วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ความอัดอั้น 5



ห้าเดือนผ่านไป...

ผมขึ้นมาอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่ เราย้ายเข้าพักในคอนโดที่ตั้งอยู่หน้ามอพอดี แม่ตกลงเช่าร้านดอกไม้ต่อจากเจ้าของเก่าและหาความรู้เกี่ยวกับการจัดดอกไม้ ซึ่งก็ปรากฏว่าแม่ทำได้ดีเลยล่ะ โดยมีผมเป็นลูกมือในการช่วยรับออเดอร์ ช่วยไปซื้อดอกไม้จากตลาด ช่วยจัด และจ้างวินมอเตอร์ไซด์ไปส่งดอกไม้ตามที่ลูกค้าสั่ง เรียกว่าทำแทบอยู่อย่างเลย ซึ่งก็เป็นโชคของเราว่าช่วงนี้เป็นช่วงรับปริญญาของมหาวิทยาลัย เราสองคนแม่ลูกรับออเดอร์จำนวนมากมายจนทำแทบไม่ทัน บางวันต้องนอนค้างที่ร้านเพื่อจัดดอกไม้ให้เสร็จตามกำหนดด้วยซ้ำ อ้อ!ลืมบอกไป เราตั้งชื่อร้านและติดป้ายไม้เล็กๆหน้าร้านว่า “เพียงนภา” ตามชื่อแม่ด้วยล่ะ

ร้านของเราก็เหมือนร้านดอกไม้ทั่วๆไป เป็นกระจกด้านหน้า มีกระเช้าดอกไม้วางโชว์อยู่บนชั้นเรียงเป็นระดับ ภายในร้านมีโต๊ะทำงานเล็กๆ มีตู้แช่ดอกไม้เพื่อรักษาความสด ด้านหลังกั้นฉากเพื่อวางตั่งเล็กๆสำหรับให้แม่นอนพักผ่อนเวลาที่ไม่มีลูกค้าเข้า ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านในสุด ร้านเปิดแอร์เพื่อให้ดอกไม้ที่วางโชว์สดอยู่ตลอดเวลา

ส่วนห้องพักในคอนโดของเรามีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น และยังมีมุมทำครัวเล็กๆอยู่ด้านหลัง ระเบียงห้องมองเห็นประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งมีนักศึกษาเดินเข้าออกตลอดเวลา เจ้าของห้องจัดวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ให้เรียบร้อย เราแค่ขนเสื้อผ้าและของจำเป็นเข้าอยู่เท่านั้นเอง ผมกับแม่นอนด้วยกันในห้อง ซึ่งก็สารภาพว่าช่วงที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ พอถึงเวลานอน เราแทบไม่ได้ใส่เสื้อผ้ากันเลย เพราะถ้าไม่เป็นแม่สะกิดผม ก็เป็นผมสะกิดแม่ คงเป็นเพราะเปลี่ยนที่เปลี่ยนบรรยากาศมั๊ง กว่าจะได้หลับได้นอนก็เกือบเที่ยงคืนทุกวัน ยกเว้นวันที่เราเพลียจากงานที่ร้านพร้อมกันจริงๆถึงจะได้นอนเร็ว

บางวันผมวิ่งส่งของจนเพลีย แต่แม่ยังไม่ง่วง พอเข้านอนก็เลยต้องกลายเป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องใช้ทั้งปากทั้งลิ้นปลุกจนผมตื่นแล้วปีนขึ้นมาอยู่บนตัวผมเพื่อจับดุ้นเอ็นมุดเข้าไปในร่องเนื้อแล้วโยกจนเราถึงจุดสุดยอดพร้อมกัน แม่ถึงจะล้มตัวลงมานอนข้างๆแล้วค่อยหลับไปด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหน้าที่ของผมในการออกแรงมากกว่า ไม่อยากให้แม่ออกแรงมากนัก เพราะนับวันแม่ก็จะท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องระวังเวลาทิ้งน้ำหนักตัวลงบนตัวแม่ขณะที่หาความสุขกันเพื่อไม่ให้กระเทือนถึงน้องที่อยู่ข้างใน ตอนเช้าเราถึงจะใส่เสื้อผ้าออกมาจากห้องนอนเพื่อเริ่มวันใหม่ต่อไป แต่แม่ก็บ่นอยู่บ้างเหมือนกันเพราะต้องซักผ้าปูที่นอนแทบจะวันเว้นวันเพื่อลบคราบที่เราปลดปล่อยกันออกมาในตอนกลางคืน ผมได้แต่หัวเราะเสียงบ่นนั้น เพราะเห็นแม่ได้แต่บ่น แต่ไม่เคยคิดจะเลิกทำให้ผ้าปูที่นอนเลอะเทอะซักที

ความอึดอัดใจอย่างหนึ่งของผมก็คือสายตาของคนอื่นๆเวลามองแม่หรือมองผม เพราะพวกนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่พวกเขารับรู้ว่าเราสองคนเป็นแม่ลูกกัน แม่ต้องตัดใจบอกว่าเด็กในท้องเป็น “ลูกหลง” ที่พ่อฝากไว้ให้ก่อนจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถ ซึ่งอุบัติเหตุนั้นทำให้แม่ไม่สามารถทำใจอยู่ที่เดิมได้ จึงย้ายถิ่นฐานมาปักหลักอยู่ที่นี่ และก็ยังดีอยู่บ้างที่ผมมีใบหน้าถอดมาจากด้านแม่ พอจะเป็นหลักฐานได้ว่าเราเป็นแม่ลูกกัน ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะเชื่อหรือเปล่า แต่เราก็อธิบายอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าเราขึ้นมาอยู่ที่นี่ได้ห้าเดือนแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่ร้านหรือชีวิตครอบครัว นอกจากหนังสือเรียนที่ผมอ่านทบทวนแล้ว ผมยังพยายามหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเด็กด้วยเพื่อเตรียมรับมือกับการทำหน้าที่เป็นพ่อ(ตามที่แม่เคยบอกว่าผมต้องเป็นทั้งลูกและพ่อพร้อมๆกัน) เพราะน้องในท้องแม่ก็ตัวใหญ่ขึ้นทุกวันๆ เดี๋ยวนี้พอเราเข้านอน ผมจะเห็นว่ารูปร่างของแม่เปลี่ยนไปแล้ว หน้าท้องที่เคยแบนราบก็นูนสูงขึ้นชัดเจน สองเต้าขยายใหญ่ขึ้นอีก ป้านตรงหัวนมก็เปลี่ยนสีเข้มขึ้น ยิ่งตรงหัวนมนะ ไม่ต้องพูดถึงเลย มันเปล่งขึ้นมาเป็นเม็ดสีเข้มขนาดนิ้วก้อย คงเพื่อเตรียมสำหรับให้น้องที่กำลังจะเกิดไว้กินนมแน่ๆ ช่วงหลังๆนี่แม่จะนอนใส่ยกทรงกับกางเกงในและยังมีผ้าอนามัยไว้ตลอด บอกผมว่าสองเต้าขยายขนาดพรวดพราดอย่างนี้ พอคลอดแล้วมันจะคล้อยตัวลง ต้องใส่ยกทรงเพื่อรักษารูปร่างไว้ ส่วนที่ต้องใส่กางเกงในเพราะบางทีมันจะมีอาการที่แม่เรียกว่า “น้ำเดิน” ซึ่งจะออกมาช่วงที่นอนหลับ ถ้าไม่ใส่ผ้าอนามัยไว้จะทำให้ผ้าปูที่นอนเลอะเทอะ ผมก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักหรอก
........................................................................

วันนี้เราปิดร้านเร็วเพราะเห็นว่าคงไม่มีลูกค้าแล้ว ผมกับแม่หาอะไรทานกันข้างนอกเลยเพราะไม่อยากเสียเวลาขึ้นไปทำกับข้าวบนห้อง เดี๋ยวนี้แม่เลิกใส่กางเกงยีนส์แล้ว เปลี่ยนมาเป็นกางเกงผ้าฝ้ายแบบมียางยืดตรงขอบเอวแทนเพราะหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นได้ชัด เสื้อก็เป็นเสื้อผ้าฝ้ายแบบหลวมๆ และเพราะการที่ท้องใหญ่ขึ้นทำให้ผมต้องระวังแทนแม่ในทุกเรื่องแม้แต่การเดินเพราะกลัวว่าแม่จะลื่นล้ม

“อย่างนี้เราก็คงต้องงดแล้วใช่หรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยปากถามหลังจากที่เราอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยและเข้านอนโดยมีร่างของแม่นอนอยู่ข้างๆ ฝ่ามือผมลูบไล้บนหน้าท้องของแม่เบาๆ
“ไม่หรอกเอก...” แม่หันมายิ้มให้ ชะโงกหน้าจูบหน้าผากผมเบาๆ “...อีกซักสองเดือนน่ะ ถึงต้องงดจริงๆ”
“แต่ว่า...” ผมมองหน้าท้องของแม่ที่นูนสูงขึ้น ถึงจะมีอารมณ์จนแข็งไปหมดแต่ผมก็ยังลังเล “...ผมไม่กล้าแล้วน่ะครับ”
แม่ยิ้มให้ ถึงรูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้างามก็ยังติดตรึงใจผมอยู่ตลอด แม่แอ่นตัวเอื้อมมือไปปลดตะขอยกทรงออก สองเต้าที่เบ่งขยายตัวตามลักษณะของคนท้องยังคงงดงามถึงแม้จะทิ้งตัวแบะออกด้านข้างเล็กน้อยตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เม็ดทับทิมสีเข้มพุ่งชูชันจนดูไม่ออกว่าเกิดจากแม่มีอารมณ์หรือเป็นธรรมชาติของคนท้องกันแน่
ฝ่ามือนุ่มนิ่มของแม่เอื้อมมาลูบไล้บนต้นขาของผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆขยับไปเคล้นคลึงท่อนเอ็นที่แข็งตัวรออยู่ ผมครางเมื่อแม่ขยับมือรูดดุ้นเนื้อของผมขึ้นลงเบาๆ
“แม่ไม่สวยเหมือนเดิมแล้วใช่มั๊ยเอก ถึงได้อ้างโน่นอ้างนี่ คนท้องน่ะขี้เหร่จะตายไป” แม่กระซิบเบาๆที่ข้างหู
คำพูดนั้นทำให้ผมรีบพลิกตะแคงหันหน้าไปหาทันทีก่อนจะประกบปากกับริมฝีปากงามแนบแน่น ปลายลิ้นฉกวนเกลี่ยทั่วริมฝีปากบางเฉียบนั้นจนแม่เผยอปากให้ผมเข้าไปเล่นลิ้นด้วย
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะครับ...” ผมกระซิบที่ข้างหูแม่ เอื้อมมือไปบีบเคล้นเต้างามที่ขยายตัวมองเห็นเส้นเลือดบางภายใต้ผิวขาวเนียน ปลายนิ้วเขี่ยสลับกับบีบบี้เม็ดทับทิมเบามือ “...แม่สวยที่สุดในโลกเลยล่ะ ถึงกำลังท้องอยู่ก็สวย ผมแค่กลัวว่าจะกระเทือนถึงน้องเท่านั้นเองน่ะ”
“เหรอออ!!!” แม่เบิ่งตา ทำเสียงล้อเลียน เสียงนั้นจึงทำให้ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้คิดอย่างที่พูดหรอก
ผมกัดจมูกแม่เบาๆด้วยความมันเขี้ยว แม่หลับตาพริ้มเมื่อผมจูบไซ้ใบหน้างามจนทั่วก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงไปซบอยู่บนเนินอกอวบใหญ่ที่อบอุ่นที่สุด สายตาเหลือบมองหน้าท้องที่นูนใหญ่ขึ้นจึงขยับหูไปแนบฟัง
“น้องบอกว่ายังไงบ้างลูก” แม่เอ่ยถามเบาๆเมื่อเห็นผมเอียงหูไปตั้งใจฟัง
“น้องบอกว่า...” ผมตอบพลางยิ้มให้ ก่อนจะขยับขึ้นไปหาเม็ดทับทิมที่ชูชันรออยู่ ปลายลิ้นเกลี่ยวนอยู่บนยอดก่อนจะใช้ริมฝีปากเม้มดึงเบาๆ แม่ครางแอ่นตัวขึ้นรับ “...บอกว่า...พ่อขา เข้ามาเยี่ยมหนูหน่อย พ่อขา เข้ามาเยี่ยมหนูหน่อย...น้องบอกผมอย่างนี้น่ะครับ”
“บ้า...” แม่อุทานเบาๆ หน้าแดง เราสองคนหัวเราะพร้อมๆกัน
ทั้งห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงแม่ครางเบาๆเมื่อผมประกบริมฝีปากดูดดื่มเม็ดทับทิมขนาดปลายนิ้วก้อยที่พุ่งชูชันสลับกับใช้ปลายลิ้นควานหาความหอมหวานที่ผมไม่เคยเบื่อหน่าย ผมวนเวียนไปมาอยู่บนสองเต้านั้นสลับกันไปมา มือลูบไล้ไปทั่วร่างของแม่ที่เริ่มบิดกายตอบรับการกระตุ้นจนเมื่อฝ่ามือสัมผัสกับพงหญ้ากลางลำตัวก็ควานหาติ่งเนื้อที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน ร่างแม่กระตุกเล็กน้อยเมื่อส่วนที่ไวต่อสัมผัสถูกรุกเร้าด้วยปลายนิ้วที่เขี่ยไปมาอย่างแผ่วเบา
“อูยยย....เอก” แม่ครางเบาๆ เอวขยับส่ายตามแรงเร่งเร้าของปลายนิ้วที่สลับวนเวียนไปมาระหว่างติ่งเนื้อกับร่องรักจนรู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่หลั่งไหลออกมาจากภายใน
ผมขยับตัวจะลงไปลิ้มรสความหอมหวานที่เอ่อล้นออกมาจากร่องรักเหมือนที่เคยปฏิบัติแต่แม่ขยับตัวดึงร่างผมไว้
“อย่าเลยเอก...” แม่กระซิบเบาๆ ใบหน้างามยิ้มหยาดเยิ้ม แล้วพูดต่อเมื่อเห็นผมทำหน้างง “...ช่วงนี้เอกคงต้องงดลงไปข้างล่างก่อนนะ เพราะมันไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่นัก”
พูดจบแม่ก็ขยับตัวดันร่างผมนอนหงายก่อนจะประกบริมฝีปากบางเฉียบแนบแน่นกับริมฝีปากผมและส่งปลายลิ้นเข้ามาตวัดล้อเล่นอยู่ในภายโพรงปากจนผมเสียววาบไปหมดทั้งตัว ฝ่ามือแม่ลูบไล้ผมทั่วร่างจนสัมผัสกับท่อนเนื้อที่แข็งเกร็งราวกับหินก็กำไว้และรูดขึ้นลงอย่างแผ่วเบา
“อูย..แม่...แม่ครับ...” ผมเสียวซ่านไปทั้งร่างเมื่อแม่เลื่อนใบหน้าลงไปซบอยู่บนหน้าอกและเริ่มใช้ปลายลิ้นตวัดเล่นกับหัวนมผมทั้งสองข้างสลับกับใช้ริมฝีปากอมเม้มเข้าไว้ในปากสลับกันไปมา อุ้งมือนุ่มนิ่มบีบเคล้นถุงเนื้อกลางหว่างขาสลับรูดท่อนเอ็นผมอย่างเป็นจังหวะ “....ไม่...ไม่ไหว...แล้ว”ผมกระหืดกระหอบพูด อารมณ์ภายในพลุ่งพล่าน
“ถ้างั้น...เอกต่อเลยนะ” แม่ขยับตัวมากระซิบข้างหูก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นนอนคว่ำ ใบหน้างามนอนแนบกับหมอน ใช้หัวเข่ารับน้ำหนักแอ่นตัวยกสะโพกลอยขึ้น
ผมรีบขยับตัวลุกขึ้นนั่งประกบด้านหลังของแม่ทันที สองมือลูบไล้แผ่นหลังของแม่ สัมผัสผิวกายขาวละเอียดที่ลงมาบรรจบกับสะโพกที่ผายออก ตรงกลางระหว่างต้นขามองเห็นร่องรักเป็นแนวยาวลับหายไปด้านหน้า หยาดน้ำรักเอ่อล้นฉ่ำเยิ้มทำให้ผมสุดจะอดกลั้น ค่อยๆดันท่อนเอ็นเข้าไปในร่องรักที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทีละนิดเพราะถึงแม้จะมีอารมณ์แค่ไหน แต่ผมก็ระวังที่จะกระทบกระเทือนถึงแม่มาตลอด
“อูยย..นั่น...นั่นแหล่ะ...เอก” แม่ครางเสียงแผ่วเมื่อดุ้นเนื้อของผมค่อยๆเข้าไปในร่องรัก สองมือผมจับสะโพกของแม่ไว้แน่น ค่อยๆดันตัวเข้าไป เสียงแม่ครางในลำคอแผ่วเบาเมื่อผมประกบติดกับด้านหลังของแม่แนบสนิท
ผมนิ่งอยู่ในท่านั้นซักพักก่อนจะค่อยๆขยับตัวรูดท่อนเอ็นเข้าออกในร่องรักอย่างช้าๆ แม่โยกหน้าโยกหลังตามจังหวะที่ผมเป็นคนกำกับ ผมไม่กล้าบดกระแทกเอวเข้าใส่แม่เร็วหรือแรงเกินไปนัก สองมือผมลูบไล้แก้มก้นขาวเนียนมือและรู้สึกว่าแม่ขยับตัวดันสะโพกรับกับท่อนเอ็นที่มุดเข้าออกภายในร่องรักอย่างเป็นจังหวะ
“เอก...” แม่หันหน้ามาหา ใบหน้าแดงกล่ำ แววตาหยาดเยิ้ม “...แรงกว่านี้ก็ได้ แม่ไม่เจ็บหรอก”
“ได้สิครับ” ผมพยักหน้ายิ้มรับ
ผมเริ่มบดกระแทกเอวเข้าใส่ร่างของแม่แรงขึ้น เพราะอารมณ์ร้อนภายในเริ่มเดือดพล่าน ร่างที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้าโยกเด้งไปมาตามจังหวะที่ผมบรรเลงเพลงรักใส่ ใจผมอยากจะล้มตัวลงไปกอดร่างของแม่และเคล้นคลึงสองเต้าที่แกว่งไกวอยู่ด้านล่าง แต่ก็ต้องอดใจไว้เพราะไม่กล้าให้แม่ทิ้งตัวลงไปนอนคว่ำหน้ากับที่นอน จึงได้แต่โยกเอวดันท่อนเอ็นเข้าออกให้เร็วขึ้นเพื่อส่งให้แม่ถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะเริ่มรู้สึกว่าในร่องรักของแม่บีบรัดท่อนเนื้อของผมแน่นขึ้น
“เอก...เอก...แม่...” แม่นอนคว่ำหน้ากับหมอนครวญครางเสียงสั่น “...เร็ว...เร็วอีกนิด...แม่...แม่...จะถึง....แล้ว...”
ผมกัดฟันก้มลงมองดุ้นเอ็นที่เคลื่อนตัวมุดเข้าออกในร่างของแม่ราวกับเครื่องจักร สะโพกงามขยับส่ายไหวด้วยว่าเจ้าของใกล้ถึงเส้นชัยเต็มทน ผมจับสะโพกนั้นไว้แน่นพร้อมกับบดเอวเข้าใส่ร่างงามหนักหน่วงขึ้น
“ผม...ผม...จะออก...แล้ว...ครับ...” ผมกระหืดกระหอบบอกแม่เช่นกัน เพราะตอนนี้ในร่องรักของแม่บีบรัดดุ้นเอ็นของผมจนแทบขยับตัวไม่ได้ สองมือลูบไล้ทั่วสะโพกและแผ่นหลังเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ให้แม่ถึงจุดหมายปลายทาง
“เอก...เอก...” แม่ครางใบหน้าแดงกล่ำ หันมาจ้องหน้าผม แววตาเหมือนเต็มไปด้วยความทรมาน แต่ผมรู้ว่าแม่กำลังเกร็งร่องเนื้อเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยในอีกไม่กี่วินาทีนี้
“อาาาา...” แม่กระตุกเยือก ร่างที่โยกหน้าโยกหลังเกร็งแน่นก่อนจะหยุดนิ่งกับที่ ภาพที่เห็นทำให้ผมเร่งบดกระแทกดุ้นเอ็นเข้าใส่แม่ถี่ยิบก่อนจะประกบเอวกับสะโพกแม่แนบแน่น
เราครางพร้อมกัน แม่กระตุกร่างอีกครั้งเมื่อผมฉีดน้ำรักพุ่งเข้าใส่ร่างแม่เป็นจังหวะ ผมบดคว้านท่อนเอ็นกับร่องเนื้อของแม่เพื่อรีดอารมณ์ให้ทุกหยาดหยดจากตัวผมเข้าไปผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับอารมณ์ของแม่ที่หลั่งทะลักออกมาเช่นกัน ทั้งห้องเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงครางสลับกับเสียงหอบหายใจของเราทั้งสอง
จนเมื่อเราสองคนรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว ผมจึงค่อยๆถอนตัวออกจากร่างของแม่และล้มตัวลงนอน พลิกดึงร่างของผู้เป็นทุกอย่างในชีวิตผมขึ้นมานอนซบอยู่บนอก....
......................................................................

“เจ็บหรือเปล่าครับ” ผมถามเบาๆ ฝ่ามือลูบไล้เส้นผมยาวสลวยของร่างที่นอนหลับตาพริ้มคว่ำหน้าอยู่บนอก แม่ป่ายขาขึ้นมานอนพาดจนผมรับรู้ถึงน้ำหนักของหน้าท้องที่อยู่บนตัวผม ใบหน้างามมีเหงื่อผุดซึม
แม่เอียงหน้ามาสบตา ส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าอมชมพูเจือไปด้วยความสุข
“ไม่หรอกเอก...” แม่เอ่ยเบาๆ “...แม่มีความสุขที่สุดเลยล่ะ”
ผมยิ้มรับคำพูดนั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุด
“รู้มั๊ย...แม่กำลังคิดถึงที่เอกพูดเมื่อกี้นี้” จู่ๆแม่ก็เอ่ยปากขึ้นพลางมองหน้าผม
“อะไรเหรอครับ” ผมงง แม่ยิ้ม หน้าสีชมพูระเรื่อ
“เอ่อ...คือ...เอ่อ...” แม่พูดตะกุกตะกัก หน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะตัดใจพูด “...ที่เอกพูดเล่นถึงเรื่องน้องเมื่อกี้นี้น่ะ”
“อะไรล่ะครับ” ผมยิ่งงง
“ก้อ...” แม่เอียงคอคิด หน้าแดงเข้ม ก่อนจะค่อยๆหันมาพูดเบาๆ “...ที่เอกบอกว่า...บอกว่าได้ยินน้องพูดว่า พ่อขาเข้ามาเยี่ยมหนูหน่อยน่ะ”
“อ๋อ...” ผมหัวเราะ “...ทำไมเหรอครับ ให้ผมถามน้องว่าจะให้เข้าไปเยี่ยมอีกทีได้เมื่อไหร่ใช่ป่าวครับ”
“บ้า...ไม่ใช่ย่ะ...” แม่ค้อน หน้าแดงกล่ำ หยิกแขนผม “...ที่แม่พูดเรื่องนี้ ก้อเพราะ...เอ่อ...เพราะคำที่น้องเค้าเรียกเอกน่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมชะงัก หรือแม่จะโกรธที่ผมใช้สรรพนามผิด
“ไม่ใช่อย่างที่เอกคิดนะ...” แม่รีบพูดเบาๆเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผม “...คือแม่กำลังจะบอกว่า ต่อไป...ต่อไป...” แม่พูดงึมงำจนผมฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“อะไรนะครับ” ผมไม่ได้ยินประโยคท้ายๆ แม่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก
“ก้อ...” แม่นอนหน้าแดงนิ่งซักพักก่อนจะหันมาสบตาผม ตัดใจพูดเสียงเบาหวิว “...ต่อไปเอกเรียกแม่ตรงๆได้มั๊ย”
“ยังไงครับ” ผมยิ่งงง
“ก้อไม่ต้องเรียกว่าแม่แล้วไง แหม....” แม่หยิกแขนอีกทีผมจนสะดุ้ง “...แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง ต่อไปเอกไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่แล้ว ให้เรียกแม่ว่าภาเลยน่ะ”
“ฮ้า!!!...” ผมอ้าปากค้าง “...ผม...ผมไม่กล้าหรอกครับ”
แม่เอื้อมมือหยิกต้นขาผมเบาๆ หน้ายังแดงกล่ำ
“แล้วทำไมทีอย่างอื่นกล้าล่ะ...” ร่างที่นอนอยู่บนตัวผมพลิกตัวนอนคว่ำหน้าพูดต่อเสียงแผ่วเบา “...แม่...เอ้ย! ภาว่าเราเปลี่ยนวิธีเรียกหากัน จะดูเหมือนคนปกติมากกว่านะ อย่างน้อยก็เวลาที่เราอยู่กันเองน่ะ เอกไม่เห็นด้วยเหรอ” เสียงแม่พูดเบาหวิวจากริมฝีปากที่ซุกอยู่บนแผ่นอกจนผมต้องเอียงหูฟัง

คำพูดของแม่ทำให้ผมอึ้ง วันเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เพราะผมไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการเรียกว่าแม่หรือไม่ได้เรียกว่าแม่ มันจะต่างกันตรงไหนในเมื่อเราเป็นแม่ลูกกันจริงๆนี่ ดังนั้นไม่ว่าจะมีอะไรกันแค่ไหนหรือแม้แต่ตอนนี้ที่แม่กำลังอุ้มท้องที่ผมเป็นผู้ให้กำเนิด ผมก็มองว่าแม่คือแม่ของผมเสมอ ของอย่างนี้มันไม่ใช่จะเปลี่ยนความคิดกันได้ง่ายๆ ภาพของแม่ที่ผมเห็นตั้งแต่เด็กยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดมา
แต่...ถึงวันนี้ ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของแม่บ้างแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดไว้ให้ ภาพของอาจารย์ที่ทุกคนเคารพ ภาพของความเป็นผู้ใหญ่ที่ทุกคนให้ความนับถือ ทำให้แม่ต้องเก็บความคิดความรู้สึกไว้ในใจ ถึงที่สุดแม่ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่ออะไรบางอย่าง...บางอย่างที่จะชดเชยสิ่งที่แม่ขาดหายไป
ผมเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่แม่พูดออกมานั้นหมายความว่าอะไรและผมเชื่อว่าแม่คิดอย่างนี้จริงๆ...

ผมนอนนิ่งจ้องร่างที่ซบอยู่บนอกเงียบจนแม่ต้องเงยหน้าขึ้น
“เอก...เอก...เป็นอะไรหรือเปล่า แม่พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี่ย” เสียงกระซิบถามด้วยความร้อนใจ แววตากังวลเพราะเห็นผมนอนนิ่งเงียบไป
“อ้าว...” ผมอุทานยิ้มๆ ก้มหน้าไปกระซิบพลางใช้ริมฝีปากเม้มดึงติ่งหูแม่เบาๆ “...ยังแทนตัวเองว่าแม่อีกเหรอครับ”
แม่นอนก้มหน้านิ่ง ใบหน้าอมชมพูระเรื่อ แววตาลึกสุดหยั่ง
“เข้าใจภาใช่มั๊ย” เสียงแม่เบาหวิวราวกับพูดจากที่ไกลแสนไกล
“เข้าใจสิครับ” ผมตอบพลางคลอเคลียใบหน้าบนเรือนผมนุ่มสลวยและหน้าผากเนียนจนแม่หลับตาพริ้มก่อนจะค่อยๆดันร่างที่นอนอยู่บนตัวลงไปนอนหงายกับที่นอนโดยที่ผมตามเข้าไปจูบไซ้ใบหน้างามจนทั่ว แม่ลืมตาขึ้นสบตากับผม
“เข้าใจว่า...” แม่ถามค้าง ผมยิ้มรับ
“ก้อเข้าใจว่า...” ผมกระซิบเบาหวิวที่ข้างหูของคนที่ผมรักที่สุดในโลก “...ว่าเวลาอยู่ด้วยกัน จากนี้ไป ภา...ภาไม่ได้อยาก...อยากเป็นแม่ของผมอีกต่อไปแล้ว” ผมพูดตะกุกตะกักเพราะว่ายังไม่ค่อยคุ้นกับการเรียกชื่อแม่เหมือนกัน
แม่นอนหลับตานิ่ง หางตามีหยาดน้ำไหลรินเป็นประกาย ผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไล้หยดน้ำพร้อมกับจูบซับจนเหือดแห้งไปจากใบหน้างาม
“ให้เราได้อยู่ในโลกส่วนตัวของเราอย่างนี้กันบ้างเถอะนะเอก...” แม่เอ่ยเบาๆ น้ำตาซึม มือลูบไล้ทั่วแผ่นหลังของผมที่นอนตะแคงกอดอยู่ด้านข้างเพราะไม่อยากทาบทับลงไปตรงๆบนตัวของแม่ “...เดินกันผิดๆ ทำตัวกันผิดๆมาจนถึงตรงนี้แล้ว แลกทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ภาไม่อยากได้อะไรมากกว่านี้แล้วล่ะนอกจากเวลาที่เราอยู่ในโลกของเราด้วยกันเท่านั้น...” แม่กลั้นเสียงสะอื้นพูดต่อ “... รู้มั๊ย ภาอยากจะบอกว่าภาน่ะหมดสภาพความเป็นแม่ของเอกตั้งแต่มีเจ้านี่แล้วล่ะ...” แม่กระซิบเสียงแผ่วเหลือบตามองหน้าท้องของตัวเอง น้ำตาที่กลั้นไว้ร่วงพราว คำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจพรั่งพรูออกมาราวทำนบทลาย “...แต่ถ้าว่ากันจริงๆ ภาหมดสภาพความเป็นแม่ตั้งแต่ที่เรามีอะไรกันครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เราต้องใส่หน้ากากให้คนอื่นๆดูมาตลอด ที่แย่ก็คือเรายังจะใส่หน้ากากให้กันเองอีก ทุกวันนี้เรายังเป็นแม่ลูกกันก็แค่เพราะว่าเอกเรียกภาว่าแม่ และภาเรียกเอกว่าลูกเท่านั้นเอง แต่ที่เราอยู่กันเนี่ย มันห่างไกลสุดกู่ของคำว่าแม่ลูกเลย จากนี้ไป ภาไม่อยากหลอกตัวเองเวลาอยู่กับเอกอีกแล้ว เอกจะยังอยากเป็นลูกหรืออยากเป็นอะไรก็ตามใจเอกเถอะ แต่ภาหลอกตัวเองอีกไม่ไหวแล้ว ภาทำใจเรียกตัวเองว่าแม่ไม่ได้อีกแล้ว แม่ที่ไหนกัน นอนกับลูกอย่างนี้ แม่ที่ไหนกัน ท้องกับลูกอย่างนี้...” แม่พูดเสียงสะอึกสะอื้น น้ำตาอาบแก้ม ผมประคองโอบศีรษะให้ใบหน้าแม่ซบอยู่กับอก ลูบผมยาวสลวยของแม่เป็นการปลอบใจเบาๆ พูดไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้แม่ระบายออกมา “...เราทำผิดมาตลอด แต่มันก็เกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรแล้ว ภาก็ได้แต่หวังว่าเราจะทำสิ่งที่ผิดนั้นให้ดีที่สุด ไม่ต้องทำให้ใครเห็นหรอก แค่เราเห็นกันสองคนก็พอ เอกรับปากได้มั๊ยว่าจะเดินหน้าไปด้วยกันตลอด แล้วพอเราต้องเข้าสังคม เราค่อยกลับไปเป็นอย่างที่คนอื่นเค้าเป็น” เสียงของแม่จางหายไป ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ
ผมนิ่งอึ้ง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่เก็บเรื่องต่างๆไว้ในใจมากมายขนาดนี้
“ผมตั้งใจว่า...” ผมช้อนคางแม่ขึ้น แม่ร้องไห้จนตาบวม “...ตั้งใจว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่ตลอด เราไม่ต้องกลับกรุงเทพแล้วล่ะ ภาก็อยู่กับผมที่นี่แหล่ะ”
แม่มองหน้าด้วยความแปลกใจ ทั้งความคิดและสำเนียงของผมที่เปลี่ยนไป
“เราจะช่วยกันเก็บเงินจากร้านดอกไม้นี่แหล่ะ...” ผมพูดต่อ “...แล้วเราจะหาซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านซักหลัง ถ้าเจ้าของร้านดอกไม้ใจดี เราก็จะขอซื้อกิจการเค้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย แต่ถ้าไม่ เราก็จะลองเป็นเกษตรกรปลูกผลไม้กัน ภาเห็นว่ายังไง”
สิ้นคำถาม แม่ก็น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง
“ตาม...ตามใจ...ตามใจเอกสิ” แม่พูดเสียงสะอึกสะอื้น และยกให้ผมเป็นคนเลือกอนาคตของเรา
ผมปล่อยให้แม่สะอื้นซักพักจนสงบลงก่อนจะยิ้มให้
“ร้องไห้อย่างนี้เดี๋ยวลูกงอแงนะ...” ผมพูดเบาๆข้างหู ยิ้มพลางเป่าลมหายใจเข้ารูหูของแม่
“บ้า...” แม่เอียงหน้าหนี ทั้งๆที่คราบน้ำตายังหลงเหลืออยู่ หยิกแขนผมเบาๆ “...ไม่มีหรอกย่ะ เอาที่ไหนมา...”
เสียงแม่เงียบหายไปเมื่อผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาจนหมดก่อนจะประกบริมฝีปากแนบแน่นกับริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น ความรู้สึกบางอย่างของผมเปลี่ยนไป นอกจากความรักที่ผมมีต่อแม่อย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบแล้ว ยังรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของร่างที่กำลังนอนอยู่เคียงข้างนี้เพิ่มขึ้นมาอีก อีกทั้งยังรับรู้จากปากแม่เองว่าความรักที่แม่มีต่อผมนั้นมันเกินขอบเขตของความรักที่แม่มีต่อลูกเสียอีก ความรู้สึกนั้นทำให้อารมณ์ที่พึ่งซบไปเมื่อครู่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ฝ่ามือผมลูบไล้ทั่วร่างก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบีบเคล้นสองเต้างามเบามือ
“รังแกภาอีกแล้ว” แม่เอ่ยเสียงแผ่วเบา หน้าแดง ผมหัวเราะเบาๆ มองร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยความรักสุดใจ
“รังแกที่ไหนกัน....” ผมจูบไซ้ทั่วร่างจนแม่ขนลุกไปหมดทั้งตัว เม็ดทับทิมเต่งเต้าแข็งชันขึ้นมารอรับสัมผัส “...ผมจะเข้าไปบอกลูกซักหน่อยว่าพ่อจะเข้าไปเยี่ยมน่ะ”
“บ้าๆๆๆ...” แม่อุทาน หยิกแขนเต็มแรง แต่ก็ต้องครางเสียงแผ่วเมื่อผมก้มลงใช้ลิ้นไล้เลียยอดเต้าที่เขม็งเกลียวขึ้นมา สองมือบีบเคล้นจนเต้างามแทบทะลักคามือแต่แทนที่แม่จะเจ็บปวด กลับแอ่นร่างรับ ส่งเสียงครวญคราง ทำให้ผมยิ่งเกิดอารมณ์มากขึ้นไปอีก
ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ แม่ก็จับมือผมไว้เหมือนกับจะให้หยุดก่อน
“อะไรเหรอภา” ผมเอ่ยปากถาม แม่ค้อน เพราะเลยกลายเป็นว่าผมพูดกับแม่ไม่มีหางเสียงไปซะแล้ว
“ภาจะบอกว่าวันนี้คงหยุดแค่นี้ก่อนน่ะเอก” คำพูดนั้นทำให้ผมงง
“เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน...” แม่พูดเสียงเกรงใจ เอื้อมมือลงไปเคล้นดุ้นเอ็นของผมเบาๆ “...มันติดๆกันสองครั้งไม่ไหวน่ะ รู้สึกว่าจะเริ่มระบมแล้ว” แม่พูดเสียงแผ่ว ประโยคสุดท้ายเบาหวิว หน้าแดงกล่ำ
“เหรอออ” ผมทำเสียงล้อเลียน ซึ่งเป็นสมัยก่อน ผมไม่กล้าทำเสียงอย่างนี้กับแม่เด็ดขาด
“บ้า...” แม่หยิกแขนจนผมสะดุ้ง “...ก็ใครทำให้ระบมล่ะ ยังจะมาทำเสียงล้อเลียนอีก”
“งั้นไม่เป็นไรล่ะ...” ผมพูดยิ้มๆ “...ใช้ไม่ได้ก็ยังไม่ต้องใช้”
“ทำมาเป็นพูดดี...” แม่ว่าพร้อมกับคว้าหมับที่ดุ้นเอ็นของผมซึ่งแข็งเกร็งรออยู่ “...มา เดี๋ยวภาจัดการให้”
ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว แม่ก็ดันร่างผมลงไปนอนกับที่นอนทันที
“อูยยย...” ยังไม่ทันจะปฏิเสธ ผมก็ต้องแอ่นเอวครางด้วยความเสียวเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากงามกลืนท่อนเนื้อของผมเข้าไปในปากอย่างรวดเร็วจนเย็นวาบไปหมดทั้งดุ้น
แม่จู่โจมแบบไม่ให้ผมตั้งตัว ทั้งปากทั้งลิ้นทั้งมือผลัดกันปลุกเร้าอารมณ์ผมจนแทบจะดิ้นพล่านด้วยความเสียว อุ้งมือนุ่มนิ่มของแม่รูดดุ้นเอ็นของผมจนแทบลุกเป็นไฟ
“ภา...ภา...” ผมครางเสียงสั่น กัดฟันแน่นเมื่อแม่เปลี่ยนจากใช้มือรูดเป็นก้มลงใช้ริมฝีปากบางเฉียบดูดเม้มท่อนเอ็นของผมเข้าออกจากเป็นจังหวะต่อเนื่อง ปลายเล็บเรียวแหลมเกลี่ยแผ่วเบาบริเวณถุงเนื้อใต้ดุ้นเอ็นจนผมแทบทะลัก “...จะ...จะรีบ...ไป...ไหน...” ผมกระหืดกระหอบส่งเสียงคราง
“ทนไม่ไหวก็ออกมาสิ” แม่เอ่ยเสียงยิ้มๆ มือรูดท่อนเนื้อกลางลำตัวผมเร็วขึ้นก่อนจะจะก้มลงไปใช้ปลายลิ้นไต่ไล้เลียตะเข็บฝีเข็บ
“อูยยย...” ผมครางเสียงลั่นเมื่อแม่รุกเร้าทั้งปากทั้งมือ ดุ้นเอ็นแข็งเกร็งวูบขึ้นจนแม่รู้สึกได้ แม่ยิ้มมุมปากก่อนจะเร่งมือรูดท่อนเนื้อถี่ยิบ
“อาาา...” ผมแอ่นเอวครางลั่นห้อง มือคว้าศีรษะของแม่ได้ก็ดึงมาจนริมฝีปากแม่จ่ออยู่กับดุ้นเอ็น ก่อนที่จะดันกลางลำตัวเข้าไปในปากแม่ทันทีพร้อมๆกับที่ท่อนเนื้อฉีดน้ำรักพุ่งเข้าไปในปากของแม่ทะลักทลาย
แม่สำลักเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะขืนตัวเมื่อผมโยกศีรษะของแม่ให้ริมฝีปากรูดท่อนเอ็นเพื่อดูดซับหยาดน้ำเหนียวข้นออกมาจนหยดสุดท้าย ผมหยุดนิ่งอยู่ในสภาพนั้นชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆให้แม่รูดดุ้นเนื้อออกจากปาก คราบสีขาวเลอะเทอะเป็นคราบทั่วริมฝีปากงาม
“บ้าๆๆ...” แม่บ่นเบาๆเพราะผมดึงแม่ไปช่วยรองรับหยาดน้ำรักโดยไม่ทันตั้งตัว แม่บ่นพลางหันไปหยิบทิชชู่ที่หัวเตียงเช็ดริมฝีปากที่เลอะเทอะเป็นคราบ “...เล่นอะไรก็ไม่รู้นี่เอก”
“ก็แม่...เอ้ย ภาแกล้งผมก่อนทำไมล่ะ” ผมย้อน “...ไม่เห็นต้องเร่งมือขนาดนั้นเลย ก็ถ้าภาจะให้รีบออก งั้นก็ช่วยใช้ปากให้หน่อย ก็หายกันนะ”
ผมพูดยิ้มๆ แม่หันมาค้อน
“ฝากไว้ก่อนเถอะนะเอก” แม่คำรามเบาๆ ทำหน้าดุแต่หางเสียงเจือไปด้วยความรัก...
.......................................................................

แปลกที่ว่าพอเราถอดหน้ากากออก ก็รู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของเรายิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก อาจเพราะเรายกเลิกเส้นแบ่งขอบเขตที่กั้นระหว่างคำว่าสังคมกับโลกของเราแล้วแน่ๆเลย

ผมนอนกอดร่างของแม่ที่นอนหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลียจากทั้งงานนอกงานในและจากน้องที่ก็คงกำลังหลับอยู่ในท้องแม่เหมือนกัน และก่อนที่ผมจะหลับตามคนที่ผมรักเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ในตอนเช้าพรุ่งนี้ ในหัวสมองก็คิดถึงเรื่องราววันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก แต่ผมไม่มีอะไรต้องกังวลแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมมีผู้หญิงที่ดีที่สุด รักผมมากที่สุด และผมก็รักมากที่สุดในชีวิตอยู่ข้างตัวแล้ว...

ความอัดอั้น 4



บรรยากาศในบ้านอึมครึม ผมกับแม่นั่งทานมื้อเที่ยงอยู่ที่โต๊ะอาหารกันเงียบๆ เหลือบตามองดูแม่ที่นั่งทานข้าวอยู่ ก็เห็นแม่นั่งก้มหน้าทานข้าวแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ทำให้ผมอึดอัดแทบบ้า เพราะตั้งแต่ไปโรงพยาบาลและให้หมอตรวจ ทั้งๆที่ผมไปด้วย แต่แม่ยังไม่ได้บอกผมเลยว่าแม่เป็นอะไร กลับมาแม่ก็นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆมาตลอดจนผมไม่กล้าเอ่ยปากพูดหรือถามอะไร จนถึงตอนเที่ยง แม่ก็เดินไปทำอาหารและเรียกให้ผมมานั่งทานข้าวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ แต่ท่าทีของแม่ที่แสดงอยู่ในตอนนี้ มันบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่ค่อยจะรู้สึกดีเลย
ในที่สุดแม่ก็เหมือนจะคิดได้และเงยหน้าขึ้น
“เอ่อ...แม่...แม่ครับ ตกลง เอ่อ..ตกลงว่ายังไงครับ” ผมตะกุกตะกักเอ่ยปากถาม แม่หันมายิ้มให้ ทิ้งแววตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มออกไป กลับมาเป็นแม่คนเดิม
“อืมม...” แม่มองหน้าผมพลางเอียงหน้าคิดก่อนพูด ถึงแม้จะเสียงสั่นเครือ แต่ก็พยายามทำให้ร่าเริง “...แม่จะบอกยังไงดีล่ะ”
“บอกตรงๆเลยครับ...” ผมรีบพูดทันที “...หมอว่ายังไง”
“อืมม...” แม่ผมนิ่งคิดอีกซักพักก่อนจะหันมายิ้มให้ผม หางตามีหยาดน้ำพราวสุกใส แม่รีบป้ายหยดน้ำตาทิ้ง “...ก็ถ้าให้แม่พูดตรงๆนะ ก็ต้องบอกว่า...บอกว่าขอแสดงความยินดีกับเอกด้วยจ้ะ เอกเลื่อนฐานะแล้วนะ จากลูกของแม่ มาเป็นพ่อของลูกในท้องแม่แล้ว”
ผมใจหายวูบลงไปอยู่ปลายเท้า หน้าซีดเผือด ถึงจะเป็นเด็ก แต่ผมก็ไม่โง่เกินกว่าที่จะรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร
“ปะ..เป็น ...เป็นไปได้ยังไง” ผมพึมพำโง่ๆออกมา
ทั้งๆที่บรรยากาศเคร่งเครียด แต่เมื่อได้ยิน แม่ก็อดยิ้มให้กับผมไม่ได้
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะเอก...” แม่พูดพลางเผยอยิ้มออกมาเหมือนตัดใจได้และคงขำกับสีหน้าของผม “...เราน่ะเคยบันยะบันยังกับแม่ที่ไหนกัน มีอยู่เท่าไหร่ๆก็ปล่อยออกมาหมด แล้วทำไมมันจะเป็นไม่ได้ล่ะ”
“ผมเอ่อ...ผม...ก้อ...” ผมตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ยังหน้าซีดและไม่ได้ตลกกับมุขของแม่แม้แต่นิดเดียว
“เอกกังวลอะไรเหรอ แม่สิน่าจะกังวลมากกว่า” แม่พูดเบาๆพลางยิ้มเล็กน้อย
“แล้วแม่ไม่กลัวเหรอครับ” ผมรีบถาม งงว่าทำไมแม่ถึงไม่โวยวายหรือตีโพยตีพายแบบในหนัง
“กลัวอะไรล่ะ” แม่ถามกลับ
“ก้อ...” ผมลังเล “...เอ่อ...ก็ใครๆก้อรู้ว่าแม่อยู่คนเดียว แล้วทำไมเอ่อ...”
“ทำไมถึงได้จะมีน้องน่ะเหรอ” แม่สวนคำพูดผมมา ผมพยักหน้า
“แม่ก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไงเหมือนกันนะ แต่ถ้าถามว่ากลัวหรือเปล่า...” แม่ยิ้มเล็กน้อย “...ตอบตรงๆเลยว่าแม่ไม่กลัวหรอกเอก เมื่อเราทำอะไรซักอย่าง เราก็ต้องยอมรับผลของมันได้ มันไม่ได้ผิดปกติหรือผิดธรรมชาติอะไรเลย เอกล่ะกลัวหรือเปล่า” แม่ย้อนถาม ผมอึกอัก
“ผมไม่กลัวหรอกนะครับ แต่กลัวแทนแม่น่ะ แล้วจะบอกคนอื่น โดยเฉพาะครูที่โรงเรียนว่ายังไงกัน ผมว่า...” ผมลังเล มองหน้าแม่ซึ่งกำลังฟังอยู่ ก่อนจะตัดใจพูด “...ผมว่าเราเอาเด็กออกจะดีหรือเปล่าครับ จะได้ตัดปัญหาไปซะ”
แม่นิ่งคิดซักพัก ก่อนจะหันมายิ้มให้พลางตอบ
“ตอนแรกที่หมอบอก...” แม่ค่อยๆเล่า “...วูบแรกแม่ก็คิดจะทำแท้งนะ เพราะถ้าปล่อยไว้ มันก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างที่เอกคิดนั่นแหล่ะ แต่ถ้าแม่ทำอย่างนั้น มันจะยิ่งมีบาปติดตัวมากขึ้นไปอีก เอกเข้าใจหรือเปล่า เด็กไม่ผิดเลย เขามาเกิดตามธรรมชาติ เราสร้างเขาขึ้นมา แล้วเราจะทำลายเขาไปง่ายๆอย่างนั้นได้ยังไงกัน แล้วอีกอย่าง เราทำอะไรลงไป เราก็ต้องยอมรับผลของมันสิ ไม่ใช่ว่าจะปัดเรื่องด้วยวิธีง่ายๆแบบนั้น แม่ทำใจไม่ได้หรอก ถึงเอกก็เถอะ แม่ไม่เชื่อว่าเอกจะคิดอย่างที่พูดหรอก แต่ที่พูดก็เพราะตกใจกลัวมากกว่า ถ้าเอกมีเวลาคิดมากกว่านี้ เอกก็คงไม่พูดอย่างเมื่อกี้นี้หรอก”
ผมนิ่งคิดตามคำพูดแม่ น้ำตาซึม ถึงจะกลัวเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นแค่ไหน แต่คำพูดของแม่ก็แสดงถึงความรับผิดชอบทุกอย่าง แล้วผมล่ะ...
“แล้วจะบอกคนอื่นยังไงล่ะครับ” ผมถามเบาๆ แม่ยิ้มและพูดเหมือนมีคำตอบในใจแล้ว
“ก็ไม่เห็นจะต้องบอกอะไรนี่ ถ้าเราเลือกอย่างนึงเราก็ต้องยอมเสียอีกอย่างนึงซะ ก็แค่นั้นเอง”
คำตอบนั้นทำให้ผมงง
“แม่จะไปลาออกจากที่โรงเรียน...” แม่พูดพลางคิด “...เรามีเงินเก็บกันอยู่บ้าง แม่ว่าจะชวนเอกย้ายไปอยู่เชียงใหม่กันซักปีนึง ไปเปิดร้านขายของเล็กๆกันซักพัก”
คำพูดนั้นทำให้ผมงง เรื่องลาออกของแม่ก็อยู่ในความคิดคร่าวๆไว้แล้ว แต่จะไปต่างจังหวัดทำไมกัน
แม่ยิ้มเพราะเห็นผมทำหน้างง
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ เอกทานเสร็จหรือยัง แม่จะได้เก็บจาน เดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันที่ห้องรับแขกเถอะ มีหลายเรื่องที่เราต้องคุยรายละเอียดกันล่ะ” แม่เอ่ยปาก ผมรีบขยับตัวทันที
“ผมอิ่มแล้วครับ มาๆๆ เดี๋ยวผมช่วยเก็บเอง แม่ไปรอที่ห้องรับแขกก่อนเถอะครับ”
พูดจบผมก็รีบขยับตัวเก็บจานชามบนโต๊ะไปที่ครัวแล้วล้างจานชามเก็บทันทีโดยที่แม่ยืนมองอมยิ้มอยู่ก่อนจะเดินไปห้องรับแขก...
..................................................................

“แม่มีอะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถามหลังจากนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก แม่นั่งรออยู่บนโซฟายาวแล้ว
“อย่างแรกเลยนะเอก...” แม่ขยับตัวมานั่งข้างๆพลางพูดเหมือนเตรียมไว้แล้ว “...เราคงต้องช่วยกันประหยัด เพราะแม่ก็ยังไม่รู้ว่าถ้าเปลี่ยนอาชีพแล้วมันจะไปได้ดีแค่ไหน เอกรับได้มั๊ย”
“ได้ครับ ผมจะลดรายจ่ายทั้งหมดเองครับ” ผมตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เรื่องแค่นี้เอง
“อย่างที่สอง เมื่อกี้นี้ที่แม่บอกว่าเราคงต้องไปเชียงใหม่กันอย่างน้อยปีนึง ก็เพราะว่า...” แม่นิ่งคิด “...เพราะว่าตั้งแต่นี้ไป แม่ก็คงจะท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่อยากตอบคำถามของคนรู้จัก เราก็ต้องหลบทุกคนออกไปก่อน ไปอยู่กันที่นั่น พอแม่คลอดได้ซักพักเราค่อยกลับมาอยู่กันที่นี่เหมือนเดิม แต่เอกก็ต้องช่วยแม่ล่ะ” แม่พูดพลางมองหน้า
“ช่วยยังไงครับ” ผมยังงง
“พอกลับมาแล้ว อืมม...” แม่พูดพลางจ้องหน้าผม “...เอกต้องบอกว่าทุกคนที่นี่ว่าเด็กเป็นลูกของเอก”
“เฮ้ย!!! ได้ยังไง เค้าก็รู้กันหมดสิครับ ถ้างั้นแล้วจะหลบไปทำไม” ผมลืมตัว อุทานดังลั่น แม่หัวเราะเบาๆ หยิกต้นขาผม
“ฟังให้จบก่อนสิ เอกต้องบอกว่าเอกไปมีอะไรกับผู้หญิงตอนอยู่ที่เชียงใหม่จนผู้หญิงคนนั้นท้อง แต่พอคลอดแล้วผู้หญิงเค้าไม่ยอมเลี้ยง เอกก็เลยเอากลับมาเลี้ยงเองน่ะ แหม โวยวายซะดังลั่นเชียว” แม่บ่นเสียงหัวเราะ ผมยิ้มแหยๆ
“ก็แม่ไม่พูดให้จบก่อนนี่ครับ ผมจะไปรู้ได้ยัง...” ผมเริ่มหัวเราะออก หลังจากเครียดตั้งแต่เช้า “...ถ้าอย่างนั้น ผมทำได้ครับแม่ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ เพราะตอนคลอด ก็ต้องทำสูจิบัตร เค้าก็รู้อยู่ดีล่ะว่าเป็นลูกของใคร” ผมยังกังวล
แม่ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมก่อนจะพูดต่อ
“ไม่หรอกเอก เดี๋ยวค่อยกลับมาทำสูจิบัตรที่กรุงเทพ ให้เหตุผลว่าแม่เด็กหนีไปหลังคลอด สูจิบัตรลงว่าเอกเป็นพ่อ แต่ไม่รู้ชื่อแม่น่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าพอเรากลับมากรุงเทพแล้ว เราก็รู้กันเองแค่สองคนเหรอครับว่าจริงๆแล้ว ใครเป็นแม่เด็ก” ผมมองหน้าถาม แม่นิ่งไปซักพักก่อนพูด
“ก็ยังดีกว่านี่เอก เพราะถ้าลงชื่อว่าแม่เป็นแม่ แล้วเอกเป็นพ่อ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สู้ให้เป็นว่าเด็กไม่มีแม่จะดีกว่า แล้วแม่จะเลี้ยงเค้าในฐานะย่าเอง”
ผมนิ่งคิดตาม เหลือบตามองดูแม่ แววตาแม่สลดลง คงคิดว่าคลอดทั้งที ดันต้องกลายเป็นคุณย่า แต่ซักพักก็เห็นว่าแม่เริ่มสดใสขึ้น คงจะทำใจได้แล้ว
“ระหว่างอยู่ที่นั่น เอกก็เรียนต่อเหมือนเดิม พอถึงวันสอบ เอกก็เข้ามาสอบที่กรุงเทพแล้วค่อยกลับไปอยู่ที่นั่นนะ” แม่พูดถึงเรื่องเรียน ผมพยักหน้ารับ
“ทีนี้ มาอีกเรื่องนึงล่ะ...” แม่พูดพลางจ้องตาผม “...ต่อไปเอกต้องทำหน้าที่สองอย่างพร้อมๆกันล่ะ คือเป็นลูกของแม่และเป็นพ่อของเด็กพร้อมๆกัน ทำได้มั๊ย”
ผมยิ้มรับ ดึงตัวแม่เข้ามากอด แม่ขืนตัวนิดนึงก่อนจะโอนอ่อนตาม ผมจูบไซ้บนใบหน้างาม
“เป็นลูกก็ได้ครับ เป็นพ่อก็ได้ครับ...” ผมพูดก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “...แล้วพอเป็นพ่อ ผมจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้สมบูรณ์เลยล่ะทั้งเรื่องในบ้านและเรื่องบนเตียง”
“บ้า...” แม่ค้อนหน้าแดง “...หายกลัวแล้วเหรอยะ เมื่อกี้เห็นนั่งหน้าซีดเชียว ตอนที่แม่บอกว่าจะมีน้องน่ะ”
“หายกลัวแล้วล่ะครับ...” ผมยิ้มรับ โอบมือดึงร่างแม่จนเอียงมาพิงซบอยู่กับไหล่ผม “...เมื่อกี้ผมกลัวแทนแม่ แต่ถ้าเราหาทางออกได้ ผมก็ไม่กลัวอะไรแล้วล่ะครับ แล้วผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนเพื่อออกมาทำงานดูแลแม่และลูกของผมเองครับ”
แม่เอียงร่างพิงไหล่ผมนิ่ง
ผมจ้องร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งรักทั้งบูชา นิยายเรื่องนี้ดูเหมือนจะไปไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ผมนึกว่ามันจะจบลงได้อย่างสวยงาม แต่ถึงแม้จะจบอย่างนี้ มันก็อาจจะลงเอยอย่างสวยงามได้เหมือนกันนะ ถ้าเราเป็นผู้เขียนมันขึ้นเองโดยไม่รอโชคชะตา
นึกย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเรื่อง ถ้าก่อนหน้านั้นมีใครซักคนบอกว่าชีวิตผมกับแม่จะเดินมาแบบนี้ ผมคงหัวเราะกลิ้งตายแน่ๆ คุณครูจอมเฮี้ยบที่เคยพูดกับลูกชายแค่ไม่เกินวันละสามคำและพูดไปด่าไป พอถึงวันนี้กลายเป็นว่าต้องมานั่งหารือกันเรื่องอนาคตของลูกที่กำลังจะเกิด
ผมเหม่อลอยคิดถึงเรื่องอนาคต มือลูบไล้บนผมยาวสลวยของแม่ที่นั่งพิงไหล่ผมอยู่ นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา นึกถึงครั้งแรกที่เกิดเรื่อง ผมยังจำภาพทุกอย่างได้ติดตาโดยเฉพาะครั้งแรกที่บทบาทของเราถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ทั้งๆที่อยู่ในบรรยากาศเคร่งเครียด มีปัญหาให้ต้องแก้ แต่เมื่อนึกถึงความทรงจำครั้งแรกที่ผมมีกับแม่ จู่ๆมโนภาพนั้นทำให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมา กลิ่นกายของแม่ที่นั่งพิงผมอยู่ทำให้อารมณ์ผมพุ่งพล่านขึ้นมาจนดุ้นเอ็นแข็งตุงอยู่ในกางเกง
ผมค่อยๆช้อนคางของแม่ให้เงยหน้าก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากเรียวงาม
แม่สะดุ้ง มองหน้าผมนิ่งซักพัก ก่อนจะเผยอริมฝีปากเพื่อให้ปลายลิ้นผมเข้าไปตวัดล้อกับลิ้นเรียวเล็กที่อยู่ภายใน
อารมณ์ของผมค่อยๆพุ่งสูงขึ้น ฝ่ามือป่ายเปะปะอยู่บนทรวงอกงามก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดจนถึงเม็ดสุดท้ายและแบะเสื้อเชิ้ตสีฟ้าออก
แม่แอ่นตัวขึ้นเพื่อให้ผมเอื้อมมือไปปลดตะขอยกทรงด้านหลังและรูดมันออกจากปลายแขน ถึงแม้จะเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อผมก้มลงมองสองเต้าที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้ม อารมณ์ร้อนก็ลุกโชนขึ้นมาอีกเพราะเม็ดบัวสีน้ำตาลอ่อนที่ชูชันอยู่ปลายยอดนั้นแข็งชันขึ้นมาเหมือนจะเชื้อเชิญให้ผมลงไปสูดดมความหอมหวาน
“ทำ...ทำอะไรน่ะ..เอก” แม่ครางเสียงแผ่วเบาเมื่อผมก้มลงไปซุกไซ้สองเต้าอวบ ละเลงลิ้นบนเม็ดทับทิมสลับกับใช้ริมฝีปากเม้มดึงปลายยอดจนแดงกล่ำ
“ต้องรีบกินก่อนครับแม่...” ผมตอบยิ้มๆ เงยหน้ามองใบหน้างาม ก่อนจะก้มลงไปดูดดื่มความหอมหวานบนเนินอกที่เริ่มปรากฏรอยสีแดงเนื่องจากถูกสองมือผมบีบเคล้น “...ไม่งั้นเดี๋ยวน้องคลอดมาแล้วผมจะอดกินน่ะครับ”
“บ้า...” แม่หยิกแขนผมเบาๆ พลางสูดปากด้วยความเสียวเมื่อผมเม้มดึงปลายยอดจนยืด “...หายกลัวแล้วเหรอยะ”
ผมไม่ตอบ สองมือที่กำลังบีบเคล้นเต้างามค่อยๆป่ายเลื่อนลงมาปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของแม่ก่อนจะรูดทั้งกางเกงและซับในลงไปกองอยู่ปลายเท้าโดยได้รับความร่วมมือจากแม่ในการยกสะโพกช่วยขยับให้สิ่งกีดขวางหลุดออกจากร่างเร็วขึ้น ผมค่อยๆดันร่างแม่ลงไปนอนอยู่บนโซฟา
ร่างงามที่ผมมองอย่างไม่รู้เบื่อนอนเปลือยเปล่าปราศจากอาภรณ์ใดๆ สองเต้าที่เคลื่อนคล้อยลงตามวัยแต่ยังคงงดงามอยู่ สายตาผมเลื่อนผ่านกลางลำตัวลงมาจนถึงเนินเนื้อกลางลำตัวที่ปกคลุมด้วยไหมดำสนิทที่แผ่คลุมทั่วหน้าขา ผมรีบถอดเสื้อยืดของตัวเองที่สวมใส่อยู่ออกทันที
“อูยย...เอก” แม่ครวญครางเมื่อผมก้มลงไปสัมผัสยอดเม็ดทับทิมอีกครั้งก่อนจะค่อยๆเลื่อนลงล่างจนใบหน้าซบอยู่บนเนินเนื้อกลางลำตัว ผมซุกไซ้ใบหน้าบนเนินไหมดำและค่อยๆใช้ปลายลิ้นแตะเกลี่ยร่องรักแผ่วเบา
ร่างของแม่กระตุกเยือกเมื่อปลายลิ้นของผมแตะบนติ่งเนื้อเหนือร่องรักจนส่วนที่ไวต่อสัมผัสดีดตัวแข็งชันขึ้นมา ผมค่อยๆใช้ริมฝีปากเม้มดึงติ่งเนื้อและส่งปลายลิ้นเขี่ยสลับวนอยู่บริเวณนั้นจนร่างงามแอ่นตัวกระตุกร่างเป็นระยะๆ ร่องรักปลดปล่อยหยาดน้ำใสจนกลีบเนื้อเปียกชื้น ผมเลื่อนใบหน้าลงไปซบอยู่กลางร่องรักสีน้ำตาลอ่อนก่อนจะประกบริมฝีปากกับกลางลำตัวของแม่และใช้ทั้งลิ้นและปากดูดกลืนหยาดน้ำรักที่หลั่งรินออกมาจากภายใน กลิ่นหอมอบอวลจนผมแทบคลั่ง ท่อนเอ็นที่อยู่ในกางเกงขยับตัวแข็งชันขึ้นมา ดันกางเกงจนรู้สึกเจ็บ
ร่างของแม่กระตุกเอวขึ้นลงตามปลายลิ้นของผมที่ฉกเข้าออกอยู่ในร่องรัก ผมขยับตัวปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของตัวเองออกอย่างรวดเร็วจนท่อนล่างเปลือยเปล่า ดุ้นเอ็นเมื่อได้รับอิสระก็ดีดตัวแข็งขึ้นทันที
“เอก...แม่...เอก...” เสียงแม่ครางกระหืดกระหอบ คงจะด้วยอารมณ์ที่แตกเพริดตามลีลาที่ผมบรรเลงเข้าใส่ร่องรักอย่างสุดชีวิต ผมตวัดลิ้นเร็วขึ้น เกลี่ยขึ้นลงตามแนวยาวของร่องรักสลับกับบดริมฝีปากบนติ่งเนื้อเพราะรู้ว่าแม่กำลังจะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว สองมือเอื้อมขึ้นไปบีบเคล้นสองเต้างามด้านบนจนแทบแหลกคามือ แต่แทนที่จะเจ็บปวด แม่กลับส่งเสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่าน ร่างงามแอ่นเอวขึ้นรับปลายลิ้นของผมเร็วขึ้นๆ
“แม่...แม่...ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้วเอก...แม่...โอ้วว” แม่ใบหน้าแดงกล่ำ ท่อนล่างร่อนหาความสุขถี่ยิบก่อนจะหยุดชะงักนิ่ง สองขาเหยียดเกร็งแน่น ครางเสียงลั่นห้องรับแขก
ร่างงามของแม่ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟา ร่องรักปลดปล่อยน้ำรักของแม่ออกมาทะลักทลาย ผมประกบริมฝีปากดูดกลืนหยาดน้ำใสนั้น แต่ยังคงหลั่งไหลลงมาตามง่ามขาเปียกบนโซฟากำมะหยี่เนืองนอง
ผมขยับตัวขึ้นไปนอนอยู่บนร่างของแม่ ใช้ข้อศอกและหัวเข่ารับน้ำหนักโดยไม่ทิ้งน้ำหนักตัวทาบทับร่างที่นอนนิ่งอยู่ ดุ้นเอ็นเกลี่ยไปมาอยู่บนเนินเนื้อกลางลำตัว ใจอยากจะจับท่อนเอ็นมุดเข้าไปในร่องเนื้อแทบตาย แต่ยังลังเล
“กลัวอะไรเหรอเอก” แม่หอบหายใจเบาๆ มองหน้าพูดเสียงยิ้มๆเมื่อเห็นผมทำท่าลังเล ใบหน้าแม่ยังพราวด้วยหยาดเหงื่อที่ระบายออกมาพร้อมกับอารมณ์ที่ถูกปลดปล่อย
“แหะแหะ...” ผมยิ้มแหยๆ “...ไม่กล้าทิ้งตัวลงไปน่ะครับ”
“กลัวว่าจะกระเทือนถึงน้องเหรอ...” แม่ถามเสียงหัวเราะ ผมพยักหน้า “...บ้า แค่เดือนเดียว ไม่อันตรายหรอกย่ะ เอาไว้พอถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน แม่จะบอกเองว่าให้หยุดหรือเปลี่ยนเป็นท่าไหนแทน” ประโยคท้ายๆ แม่พูดอุบอิบ ใบหน้าแดงกล่ำ ชันเข่าแยกเรียวขางามแยกออกจากกัน ร่องเนื้อเปิดทางเผยอออกเหมือนบอกให้ผมทำหน้าที่ต่อไปได้แล้ว
เมื่อได้ยินไฟเขียวอย่างนั้น ผมก็หมดความอดทน สองเข่าแทรกเข้าไปอยู่กลางหว่างขาของแม่ ท่อนเอ็นที่แข็งจนแทบระเบิดจรดจ่ออยู่กลางร่องรักก่อนจะค่อยๆดันเข้าไปในโพรงเนื้อกลางลำตัวของแม่อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะมีน้ำหล่อลื่นหลั่งไหลออกมาจนเปียกเยิ้ม
“อาาา...” ผมและแม่ครางออกมาพร้อมๆกันเมื่อท่อนเนื้อจมหายเข้าไปในร่องรัก ผมกดแช่ดุ้นเอ็นไว้แน่น
“แม่ไม่เจ็บแน่นะครับ” ผมยังลังเล เพราะเคยอ่านหนังสือมาว่าคนท้องต้องระวังโดยเฉพาะเรื่องบนเตียง
“ต้องซักสี่ห้าเดือนก่อนน่ะเอก...” แม่เอ่ยเบาๆ เอวเริ่มขยับดันร่างผมเบาๆเป็นจังหวะ “...ถึงตอนนั้น เอกก็คงนอนทับแม่อย่างนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
ร่างงามที่โยกคลึงเด้งเอวอยู่ด้านล่างทำให้ผมเสียวซ่านไปหมดทั้งตัว จึงไม่รอช้าอีกต่อไป ผมเริ่มบดกระแทกเอวดันดุ้นเอ็นเข้าใส่ร่องรักของแม่อย่างเป็นจังหวะ แม่นอนหลับตาพริ้ม ครางเบาๆในลำคอ
“งั้นแล้วต่อไปผมต้องทำยังไงล่ะครับ...” ผมถามเบาๆที่ข้างหูพลางจูบไซ้ใบหน้าและลำคอของแม่จนเห็นแม่ขนลุก ท่อนเอ็นยังขยับมุดเข้าออกในร่องรัก
“ต่อไปก้อ...” แม่ครางเสียงแผ่ว เอวบิดไปมา ผมรู้สึกว่าในร่องเนื้อของแม่เริ่มหลั่งหยาดน้ำรักออกมาหล่อลื่นอีกครั้งทำให้ท่อนเอ็นของผมบดกระแทกเข้าใส่ได้สะดวกขึ้น “...ต่อไปแม่คงต้อง...คงต้องหันหลังให้เอกแล้วล่ะ” แม่ตอบเสียงสั่นเพราะผมเริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้น
“ได้..ได้สิครับแม่...” ผมพูดเบาๆ หน้าท้องเริ่มเกร็งขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังจะพุ่งถึงขีดสูงสุด “...แล้ว...แล้วแต่แม่ครับ”
ในห้องไม่มีเสียงพูดคุยอีก คงมีเพียงเสียงครวญครางของแม่ที่ดังประสานกับเสียงท่อนเอ็นของผมที่บดกระแทกเข้าใส่ร่องเนื้อดังเป็นจังหวะถี่ยิบ เพราะผมหมดความอดทนแล้ว
“เอก...แม่...แม่...อีก...อีกแล้ว” แม่บิดร่างรับแรงกระแทกของผมก่อนจะเหยียดร่างเกร็งแน่น ส่งเสียงครางลั่นห้อง
“ผม...ผม...แม่...ออก...ออกแล้ว” ผมกระหืดกระหอบครางเสียงสั่น ร่องเนื้อของแม่ยามเมื่อถึงจุดสุดยอดนั้นเกร็งบีบรัดดุ้นเอ็นผมจนแทบขยับตัวไม่ได้ ความรู้สึกว่าแม่ถึงปลายทางแล้วทำให้ผมหมดความอดทน เอวขยับดันดุ้นเนื้อเข้าใส่ร่างแม่ถี่ยิบก่อนจะหยุดนิ่งดันเอวกดทับร่างของแม่นิ่ง “...อาาาา!!!”
แม่กระตุกร่างรับคลื่นความร้อนที่ทะลักทลายเข้าไปในร่องรักอย่างต่อเนื่อง สองมือโอบรัดร่างของผมที่นอนทาบทับอยู่แนบแน่น
จนเมื่อคลื่นความร้อนปลดปล่อยเข้าสู่ร่างแม่จนหมดสิ้นแล้ว ผมจึงค่อยๆขยับตัวลงมานอนด้านข้างของร่างงามและดึงร่างแม่ขึ้นมานอนกอดอยู่ด้านบนแทน
“ดีมั๊ยเอก” แม่ถามเสียงแผ่วเบา เหงื่อผุดซึมทั้งใบหน้า หยาดน้ำเหนียวข้นจากในร่องรักไหลเอ่อล้นออกมาจนผมสัมผัสได้ยามเมื่อแม่ปีนป่ายหน้าขาอยู่บนลำตัวของผม
“ดีที่สุดเลยครับ” ผมตอบจากใจ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์บนเตียงเท่านั้น แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นในทุกๆด้าน จนผมรู้สึกว่าไม่มีทางหาได้จากผู้หญิงคนใดในโลกนี้อีก
“งั้นเดี๋ยวเรานอนกันซักงีบแล้วเริ่มไปจัดของสำหรับเตรียมย้ายไปอยู่เชียงใหม่กันดีมั๊ยเอก” แม่พูดพลางหันมามองหน้าผมเป็นเชิงปรึกษา
“ตกลงครับ” ผมยิ้มรับ ชะโงกหน้าหอมแก้มแม่เบาๆก่อนจะดึงร่างงามให้เอนซบลงมานอนพักอยู่บนตัวของผม แม่ขืนตัวเหมือนจะกลัวว่าน้ำหนักจะทับอยู่บนตัวผม แต่ก็เปลี่ยนใจ ล้มตัวลงซุกใบหน้าอยู่บนอกและกอดตัวผมไว้แน่น ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย คงเหลือเพียงผมที่ยังนอนลืมตาคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าอยู่...
.........................................................................

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ การลาออกของแม่สร้างความตื่นตะลึงให้กับอาจารย์และนักเรียนในโรงเรียน เพราะแม่ไม่เคยแสดงออกแม้แต่นิดเดียวว่าจะอำลาจากอาชีพนี้ อาจารย์ใหญ่ถึงกับบอกแม่ว่าไม่จำเป็นต้องลาออกหรอก ถ้าแม่จะลาพักร้อนเพื่อพักผ่อนหรือทำอย่างอื่นก็สามารถทำได้เต็มที่ เมื่อพร้อมจะกลับมาสอนเมื่อไหร่ ก็กลับมาได้ตลอดเวลา ถึงแม้แม่จะบอกว่าต้องขึ้นไปเชียงใหม่อย่างน้อยหนึ่งปี อาจารย์ใหญ่ก็บอกว่าไม่เป็นไร โรงเรียนยินดีรับแม่กลับมาสอนที่นี่เมื่อแม่ย้ายกลับมากรุงเทพแล้ว อย่างมากก็หักพักร้อนล่วงหน้าของแม่ตามจำนวนวันที่แม่หยุดตามกฏ แต่แม่ยังคงกลับมาสอนได้เสมอ อาจารย์และนักเรียนคนอื่นๆต่างสนับสนุนความคิดของอาจารย์ใหญ่ แม่ถึงกับหลั่งน้ำตาให้กับความรักที่ได้รับจากทุกๆคนในโรงเรียน...
“อย่างน้อยแม่ก็กลับมาสอนต่อได้ เอกเห็นว่ายังไงล่ะ” แม่เอ่ยปากถามหลังจากเล่าเรื่องในโรงเรียนให้ผมฟังขณะที่เรานั่งทานข้าวกันอยู่ในบ้าน
“ก็ดีนะครับ เราไปอยู่ที่นั่นแค่ช่วงเดียว พอกลับมาแม่ก็กลับมาสอน มาเป็นอาจารย์เหมือนเดิม ผมก็เห็นด้วยครับ...” ผมตอบพลางยิ้มให้กำลังใจผู้เป็นทุกอย่างของผม “...ส่วนเรื่องลูกก็ไม่ต้องเป็นห่วง พอกลับมาที่นี่ ผมเรียนไปเลี้ยงไปด้วยก็ได้ครับ เรียนรามก็ดีอย่างนี้แหล่ะ มีเวลาว่างเหลือเยอะครับ”
แม่ยิ้มให้กับคำตอบของผม รอยยิ้มนั้นนอกจากจะทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นแล้ว ยังทำให้อารมณ์บางอย่างตื่นขึ้นมาจนรู้สึกว่าอยากรีบกินข้าวให้เสร็จเร็วๆเสียแล้วล่ะ
เห็นท่าทีรีบเร่งกินข้าวของผมเท่านั้นแม่ก็คงเดาออกว่าผมคิดอะไรอยู่
“เป็นอย่างนี้ทุกที แล้วยังจะมีหน้ามาสงสัยอีกว่ามีน้องได้ยังไง” แม่นั่งหน้าแดง บ่นเบาๆ ผมยิ้มแหยๆ
“ผมป่าวคิด”
“ไม่ต้องเลยเอก เร่งกินข้าวอย่างนี้ มีเรื่องด่วนต้องรีบทำใช่หรือเปล่า” แม่คาดคั้นแต่หางเสียงยิ้มๆ ใบหน้าเป็นสีชมพูเข้ม
“แหะแหะ...” ผมตอบไม่ถูก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตอบอะไร เพราะพอทานข้าวเสร็จ ล้างปากล้างหน้าเรียบร้อยก็หันไปจับมือแม่จูงขึ้นไปห้องนอนชั้นบน แม่อิดออดนิดหน่อยก่อนจะเดินตามผมต้อยๆขึ้นไปข้างบน
ในห้องนอน ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงรัก เสียงครวญครางดังประสานสลับกับเสียงเนื้อต่อเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆจบบทเพลงพร้อมกับเสียงหอบหายใจของทั้งผมและแม่ก่อนจะหลงเหลือเพียงความเงียบสงบภายในบ้าน...
.........................................................................

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป พรุ่งนี้ก็ต้องย้ายไปเชียงใหม่แล้ว เราวุ่นวายกันหลายเรื่อง แม่ติดต่อขอเช่าคอนโดย่านถนนห้วยแก้วไว้ เป็นห้องชุดหนึ่งห้องนอนพร้อมเฟอร์นิเจอร์ในราคาไม่แพงนัก ส่วนผมต้องเตรียมหนังสือเรียนทุกชนิดขึ้นไปให้พร้อม เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้ากรุงเทพอีกครั้งเมื่อไหร่
“เดี๋ยวพออยู่ที่นั่น เอกคงต้องหัดขับรถแล้วล่ะ...” แม่หันมาพูดขณะที่ขับรถออกจากบ้านเพื่อเดินทางขึ้นเหนือ สัมภาระกองเต็มเบาะหลังและในกระโปรงหลังรถ “...เพราะต่อไปคงต้องหวังพึ่งให้เอกเป็นคนขับรถให้แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่แม่ขับรถไม่ได้น่ะ” แม่พูดพลางมองหน้าท้องของตัวเองซึ่งผมก็เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี
“ตกลงครับ” ผมยิ้มรับพลางชะโงกหน้าไปหอมแก้มแม่ แม่หันมาทำหน้าย่นใส่
“แล้วรู้หรือยังครับว่าเราจะไปทำอะไร” ผมเอ่ยปากถาม เพราะช่วงที่ผ่านมา เห็นแม่ติดต่อคนที่โน่นที่นี่เยอะแยะ
“โชคดีจริงๆเลยล่ะเอก...” แม่หันมาพูดยิ้มแย้ม “...เจ้าของห้องที่เราเช่าอยู่น่ะเค้าต้องลงมาอยู่กรุงเทพและเค้ามีร้านดอกไม้อยู่หน้ามอ เค้าก็เลยบอกว่าถ้าเราเช่าทั้งคอนโดและร้านดอกไม้ เค้าจะคิดราคาพิเศษให้ แม่เลยว่าจะขอขึ้นไปดูร้านก่อนน่ะ”
“เอาสิครับ ผมช่วยเป็นลูกมือให้แม่เอง” ผมยิ้มรับข้อเสนอนั้น
“เป็นหลายอย่างนะยะ...” แม่หันมาค้อนสีหน้ายิ้ม “...เป็นลูก เป็นพ่อ แล้วยังจะมาเป็นลูกมือแม่อีก”
ผมหัวเราะกับคำประชดเล็กๆนั้น
เราเดินทางไปเรื่อยๆ เพราะแม่ก็ไม่ใช่ว่าจะขับรถเดินทางไกลบ่อยๆ ผมช่วยแม่ดูทาง บางทีก็ชวนคุยเพื่อไม่ให้แม่ง่วงนอน เพราะถนนโล่ง นานๆถึงจะมีรถสวนมาหรือแซงผ่านหน้าไปซักที
เวลาผ่านไป ผมเหม่อมองสองข้างทางที่เรียงรายด้วยทุ่งข้าวเขียวขจีจนไม่รู้จะมองอะไร ก็หันกลับมาหาแม่ที่กำลังนั่งขับรถอยู่ ผมยิ้มให้กับใบหน้างามที่กำลังมองถนนด้วยความตั้งใจ แต่เมื่อไล้สายตาลงมาบนเสื้อยืดสีขาวก็ต้องชะงัก เพราะเข็มขัดนิรภัยที่รัดตรงกลางระหว่างสองเต้า ทำให้ทรวงอกถูกเน้นจนพุ่งตระหง่านเห็นเม็ดบัวดันขึ้นมาได้ชัด และเมื่อเลื่อนสายตาลงไปอีก คราวนี้ผมต้องกลืนน้ำลายเพราะกางเกงยีนส์ที่แม่ใส่มันรัดเสียจนเนินเนื้อกลางลำตัวโหนกนูนขึ้นมาเป็นรูปสามเหลี่ยมชัดเจน ภาพที่เห็นทำให้ผมนึกถึงเวลาที่ร่างของแม่ปราศจากเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ตัวนั้น ซึ่งก็นึกภาพได้ไม่ยากนักเพราะเคยเห็นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ประกอบกับหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เราไม่ได้มีอะไรกันเลยเนื่องจากแม่ต้องวิ่งวุ่นกับการเตรียมย้ายบ้าน และผมต้องจัดเอกสารการเรียนทุกชนิดสำหรับเตรียมไปอ่านที่นั่น เพียงแค่คิด ท่อนเอ็นในกางเกงก็ลุกชันขึ้นมาทันที
“อะแฮ่ม...” แม่กระแอมเบาๆ ผมสะดุ้งรีบเงยหน้าจากเนินสามเหลี่ยมมองหน้าแม่ เห็นแม่ใช้หางตามองหน้าผมสลับกับเป้ากางเกงที่ดันขึ้นมาเห็นได้ชัด “...คิดอารายอยู่”
“แหะแหะ...” ผมหัวเราะแห้งๆ “...ป่าวครับ”
“ป่าวเหรอ...” แม่ย้อนถามพลางบุ้ยปากไปที่บริเวณเป้ากางเกงผม “...แล้วอารายล่ะน่านนะ”
ผมรีบเอามือบังส่วนที่กำลังดันกางเกงขึ้นมา แต่ยิ่งเอามือไปกด กลับยิ่งทำให้สิ่งที่อยู่ภายในแข็งขันมากขึ้นไปอีก
“ก้อเอ่อ...ก้อ...” ผมตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบว่าอะไร
“นั่งรถเดินทางไกลขนาดนี้ยังจะมีอารมณ์อีกเหรอเอก” แม่ถามเสียงยิ้มๆ ผมหน้าแดง
“แหะแหะ ก็คิดอะไรเพลินๆน่ะครับ” แม่ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชั่วอึดใจหนึ่ง แม่มองกระจกหลังก่อนจะเปิดไฟกระพริบเพื่อชะลอรถเข้าข้างทาง บริเวณนั้นเงียบสงบ เพราะเป็นถนนหลวงที่นานๆถึงจะมีรถผ่านไปมาซักครั้ง
“มานี่ แม่จัดการให้ จะได้หายฟุ้งซ่าน” แม่พูดยิ้มๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเอื้อมมือมาที่เป้ากางเกงผม
“ไม่ต้องหรอกครับ” ผมรีบบอกทันทีเพราะรู้ว่าแม่จะทำอะไร โธ่! ใครจะไปอยากได้อย่างนี้ ผมอยากจะอดใจรอให้ถึงเชียงใหม่ก่อนมากกว่า เพราะอยากให้สิ่งที่คั่งค้างอยู่ข้างในได้ปลดปล่อยให้มันถูกที่ถูกทาง แต่แม่ไม่ฟังเสียง
“เอ๊ะ! อย่าเรื่องมากน่า...” แม่ทำเสียงดุ แต่ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้ดุจริงหรอก “...รูดซิปลงเร็ว”
ผมอึกอักจนแม่เตือนอีกครั้ง จึงยอมปลดกระดุมกางเกงออกก่อนจะรูปซิปกางเกงและขยับเอวดึงทั้งกางเกงและชั้นในไปอยู่ที่หัวเข่า
แม่อมยิ้มมองดุ้นเอ็นที่แข็งเกร็งอยู่กลางหว่างขาผมก่อนจะก้มลงไปจนใบหน้างามแนบชิดกับท่อนเอ็น ลมหายใจร้อนกรุ่นที่รดลงบนดุ้นเนื้อทำให้ผมขนลุก
“ดูคนให้แม่ด้วยนะเอก” แม่เงยหน้าสั่ง ผมพยักหน้ามองรถที่ผ่านไปผ่านมา
“รอ...รอให้ถึงเชียงใหม่ก่อนก็ได้นี่ครับ” ผมอุทธรณ์เสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของแม่คลึงแผ่วเบากับท่อนเนื้อ ปลายลิ้นเรียวเล็กโฉบตวัดไล้เลียจนทั่ว อุ้งมือนุ่มนิ่มของแม่บีบเคล้นท่อนเอ็นของผมก่อนจะขยับรูดขึ้นลงช้าๆอย่างต่อเนื่อง
“ไม่หรอกเอก...” แม่เงยหน้าขึ้นตอบ ฝ่ามือยังคงขยับรูดดุ้นเอ็นเป็นจังหวะ “...เดี๋ยวพอไปถึง แม่ก็เหนื่อยแล้วคงจะนอนหลับเลยล่ะ ไม่มีแรงทำอะไรๆอย่างที่เอกคิดหรอก และแม่ก็ไม่อยากให้เอกค้างด้วย เข้าใจมั๊ย”
ผมพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจแล้วก็ต้องเงยหน้าครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อแม่ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกเย็นวูบเมื่อแม่ค่อยๆอ้าปากกลืนท่อนเอ็นเข้าไปทีละนิดจนหายเข้าไปในปากแม่เกือบครึ่ง
“อูยย..แม่...แม่ครับ” ผมครางเบาๆ เมื่อแม่เริ่มรูดดุ้นเอ็นของผมด้วยริมฝีปากงามจนศีรษะขยับขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะซึ่งในอุ้งปากนั้นยังมีปลายลิ้นเรียวเล็กที่คอยตวัดไล้เลียทั่วท่อนเนื้อจนผมต้องแอ่นเอวขึ้นรับความเสียวซ่านนั้น มือขวาของแม่ขยับรูดขึ้นลงตรงส่วนโคนสลับกับบีบเคล้นถุงเนื้อด้านล่างแผ่วเบาทำให้ผมแทบคลั่ง
อารมณ์ที่ถูกเก็บไว้ร่วมอาทิตย์ทำให้ผมคงจะอดกลั้นไว้ไม่ได้นานนักซึ่งแม่ก็คงรู้ เพราะผมรู้สึกว่าแม่เริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น อุ้งมือแม่ขยับรูดท่อนเนื้อของผมเร็วจี๋พร้อมกับขยับหัวใช้ปากรูดท่อนเอ็นของผมเข้าออกอย่างรวดเร็วจนหัวสั่นหัวคลอน อารมณ์ของผมพุ่งถึงขีดสุด ท่อนเอ็นแข็งเกร็งจนแม่รู้สึกได้
“ปล่อยออกมาสิเอก...” แม่เงยหน้าพูดเสียงแผ่ว ใบหน้าสีชมพูจัด มือขยับรูดแท่งเอ็นที่แข็งเกร็งรอวินาทีสุดท้าย “...อีกนิดเดียว”
“ออก...ผม...ผม...อะ...ออกแล้ว” ผมครางเสียงสั่น ขาเหยียดเกร็ง แอ่นเอวขึ้นสุดตัวพร้อมกับกดศีรษะของแม่ลงไปจนท่อนเอ็นหายเข้าไปในปากแม่เกือบครึ่งโดยที่แม่ยังเร่งมือรูดท่อนเนื้อถี่ยิบ
“อาาา....” ผมครางในลำคอ แอ่นเอวขึ้นฉีดน้ำรักเข้าใส่ริมฝีปากงามของแม่ที่จ่อรออยู่ แม่สำลักเล็กน้อยเมื่อหยาดน้ำร้อนผ่าวฉีดพุ่งเข้าไปในปากทะลักทลายก่อนจะใช้เรียวปากงามขยับรูดท่อนเอ็นดูดกลืนน้ำรักของผมผ่านลำคอจนหยดสุดท้าย
ผมถอนหายใจเฮือก มองดูแม่ซึ่งกำลังใช้ปลายลิ้นไล้เลียทำความสะอาดดุ้นเอ็นของผมจนหมดคราบน้ำรักก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ใช้กระดาษทิชชู่ซับทำความสะอาดริมฝีปากของตัวเองที่มีคราบน้ำรักของผมเลอะเทอะอยู่
ผมขยับตัวประชิดร่างแม่ จะตอบแทนสิ่งที่แม่ทำให้ แต่แม่สั่นหน้า
“ไม่หรอกเอก...” แม่ดันหน้าผมออกจากสองเต้างาม บังคับให้นั่งอยู่กับเบาะตามเดิม “...เดี๋ยวแม่ต้องขับรถอีกไกล อย่าให้แม่ต้องเหนื่อยก่อนเลย”
“แล้วแม่...เอ่อ..แม่ไม่...” ผมมองสบตา แม่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“มีสิเอก...” แม่ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผม “แม่ก็มีอารมณ์นะ แต่ต้องเก็บแรงไว้ใช้เดินทางก่อน เอกก็รู้นี่ว่าพอแม่เสร็จแล้วจะเหนื่อยมาก แล้วใครจะขับรถให้ล่ะ สำหรับแม่เอาไว้ถึงที่พักก่อนก็แล้วกันนะ”
ผมพยักหน้ารับพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะขยับตัวไปหอมแก้มและประกบปากกับแม่แนบแน่น แม่เผยอปากตวัดปลายลิ้นเกลี่ยริมฝีปากผมวูบหนึ่งก่อนจะดันตัวผมกลับไปนั่งที่เดิม
“พอแล้ว เราไปต่อเถอะนะเอก” แม่ขยับตัวใส่เข็มขัดนิรภัยทำเสียงดุ แต่ผมไม่กลัวหรอก เพราะแววตาที่แม่มองผม มันเจือไปด้วยความรักความอบอุ่น และที่สำคัญ มันยังบอกเป็นนัยๆว่าผมยังมีงานหนักต้องทำภายหลังจากถึงที่พักแล้วแน่ๆเลย...

-----------------------------------------------------------------------------------

ความอัดอั้น 3



เสียงระฆังดังกังวานบอกเวลาสิบหกนาฬิกาตรง ผมเดินเอื่อยๆไปห้องพักครูเพื่อกลับบ้านพร้อมแม่ เพราะใกล้จะเปิดเทอมแล้ว แม่ต้องมาโรงเรียนเพื่อเตรียมบันทึกการเรียนการสอนสำหรับปีการศึกษาใหม่
ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ จึงต้องลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดซึ่งยังไม่เปิดเรียน ดังนั้น ช่วงเวลาที่ว่างอย่างนี้ ผมมักจะมานั่งเล่นอยู่ในโรงเรียนและรอกลับบ้านพร้อมแม่เกือบทุกวัน

“อ้าว มาแล้วเหรอเอก...” แม่เงยหน้ายิ้มทักทายเมื่อเห็นผมเดินเข้าห้องทำงาน “...รอแป๊บนะ แม่เขียนนี่อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
ผมสบตาแม่วูบหนึ่งแล้วก็ต้องก้มหน้า เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้รับแขก ในใจเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ถ้ามีใครซักคนรู้เรื่องระหว่างผมกับแม่ เฮ้อ! ลำพังผมน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่แม่สิ จะมองหน้าคนอื่นได้ยังไง และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้แม่กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะเราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันเลย
ดูเอาเถอะ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ผมแทบจะถูกแม่ฆ่าตายเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่มาวันนี้ แม่ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย มองดูเผินๆแล้ว เราเป็นแม่ลูกที่รักกันมาก แต่จะมีใครรู้บ้างหรือเปล่าเนี่ย ว่าเรารักกันมากกว่าที่คนอื่นคิดไว้ซะอีก
ตั้งแต่กลับจากพัทยาครั้งที่ผ่านมา โลกของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บรรยากาศในบ้านไม่มีความเคร่งเครียดหลงเหลืออยู่อีก ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย และรอยยิ้มของแม่ที่ล่องลอยอยู่ทุกอณูของบ้าน อ้อ! ไม่ใช่สิ นอกจากเสียงหัวเราะเสียงพูดคุยแล้ว บางครั้งก็ยังมีเสียงครวญครางของแม่ดังเป็นระยะๆจากภายในห้องนอน บอกให้รู้ถึงอารมณ์ของแม่ที่ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“คิดอะไรอยู่...” เสียงแม่ดังขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งเงียบอยู่ “...มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ...” ผมตอบพลางยิ้มรับเมื่อเห็นแม่จ้องมองมา “...ก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปน่ะครับ”
“อืมม...” แม่พยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้ม “...รออีกแป๊บเดียว อ้อ! เอกมานั่งข้างๆแม่ก็ได้ จะได้ช่วยแม่ตรวจงานด้วย จะได้เสร็จเร็วๆ มาสิ”
ผมขยับตัวไปหาแม่ มองซ้ายมองขวาหาเก้าอี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อแม่ดึงตัวผมลงไปนั่งอยู่บนพนักเก้าอี้ตัวที่แม่นั่งอยู่
“นั่งนี่ก็ได้...” แม่ทำเสียงดุ แต่แววตาเป็นตรงกันข้าม “...ทำไม นั่งใกล้ๆแม่แล้วมันเป็นยังไงเหรอ”
ผมอึกอักซักพักเพราะกลัวจะมีคนเดินเข้ามาแต่ก็ลงนั่งตามที่แม่บอก แต่ที่จริงแล้วผมคงกลัวไปเอง เพราะถ้ามีใครมาเห็นก็ไม่เห็นผิดปกติอะไรกับการที่แม่ลูกจะใกล้ชิดกัน คงเป็นเพราะความระแวงของผมเองต่างหากล่ะ
สายตามองไปรอบๆห้องอย่างไร้จุดหมายแล้วก็มาสิ้นสุดอยู่บนร่างของแม่ที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ ผมพึ่งสังเกตว่าแม่เปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตา จากคุณครูจอมเฮี้ยบหน้าดุ กลายเป็นครูที่อิ่มเอิบด้วยเลือดฝาดราวกับสาวรุ่น ดูมีน้ำมีนวลราวกับเป็นคนละคน

สองเดือนที่ผ่านมา ในสายตาของคนอื่นเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ในโลกของผมกับแม่ ยามที่เราอยู่กันเองภายในบ้าน เราเปลี่ยนบทบาทที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ผมไม่เคยได้กลับไปนอนในห้องของตัวเองอีกเลย พอทานข้าวมื้อเย็นเสร็จ เราก็เข้าไปนั่งดูโทรทัศน์กันในห้องของแม่ ซึ่งก็คล้ายกับจะดูแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะเพียงชั่วครู่ เราก็กลายเป็นตัวละครที่แสดงหนังกันเอง เพียงแต่หนังที่เราแสดง เป็นเรื่องที่บอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้เท่านั้น
ความคิดที่ย้อนไปถึงยามเมื่ออยู่ในห้องนอนตามลำพังกับแม่ ภาพที่ยังจดจำ ทำให้อารมณ์ของวัยรุ่นที่พึ่งรู้รสสัมผัสแห่งธรรมชาติคุกรุ่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ซักพักผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อแม่หยิกต้นขาผมเบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ...” แม่ปั้นปากทำเสียงดุ มองหน้าผมสลับกับเป้ากางเกงที่ขยับนูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัดตามอารมณ์ที่ถูกเร่งเร้าจากภาพในห้วงความคิด “...ให้มานั่งข้างๆเพื่อช่วยทำงาน ดันมาคิดเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“แหะแหะ ป่าวครับ” ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าผมคิดเรื่องเหลวไหลอย่างนั้น แต่จากการที่ผมนั่งอยู่บนพนักเก้าอี้ ยามเมื่อก้มลงมองหน้าแม่ สายตาดันเหลือบมองผ่านสาบเสื้อเข้าไปจนมองเห็นร่องอกที่เบียดแน่นอยู่ภายในบราสีครีม ทำให้อารมณ์ที่อยากให้สงบนิ่งกลับลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีกเพราะยังจำภาพยามที่สองเต้านั้นปราศจากอาภรณ์ใดๆห่อหุ้มได้อย่างไม่มีวันลืม
“เอกกกกก...” แม่ลากเสียงยาว ชำเลืองมองเห็นว่าสายตาผมกำลังจับจ้องอะไรอยู่ ก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “...จ้องอาราย เดี๋ยวก็เปิดให้ดูซะหรอก”
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้องทำงานแม่ สงสัยจะได้แสดงหนังกันอีกรอบแน่ๆ

ผมหายใจลึกๆ กำลังนั่งทำจิตใจให้สงบก็ต้องสะดุ้งเพราะแม่นั่งเขียนงานอยู่ก็จริง แต่กลับยกแขนอีกข้างที่วางอยู่บนโต๊ะเอามาวางพาดบนต้นขาผมคล้ายกับเอาข้อศอกวางบนพนักเก้าอี้ แต่ให้ตายเถอะ ข้อศอกข้างนั้นของแม่ แทนที่จะวางเฉยๆ กลับขยับขึ้นมาพาดอยู่บนเป้ากางเกงของผมและถูไถเบาๆอยู่บนนั้นทำให้ท่อนเนื้อที่พยายามข่มใจสุดชีวิตให้มันสงบนิ่งกลับดีดตัวแข็งชันขึ้นมาอย่างรวดเร็วรับสัมผัสที่ไม่รู้ว่าแม่ตั้งใจหรือเปล่าให้มันเป็นอย่างนั้น
“แม่...แม่ครับ...” ผมอุทานเสียงสั่นเบาๆ ท่อนแขนที่คลึงอยู่บนเป้ากางเกงแรงสลับเบาทำให้ผมต้องบิดตัวด้วยความอึดอัด “...ผม...ผม...”
แม่เงยหน้าขึ้นมองผม ริมฝีปากบางเจือด้วยรอยยิ้ม แก้มบุ๋มด้วยลักยิ้มที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ
“ไปปิดประตู...” เสียงแม่กระซิบสั่งทำให้ผมชะงัก นี่มันที่ทำงาน แต่แม่ไม่สนใจ ดันตัวผมให้ลุกขึ้นยืน “...เร็วสิ”
“แต่...แม่...” ผมพยายามอุทธรณ์ แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อแม่ทำหน้าดุใส่ จึงค่อยๆเดินย่องไปที่ประตูห้องพักครู
ผมชะโงกออกไปมองข้างนอกอีกครั้งอย่างระแวง แต่ก็ไม่มีใคร เพราะนี่อยู่ในช่วงปิดเทอม นักการภารโรงก็อยู่ในที่พักของตัวเอง บนตึกเรียนชั้นนั้น มีเพียงผมกับแม่อยู่กันสองคนเท่านั้น

ผมค่อยๆปิดประตูห้องพักครูอย่างแผ่วเบา แต่ลงกลอนทั้งบนและล่างอย่างแน่นหนาก่อนจะเดินกลับมาหาแม่ที่เก้าอี้
“นั่งสิ...” เสียงแม่เบาราวกระซิบ พลางดึงร่างผมลงไปนั่งบนพนักเก้าอี้ตามเดิม “...เมื่อกี้แอบดูอะไร แม่เห็นนะ”
ผมยิ้มแหยๆแต่ก็ต้องตาค้าง เมื่อแม่นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะค่อยๆปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดจนถึงเม็ดสุดท้าย เผยให้เห็นบราสีครีมที่ห่อหุ้มเต่งเต้างามนั้นอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องแอบดูหรอก...” แม่พูดเบา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม “...ทำอย่างกับว่าเอกไม่เคยเห็นอย่างนั้นแหล่ะ”
“แต่...แต่นี่...นี่มันที่ทำงานแม่” ผมพูดตะกุกตะกัก แม่ทำหน้าดุแต่แววตายิ้ม
“แล้วยังไงล่ะ” แม่กระซิบถามเบาๆ สองมือไขว้ไปด้านหลัง ผมตาค้างอีกครั้งเมื่อแม่ค่อยๆปลดบราชิ้นงามออก เผยให้เห็นสองเต้าที่ยังคงความงามตามอายุไว้ ปลายยอดสีน้ำตาลอ่อนชูชันขึ้นมาราวเม็ดบัว
แม่ขยับตัวอีกครั้ง ดึงมือทั้งสองข้างของผมลงไปเกาะกุมอยู่บนทรวงอกพลางแอ่นร่างขึ้นรับแรงสัมผัสที่ผมบีบเคล้นอย่างแผ่วเบาอยู่บนเต้างาม ฝ่ามือบดคลึงเม็ดทับทิมที่ดีดตัวแข็งขึ้นมาจนสัมผัสได้
ผมบีบเคล้นเต่งเต้างามหยุ่นมือด้วยอารมณ์ที่โหยหาความสุข ยามนี้ ผมไม่สนใจแล้วว่าเราสองคนอยู่กันที่ไหน ขอเพียงแค่เรามีความสุขที่มอบให้กันและกัน จะเป็นที่ไหนก็ไม่แตกต่างหรอก สองมือของผมเพิ่มแรงบีบเคล้นหนักมือขึ้นจนสองเต้าบนทรวงอกของแม่สั่นกระเพื่อมตามจังหวะที่ผมขยำเคล้นคลึง
แม่นั่งหลับตานิ่ง แอ่นร่างรับแรงบีบเคล้นที่ผมบรรจงมอบให้ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบไล้บนเป้ากางเกงที่โป่งนูนขึ้นมาและค่อยๆปลดกระดุมกางเกงของผมก่อนจะรูดซิปลงไปจนสุด ผมรีบขยับตัวให้เพราะรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ แม่จับขอบกางเกงของผมรูดออกจากร่างพร้อมกับกางเกงในจนลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนจะหันมาลูบไล้ท่อนเนื้อที่แข็งชันด้วยความพลุ่งพล่าน มืออ่อนนุ่มที่เคยจับไม้เรียวตีเด็กนักเรียนนับไม่ถ้วนซึ่งรวมถึงผมด้วย บัดนี้ได้เกาะกุมอยู่บนท่อนเอ็นที่สั่นระริกด้วยความเสียวซ่านและค่อยๆรูดท่อนเนื้อขึ้นลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะก้มหน้าลงบนดุ้นเอ็น
“อูยยย...” ผมครางเสียงสั่น “...แม่...ผม...ผมเสียว”
ผมกลั้นเสียงไว้ไม่ได้จริงๆ เพราะยังไม่ทันที่ริมฝีปากบางจะสัมผัสกับความเป็นชายผมของ แม่ตวัดลิ้นออกมาไล้เลียท่อนเอ็นตั้งแต่โคนจนถึงส่วนปลายและเกลี่ยลิ้นเรียวเล็กจากปลายลงมาถึงส่วนโคนสลับไปมาจนผมแทบดิ้นตกเก้าอี้ สองมือที่บีบเคล้นอยู่บนเต้าทั้งสองเพิ่มความหนักหน่วงอย่างลืมตัวจนมองเห็นรอยแดงช้ำบนเต้าขาวเนียนนั้น แต่ก็ไม่เห็นแม่ห้ามปรามอะไร กลับยิ่งแอ่นทรวงอกขึ้นรับแรงนั้นยิ่งขึ้นไปอีก
“โอยย...” ผมกระตุกร่างเบาๆเมื่อแม่ค่อยๆบรรจงขยอกกลืนท่อนเนื้อของผมเข้าไปในปากก่อนจะรูดดุ้นเอ็นด้วยริมฝีปากบางนั้น ปลายลิ้นตวัดไล้เลียไปมายามที่ท่อนเอ็นของผมรูดผ่านช่องปากอุ่นชื้นจนผมเสียวปลาบไปหมดทั้งร่าง
“แม่...แม่...แม่ครับ...” ผมครางเสียงตะกุกตะกัก เสียวซ่านตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า “...ผม...ผม...”
“วันนี้เราเร็วหน่อยก็แล้วกันนะ...” แม่เงยหน้าพูดเสียงกระซิบ ใบหน้างามแดงกล่ำ “...แล้วค่อยกลับไปต่อที่บ้านก็แล้วกัน”
ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าใจ แม่ก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนและดึงผมลงไปนั่งบนเก้าอี้แทน แล้วผมก็ต้องเสียววาบเมื่อแม่สอดมือเข้าไปในกระโปรงก่อนจะรูดซับในสีครีมออกจากปลายเท้าและยกกระโปรงขึ้นมาอยู่เหนือเอวจนมองเห็นเนินเนื้องามที่ประดับด้วยไหมดำขลับแผ่ปิดโหนกเนื้อนั้นจนทั่ว
ผมขยับตัวจะก้มลงไปหาโหนกเนื้อนั้นตามสัญชาติญาณแต่แม่ดึงตัวไว้
“ไม่ต้องเอก...” แม่กระซิบบอกพลางหอมแก้มผมเบาๆ “...เดี๋ยวแม่จัดการให้เสร็จๆไปก่อนเลย ไว้คืนนี้ค่อยทำอย่างที่เอกอยากทำก็แล้วกันนะ”
ผมกำลังงงว่าแม่หมายถึงอะไรก็ต้องสะดุ้งเมื่อแม่ขยับตัวมานั่งคร่อมอยู่บนร่างของผมโดยหันหน้าไปทางเดียวกัน เนินเนื้ออ่อนนุ่มทับอยู่บนดุ้นเอ็นที่แข็งราวกับหินของผมและบดเบียดเบาๆทำให้ผมแทบคลั่งด้วยความเสียว แล้วก็ต้องใจหายวาบเมื่อแม่ขยับตัวโหย่งขึ้นพลางจับท่อนเอ็นของผมตั้งไว้และค่อยๆสวมร่องรักลงมาช้าๆจนดุ้นเอ็นของผมจมหายเข้าไปในเนินรักของแม่จนหมด
“อาาา...” เราสองคนแม่ลูกถอนใจออกมาพร้อมๆกันเมื่อความเป็นชายของผมเข้าไปอยู่ในร่องรักของแม่ทั้งหมดแล้ว
แม่นั่งนิ่งเพื่อให้ร่องรักปรับตัวกับท่อนเอ็นที่เข้าไปอยู่ภายในซักพักก่อนจะค่อยๆขยับเอวโยกร่าง ดุ้นเนื้อของผมขยับเข้าออกในร่องรักเนิบๆ บางครั้งก็บดเบียดกับติ่งเนื้อที่ไวต่อสัมผัสของแม่ ได้ยินเพียงเสียงแม่ครางเบาๆด้วยความเสียว
“แม่...แม่ครับ...” ผมครางเรียกแม่เบาๆ เสียวซ่านไปหมดทั้งตัว สองมือเอื้อมมาเกาะกุมบีบเคล้นบนเต้านมที่แกว่งไกวตามแรงบดกระแทกของแม่ “...ผมเสียว”
“ปล่อย...ปล่อยออกมาเลยเอก...” แม่หันมายิ้มให้ ใบหน้างามแดงกล่ำด้วยความเสียวซ่านที่ไม่แพ้กัน เอวที่บดอยู่บนร่างผมเริ่มขยับเร่งความเร็วขึ้น “...แม่...แม่จะไม่ไหวอยู่แล้ว”
ทั้งห้องได้ยินเพียงเสียงครวญครางของเราทั้งสองแผ่วเบาผสานกับเสียงเก้าอี้ที่โยกไปมาตามแรงบดกระแทกของแม่ที่เร่งเร้าจังหวะเพื่อให้ผมไปถึงจุดหมายปลายทาง เหงื่อที่ผุดซึมทั่วร่างงามด้วยว่าใช้แรงทั้งหมดโยกเอวจนทั้งท่อนเอ็นและร่องรักร้อนจี๋ราวกับไฟ
“ผม...ผมออก...ออกแล้ว” ผมครางกระท่อนกระแท่น ร่องเนื้อที่ขยับตัวรูดดุ้นเอ็นผมขึ้นลงอย่างรวดเร็วทำให้ผมไม่สามารถอดกลั้นอีกต่อไปได้ “...ออกแล้ว”
สิ้นเสียงครางของผม แม่โยกเอวกระแทกร่องรักเข้าใส่ท่อนเอ็นผมอีกสองสามครั้งก่อนจะบดเบียดร่องรักไว้กับดุ้นเอ็นของผมแนบแน่น
“อาาา...” เราทั้งสองครางออกมาพร้อมๆกันอีกครั้งเมื่อผมกระตุกร่างฉีดน้ำรักเข้าใส่โพรงเนื้ออย่างรุนแรงพร้อมๆกับที่เนินรักของแม่เกร็งบีบตัวเคล้นหยาดน้ำรักจากภายในออกมาผสานกับของผมจนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ผมซบลงกับแผ่นหลังที่มีหยาดเหงื่อเกาะพราวของแม่ ได้ยินเสียงแม่หอบหายใจเบาๆ
“เหนื่อยมั๊ยครับ” ผมกระซิบถามข้างหู แม่เอียงหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ
“ไม่...ไม่หรอก...” เสียงแม่สั่นระริกเพราะพึ่งผ่านพ้นความเสียวมาหมาดๆ ใบหน้างามมีเหงื่อซึมทั่ว “...เรากลับกันเถอะ”
เสียงแม่สูดปากเบาๆเมื่อยกตัวออกจากร่างผม น้ำรักของทั้งผมและแม่ไหลออกจากร่องรักลงไปตามเรียวขางาม
“เลอะเทอะหมดเลย...” แม่หยิกแขนผมเบาๆแก้เก้อเมื่อเห็นผมจ้องมองเนินรักนั้นตาไม่กระพริบ “...ดูอะไรยะ”
“ดูว่าไม่น่าเชื่อว่าแม่จะเก่งขนาดนี้น่ะครับ...” ผมชมตรงๆ แม่หน้าแดง “...ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ไม่ต้องชมแล้วย่ะ...” แม่เอียงหน้ามากระซิบ จูบเบาๆที่หน้าผาก “...ไปแต่งตัวกลับบ้านได้แล้ว”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัวพลางมองดูแม่ที่แต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย กลับมาเป็นคุณครูจอมเฮี้ยบเหมือนเดิม
เราสองคนยิ้มให้กันก่อนจะออกจากห้องทำงานเพื่อกลับบ้าน และแน่นอนว่าคืนนี้ผมคงต้องเหนื่อยอีกครั้งหนึ่งแน่ ก็แม่ออกแรงเพื่อผมแล้ว ทำไมผมจะออกแรงเพื่อแม่บ้างไม่ได้ล่ะ...
..................................................................

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย บทรักที่ผมกับแม่มอบให้กันเมื่อคืนค่อนข้างหนักหน่วงและวนเวียนอยู่หลายรอบจนเราเผลอหลับกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ห้องนี้ไม่เคยว่างเว้นจากกิจกรรมที่ให้ความสุขแก่เราสองคนแม่ลูกแม้แต่วันเดียวเลย บางครั้งผมยังรู้สึกขำที่แม่บ่นบ่อยๆว่าต้องซักผ้าปูที่นอนวันเว้นวัน ไหนยังจะต้องเอาที่นอนไปผึ่งแดด เพราะหยาดน้ำแห่งความสุขของเราทั้งสองซึมเข้าไปในที่นอนจนเลอะเทอะไปหมด
ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ได้ยินเสียงแม่อยู่ในห้องน้ำ คงจะอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานเหมือนเช่นเคย ผมก็เลยขยับตัวใส่กางเกงขาสั้นก้าวลงจากเตียงจะกลับไปห้องของตัวเอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแม่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางแปลกๆ
“แม่...” ผมเดินเข้าไปจนชิดร่างที่ยืนนิ่งหน้าซีดเผือดอยู่ “...เป็นอะไรไปครับ”
แม่หันมามองหน้าผม ใบหน้าซีดจนขาว ยืนนิ่งซักครู่ก่อนจะฝืนยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอก...” แม่ตอบเสียงเบา แต่ใครจะไปเชื่อ
“บอกสิครับ แม่ไม่สบายเหรอ ผมพาไปหาหมอนะครับ” ผมรีบพูดเพราะแม่ทำท่าเหมือนจะเป็นลม
“เปล่าหรอกเอก...” แม่โบกมือ ยืนจ้องหน้าผมเหมือนจะช่างใจอยู่นาน เหมือนจะตั้งหลักได้ ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาด “...แม่ลืมอะไรไปบางอย่างน่ะ”
“อะไรครับ” ผมถามงงๆ คราวนี้แม่จ้องหน้าผมนานเลยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ลืมไปว่า...” แม่พูดกระซิบเสียงสั่นเบาๆ ใบหน้าซีดเผือดอีกครั้ง ก่อนจะตัดใจบอกผม “..ลืมไปว่าเอกก็เป็นผู้ชาย และเมื่อเอกเป็นผู้ชาย เอกก็สามารถมีลูกได้...” เสียงแม่จางหายไป
ผมยืนงงอยู่ซักพักก่อนจะเริ่มเข้าใจ อ้าปากค้าง หน้าซีดเผือดเช่นเดียวกับแม่ หมายความว่า...หมายความว่า...
“แม่ไม่ได้กินยาคุมกำเนิดเลย...” แม่พูดเสียงกระซิบ ถอนหายใจเบาๆเหมือนจะยอมรับ “...ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย”
“แล้ว...” ผมยังช็อคอยู่ เข้าใจถึงปัญหาเช่นเดียวกันกับแม่ “...แล้วแม่รู้ได้ไงครับ”
“เด็กโง่...” แม่ดุเบาๆ หยิกที่ต้นแขน “...แม่เคยมีลูกมาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาจะมีลูก มันเป็นยังไง”
“แล้ว...แล้ว...” ผมตะกุกตะกักถาม “...แล้วเราจะทำยังไงล่ะครับ”
แม่ถอนหายใจอีกครั้ง
“ให้แม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งก็แล้วกัน...” เสียงแม่เหมือนพูดกับตัวเอง “...เผื่อแม่จะเข้าใจผิดไปเอง”
“ผมไปด้วยครับ...” ผมพูดเสียงสั่น ปัญหาไม่ใช่เล็กๆ แม่จะมีลูกได้ยังไงในเมื่อใครๆก็รู้ว่าแม่อยู่คนเดียวมาตลอด “...ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ”
แม่จ้องหน้าผมอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มให้
“อือ...” แม่พยักหน้านิดๆ “...เราไปแต่เช้ากันนี่แหล่ะ เอกไปอาบน้ำแต่งตัว แม่จะรอที่รถนะ”
“ตกลงครับ”
ผมรีบกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวและตามแม่ไปที่รถเพื่อไปโรงพยาบาลและภาวนาให้สิ่งที่แม่กังวล เป็นเพียงแค่อุปทานของแม่เท่านั้น...

--------------------------------------------------------------------------------------


ความอัดอั้น 2



ว่ากันว่าปัญหาบางปัญหา คิดยังไงก็หาทางออกไม่ได้ แต่บางครั้ง ทางออกมันก็วิ่งเข้ามาหาเราเองจนเราแทบตั้งหลักไม่ทันก็มี...
.................................................................................

ผมลุกจากที่นอนเกือบเที่ยง ปวดระบมไปหมดทั้งตัว ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าสิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนรวมทั้งเมื่อเช้านั้นเป็นความจริงทั้งสิ้นเพราะผมยังคงนอนอยู่ในห้องของแม่ ลองขยับตัวดูก็รู้สึกว่ามีผ้านวมผืนใหญ่คลุมร่างที่นอนแก้ผ้าล่อนจ้อนของผมอยู่ ผมนอนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะลองเอื้อมมือไปคลำดูข้างๆตัวก็พบว่าแม่ไม่ได้นอนอยู่ข้างๆแล้ว จึงค่อยๆลุกขึ้นนั่งมองดูรอบๆห้องพลางคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความรู้สึกผิดชอบวิ่งพล่านอยู่ในหัว เมื่อคืนนี้ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงหรือรู้สึกยังไง ผมก็ไม่ควรทำอย่างนั้น ผมมีทางเลือกมากมายที่จะปฏิเสธแม่ แต่ผมกลับทำอย่างที่แม่สั่งทุกอย่าง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าที่จริงแล้วมันเป็นเพราะความต้องการของผมหรือเพราะคำสั่งของแม่กันแน่...
ผมลุกขึ้นยืนมองดูผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่ บางส่วนของผ้าปูยังมีคราบของเหลวเลอะเป็นรอยอย่างเห็นได้ชัด ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบกางเกงและเสื้อขึ้นมาใส่และเดินลงไปชั้นล่าง...
......................................................................................

“ตื่นแล้วเหรอเอก...” เสียงเรียกของแม่ดังขึ้น คงเพราะได้ยินเสียงผมก้าวลงบันไดมา “...มาทานข้าวสิ รวบเป็นมื้อเที่ยงเลยก็แล้วกันนะ เพราะนี่ก็เกือบเที่ยงอยู่แล้ว”
ผมฟังเสียงแม่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ขืนผมตื่นสายขนาดนี้มีหวังถูกด่าหูชาแน่ๆ แต่วันนี้เสียงของแม่ฟังดูอ่อนนุ่มผิดไปจากที่ผมเคยได้ยินมาตลอด
ผมเดินเข้าไปในครัว ความรู้สึกผิด ความรู้สึกกลัวยังคงฝังอยู่ในหัว ถ้าวันนี้แม่เกิดเปลี่ยนใจ แล้วเอาเรื่องที่ผมทำกับแม่เมื่อคืน ผมจะทำยังไงดี สายตามองร่างของแม่ที่ยืนหันหลังทำกับข้าวอยู่ ยังจำได้ถึงนิสัยเจ้าระเบียบ เคร่งครัดของแม่ตลอดชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาได้อย่างดี
“เอ้า ไปรอที่โต๊ะสิ เดี๋ยวแม่ยกไปให้” แม่ยกจานกับข้าวหันมาบอกผมพลางยิ้มให้
ร่างที่หันกลับมาทำให้ผมจ้องมองตาค้าง เพราะตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นแม่แต่งหน้ามาก่อน อย่างมากก็ทาแป้งบางๆหรือไม่ก็ใช้ลิปสติกสีอ่อนเวลาแต่งหน้าไปสอนเท่านั้น แต่วันนี้ แม่แต่งหน้าทาปากจนผมจำแทบไม่ได้ ลิปสติกสีแดงสดที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากบาง แป้งสีอ่อนที่ทำให้ใบหน้าอ่อนวัยตามไปด้วย และเหมือนกับว่าผมจะได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากร่างของแม่ด้วย
ผมกำลังยืนงงเพราะไม่รู้ว่าแม่จะเตรียมตัวไปไหน ก็ต้องสะดุ้ง
“เอ้า ยืนนิ่งอยู่นั่นแหล่ะ ไปรอที่โต๊ะสิ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วเอกไปจัดกระเป๋านะ...” แม่ยิ้มจนมองเห็นลักยิ้มที่แก้มเมื่อเห็นผมยืนงง “... เดี๋ยววันนี้เราไปเที่ยวทะเลกันนะ แม่ทำงานที่โรงเรียนจนเหนื่อยแล้ว ถือโอกาสพักผ่อนซักคืนดีกว่า”
ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าวเหมือนโดนมนต์สะกด บางทีหูผมอาจจะแว่วไปเอง ตามองดูแม่ตักข้าวมาให้ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าแม่ก้มลงมาหอมแก้มเบาๆ
“ว่ายังไงล่ะ...” แม่กระซิบถามเบาๆที่หูผม “...หรือว่าเอกไม่อยากไปเที่ยวทะเลกับแม่”
เสียงอ่อนนุ่มที่กระซิบข้างหูทำให้ผมขนลุกเกรียว ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมา ทำให้ท่อนเนื้อที่อยู่ในกางเกงค่อยๆขยายตัวขึ้นมา ผมรีบขยับตัวนั่งให้เรียบร้อยเพราะไม่อยากให้แม่เห็นถึงปฏิกิริยาของช่วงล่าง แต่หางตาคล้ายกับจะเห็นแม่ยิ้มบางๆ
“ไปครับ” ผมก้มหน้าทำเป็นสนใจกับอาหารบนโต๊ะพลางตอบเสียงแผ่วเบา แม่หอมแก้มผมเบาๆอีกครั้งก่อนจะนั่งเก้าอี้ข้างๆแล้วลงมือทานข้าวพร้อมๆกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องผิดปกติอีกเช่นกันเพราะทุกครั้ง แม่จะนั่งฝั่งตรงข้ามกับผมเสมอเวลาทานข้าว ต่างคนต่างทาน ไม่เหมือนวันนี้ที่แม่คอยตักกับข้าวใส่จานให้ผมตลอด ซึ่งมันก็ทำให้ผมวางตัวไม่ถูกเหมือนกัน...
..............................................................................

ผมขึ้นไปจัดกระเป๋าตามที่แม่บอกพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่พอลงมาข้างล่างก็ต้องตาค้างอีกครั้งนึง
“จัดกระเป๋าเสร็จแล้วใช่หรือเปล่าลูก จะได้ไปกันเลย” แม่ยืนรออยู่ที่โซฟา ภาพที่ทำให้ผมตาค้างก็คือแม่ใส่เสื้อยืดคอกลม กางเกงยีนส์ฟิตเปรี๊ยะ รวบผมไว้ข้างหลัง ทำให้แม่ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะออกจากบ้าน มากกว่าจะเป็นอาจารย์จอมเฮี๊ยบที่นักเรียนในโรงเรียนต่างเกรงกลัว
“ทำไม แม่แต่งตัวอย่างนี้ไม่ได้เหรอ” เสียงแม่ดังขึ้นเมื่อเห็นผมยืนจ้องเหมือนถูกผีหลอก
“ได้ครับ...” ผมตอบ “...แม่แต่งอย่างนี้แล้วกลายเป็นเด็กเลยล่ะ”
“อ้าว ก็ไปกับเด็ก จะแต่งตัวแก่ได้ยังไงกันล่ะ จริงหรือเปล่า” แม่พูดยิ้มๆ ผมพยายามยิ้มให้ แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆก็ไม่รู้สิ
ผมขึ้นรถกับแม่โดยแม่เป็นคนขับ ตลอดทาง ผมพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อคุยกับแม่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมอยากจะบอกแม่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คำพูดของผมก็ค้างอยู่แค่ริมฝีปากเพราะวันนี้ดูแม่มีความสุขมาก ซึ่งผมสาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยเห็นแม่มีอารมณ์เบิกบานอย่างนี้มาก่อน ทำให้เรื่องที่ผมอยากคุยกับแม่ต้องเก็บไว้ในใจ เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันกลับไปเครียดเหมือนสมัยก่อนอีก...
.................................................................................

เราสองคนแม่ลูกเข้าพักในโรงแรมริมหาดจอมเทียนที่พัทยา แม่เลือกห้องชั้นบนที่มองเห็นวิวทะเล ลมทะเลเย็นสบายพัดเข้าใส่ร่างตอนที่ผมเปิดประตูระเบียงห้อง อากาศที่สดชื่นรวมทั้งภาพวิวทะเลที่เห็นทำให้ผมคลายจากความรู้สึกกังวลที่อยู่ในใจตั้งแต่เมื่อคืน...
กำลังยืนรับลมทะเลอย่างมีความสุข ผมก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าแม่มายืนอยู่ข้างหลัง สองมือของแม่โอบรอบเอวผมไว้พลางพูดผ่านจากด้านหลังมา
“ชอบมั๊ยเอก” เสียงแม่กระซิบเบาๆที่หลังหู ทำให้ผมขนลุกไปหมดทั้งตัวเพราะมันทั้งเบา ทั้งอ่อนนุ่ม
“ชอบครับ” ผมตอบสั้นๆ รู้สึกว่าแม่โอบรัดแขนรอบเอวผมแน่นขึ้นจนรู้สึกถึงความหยุ่นแน่นของทรวงอกที่เบียดอยู่บนหลังผม
“เอก” แม่กระซิบเรียกเบาๆ ลมหายใจของแม่ที่รดอยู่หลังใบหูทำให้ผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
“ครับ” ผมขานรับเสียงสั่นเพราะรู้สึกว่านอกจากทรวงอกของแม่ที่บดเบียดไปมาอยู่บนหลังแล้ว ผมยังรู้สึกว่าแม่เบียดเป้ากางเกงยีนส์เข้ามาจนแนบกับก้นของผมและคล้ายๆกับว่าแม่จะโยกคลึงเอวเบาๆ
“แม่ขออะไรเอกบางอย่างสิ” เสียงนุ่มหูกระทบเข้ามา ผมยืนหลับตานิ่ง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาอีกครั้ง ทำให้ท่อนเนื้อในกางเกงค่อยๆพองตัวขึ้นมา
“อะไรครับ” ผมกระซิบถามกลับ แล้วก็ต้องตัวงอเพราะฝ่ามือของแม่ที่โอบรัดเอวของผมอยู่นั้นเลื่อนลงไปลูบไล้บนเป้ากางเกงก่อนจะบีบคลึงท่อนเนื้ออย่างแผ่วเบา ทั้งๆที่ยังมีกางเกงขวางกั้นอยู่ แต่ผมก็รับรู้ถึงสัมผัสที่นุ่มนวลขณะที่แม่เคล้นคลึงท่อนเนื้อ ทำให้ดุ้นเอ็นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในขยายตัวขึ้นรับแรงสัมผัสนั้นทันที
“แม่จะขอเอกว่า อะไรก็ตามที่เอกสงสัยหรืออยากรู้ เอกอย่าถามแม่เลย แม่ก็ตอบไม่ถูกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เอกรับรู้แต่ว่าสิ่งที่ทั้งเอกและแม่ทำลงไปนั้น มันทำให้แม่รู้สึกดีที่สุดในชีวิตเลย แม่ไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อคืน...” เสียงของแม่แผ่วเบาลง
“คะ..ครับ” ผมขานรับเสียงสั่นทั้งที่ยังสงสัยอยู่ ฝ่ามือของแม่ลูบขึ้นลงตามความยาวของท่อนเนื้อทำให้ผมต้องบิดตัวด้วยความเสียว
“แต่เอกรับปากแม่นะว่าเรื่องทั้งหมดของเรา จะไม่มีคนอื่นรับรู้อย่างเด็ดขาด ให้คนอื่นรู้แค่ว่าเอกเป็นลูกของแม่แค่นั้นพอ ส่วนเรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้หรอก เอกรับปากแม่ได้มั๊ย”
“ตกลงครับ” ผมรับปากทันที ใครจะอยากให้คนอื่นรู้ว่าผมกับแม่มีอะไรกัน แต่ฟังคำพูดของแม่แล้วมันแปร่งๆยังไงชอบกล คล้ายๆกับว่าเรื่องระหว่างผมกับแม่คงจะไม่ใช่นิยายเรื่องสั้นแน่ๆ
“ขอบใจจ้ะ...” เสียงนุ่มของแม่ดังเบาๆที่ข้างหู “...ลมแรงจัง เราปิดประตูระเบียงดีกว่า” แม่พูดพลางขยับตัวออก
ผมเอื้อมมือไปปิดประตูกระจกตามที่แม่สั่ง รู้สึกว่าแม่ดึงมือจนผมต้องเดินมายืนที่ขอบเตียงโดยมีร่างของแม่ยืนอยู่ตรงหน้า
...........................................................................

ทั้งห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงแอร์ทำงานแผ่วเบา ร่างที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมขณะนี้ ไม่มีคราบของอาจารย์ที่สุดแสนจะเจ้าระเบียบหรือแม่ที่เข้มงวดในทุกเรื่องเหมือนที่เคยเป็น คงมีเพียงหญิงสาวร่างอวบอิ่มที่มองหน้าผมนิ่งอยู่
ผมยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ต้องตาค้างเพราะร่างงามนั้นค่อยๆถอดเสื้อยืดออกจากร่างก่อนจะปลดตะขอกางเกงแล้วรูดกางเกงยีนส์ลงไปกองอยู่ที่พื้น ทำให้ทั้งร่างของแม่มีเพียงยกทรงสีครีมที่ห่อหุ้มสองเต้าขาวเนียนและซับในชั้นล่างสีขาวที่มองเห็นไหมดำซุกซ่อนอยู่ภายใน
“แม่” ผมอุทานเบาๆ ร่างงามนั้นสว่างวาบอยู่ในห้องที่เปิดผ้าม่านโล่ง แสงจากภายนอกส่องเข้ามาจนเห็นทุกสัดส่วนภายในร่างของแม่
ผมเห็นแม่ยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะก้าวมาประชิดจนร่างของแม่แนบสนิทกับผม แม่ดึงสองมือผมให้โอบกอดรอบร่างขาวผ่องทำให้มือของผมลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนื้อเนียนนั้นโดยอัตโนมัติจนปลายนิ้วกระทบกับตะขอยกทรงที่เกะกะอยู่อยู่บนแผ่นหลัง
“ถอดออกสิ...” เสียงแม่ที่ยืนกอดซุกใบหน้าอยู่บนอกผมกระซิบเสียงอู้อี้ ทำให้ผมปลดตะขอยกทรงออกอย่างลืมตัว จนฝ่ามือสัมผัสกับแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ปราศจากสิ่งใดขวางกั้น
ผมลูบไล้ผิวเนียนนั้นอย่างแผ่วเบาจนทั่วตั้งแต่ไหล่ลงไปจนถึงเอวคอด ก่อนจะลงไปถึงซับในชั้นล่าง สองมือของผมสัมผัสกับแก้มก้นแน่นกระชับที่ท้าทายให้บีบเคล้นจนผมต้องเพิ่มน้ำหนักในการเคล้นคลึงให้หนักหน่วงขึ้น
แม่กระตุกร่างแผ่วเบาตามแรงบีบเคล้นของผม เนินเนื้อด้านหน้าเบียดถูไถกับเป้ากางเกงของผมที่โป่งนูนขึ้นมาตามขนาดของท่อนเนื้อที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนคับกางเกง สองมือของแม่ที่กอดร่างของผมไว้ค่อยๆเอื้อมวกกลับมาด้านหน้าเพื่อสัมผัสกับความเป็นชายที่ตอนนี้แข็งตัวขึ้นราวกับหิน ฝ่ามือนุ่มนิ่มที่ป้วนเปี้ยนอยู่ตรงเป้ากางเกงทำให้ผมต้องงอตัวด้วยความเสียว
“มะ..มะ...แม่” ผมครางเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าฝ่ามือนุ่มนิ่มนั้นค่อยๆปลดกระดุมกางเกงผมออก เสียงซิปกางเกงถูกรูดลงพร้อมๆกับรู้สึกเย็นวาบเมื่อฝ่ามือคู่นั้นดันทั้งกางเกงยีนส์และชั้นในของผมลงไปกองอยู่ตรงหัวเข่า ทำให้ท่อนเนื้อที่แข็งตัวรออยู่นั้นดีดตัวขึ้นมาจนกระทบกับเนินสามเหลี่ยมที่ปกปิดด้วยซับในชิ้นสุดท้ายนั้น...
“อูยยยย....” ผมครางขึ้นอีกครั้งเมื่อฝ่ามือนุ่มนิ่มนั้นเปลี่ยนทิศทาง จากกางเกงที่ลงไปกองอยู่ด้านล่างมาเป็นท่อนเนื้อที่กวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงหน้าขา สองมือนั้นลูบไล้ดุ้นเนื้ออย่างแผ่วเบาก่อนจะรูดขึ้นลงช้าๆอย่างเป็นจังหวะ ปลายเล็บยาวเกลี่ยไปจนทั่วจนผมต้องแอ่นตัวขึ้นรับความเสียว
แม่ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลงไปนั่งบนขอบเตียงพลางดึงร่างผมไปยืนตรงหน้า เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมรู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร
“มะ..แม่...อย่า...อย่าเลยครับ” ผมร้องออกมา สำนึกภายในที่รู้สึกว่าแม่เป็นของสูง ผมไม่ควรให้แม่ทำอย่างที่แม่กำลังจะทำ แต่ดูเหมือนแม่จะไม่ฟังเสียงผมเลย ร่างงามดึงตัวผมไปจนชิด ใบหน้าอยู่ห่างจากท่อนเนื้อของผมเพียงแค่คืบ
“โอยยยยยยยยยยยยยยยย...” ผมครางเสียงกระเส่าพลางแอ่นเอวกระตุกเหมือนถูกไฟดูดเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของแม่สัมผัสกับส่วนปลายก่อนจะตวัดลิ้นไล้เลียท่อนเนื้อจนเย็นวาบไปหมด แล้วผมก็ต้องแอ่นเอวขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าท่อนเนื้อจมหายเข้าไปในริมฝีปากบางนั้นทั้งดุ้น ความอุ่นชื้นภายในปากบวกกับปลายลิ้นที่ตวัดล้อเล่นไปมาอยู่ภายในทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่าง สองมือผมจับหัวของแม่แน่นด้วยความลืมตัวก่อนจะขยับร่างรูดท่อนเนื้อเข้าออกผ่านริมฝีปากงามของแม่ด้วยความเสียวซึ่งแม่ก็อ้าปากรับดุ้นเนื้อที่กำลังขยอกอยู่นั้นด้วยความเต็มใจ ท่อนเนื้อวาววับด้วยคราบน้ำลายยิ่งทำให้ผมเสียวซ่านมากยิ่งขึ้น...
..........................................................................

ผมยืนโยกท่อนเนื้อเข้าใส่ริมฝีปากงามของแม่ได้ซักพักก็สุดแสนจะทนซึ่งดูเหมือนแม่ก็จะรู้ แม่ขยับตัวขึ้นไปนอนบนที่นอนก่อนจะค่อยๆรูดซับในชิ้นสุดท้ายนั้นออกช้าๆ ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ผมกระสันมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ผมหมดความคิดที่จะยับยั้งชั่งใจอีกแล้ว ร่างงามที่นอนอยู่บนเตียงยังคงมีความงามเหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อคืนทุกประการ
ผมรีบถอดเสื้อยืดออก ก่อนจะขึ้นไปนอนอยู่ข้างๆ สายตามองสองเต้าที่ขาวเนียน ป้านสีน้ำตาลอ่อนขนาดพอเหมาะที่ประดับด้วยหัวนมสีน้ำตาลแข็งตัวชูชันขึ้นมาราวกับจะรอให้ผมดูดดื่มให้หายอยาก..
“อูยยย....นั่นแหล่ะ เอก” เสียงครางของแม่ดังระงมเมื่อริมฝีปากของผมประกบกับยอดเต้าก่อนจะใช้ปลายลิ้นเกลี่ยตวัดไปมาอย่างหิวโหย เต้างามอีกข้างถูกฝ่ามือผมบีบเคล้นจนล้นทะลักง่ามมือออกมา ผมสลับปลายลิ้นดูดดื่มเต้างามทั้งสองไปมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแรงที่ผมเคล้นคลึงสลับไปมาบนสองเต้านั้นทำให้เกิดรอยแดงเถือกจนทั่ว ซึ่งแม่ก็ไม่ได้อุทธรณ์ถึงความเจ็บปวดแต่อย่างใด ตรงกันข้าม แม่กลับยิ่งแอ่นอกขึ้นรับทั้งปากทั้งมือของผมเหมือนกับต้องการให้สองเต้านั้นแหลกเหลวคามือของผม...
ผมวนเวียนหาความสุขอยู่กับสองเต้างามนั้นจนพอใจก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงมาช้าๆจนใบหน้าสัมผัสได้กับความอ่อนนุ่มของไหมดำที่ปกคลุมเนินสามเหลี่ยม ปลายลิ้นของผมตวัดไปมาช้าๆ รู้สึกได้ว่าแม่หายใจหนักหน่วงขึ้นจนเมื่อปลายลิ้นผมสัมผัสกับติ่งเนื้อด้านบนที่ยื่นโผล่พ้นร่องรักกลางลำตัวของแม่
“โอยย...เอก...” แม่ร้องครางพลางแอ่นเอวขึ้นสุดเหยียด ทำให้ผมต้องซบหน้าลงบนร่องรักนั้นและตวัดลิ้นเข้าใส่ติ่งเนื้ออย่างรวดเร็ว รู้สึกแปลกเหมือนกันว่าทำไมยิ่งเห็นแม่ทรมาน กลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกเสียวซ่านมากยิ่งขึ้นก็ไม่รู้
ภาพที่แม่นอนดิ้นพล่านไปมาด้วยความเสียวเมื่อผมชอนไชลิ้นเข้าไปในร่องรักยิ่งทำให้ผมกระสันไปหมดทั้งร่าง ทั้งปากทั้งลิ้นไล้เลียทั่วทั้งร่องรักนั้นหนักหน่วงขึ้น ท่อนเนื้อที่กวัดแกว่งไปมาระหว่างที่ผมมอบความเสียวให้แม่นั้นแข็งเกร็งจนแทบระเบิด
“แม่...แม่ไม่ไหวแล้ว...เอก...” แม่ครางเสียงกระเส่า เอวลอยขึ้นรับความเสียวจากผมจนแทบไม่ติดพื้น
ผมก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน กลิ่นน้ำรักของแม่ที่ปะทะจมูกในระหว่างที่ผมซุกไซ้อยู่ในร่องรักกับติ่งเนื้อในร่องรักที่แข็งชันขึ้นมายิ่งทำให้ผมเสียวกระสันจนแทบทนไม่ไหว ผมปีนขึ้นไปนอนคล่อมอยู่บนร่างงามที่นอนบิดตัวไปมาอยู่นั้นทันที แต่ก่อนที่จะถึงบทจบ วูบนึงที่ผมจำได้จากในหนังโป๊ที่เคยแอบดู ทำให้ผมอยากลองทำอย่างที่ดาราในหนังแสดง...
“อุ๊ย...เอก จะทำอะไรเนี่ย...” แม่ลืมตาขึ้นมองด้วยความแปลกใจเพราะแทนที่ผมจะสอดใส่ท่อนเนื้อเข้าไปในร่องรักตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ผมกลับดึงร่างของแม่ให้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่ถึงแม้จะแปลกใจ แต่แม่ก็ยอมลุกขึ้นจากที่นอน
“ขอผมลองทำอะไรดูหน่อยสิครับ...” ผมกระซิบที่ข้างหูแม่ ถึงตอนนี้คงไม่ต้องอายอะไรกันแล้วล่ะ
“อุ๊ย..ไม่เอานะ เอก..” แม่สะดุ้งพยายามจะดิ้นหนีเมื่อผมจับร่างของแม่ไปยืนหันหน้าเข้าหากระจกประตูระเบียงที่มองเห็นวิวทะเล ผู้คนเดินไปมาอยู่บนชายหาด โดยมีร่างของผมยืนประกบด้านหลังอยู่ ร่างงามพยายามจะสลัดให้หลุดออกจากอ้อมกอดที่ผมโอบอยู่ด้านหลัง
“เถอะนะครับ แม่ ผมอยากลองทำดู” ผมออดอ้อน สองมือเอื้อมลอดใต้แขนของแม่ขึ้นไปเคล้นคลึงสองเต้าอย่างนุ่มนวล โดยเบียดท่อนเนื้อเข้าถูไถกับร่องก้นแน่นกระชับเพื่อให้แม่คล้อยตาม
“เอกไม่อายคนอื่นเหรอ แม่อายนะ” แม่เอียงหน้าหันมาบอก ท่อนเอวบิดโยกรับการบดเบียดจากดุ้นเอ็นของผม แต่ผมปิดปากของแม่ด้วยริมฝีปากจนแม่ต้องเผยอริมฝีปากขึ้นรับปลายลิ้นที่ตวัดม้วนเข้าไปล้อเล่นกับลิ้นเรียมงามของเธอ สองมือของผมบีบเคล้นเต้างามหนักหน่วงขึ้นก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับข้อมือทั้งสองของแม่ให้เกาะอยู่กับกระจก
แม่ทำท่าเหมือนจะขัดขืน แต่ซักพักก็โอนอ่อนตาม ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ค่อยๆขยับตัวเพื่อให้แม่ยืนในลักษณะแอ่นตัวหันด้านหลังให้ผม ผมค่อยๆคลึงท่อนเนื้อกับแก้มก้นของแม่เบาๆ ก่อนจะค่อยๆจับท่อนเนื้อให้จ่อตรงกับร่องรักแล้วเกลี่ยขึ้นลงช้าๆตามความยาวของร่องรักทำให้แม่สะดุ้ง ร่างที่พยายามจะดิ้นหนีตอนนี้ยืนแอ่นตัวนิ่งรอรับความสุขที่กำลังจะได้รับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...
“อูยยยย...” แม่ครางเสียงกระเส่าเมื่อผมค่อยๆดันท่อนเนื้อเข้าไปในร่องรักช้าๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการมีความสุขโดยท่ายืนจะทำให้รู้สึกเสียวอย่างนี้มาก่อน ร่องรักของแม่ฟิตกระชับแต่ผมก็พยายามดันดุ้นเอ็นเข้าไปจนสุด
“อา....” ทั้งผมและแม่ระบายลมหายใจออกมาพร้อมๆกันเมื่อรับรู้ว่าท่อนเนื้อดันเข้าไปในร่องรักจนสุดแล้ว แม่หันหน้ามาค้อน
“เอกเนี่ย...” ร่างงามหันมาบ่นพลางชำเลืองมองคนที่เดินไปมาอยู่ข้างล่าง ใบหน้าเป็นสีชมพูเข้ม “...เล่นอะไรบ้าๆ ถ้ามีคนมองขึ้นมาล่ะ”
“ใครเค้าจะมองขึ้นมาล่ะครับ นี่มันชั้นสิบสอง มองขึ้นมาก็ไม่เห็น เพราะกระจกมันเป็นสีชา” ผมตอบแม่ยิ้มๆ แม่หันมาค้อนอีกครั้งก่อนจะสูดปากเมื่อผมรูดท่อนเนื้อเข้าออกในร่องรักนั้นช้าๆ
“แล้ว...แล้วไปคิดท่าแบบนี้...มา...จาก...ไหน...” แม่ถามเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อผมเริ่มโยกเอวเข้าใส่ร่างของแม่หนักหน่วงขึ้น สองมือของผมล้วงผ่านเข้าไปเคล้นคลึงเต้างามที่แกว่งไปมาตามแรงโยก
“ผมดูจากหนังโป๊ครับ..” ผมตอบง่ายๆ แม่หันมาค้อนอีกครั้ง ร่างงามโยกเอวเข้ารับการกระแทกของผมอย่างเป็นจังหวะ หางตายังคงคอยชำเลืองมองดูผู้คนด้านนอกอย่างระแวง
“อ้อ นี่แหน่ะ ที่แท้ก็แอบดูหนังโป๊นี่เอง...” แม่ต่อว่า แต่ไม่มีน้ำเสียงดุด่าแต่อย่างใด ผิดจากสมัยก่อนหน้ามือเป็นหลังมือ สมัยก่อน ถ้าแม่รู้ว่าผมแอบดูหนังโป๊ ผมคงถูกด่าหรือไม่ก็ถูกตีตายแน่ๆ แต่ตอนนี้ แทนที่แม่รู้แล้วจะเป็นคนทำโทษ กลับกลายเป็นผมเป็นคนทำโทษแม่ซะเอง
ร่องรักที่อุ่นกระชับของแม่ทำให้ผมทวีความเสียวมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งความรู้สึกตื่นเต้นที่ผมมาหาความสุขกับแม่ในที่ๆอาจจะมีคนมองเห็น ยิ่งเร่งเร้าความเสียวซ่านภายในให้เพิ่มเป็นทวีคูณ จากการบดเนิบๆเข้าใส่ร่องรัก ผมกระแทกดุ้นเนื้อเข้าใส่ร่างของแม่หนักหน่วงขึ้น สองมือที่เคล้นคลึงเต้างามเปลี่ยนมาเป็นจับช่วงเอวเพื่อความสะดวกในการโยกเอว เสียงครวญครางของแม่ค่อยๆดังขึ้น
“อะ...เอก...เอก...แม่...แม่...” แม่ครางเสียงกระเส่าตามจังหวะโยก ร่องรักค่อยๆเกร็งแน่นกระชับขึ้น บ่งบอกว่าแม่กำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว ทำให้ผมยึดเอวของแม่ไว้แน่นก่อนจะกระแทกท่อนเนื้อเข้าใส่ร่างของแม่อย่างหนักหน่วง
“แม่...แม่ครับ...ผม...ผม...” ผมครางเสียงสั่น บดกระแทกดุ้นเอ็นเข้าใส่ร่องรักถี่ยิบ ร่างของแม่เกร็งวูบขึ้น
“อะ...เอก...แม่...แม่ถึง...ถึงแล้ว...” แม่ครางเสียงดังลั่นห้อง ร่างงามยืนขาเกร็งแน่น ใบหน้าแนบกับกระจก แอ่นเอวขึ้นสุดเหยียด
“ผม...” ผมร้องได้แค่นี้ก็ต้องเกร็งตัวบดท่อนเนื้อเข้าใส่ร่องรักของแม่จนมิด ก่อนจะฉีดน้ำรักเข้าใส่ร่างงามอย่างทะลักทลาย ร่างของผมกระตุกตามแรงฉีดที่ยังคงไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่ร่างของแม่ยืนแนบอยู่กับกระจกรอรับน้ำรักของผมที่ปลดปล่อยเข้าไปภายในร่าง...
.....................................................................

“ต่อไปไม่เอาอย่างนี้อีกแล้วนะ...” แม่หันมาค้อนพลางหยิกที่ต้นแขนผมเบาๆ ตอนนี้ทั้งแม่และผมย้ายตัวเองขึ้นมานอนอยู่บนเตียงเพราะต่างคนต่างหมดแรงจากการหาความสุขเมื่อครู่ และรู้สึกเมื่อยขาจนแทบยืนไม่ไหว “...ถ้าเกิดมีใครเห็นเข้า แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ไม่มีใครเห็นหรอกครับ...” ผมหอมแก้มแม่เบาๆ ซึ่งแม่ก็เอียงแก้มให้หอมแต่โดยดี “...ผมอยากรู้แค่ว่ามันจะมีความสุขขนาดไหนเท่านั้นเอง...
“แล้วเอกมีความสุขขนาดไหนล่ะ” แม่หลบตาถามเสียงอู้อี้ หน้าเป็นสีชมพู ผมยิ้มให้
“มีความสุขที่สุดเลยล่ะครับ แล้วแม่ล่ะ” ผมย้อนถาม แม่ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผม
“รู้มั๊ย แค่นี้แม่ก็มีความสุขที่สุดแล้วล่ะ แต่เอกอย่าลืมที่สัญญานะว่าเราจะรู้เรื่องนี้กันแค่สองคน” แม่กำชับอีกครั้ง
“ผมสัญญาครับ” ผมพยักหน้ารับคำของแม่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงเปลี่ยนเป็นอย่างนี้เพราะแม่ขอร้องไม่ให้ผมถาม แต่ผมก็รู้ว่าให้เรื่องเหล่านี้มันตายไปพร้อมกับผมและแม่จะดีซะกว่า
“เรานอนซักงีบดีมั๊ย เดี๋ยวตอนเย็นค่อยออกไปหาอะไรกินกัน” เสียงแม่เอ่ยถาม ทำให้ผมยิ้มรับ เพราะตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยขอความเห็นผมเลย แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆก็ตามเถอะ
“ครับ นอนก่อนก็ดี ผมเพลียจังเลย” ผมตอบเบาๆ แม่หันมาค้อน
“ก็ใครใช้ให้เล่นท่าพิเรนทร์อย่างนั้นล่ะ มันก็เสียแรงไปเปล่าๆนะสิ” คำย้อนนั้นทำให้ผมหัวเราะพลางชะโงกหน้าไปหอมแก้มแม่อีกครั้งก่อนจะหลับด้วยความอ่อนเพลีย...

--------------------------------------------------------------------------------------

ความอัดอั้น 1



 “ชั้นบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าให้สอบให้ได้ แล้วทีนี้เป็นไง ไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง ชั้นควรจะร้องไห้แทนแกดีมั๊ยเนี่ย”
เสียงเรียบ เย็นชา ผ่านริมฝีปากบางเฉียบที่ดังจากด้านหลังของผม ทำให้สมองของผมมึนงงไปหมด หางตาเหลือบไปมองผู้ที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ข้างหลัง ผมนิ่งฟังเสียงประชดเหน็บแนมที่ยังคงดังอยู่ เหมือนไม่มีวันจบ...
..........................................................

ผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองทำอะไรผิด ตั้งแต่เข้าเรียนม.1 ผมทำทุกอย่างตามที่แม่อยากให้เป็น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจแม่ซักอย่าง แม่คาดหวังว่าผมจะทำกิจกรรมเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆและคุณครูที่โรงเรียน ผมก็พยายามทำทุกอย่าง ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมก็พยายามแล้ว...
จนเมื่อผมอยู่ม.6 แม่อยากให้ผมสอบเข้าคณะแพทย์ ทั้งๆที่ผมพยายามบอกแม่แล้วว่าผมไม่อยากเป็นหมอ แต่ดูเหมือนว่าคำอุทธรณ์ของผมจะไม่มีผลกับแม่แต่อย่างใด คำขาดของแม่ก็คือ...
“แกต้องสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ไม่อย่างงั้น ชั้นก็ไม่มีลูกอย่างแก...”
คำพูดของแม่เหมือนประกาศิต ผมไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีก พยายามเรียนกวดวิชาและอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้ทุกอย่างเป็นได้อย่างที่แม่ต้องการ...
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าเพียงแค่อยากเข้าเรียนก็ได้เรียน สำหรับผม มันเป็นการสอบที่หนักที่สุดตั้งแต่เกิดมา เพราะผมไม่ได้แข่งเพื่อหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างเดียว แต่ยังต้องแข่งกับคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสน ที่ก็ต้องการเข้าไปเรียนต่อเหมือนกับผม...
..........................................................

ตั้งแต่จำความได้ ผมก็อยู่กับแม่เพียงสองคน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แม่เป็นคนจัดการให้ผมเกือบทั้งหมด ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแม่คิดถูกแล้วที่มีอาชีพเป็นอาจารย์ เพราะด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย น้ำเสียงเย็นชาและกิริยาการเดินเนิบๆ เพียงแค่นี้ก็ทำให้นักเรียนที่มีแนวโน้มจะเกเร ต่างหัวหดกันหมด ซึ่งก็ไม่ได้ยกเว้นผมแต่อย่างใด
ตั้งแต่เด็กมา ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่แม่ยิ้มให้ผมน่ะเมื่อไหร่ และจำไม่ได้แล้วว่าโดนแม่ตีกี่ครั้งกี่หน บางครั้งก็เพียงแค่เพราะว่าทำการบ้านผิด หรือไม่ก็ดูโทรทัศน์นานไปหน่อย ผมไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นหรือแสดงความต้องการอะไรให้แม่เห็นเลย เพราะแม่ไม่เคยฟังและไม่เคยที่จะสนใจความคิดใดๆของผมทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจนชินก็คือ แม่สอนเด็กให้ได้ดีหลายคนแล้ว ทำไมจะสอนลูกให้ได้ดีไม่ได้ แต่มันเหมือนกับว่าแม่จะเข้มงวดกับผมจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง เพื่อนแต่ละคนของผม จะต้องถูกแม่ซักถามก่อนที่จะคบด้วยเสมอ เพราะกลัวว่าเพื่อนเหล่านั้นจะมาชักจูงให้ผมออกนอกลู่นอกทาง จนบรรดาเพื่อนของผมต่างถอยห่างจากผมจนเกือบไม่มีเพื่อนเหลืออยู่เลย คงเหลือเพื่อนบางคนที่ผมต้องแอบคบอยู่เพราะกลัวว่าแม่จะเข้ามาวุ่นวายจนเพื่อนกลุ่มสุดท้ายนี้ต้องเลิกคบกันไปอีก ซึ่งความอึดอัดนี้มันสะสมอยู่กับผมมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งถึงวันนี้...
..........................................................

“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ...” เสียงเย็นชาของแม่ดังขึ้นอีก “...ไม่ต้องเรียนดีมั๊ย ชั้นจะเอาแกไปฝากครูใหญ่ ให้ช่วยรับแกเข้าไปเป็นภารโรงของโรงเรียน บอกตรงๆว่าชั้นคิดผิดจริงๆ รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็กๆก็ดีแล้ว”
คำพูดของแม่ทำให้ผมสะอึก ทำไมแม่ต้องกดดันผมหนักขนาดนี้ด้วย
“นี่ถ้าพ่ออยู่...” ผมเอ่ยขึ้น แต่แม่ตัดบทเสียงดัง
“ไม่ต้องพูดถึงพ่อแกเลย...” เสียงเย็นชาของแม่เข้มขึ้น “...แกนั่นแหล่ะที่ทำให้พ่อแกออกจากบ้านไป ยังมีหน้าไปพูดถึงมันอีก”
“แต่..” ผมจ้องหน้าแม่ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องของพ่อมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่าเกี่ยวอะไรกับผม
“พอแล้ว...” แม่ตัดบท “...ชั้นไม่พูดเรื่องนี้กับแกอีก รู้ไว้ซะด้วยว่าชั้นทนเลี้ยงแกมาเนี่ยก็เพราะอยากให้พ่อของแกรู้ว่าชั้นก็มีปัญญาเลี้ยงแกได้ แต่แกกลับทำตัวไม่ได้เรื่องเหมือนพ่อแก แกไม่มีอะไรที่เหมือนชั้นซักนิด นี่ถ้าชั้นไม่ได้เบ่งแกออกมาเองนะ ชั้นคงไม่เชื่อหรอกว่าแกเป็นลูกของชั้น”
ประโยคสุดท้ายของแม่ทำให้ความอดทนของผมถึงขีดสุด ผมลุกออกจากเก้าอี้ในห้องและเดินออกจากห้องไปทันที
“จะไปไหน...แกยังไม่ไหนไม่ได้ ชั้นยังพูดไม่จบ” แม่ตะโกนไล่หลังมา แต่ผมไม่สนใจจะฟังอีกแล้ว...
...........................................................................

ผมเดินออกมาจากบ้าน ตรงไปหน้าปากซอยซึ่งเป็นที่สิงสถิตของบรรดาเพื่อนๆกลุ่มสุดท้ายของผมเพราะเพื่อนที่โรงเรียนหรือเพื่อนที่อื่น ต่างถูกแม่ของผมถามโน่นถามนี่จนหนีผมไปหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะพวกมันนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟกันครบหน้าเพราะแต่ละคนก็ไม่ได้ทำอะไร นอกจากจะมานั่งสุมหัวกันอยู่ที่นั่นทั้งวัน...
............................................................................

“มึงก็เลยเดินหนีออกมาจากบ้าน...” เปี๊ยกถามพลางหัวเราะเสียงดังลั่น เพื่อนคนอื่นๆที่นั่งอยู่ด้วยก็พลอยหัวเราะไปด้วย “...แค่เนี้ย?”
“มึงจะให้กูทำยังไงล่ะ...” ผมพูดเสียงหงุดหงิด เพราะหวังว่ามาคุยกับเพื่อนๆที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยแล้วจะสบายใจขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าโดนพวกมันหัวเราะเยาะอีก
“เป็นกู กูไม่ยอมเว้ย...” ไอ้เติมพูดพลางหัวเราะก่อนจะจ้องหน้าผม “...มีอย่างที่ไหนวะ ด่าเอาๆ อยากเป็นหมอก็มาเรียนเองสิวะ”
“แล้วกูจะทำยังไงดีเนี่ย...” ผมพูดด้วยความกลุ้มใจเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ มองเหม่อไปบ้านตัวเองที่เห็นอยู่ลิบๆ หางตาเหลือบเห็นพวกมันมองสบตากัน
“แม่มึงเครียดมาก...” เสียงไอ้เปี๊ยกพูดเบาๆ “มึงไปหาวิธีให้แม่มึงลดความเครียดหน่อยเถอะ”
“กูก็เห็นแม่กูเครียดมาตั้งแต่กูเกิดแล้ว...” ผมบ่น “...ไม่รู้จะทำยังไงนี่หว่า”
“ไม่ต้องห่วง...” เปี๊ยกตบไหล่ผมเบาๆ “...พวกกูเป็นเพื่อนมึง มึงไม่สบายใจ พวกกูก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เอ้านี่...” มันพูดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบซองพลาสติกเล็กๆขึ้นมาซองนึง ชูที่หน้าของผม
“...นี่เป็นยาแก้เครียด พวกกูเก็บไว้ใช้เวลาที่มีเรื่องกลุ้มใจ มึงเอาไปให้แม่มึงกิน รับรองว่าหายเครียด บอกไว้ก่อนนะโว้ย นี่ของแพงนะ ถ้าไม่รักกันจริง กูไม่ให้มึงหรอก”
“แล้วแม่กูจะยอมกินเหรอวะ...” ผมยื่นมือไปรับ ภายในซองมีผงสีขาวอยู่ค่อนถุง “...กูยังไม่เคยเห็นแม่กูกินยาอะไรเลย แล้วเดี๋ยวเค้าถามว่าเอามาจากไหน กูขี้เกียจอ้างถึงพวกมึง”
“มึงก็ไม่ต้องให้แม่มึงรู้สิ...” เติมพูดเบาๆ “...กูรับรองแทนไอ้เปี๊ยกเลย พอแม่มึงกินยาแล้วนะ รับรองจะรักมึงมากเลยล่ะ แล้วต่อไปจะไม่หาเรื่องด่า หรือขัดใจอะไรมึงอีกเลย เชื่อกูสิ”
“ไม่เป็นอันตรายนะมึง” ผมคาดคั้น
“กูจะหลอกมึงทำห่าอะไรวะ...” เปี๊ยกทำเสียงจริงจัง “...ถ้ามันกินแล้วตาย กูจะเอาติดตัวไว้ทำห่าอะไร มึงนี่คิดโง่ๆ”
ผมพยักหน้า มองหน้าพวกมันสลับกันไปมาพลางคิดว่ายาที่พวกมันให้ก็คงไม่พ้นพวกยาอีหรือยากล่อมประสาท เพราะพวกมันเป็นเด็กข้างถนน จะเอายาแก้เครียดจริงๆมาจากที่ไหน...
บางที...บางทีนะ ถ้าแม่ได้กินยาพวกนี้สักครั้ง อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะแม่ดูเครียดอยู่ตลอดเวลา ถ้าได้ผ่อนคลายลงบ้างอาจจะดีขึ้นก็ได้ ความคิดของผมเวลานั้น อะไรก็ได้ที่ทำให้แม่เลิกวุ่นวายกับผมซักที ผมคิดพลางมองหน้าพวกมันอีกครั้ง...
.............................................................

“เมื่อกี้ผมขอโทษครับที่เดินออกจากบ้านไป” ผมยืนอยู่หน้าแม่ที่กำลังเตรียมอาหารเย็น
“ไม่เป็นไร แกไปอาบน้ำแล้วเตรียมลงมากินข้าวได้แล้ว มีอะไรไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันหลังกินข้าว” เสียงของแม่ยังเย็นชาเหมือนเดิม ผมมองหน้าแม่อีกครั้งก่อนจะเดินไปอาบน้ำ
กลับลงมาจากอาบน้ำ แม่ก็ขยับตัว
“กับข้าวเสร็จแล้ว ชั้นไปอาบน้ำก่อน แกจะกินก่อนหรือรอก็ตามใจนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบ แม่เดินขึ้นไปข้างบนทันที
ผมมองตามร่างที่เดินขึ้นไปชั้นบน นิ่งคิดอะไรอีกครั้งก่อนจะหยิบซองพลาสติกขึ้นมา และเทผงสีขาวลงไปในแก้วน้ำของแม่เกือบครึ่งนึง ผมใช้ปลายช้อนคนจนผงเหล่านั้นละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ และนั่งรอแม่ลงมาทานข้าวพร้อมกัน...
.................................................................

ผมนั่งกินข้าวกับแม่ ตาก็คอยเหลือบมองแม่อยู่ตลอด
“เป็นอะไร กินไปสิ เดี๋ยวเสร็จแล้วเราค่อยขึ้นไปคุยกันข้างบน” แม่พูดพลางยกแก้วน้ำที่ผมผสมยาแก้เครียดขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ หวังว่าถ้าแม่ได้พักอย่างเต็มที่ บางทีแม่อาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง...
แม่นั่งเฉยๆซักพักก็เอ่ยปากขึ้น ทำให้ความหวังของผมดับวูบลง
“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วตามชั้นขึ้นไปข้างบนนะ จะเอายังไงต่อก็พูดให้รู้เรื่องวันนี้แหล่ะ” แม่พูดจบก็ลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวและเดินขึ้นข้างบนโดยไม่หันมามองผมอีก ผมนั่งสะอึกอยู่ในใจ อิ่มตื้อเดี๋ยวนั้นเลย นั่งฟุ้งซ่านอยู่ซักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินตามแม่ขึ้นไปที่ห้องของแม่...
..................................................................

“แกจะทำยังไงต่อ” เสียงของแม่ยังเย็นเฉียบอย่างเสมอต้นเสมอปลายในความคิดผม ยาของไอ้พวกนั้นคงไม่ได้ผล แม่นั่งอยู่บนเตียง ส่วนผมยกเก้าอี้มานั่งอยู่ต่อหน้าแม่
“ผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร “...ผมแล้วแต่แม่ครับ” แม่พยักหน้า ใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็เริ่มด่ากรอกหูของผมเหมือนทุกครั้ง จนผมอยากจะเอามืออุดหูแล้ววิ่งหนีออกไปจากห้องแม่ แต่ก็รู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ใช่วิธีที่ฉลาด เพราะยังไงซะ ผมก็หนีแม่ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว
“ชั้นพยายามจะให้แกมีอาชีพการงานที่ดี ก็เลยอยากให้แกเรียนแพทย์ แทนที่แกจะพยายาม แกดันไม่ยอมตั้งใจเรียน เอาแต่เล่นทั้งวัน...” แม่พูดเสียงเรียบๆแต่เชือดเฉือนตามสไตล์ “...แก...แก..ถ้าแก..อืมม...ถ้าแกตั้งใจจริงซักหน่อยนะ...อืมม...”
จู่ๆแม่ก็พูดตะกุกตะกัก เสียงที่เคยเย็นชาเริ่มสั่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ ขนลุกชันไปทั้งตัวจนสังเกตเห็นได้ แม่เอามือกุมขมับเหมือนกับจะเป็นลม
“แม่ เป็นอะไรครับ” ผมถามด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเห็นแม่เป็นอย่างนี้มาก่อน
“ชั้นไม่ได้...เป็นอะไร...” แม่ตวาดขึ้น แต่เสียงที่ออกจากปากกลับสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “...ชั้น..ยังพูด....ไม่จบ...”
ผมดูด้วยความมึนงง ถ้ายาของไอ้พวกนั้นออกฤทธิ์จริง แม่ต้องมีท่าทางผ่อนคลายสิ ไม่ใช่ดูกระวนกระวายอย่างนี้
“ชั้น...” แม่พยายามจะพูดต่อ แต่ก็ต้องก้มหน้านิ่ง เสียงลมหายใจเข้าออกดังหนักหน่วงคล้ายกับพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ ใบหน้าที่ระเรื่อเป็นสีชมพูในตอนแรกนั้น บัดนี้ได้แดงกล่ำไปจนถึงต้นคอ
ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงก้มหน้า พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ เบียดต้นขาทั้งสองข้างไปมาช้าๆจนชุดนอนที่แม่สวมอยู่ยับย่นไปด้วยแรงบิดนั้น “ทำไมเป็นอย่างนี้...” เสียงแม่พึมพำกับตัวเอง ซึ่งผมฟังไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร รู้อยู่แต่ว่าอาการของแม่เหมือนคนไม่สบาย แต่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างของแม่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นซักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างรุนแรง “...ไม่ไหว...แล้ว...” เสียงแม่พึมพำเบาๆ
“เอก...” แม่เงยหน้าเรียกผม เสียงที่ผ่านริมฝีปากออกมา ทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟังอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยได้ยินแม่เรียกผมด้วยเสียงนุ่มนวลขนาดนี้มาก่อน แววตาที่แม่มองมานั้นเปล่งประกายบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันหยาดเยิ้มจนผมต้องก้มหน้าหลบสายตาของแม่
“ครับ” ผมขานรับเบาๆอย่างไม่รู้จะทำยังไง
“แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้...” เสียงอ่อนนุ่ม แหบพร่านั้นสั่นคลอนประสาทผมอย่างรุนแรงเพราะมันเจือไปด้วยสำเนียงที่เร่าร้อน จนแม้แต่คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาก่อนอย่างผมก็ยังรู้สึกได้ “...มันเป็นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เอก”
“แม่..แม่เป็นอะไรล่ะครับ” ผมพยายามถามเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ต้องใจหายวาบเพราะแม่ขยับมือทั้งสองข้างลูบไล้ต้นขาของตัวเองอย่างแผ่วเบา
“แม่...แม่อึดอัด......ทำไมเป็นอย่างนี้ แม่...แม่ทน...ทนไม่ไหวแล้ว” เสียงสั่นระริก ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงค่อยๆบิดกายไปมาช้าๆ สองมือที่ลูบไล้ต้นขาค่อยๆขยับเลื่อนขึ้นมาด้านบนจนฝ่ามือทั้งสองข้างสัมผัสกับเต่งเต้าที่อยู่ภายใต้เสื้อนอน
“แม่...” ผมอุทานเสียงหลง เพราะไม่คิดว่าจะเห็นภาพอย่างนี้
ร่างที่นั่งลูบไล้เรือนร่างของตัวเองอยู่บนเตียง บิดกายไปมา หลับตาพริ้ม ใบหน้าแดงกล่ำ เสียงหอบหายใจของแม่ทำให้ผมขนลุกไปหมดทั้งตัว เพราะมันแหบพร่าอย่างยั่วยวนยังไงบอกไม่ถูก สองมือที่ลูบไล้เต่งเต้านั้นขยับขึ้นไปบนไหล่ของตัวเอง
“แม่...” ผมอุทานอีกครั้ง เมื่อแม่ปลดสายชุดนอนออกจากร่าง ผิวกายขาวผ่องของแม่สว่างวาบขึ้นต่อหน้าต่อตาผม
ด้วยวัยย่างเข้า 40 ของแม่ ถึงจะไม่ใช่สาวแรกรุ่น แต่ผิวกายที่ขาวเนียน บวกกับการรักษาเนื้อรักษาตัวของแม่ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างของแม่ ยังคงเต่งตึงจนดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง
ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สองตาของผมจ้องมองร่างของแม่ตาแทบถลน และทั้งๆที่รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่ท่อนเนื้อที่อยู่ในกางเกงดันแข็งตัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ สายตามองลาดลงมาจากลำคอที่ขาวผ่อง เห็นสองเต้าที่เคลื่อนคล้อยลงบ้างตามอายุ แต่ยังคงรูปไว้ไม่คล้อยยานจนเสียสภาพแต่อย่างใด ป้านสีน้ำตาลจางๆประดับปลายยอดด้วยหัวนมสีน้ำตาลอ่อนพุ่งชูชันขึ้นมาราวกับเม็ดบัวขนาดย่อม สองมือของแม่ปาดเสื้อนอนลงมากองอยู่ที่เอว ก่อนจะวกฝ่ามือขึ้นลูบไล้และขยำขยี้สองเต้าช้าๆแต่หนักหน่วง พลางบีบบี้หัวนมที่แข็งชันนั้นเบาๆ เสียงครางที่หลุดออกมาจากแม่ทำให้ผมแทบคลั่ง
“แม่...เป็นอะไร” สำนึกสุดท้ายสั่งให้ผมถามแม่ที่นั่งแอ่นร่างบีบเคล้นเต่งเต้า ตอนนี้อย่าว่าแต่แม่เลยที่บิดไปมา ผมก็นั่งบิดขาไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ท่อนเนื้อข้างในดันกางเกงนอนจนแทบทะลุ
“เอก...” เสียงเรียกของแม่ไม่ดังไปกว่าเสียงครางนั้น “...มานี่”
“ผม...” ผมลังเล ร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมในขณะนี้ ทำให้ผมตัวแข็งไปหมดทั้งร่าง โดยเฉพาะท่อนเนื้อในกางเกง เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง
“แม่บอกให้มานี่ไง...” เสียงเหมือนพยายามจะดุ แต่กระแสเสียงนั้นราวกับจะเชิญชวนเสียมากกว่า ฝ่ามือทั้งสองของแม่เปะปะไปมาบนเต้านมอ่อนนุ่มก่อนจะค่อยๆป่ายผ่านหน้าท้องลงมา
“แม่...” ผมอ้าปากค้างอีกครั้ง เมื่อร่างที่นั่งอยู่ต่อหน้านั้น ขยับเอวขึ้นเพียงนิด ก่อนจะดันชุดนอนที่กองอยู่ตรงเอวให้เลื่อนลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้า สองขาที่เบียดเสียดบิดไปมานั้นค่อยๆถ่างกว้างออกจนเป็นรูปตัววี
สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยเห็นแม่ในสภาพที่เปล่าเปลือยมาก่อนเลย เกือบทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ชุดนอนก็เป็นชุดอยู่บ้าน หรือไม่ก็เป็นชุดที่ใส่ออกไปสอน...
แต่วันนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของแม่อย่างเต็มตาขนาดนี้ สายตาที่จับจ้องอยู่บนเต่งเต้าขนาดค่อนข้างใหญ่เลื่อนผ่านหน้าท้องลงไปจนถึงเนินเนื้อที่มีเส้นไหมดำสนิทปิดคลุมแผ่ทั่วหน้าขา
แม่เงยหน้าหลับตาพริ้ม แก้มแดงกล่ำ ฝ่ามือลูบไล้ ขยำขยี้บนเนินเนื้อจนเส้นไหมดำยุ่งเหยิงไปหมด ฝ่ามืออีกข้างก็วกกลับขึ้นไปบีบเคล้นสองเต้าอย่างหนักหน่วง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงขึ้น
“แม่สั่งให้มานี่...” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ราวกับถูกมนต์สะกด ผมค่อยๆลุกขึ้นยืน ก้าวไปยืนอยู่หน้าร่างของแม่ที่กำลังนั่งอยู่ตรงขอบเตียง
“เอก..” เสียงหยาดเยิ้มอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้น “...ช่วยแม่...ด้วย...แม่...ไม่...ไม่ไหวแล้ว...”
ผมสะดุ้งทั้งตัวเพราะร่างของแม่ที่กำลังเคล้นคลึงเรือนร่างของตัวเองนั้น ขยับตัวมาประชิดร่างที่กำลังยืนอยู่ของผม และโดยที่ยังไม่ทันตั้งหลัก แม่ก็จับขอบกางเกงนอนซึ่งเป็นกางเกงยืดของผม และรูดลงไปกองกับพื้นทันที
“แม่...” ผมร้องเสียงหลง งอตัวด้วยความเคยชิน เพราะผมไม่เคยใส่กางเกงในเวลานอนมาก่อน ดังนั้น เมื่อแม่รูดกางเกงผมออกจากร่าง ท่อนเนื้อที่แข็งชันเนื่องจากภาพที่เห็นต่อหน้า จึงดีดพุ่งไปข้างหน้าจนแทบชนกับใบหน้าของแม่ที่ก้มลงมาระหว่างที่รูดกางเกงนอนผมออก...
“อยู่เฉยๆ...” เสียงแหบพร่านั้นยังคงสั่งอยู่ สองมือของแม่ปราดเข้ามาลูบไล้หน้าท้องของผมจนผมเสียววาบไปทั้งตัว มือนั้นป่ายเปะปะจนสัมผัสท่อนเนื้อแข็งเกร็งที่ตั้งขนานกับพื้นเนื่องจากความเสียวที่ได้รับ
ผมสะดุ้งไปทั้งร่างเพราะอุ้งมือที่อ่อนนุ่มของแม่คว้าที่ดุ้นเอ็นขนาดพอดีมือ มืออีกข้างหนึ่งของแม่โอบสะโพกของผมและดึงตัวเข้าไปจนยืนจ่อท่อนเนื้ออยู่ตรงกับใบหน้าของแม่
“แม่...” ผมอุทานเสียงหลง เมื่อร่างที่นั่งอยู่บนขอบเตียงก้มหน้าลงมาที่ดุ้นเอ็นและตวัดลิ้นเลียจนรอบ ก่อนจะอ้าปากอมท่อนเนื้อเข้าไปในปากจนแทบถึงโคน ผมเสียววาบ ขนลุกไปหมดทั้งตัว ริมฝีปากที่ร้อนผ่าวผสมกับปลายลิ้นที่ตวัดไล้เลียไปมา ทำให้ผมต้องแอ่นตัวขึ้นรับความเสียวที่ได้รับอย่างไม่นึกไม่ฝันมาก่อน
ร่างของแม่ที่ก้มหน้าก้มตาดูดดุ้นเนื้ออย่างหิวโหย ทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่าง ทำไมจู่ๆแม่ถึงเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง แม่ทำท่าเหมือนจะไล่ผมออกจากบ้าน แต่ตอนนี้กลับทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
ผมยืนเห็นแม่ขยับศีรษะเข้าออกกับหว่างขาของผมอยู่ชั่วครู่ ก็เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของแม่มันเยิ้มไปด้วยน้ำลายซึ่งก็เลอะบนท่อนเนื้อของผมจนเป็นคราบมันวับ สองขาของผมสั่นระริกด้วยความเสียวที่ผ่านมาจากริมฝีปากของแม่ และผมก็ต้องเซขึ้นไปนั่งบนเตียงเมื่อแม่ดึงตัวผมขึ้นไปนั่งบนเตียง
“มานี่...เอก...” เสียงสั่นระริกของแม่ดังขึ้น ทำให้ผมนึกภาพไปถึงหนังที่เคยแอบดู เพราะพอถึงตอนนี้ ผมเริ่มจะรู้แล้วว่าแม่จะจบเรื่องนี้ยังไง
พอคิดอย่างนั้น ก็ยิ่งทำให้ผมเสียวไปหมดทั้งตัว นี่แม่จะเล่นพิเรนทร์อะไรกับผมอีก เพราะเพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมแทบขาดใจตายอยู่แล้ว ท่อนเนื้อที่เป็นมันวาวด้วยคราบน้ำลายของแม่แข็งเกร็งขึ้นราวกับหิน
ผมมานั่งอยู่ขอบเตียงข้างๆแม่ พอสบตาแม่ ผมก็ต้องหลบตา เพราะแววตาของแม่นั้นมันมีประกายอะไรบางอย่างที่ผมก็บอกไม่ถูก เสียงหอบหายใจของแม่ยิ่งทำให้ผมนั่งเบียดท่อนขาไว้แน่นเพราะกลัวว่าแม่จะเห็นว่าท่อนเนื้อที่ตรงกลางนั้นมันบอกถึงความปรารถนาของเจ้าของอย่างไม่สามารถปิดบังได้...
แต่แม่ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว สองมือของแม่ดันร่างผมลงไปนอนหงายอยู่บนเตียง ร่างขาวเนียนขยับตัวปีนขึ้นมาคล่อมอยู่บนร่างของผม สองเต้างามแกว่งไกวไปมาตามการขยับตัว แม่ขยับประชิดแนบใบหน้าลงกับใบหน้าผมและ...
“อืมม...” ผมครางออกมาเบาๆ เมื่อแม่ประกบริมฝีปากกับผมแนบแน่น ปลายลิ้นเรียวเล็กร้อนผ่าวโผล่พ้นริมฝีปากเรียวงาม ไต่ตวัดไปมาอยู่บนริมฝีปากผม ก่อนจะมุดแทรกเข้าไปภายในจนปลายลิ้นของเราสัมผัสกัน
ผมสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่างเหมือนถูกไฟชอร์ต เมื่อปลายลิ้นอ่อนนุ่มนั้นกวาดจนทั่วทั้งปากและตวัดลิ้นเข้าพันกับลิ้นของผม สองมือแม่ลูบไล้ทั่วร่างผมก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กลางหว่างขาและเคล้นคลึงท่อนเนื้อที่แข็งราวกับหินนั้นอย่างแผ่วเบาจนผมต้องแอ่นตัวขึ้นรับความนุ่มนวลนั้น อุ้งมือของแม่รูดท่อนเอ็นของผมขึ้นลงช้าๆ แต่มันยิ่งเพิ่มความเสียวให้ผมมากขึ้นไปอีก
“แม่...แม่ครับ...ผม...” ผมครางเบาๆ ร่างแอ่นขึ้นลงตามอุ้งมือของแม่ที่ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง แม่หยุดเสียงครางของผมด้วยริมฝีปากอ่อนนุ่ม ปลายลิ้นของแม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผมได้แต่นอนบิดไปมาด้วยความเสียว จนกระทั่งลิ้นเรียวงามของแม่แตะกับหน้าอกของผม ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบกับนมที่พึ่งแตกพานของผม ผมแทบจะขาดใจตาย ชาไปหมดทั้งร่าง เมื่อปลายลิ้นของแม่ฉวัดเฉวียนอยู่บนหัวนมทั้งสองข้าง
ผมได้แต่นอนกระตุกร่างด้วยความเสียวอยู่อย่างนั้น จนรู้สึกว่าแม่พลิกตัวนอนหงายและดึงร่างของผมขึ้นไปนอนอยู่บนตัวแม่
“เอก..เอก..ช..ช่วยแม่...ช่วยแม่ด้วย...” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูของผมที่ตอนนี้พลิกตัวขึ้นไปนอนอยู่บนร่างขาวโพลนนั้น สองมือของแม่ป่ายเปะปะลูบไล้อยู่บนแผ่นหลังของผม
ผมคงจะต้องฆ่าตัวตายแน่ๆ ถ้าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาก่อน แต่ธรรมชาติก็สอนให้ผมรู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน...
ใบหน้าเย็นชาที่มองผมอย่างเรียบเฉยตั้งแต่เมื่อสมัยที่ผมยังเด็กจนผมแทบไม่อยากมอง แต่ตอนนี้ผมกลับจูบไซ้ใบหน้านั้นจนทั่วก่อนจะมาประกบปากกับริมฝีปากที่เคยเชือดเฉือนผมมาตลอด เจ้าของริมฝีปากบางนั้นรีบเผยอริมฝีปากรอรับปลายลิ้นของผมที่สอดแทรกเข้าไปควานจนทั่วและตวัดพันลิ้นกับเจ้าของปากจนแทบแยกไม่ออก
ผมเล่นลิ้นอยู่อย่างนั้นจนพอใจก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงมาซุกไซ้อยู่ตรงซอกคอ แม่เงยหน้าครางเสียงกระเส่า เร้าอารมณ์ให้ผมยิ่งพลุ่งพล่านมากขึ้นไปอีก จนเมื่อใบหน้าผมซบอยู่กับร่องอก สองมือเลื่อนขึ้นมาประกบอยู่กับสองเต้าที่อ่อนนุ่มแต่ยังคงรูปงามอยู่ ผมเคล้นคลึงเต้างามอย่างแผ่วเบา...
“เอก...แรง...แรงกว่านี้...” เสียงเร่งเร้าของแม่ ทำให้ผมบีบเคล้นเต้าทั้งสองหนักหน่วงขึ้นจนแทบแหลกคามือ แต่แทนที่แม่จะเจ็บปวด กลับแอ่นอกขึ้นรับแรงบีบเคล้นนั้นด้วยความเต็มใจ ใบหน้าของผมที่ซบอยู่กับร่องอกค่อยๆขยับไต่ขึ้นไปหาปลายยอดที่แข็งชันรออยู่
“อูยย...นั่น..นั่นแหล่ะ..เอก...นั่นแหล่ะ...” แม่สะท้านขึ้นทั้งตัว เมื่อริมฝีปากผมประกบเข้ากับเม็ดบัวปลายยอด ผมเม้มปากดูดดึงหัวนมพลางใช้ปลายลิ้นตวัดไล้เลียอย่างเอร็ดอร่อย เสียงครางของแม่ดังขึ้นไปอีก สองเต้าของแม่ขยับขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ ผมยังคงสลับริมฝีปากดูดดื่มความหอมหวานจากเต่งเต้าทั้งสองข้างจนเนินอกของแม่แดงช้ำไปด้วยแรงบีบเคล้นและเปียกเยิ้มไปด้วยน้ำลายที่ละเลงจนทั่ว
ผมไล้ปลายลิ้นลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบโดยที่สองมือยังคงบีบเคล้นเต้างามทั้งสองอย่างหนักหน่วงเป็นจังหวะ จนใบหน้าผมลงมาซบอยู่บนเนินเนื้อที่ปกคลุมด้วยไหมดำสนิท แม่เด้งเอวขึ้นอย่างลืมตัวเมื่อผมไล้ปลายลิ้นจนกลุ่มไหมงามนั้นเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายมองเห็นเป็นเงาวาววับ
“เอก..เอก..” แม่กระหืดกระหอบเรียกเมื่อผมค่อยๆซุกใบหน้าลงบนร่องเนื้อที่ดำสนิทไปด้วยเส้นไหมลาดยาวลึกลงไปถึงด้านหลัง ผมจับต้นขาของแม่ถ่างออกจากกันโดยที่ไม่ต้องใช้แรงแม้แต่นิดเดียว เพราะแม่รีบขยับตัวแยกขาให้ด้วยความเต็มใจ
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นร่องรักของผู้หญิงอย่างชนิดที่เรียกว่าเห็นในระยะเผาขนอย่างนี้ กลีบเนื้อสีน้ำตาลอ่อนของแม่ลากจากด้านบนที่มีปุ่มที่ไวต่อความรู้สึกยื่นออกมาจนเห็นเป็นเม็ด ร่องนั้นยาวลึกหายไปด้านล่างปกคลุมไปด้วยสีดำที่ระเกะระกะตลอดทางจนแทบมองไม่เห็นร่องรัก ผมจ้องอย่างตื่นตะลึงเพราะภายในร่องรักนั้น เอ่อซึมไปด้วยหยาดน้ำขาวใสจนแทบจนล้นออกมาจากร่อง
“เอก..” เสียงเตือนของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมขยับใบหน้าเข้าหาร่องรักนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ ปลายลิ้นที่ทำงานอย่างหนักตอนที่ควานหาความหอมหวานจากสองเต้าด้านบน ค่อยๆแตะลงในร่องรักก่อนที่จะลากขึ้นลงตามความยาวของร่องช้าๆ
“อ๊ายย....” แม่กระตุกไปทั้งร่างเมื่อผมตวัดลิ้นอยู่บนติ่งเนื้อด้านบนและแทรกลิ้นเข้าไปภายใน ตอนนี้ใบหน้าผมแนบกับร่องเนื้อของแม่จนแนบสนิท กลิ่นคาวจากหยาดน้ำรักยิ่งทำให้ผมหมดความอดทนทีละน้อย...
“เอก..แม่..แม่ไม่ไหว...แล้ว...” เสียงกระหืดกระหอบของแม่บอกให้ผมรู้ว่าบทจบของเรื่องนี้ควรจะเป็นยังไง ผมขยับตัวขึ้นไปนอนประกบอยู่บนร่างขาวละเอียดของแม่และใช้หัวเข่าแยกต้นขาของแม่ออกจากกัน แม่ขยับตัวเพื่อให้เข้าที่เข้าทาง แยกขาออกจนสุดโดยที่ผมคล่อมอยู่บนร่าง...
ผมเสียววาบอีกครั้งเมื่อแม่จับท่อนเนื้อที่แข็งเกร็งของผมรูดขึ้นลงช้าๆก่อนที่จะจ่อปลายหัวเข้ากับร่องรักที่เอ่อเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำใส
“เข้ามาสิ...เอก...” แม่เอ่ยปากเสียงกระเส่า เอวขยับไปมารอท่อนเนื้อของผม ซึ่งก็ไม่ต้องให้แม่เตือนอีก ผมค่อยๆดันท่อนเนื้อเข้าไปในร่องรักช้าๆ รู้สึกเสียววาบไปหมดทั้งดุ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันใจแม่ เพราะแม่จับเอวของผมไว้แล้วกดเอวของผมลงกับช่วงล่างของแม่อย่างรวดเร็วจนเนินเนื้อของแม่บดกับท่อนเนื้อของผมจนมิดดุ้น
“โอยยยย......” ผมครางสุดเสียงเมื่อท่อนเนื้อจมหายเข้าไปในร่องรักของแม่จนหมด ความอุ่นชื้นภายในโพรงรักทำให้ผมเสียวปลาบไปทั้งดุ้น
“ทำสิ...ทำสิเอก...เอก..” แม่ครวญครางเสียงดังลั่นห้องโดยไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน เอวขยับไปมาเหมือนจะเตือนให้ผมต่อเรื่องให้จบซะที
ผมกดท่อนเนื้อนิ่งอยู่ในร่องรักของแม่อยู่ชั่วครู่เพื่อซึมซับความเสียวที่ได้รับอย่างไม่คาดฝัน โพรงรักของแม่ขมิบตอดดุ้นเนื้อของผมอย่างรุนแรงจนรู้สึกได้ ผมจ้องใบหน้าที่เคยเย็นชากับผมมาตลอดซึ่งตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมแม้แต่น้อย ก่อนที่จะโยกตัวดึงท่อนเอ็นเข้าออกในร่องรักของแม่ช้าๆ
“อูยย..อย่างงั้น...อย่างงั้นแหล่ะ..เอก..” เสียงครางกระเส่าของแม่ดังเข้ากับจังหวะที่ผมโยกเอวเข้าใส่ ลิ้นเรียวเล็กเกลี่ยริมฝีปากบางที่แห้งผากจนผมต้องประกบปากเข้ากับริมฝีปากที่เคยดุด่าผมมาสารพัด แม่รีบตวัดม้วนลิ้นเข้าพันกับผมอย่างแทบไม่หายใจ ในห้องมีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงครวญครางของทั้งผมและแม่ดังระงม
ดุ้นเนื้อที่ซอยเข้าออกในร่องรักค่อยๆเร่งความเร็วและความหนักหน่วงขึ้น ตามอารมณ์ของผมที่ค่อยๆแตกกระเจิงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเสียงร้องครางและเรือนร่างของแม่ที่บิดไปมา ยิ่งทำให้ผมหมดเสียวซ่านมากยิ่งขึ้นไปอีก จนต้องบดกระแทกท่อนเนื้อเข้าใส่ร่องรักของแม่อย่างไม่กลัวว่าเนินเนื้อของแม่จะบอบช้ำ แต่มันกลับกลายเป็นยิ่งทำให้แม่ส่งเสียงครวญครางดังขึ้นไปอีก...
“เอก...เอก...ระ...เร็ว...แม่..แม่..” เสียงแม่ครางกระหืดกระหอบ ร่องรักของแม่เริ่มบีบรัดท่อนเนื้อของผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าแม่เป็นอะไร แต่ธรรมชาติก็บอกให้รู้ว่าผมไม่สามารถอดทนได้อีกแล้ว..
“แม่...แม่...ผมจะ..ผมจะเสร็จ...” ผมบดกระแทกท่อนเนื้อเข้าใส่ร่องรักของแม่อย่างถี่ยิบ ร่างของแม่แอ่นขึ้นรับการบดกระแทกจนเอวแทบไม่แตะพื้น
“เอก...” แม่ร้องครางเรียกชื่อผมดังลั่น ก่อนจะกอดเอวของผมไว้แน่น ร่างของแม่เหยียดเกร็ง ร่องรักบีบจนท่อนเนื้อของผมแทบขยับไม่ได้...
ถึงจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่ผมก็เสียววูบไปทั้งร่าง กระแทกท่อนเนื้ออีกครั้งก่อนบดเอวแนบแน่นกับร่างของแม่จนดุ้นเนื้อจมหายเข้าไปในร่องรักจนมิด
“โอยย....” ผมครางเสียงลั่น ก่อนจะเกร็งท่อนเนื้อปลดปล่อยน้ำรักเข้าใส่ร่องรักของแม่อย่างทะลักทลาย ร่างของแม่สะท้านเฮือกขึ้นมาอีกครั้ง แอ่นช่วงเอวขึ้นรับน้ำรักของผมที่ฉีดพุ่งเข้าไปเหมือนไม่มีวันหมด...
.......................................................................

แม่นอนหายใจระรวย เหงื่อซึมทั่วใบหน้าอยู่บนเตียง ร่างงามที่ถูกผมบดขยี้จนแดงช้ำไปหมดยังคงนอนหงายอยู่อย่างนั้น ร่องรักของแม่มีหยาดน้ำรักของผมเอ่อเยิ้มออกมา ไหลล้นลงสู่ซอกขาหายลงไปบนผ้าปูเตียงโดยที่ผมพลิกตัวลงมานอนด้านข้าง ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าแม่ ความคิดของผมสับสนไปหมด ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ผมนึกไม่ออกว่าทำไมแม่ถึงได้มีอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างรุนแรงขึ้นมาเหมือนเมื่อกี้นี้ แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ...
กำลังนอนคิดด้วยความกังวล ผมก็ต้องสะดุ้งเพราะรู้สึกว่าแม่จะพลิกตัวหันมาทางผม
“แม่ครับ...เอ่อ..ผม...ผม..” ผมไม่รู้จะพูดยังไงก็ต้องตกใจเพราะแม่เอื้อมมือมากอดผมอีกครั้ง ฝ่ามือลูบไล้หลังผมเบาๆก่อนจะวกกลับมาด้านหน้าจนอุ้งมือสัมผัสกับท่อนเนื้อที่พึ่งจะคลายตัวลง ปลายนิ้วทั้งห้าที่สัมผัสดุ้นเนื้อ ค่อยๆบีบคลึงอย่างแผ่วเบาจนผมขนลุกซู่ ทั้งๆที่พึ่งปลดปล่อยน้ำรักออกไป แต่สัมผัสที่ได้รับ ทำให้ท่อนเนื้อของผมขยับตัว
“แม่...แม่...เป็นอีกแล้ว...” เสียงแหบพร่าของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง อุ้งมือที่บีบเคล้นดุ้นเนื้อของผมอยู่รูดเข้าออกช้าๆอย่างเป็นจังหวะจนมันแข็งตัวขึ้นมาอีกครั้งผมใจหายวาบ
“แต่...” ผมพยายามจะท้วง แม่เอามือปิดปากก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกบริมฝีปากบางเฉียบเข้ากับริมฝีปากของผม แววตาที่จ้องมองผมนั้นเปล่งประกายหยาดเยิ้มจนผมต้องหลบตา
คืนนี้ สงสัยว่าผมคงต้องนอนค้างที่ห้องของแม่เสียแล้วล่ะ...
.................................................................

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมลืมตาขึ้นมา รู้สึกอ่อนเพลียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาหยุดชะงักมองเพดาน เพราะนี่ไม่ใช่ห้องของผม ผมหันขวับไปมองด้านข้างก็ต้องตกใจเพราะมองเห็นร่างของแม่ที่นอนเปลือยเปล่าหลับสนิทอยู่ข้างตัวผม ส่วนตัวผมนั้นก็ไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนร่างแม้แต่ชิ้นเดียว
ความตกใจทำให้ผมทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งทันที แล้วก็ต้องรีบเอาผ้าห่มขึ้นมาบังท่อนล่างของตัวเองเพราะมันไม่มีอะไรปกปิดอยู่เลย ส่วนแม่ก็นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ผมมองดูบนเตียงก็ต้องตกใจเพราะผ้าปูที่นอนบนเตียงแม่ยับยู่ยี่จนแทบจะหลุดออกจากที่นอน และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีคราบอะไรบางอย่างเลอะบนเตียงเป็นดวง
“เมื่อคืนเอกทำอะไรแม่...” เสียงแผ่วเบาของแม่ดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่นอนคว่ำอยู่ แม่ยังคงนอนคว่ำอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับผมตรงๆ
“ผม...ผม...” ผมพูดไม่ออก
“เอกรังแกแม่...” เสียงนั้นยังคงแผ่วเบาอยู่ แต่กระแสเสียงไม่ได้เย็นชาเหมือนที่ผมเคยได้ยินอยู่ทุกวัน
“ผม...ผมเปล่า..” ผมยังคงตะกุกตะกักตอบ ก็ไม่ได้รังแกอะไรแม่เลย แม่ต่างหากที่บังคับให้ผมทำโน่นทำนี่อย่างเมื่อคืน
“แม่ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่เป็นอะไร...” เสียงอู้อี้จากการที่นอนคว่ำหน้าพูดยังพูดต่อ “...แม่อยากจะโกรธตัวเอง อยากจะโกรธเอก ที่ทำเรื่องบัดสีอย่างเมื่อคืน...” เสียงของแม่แผ่วเบาลง ผมนั่งนิ่งใจสั่นระทึก แม่จะทำยังไงต่อ
“...แต่ไม่รู้สิ...” เสียงอ่อนนุ่มของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง “...มันเหมือนกับได้ระบายอะไรบางอย่างออกมา แม่ไม่เคยรู้สึกสบายอย่างนี้มาก่อนเลย...” แม่พูดเหมือนคนละเมอ ผมได้แต่อ้าปากค้าง
“แม่...แม่ไม่โกรธผมเหรอครับ” ผมกลั้นใจถาม แม่หันมาจ้องหน้าผมนิ่ง กัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ แก้มระเรื่อเป็นสีชมพู
“โกรธ...โกรธสิ...” ผมใจหายวาบ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย “...จะโกรธมาก ถ้าเอกไม่ทำอย่างเมื่อคืนอีก” พูดจบแม่ก็ขยับตัวพลิกมาดึงร่างผมลงในนอนกอดอีกครั้ง...
หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ผมก็ยังไม่รู้อนาคตเลยครับ...
บางที...บางทีนะ มันอาจจะเปลี่ยนอนาคตของผมก็ได้ ใครจะไปรู้...