วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สามีที่รัก ตอนที่ 1 ความเป็นมา

 




 

        “อ้อย” คือชื่อของฉัน    ในชีวิตดิฉันไม่เคยคิดว่าจากที่เคยใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดาของหญิงไทยที่อยู่ติดครอบครัวทั่วๆ  ไป   ต้องผกผันมาเป็นแบบนี้ได้  ฐานะทางครอบครัวก็พอมีกินไม่ลำบากอะไรมาแต่เล็กแต่น้อย ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวจึงถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมและได้รับความรักเอ็นดูจากพี่ชายสองคนพร้อมทั้งพ่อแม่มาตลอด  ไม่ว่าดิฉันต้องการอะไรทุกคนก็จะพยายามหามาให้  ทำให้สบายไปซะทุกอย่าง ทุกคนในครอบครัวขอเพียงให้ฉันเรียนอย่างเดียว  งานการไม่ต้องทำ  วันไหนวันหยุดก็จะอยู่กับคุณแม่ทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือน  ด้วยความที่ครอบครัวยังถือคติแบบโบราณอยู่บ้าง คือผู้หญิงต้องรู้จักทำงานครัว ฉันก็เลยถนัดงานครัวพอควร  
      และแล้ว  สิ่งที่ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจากที่ฉันเป็นคนเรียบร้อย  จะกลับกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้  หลายคนคงไม่อยากเชื่อถ้าหากฉันเล่าไป   ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้  ชีวิตของฉันจะว่าไปแล้วก็แทบไม่ต่างไปจากนวนิยายน้ำเน่าสักเท่าไหร่  เพราะฉันก็ชอบอ่านนวนิยายมามากพอควร  แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  คุณคงอยากรู้แล้วสินะว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของฉัน  ฉันเองก็อยากจะเล่าให้ทุกคนได้ฟังเหมือนกัน  แล้วทุกคนอย่าหาว่าดิฉันลามกนะคะ  เพราะเรื่องที่จะเล่าเนี่ย ลามกทั้งนั้นแหละ   คิดอยู่หลายครั้งว่าจะเล่าดีมั้ย  แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาจนป่านนี้แล้ว ก็เล่าให้ฟังเลยก็แล้วกัน
      ดิฉันตอนนี้อายุ 29 ปี การศึกษาปริญญาโทก็ถือว่าไม่น้อยแล้วล่ะ  แต่งงานมาแล้ว 4 ปี สามีอายุมากกว่าดิฉัน 4 ปี ที่แปลกกว่าคู่ผัวตัวเมียคู่อื่นๆ คือตลอดเวลาที่แต่งงานมา ฉันกับสามีไม่เคยมีอะไรกันเลยตลอดระยะเกือบครบ 2 ปีแรก  เราไม่ได้นอนร่วมเตียง ไม่มีแม้แต่การถูกแตะต้องสัมผัสกายกันเลย  หลายคนคงคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่มันเป็นไปแล้ว  เพราะว่าคนที่ดิฉันแต่งงานด้วยนั้น  ดิฉันเคยเห็นหน้าเขาแค่ 2-3 ครั้ง และที่เจอกันก็ไม่ได้ทักทายคุยกันเป็นกิจจลักษณะเลย พูดจาเกี้ยวจีบกันก็ไม่เคย แล้วก็ถูกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจับแต่งงานกันเลย  ด้วยความเป็นลูกสาวคนเดียวที่ถูกเอาใจมาตลอด และก็อยู่ในโอวาทพ่อแม่  ดิฉันก็ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เลยจำใจแต่งงานกับเขา  และเมื่อแต่งกันแล้วฉันก็ไม่ยอมร่วมหลับนอนกับสามีเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอ ฉันก็บอกกับเขาว่าเราจะไม่มีอะไรกัน   ทุกท่านคงคิดแล้วใช่ไหมว่ายังกะนิยายไม่มีผิด  ชีวิตนางเอกถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับใครก็ไม่รู้   ที่ฉันไม่ยอมเช่นนั้นเพราะ เคยเห็นหน้าสามีไม่กี่ครั้ง  ตอนที่เจอกันแรกๆ นั้นสารรูปเขาดูไม่ได้เลยคะ  ผมเผ้ายาวกระเซิงปล่อยหนวดเครารุงรัง แต่งตัวก็ดูไม่ได้ จะมีที่เด่นเตะตาหน่อย ก็ตรงหุ่นสูงโปร่ง ตัวล่ำผิวเข้มๆ    เวลาที่เห็นสายตาที่เขามองฉันก็เหมือนอยากจะกินกันทั้งตัว  เลยทำดิฉันให้ไม่ค่อยชอบเขา  แต่ที่จริงแล้วสามีดิฉัน หน้าตาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร  หล่อทะมัดทะแมง  ผิวเข้ม  บุคลิกเท่ห์เตะตาบาดใจไม่น้อยเลยล่ะ เพราะวันที่แต่งงานคุณพี่เขาแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวเต็มยศเล่นเอาดิฉันอึ้งไปเลย วันแต่งงานยังแอบภูมิใจลึกๆ เลยว่าต้องมีคนอิจฉาฉันแน่ๆ ที่ได้แต่งงานกับหนุ่มหล่อเข้ม  เพราะมันแทบจะเป็นคนละคนกับที่ดิฉันเคยเห็นมาก่อนหน้านี้  และเป็นคนพูดน้อย ขรึมๆ  (แน๊ะ   บุคลิกยังกะพระเอกนิยายอีกล่ะ)    เขาเองก็เห็นว่าดิฉันไม่อยากให้เขายุ่งด้วย เขาก็ยินยอมตามใจดิฉันแต่โดยดี   ตอนนั้นจะให้ฉันทำอย่างไรละคะ  คนไม่เคยรู้จักกันสักนิด พ่อแม่ญาติพี่น้องของเขาฉันก็ไม่เคยเห็น ฐานะหรือว่านิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไรฉันก็แทบไม่เคยรู้  รู้แค่เพียงว่าเป็นลูกของเจ้าของไร่และรีสอร์ทที่ อ.ปากช่อง  แล้วจะให้ร่วมหอลงโลงกันก็ฝันไปเถอะ  แต่ก็อดแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคุณสามีไม่ได้คัดค้านอะไรเลย  ยอมตามใจดิฉันโดยง่าย

      ผ่านมาเกือบสองปีโดยที่ญาติๆ ของดิฉันไม่เคยรู้ว่าเราไม่เคยมีอะไรกัน เพราะดิฉันกับสามีแยกมาอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งเป็นส่วนตัวตามประสาคนมีครอบครัว  พ่อแม่ต่างก็ลุ้นว่าเมื่อไรจะมีหลานให้ตายายได้อุ้ม  สามีก็ได้แต่โกหกบอกกับพ่อแม่ดิฉันว่าเขาก็พยายาม แต่มันไม่มีเอง  สามีเขาก็เป็นคนขยันทำงานเก่ง คล่องแคล่ว  มาช่วยงานที่บ้านทุกอย่างแทนพ่อและพี่ชายที่เขากำลังขยายกิจการ  พี่ชายสองคนเขาก็มีกิจการเป็นของตัวเองและแยกออกไปทำ  กิจการทุกอย่างที่เหลืออยู่ก็ตกมาที่ดิฉันและสามี  เขาก็ทำงานได้ดีไม่มีบกพร่องสักนิดจนคุณพ่อดิฉันก็ไว้ใจ  ดิฉันก็ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มที่ไม่บกพร่องเช่นกัน ยกเว้นเรื่องนั้นเรื่องเดียว  ถึงแม้สามีจะมีทีท่าว่าอยากจะมีอะไรกับดิฉันอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อดิฉันไม่ยอมร่วมด้วย  เขาก็ได้แต่หงอยๆ แล้วก็เลี่ยงหลบออกไป   จนดิฉันเองก็เริ่มใจเสียว่าฉันทำผิดมากเกินไปหรือเปล่า  ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไรเลย  ไม่เคยแม้แต่จะขัดใจดิฉันสักครั้ง

      อยู่มาวันหนึ่ง  ดิฉันจะเข้าไปถามสามีว่าจะทานอะไรเป็นของว่างหรือเปล่า จะจัดทำให้เขา ก็เลยเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของซึ่งอยู่ถัดจากห้องครัวออกไปไม่ไกล สามีจะเข้าไปทำงานที่นั่นยามกลับจากโรงงานหรือว่าวันหยุดทำงาน  วันนั้นสามีไม่ได้ล้อกประตู  ดิฉันค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปตามความเคยชิน  และแล้วดิฉันก็ต้องชะงักตาค้าง  เพราะสามีเขาเปิดคอมพิวเตอร์ดูหนังอยู่  แต่ไม่ใช่หนังธรรมดานะสิ  เป็นหนังอย่างว่า  เขานั่งบนเก้าอี้หนังตัวหนาใหญ่  สวมหูฟัง จ้องมองดูบทบาทลีลารักอยู่ที่หน้าจอจึงไม่ได้ยินเสียงดิฉันเดินเข้าไป  ดิฉันเห็นแล้วก็ตะลึงตกใจ  ตายแล้ว  นี่คุณสามีเขาแอบมาดูหนังแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย  ดิฉันเองได้แต่ยืนที่ตรงประตูมองเห็นระยะห่างพอควร ยังอดสยิวซาบซ่านตามไปด้วยไม่ได้  ชายหญิงสองคนกำลังมีอะไรกันอย่างถึงพริกถึงขิง  ดิฉันดูได้สักพักต้องรีบฉากหลบออกมาอย่างเงียบๆ  กลับมาด้านนอกด้วยใจสั่นระรัวไม่หาย ใบหน้าร้อนผ่าวเลยคะ ตั้งแต่เกิดมาจนโตป่านนี้ ก็ไม่เคยได้รู้เห็นอะไรที่มันทำให้ใจเต้นแรงได้ขนาดนี้  ท้องใส้มันป่วนปั่นไปหมด  นี่นะหรือคือสิ่งที่หญิงชายเขาทำกัน  ก็อย่างที่บอกว่าดิฉันถูกเลี้ยงมาอย่างราบเรียบตามแบบหญิงไทย ชีวิตที่ผ่านมาก็อยู่แต่กับบ้านครอบครัวญาติพี่น้อง เรื่องเพศศึกษาอย่างว่าแทบจะไม่เคยรู้เรื่องเลยสักนิด ขนาดเคยดูหนังดูละครแค่บทกอดจูบกัน ใจฉันก็วาบหวิวหน้าแดงซ่านไปหมดแล้วคะ  ดิฉันเดินหลบออกมาทำงานบ้านตามที่เคย ได้สักพักดิฉันก็เดินเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อที่จะนำไปซัก  แล้วก็ถือตะกร้าผ้าเดินเข้าไปที่ห้องน้ำซึ่งจะมีเครื่องซักผ้าอยู่ด้านใน  ถัดไปห่างจากเครื่องซักผ้าไปเกือบ 5 เมตรก็จะเป็นโถชักโครก และก็มีอ่างอาบน้ำอยู่ในตัว ซึ่งก็เป็นห้องน้ำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  ห้องน้ำนี้เป็นห้องใหญ่พอควร  ดิฉันเปิดเข้าไปทำหน้าที่อย่างปกติ
      “เฮ้ย....”                      เสียงสามีร้องตกใจ
      “ว้ายย.... ขอโทษคะคุณ   ทำไมคุณไม่ล็อคประตูละเนี่ย”
      ดิฉันรีบเบือนหน้าหนีลนลานออกมานอกห้องน้ำ พร้อมกับต่อว่าเขา เพราะภาพที่เห็นคือ คุณสามีนั่งอยู่บนชักโครก เปลือยท่อนล่าง มือของเขายังกุมเจ้าอวัยวะเป็นลำเต็มกำมืออยู่ เห็นมาทางดิฉันด้วยท่าทางตกใจ  ซึ่งดิฉันได้เห็นเต็มตาจนตกใจตาค้างชั่วขณะ  ไม่รู้ว่าสามีเข้าไปในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยจะดูหนังมากจนเก็บกลั้นอารมณ์ไม่ได้ ถึงกับรีบมากจนไม่ได้ล็อคประตูห้องน้ำ   สักพักเขาก็เดินออกมา หน้าแดงก่ำ ก้มต่ำไม่กล้าสบตา  ดิฉันเองก็ไม่กล้าเช่นกัน         วันนั้นเราสองคนแทบไม่กล้ามองหน้ากันเลย  ในเวลานอน คืนนั้นดิฉันได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายทีกว่าจะหลับ  เพราะภาพที่เห็นเมื่อก่อนนอนมันยังติดตาตรึงใจอยู่

      รุ่งเช้า    สามีเขาเข้ามาปลุก   ซึ่งปกติฉันจะตื่นก่อนเขา  เราไม่ได้นอนร่วมเตียงกันเลย  เขาจะมานอนที่ข้างเตียงด้านล่างหรือไม่ก็หอบผ้าห่ม หมอนไปนอนที่ห้องทำงานทุกครั้ง   ที่เขามาปลุกเพราะมีเรื่องด่วนคือพ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคร้ายกะทันหัน  ชนิดที่คนในครอบครัวก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน     เราสองคนก็เลยรีบจัดเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปร่วมจัดพิธีงานศพ  ดิฉันเองก็ใจเสีย และผิดหวังอยู่ลึกๆ ว่าอยากจะไปพบหน้าพ่อแม่สามีที่บ้านของเขาสักครั้ง แต่เราก็ไม่เคยไปเยี่ยมเลยนับตั้งแต่แต่งงานกันมา  ดิฉันได้พบหน้าก็เมื่อช่วงก่อนวันแต่งงานสองสามวันเท่านั้น ยังไม่ได้พูดคุยทำความรู้จักอะไรมาก  เพราะตอนนั้นยังคิดตั้งแง่รังเกียจครอบครัวเขาอยู่ ก็เลยไม่ค่อยอยากสนใจ  จนพ่อเขาต้องลาจากไปก่อนความตั้งใจของดิฉันจะสำเร็จเสียอีก
      เมื่อไปถึงบ้านของสามีที่ อ.ปากช่อง ก็ได้พบกับน้องสาวและแม่ของเขาที่มารอต้อนรับ  ซึ่งดิฉันก็เพิ่งรู้ว่าเขามีน้องสาว ดิฉันได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากครอบครัวของเขา  ตลอดระยะเวลาที่เป็นเจ้าภาพงานศพ  สามีก็วุ่นวายงานโน่นนี่หัวหมุนไปหมดจนดิฉันเองก็รู้สึกสงสารเขาจับใจ เพราะคุณพ่อเขาก็ยังอายุเพียงแค่ 50 ปลายๆ ยังไม่แก่มากเลยด้วยซ้ำ  แต่กลับมาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  ชนิดที่ญาติๆ พี่น้อง โดยเฉพาะ แม่ น้องสาว และตัวสามีดิฉันคาดไม่ถึงกันทุกคน   ยิ่งเขาเป็นคนพูดน้อยก็เลยกลายเป็นว่าเงียบขรึมหนักเข้าไปอีก จะพูดจาก็เฉพาะติดต่องานสั่งงานโน่นนี่เท่านั้น  มีช่วงหนึ่งที่ดิฉันไปช่วยแม่ น้องสาวและก็ญาติๆ ผู้หญิงของเขาจัดของทำบุญ เราจึงได้สนทนาสร้างความคุ้นเคย

      “หนูไม่แปลกใจแล้วล่ะพี่อ้อย   ที่พี่กรเขาอยากแต่งงานนักหนา  ถึงขนาดรีบเร่งอ้อนวอนพ่อแม่ไปสู่ขอแล้วก็แต่งงานเลยทันที”  น้องสาวของเขาซึ่งอายุน้อยกว่าดิฉันปีเดียว  เอ่ยกับดิฉันพลางยิ้มให้ด้วยสายตาทะเล้น คล้ายจะกระเซ้าเย้าแหย่
      “ทำไมเหรอคะ  แก้ว”
      “ก็พี่สะใภ้ของแก้วสวยหยาดเยิ้มขนาดนี้นี่คะ  เสียดายตอนงานแต่ง หนูเดินทางไปเรียนที่ต่างประเทศพอดี  ไม่งั้นคงได้รู้จักพี่นานแล้ว”
      “เอ๊ะ.......  อ้อยกับพี่กรถูกบังคับแต่งงานกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ”    ดิฉันเริ่มงง
      “ซะที่ไหนละพี่อ้อย   พี่ชายหนูเขาเร่งคุณพ่อคุณแม่ไปสู่ขอและก็จัดการแต่งเลย  แล้วพ่อแม่ของพี่อ้อยก็ไม่ได้ปฏิเสธ  เอ๋....ยังไงกันเนี่ย  พี่อ้อยไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเหรอเนี่ย  แก้วกลับมาทีหลังยังรู้”
      “เอ่อ  เปล่าหรอกจ๊ะ  พี่ก็แกล้งเล่นมุขไปงั้นเองแหละ  ก็น้องแก้วเล่นชมกันแบบนี้”    ดิฉันแสร้งกลบเกลื่อนทั้งที่จริงก็เพิ่งรู้แหละว่า  คุณสามีเป็นคนต้นคิดเรื่องงานแต่งงาน  แต่ทำไมเขาไม่เคยบอก แม้แต่พ่อแม่ของดิฉันก็ไม่มีใครเอ่ยบอกอะไรให้รู้สักคน
      “อืมม...แล้ว  เมื่อไหร่พี่สองคนจะมีน้องให้แก้วได้อุ้มบ้างละคะ  แก้วอยากอุ้มหลาน  ฮิๆๆๆ”
      “เอ่อ...พี่สองคนยังไม่พร้อมเลยคะ  กะว่าอีกสักระยะ”  ดิฉันได้แต่ยิ้มเลี่ยนๆ ตอบไป
      “แหม...  ดูสิ  แค่นี้ก็อายหน้าแดง  เอ...หรือว่าพี่กรไม่มีน้ำยาน๊า.......เมียสวยยออกอย่างงี้ทำไมยังไม่ลูกด้วยกัน  แต่งกันมาก็จะครบสองปีแล้ว”
      “หรือว่าตากรไม่เอาใจใส่ดูแลหนูอ้อยล่ะ  บอกแม่นะ แม่จะจัดการให้”        แม่เขาสำทับมาอีกคน  จนดิฉันต้องออกหน้ารับแทนเขา  จะว่าไปแล้วครอบครัวของเขาก็รักใคร่กันดี  เป็นกันเองกับดิฉันไม่น้อย  เสียดายที่ดิฉันเคยตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่ทีแรก ก็เลยไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนกระชับสัมพันธ์กับพ่อแม่สามีหรือญาติๆ เลย
      “ไม่เป็นไรหรอกคะคุณแม่  พี่กรก็ดูแลหนูอย่างดีคะ  ไม่มีอะไรบกพร่อง  แต่เรายังไม่พร้อมที่จะมีลูกนะค่ะ  ขอให้เราได้ตั้งตัวทำงานให้คงที่ก่อนคะ  เพราะตอนนี้พี่กรเขาก็เพิ่งเข้าไปดูแลกิจการแทนพี่ชายหนูไม่นาน”
      “แม่บอกให้มาอยู่ที่รีสอร์ทเราที่ปากช่องตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วก็ไม่ยอม  จะไปอยู่กับเมียท่าเดียว  ท่าทางตากรมันจะหลงรักหนูมากเอาเรื่อง  แต่แม่ก็ไม่ว่าหรอกนะ  หนูอ้อยก็สวยถูกใจแม่เหมือนกัน  แม่ก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร ถ้าลูกเขาจะมีเหย้าเรือนมีความสุขแม่ก็ไม่ขัด”  
      แม่สามีพูดไปเรื่อยเปื่อย  จนดิฉันก็ชักเขินอาย   แต่ในใจก็ครุ่นคิดว่าทำไมคุณสามีมาดเข้มไม่เคยบอกอะไรเลยด้วยซ้ำ  ที่ผ่านมาเขาแอบรักดิฉันงั้นหรือ  แล้วทำไมปิดปากเงียบไม่เคยบอกอะไร  แปลกคนพิลึก

      ในช่วงจัดงานศพของพ่อสามี  ญาติๆ ของเขามากันล้นหลามจนบ้านที่ว่ากว้าง แคบไปถนัดตา อีกทั้งครอบครัวดิฉันก็ตามมาสมทบอีก  ห้องนอนหลายห้องยังไม่พอ  ไหนจะเพื่อนบ้านบางคนที่ยอมสละเวลามาช่วยงานและนอนค้างคืนที่บ้านสามีด้วย  พวกเราจึงต้องนอนรวมกันห้องละ 4-5 เลยคะ  เนื่องจากว่าทางบ้านสามีตกลงจะตั้งศพทำบุญกันที่บ้านจนกว่าจะถึงวันเผาจึงจะนำไปที่วัด   พอถึงเวลานอนดิฉันเลยต้องนอนคู่กับสามีทั้งๆ ที่ไม่เคยนอนร่วมกันสักครั้ง   ครั้นจะแยกตัวกันนอนก็กลัวจะทำให้ญาติผู้ใหญ่สงสัยเอา  ดิฉันก็เลยต้องตามน้ำนอนคู่กับสามี  ในขณะที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่อันเดียวกัน  ดิฉันมีความรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก  เมื่อดึกมากเข้า  อากาศก็เริ่มหนาวเย็น  เพราะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนอากาศที่ปากช่องก็หนาวเหน็บไม่น้อย  สามีก็นอนกอดดิฉัน  ใจสั่นเลยคะ และก็รู้สึกวาบหวิวอย่างบอกไม่ถูก  เคยแต่ถูกพ่อแม่กอด ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้  ที่สำคัญเขาไม่กอดเปล่าๆ นี่สิ  มือไม้เขาป่ายไปลูบคลำไปทั่ว  ดิฉันก็ไม่กล้าดิ้นหนี  เพราะมีคนนอนร่วมห้องอยู่ห่างไปอีกราวๆ สักสองสามเมตรแค่นั้น  อา..............คนมีสามีเขาจะรู้สึกแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่าก็ไม่รู้   มือของเขาซุกซอนเข้าไปภายในเสื้อดิฉัน ลูบไล้แผ่วเบาจนดิฉันขนลุกไปทั่วร่าง   ตัวหนาใหญ่ของเขาช่างให้ไออุ่นเป็นอย่างดีทีเดียว  ดิฉันทำตัวไม่ถูกเลย จะปฏิเสธหรือดิ้นขัดขืนก็ไม่ได้ เพราะอายคนนอนข้างๆ   และแล้วใจดิฉันก็เต้นโครมคราม เมื่อมือเขาเริ่มสอดผ่านขอบกางเกงชุดนอนไลเรื่อยจนถึงหว่างขา  ฝ่ามือเขาก็ลูบคลำเล่นอยู่นอกกางเกงในเหมือนจงใจแกล้งกัน  ดิฉันได้แต่นอนตะแคงตัวเกร็ง  และค่อยๆ หันหน้ากลับเข้าหาเขาอย่างแผ่วเบา  กะว่าจะบอกเขาให้หยุด
       “นอนเฉยๆ  สิ อ้อย อย่าเอะอะเสียงดัง”  เขากระซิบเบาๆ บอกดิฉัน พร้อมทั้งยิ้มให้ ในความมืดสลัว ก็ยังพอมองเห็นได้ลางๆ   ท่าทางจะหาโอกาสแบบนี้มานานแล้วก็ไม่รู้  แถมตอนนี้อะไรๆ ก็เป็นใจให้เขาหมด
      “คุณนั่นแหละ หยุดเสียที”
      “ไม่หยุดหรอก  นานๆ จะได้กอดเมีย  ขอกอดให้ชื่นใจหน่อยสิ”  เขาก็กระซิบกระซาบแผ่วเบา
      “แต่นี่มีคนอยู่ข้างๆ นะคุณ  ไม่อายเขาบ้างหรือไง”  ดิฉันแย้ง  ทั้งๆ ที่ใจสั่นระรัว ตัวเริ่มบิดเกร็งตามสัมผัสของเขา
      “ก็อ้อยอย่าดิ้นสิ  ผมไม่ทำอะไรมากซะหน่อย  น่า   นอนเฉยๆ”  
       พูดไปได้  ใครจะอยู่เฉยได้ละคะ  ตอนนี้ร่างกายดิฉันมันสยิวไปหมดแล้ว   แต่โชคดีที่สักพักเขาก็หยุดรุกรานดิฉัน  เขาแค่นอนกอดเบียดกายแน่นบดอยู่กับดิฉัน  ตอนนั้นดิฉันพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา   แต่ขอบอกตรงๆ ว่าหลับไม่ลงแล้วคะ   ในใจครุ่นคริดไปต่างๆ นานา  บางทีถึงขั้นอยากรู้ว่าถ้าเขารุกล้ำเกินไปกว่านี้จะรู้สึกอย่างไร   ยิ่งนึกถึงตอนเขาดูหนังโป๊ และที่เขาทำการสำเร็จความใคร่ด้วยแล้ว  ใจดิฉันชักไขว้เขวและรู้สึกหวาบหวิวไปอย่างบอกไม่ถูกเลย  นี่เราชักบ้าไปกันใหญ่   โอยย....ลมหายใจของเขาพ่นรดที่ซอกคอ  มือเขาก็ก่ายกอดลูบไล้  มันสุดสยิวไปหมด  และที่เริ่มหนักขึ้นคือ ท่อนล่างของเขาที่เบียดก้นดิฉันมันรู้สึกจะพองตัวดุนก้นอยู่  เขาก็จงใจบดเบียดมันเข้าแนบกับก้นดิฉัน  จนต้องนอนกัดฟันเพื่อกลั้นความเสียวสยิว  อา...นี่แค่สัมผัสภายนอก มันยังซาบซ่านขนาดนี้เลยหรือ  คนที่เขาแต่งงานกันเขาทำกันแบบนี้สินะ

      จนรุ่งเช้า  ดิฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกที่นอนไม่เต็มอิ่ม  และรู้สึกหนาวเหน็บเพราะคุณสามีรีบตื่นไปเตรียมงาน  ในฐานะเป็นเจ้าภาพหลัก  ทำให้อดนึกถึงยามที่อยู่ในอ้อมอกเขามันช่างอบอุ่นน่าซบซุกอยู่ในนั้นตลอดเวลา จนต้องแอบคิดอยากให้เขามากอดอีกจังเลย    ตายจริง....  นี่ดิฉันเริ่มโอนเอนใจไปให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่    ดิฉันก็ช่วยน้องสาวเขาจัดโน่นนี่เท่าที่ทำได้เต็มที่  และก็ได้ลอบมองเขาวิ่งวุ่นไปมา   ทำไมนะ  เมื่อก่อนไม่เคยมองไม่เคยสนใจความเท่ห์  มีเสน่ห์ของเขาสักนิด  ไม่ว่าเขาจะเดินเหินไปไหนทำอะไร  ดูเหมือนจะทะมัดทะแมงคล่องแคล่วไปหมด   หรือเพราะเมื่อก่อนดิฉันพยายามปิดกั้นตัวเองออกจากเขา  พยายามที่จะไม่เกี่ยวสัมพันธ์กับเขา  เพราะคิดแค่ว่า ผู้ชายอะไรแค่พ่อแม่บังคับให้แต่งงาน  ก็ยินยอมตามทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกัน  เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ  น่าจะมีสิทธิ์สามารถเลือกปฏิเสธได้  หรืออาจจะเป็นอย่างที่แม่และน้องสาวเขาพูดว่าเขาแอบชอบดิฉัน  แล้วทำไมตอนก่อนแต่งงานเขาไม่เคยพูดอะไรสักคำ  จีบเกี้ยวฉันสักนิดก็ไม่เคย   ถ้าหากเขาจะบอกหรือแสดงท่าทีอะไรบ้างดิฉันก็คงไม่เมินเฉยกับเขาตั้งแต่แรกเป็นแน่  เพราะเขาเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่  อุปนิสัย ความขยันตั้งใจ มีเพียบพร้อมทุกอย่างตามที่ดิฉันเคยวาดฝันการมีครอบครัว
      “พี่อ้อยคะ  ไปดูพี่กรหน่อยสิ  เห็นบ่นว่าเพลีย และครั่นเนื้อตัวเหมือนเป็นไข้  สงสัยทำงานไม่ได้หยุด  อ่ะ นี่คะ กล่องยาและน้ำอุ่น แก้วเตรียมมาให้แล้ว   พี่เป็นเมียเขาก็ลองไปดูแลหน่อย”   น้องแก้วส่งถาดที่วางกล่องยาพร้อมน้ำดื่มมาให้ดิฉัน   แล้วดิฉันก็รับเข้าไปดูที่ห้องนอนก็เห็นเขานั่งคอตกเหมือนคนหมดแรง  ใบหน้าซูบซีด
      “คุณ   เป็นอะไรมากมั้ย  ทานยาสักหน่อยนะ  กันไว้”  ถามไปพลางนั่งใกล้ จ้องสำรวจตามเนื้อตัวเขา
“ไม่หรอกครับ  แค่เหนื่อยเพลียนิดหน่อยเอง   ขอพักสักงีบก็คงดีขึ้น  ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”  เขาตอบเสียงเนือยๆ
“ท่าทางคุณไม่ค่อยได้พักเลย  งั้นอ้อยไม่กวนแล้วคะ  คุณนอนพักเถอะ  เดี๋ยวอ้อยออกไปแล้วจะล็อคห้องให้  จะได้ไม่มีใครมากวน”  ฉันกำลังจะลุก  เขาก็คว้าร่างดิฉันกอดไว้  จนต้องตะลึงกับการจู่โจมปุบปับของเขา
      “อยู่กับผมสักพักได้มั้ย”
      “????”
      “ผมตั้งใจว่าจะมีหลานให้พ่อ ตั้งแต่เราหมั้นและแต่งงานกัน  แต่มันก็สายไปแล้ว  เพราะผมเองแท้ๆ  ถ้าผมจะทำอะไรให้มันตรงไปตรงมา ป่านนี้คุณพ่อคงมีความสุขได้อุ้มหลานตามที่ผมเคยตั้งใจไว้   อ้อยรู้มั้ย    ผมเจออ้อยครั้งแรกผมก็ชอบเลย และขอให้พ่อไปสู่ขออ้อย  โดยที่ขอร้องพ่อแม่และพี่ชายของอ้อยว่าอย่าเพิ่งบอกอ้อย  ผมแค่อยากรู้ว่าอ้อยจะชอบผมบ้างหรือเปล่า   แต่ผมทำผิดถนัด  เพราะอ้อยไม่เคยชอบผมเลย  ที่เราแต่งงานกันมาเกือบ 2 ปี  ผมก็คิดหนักอยู่เหมือนกันว่าเราจะอยู่กันต่อไปหรือว่าจะเลิกกันดี  ถ้าจะเลิกผมคงเสียใจมากแน่ๆ  มาคิดๆ ดู  ถ้าผมบอกให้อ้อยรู้แต่ทีแรก ก็น่าจะดี  ถ้าอ้อยไม่ได้ชอบผมก็ไม่ต้องแต่งงานกัน  ถึงผมจะอกหักก็คงเจ็บปวดทรมานใจน้อยกว่านี้  และเราสองคนก็ไม่ต้องมาทุกข์ทนอยู่ด้วยกันอย่างลำบากใจตั้งเกือบ 2 ปี  ผมขอโทษนะ อ้อย  ที่ผมต้องพาอ้อยมา ทนทุกข์อยู่กับผมทั้งๆ ที่อ้อยก็ไม่ได้ชอบผมเลยสักนิด  ต่อไปนี้ผมจะไม่บังคับฝืนใจอะไรอีกแล้ว  ให้อ้อยตัดสินใจว่าเราจะอยู่กันต่อไปหรือจะเลิกลากันดี  แต่ถ้าหากเราจะเลิกกันไป  ผมมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอก  ถึงมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ตาม”
เป็นคำพูดที่เพิ่งเคยได้ยินเขาพูดได้ยาวและนาน นับตั้งแต่ร่วมชีวิตกันมา  แต่ก็ทำให้ฉันใจแป้ว  อะไรกันนี่   อยู่ด้วยกันมาตั้งปีกว่า  เพิ่งจะมาบอกกัน  และนี่ก็เหมือนว่าชีวิตของเราสองคนจะต้องจบด้วยการลาจากเสียแล้วหรือ  ไม่นะ...
      “ผมอยากจะบอกว่า  ผมรักอ้อยจริงๆ นะ  ไม่เคยรู้สึกรักใครแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต”
หัวใจดิฉันพองโตขึ้นทันที  บทจะมาบอกรักกันก็ปุบปับซะจริงๆ เลย  แต่ไม่เป็นไรคะ  ฉันเองก็เหมือนว่าจะชอบเขาเข้าแล้วเช่นกัน บางทีก็น่าขำนะคะ จะมีผู้ชายคนไหนสักกี่คนกันคะ  ที่พูดจาจีบเมียตัวเอง แถมมาแบบกะทันหัน  สั้นๆ ห้วนๆ อีกต่างหาก  เขาทิ้งตัวเอนนอนทั้งๆ ที่ยังกอดดิฉันอยู่  ตอนนั้นฉันเคลิบเคลิ้มไปหมดเลย  ได้แต่แอบยิ้มและซบอกเขาอยู่นานก่อนจะที่เขาผล๊อยหลับไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น