วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 8




"แล้วมึงพาน้องกันเขามาขึ้นรถเมล์ได้ไงวะ..."
ผมแอบกระซิบถามไอ้เอกในช่วงที่ยัยกันตาโต มัวแต่มองดูหนังสือการ์ตูนที่วางขายในแผงลอยทางเดินลงท่าน้ำ แต่แทนที่ไอ้เอกเพื่อนของผมมันจะเฉลยคำตอบมันกลับหัวเราะหึๆ วางท่าน่ากวนตีน
"เอาไว้กูจะเล่าให้ฟัง...เรื่องมันยาวว่ะ..ต้องใช้ความสามารถพิเศษอย่างกูเท่านั้นถึงทำได้..."
คำตอบของมันกลับวกวน จนผู้ไม่รุ้ว่าไอ้ความสามารถพิเศษของไอ้เอกนั้นมันคืออะไร แล้วก็เหมือนจะเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะจนกระทั่งผมออกจากโรงเรียน จากเพื่อนๆไป ผมก็ลืมไปเลยว่าเคยถามอะไรไอ้เอกมันไว้
"เห้ยไอ้เอก...เรือมาแล้ว ไวไว..สิมึง.."
เสียงตะโกนโหวกเหวกจากโป๊ะท่าเรือจากไอ้เชิดดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ไอ้เอกเพื่อนผมเลยเดินต้อนยัยกันตาโต ลงไปรอเรื่อที่กำลังเข้ามาเทียบท่า ผมได้แต่มองเบื้องหลังของเพื่อนๆ พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในใจไม่เคยคิดอิจฉาในความโชคดีของเพื่อนๆเลยที่ได้พากันไปเที่ยว ที่ได้มีสาวๆควงกัน
หลังจากวันนั้นอีกสักเดือนเห็นจะได้ที่ผมบังเอิญได้เจอยัยเด็กกันอีกครั้ง และได้พูดคุยกับหล่อน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆก็ตามที เป็นเพราะในวันนั้นช่วงเวลาก่อนเพลเห็นจะได้ ขณะที่ผมได้ขึ้นเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารที่รถเมล์สาย42 ซึ่งทีท่ารถปลายทางอยู่ที่ท่าน้ำศิริราช และต้นทางเสาชิงช้า ช่วงเวลาก่อน11โมงเช้านั้น ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนแล้ว รถเลยใช้เวลารอคิวคันละ15นาทีก่อนที่จะออกจากท่าจอดเสาชิงช้า
ท่าจอดรถเมล์สาย42นั้นอยู่ด้านข้างของวัดสุทัศน์ ใกล้ๆโรงเรียนพาณิชย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ขณะที่รถคันที่ผมเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารกำลังรอคิววิ่งอยู่นั้น สายตาผมก็แลเห็นรถเบนซ์สีงาช้างคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดยังที่จอดรถที่ทางกทม.ทำไว้ให้กับวัดสุทัศน์ อยู่บริเวณสวนหย่อมเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมานัก
แม้ผมจะรุ้สึกคุ้นตากับสีรถและของประดับตกแต่งที่ตัวรถเบ็นซ์ แต่ผมก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นรถที่บ้านของยัยเด็กกันตาโต จนกระทั่งชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงที่เปิดประตูด้านคนขับลงมา แล้ววิ่งมาเปิดประตูด้านหลังให้บุคคลในรถลงมานั่นแหละ ผมถึงจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ขับรถมารับมาส่งยัยกันทุกเช้าและเย็นที่โรงเรียน
เพียงครู่เดียวพ่อแม่และยัยกันเด็กสาวตาโตคนนั้นก็ก้าวลงมาจากรถ จังหวะนั้นบังเอิญที่เธอหันมามองทางผมที่นั่งพักอยู่บนรถเมล์พอ
ดี ในระยะที่ห่างกันร่วมสิบเมตร แค่ถนนสายเล็กๆที่คั่นกลางเท่านั้น ผมเห็นเธอส่งยิ้มมาให้เมื่อสายตาของเราทั้งสองประสานกัน
แต่เพียงแค่แว๊บเดียวยัยกันก็ขมวดคิ้วมุ่นทำหน้าเหมือนเจ็บปวด ก่อนจะเอามือกุมท้องน้อยไว้ ผมเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวสวยด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พร้อมเครื่องประดับหรูหราสวยงามอันแสดงถึงฐานะของหล่อน เอียงหน้าไปถามยัยกันเสียงเบาๆ ยัยกันก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเอียงปากไปกระซิบอะไรกับมารดาเบาๆ หล่อนพยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย จากนั้นก็พาสามีพ่อของยัยกันเดินไปทางประตูเข้าวัด ทิ้งให้ยัยกันกับคนขับรถอยู่เพียงลำพังแค่สองคน
เมื่อร่างของบุพการีทั้งสองของยัยกัน หายลับเข้าประตูวัดไปแล้วเพียงครู่ ยัยกันก็ร้องสั่งคนขับรถของหล่อนเบาๆ ที่ผมไม่ได้ยินถนัดนัก เห็นเพียงเขาค้อมหัวพร้อมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินจากไป ผมมองตามเห็นว่าเขาเดินไปทางร้านขายน้ำที่อยู่ห่างออกไปสักห้าสิบเมตร ยัยกันก็ส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้งพร้อมส่งเสียงเรียกผมเบาๆ
"พี่ชาย..จำหนูได้มั๊ยคะ..."
ยัยกันพูดพร้อมขยับขาก้าวเดินข้ามถนนเข้ามายังรถเมล์ที่จอดอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าผมนิ่ง หล่อนคงไม่แน่ใจจึงยิงคำถามนี้ออกมา เพราะสีหน้าของผมนั้นที่ดูน่างุนงงสงสัย หล่อนคงเข้าใจว่าผมจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่เลย แม้วันเวลาที่ผ่านไป ผมจะพบยัยกันจริงๆจังๆแค่สองครั้ง คือครั้งแรกที่ไอ้เอกมันดึงผมไปพบยัยกันที่คิวขายขนมปัง กับครั้งล่าสุดบนรถเมล์ ที่หล่อนกับไอ้เอกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน
แต่ผมก็ยังจะได้ถึงวงหน้าเรียวขาวที่เกลี้ยงเกลา คิ้วโก่งดำขลับกับดวงตาสุกใสคู่สวย จมูกเป็นสันโด่งรับกับปากสีสดเต็มอิ่มโดยไม่ต้องแต่งแต้มสีสรร พร้อมกับเสียงพูดกรุ๊งกริ๊งหงุงหงิงกังวาลที่ไม่เหมือนใคร
"จำได้สิครับ..." ผมตอบเบาๆ พร้อมบีบอุ้งมือจับกระบอกเก็บเงินแน่นอย่างไม่รู้สึกตัว
"ดีจังที่บังเอิญเจอพี่.." ยัยกันเงยหน้าพูดกับผมด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งๆของหล่อน สองมือจับกระโปรงยาวพริ้วไปมา ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นคงเพราะความร้อนจากไอแดดของหน้าร้อน
"ครับดี..ที่ได้เจอน้องเช่นกัน...มาทำบุญกันหรือครับ..."
ครั้งนั้นผมยังรู้สึกแปลกใจตนเองเลยว่าทำไมเวลาเจอหน้ายัยเด็กคนนี้จังๆทีไร ผมช่างเหมือนคนสติเลื่อนลอยพร้อมใจเต้นระส่ำ เวลาพูดจาก็ดูติดๆขัดๆ โดยไม่ทราบเหตุผล
"ค่ะ..กันมากับคุณพ่อคุณแม่ มาถวายสังฆทานให้หลวงลุงค่ะ..."
เสียงกรุ๊งกริ๊งๆของยัยกันดังแจ้วๆ อีกยืดยาว แต่ดูเหมือนว่าผมจะจับใจความได้เพียงสั้นๆเท่านี้ ลูงคนขับรถก็เดินกลับมา ในมือถือถุงน้ำแดงติดมาด้วย เขายื่นส่งให้กับยัยกันด้วยทีท่าพินอบพิเทา พร้อมกับเงยหน้ามองจ้องผมเขม็งด้วยทีท่าไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก คงคิดอยุ่ในใจว่าผมนั้นเป็นใคร ถึงได้แอบมาคุยกับลูกสาวเจ้านายกระมัง
"พี่ที่โรงเรียนเดียวกันค่ะลุงชิด.."
น้องกันก็คงทราบว่าลุงชิดกำลังมองผมด้วยความแปลกใจ จึงรีบบอกเสียงเบาๆ ลุงชิดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเข้าใจ ก่อนจะจ้องมองหน้าผมอีกครั้ง ผมรีบยกมือไหว้สวัสดีทำความรู้จัก แม้ลุงชิดจะเป็นเพียงคนขับรถ แต่เขาก็อาวุโสกว่าผมเยอะ แม่ผมสอนผมเสมอว่าการไหว้ผู้อาวุโกกว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด ย่อมดีแก่ตัวเองเสมอ เหมือนจะเป็นผล เพราะลุงชิดแกยิ้มตอบสีหน้าแววตาค่อยดูเป็นมิตรขึ้น แล้วเดินผละไปยืนอยู่ข้างรถเบ็นซ์คันงาม
 "ทำไมพี่ชายต้องมาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ด้วยคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งของยัยกันถามขึ้นมา จนผมต้องชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างรถมามองหล่อน พร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ตอบคำถามไปทันที
"แล้วทำไมน้องกันไม่เข้าไปทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่เล่าครับ.."
"อ่อ...เผอิญมะกี้กันปวดท้องน่ะค่ะ..แต่ตอนนี้หายแล้ว" ยัยกันตอบยิ้มๆ แก้มเริ่มแดงขึ้นคงเพราะร้อนจากอุณหภูมิของไอแดด จนผมแลเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆไหลลงมาแถวจอนผม
"น้องกันเข้าไปยืนที่ร่มๆเถอะครับ ตรงนี้มันร้อนตากแดด..."
ผมร้องเตือนเบาๆ ยัยกันก็ยังไม่ยอมขยับตัว จนผมต้องร้องเตือนเป็นครั้งที่สองยัยกันตาโตจึงขยับเดินถอยไปยืนใต้ร่มไม้ที่ปลูกประดับไว้ข้างๆรถของเธอ พร้อมกวักมือเรียกให้ผมลงไปหา ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าหล่อนต้องการให้ผมลงไปหา ไปคุยเรื่องอันใดกันอีก ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เราแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
"พี่ชายคะ...ลงมานี่หน่อยค่ะ.."
ยัยกันตาโตร้องบอกพร้อมกวักมือเรียกผมหยอยๆให้ลงจากรถเมล์มาหาหล่อน แม้ผมจะไม่ค่อยยินดีนักที่จะทำตาม แต่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วลงจากรถเมล์ไปหาหล่อน เพราะเกรงว่าขืนปล่อยให้หล่อนร้องเรียกซ้ำอีก ผู้คนคงแปลกใจและสนใจที่จะมองดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกอายมากกว่าสถานนะที่เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำรถด้วยซ้ำ
เมื่อผมเดินลงยืนต่อหน้าหล่อน ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันเลยสักคำ พ่อกับแม่ของยัยกันตาโต ก็พากันเดินออกมาจากประตูวัด เขาทั้งสองรีบก้าวเดินข้ามถนนเล็กๆตรงมายังรถเบ็นซ์คันงามของตนเองทันที ที่เห็นมีเด็กนักเรียนชายนุ่งกางเกงสีกากีขาสั้นยืนอยู่เบื้องหน้าของลูกสาวคนสวยของตนเอง
"พี่ชายคะ..นี่คุณพ่อคุณแม่ของกัน..."
ยัยกันตาโตรีบแนะนำด้วยสุ้มเสียงกรุ๊งกริ๊ง อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทันที แม้ว่าผมจะมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน แต่เรื่องมารยาทแบบนี้ก็ได้รับการสั่งสอนมาจากผู้เป็นแม่อย่างดี ผมจึงรีบกระพุ้มมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างนอบน้อม พร้อมกับพยายามทำตัวให้
รีบเล็ก
"พ่อคะ..แม่คะ..นี่พี่ชาย พี่นักเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับหนูกันค่ะ..."
ยัยกันตาโตรีบแนะนำตัวผมให้พ่อแม่ของหล่อนรู้จักทันที ผมเหลือบสายตาขึ้นมองในใจคิดว่าคงได้รับการต้อนรับรู้จักอย่างหมางเมินตามวิสัยของคนร่ำรวยกว่าที่มักจะทำเช่นนี้เสมอ แต่ผิดคาด พ่อแม่ของน้องกันส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่มีทีท่ารังเกียจแม้สักนิด
"อืม..แล้วหลานชายมาทำอะไรแถวนี้นี่.."
พ่อน้องกันเป้นฝ่ายสอบถามผมขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดูหนักแน่นจริงจังตามวิสัยของบุรุษที่ผมคาดเดาว่าคงเป็นทหารหรือไม่ก็ตำรวจ เพราะจากบุคคลิคที่ฉายแววลักษณะผู้นำออกมาชัดเจน ต่างจากผู้เป็นแม่ที่เพียงแต่ยิ้มเย็นๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างไปจากลูกสาวเลยแม้สักนิด
"เอ้อ..ผมมาทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม เป็นกระเป๋ารถเมล์เก็บเงินค่าโดยสารที่รถเมล์สายนี้ครับ..."
ผมตอบพร้อมชี้มือไปยังรถเมล์ ด้วยความรู้สึกแสนธรรมดาและจริงใจไม่ได้รู้สึกถึงความอับอายที่ต้องมาทำงานหารายได้แม้สักนิด ผู้เป็นพ่อแม่ของยัยกันมองตามมือของผมด้วยความสนใจพร้อมผุดรอยยิ้มที่ริมฝีปากของทั้งคู่
"ขยันจริงนะหลานชาย...รุ้จักช่วยทางบ้านทำมาหากิน" ผมได้ยินเสียงชื่นชมจากปากของพ่อยัยกัน ก็รู้สึกหัวใจพองโตด้วยความอิ่มเอมใจ ทีทั้งสองท่านหาได้รังเกียจแม้แต่น้อย
"ผมต้องไปทำงานก่อนนะครับ สวัสดีครับ..."
แต่ผมจำต้องรีบกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่รถจะวิ่งออกจากท่า ด้วยความรุ้สึกที่ว่า จะมาเสนอหน้าอยู่เพื่ออะไร เมื่อผมเดินจากมาก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองอีกเลยว่า พ่อแม่ของยัยกันจะพูด หรือรู้สึกเช่นไรในเหตุการณ์ครั้งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น