วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 9

เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียว โรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว ผมขึ้นเรียนชั้นมศ.5 อันเป็นชั้นเรียนปีสุดท้ายแล้วก่อนที่จะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย อย่างที่บอกว่าผมตั้งความหวังไว้ที่มหาวิทยาลัยเกษตร จึงมุ่งแต่เรื่องการเรียน ส่วนเรื่องผู้หญิงหรือเรื่องอื่นๆนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจสนใจใครเลยสักคน แม้แต่ยัยกันตาโตที่มีทีท่าแสดงออกว่าเธอสนใจผมมากกว่าการเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนก็ตาม
แต่ก็ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่เรียนมาจากชั้นมศ.1 จนกระทั่งถึงปีสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ผมไม่เคยพบเคยเจอเด็กสาวคนไหนจะสวยน่ารัก อัธยาศัยดีเท่ากับยัยกันเด็กตาโตคนนี้เลย แม้แต่อัจฉราที่ผมเคยสนใจ หล่อนก็ยังไม่สวยไม่น่ารักเท่ายัยกัน
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรุ้สึกลึกๆเล็กๆทีค้างอยู่เพียงในใจของผมเท่านั้น เพราะความรู้สึกใหญ่ที่มันขวางกั้นตัวผมไว้ ก็คือการเจียมตัวที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจน ไอ้หน้าตารูปร่าง หรือสติปัญญาที่เรียนดีของผมนั้น มันคงไม่สามารถเข้ามาชดเชยได้นักหรอก ผมโตขึ้นมาอีกสองปี ไม่ใช่เด็กมอต้นที่เคยมีคนรักเคยมีความหวังกับเรื่องหวานๆ แต่บัดนี้ผมรู้สึกว่าตนเองโตขึ้นแล้ว เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นคงเพราะการได้ออกไปหางานพิเศษทำในช่วงปิดเทอม ผมจึงมีมุมมองรอบตัวที่รอบครอบขึ้น คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนฐานะอย่างผมจะสะเออะไปปลูกดอกรักกับยัยกันลูกคุณหนูคนนั้น
เมื่อคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นพอช่วงเปิดเทอมมา ผมก็เอาแต่ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว ประกอบกับช่วงเวลาเดือนสิงหาคมของทุกปี จะมีการสอบเทียบของบุคคลภายนอกหรือพูดง่ายๆก็คือพวกนักศึกษาผู้ใหญ่ ที่ไม่มีเวลาเรียนในโรงเรียนแบบพวกเรา ทางกระทรวงจัดให้มีการสอบวัดผลเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม ผมเลยมุมานะในการอ่านหนังสือเพื่อหวังเข้าสอบเทียบบ้าง เพราะถ้าสอบผ่านก็เท่ากับผมได้ประกาศนียบัตรจบชั้นมอปลายไปได้เลย โดยไม่ต้องคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเพื่อสอบไฟนอลเหมือนพวกนักเรียนทั่วๆไปอีกแล้ว
ผมจึงมักแอบหลบเพื่อนๆไปอ่านหนังสือตำราเรียนในห้องสมุดของโรงเรียนเสมอในช่วงเวลากลางวัน หรือช่วงเวลาเรียนที่เผอิญครุประจำในวิชานั้นๆติดธุระไม่ได้เข้าสอนผมก็จะแอบออกไปอ่านหนังสือตามลำพังตามซุ้มม้านั่งบ้าง โคนต้นไม้บ้าง เพราะอยู่ในห้องที่ไม่มีครูมาสอนคงอ่านหนังสือไม่ได้เป็นแน่ เพราะเพื่อนๆมันเอาแต่เล่นเอาแต่คุยส่งเสียงดังรบกวนสมาธิของผม
มีวันหนึ่งในวิชาภาษาไทยที่คุณครูป่วยไม่ได้มาสอน แล้วก็ไม่มีครูมาสอนแทน ผมก็จัดแจงหอบหนังสือออกไปหามุมสงบอ่านแบบเช่นเคย จำได้ว่าเป็นที่ซุ้มม้านั่งใต้ต้นหางนกยูงสีแดง ไม่ไกลจากตึกเรียนเท่าใดนักที่ผมแอบไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตามลำพังคนเดียวนั้น
"พี่ชาย...มานั่งทำอะไรคนเดียวที่นี่คะ..."
เสียงกรุ๊งกริ๊งทักมาที่ด้านหลัง จนผมสะดุ้งเพราะกำลังอ่านหนังสือเพลินๆอย่างตั้งใจ แม้ผมไม่ได้หันไปมองก็รุ้ว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ที่มีกังวารเสียงกรุ๊งกริ๊งแบบนี้ นอกเสียจากยัยเด็กกันตาโตคนนั้น
"อ่ะ..น้องกัน..ไม่เรียนหรือครับ.."
ผมเหลี๋ยวหน้าไปด้านหลังร้องทักตามมารยาท ยัยกันก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้า ในมือมีสมุดวาดเขียนเล่มโตกับดินสอสี่บีถืออยู่ หลายเดือนที่ผมไม่ได้เจอหล่อน ดูว่ายัยกันจะตัวสูงขึ้นตัวโตขึ้นจนเป็นสาว แต่วงหน้ายังเรียวขาวเกลี้ยงเกลาเฉกเช่นเดิม ไม่มีเม็ดสิวแต่งแต้มเหมือนเด็กสาวๆทั่วไปในวัยเดียวกัน
"เรียนค่ะพี่ชาย..วิชาวาดเขียน คุณครูเลยปล่อยออกมาให้หาภาพเพื่อสะเก็ตนอกห้อง..แล้วพี่ชายล่ะคะ..ไม่เรียนหรือ" ยัยกันพูดพร้อมกับค่อยทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม วางสมุดวาดเขียนเล่มโตให้ดูตรงหน้า ว่าหล่อนกำลังวาดวิวต้นไม้ข้างตึกเรียนค้างอยู่
"เรียนสิ..แต่ชั่วโมงนี้ครูภาษาไทยป่วย พี่เลยแอบมานั่งอ่านหนังสือข้างนอก.."
"พี่ชายขยันจัง..แต่อีกตั้งนานนี่คะกว่าจะสอบกลางภาค...ทำไมรีบอ่านเล่าคะ..." ยัยกันขยับปากเรียวๆพูดเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆ พร้อมขยับพลิกหน้ากระดาษวาดเขียนเปลี่ยนใหม่
"อ่าว..ไม่วาดภาพเดิมต่อล่ะครับ..." ผมถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหล่อนเริ่มสะเก็ตวาดภาพด้วยดินเสาแรงเงาเป็นวงกลมแทน
"กันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ..ขออนุญาตวาดภาพพี่ชายแทนได้มั๊ยคะ.." ผมตกใจที่ได้ยินคำตอบ และแม้ว่ายังไม่ทันตกลง มือเล็กๆขาวๆข้อนิ้วเรียวยาวของยัยกันก็เริ่มวาดโครงร่างลงไปในกระดาษสีขาวอย่างคล่องแคล่ว เหมือนคนที่ชำนาญในการวาดภาพเหมือน
"พี่ชายอ่านหนังสือต่อสิคะ..กันไม่รบกวนหรอก..."
ยัยเด็กกันพูดพร้อมจ้องหน้าจ้องตาของผมเขม็งด้วยแววตาที่สุกใสเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปาก เมื่อบอกให้ผมอ่านหนังสือต่อไปโดยที่หล่อนจะไม่รบกวน แต่ผมกลับไม่มีสมาธิที่จะอ่าน แม้ตาจะมองตัวหนังสือแต่ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลา ของยัยกันกับแทรกเข้ามาจนต้องปิดหนังสือไว้นิ่งๆ แล้วมองมือเรียวนิ้วยาวๆของยัยกันวาดเส้นภาพโครงหน้าของผมอย่างรวดเร็ว
"น้องกันเป็นยังไงบ้างล่ะ...." จู่ๆ ผมก็โพล่งถามขึ้นมาจนยัยกันชะงักมือที่กำลังวาด พร้อมเงยหน้ามองสบตาผมแป๋ว
"อะไรคือยังไงคะพี่ชาย.." ยัยกันอมยิ้มย้อนถามด้วยไม่ทราบว่าผมจะถามเรื่องอะไร
"เอ่อ...ก็..ความสัมพันธ์ของน้องกับเพื่อนพี่ แล้วก็กลุ่มน้องแจงน่ะครับ..."
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมผมถึงได้อยากรู้เรื่องเหล่านี้ จนถามยัยเด็กกันออกไป แต่เมื่อหลุดปากออกไปแล้วก็ทำได้แต่นิ่งรอฟังคำตอบจากปากหล่อน
"อ้อ...ก็ไม่มีอะไรนี่คะ..พี่ๆเขาก็สนุกไร้สาระไปวันๆ...กันคบเอาไว้เป็นเพื่อนคุยสนุกๆเท่านั้นแหละค่ะ..ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไหร่.."
คำตอบของยัยกันทำให้ผมต้องเพ่งมองหน้าหล่อนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เด็กตัวแค่นี้อายุเท่านี้กลับสามารถแยกแยะความสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ
"มันเป็นยังไงหรือครับ สนุกไร้สาระไปวันๆที่น้องกันบอกน่ะ..."
"อ้อ..ก็วันๆเอาแต่คุยเรื่องเที่ยวที่โน่นที่นี่ ห้างโน้นห้างนี้เปิดใหม่ไปมาหรือยัง หนังเรื่องอะไรสนุกไปดูมาแล้วหรือยัง..แบบนี้แหละค่ะที่กันบอกว่าสนุกๆไร้สาระไปวันๆ..."
ถ้าเป็นคนอื่นพูด ในข้อความนี้ผมก็คงคิดว่าเขากำลังตำหนิการกระทำของเพื่อนๆ ผม แต่เมื่อมันออกมาจากปากเรียวๆบางๆ ด้วยสุ้ม
เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆนั้น มันกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเลยว่ายัยกันกำลังก้าวร้าวตำหนิรุ่นพี่
"วัยรุ่นก็แบบนี้แหละน้องกัน ชีวิตวัยเรียน วัยเที่ยวเรียนรู้ประสพการณ์..ใครๆเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น.."
"ไม่จริงหรอกค่ะ..พี่ชายยังไม่เห็นเป็นแบบเพื่อนๆ ปิดเทอมก็ทำงานหาเงิน เวลาว่างก็อ่านหนังสือเรียน..แบบนี้แหละที่กันชอบ..."
ท้ายเสียงของยัยกันที่พูดออกมาทำให้ผมสะดุ้ง เพราะเธอไม่ได้พูดเฉยๆ แต่แก้มกลับแดงระเรื่อเป็นสีชมพู พร้อมก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ดูเหมือนช่วงเวลานั้นมันเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งมือที่กำลังวาดเส้นลายแรงเงาลงบนกระดาษสีขาว ทั้งหัวใจของผมที่
ดูเหมือนกับว่ามันกำลังหยุดเต้นไปชั่วขณะ จนสักครุ่ผมก็เปล่งเสียงหัวเราะแปร่งๆออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนั้น
"ที่พี่ไม่เหมือนเพื่อนๆ เพราะฐานะพี่ยากจนต่างหากครับ55555...เลยต้องทำงานหาเงินเก็บไว้เรียน ความจริงแล้วในใจพี่ลึกๆก็ไม่ต่างจากเพื่อน อยากเที่ยวบ้าง อยากดูหนังบ้างเหมือนกัน..." ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้เสแสร้งพูดให้ตนเองดูดีเลย เพราะความจริงในวัยขณะนั้นของผม ผมก็อยากจะทำแบบที่เพื่อนๆมันทำกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น