วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 10





เวลาที่ผมรู้สึกว่ามีความสุข มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดชั่วโมงวาดเขียนของยัยเด็กกัน และชั่วโมงภาษาไทยของผม ผมจึง
รีบลุกขึ้นจากโต๊ะนั่ง ทั้งๆที่ยัยกันยังไม่ทันวาดรูปผมเสร็จ
"หมดเวลาแล้ว..พี่ต้องไปก่อนนะครับ..." ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยัยกันรีบเก็บดินสอใส่กล่อง พร้อมพับสมุดวาดเขียนที่ยังเขียนรูปค้างอยู่เข้าที
"ค่ะพี่..ชาย...กันวาดเสร็จแล้วจะเอาไปให้พี่ดูคนแรกเลยนะคะ..." ยัยกันพุดพร้อมเก็บข้าวของสิ่งต่างๆเข้าที แล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน
"อ่ะ..แล้วน้องกันจะวาดต่อได้ไงล่ะครับ  พี่คงไม่ได้มีเวลามาเป็นแบบให้แล้ว..." ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบจากปากเรียวบางเล้กๆนั้น กลับทำให้ใจผมพองโตขึ้นมาได้อย่างประหลาด
"กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ..."
ร่างของเจ้าของเสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆ แม้เดินจากไปแล้ว แต่กระแสเสียงมันยังดังซ้ำๆอยู่ในหัวของผม แม้กระทั่งผมเดินกลับเข้าห้อง
เรียนแล้วก็ตาม...กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ...
หลังจากวันนั้น วันที่ยัยกันตาโต มาทำให้หัวใจของผมพองขยาย ผมก็พยายามที่จะหลีกหนีไม่อยากเจอหน้าหล่อนอีก แม้ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเรียน เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ ใบหน้าหวานๆขาวๆเกลี้ยงเกลา ก็ยังลอยเข้ามารบกวนสมาธิการอ่านหนังสือของผมได้บ่อยๆ จนผมต้องท่องคาถากันใจตัวเองบ่อยๆ เวลาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ..เจียมตัว...ๆๆๆๆ
แล้วความโชคดีและโชคร้ายก็เข้ามาเยือนผมในระยะเวลาไม่ห่างกันเลย ผมโชคดีที่สอบได้ ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบมศ.5 ในภาคเรียนปรกติ ซึ่งเท่ากับผมมีวุฒิการศึกษาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้แล้ว แม้จะไม่เข้าเรียนในโรงเรียนก็ตาม แต่โชคร้ายกลับเป็น
เรื่องร้ายที่ทำให้ชีวิตผมพลิกผันจากความตั้งใจ อย่างที่เกริ่นในตอนแรกที่ว่าผมไม่มีโอกาศ ได้สอบเอ็นทรานซ์เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนเองตั้งเข็มเอาไว้
เรื่องนั้นก็คือมารดาของผมประสพอุบัติเหตุ ในขณะที่ทำงานจนพิการเป็นอัมพาธ ผมขอข้ามเรื่องสะเทือนใจในช่วงนี้ไปนะครับ ไม่
อยากเขียนเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผลที่ผมได้รับนั้น ทำให้ต้องเบนเข็มชีวิตใหม่ในเรื่องการเรียน ผมนอนคิดอยู่หลายคืน จนตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เพื่อมีเวลาหางานทำเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว สมัยนั้นยังไม่มีโครงการประกันสังคม แม่ผมจึงไม่ได้รับการช่วยเหลืออันใดมากมาย นัก เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างออกให้ พร้อมกับเงินเยียวยาอีกเล็กน้อย ชีวิตคนจนๆ
คนหนึ่งก็จบลง ง่ายๆแค่นั้นเองครับ
ผมลาออกจากโรงเรียนอย่างเงียบๆ เพื่อไปทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง โดยฝากร่างพิการของแม่ ให้ป้าข้างบ้านช่วยดูแลในช่วงที่ผมออกไปทำงาน แต่การทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ในสมัยนั้น มันทำตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกครั้ง ก็เที่ยงคืนไปแล้ว แรกๆป้าข้างบ้านก็ใจดีดูแลแม่ผมให้ แต่ครั้นนานๆเข้าผมก็เกรงใจ ที่ตนเองไม่มีเวลาด้วยตัวเอง ครั้งนี้ผมเลยทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ได้เพียงช่วงสั้นๆ ก็หางานใหม่ทำ
ผมยังคงจำได้ดี ไม่มีวันลืมถึงวันสุดท้ายที่ผมไปลาออกจากโรงเรียน แม้จะได้รับการคัดค้านจากอาจารย์ประจำชั้นและอาจารย์ใหญ่อย่างไรก้ตาม แต่ผมก็ยังยืนยัน พร้อมให้เหตุผลที่จำเป็นที่ต้องมาลาออกด้วยตนเองโดยไม่มีมารดาหรือผู้ปกครองมาจัดการให้ สุดท้ายอาจารย์ใหญ่ก็จะยอมให้ผมลาออกกลางคันโดยดี
"สมชาย..เธอเป็นเด็กดี...รักษามันไว้นะ..สักวันครูเชื่อว่ากรรมดีที่เธอกระทำ จะสนองตอบให้เป็นคนดีมีอนาคตที่ดีได้ในอนาคต" เป็นคำอวยพรสุดท้ายที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ หลังจากที่ผมก้มลงกราบแทบเท้า
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องอาจารย์ใหญ่แล้ว ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปบอกลาเพื่อนๆในห้อง แต่คิดว่าเรื่องนี้คุณครูประจำชั้นคงไปบอกข่าวให้เพื่อนๆทราบกันแล้ว  และก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อพบเพื่อนๆทั้งห้องยืนออกันอยู่ตรงบรรไดทางเดิน
"ไอ้ชาย..ทำไมต้องลาออกด้วยวะ..." ภาพมันเบลอจนผมจำไม่ได้หรอกว่าใครบ้างที่เป็นคนถามประโยคนี้ซ้ำ ผมไม่ได้บอกเหตุผลที่
แท้จริงให้เพื่อนๆทราบ บอกเพียงแต่ว่ามันเป็นความจำเป็น เพื่อนที่สนิทมากบางคนตรงเข้ามาสวมกอดลาบ้าง จับไม้จับมือลาบ้าง บางคนที่ใจอ่อนหน่อยถึงกับมีน้ำตาซึมที่หางตา บางคนก็อวยพรว่าเราจะต้องได้เจอกันในรั้วมหาวิทยาลัย สุดท้ายผมก็ได้ร่ำลาเพื่อนๆทุกคนจนคิดว่าครบหมดแล้ว
ขณะที่กำลังหันตัวกลับเพื่อจะเดินออกไปจากตัวตึกเรียน เบื่องหน้าของผมก็เจอร่างเพรียวสุงๆบางๆ ของเด็กมอต้นยืนขวางอยู่ ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลานั้นแสนคุ้นตา ยิ่งน้ำเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆนั้น แม้หลับตาผมก็ยังจำได้ดีว่าเป็นเด็กชื่อกันนั่นเอง
"พี่ชาย...จะลาออกจริงๆหรือคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆที่ผมเคยได้ยินจากริมฝีปากเรียวบางเสมอมานั้น กลับสั่นสะท้านเหมือนคนที่กำลังตกใจ เสียใจ
"ครับ.." ผมตอบได้เพียงสั้น ๆ เพราะไม่สามารถบังคับน้ำเสียงตนเองที่มันสั่นไหวได้เช่นกัน
"พี่ชายรอกันแป๊บนึงได้มั๊ยคะ...กันมีของมาให้..." เด็กสาวยื่นมือเรียวเล็กฉวยจับข้อมือผมเขย่าพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอ ผมไม่อยากให้เธอทำท่าทางที่ดูเปิดเผยความรู้สึกเช่นนี้ออกมาเลย เพราะเบื้องหลังของผมยังคงมีเพื่อนๆในห้องกลุ่มใหญ่ยืนมองอยู่ และหนึ่งในนั้นก็น่าจะมีไอ้เอกรวมอยู่ด้วย ผมรีบพยักหน้าตอบตกลง น้องกันก็หันกลับวิ่งไปยังห้องเรียนของเธอทันที
สักครู่ก็มีมือเอื้อมมาแตะที่ไหลผมเบาๆ ผมหันกลับไปมอง คาดการณ์ว่าคงเป็นไอ้เอกเพื่อนผมเป็นแน่ แล้วก็ใช่จริงๆ มันคงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมยอมรับว่าไม่กล้ามองสบตามันเลย ผมเหมือนคนทำผิด เพราะรู้ๆอยู่ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับน้องกัน
"กูเข้าใจเพื่อน...คนดีๆอย่างมึง สมควรแล้วที่น้องกันจะแอบชอบ..."
มันพูดสั้นๆ แต่ข้อความนั้นมันกินใจผมไปอีกนานแสนนาน สักครุ่น้องกันก็วิ่งกลับมาหาอย่างรีบร้อน ในมือของเธอมีม้วนกระดาษวาดเขียนสีขาวถืออยู่ เธอเดินตรงมายื่นใส่มือของผม
"กันวาดเสร็จหลายวันแล้วค่ะ..แต่ไม่เห็นพี่ชายมาโรงเรียน เลยยังไม่ได้เอามาให้..." แม้ผมไม่ได้คลี่ม้วนออกดู ผมก็รุ้ว่าภาพในกระ
ดาษวาดเขียนแผ่นนั้น มันเป็นภาพอะไร
"ขอบคุณครับ..พี่ไปก่อนนะ..."
ผมบอกน้องกันด้วยเสียงที่แผ่วเบาพริ้วสั่น ก่อนจะหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆด้วยประโยคเดียวกันอีกครั้ง แล้วเดินจากเพื่อนกลุ่มนั้นออกไปจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว จนกลับมาถึงบ้าน ผมถึงได้คลี่ม้วนกระดาษวาดเขียนออกดู มันเป็นภาพเหมือนของผมจริงๆ แม้ฝีมือการวาดลายเส้น แม้จะไม่ได้งดงามเหมือนมืออาชีพ แต่ถาพนั้นมันกลับสวยงามในความรู้สึกของผม จนอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของผมแทบจะทันที เมื่อความจริงที่อยู่ในใจเตือนตัวเองอีกครั้งให้เจียมตน..
ผมมองรูปวาดที่คลี่กางอยู่ในมืออีกครั้ง แลเห็นชื่อของคนวาดอยู่มุมล่างด้านขวาของภาพอย่างชัดเจน กันทิมา ตามด้วยนามสกุลและที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์อย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะจดจำ ม้วนภาพนั้นกลับเข้าที่ตามเดิม แล้ววางมันไว้ในกล่องใส่หนังสือ จากนั้นจำได้ว่าอีกสองสามปีผ่านไป ผมถึงได้หยิบถาพนั้นมาใส่กรอบ แล้วประดับอยู่ที่ฝาผนังบ้านผมจนกระทั่งทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น