วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่13


เหลือเวลาอีกเพียงสามเดือน ก็ถึงวันเลี้ยงปีใหม่ประจำปีของบริษัท ซึ่งจะมีงานเลียงขอบคุณพนักงานและประกาศผลการแข่งขันการทำยอดขาย ความฝันของผมใกล้จะเป็นความจริงแล้ว เหลือยอดขายอีกเพียง6เครื่อง ผมก็จะได้รางวัลอันดับที่3 เป็นสร้อยคอทองคำหนักสองบาท ในชีวิตของผมนั้น อย่าว่าแต่ทองสองบาทเลย แค่หนวดกุ้งบางๆผมก็ไม่เคยนึกฝันว่าตนเองจะได้เป็นเจ้าของ
"เอ็งว่าจะมีใครทำยอดขายได้รางวัลที่หนึ่งมั๊ยวะ..." วันหนึ่งผมได้นั่งคุยกับไอ้เฉลิม เซลล์รุ่นเดียวกับผม แต่มีหัวหน้าทีมกันคนละกลุ่ม
"พวกเราๆน่ะยากว่ะ..ตั้ง100เครื่องใครจะทำได้..แต่พวกซุปน่ะไม่แน่...พวกนี้จับโครงการใหญ่ๆได้สักสองสามแห่ง ยอดขายก็ทะลุเป้าแล้ว..." ไอ้เฉลิม คุ่แข่งคนหนึ่งของผมสาธยายให้ฟัง
"ทำไมวะ..พวกเราก็ขายงานโครงการบ้างสิวะ..."
"ไอ้ห่าเอ๊ย..มึงนี่ไม่รุ้อะไรเลย..ขายงานโครงการมันต้องสู้ราคากับเจ้าอื่น..ลำพังส่วนลด35% นั้นน่ะ..คิดว่าจะมีคนซื้อหรือวะ.."
"อ่าว..แล้วทำไมมึงถึงบอกว่าพวกซุปจะขายได้ล่ะ.." ผมถามซื่อ ๆ แบบไม่รู้เรื่องราว
"มึงนี่มันหล่อแต่ฟายจริงๆ ฮ่ะๆๆๆ..." ไอ้เฉลิมเพื่อนผมมันหลอกด่าผมเข้าให้ พร้อมหัวเราะฮ่ะๆอย่างชอบใจ
"พวกซุปน่ะเขามีส่วนลดมากกว่าเรา..รู้ไว้ด้วย..พวกเราน่ะลดได้แค่35% คอมมิชชั่นก็ไม่เหลือแล้ว แต่พวกซุปน่ะเขายังมีอีก3+1ให้เล่นกันได้..." ไอ้เฉลิมสาธยายให้ผมฟังอย่างคนที่รุ้เรื่องดี
"ยังไงวะ อธิบายให้ละเอียดหน่อยสิ จะได้เอาไว้เป็นความรู้..." ผมรีบถามออกไป เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลย
"ที่กูบอกว่า3+1น่ะ หมายถึง ถ้าพวกซุปเขาเป็นคนขายแอร์ได้เอง เขาจะสามารถลดราคาได้มากกว่าพวกเราอีก3%จากนั้นก็ยังเหลือยอดขายอีก1%เป็นค่าคอมมิชชั่นไงเล่า..ยอดนี้รวมทั้งที่พวกเราในทีมงานของเขาขายด้วย..ทีนี้กระจ่างมั๊ยวะ..แล้วแบบนี้มึงจะไปสู้ราคาพวกซุปได้ยังไง..กูถึงบอกว่างานโครงการน่ะ พวกเราไม่มีทางสู้ราคาได้"
"แล้วมึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงวะ..."
"วันนึงกูแอบเห็นใบสั่งซื้อของซุปกูน่ะสิ ว่าเขาลดราคาให้ลูกค้าเกินกว่า35%..ตอนแรกกูก็นึกว่าเค้าคิดผิด เลยไปถาม ถึงได้รู้ความจริงมาบอกมึงนี่ไง..ฮ่าๆๆๆๆ" [/post]ไอ้เฉลิมจบการสนทนาด้วยเสียงหัวเราะเยาะผม แล้วก็เดินจากไปแต่ความจริงที่มันบอกกับผมนั้น ผมกลับมองว่ามันคือโอกาศที่จะทำ
ให้ผมสามารถทำเป้าขายได้ร้อยเครื่องขึ้นไป ถ้าได้จับงานโครงการสักแห่งสองแห่ง ซึ่งในสมัยนั้นที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมีเนียมกำลัง
มีคนสนใจกันอยู่พอดี
แม้ผมจะทราบแล้วว่า ศักยภาพการขายของ เรื่องการลดราคามาสุ้กัน จะไม่สามารถสู้พวกบรรดาเหล่าซุปเปอร์ไวเซอร์ได้ แต่ของพรรค์นี้ ถ้าไม่ได้ลองสู้เลยสักครั้ง ผมไม่ถอดใจยอมแพ้แน่ๆ แม้เป้าหมายของผมจะเพิ่มมาเป็นอาคารก่อสร้างแบบคอนโดมิเนี่ยมทั้งหลายก็ตาม แต่ทว่าบรรดาบ้านเล็กๆ ออฟฟิตเล็กๆ หรือคอฟฟี่ช็อปเปิดใหม่ ที่ใช้เครื่องปรับอากาศไม่มากนัก ผมก็ไม่ทิ้งยังคงเป็นเป้าหมายหลักของผมต่อไป
จนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคงเป็นเดือนที่ถูกโฉลกกับราศีเกิดของผมเป็นแน่ ทำให้ผมได้พบกับนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับคุณลุงเจ้าของบ้านที่ทำให้ผมขายเครื่องปรับกาศสามเครื่องแรกได้ คงเพราะผมไม่เคยละทิ้งลูกค้าแม้จะขายได้แล้ว พอผมผ่านไปทางนั้นผมก็มักจะแวะเยี่ยมเยือนพูดคุยสอบถามการทำงานของแอร์แต่ละตัวที่ขายไปเสมอๆ
คุณลุงท่านนั้นจึงแนะนำให้ผมรู้จักญาติห่างๆของท่าน ที่กำลังสร้างคอนโดมีเนียมใกล้เสร็จแล้วขาดการตกแต่งภายในอีกเล็กน้อย และเครื่องปรับอากาศที่จะมาติดตั้งเท่านั้น เมื่อผมได้รับโอกาศที่จะได้เข้าพบตัวเจ้าของโครงการโดยตรง เพื่อพูดคุยเสนอราคา ทำให้ผมต้องกลับไปทำการบ้านเรื่องราคาขายกับทางบริษัทอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกล้าหาญไม่ผ่านผู้จัดการฝ่ายขายที่ควบคุมเหล่าบรรดาซุปเปอร์ไวเซอร์ทั้งหลาย ผมดักรอเพื่อเข้าพบกับเจ้าของบริษัทโดยตรงในออฟฟิตส่วนตัวของท่าน
ผมกลับออกมาจากห้องของเจ้าของบริษัทอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่เรียกว่ายิ้มไม่หุบ เพราะเสี่ยวิทย์เจ้าของบริษัทบอกกับผมว่า ตัวเขาก็สนใจคอนโดมิเนี่ยมโครงการนี้เช่นกัน แต่เข้าไม่ถึงตัวเจ้าของโครงการ  จำเป็นต้องผ่านคนดูแลพวกสถาปนิค หรือวิศวกรโครงการอะไรพวกนั้น ซึ่งพวกนี้ก็อย่างที่ทราบๆดีว่าจำต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชากันเสียก่อน แต่เมื่อผมมาเรียนบอกว่าผมเข้าถึงตัวเจ้าของโครงการได้โดยตรง เสี่ยวิทย์ก็บอกให้ผมสู้ราคาได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าคอมมิชชั่นที่จะได้รับ ขอให้ได้งานนี้มา จะมีเงินพิเศษ พร้อมตำแหน่งให้กับผม
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป้าหมายสุดยอดท็อปเซลล์นั้นจะเป็นของผม แต่ผมก็ได้รับมันมาในวันงานเลี้ยงส่งท้ายประจำปี แต่ผมไม่ได้มันมาเพราะราคาที่ลดสู้แต่อย่างใด เพราะบริษัทอื่นๆที่เข้าเสนอราคา ก็สู้กันลดราคากันแหลกลาญได้ไม่ต่างจากผม แต่ผมได้มันมาเพราะความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความหมั่นเพียรที่ผมไม่เคยทิ้งลูกค้าเลยสักรายเดียว โดยที่คุณลุงญาติของพี่เวทย์เป็นผู้ยืนยันการันตี
ผมแอบหยิกขาตัวเองแรงๆ เพราะคิดว่าผมกำลังฝันไปหรือเปล่า เมื่อเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยเจ้าKE30 สีดำคันนั้น แล้วก็พบว่าตนเองเจ็บขาเจ็บเนื้อที่กำลังหยิกแรงๆ แสดงว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน ของเด็กหนุ่มวัยเพียง22ซึ่งเรียนจบแค่มัธยมปลายเท่านั้น วันหยุดปีใหม่ปีนั้นผมคงเป็นคนที่โชคดีมีความสุขที่สุด ไหนจะเงินพิเศษเป็นค่าคอมมิชชั่นที่ทางบริษัทจ่ายให้สามหมื่นบาท ไหนจะเจ้ารถเก๋งสีดำคันนี้พร้อมค่าน้ำมันอีก5พัน ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีเงินเกือบ4หมื่นบาท สำหรับการเริ่มปีใหม่ปีนั้น พร้อมตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ ที่จะทำการประกาศแต่งตั้งในวันเปิดทำการเริ่มงานอีกครั้ง
"ก๊อกๆๆ...ชายจ๊ะ...มีรถใหม่นี่ขับเป็นหรือยัง..."
จู่ๆก็มีเสียงเคาะกระจก ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อผมไขกระจกด้านข้างลดลงมา เสียงอ่อนๆ หวานๆ ของพี่หน่อยก็ดังแทรกเข้ามา
"ยังไม่เป็นครับ.." แม้ว่าผมจะเคยขับรถเมล์ถอยเข้าเดินหน้าถอยหลังในอุ่ตามที่ลูกพี่คนขับรถวานใช้ก็จริง แต่นั่นมันเป็นอู่จอดรถว่างๆ ไม่ได้วิ่งไปวิ่งมาเหมือนเช่นที่ผมกำลังมองอยู่ด้านหน้ากระจก
"ตายจริง...แล้วนี่จะขับกลับบ้านยังไงคะ.."
แม้ผมจะรุ้สึกว่าเสียงของพี่หน่อยสาวใหญ่วัยสามสิบจะดูอ่อนหวานมากกว่าทุกครั้งก็ตาม แต่อารามความดีใจที่ผมมีรถขับ ทำให้ผมไม่รุ้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด
"แล้วแม่ย่านางประจำรถล่ะจ๊ะ..มีหรือยัง..."
เท่าที่ผมเคยรู้จากลูกพี่คนขับรถเมล์นั้น รถทุกคันย่อมมีแม่ย่านางให้กราบไหว้บูชาด้วยพวงมาลัยดอกไม้สดอยู่แล้ว แต่พอพี่หน่อยมาถามเช่นนั้น ผมก็ทำหน้างงเหว๋อๆ หรือว่าความรุ้นั้นมันผิด
"ฮิอิฮิอิๆๆๆ..พี่หมายถึงแฟนน่ะจ๊ะ เป็นแม่ย่านางของรถ ชายมีหรือยังจ๊ะ.." เสียงพี่หน่อยขบขันกับสีหน้างุนงงเหว๋อๆของผม ก่อนจะเฉลยให้ฟัง ผมรีบสั่นหัวปฎิเสธอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
"งั้นพี่จะสอนขับรถให้ แล้วจะพาชายไปส่งบ้าน พร้อมยอมเป็นแม่ย่านางจำเป็นให้สักครั้ง ดีมั๊ยจ๊ะ..."
พี่หน่อยพูดพร้อมเปิดประตุรถด้านข้างผมออก แล้วฉุดดึงมือผมลุกขึ้นออกมาจากรถ ก่อนจะแทรกร่างเซ็กซี่ๆ เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ผมได้แต่ยืนมองงงๆ สายตาแลเห็นกระโปรงพี่หน่อยถลกรั้งสูงขึ้นไปจนเกือบเห็นอะไรๆที่ไม่บังควรเห็น ทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนหน้าแดง รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที
"เดินอ้อมมาขึ้นรถสิจ๊ะ..หนุ่มน้อย..."
เสียงหวานๆของพี่หน่อยเร่งอีกครั้ง จนผมไม่มีเวลาไตร่ตรองเรื่องดีหรือไม่ คิดแต่เพียงว่าเรามันช่างโชคดีต้อนรับปีใหม่เหลือเกิน ที่ซุปสาวขวัญใจของพนักงานชายทั้งบริษัท มีเมตตาปราณียอมขับรถไปส่งบ้าน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น