วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สามีที่รัก ตอนที่ 6 มีเลศนัย



          ตามที่ตกลงกันไว้  ดิฉันและพี่กรได้ออกนอกบ้านมาเที่ยวเดินชอปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ   วันนี้ดิฉันสวมชุดเสื้อและกระโปรงผ้าแพรเนื้อบางสีฟ้าอ่อน  เดินเคียงคู่กับพี่กรที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงดำแบบธรรมดาๆ  รู้สึกใจพองโตยังไงไม่รู้คะ  เวลาเดินเคียงคู่กับเขา  เพราะเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ออกมาเดินเคียงคู่สามี  ก่อนหน้านี้ดิฉันเดินเดี่ยวหรือไม่ก็มากับแม่หรือไม่ก็เพื่อนๆ หลังจากแต่งงานมา ส่วนมากก็จะเดินเดี่ยวเสียมากกว่า  วันนี้พี่กรทำตามสัญญาไว้อย่างไม่มีบิดพลิ้ว   ไม่ว่าดิฉันจะชอบอะไรสนใจอะไร  ตามใจหมดจนชักเกรงใจเขา  เราเดินชอปปิ้งไปเรื่อยจนเพลิน  เพิ่งจะมาเห็นคราวนี้เองว่า สามีของดิฉันเป็นจุดสนใจของสาวๆ อยู่เหมือนกัน  เพราะแอบเหล่เห็นหลายคนลอบมองเขาหลายราย  ในใจเริ่มชักตะหงิดๆ  ทั้งๆ ที่ดิฉันเดินควงแขนกับเขาก็ยังไม่วายมีสาวส่งสายตามาให้ด้วยเหรอเนี่ย  ทุกๆ ร้านที่เข้าไปซื้อของ พี่กรจะนั่งคอยจนดิฉันจับจ่ายเรียบร้อย และคอยช่วยถือของให้จนแทบล้นมือ

            มาถึงร้านแห่งหนึ่งที่ดิฉันสนใจ คือร้านชุดชั้นในสตรี  ดิฉันลังเลอยู่พักหนึ่งว่าจะเข้าไปดีหรือไม่  เพราะปกติจะมาซื้อเอง  แต่นี่มีสามีเดินเคียงมาด้วยแล้วรู้สึกกระดาก   พี่กรคงสังเกตเห็น  แล้วพี่กรก็เดินลิ่วนำดิฉันไปที่เค้าท์เตอร์ของร้าน  สาวๆพนักงานต้อนรับก็กล่าวทักทาย
            “มีอะไรให้รับใช้บริการคะ  สอบถามได้คะ  คุณพี่”
            “เอ่อ....  คือ  ผมอยากจะ เอ่อ...  เลือกชุดให้ภรรยาสักชุดหนึ่ง  ไม่ทราบว่าจะช่วยแนะนำให้ผมได้มั้ย”   พี่กรก็เหมือนจะเคอะเขินเช่นกัน  พูดไปหน้าแดงไป  แต่ยังกล้ากว่าดิฉันเสียอีก  ดิฉันนะหรือ  โดนพนักงานสาวมองมาก็แทบอยากแทรกแผ่นดินคะ   เพราะเธอเหล่านั้นเหมือนทำท่าหัวเราะล้อๆ ดิฉันกับสามี ที่ต่างคนต่างอายราวกับไม่เคยซื้อให้กัน    ว่าแล้วพนักงานก็ผายมือเชิญพี่กรเข้าไป   ดิฉันรีบชิงดึงตัวเขาไว้ก่อน
           “เอ่อ  พี่กรคะ  เดี๋ยวอ้อยเลือกเองดีกว่า  พี่กรรอข้างนอกเถอะ  ที่นี่มันของใช้ผู้หญิง”
           “ฮื่อ  ไม่เห็นเป็นไร  พี่ช่วยเลือกดูบ้างก็ดี  จะได้เลือกชุดสวยๆ ให้อ้อยบ้างไงล่ะ”
           “บ้า  ไม่เอาคะ   พี่กรไม่ได้เป็นคนใส่นะคะ  อ้อยต่างหาก”   ดิฉันแอบกระซิบกระซาบกับเขา พร้อมขึงตาดุ พลางซัดเพี๊ยะไปที่ต้นแขน
           “อ่าวเหรอ  ว้า.... คนดูไม่มีสิทธิ์เลือกเหรอเนี่ย  กะว่าจะหาชุดเซ็กซี่ๆ ให้เมียใส่ให้ดูซะหน่อย”   เขาตอบมาพลางชำเลืองหางตาล้อๆ  พร้อมยิ้มมุมปากท่าทียียวน
           “ยี้  คนลามก”
           ชักหมั่นใส้คนยียวน  จนต้องหยิกให้ไปทีหนึ่ง  ก่อนจะรีบเดินเข้าไปเลือก  พี่กรก็ไม่ยอมอยู่รอที่รับรองลูกค้า   กลับเดินตามดิฉันมาจนดิฉันตะขิดตะขวงใจ   เขาเที่ยวเดินชมไป  โดยมีพนักงานคอยตามมาแนะนำเป็นบางช่วง  ดิฉันสังเกตเห็นว่าพนักพากันซุบซิบและก็แอบหัวเราะกันคิกคัก   เลือกดูได้สักพัก  พี่กรก็เดินมาพร้อมชุดที่เขาเลือกไว้
          “ชุดนี้สวยดีนะ  อ้อย  ลองหน่อยมั้ย”  
           พอดิฉันมองตามที่เขาชูขึ้นให้ดู  เลือดขึ้นหน้าดิฉันจนร้อนผ่าวเลยคะ  ก็เพราะชุดที่ว่านั้น  ถ้าขืนดิฉันใส่ไป  ผีบ้านผีเรือนคงหนีกระเจิงแน่ๆ คะ  มันเป็นชุดนอนของสตรีที่สีชมพูอ่อนๆ เป็นเนื้อผ้าบางเบามากๆ  แทบจะมองทะลุเห็นทุกส่วน  แถมชุดชั้นในสองสามตัวที่ติดมือเขามา แต่ละตัวแทบจะบอกว่า ไม่ต้องใส่ก็ได้  เหมือนเป็นแค่สายเล็กๆ จะพอปิดได้บ้างก็ตรงส่วนสงวนของผู้หญิง  ซึ่งดิฉันไม่เคยสวมใส่เลย  แค่คิดยังกระดากอาย  ถ้าจะถูกใจหน่อยก็ตรงสีชมพูนี่แหละคะ  รู้สึกดูแล้วมันเนียนสบายตา  แต่ถ้าให้ใส่คงต้องคิดหนัก   ดิฉันรีบไปคว้ามาจากมือเขา
           “บ้าจริงพี่กรเนี่ย  ไม่เอาคะ  โป๊ขนาดนั้น  อ้อยไม่กล้าใส่หรอก  เอามานี่  ไม่อายพนักงานขายบ้างหรือไง”
           “เอ้า  ก็อ้อยไม่ได้ใส่ให้ใครเห็นสักหน่อย  ให้พี่เห็นคนเดียวนี่นา  นะๆๆๆ”   ดูสิคะ  ช่างกล้าพูดมาได้  คนยิ่งอายๆ อยู่
           “พอแล้วคะพี่กร   ออกไปรอข้างนอกได้แล้ว  เดี๋ยวอ้อยเลือกของอ้อยเอง  ไป๊”
           ดิฉันรีบผลักใสไล่เขาออกไป  ขืนปล่อยให้พี่กรยุ่มย่ามอีก  พนักงานคงได้พากันหัวเราะกันลั่นร้านแน่ๆ คะ   พอพี่กรออกไปรอด้านนอก  ดิฉันจึงกล้าเลือกหาชุด  และให้พนักงานแพ็คใส่ถุงโดยไม่ยอมให้พี่กรเห็น  ชำระเงินเรียบร้อย  พี่กรก็พาเดินไปร้านอาหาร
เราสองคนเลือกโต๊ะที่อยู่ริม  บรรยากาศในร้านดูสบายๆ  เสียงเพลงแผ่วเบาๆ น่ารื่นรมย์  เราสองคนสั่งอาหารตามต้องการแล้วก็นั่งทานไปเรื่อยๆ  ดิฉันก็ทอดสายตามองผู้คนสลับกันไปกับการทานอาหาร
           “เฮ้.....  กร  มายังไงเนี่ย”   เสียงแว่วหวานของสตรีคนหนึ่ง ดังมาจากด้านหลังดิฉัน  สามีเงยหน้ามองแล้วก็เบิกตาประหลาดใจก่อนจะส่งยิ้ม ยกมือทักทายตอบ
           “โอ้ววว  แคท   สวัสดี  แล้วเธอล่ะ  มายังไงเนี่ย”
           “แคทกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว  ได้สักสองเดือนนี่แหละ  ดีใจจังที่ได้เจอกรอีกครั้ง”
           “ดีใจเช่นกัน  อ่ะ  เชิญๆ  มานั่งทานข้าวด้วยกันมั้น  เราเพิ่งสั่งอาหารทานได้ไม่กี่คำเอง  ถ้าแคทไม่รังเกียจก็มาทานด้วยกันเลย”
            พี่กรเชื้อเชิญแขกเข้ามานั่ง  ดิฉันหันไปมองตามก็เห็นเป็นสตรีสวยสดคนหนึ่ง  ผิวพรรณขาวผ่อง  ร่างอวบ  ตัวสูงซึ่งร่างใหญ่กว่าดิฉัน  น่าจะเกือบใกล้เคียงกับพี่กร  ถ้าหากจะตัวหนาล่ำสันเป็นแบบผู้ชาย  แต่หญิงคนนี้ ต้องยอมรับว่า สวยบาดใจใช่เล่น  ตาคม กลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม   อยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปอวดสัดส่วนเด่นชัด  โดยเฉพาะหน้าอกที่อวบอัด  สวมกางเกงยีนส์  ถ้าหากเธอจะไม่เจ้าเนื้อไปสักนิด  ดิฉันคิดในใจว่าเธอคงเป็นนางแบบแน่ๆ  เพราะรูปร่างหุ่นทรงขายาวสูง  แม้แต่ดิฉันที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังอดชื่นชมแกมอิจฉาในใจ  ดูท่าทางเธอจะเป็นสาวมาดมั่น คล่องแคล่วฉะฉาน  ตามแบบฉบับของสาวเมืองนอก  เพราะดิฉันเคยสังเกตเห็นเพื่อนของเพื่อนหลายคนมักจะเป็นลักษณะนี้  ซึ่งต่างจากหญิงไทยที่ดูเรียบร้อย อ่อนหวานกว่า
           “เอ่อ  แคท  นี่น้องอ้อย  ภรรยาผม  อ้อยจ๊ะ  นี่แคทลียา  เพื่อนพี่สมัยเรียนที่แคลิฟอร์เนีย”  พี่กรผายมือแนะนำเราสองคน และเชิญแขกสาวสวยมานั่งร่วมโต๊ะ  โดยที่พี่กรจัดให้ดิฉันขยับมานั่งคู่กับเขา และให้คุณแคทนั่งฝั่งตรงข้าม
           “ว้าววว   เพิ่งได้เห็นภรรยาของกรครั้งแรกเลยนะเนี่ย  ตอนที่กรแต่งงาน ไม่ยักกะส่งข่าวบอกกันมั่ง   นี่สาวๆ คงพากันอกหักเป็นแถบแน่ๆ  และแคทก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไม กร ถึงรีบกลับมาแต่งงานที่เมืองไทย   น้องอ้อยสวยบาดใจแบบนี้นี่เอง”
           “เอ่อ..  ขอบคุณคะพี่แคท  อ้อยคงไม่ขนาดนั้นหรอกคะ”   เจอคำชมซึ่งหน้าแบบนี้ดิฉันก็ไปไม่เป็นเอาเสียเลย  แถมคุณแคทเธอก็จ้องมองดิฉันด้วยรอยยิ้มที่ดิฉันรู้สึกแปลกๆ
            “แคทดีใจนะ  ที่ได้เจอกร  หวังว่าเรายังคงเหมือนเดิมนะ”
   “สำหรับแคท  ผมยังเหมือนเดิมเสมอ”
             “เฮ้อ....จะว่าไปแล้ว ก็อดคิดถึงตอนเก่าๆ ไม่ได้เนอะ  ที่เมืองแพดซาดิน่าความหลังของเรา”
             “ฮ่ะๆๆ  ช่างเถอะ แคท  เราก็จำเอาแต่สิ่งดีๆ ของเราเอาไว้ก็พอ  ตอนนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแล้ว”
 สองคนสนทนากันอย่างคุ้นเคย  ดิฉันกลับรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดเหล่านั้น เหมือนกับว่าทั้งสองคนจะสนิทกันเกินกว่าความเป็นเพื่อน หรือยังไงไม่ทราบ  สายตาเย้ายวนของคุณแคทมองมาที่เราทั้งคู่  โดยเฉพาะตอนที่คุณแคทเหลือบมามองที่ดิฉัน เหมือนมีอะไรสักอย่าง แต่ดิฉันก็คาดเดาไม่ถูก ดิฉันเริ่มคิดไปไกลในขณะที่ทั้งสองยังพูดคุยทักทายกันไป  แล้วทั้งสองก็แลกนามบัตรกัน
   “นี่นามบัตรของแคทนะ  ถ้ากรไม่รังเกียจก็ติดต่อกันได้เสมอ   แคทคงไม่รบกวนเวลาของกรกับเมียหรอกนะ  พอดีนัดเพื่อนไว้   เห็นกรนั่งอยู่นี่ก็เลยแวะมาทัก  แคทกะว่าคงอยู่ปักหลักปักฐานที่เมืองไทยนี่แหละ  เราคงได้เจอกันบ่อยล่ะ  เอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่นะคะ”  
เธอพูดคล่องแคล่วราวกับเป็นคนไทยเต็มตัว อาจจะมีสำเนียงที่ติดฝรั่งอยู่บ้าง แต่เธอดูพูดคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด ทั้งๆ ที่ดูลักษณะรูปร่างก็บ่งบอกว่าไม่น่าใช่  เพราะเค้าหน้าขาวกลมกลึง  จมูกสันโด่ง คิ้วโก่งดกดำ  เมื่อเทียบกับหญิงไทยทั่วไปแล้วเธอหุ่นสูงกินขาด  ดิฉันเป็นผู้หญิงได้เห็นยังอดอิจฉาไม่ได้
   “โอเค  เอางั้นก็ได้  ดีใจที่ได้พบกันนะ แคท   อ่ะ นี่นามบัตรผม”
   “คะ  งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ น้องอ้อย   บายนะ กร  ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ  ที่กรเคยให้กับแคทมาโดยตลอด  รู้มั้ย แคทไม่เคยลืมกรเลยนะ”
   “โอ้วว  ไม่เป็นไรแคท  ด้วยความยินดี  เอาไว้ยังไงเราค่อยติดต่อกันก็แล้วกัน  โชคดีครับ”
   แล้วคุณแคทก็ลุก และเดินจากไป  แต่ยังมีทิ้งท้ายด้วยกันหันมาโบกมือลา และส่งสายตาหวาน และยังมองมาที่ดิฉันด้วยสายตาที่บรรยายไม่ถูก มีรอยยิ้มมุมปาก    ทุกถ้อยคำสนทนาของทั้งคู่ที่ผ่านมา เหมือนมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาสะกิดใจดิฉันจนเงียบพูดไม่ออก  สองคนนี้เขามีอะไรเป็นความหลังความลับเหรอเนี่ย  หรือว่าไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมเรียน  เขาอาจจะ....   โอยย...  นี่ดิฉันเริ่มคิดมากจนออกอาการหึงหวงสามีขึ้นมาในใจเลยหรือ
   “พี่กับแคทเป็นเพื่อนกันตอนเรียนที่แอลเอ แคลิฟอร์เนีย   ตอนนั้นพี่ไม่รู้จักใครในมหาวิทยาลัยเลย  ก็มีแคทนี่แหละ  แคทเองเขาก็ไม่มีเพื่อนคนไทยสักคน  พี่กับแคทก็เลยสนิทกัน  เราเคยเป็นรูมเมทกันมาคราวหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปอยู่เป็นสัดส่วน”   พี่กรอธิบายให้ฟัง  ยิ่งเหมือนมีอะไรมากรีดใจดิฉัน  แต่ก็พยายามทำสีหน้าเรียบเหมือนไม่มีอะไร
   “พี่แคทเขาสวยนะคะ”
   “ช่าย  สวยมากๆ   ตอนเรียนอยู่ด้วยกันเขาฮอตยังกับอะไร  มีหนุ่มๆ ตามจีบเยอะแยะ”
   “แล้วพี่กร ไม่จีบพี่แคทบ้างเหรอคะ”   ดิฉันชายตามองสามี
   “โห้ย  พี่ไม่อยากแข่งกับใครหรอก   เดี๋ยวโดนพวกไอ้กัน ไอ้แมกซ์  มันตีตาย  พวกอเมริกัน และแมกซิกันเขาเป็นเจ้าถิ่น พี่ไม่กล้าหือหรอก  ทำไมเหรอ  อ้อยอยากให้พี่จีบแคทเหรอ   ฮึๆๆๆ”   พี่กรยังย้อนถามเหมือนไม่รู้สึกอะไร เห็นแค่เป็นเรื่องน่าขำ
   “ก็พี่แคทเขาสวยขนาดนั้น  พี่กรไม่สนใจบ้างเหรอ”
   “เอ...น้องอ้อยถามแปลกๆ  ทำไมล่ะ  ถ้าพี่จีบคุณแคท  แล้วพี่จะได้รู้จักอ้อยเหรอ   หืมม.... วันนี้ถามแปลกแฮะ”
   “ไม่มีอะไรซะหน่อย  แค่อยากรู้แค่นั้นเองคะ”   ดิฉันตอบราบเรียบ  
   “ห่ะๆ  นี่   อย่าบอกนะว่าหึงพี่  ฟังน้ำเสียงแปลกๆ ยังไงพิกล”
   “ใครหึง  เปล่าซะหน่อย”   ดิฉันพูดเสียงเย็นชา   หากผู้ชายทั้งหลายได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ต้องรับรู้ได้เลย  คำพูดของหญิงโดยส่วนมาก ไม่ค่อยตรงกับใจหรอกคะ
   “โอเค   ไม่หึงก็ไม่หึง   งั้นมาทานข้าวต่อดีกว่า”  
   ว่าพลางพี่กรก็คะยั้นคะยอ  พะนอเอาใจ ตักโน่นนี่ให้  แทบจะป้อนให้ดิฉันทุกคำ  ทำให้ดิฉันคล้อยเคลิ้มตามเขา  ลืมเรื่องที่ขัดตะหงิดใจเมื่อสักครู่ไปได้อย่างฉับพลัน......

   หลายวันต่อมา  ก็มักจะมีโทรศัพท์จากคุณแคทโทร.มาหาพี่กรบ่อย  จนดิฉันแปลกใจ  เพราะบางทีก็โทร.มานัดเจอกันก่อนที่พี่กรจะออกไปทำงาน   ทุกครั้งดิฉันก็ได้รับรู้อย่างเปิดเผย  ถึงกระนั้นดิฉันก็ยังแปลกใจว่า มีอะไรถึงต้องนัดหมายเจอกันบ่อยครั้ง   และแล้ววันหนึ่ง  คุณแคทก็โทร.มาที่บ้าน  และขอพบกับดิฉัน  ยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่  ปกติเห็นโทร.คุยกับพี่กร  แต่คราวนี้อยากมาพบดิฉัน  และรบเร้าอยู่สักพัก  ดิฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอมีอะไรจะคุยกับดิฉัน
   “หวัดดีจ๊ะ น้องอ้อย  ว้าวว  บ้านน่าอยู่จังเลย  แล้วนี่น้องอ้อยเป็นคนจัดบ้านเองทั้งหมดเลยเหรอจ๊ะ”
   “คะพี่   อ้อยอยู่ว่างๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไร ก็ได้แต่ทำหน้าที่แม่บ้านอยู่ที่บ้านนี่แหละคะ  บ้านก็หลังไม่ใหญ่โตอะไร  ก็พอจัดไหวคะ”
   “อิจฉานายกรจริงเล้ยยย...  มีเมียสวยทำงานบ้านเก่งแบบนี้  มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมกลับไปอเมริกาอีก”
   “เอ่อ  คุณพี่มาหาอ้อย มีธุระอะไรเหรอคะ”
   “อ๋อ  เปล่าหรอกจ๊ะ  นอตติง    แค่อยากจะมาทำความรู้จักน้องอ้อยบ้างก็แค่นั้นเอง   วันนั้นพี่เสียมารยาทไปนิดที่ไม่ได้คุยกับน้องอ้อยเลย”
             “ไม่เป็นไรหรอกคะ  ก็พี่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่กรนี่คะ   อ้อยไม่ว่าอะไรหรอก”
             “ก็จริงอยู่  แต่ยังไงพี่ก็อยากมารู้จักกับอ้อยอยู่ดี   ว่าแต่สวน พวกดอกไม้อะไรพวกนี้  อ้อยปลูกและดูแลเองเหรอจ๊ะ  เพราะพี่ยังไม่เห็นใครในบ้านนี้เลย  หรือว่าอ้อยจ้างคนสวนมาทำ”
             “ส่วนมากก็ทำเองคะ  จะมีจ้างวานคนงานที่บ้านคุณแม่มาทำให้บ้างนิดหน่อย”
             “เก่งจังเลย  แล้วไม่เบื่อเหรอจ๊ะ  อยู่บ้านคนเดียว  นายกรก็ไปทำงานห่างบ้านเรือนแบบนี้”
             “ไม่หรอกคะ  มีอะไรก็ทำไปเรื่อยๆ  ทำไมเหรอคะ”
             “แล้วไม่ห่วงสามีบ้างเหรอ  ไม่กลัวเขานอกลู่นอกทางบ้างเหรอ”   คำถามนี้เล่นใจดิฉันแป้วไปเลย
             “ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงนี่คะ   พี่เขาก็กลับมาบ้านประจำ  ไม่เคยไปไหน”
             “ระวังน๊า  นายกรก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่  พี่ว่าหัดคอยสอดส่องบ้างก็ดี  เดี๋ยวจะมีใครมาแย่งหัวใจเขาไป  แล้วจะเสียใจนะจ๊ะ”   พี่บอกพร้อมหรี่ตาเป็นนัยๆ   จนใจดิฉันเริ่มเขว  ไม่รู้ว่าเธอมาไม้ไหน
             “ถ้าจะเป็นแบบนั้นอ้อยก็คงต้องปล่อยเขาไปละคะ  คงบังคับใจใครไม่ได้”  
ดิฉันพูดไปด้วยเสียงต่ำเบาลงกว่าเดิม  โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ  แต่มันเป็นไปเอง  รู้สึกว่าใจมันเริ่มห่อเหี่ยวขึ้นมา
              “อู้ยยย  ถึงกับหน้าซีดเลย  ฮิๆๆๆๆ  พี่ล้อเล่นจ้า   แหม...จะบอกพี่ว่าหวงสามีก็ว่ามาตรงๆ ก็ได้  ทำเป็นปากไม่ตรงกับใจซะอย่างงั้น”   พี่แคทหัวเราะร่า  แล้วเข้ามาหยิบหมับที่แก้มดิฉัน คลึงเคล้าหยอกล้อ  ทำราวกับว่าหยอกล้อน้องสาวอายุ 10 ขวบซะอย่างนั้น  ทั้งๆ ที่เราก็ยังไม่ได้สนิทคุ้นเคยกันเลย
              “อ่ะ  เอ่อ  เปล่านะคะ”
              “ไม่ต้องหรอก  พี่พอมองออกหรอกน่า  มีผู้หญิงคนไหนจะไม่รักและหวงสามีบ้างละ  แต่พี่ขอบอกว่าน้องอ้อยเชื่อใจเขาได้  เขาไม่เจ้าชู้หรอก  แต่จะมีผู้หญิงมาเกาะแกะกับเขาหรือเปล่าอันนี้พี่ก็ไม่ยืนยัน หุ่นเท่ห์ล่ำ  แถมเป็นหนุ่มธุรกิจไฟแรงสูงอยู่ด้วย  น้องอ้อยก็อย่าให้เขาห่างสายตามากนัก”
              “เอ่อ  พี่มีเรื่องจะคุยกับอ้อยเรื่องนี้เหรอคะ”
              “ฮิๆๆๆๆ  ทำไมเหรอจ๊ะ  ท่าทางน้องอ้อยจะซีเรียสแฮะ   พี่ขอโทษ  แค่อยากล้อเล่นนิดหน่อย  พี่เป็นเพื่อนเขาหลายปี  รู้นิสัยของเขาพอควร   ที่พี่มาหาเนี่ยก็อยากมารู้จักน้องอ้อยจริงๆ อย่างน้อย อ้อยก็เป็นเมียเพื่อนพี่นะ  พี่มาอยู่เมืองไทยก็ยังมีเพื่อนไม่เยอะ  ก็อยากจะมีเพื่อนเพิ่มบ้าง  โดยเฉพาะผู้หญิงด้วยกัน  รู้สึกมันจะดูคุยกันสบายใจมากกว่า”   พี่แคทเอื้อมมาคว้ามือดิฉันไปกุมกระชับยืนยัน  พลางลูบไล้ปลอบโยน
              “ขอบคุณคะ  พี่แคท  ถ้าอย่างนั้นอ้อยก็ขอฝากตัวเป็นน้องสาวด้วยคนนะคะ”   ดิฉันเริ่มมีรอยยิ้มมาบ้าง  จิตใจเริ่มปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นเราทั้งสองก็เริ่มหาเรื่องพูดคุยเรื่องอื่น พี่แคทก็เล่าความเป็นมา จนเริ่มรู้ประวัติและชีวิตส่วนตัวของพี่แคทบ้างว่าเธอเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เกิดและเติบโตที่เมืองไทยแล้วจึงไปเรียนต่อที่อเมริกาตอนเข้าไฮสคูล  ก่อนที่พี่กรจะเดินทางไปเรียนต่อและเจอกันที่นั่นเมื่อครั้งเข้ามหาวิทยาลัย  ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่ง แต่พี่แคทบอกว่าคุณแม่จะสอนความเป็นไทยให้อยู่ไม่น้อย ฉะนั้นเรื่องประเพณีวัฒนธรรมของไทยเธอก็พอรู้พอควร  แต่ก็ยังมีรูปแบบของความเป็นคนเมืองนอกอยู่มาก  จนเกือบจะถึงเวลาที่พี่กรกลับบ้านพี่แคทก็ขอตัวลากลับ  และสัญญาว่าจะแวะมาหาบ่อยๆ  ดิฉันก็รับคำ   แต่ดิฉันยังคลางแคลงพี่แคทอยู่อย่างหนึ่งคือ แววตาของเธอดูเหมือนยังมีอะไรซ่อนอยู่  ดิฉันเองก็สุดจะคาดเดา  แต่รู้สึกได้ว่าเธอต้องมีอะไรสักอย่าง..................

               การใช้ชีวิตผัวเมียของดิฉันกับพี่กรก็เป็นไปอย่างหวานชื่น  ถึงแม้เราสองคนจะไม่ค่อยได้ร่วมรักกันบ่อยครั้ง  แต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตขาดหายสิ่งใดไปเลย  ไม่รู้สิคะ  การที่มีสามีคอยอยู่เคียงข้าง  ทุกวันหลังเลิกงานได้อยู่ร่วมกัน  ได้พูดคุยสัพเพเหระ  ได้เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันดิฉันก็มีความสุขเหลือล้น  เพื่อนๆ ดิฉันหลายคนก็เพียรถามเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงว่าสามีเป็นอย่างไร  ก็คุยกันเปิดอกตามประสาหญิง  เพื่อนๆ หลายคนก็มีแต่แซวว่าดิฉันหลงสามีโอเวอร์เหลือเกิน  บางส่วนก็พากันแซวอิจฉา   หลายคนที่เขาแต่งงานไปก่อนหน้าดิฉันก็เทียวมาถามข่าวคราว ส่วนมากก็มักจะพูดตรงกันว่า  การมีชีวิตคู่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเน้นเรื่องอย่างว่า  ขอเพียงสองคนเชื่อใจ เข้าใจกันได้  หญิงหลายคนก็มีความสุขดี  ดิฉันก็เห็นด้วยอย่างนั้น  ไม่ต้องอะไรมากคะ  แค่ได้อยู่ในอ้อมกอดสามีทุกวันก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว
              นับเป็นเวลาได้เดือนสองเดือนแล้วที่ดิฉันกับสามีได้มีสัมพันธ์  ก็เริ่มสังเกตว่าพี่กรนับวันยิ่งอึด  วันไหนที่ได้ร่วมรัก  ดิฉันเป็นต้องถึงสวรรค์อย่างน้อยสองครั้ง ก่อนที่พี่กรจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าตามกัน  แต่ละคราวก็กินเวลาเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง  แล้วดิฉันจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วคะ
แต่ที่ยังคลางแคลงอยู่ในใจตอนนี้ก็มีคุณพี่แคทนี่แหละคะ  หลังๆ มีการติดต่อกับพี่กรบ่อยมากขึ้น  ดิฉันพยายามไม่คิดอะไรมาก  แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี  พี่กรก็ไม่เคยบอกหรือพยายามอธิบายอะไรให้ดิฉันรู้สักอย่าง  ยิ่งเมื่อเลียบเคียงถามถึงพี่แคท  พี่กรก็เหมือนตอบแบบเลี่ยงๆ ไป และก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่น  ความหึงหวงชักเริ่มก่อตัวเข้ามา จนดิฉันเริ่มทำตัวเหินห่าง เย็นชากับพี่กร 3-4 วันผ่านมา  ดิฉันพูดน้อยลง เพื่ออยากให้เขามีความสนใจในตัวดิฉันบ้าง  จึงแกล้ง ไม่ยอมให้พี่กรเข้าใกล้ตัว  จนเขาแปลกใจ  แต่เขาก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากนัก  เมื่อเห็นว่าดิฉันไม่พูดด้วยสักเท่าไหร่พี่เขาก็เงียบแล้วก็หลบไป   มีอยู่วันหนึ่ง  ดิฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องนอน และจัดปูผ้าปูเตียงใหม่  พี่กรเข้ามาเมื่อไหร่ไม่ทราบ  เข้าโอบกอดจากทางด้านหลัง
              “พี่กลับมาแล้วจ๊ะ   ทำอะไรอยู่เอ่ย”  
              “ปล่อยคะพี่กร  อ้อยจะปูผ้าให้เสร็จก่อน”  ดิฉันเอ่ยเสียงเรียบ  ราวกับไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนัก  แต่คราวนี้พี่กรไม่ยอมปล่อยอย่างครั้งก่อน  ยังคงโอบกระชับด้วยแขนแข็งแรงข้างหนึ่ง  อีกข้างไม่ได้โอบรัดอย่างที่เคยทำ
              “ไม่ปล่อย    วันนี้พี่มีเรื่องอยากคุยกับอ้อย  อยากสารภาพกับอ้อย”
              “..????...”      ดิฉันชะงักกึก       “อะไรคะ?”
              “แต่อ้อยต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าจะต้องตอบคำถามพี่  ถ้าพี่ถามไป”   เอ๊ะ ยังไงกัน ยังจะมีเงื่อนไขอะไรอีก  ดิฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้า  และยอมหันหน้าไปหาเขา
              “ว่ามาสิคะ  พี่มีอะไรจะสารภาพกับอ้อย”    
ดิฉันตอบไปด้วยใจที่ไม่สู้ดี  ด้วยคิดไปไกลแล้วว่าคงต้องเป็นเรื่องผู้หญิงแน่ๆ  เพราะเท่าที่เห็นก็มีเรื่องพี่แคท  ที่พี่กรไม่ค่อยให้ความกระจ่างกับดิฉันเลย  ทำเป็นมีลับลมคมในตลอด     พี่กรยืนไพล่หลังเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถือซ่อนไว้ด้านหลัง  ยืนเต็มความสูงจ้องประสานตาดิฉัน
              “พี่อยากสารภาพว่า  ผู้หญิงที่พี่รักคนแรก  ไม่ใช่อ้อยหรอก  แต่เป็นคนอื่น”
              “...!!!!!...”
              ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดมาอุดคอดิฉันจนไม่ได้สามารถพูดคำได้ออกมาได้  เหมือนมันจุกคาลำคอ  อาการอกตีบตันแล่นวูบขึ้นมาจนหน้าชาไปหมด
              “ฟังพี่ก่อนนะ   แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว  และพี่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดค้างคากับเรื่องนั้นอีกเลย  ที่พี่ผ่านมันมาได้ก็เพราะคุณแคทคอยเป็นเพื่อนและให้กำลังใจพี่ตอนที่พี่เรียนอยู่ที่นั่น  พี่มีเพื่อนคนไทยเป็นที่พึ่งเพียงแค่คนเดียวในตอนนั้น   เราไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าความเป็นเพื่อน   ตอนนี้   ผู้หญิงคนเดียวที่พี่รักและจะรักตลอดไป  คือคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าพี่ตอนนี้   นี่แหละที่พี่จะสารภาพ”          พี่กรเอ่ยมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
              “เอ่อ....”
              “แล้วทีนี้  อ้อยจะตอบคำถามพี่ได้หรือยังว่า  ทำไมอ้อยถึงได้เย็นชากับพี่มาหลายวัน จนพี่อึดอัดใจไปหมด  พี่ก็ไม่รู้ว่าพี่ทำผิดอะไรหรือเปล่า  บอกพี่ได้มั้ย?”
              “จริงนะคะ  ที่พี่ไม่ได้มีอะไรกับพี่แคท”
              “จริงสิ  หรือว่าที่อ้อยไม่ยอมพูดคุยกับพี่เลยเนี่ย  เพราะระแวงคุณแคทเขา  หืมม”   พี่กรเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ
              “ก็พี่กรกับพี่แคททำท่าสนิทสนมกันแบบนั้น  และพี่ก็ไม่เคยบอกอ้อยมาก่อน  จะไม่ให้อ้อยคิดได้ยังไงละคะ”   พอดิฉันพูดจบ  พี่กรเดินยิ้มเผล่ เข้ามาโอบกอดดิฉันแน่นเลย
              “โธ่เอ๊ยยย      คิดแล้วเชียวว่าอ้อยหึงคุณแคท  คุณแคทเองเขาก็ไม่สบายใจเหมือนกัน  คุณแคทกับแฟนเขาก็เลยแนะนำให้พี่มาพูดกับอ้อยให้เข้าใจเสีย  คุณแคทเขาก็ดูออกว่าอ้อยหึง”
              “พี่แคทมีแฟนแล้วเหรอคะ”
              “อือฮึ  แฟนเขาก็เป็นเพื่อนพี่ด้วยเหมือนกัน   เรารู้จักกันตอนเรียนที่นั่นแหละ  แฟนเขาเนี่ย  พี่ก็เป็นพ่อสื่อให้  เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าทั้งสองคนเขาลงเอยกันด้วยดี  และเพื่อนมันกลับมาเมืองไทยแล้ว  ตอนนี้เขาทำธุรกิจร่วมกัน  และขอให้พี่ช่วยให้คำปรึกษา  ก็เลยต้องติดต่อนัดเจอกันบ่อย  ทีนี้สบายใจหรือยัง  ไม่คิดระแวงคุณแคทและน้อยใจพี่แล้วใช่มั้ย  หืมมม....”   พี่กรถาม  เลิกคิ้วล้อเลียนเมื่อรู้ว่าดิฉันหึงหวง  จนดิฉันทั้งอาย ทั้งโกรธ  ที่ถูกหลอกถามจนเผยความรู้สึกโจ่งแจ้งออกไป
              “คนบ้า..............”  ไม่รู้จะทำอะไรดี  ก็เงื้อมือไม้ซัดเขาไปที่ต้นแขนอย่างแรง  พี่กรกลับหัวเราะและรวบกอดไว้
              “ต่อไปพี่จะพยายามบอกทุกเรื่อง  เพื่อให้อ้อยเชื่อใจพี่   และขอให้อ้อยเชื่อในตัวพี่เถอะ   พี่เคยเจ็บปวดกับความไม่ซื่อสัตย์จริงใจจากคนที่พี่เคยรัก    พี่รู้ว่ามันทรมานใจขนาดไหน  และพี่จะไม่มีวันทำให้คนที่พี่รัก และรักพี่เป็นอย่างที่พี่เคยเจอมาอย่างแน่นอน  พี่สัญญา   และอ้อยจะสัญญากับพี่ได้มั้ยว่า  มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ต้องบอกพี่ให้หมด  เราอยู่กันสองคน  ต้องไม่มีความลับต่อกัน ตกลงมั้ย”
             “คะ  อ้อยจะไม่ปิดบัง”
             “ทีนี้  หายงอนพี่หรือยัง”
             “ไม่ได้งอนซะหน่อย”
             “หืมม  ไม่งอน  แต่ไม่ยอมพูดกับพี่เลยเนี่ยนะ   หึหึหึ  แต่พี่ดีใจนะ  อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่าอ้อยรักและหวง   เอาละ  เพื่อเป็นการไถ่โทษ  วันนี้พี่ก็เลยมีอะไรให้อ้อยนิดหน่อย  ดูนี่สิ  สวยมั้ย”
             พูดจบพี่ก็เผยสิ่งที่พยายามซ่อนไว้อยู่นาน  นั่นคือช่อดอกกุหลาบสีขาวขนาดเล็ก มีอยู่ 4-5 ดอก และกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย  หนาสัก3 นิ้วได้  พี่กรค่อยๆ เปิดฝากล่องออกมา  สิ่งที่อยู่ในนั้นคือ  สร้อยคอเส้นสวย มีจี้รูปหัวใจที่ทำด้วยไพลินสีชมพูอมแดงน้ำใสงาม   พี่กรเปิดและยื่นมาให้ดิฉันดูใกล้ๆ   ดิฉันได้แต่นั่งค้าง  ไม่เคยเห็นพี่กรจะเป็นคนโรแมนติก ซื้อของพวกนี้มาให้สักครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรก  ดิฉันถึงกับพูดไม่ออก  มันตื้นตันไปหมด   มีหญิงคนไหนจะอดปลื้มได้ละคะ  ที่สามีจะซื้อเครื่องประดับมาให้   ยิ่งรักเขาเป็นทุนเดิม  เจอแบบนี้เข้าให้แทบอยากกระโจนกอดจูบเขาให้เต็มรักเลยคะ   พี่กรวางช่อดอกไม้แล้วค่อยๆ บรรจงสวมสร้อยให้แล้วยื่นดอกมามาให้ดิฉัน  ดิฉันรับมาแล้วต้องรีบโผเข้ากอดทันที
             “ขอบคุณคะ พี่กร  มันสวยถูกใจอ้อยมากเลย  ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว   และขอโทษที่อ้อยทำตัวเอาแต่ใจตัวเอง”
             “ไม่เป็นไรหรอก   แค่อ้อยชอบพี่ก็ดีใจแล้ว  แต่นี่เป็นแค่ของขวัญจากพี่นะ  ยังไม่ได้รับจากคุณแคท  เขาฝากมาให้ด้วย”
             “อะไรหรือคะ”
             “อืมม  พี่ไม่มั่นใจว่า  พี่จะทำให้มันเป็นของฝากจากคุณแคทได้ดีอย่างที่เขาแนะนำบ้างหรือเปล่า”  เขาพูดให้ต้องคิดอีกล่ะ  อะไรกันแน่
             “อะไรละค๊าาาา”  ดิฉันเริ่มฉงน จนต้องซักหนักขึ้น
             “วันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ย   ถ้าเหนื่อย  พี่จะนวดให้เอามั้ย”   พี่กรหันมาถามทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตอบคำถามดิฉันเลย
             “เอ๊ะ  พี่กรมีอะไรอีกเนี่ย  อ้อยอยากรู้แล้วนะ”
พี่กรไม่ตอบ  กลับทำหน้ายิ้มๆ  แล้วเดินออกจากห้องไป  ปล่อยให้ดิฉันยังนั่งกระพริบตาปริบๆ  คาดเอาอะไรไม่ถูก..................   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น