วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สามีที่รัก ตอนที่ 10 อดใจไม่ไหว



        เมื่อถึงวันเฝ้ารอที่มาถึง  ดิฉันกลับเปลี่ยนใจ  ไม่ไปรับพี่กรที่สนามบินตามที่ได้รับแจ้งข่าว  ตลอดวันที่ผ่านก่อนหน้านี้พี่กรโทร.มาหาอยู่เรื่อยๆ  ดิฉันก็แกล้งพูดคุยแบบเรียบเฉย เหมือนไม่ได้แสดงอาการอะไรว่าคิดถึงเขาแค่ไหน  ทำเอาเขาแปลกใจว่าทำไมหางเสียงถึงได้หมางเมินเย็นชากับเขา  เขาก็เริ่มออดอ้อนแต่ดิฉันก็ยังปากแข็งว่าไม่มีอะไร  แค่ช่วงนี้เหนื่อยๆ เพราะต้องทำงานแทนเขาและไหนจะต้องมาดูแลบ้านอย่างที่เคยทำ  บางครั้งทำให้หงุดหงิดง่าย  เขาก็ได้แต่นิ่งงันไปจนไม่มีอะไรจะพูดต่อเขาก็ลาวางสายด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ  ดิฉันก็ได้แต่กลั้นหัวเราะน้อยๆ  อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเขาแคร์เราอยู่บ้างแหละ   พอวันเขากลับมา  ดิฉันเห็นเขาแล้วก็ใจหาย  สภาพเขาดูโทรมๆ ยังไงก็ไม่รู้คะ  หนวดเคราเฟิ้มหนา  หน้าตาก็ซีดเซียว  พอมาถึงได้เก็บของเข้าที่เรียบร้อย  คนขับรถของโรงงานที่มาส่งพี่กรกลับไปแล้ว  เราได้อยู่สองต่อสอง เขาก็รี่เข้ามากอด
        “ทำไมไม่ไปรับพี่ละวันนี้  หืมม..”
        “ก็อ้อยทำงานยังไม่เสร็จเรียบร้อยนี่ค่ะ”  ดิฉันแสร้งเบือนหน้าหนี  พูดเสียงเรียบๆ
        “เฮ้อ  อุตส่าห์รีบกลับบ้าน  ดูซิ  เมียเราทำเฉยซะงั้น  หมดกำลังใจเลย”  เขาตัดพ้อดิฉัน แต่ยังยิ้มเย้าหยอก เหมือนพูดแกล้งเหน็บดิฉันเล่นๆ   ดิฉันก็ยังแกล้งทำตัวแข็งทื่อๆนิ่งๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนัก
        “ทำไมละคะ  อ้อยก็ไม่ได้หนีไปไหนนี่คะ  กลับมาก็เจอหน้ากันอยู่แล้ว”
        “เอ....  นี่พี่ใช้งานอ้อยหนักไปหรือเปล่า  ดูเหมือนเมียพี่อารมณ์ไม่ค่อยดีเลย  โอเค  งั้นพี่ไม่กวนล่ะ  พี่ก็เพลียๆ เหมือนกัน  นั่งเครื่องบินมาตั้ง 18 ชั่วโมง  แถมนอนก็ไม่ค่อยจะเต็มอิ่มด้วย  พี่ขอตัวก่อนนะ ที่รัก”  
        เขาหอมแก้มดิฉันฟอดใหญ่  ส่งยิ้มเนือยๆ แล้วก็ผละดิฉันเดินหงอยๆ ขึ้นไปห้องนอนชั้นบน  แรกๆ ดิฉันก็รู้สึกสะใจอยู่หรอกที่แกล้งเขาได้  แต่เมื่อเห็นสภาพอาการแบบนั้นกลับเริ่มใจเสีย  นี่เขาคงผิดหวังต่อดิฉันจริงๆ ล่ะ  เมื่อทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว  ว่าจะไปปลุกเขามาทานข้าวเย็น  เมื่อเปิดห้องนอนเข้าไปก็เห็นเขาหลับสนิทท่าทางอิดโรย  จึงไม่กล้าปลุกเขา ได้แต่นั่งมองดูเขาอยู่เงียบ  ในใจดิฉันนั้นแทบอยากกระโจนเข้าซบกอดให้สมรัก  แต่ตอนนี้คงไปกวนเขาเปล่าๆ  จึงปล่อยให้เขาได้พักเต็มที่

        จนรุ่งเช้า  ดิฉันตื่นนอนขึ้นมา  กลับไม่พบพี่กรอยู่ด้วยเสียแล้ว  ทำให้ดิฉันแปลกใจ  เขาไปไหน  ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเขาอาจจะลงไปที่ห้องทำงานส่วนตัวชั้นล่างก็ได้  ดิฉันจึงลงไปทำหน้าที่แม่บ้านเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ  แต่เมื่อเรียบร้อยหมดแล้ว เดินเข้าไปที่ห้องทำงานของเขาก็ไม่พบ ยิ่งทำให้สงสัยหนัก ดิฉันได้แค่ครุ่นคิดว่าตัวเองทำแกล้งงอนเขาเกินงามไปหรือเปล่าเขาถึงหายไปแบบนี้  ทั้งๆ ที่อยู่กินกันมาเขาก็ไม่เคยทำแบบนี้  จะกลับบ้านดึกหรือว่าต้องรีบไปทำงานแต่เช้าเขาจะบอกไว้ล่วงหน้า  ดิฉันคาดว่าเขาคงไปที่โรงงานแต่เช้าแน่ๆ  แต่ทำไมไม่บอกอะไรสักนิด  ดิฉันเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนเพื่อจะเก็บผ้าห่ม เครื่องนอนให้เรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง  สายตาดิฉันก็เหลือบไปเห็นกล่องขนาดเท่ากล่องขนมเค้กใหญ่ๆ วางซ้อนกันอยู่สองชั้นอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง  ตอนตื่นนอนมัวแต่ห่วงเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นแต่แรก  ดิฉันเดินเข้าไปดู  มองเห็นกระดาษโน๊ตแผ่นใหญ่แปะไว้เหนือกล่อง
        ........“นี่คือของฝากที่พี่ซื้อติดมือกลับมา  ว่าจะให้ตั้งแต่เย็นเมื่อวาน  พี่เห็นอ้อยยังเครียดๆ พี่ก็เลยยังไม่ได้ให้ไว้  แต่วันนี้พี่มีนัดติดต่องานด่วนที่เพชรบุรีตอนสายๆ  ก็เลยต้องออกจากบ้านแต่เช้า   อยากให้อ้อยได้ดูของฝากเร็วๆ ด้วย ก็เลยต้องเขียนโน้ตฝากไว้  อ้อยก็ลองดูนะว่าชอบหรือเปล่า  พี่ขอโทษที่ไม่ได้ให้กับมือ  เพราะมีงานด่วนจริงๆ  เสร็จงานแล้วพี่จะรีบกลับบ้านนะ  อ้อ..และของฝากอีกชุดอยู่ในกระเป๋าเดินทางนะ อยู่ตรงปลายเตียงนอน พี่ยังไม่ได้เก็บเข้าตู้  ยังไงก็ลองดูก่อน  รักนะ  พี่กร”.........
        ดิฉันอ่านแล้วก็รีบเปิดกล่องที่ว่าดู  มันเป็นกล่องผ้าสักหลาด ลายดอกไม้สีเข้มๆ สองกล่อง  เมื่อเปิดออกดูดิฉันถึงกับหัวใจพองโต  สิ่งที่อยู่ในนั้น  กล่องแรกเป็นสร้อยคอจี้เพชร  เส้นสวยมากค่ะ  เมื่อเปิดมาอีกกล่องก็เป็นตุ้มหู สองคู่  ประดับเพชรคู่หนึ่งและพลอยอีกคู่   ของแต่ละชิ้นที่เป็นของฝากสวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ และราคาก็คาดว่าหมดไปไม่น้อย  ดิฉันดีใจจนหัวใจแทบจะเต้นออกมานอกอกด้วยความปลาบปลื้ม   ค่อยๆ เลือกลองเครื่องประดับทีละชิ้นมาดูที่หน้ากระจก   ไม่ว่าจะยังไงดิฉันก็สุดแสนจะดีใจแล้วค่ะ   มีผู้หญิงคนไหนบ้างจะไม่ดีใจที่สามีหาซื้อของแบบนี้ให้  ตั้งแต่แต่งงานอยู่กินกันมา พี่กรก็ไม่เคยซื้อให้เลยสักครั้ง  ยิ่งทำให้ปลื้มสุดบรรยาย  แล้วก็ลองไปเปิดกระเป๋าเดินทางของเขาก็พบว่ามีชุดเสื้อผ้าอยู่สองสามชุด  แต่ละชุดก็เป็นผ้าเนื้อดีสวยถูกใจอีกต่างหาก  ดิฉันดีใจจนต้องคว้าของฝากมาจูบเต็มรัก  เสียดายอย่างเดียวตอนนี้คนฝากไม่ได้ให้กับมือ  ไม่อย่างนั้นดิฉันได้กระโดดกอดฟัดให้สมใจอยากเลยล่ะ   วันนั้นทั้งวัน  ดิฉันได้แต่ยิ้มชื่นบานบางทีเผลอยิ้มอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า  เฝ้ารอให้สามีกลับบ้านอย่างใจจดจ่อ  แต่แล้ว  ครั้นถึงเวลาที่เขาเคยกลับบ้านประจำทุกวัน...
        “อ้อย   วันนี้พี่คงกลับไม่ได้แล้วนะ  พอดีก่อนเลิกงาน  มีพนักงานเกิดอุบัติเหตุถูกไฟช๊อต  ตอนนี้เสียชีวิตแล้ว  เครื่องจักรโรงงานก็เสียหายไปส่วนหนึ่งด้วย  ตอนนี้พี่ต้องคอยให้ช่างเขามาทำการซ่อมเร่งด่วน  ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรอคุยกับญาติผู้ตาย  เป็นธุระเรื่องจัดงานศพให้เขาด้วย”   เสียงจากโทรศัพท์พี่กรแว่วมา  ทำให้ดิฉันใจแป้วไปเลย
        “โธ่..ตายจริง  แล้วมีอะไรให้อ้อยช่วยหรือเปล่าค่ะ”
        “ไม่เป็นไรหรอก  ตอนนี้ก็มีน้านุชอยู่ช่วยแล้ว  เดี๋ยวพี่รอญาติเขามารับศพที่โรงพยาบาล และจะไปส่งที่บ้านที่นนทบุรี  อาจจะนอนค้างที่บ้านเขาด้วย  เราต้องแสดงความรับผิดชอบกับญาติๆ เขา วันมะรืนนี้เราจะรับเป็นเจ้าภาพสวดศพให้เขา  อ้อยก็ติดต่อกับน้านุชนะว่าจะเดินทางไปบ้านเขายังไง  ถ้าอ้อยอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ก็ไปอยู่กับคุณแม่ก่อนนะ หรือจะให้พี่สั่งน้านุชไปนอนเป็นเพื่อน”
        “ไม่เป็นไรค่ะ  อ้อยอยู่ได้  พี่กรก็พักบ้างนะคะ  เดี๋ยวจะไม่สบาย”
        “จ๊ะ  แค่นี้ก่อนนะ”
        เมื่อวางสายแล้วดิฉันก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่  นี่ดิฉันจะไม่ได้เจอหน้าเขาอีกเป็นวันสองวันเลยเหรอ  อารมณ์อยากแง่งอนแกล้งเขาหายไปหมดสิ้น  ความรู้สึกห่วงใยมาแทนที่  รอจนวันต่อมาดิฉันจึงไปที่โรงงานสมทบกับน้าปรียานุชที่เป็นเลขาฯ ของพี่กร เพื่อที่จะเตรียมตัวไปร่วมงานศพพร้อมกับเพื่อนพนักงานอีกหลายสิบคน  โดยคุณน้านุชเป็นคนดูแลเรื่องรถรับส่ง  เมื่อเดินทางไปถึงวัดที่จัดงาน  ลงจากรถแล้วดิฉันก็เดินแยกจากกลุ่มคณะของโรงงานเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำ ตั้งใจว่าจะซับเหงื่อและเติมแป้งสักหน่อยก่อนเข้าไปในศาลาสวดสมทบกับพี่กรที่เป็นเจ้าภาพนั่งรอในศาลาอยู่ก่อนแล้ว  แต่เมื่อเข้าไปยังห้องน้ำของผู้หญิง กำลังชะโงกส่องกระจกเติมแป้ง ก็ได้ยินเสียงสนทนาของหญิงสาวสองคนที่พากันล้างหน้าเสร็จแล้ว กำลังเติมแป้งแต่งหน้าเหมือนกัน อยู่ถัดดิฉันไปแค่ช่วงแขน  มีบทสนทนาต้องทำให้ดิฉันชะงัก
        “นี่เธอ  เห็นเจ้านายของญาติเธอที่มาเป็นเจ้าภาพสวดศพไหม  หล่อมากเลยเธอ  ทีแรกฉันนึกว่าจะเป็นคนแก่รุ่นพ่อเสียอีก  แต่นี่เพิ่ง 30 ต้นๆ เอง”
        “บ้านี่เธอ  มางานศพลูกพี่ลูกน้องฉันนะยะ  ไม่ใช่มาเหล่หนุ่มๆ”
        “แต่เขาหล่อเตะตานี่นา  คนอะไรหล่อเท่ห์ซะไม่มี  แถมเป็นเจ้าเป็นนายเสียด้วย”
        “นี่เธอจ๋า  ฟันเฟื่องไปหรือเปล่า  ระดับเขาจะมาแลคนอย่างพวกเราเหรอ คนละระดับชั้นกัน และอีกอย่างก็ได้ยินมาจากคุณป้าเล่าว่าเขามีเมียแล้ว”
        “เหรอจ๊ะ  ว้า..น่าเสียดายจริง  อิจฉาผู้หญิงคนนั้นเนอะ  มีวาสนาได้เป็นคุณนายเจ้าของโรงงาน มีผัวทั้งหล่อ เท่ห์ รวยอีกตะหาก  ว่าไหมค่ะ  คุณพี่”   แล้วจู่ๆ ผู้หญิงที่เริ่มบทสนทนาก็หันมาถามความเห็นกับดิฉันซะดื้อๆ  ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย และเราก็ไม่ได้สนิทคุ้นเคยกันสักหน่อย  ดิฉันแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
        “อ่ะ....  เอ่อ  ไม่รู้สิคะ  พี่ก็เพิ่งมาถึง  ยังไม่รู้เลยว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร”  ดิฉันตีหน้าเซ่อ
        “จริงๆ นะคะ คุณพี่  คนอะไรไม่รู้ หล่อ ดูดีเฟอร์เฟคถูกสเป๊คไปหมด  ถ้าได้เป็นคู่ของเขานะคะ  เป็นเมียน้อยก็ยอม”  เธอยังจีบปากจีบคอพูดไปเรื่อย  แต่เล่นเอาใจดิฉันอึ้งไปเลยคะ  ไม่นึกว่าเธอจะกล้าพูดได้ขนาดนี้
        “ยัยบ้า  พูดออกมาได้ไม่อายปากเลย  คุณพี่อย่าถือสาเพื่อนหนูนะคะ  ยัยนี่เห็นผู้ชายหล่อๆ เป็นจ้อไม่มีหยุดค่ะ  พูดเลอะเทอะไปหมด”  เพื่อนเธอคนที่ว่าเป็นญาติพี่น้องผู้ตายหยิกแขนปราม แล้วก็หันมาพูดกับดิฉัน ในใจดิฉันตอนนั้นไม่รู้จะขำ หรือว่าโกรธหึงหวงดี  เพราะเธอไม่รู้เลยว่าพูดอยู่กับใคร
         “ไปที่ศาลากันเถอะคะ จะได้เวลาพระมาสวดแล้ว”   ดิฉันตัดบทชวน
        พอเดินนำออกมาจากห้องน้ำ  ดิฉันได้แต่แอบยิ้มๆ ขำๆ  นึกถึงหน้าสามีแล้วยิ่งอยากจะเข้าไปกอดเสียให้รู้แล้วรู้รอดถ้าหากไม่คิดว่าที่นี่เป็นงานศพ  เมื่อไปถึงศาลาดิฉันจึงไปนั่งตรงส่วนของเจ้าภาพประจำวันคู่กับพี่กรด้านหน้าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานกันเต็มความจุของศาลา  จึงได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง  ท่าทางเขาเครียดอยู่พอควร  ก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ  พนักงานของตัวเองทั้งคน เกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน ก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของเขาโดยตรง  ทั้งค่าจัดงานศพ ไหนจะต้องชดใช้ทำขวัญให้กับครอบครัวของพนักงานเพื่อปลอบขวัญ   ในงานพิธี  เจ้าภาพต้องออกไปถวายไทยธรรมแด่พระสงฆ์  ซึ่งดิฉันกับพี่กรต้องลุกไปถวายตามหลักธรรมเนียมอยู่แล้วหลังจากพระสวดจบ  เมื่อถึงเวลาโฆษกก็ประกาศชื่อของสามีกับดิฉันเชิญไปถวายของพระสงฆ์   พี่กรก็ควงแขนดิฉันออกเคียงคู่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ  ตอนเดินกลับนั่งที่เดิม ดิฉันจึงได้เห็นหญิงสาวรุ่นน้องคนก่อนหน้านี้ที่อยู่ห้องน้ำ  เธอนั่งอยู่ด้านหลังโฟซาที่ดิฉันกับพี่กรนั่งคู่กันนั่นเอง ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเธอตั้งใจมานั่งใกล้ๆ เพื่อให้ได้เห็นหน้าพี่กร อย่างที่เธอแสดงออกถึงความชื่นชมในตัวสามีของดิฉัน  เธอมองดิฉันนิ่งอึ้งราวกับไม่เชื่อสายตา หรือตกใจระคนอายก็ไม่ทราบ  เพราะเธอจุดไต้ตำตอจังเบ้อเร่อ  ดิฉันได้แต่ยิ้มและค้อมศีรษะให้  แต่ในใจก็นึกขำเธออยู่เหมือนกัน  แต่อีกใจหนึ่งก็ชักหึงหวงสามีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

        จนเมื่อเสร็จเรียบร้อย  เราสองคนจึงได้กลับมาบ้านด้วยกัน  ดิฉันนั้นแทบอยากกอดฟัดสามีเลยทีเดียวเพื่อเป็นการขอบคุณของฝากจากเมืองนอก และยิ่งนึกถึงบทสนทนาเมื่อตอนอยู่ที่งาน ยิ่งดูเหมือนเป็นแรงกระตุ้นให้มองเห็นเสน่ห์จากเขามากขึ้นจนแทบทนไม่ได้   แต่เมื่อเห็นสภาพเขาหน้าตาอิดโรยอ่อนเพลีย ดิฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำแบบนั้น  ได้แต่นึกสงสารห่วงใยเขาจับใจ มาถึงบ้านเขาก็ทิ้งตัวหลับใหลหมดแรง  ดิฉันได้แต่นอนอิงแอบเคียงข้าง   พอรุ่งเช้า  พี่กรก็รีบไปที่โรงงานอีกเพื่อเรียกประชุมหารือเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงงาน  เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายซ้ำรอย  ดิฉันเองก็เป็นห่วงเขาและคิดถึงแทบทนไม่ไหว  ตั้งแต่เขากลับมาแทบจะยังไม่อยู่ติดบ้าน  ตอนบ่ายจึงไปหาเขาที่ออฟฟิต   เมื่อเข้าไปภายในห้องทำงานส่วนตัว  เห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่ เอนกายอยู่  ดูจากสีหน้าแล้ว  ดูดีกว่าหลายวันก่อนเลยทีเดียว วันนี้เขาโกนหนวดเคราทิ้ง หน้าตาเกลี้ยงเกลาสดใส  ดิฉันเดินเข้าไปยืนต่อหน้าโต๊ะทำงาน  พี่กรก็ส่งยิ้มให้ ถึงเขาจะซูบซีดไปกว่าเดิมเล็กน้อย  แต่ก็ฉายแววสดใสกว่าสามสี่วันที่ผ่านมา  ดิฉันเดินอ้อมโต๊ะทำงานเยื้องกรายไปยังเก้าอี้ที่เขานั่งพลางส่งสายตาฉ่ำเยิ้ม  แล้วก็หย่อนตัวลงนั่งบนตักเขาในลักษณะหันข้างให้  โอบแขนสองข้างรั้งคอเขาไว้ส่งยิ้มให้แล้วก็เอียงหน้าซบที่ไหล่อย่างประจบเอาใจพลางช้อนตาเหลือบมองเขา  จนเขาทำสีหน้าแปลกใจ  เพราะก่อนหน้านี้ดิฉันยังบึ้งตึงกับเขาอยู่เลย  และโดยปกติดิฉันก็แทบจะไม่เคยมาหาเขาที่ออฟฟิตนี้เลยสักครั้ง  อาจจะมาหาบ้างก็ไม่เคยทำกิริยาอาการแบบนี้  ไม่เพียงแค่นั้น  ดิฉันจุมพิตที่แก้มเขาฟอดหนึ่งเอาใจไปอีกหน  ก็มันอดใจไม่ไหวแล้วนี่ค่ะ  ไม่รู้ทำไม สองสามวันนี้ทำไมสามีดูหล่อมีเสน่ห์มากขึ้นก็ไม่รู้  ทั้งๆ ที่อยู่กินกันมานานนับปี  พี่กรถึงกับหัวเราะชอบใจทั้งๆ ที่ยังประหลาดใจอยู่
        “โฮ่ะๆๆ โฮ่...   วันนี้ไอ้กรถูกหวยหรือเปล่าเนี่ย  มีอะไรเหรออ้อย  มาหาพี่ถึงออฟฟิตเลยวันนี้  หืมม...”
        “งานเยอะมั้ยค่ะ”  ดิฉันไม่ตอบคำถาม  แต่กลับเบี่ยงเบนถามเขาเสียแทน
        “เพิ่งประชุมเสร็จตอนก่อนเที่ยงจ๊ะ  ทานข้าวเสร็จก็เลยขอเอนงีบพักสมองสักหน่อย  ตอนนี้พี่รอน้านุชเขาเอาเอกสารเรื่องประชุมด้านความปลอดภัยมาเช็คดูอีกที  เราคงต้องตรวจสอบและปรับปรุงเรื่องระบบไฟฟ้าของโรงงานกันใหม่เสียแล้วล่ะ อาจจะต้องเซ็นอนุมัติงบประมาณในการปรับปรุง  มีอะไรหรือ”
        “เปล่าค่ะ  เหนื่อยมั้ยค่ะ”  ดิฉันยังเฉไฉ  ถามกลับ  มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้เขี่ยแผงอกเขาเล่น
        “ห่ะๆๆ  พี่ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีอะไร  มาบทหวานประจบพี่แบบนี้  บอกหน่อยน่า  หืมม..ทีสองสามวันก่อนยังเมินพี่อยู่เลย”
        “อ้อยทำให้พี่ผิดหวัง  ใช่ไหมค่ะ”
        “เปล่าซะหน่อย  พี่เข้าใจว่าอ้อยทำงานหนักแทนพี่ ไหนจะงานบ้านด้วย   พี่ขอบใจมากนะ    พี่กลับมาคงสมองระเบิดแน่ๆ  ถ้าไม่ได้อ้อยทำงานแทนพี่”
        “ก็ถ้าไม่ช่วยสามี  จะให้ช่วยใครล่ะคะ”   ดิฉันฉอเลาะเสียงหวานกับเขา  เราสองคนต่างมองตากัน   พี่กรไล้มือเกลี่ยปอยผมดิฉันที่มันระมาบังหน้าไปเหน็บไว้ที่ซอกหู แล้วเขาก็ยิ้มพราย
        “เป็นไงจ๊ะ  ตุ้มหูสวยถูกใจ ใช่มั้ย”
        เขาถามพร้อมไล้ที่ติ่งหูที่ประดับด้วยตุ้มหูของฝากของเขานั่นเอง  ดิฉันช้อนตามองเขา  ใบหน้าเราสองคนห่างกันไม่ถึงคืบ  บอกตามตรงเลยค่ะว่า  ทำไมวันนี้สามีถึงได้หล่อเย้ายวนเสียเหลือเกิน  แทบอยากจะโน้มเข้าจูบให้เต็มรัก  แต่ดิฉันก็ยังไม่กล้า  กลัวว่าจะมีคนเข้ามาเห็น เพราะประตูไม่ได้ล้อคไว้  จึงได้แต่กัดริมฝีปากอดกลั้น ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็นั่งอยู่บนตักเขา  อกก็เบียดอยู่กับร่างเขา แขนข้างหนึ่งโอบคอเขาอยู่  อีกข้างก็ยังคงลูบไล้แผงอกเขาเล่นเบาๆ
        “ค่ะ สวยถูกใจมากเลย”
        “แล้วบอกพี่ได้หรือยัง  ว่ามีอะไร  หืมมม..”
        “เอ่อ.... พี่กรจะกลับบ้านตอนไหนคะ”         ดิฉันก็ยังเตะถ่วงถามเขาอีก  พี่กรขยับแขนมองนาฬิกาข้อมือ
        “อืมม  ตอนนี้ก็บ่ายสองโมง  ก็คงสัก 2 ชั่วโมงหรือ 3 นี่แหละ   นี่..จะบอกพี่ได้หรือยังล่ะ”
        “เอ่อ... อ้อย”    ดิฉันยังอิดออดเอียงอาย  ไม่รู้จะบอกเขาดีหรือเปล่า เพราะไม่เคยจะแสดงกิริยาอาการแบบนี้สักครั้ง
        “บอกมาสิ”   พี่กรเลิกคิ้ว  จ้องหน้ารอคำตอบ  ดิฉันจึงเข้ากระซิบที่ใกล้หูเขา
        “....อ้อยอยากบอกว่าอ้อยรักพี่กรมากแค่ไหน....”  แล้วก็ถอยหน้าออกมามองเขาด้วยสายตาฉ่ำเยิ้มยั่วยวน  พี่กรถึงกับตาโต พรายยิ้มออกมา
        “ แต่ที่นี่คงไม่สะดวก  งั้นอ้อยกลับก่อนนะคะ  แล้วเจอกันที่บ้านค่ะ”  
        ตอนนี้ได้บอกความรู้สึกออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังเอียงอายเขาอยู่ แทบไม่กล้ามองหน้าเขาแล้ว จึงขยับลุกจากตักเขา  คว้ากระเป๋าจะเดินกลับ  พี่กรก็ลุกจากเก้าอี้พรวด เข้ามาสวมกอดแน่น
        “เดี๋ยวสิ  จะหนีพี่ไปไหนเล่า  งั้นเรากลับพร้อมกัน   ตอนนี้เลย”
        “อ้าว  ไม่ทำงานต่อเหรอคะ”  ดิฉันชะม้ายตามองเขาอย่างยั่วยวน
        “มาเล่นพูดยั่วพี่แบบนี้  แล้วคิดจะหนีพี่ไปงั้นเหรอ   หืมม...  พี่ไม่มีกะจิตกะใจทำงานแล้วตอนนี้  อยากรู้จังเลยว่ารักมากแค่ไหน”
        ว่าแล้วพี่กรก็ฉกปลายจมูกเข้าที่แก้มอยากเต็มรักอย่างหมั่นเขี้ยว  ดิฉันกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่แล้วถึงกับปล่อยออกมาลั่นห้อง  ไม่คิดว่าจะยั่วเขาได้ผลจนเขาเริ่มจะคลั่งไปแล้ว  ตอนนี้พี่กรคงเหลืออดแล้วปล้ำกอดฟัดดิฉันใหญ่เลย  แล้วเราทั้งสองก็พากันรีบออกจากห้องทำงานของเขามาเจอคุณน้านุชที่กำลังจะเอาเอกสารการประชุมมาให้พี่กรพอดี  แต่พี่กรก็บอกให้เอาเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะ มีงานอะไรพรุ่งนี้จะมาเคลียร์  พลางเกี่ยวแขนดิฉันเดินหนีอย่างรีบร้อน  จนคุณน้านุชได้แต่มองตาค้าง ดิฉันเองก็อดขำเขาไม่ได้กับท่าทีร้อนรนเป็นไฟลนก้นเขาตอนนี้

        เมื่อกลับถึงบ้าน  พี่กรก็ไม่ปล่อยโอกาสอีกต่อไป พอปิดประตูบ้านได้ก็รีบคว้าตัวดิฉันเข้าจูบอย่างร้อนรนราวกับตายอดตายอยาก  ดิฉันก็ตอบโต้อย่างเผ็ดมันไม่แพ้กัน  ก็นานเป็นเดือนแล้วนี่ค่ะที่ไม่ได้รับรสรักจากเขาเลย สองเรายืนแลกจูบอย่างเผ็ดร้อน  พี่กรกอดรัดฟัดจูบอย่างหื่นกระหาย  แล้วก็ค่อยๆ ผลักดันดิฉันเดินไปยังโซฟาห้องนั่งเล่นโดยไม่ได้ผละออกจากกันเลย  แล้วก็ดันดิฉันให้นอนลงบนโซฟาตัวเขาก็โถมตามทับเข้ามา  สองเราพ่นหายใจแรงแข่งกัน  ปากลิ้นพี่กรดูดดุนรุงแรงปานกระทิงเปลี่ยว  รสจูบนี้ทำดิฉันแทบสำลัก แต่ก็ยังตอบรับเขาอย่างไม่พรั่นพรึง  สองมือพี่กรโอบรัดแน่นจนร่างดิฉันแทบจะหายกลืนไปในตัวเขา  ได้ยินแต่เสียงครางฮือๆ ในลำคอเขา  จนในที่สุดดิฉันต้องเบี่ยงผละหน้าออกจากเขา เพราะเริ่มหายใจไม่ทัน  รสจูบเขาเหมือนมันได้ดูดเอาลมหายใจดิฉันไปด้วยจนแทบหมดแรง
        “พอก่อนค่ะ พี่กร  อ้อยใจจะขาดอยู่แล้ว”  ดิฉันพูดปนหอบ  แต่หัวใจสุขล้น
        “ก็ไหนว่าจะบอกรักพี่ไง  พี่ยังไม่รู้เลยว่ามากแค่ไหน”  พี่กรทำท่าจะจูบเข้ามาอีก แต่ดิฉันใช้ฝ่ามือผลักไว้ก่อน
        “ใจเย็นๆ สิคะ  อ้อยบอกแน่  เราไปที่ห้องเถอะคะ”
        ดิฉันยิ้มหวานส่งให้สองแขนโอบรัดคอเขา พี่กรก็โอบรั้งสะโพกอุ้มร่างดิฉันลุกขึ้น   ดิฉันก็โน้มหน้าเข้าจูบเขาแผ่วเบาหยั่งเชิงไปอีก  พี่กรอุ้มดิฉันทั้งๆ ที่ยังจูบกันเดินขึ้นไปชั้นบนอันเป็นห้องวิมานรักของสองเรา  แล้วเขาก็อุ้มตรงไปที่เตียงนอนหนานุ่ม ทิ้งร่างดิฉันนอนลงแล้วตามทับ  คราวนี้พี่กรจูบอย่างอ้อยอิ่งราวกับรู้ใจว่าถ้าหากรุนแรงดิฉันได้ขาดใจตายแน่ๆ  แค่นี้ก็แทบไม่ไหวแล้ว   บัดนี้วิมานวาบหวามเริ่มก่อนตัวขึ้นทีละน้อยๆ  รสจูบที่แสนหวานที่เพรียกหาดิฉันได้รับจากเขาอีกครั้ง  ดิฉันนอนหลับตาพริ้มรับจูบพี่กรอย่างอ้อยอิ่งเช่นกัน  ลิ้นสองเราตวัดล้อไปมา ดิฉันไม่อยากให้เวลาแบบนี้ผ่านไปเร็วเลย  อยากอยู่แบบนี้นานๆ  มือพี่กรลูบไล้ไปตามตัว  ถึงแม้จะยังมีอาภรณ์ห่อหุ้ม ก็ยังสร้างความรัญจวนใจมาทีละน้อย  ดิฉันบิดส่ายร่างบดเบียดแน่นกับร่างกำยำที่ทาบทับอยู่  พี่กรลดใบหน้าลงไปพรมจูบที่คาง  ซอกคอ ทำเอาขนลุกเกรียว
        “อาว์.....”  ดิฉันเริ่มครางกระเส่าเบาๆ  ไม่ว่าเขาจะจูบที่ใด ดิฉันก็แอ่นส่วนนั้นรับกับปากเขาอย่างรู้ใจกัน  พี่กรค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อดิฉันออกทีละเม็ดๆ  ปากก็ยังพรมจูบตามผิวเนื้อที่ถูกเผยผิว จนมันถูกปลดออกหมด หน้าอกดิฉันก็ถูกเขาเคล้าคลึง ดิฉันก็แอ่นส่ายรับอย่างเต็มใจ  จากนั้นพี่กรก็ผละลุกขึ้นรีบถอดเสื้อออกอย่างร้อนรน โถมทับอีกทีหมายจะจูบฟัดดิฉันอีก
        “เดี๋ยวก่อนคะพี่กร  ดูสิ เนื้อตัวอ้อยเหนอะหนะไปหมด  อาบน้ำก่อนก็ได้ค่ะ  นะคะ”  ดิฉันปรามเขาด้วยสำเนียงออดอ้อน  พี่กรถอนใจอย่างสุดเสียดาย  นิ่งไปสักครู่แต่ยังจ้องมองดิฉันอยู่ไม่กระพริบ ก่อนจะปล่อยดิฉันเป็นอิสระ  ดิฉันลุกจากเตียงนอน เดินลงมาชั้นล่างหยิบเบียร์กระป๋อง 2-3 ขึ้นไปหาเขาอีก  เปิดกระป๋องส่งให้เขาอย่างเอาใจ
        “อ้อยขออาบน้ำก่อนนะคะ”
        “งั้นเราอาบด้วยกันเลยสิ จะได้ไม่เสียเวลา”   เขาจิบเบียร์ไปแต่ยังส่งสายตากรุ้มกริ่มเจ้าชู้ออกมา
        “ไม่เอาค่ะ  เดี๋ยวพี่กรเอาเปรียบอีก”  ดิฉันยังทำเล่นตัวยั่วให้เขาคลั่งเล่นๆ  ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลังอาบน้ำก็เสียเปรียบเขาอยู่ดี  ดิฉันคว้าเบียร์กับมือเขามายกเข้าปากอมไว้ แล้วก็ขยับประชิดตัวเขาที่ยังนั่งอยู่ขอบเตียง  โน้มหน้าลงประกบปากจูบเขาแล้วค่อยๆ ป้อนเบียร์เข้าปากเขา  พี่กรก็อ้าปากรับดื่มอย่างไม่มีรังเกียจจนหมดปาก   ก่อนที่ดิฉันจะผละออกส่งยิ้มยั่วอีกครั้ง
        “ดื่มเบียร์เย็นๆ รอก่อนนะคะ  ไม่นานหรอกค่ะ”
        “โธ่ นึกว่าจะต่อ  โอเคจ๊ะ  รอก็ได้”
      
        พี่กรทำหน้าละห้อยเสียดาย  แต่ก็ยอมโดยดี  ดิฉันหนีเข้าห้องอาบน้ำ นึกแล้วก็อยากจะขำที่วันนี้ดิฉันทำตัวเป็นนางแมวยั่วสวาทพี่กรจนดูเขาแทบจะคลั่งไปแล้ว  แต่ยังดีหน่อยที่เขาก็ไม่ได้ดื้อดึงขืนใจ  ยังยอมตามใจดิฉันได้แบบนี้ยิ่งทำให้ดิฉันหลงรักจนเรียกว่าหัวปักหัวปำไปแล้วค่ะ  ใครจะว่าดิฉันบ้าไปแล้วก็ยอม  แต่ทำยังไงได้ ก็คนมันรักนี่คะ  ผู้หญิงทั้งหลายเจอแบบดิฉันก็คงไม่รอดเหมือนกัน หรือจะเถียงคะเพื่อนๆ ผู้หญิงทั้งหลาย.....   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น