วยงานสโตร์ของผมนั้นยังไม่มีใช้ ข้าวของทุกอย่างเลยต้องตัดจากสต็อคการ์ด ซึ่งของบางอย่างก็ใหญ่โตหรือมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในโกดังสโตร์ อย่างเช่นเศษเหล็กหล่อ ถ่านโค๊ก น้ำมันเตา แก๊สแอล พี จี ซึ่งต้องเก็บอยุ่ด้านนอกโกดัง ผมก็จำเป็นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแล
ผมสนุกอยู่กับงานใหม่นี้ แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน ผมไปสมัครลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ทว่าน้อยครั้งมากๆ ที่ผมจะเข้าไปนั่งเรียน นั่งฟังอาจารย์บรรยาย แค่อ่านหนังสือ อ่านชีทที่มีวางขาย และถึงเวลาสอบ ก็ลางานเพื่อไปสอบเท่านั้น จนเวลาผ่านไปถึงสามปีอย่างรวดเร็วที่ผมไม่เคยติดต่อเพื่อนๆที่โรงเรียนเก่าเลยแม้สักครั้งเดียว นอกจากไม่เคยติดต่อแล้วผมก็ไม่ส่งข่าวให้เพื่อนๆรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน ได้เรียนต่อหรือไม่อย่างไร เรียกว่าผมเสมือนคนหายสาปสูญไปจากเพื่อนๆเลยก็ว่าได้
แต่แล้วเมื่อทำงานย่างเข้าปีที่4 ผมก็ลาออก หลังจากผ่านพิธีงานศพของคุณแม่ไปแล้ว ตอนนั้นผมเสมือนเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ เมื่อสิ้นบุญของแม่ ผมจึงลาออกจากงานที่ทำ เพราะคิดว่าเวลา3ปีเต็มๆกับงานสาขานี้ มันน่าจะพอเพียงได้แล้ว ผมมีเงินเก็บพอสมควร ช่วงที่ลาออกจากงานมาเพื่อหางานทำใหม่ ผมจึงไม่ลำบากแต่อย่างใด เวลาผ่านไปไม่นานแค่ไม่ถึงเดือนผมก็ได้งานใหม่ทำที่ดูน่าจะท้าทายชีวิตมากกว่า งานที่ว่านั้นคือเป็นเซลล์ขายเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์คอนดิชั่น นั่นเอง
ในสมัยนั้นแอร์แบบสปริทไทร์หรือแบบแยกส่วนคือมีแฟนคอร์ยตัวทำความเย็นอยุ่ในบ้าน ตัวคอนเด็นซิ่งอยู่นอกบ้าน ใช้การเดินท่อน้ำยาเชื่อมกัน ผนังบ้านถูกเจาะเป็นรุกลมๆเล็กๆเพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทย แต่ก่อนๆบ้านเรามีแค่แบบเดียวคือเป็นตุ้เหลี่ยมๆ ติดตรงช่องหน้าต่าง หรือไม่ก็เจาะกำแพงเป็นรุปสี่เหลี่ยมกว้างๆ แล้วเอาตู้แอร์ขึ้นไปตั้งวาง พอนานๆเข้าก็จะส่งเสียงดังรบกวน แต่แบบใหม่นั้นค่อนข้างเงียบกว่า จึงเป็นที่นิยม แม้ว่าราคาจะแพงกว่ามากก็ตามที
เมื่อผมเข้าไปสมัครงานใหม่นี้ ก่อนจะได้เริ่มงานก็จำเป็นต้องผ่านการอบรมเสียก่อน ถึงวิธีการขาย วิธีการพูดคุยแก้ปัญหาให้ลูกค้า และเท็คนิคปิดการขาย รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่เราจะขาย และสินค้าของคุ่แข่ง เรียกว่าติวเข้มกันถึงอาทิตย์เลยจึงจะจบหลักสูตรเพื่อเริ่มงาน
แม้ว่างานใหม่นี้จะมีเงินเดือนน้อยกว่าเก่าก็ตาม แต่สิ่งที่เราหวังนั้นคือคอมมิชชั่น จากการขายต่างหาก ที่ให้สูงพอสมควร ชนิดที่เรียกว่า ถ้าขายเครื่องปรับอากาศได้เพียงเดือนละเครื่องคอมมิชชั่นที่ได้รับนั้น จะมากกว่าเงินเดือนที่ผม เคยได้จากงานการทำงานสโตร์เสียด้วยซ้ำ
แม้ฟังดูเหมือนกับว่ามันเป็นงานง่ายๆ แต่ขอบอกเลยว่าเมื่อ ผมได้สัมผัสจริงๆเข้า มันกลับไม่ง่ายเลย มันต้องใช้ความเพียร ความอดทนอย่างสุง เพราะเครื่องปรับอากศในสมันเมื่อ40ปีที่แล้วมันเป้นสิ่งของฟุ่มเฟือย ต้องรวยจริงๆจึงจะสามารถเป้นเจ้าของได้ ราคาเครื่องในสมัยนั้นก็หาได้ต่างจากปัจจุบัน ห้องนอนขนาด4เมตรคูณ4เมตร ใช้เครื่องปรับอากาศขนาด1ตัน หรือ12000บีทียูก็พอ แต่ราคาเครื่องละ2หมื่นปลายๆนั้น มันมากโข ถ้าเทียบกับรถเก๋งโตโยต้า หรือนิสสันดัทสันป้ายแดง ราคาเพียงแค่2แสนต้นๆเอง เงินเดือนข้าราชการที่จบใหม่ ก็เพียงไม่กี่พันเช่นกัน ฉนั้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของผม จึงล้วนแล้วแต่เป็นบ้านของคนมีสตางค์ ที่กำลังก่อสร้างใหม่ หรือกำลังปรับปรุงใหม่เท่านั้น
และงานนี้นั่นแหละ คืองานที่ปรับเปลี่ยนชีวิตของผม จากนายสมชายหนอนนักสือ ไม่ประสีประสาในเรื่องผู้หญิง ให้กลายมาเป็นนายสมชายในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น