วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 12





ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเสียวนะครับ แม้ผ่านมาสิบกว่าตอน ยังไม่เฉียดเข้าไปใกล้เลยแม้แต่นิด
เพราะเป็นเรื่องที่ผมตั้งใจจะเขียนให้ละเอียดในหลายๆแง่มุม ให้มันเป็นเรื่องยาวๆ มากกว่าทุกเรื่องที่ผมเคยเขียนมา....
ช่วยกันติดตามและให้กำลังใจกันต่อไปด้วยนะครับ แล้วพอถึงตอนเสียวๆ ท่านจะรู้ว่าคุ้มค่ากับการติดตามอ่านเรื่องนี้ของผม
suckaeed...
ก็อย่างที่ผมบอกไปในตอนที่แล้วว่า หลังจากคุณแม่ผมสิ้นชีวิตไป ชีวิตผมก็เหลือเพียงตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ผมจึงไม่เกรงกลัวที่จะทดลองเปลี่ยนงานใหม่ๆดู แม้ว่ามันอาจจะเสี่ยงถ้าไม่ประสพความสำเร็จก็ตาม แต่ผมตัวคนเดียวถ้าจะอิ่มหรือจะอดบ้าง ก็ไม่ต้องมีห่วงกังวลแต่อย่างใด แต่โชคผมยังดีที่รู้จักการเก็บหอมรอบริบมาตั้งแต่ยังเด็ก ผมไม่เที่ยว ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ จึงพอมีเงินเก็บบ้างอยู่เล็กน้อยจากงานที่ทำมาแม้ว่าผลตอบแทนมันจะไม่ได้มากมายอะไรเลย
ช่วงแรกๆที่ผมเข้ามาสมัครงานและผ่านการอบรมเป็นเซลล์ฝึกหัดนั้น ทางบริษัทให้ค่าตอบแทนเป็นเพียงเบี้ยงเลี้ยงรายวันที่เราเข้าทำงาน และเขียนรีพอร์ทว่าทั้งวันเราไปพบใครมาบ้างที่ไหนบ้าง โดยมีค่าตอบแทนเป็นเบี้ยงเลี้ยงวันละ50บาทเท่านั้น ทางบริษัทคงคิดว่าเงินจำนวนเพียงน้อบนิดนี้ให้เป็นค่ารถเมล์ ค่าน้ำดื่ม และอาหารกลางวันเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ คนอื่นๆที่เข้าอบรมในรุ่นเดียวกับผมอาจจะเดือดร้อนไม่พอใช้ แต่สำหรับผมบอกตามตรงเลยว่า บางวันยังเหลือใช้อีกตั้งสิบบาทด้วยซ้ำไป
ผมต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งเลยว่า หลังจากที่เริ่มงานจริงจัง โดยมีหัวหน้าทีมขายชื่อพี่หน่อยแล้วนั้น งานที่ผมเคยวาดวิมานใน
อากศว่ามันคงไม่ได้ยากเย็นขนาดขายไม่ได้เลยนั้น ความจริงแล้วมันขายได้ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ
แล้วคอมมิชชั่นที่เราเห็นว่าทางบริษัทจะจ่ายให้ตั้ง35เปอร์เซ็นต์นั้น พอเอาเข้าจริงๆ กว่าเราจะขายเครื่องปรับอากศได้เครื่องหนึ่งนั้น เราจำเป็นต้องต่อสู้กับคู่แข่งยี่ห้ออื่นๆ โดยการลดราคาขาย วิธีการลดราคาก็คือตัดค่าคอมมิชชั่นของเราออกไปบางส่วน แทนที่จะขายได้เครื่องละเป็นหมื่น บางครั้งได้แค่พันสองพันบาทเราก็จำเป็นต้องขายเสียแล้ว มิเช่นนั้นพอสิ้นเดือนเราจะไม่ได้เงินค่าคอมมิชชั่น และไม่มีผลงานเพียงพอให้ผ่านขั้นตอนของเซลล์ฝึกหัด
ในเดือนแรกที่ผมเริ่มทำงาน ผมต้องใช้ความอดทน และความเพียรเป็นอย่างสูง ในการขอเข้าพบลูกค้าเพื่ออธิบายรายละเอียดของสินค้าที่เราจะจำหน่าย เรียกว่าในเดือนแรกนั้น ผมเดินจนส้นรองเท้าสึกหมดจนต้องเปลี่ยนยางรองพื้นกันใหม่ นามบัตรก็ร่อนแจกจ่ายหมดไปเป็นกล่องๆ แต่ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จ จนรู้สึกทดท้อ ดีแต่ว่าพี่หน่อยซึ่งเป็นหัวหน้าคอยให้กำลังใจ ให้พยายามสู้ต่อไป ให้ผมรำลึกคำขวัญอยู่ในใจไว้เสมอว่า งานทุกงานย่อมสำเร็จด้วยความเพียร
หลังจากย่างเข้าปลายเดือนที่สอง ผมยังจำได้ดีจนทุกวันนี้เลยว่าผมดีใจขนาดไหน เมื่อผมขายแอร์ได้ทีเดียวสามเครื่องซ้อนๆให้กับบ้านหลังหนึ่งในซอยภาณุรังสี ย่านฝั่งธน เป็นบ้านที่สร้างใหม่ใกล้เสร็จแล้ว เหลือเพียงการตกแต่งสีภายนอกอีกเล็กน้อย ก็พร้อมย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้ามาอยู่อาศัย ผมเดินไปพบและเจอลูกค้าเจ้าของบ้านพอดีในวันอาทิตย์ ที่เขาพาครอบครัวเข้ามาดูบ้านใหม่ของเขา
เสียดายว่าผมลืมชื่อเจ้าของบ้านหลังนั้นไปเสียแล้ว แต่ทว่าเขาก็พาผมขึ้นไปชมบ้านด้านบนตามห้องต่างๆที่เขาคิดวางแผนไว้ว่าจะติดแอร์ ผมได้วัดขนาดห้อง แล้วคำนวณความเย็นของบีทียูว่าแต่ละห้องนั้นจะต้องใช้เครื่องปรับอากาศขนาดไหน พร้อมอธิบายระบบการทำงานของสินค้าที่ผมจะขายให้เจ้าของบ้านท่านนั้นฟังอย่างคล่องแคล่วชัดเจน จนเขาเกิดความสนใจ แต่ก็ขอปรึกษากับภรรยาเสียก่อน พร้อมขอนามบัตรผมไว้ ผมกลับออกมาจากบ้านหลังนั้น พร้อมกับวาดฝันไว้ว่าน่าจะขายได้ในไม่ช้า ถ้าไม่มีคู่แข่งมาแย่งตัดราคาไปเสียก่อน
ผมออกเดินไปหาลูกค้าอื่นๆอีกหลายหลัง จนกระทั่งเย็นจึงเดินทางกลับออฟฟิส ทันที่ที่ผมเข้าไปในบริษัท พี่หน่อยก็ชูกระดาษหลากสีที่อยู่ในมือ พร้อมตบมือหัวเราะด้วยความยินดีให้กับผม
"ชาย..พี่ยินดีด้วยนะ..เธอขายแอร์ได้แล้ว..นี่ไงใบสั่งซื้อ..." พี่หน่อยยื่นกระดาษหลากสีซึ่งเป็นใบสั่งซื้อให้ผมดู ผมรับกลับมาดูด้วยความงุนงงสงสัย ว่าผมขายได้อย่างไรกัน
[post]"ลูกค้าที่ชายไปติดต่อวันนี้ไงล่ะ..เขาพาครอบครัวเข้ามาที่บริษัท..บอกว่าชายไปติดต่ออธิบายเสนอขายแอร์ให้เขา ก็เลยตามมาดูของจริง แล้วตกลงสั่งซื้อทีเดียวสามเครื่องตามที่ชายอธิบายให้เขาทราบ...นี่ไงดูสิจ๊ะ.." พี่หน่อยรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความยินดีกับผม
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ถ้าเป็นหัวหน้าคนอื่นๆ อาจโมเมเอาว่าเป็นลุกค้าของตนเองก็เป็นได้ เพราะผมไปเสนอขายก็จริง แต่เขาก็มิได้เซ็นต์ใบสั่งซื้อมาให้กับผม เขาตามมาดูสินค้าและเซ็นต์ใบสั่งซื้อกับพี่หน่อยหัวหน้าของผมต่างหาก แม้ว่าราคาขายมันจะลดราคาลงไปมากจนกระทั่งเหลือค่าคอมมิชชั่นให้กับผมเพียงเครื่องละ1000กว่าบาทก็ตาม ผมก็ถือเสียว่ามันเป็นการขายของชิ้นแรกที่ผมทำได้สำเร็จแล้ว จึงก่อให้เกิดกำลังใจในงานขายขึ้นอีกมากมายกับผม
ผ่านมาจนกระทั่งถึงปลายเดือนทางบริษัทก็มีประกาศออกมาว่า ให้พนักงานเร่งยอดขายสินค้า โดยมีการตั้งรางวัลตอบแทนให้ในงานเลี้ยงวันสิ้นปี โดยนับผลประกอบการขายตั้งแต่เดือนกรกฏาคมเป็นต้นไป ผมจำได้ว่ารางวัลชนะเลิศนั้นตั้งยอดขายไว้ค่อนข้างสูงลิบ
ถึง100เครื่องภายในระยะเวลา6เดือน แต่รางวัลตอบแทนก็ล่อใจอย่างมากมายเป็นรถเก๋งโตโยต้า(มือสอง)รุ่นโคโรล่าKE30พร้อมเงินค่าน้ำมันอีก5000บาท แล้วยังมีรางวัลรองชนะเลิศอันดับอื่นๆอีกห้ารางวัล
สำหรับผมนั้น ไม่ได้เคยคิดหวังเลยแม้แต่น้อยว่าจะได้รถเป็นรางวัล เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำได้ หวังอย่างมากก็แค่รางวัลอื่นๆ ที่น่าจะทำได้ถ้าพยามยามทำงานให้หนักขึ้น เข้าพบลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น เซลล์คนอื่นๆ ในบริษัทส่วนมากเลือกกลุ่มเป้าหมายในกรุงเทพ ในย่านที่เจริญๆ โดยคาดการณ์ว่าจะมีกำลังซื้อได้มากกว่า แต่ผมกลับคิดตรงข้าม
ผมเลือกกลุ่มเป้าหมายย่านฝั่งธนบุรี เหตุผลของผมคือ แม้ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่า แต่การแข่งขันต่อสู้จากเซล์บริษัทอื่นๆ ก็น้อยกว่าเช่นกัน ขอให้ผมได้เจาะเข้าถึงตัวผู้บริโภคเท่านั้น ผมเชื่อว่าด้วยบุคลิคหน้าตา การพูดจาของผม และความซื่อสัตย์ จะสามารถชักจูงมัดใจลูกค้าได้แน่ๆ
ทันทีที่ได้เงินค่าคอมมิชชั่นจากงานขายครั้งแรก ผมก็รีโนเวทการแต่งตัวใหม่ด้วยกางเกงแสล็คผ้าดีๆ เสื้อเชิร์ตแขนยาวมียี่ห้อ พร้อมเน็คไท้ลายสวยๆ กับรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมใส่สบายนุ่มเท้าพร้อมสำหรับการเดินระยะไกลๆ รวมทั้งน้ำหอมโคโลจญ์กลิ่นอ่อนๆ ยามเข้าพบพูดคุยกับลูกค้าจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหงื่อรบกวนเขา
เมื่อผมเตรียมตัวได้พร้อม ขยันเข้าพบลูกค้าได้มากขึ้น ทำงานทั้งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บางครั้งก็ช่วงหัวค่ำนัดพบเพื่อเจอลูกค้า ในเดือนสิงหาคมผมก็เพิ่มยอดขายให้กับตนเองได้อีก5เครื่อง พอเดินถัดมาก็ได้อีก6เครื่อง ความหวังในรางวัลรองชนะเลิศอันดับต่างๆเริ่มอยู่ไม่ไกลจากความฝันของผมแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น