วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คนอ้วนมันดีแบบนี้นี่เอง






ตอนนี้ผมเพิ่งจบมหาลัยมาได้ปีนึง แต่เรียกว่ากว่าจะจบได้นี่ก็เกือบตายเอาเหมือนกันครับ โชคดีว่าผมสามารถใช้ภาษาจีนกับภาษาอังกฤษได้ดีทั้งคู่ ตอนนี้ผมเลยได้ทำงานในบริษัทนำเข้าส่งออกเล็กๆ แห่งนึง เงินเดือนดีเชียวล่ะคุณ จบมาใหม่ๆ ได้เงินเดือนตั้งเกือบสองหมื่น ไอ้ตอนยังไม่ผ่านโปรเนี่ยก็เงินเดือนเจ็ดแปดพันเอง แต่พอไอ้ความสามารถในการพูด ฟัง และอ่าน นี่แหละครับ ที่ทำให้เจ้านายผมแกยอมจ้างผมในอัตราเงินเดือนขนาดนี้

บริษัทที่ผมทำงานเนี่ย มีลูกน้องทำงานทั้งหมดรวมทั้งเจ้านายผมด้วยก็....แปดคนเองแหละครับ เฮ้อออ บริษัทเล็กจ้อยแค่นี้ เค้าจะมีอนาคตเท่าไหร่เชียว แถมที่สำคัญ ใช้งานผมหนักยังกะวัวอย่างกะควาย บางทีผมเองต้องนั่งเจ่าอยู่ที่ออฟฟิสเพื่อจะรอทางฝั่งนิวยอร์คเค้าเริ่มงาน กลับบ้านตีสองตีสามก็มี นี่ตอนนี้ผมเองก็พยายามมองหางานที่อื่นอยู่ ถ้าไม่ติดเรื่องเงินเดือน ผมคงไม่ทนทำงานที่นี่หรอกครับ เฮ้อออออออ

ผมก็เหมือนคนปกติทั่วไปนั่นแหละครับที่ชอบผู้หญิงสาวๆ ยิ่งขาวยิ่งชอบ เวลาผมจีบสาวส่วนใหญ่ผมก็เน้นไปที่ความขาว น่ารักก่อนเลย ถ้าเป็นผู้หญิงผิวคล้ำและรูปร่างอ้วนขึ้นมาหน่อยเนี่ย ผมไม่มีทางมองเลยล่ะครับ แต่เรื่องหญิงเนี่ย ไอ้ผมไม่มีโอกาสกับเค้าเลย เพราะผมต้องมาทำงานงกๆ ให้กับเจ้านายของผมจนผมไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างที่วัยรุ่นอย่างผมควรจะได้ใช้ แถมที่ทำงานก็ไม่มีใครที่เจริญหูเจริญตาเลยซักกะคน เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ก็หน้าตางั้นๆ หรือไม่ก็อายุเข้าวัยกลางคนทั้งนั้นเลย เฮ้ออออ ช่างเป็นชีวิตพนักงานออฟฟิสที่น่าเบื่อจริงๆ ยิ่งเจ้านายผมนะคุณเอ๊ยยยย ทั้งแก่ ทั้งดำ ทั้งตัวใหญ่ ตัวแกน้ำหนักเท่าไหร่น่ะผมไม่รู้หรอก แกสูงพอๆ กับผมเลยล่ะครับ ไอ้ผมเนี่ยก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ นะครับ สูงตั้งร้อยแปดสิบเซนต์ แต่น้ำหนักเนี่ย ผมว่าแกน่าจะมากกว่าผมเกือบๆ ยี่สิบกิโลได้ เรียกว่าเป็นนางยักษ์เลยล่ะคุณ แถมบุคลิกแกก็ดุมากด้วย เรียกว่า ใครคุยกะแกนะครับ ตัวแทบจะหดลงไปเหลือเท่าลูกหมาเลยล่ะ อ้อ ลืมบอกไป เจ้านายผมชื่อยุ้ยครับ ทุกๆ คนในบริษัทก็เรียกแกว่าคุณยุ้ยกันทั้งนั้น

ไอ้ผมก็ทำงานกับคุณยุ้ยได้ประมาณปีเศษๆ ก่อนหน้านั้นผมเองก็หาโอกาสสมัครงานที่อื่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ผมได้งานกับทางปตท. แกให้เงินเดือนผมมากกว่าที่คุณยุ้ยให้ซะอีก แถมผมยังไม่ต้องมานั่งทำงานจนดึกดื่นแบบนี้ พอเค้าตกลงรับผมเข้าทำงานเรียบร้อยแล้ว ไอ้ผมก็เลยจัดการเคลียร์งานกับทางคุณยุ้ยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว บรรจงเขียนจดหมายลาออกให้ฝากไว้ที่โต๊ะทำงานคุณยุ้ย แล้วผมก็นั่งฝันหวานถึงชีวิตพนักงานออฟฟิสโก้ๆ ที่มีเวลาให้กับชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่ครับ

แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเอาไว้น่ะสิครับ ปรากฏว่า พอคุณยุ้ยแกได้จดหมายลาออกของผม หลังจากเลิกงาน แกก็เรียกผมให้เข้าไปคุยในห้องแก เฮ้ออออ จะเอาอะไรกันอีกเนี่ย.....

“พล....เธอลาออกเนี่ยเธอได้งานใหม่แล้วเหรอ” แกมองลอดแว่นถามผม

“ครับ...ได้งานใหม่ครับ ที่ปตท. ครับผม”

คุณยุ้ยถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงกับเก้าอี้อย่างเหนื่อยหน่าย......ผมรู้ว่าถ้าผมออกไปนี่แกเดือดร้อนแน่ เพราะว่านอกจากการที่จะหาคนรู้ภาษาจีนและอังกฤษได้ดีในระดับผมเนี่ย ไม่ใช่ง่ายๆ แถมยังประสานงานติดต่อเป็น มันเป็นเรื่องยากที่แกจะหาคนมาทำแทนผมได้ง่ายๆ

“งั้นเอางี้ พี่ให้เงินเดือนเราเพิ่มเป็นสามหมื่นห้า โอเคมั้ย? พี่ว่าที่โน่นเค้าไม่มีทางขึ้นให้เราง่ายๆ แบบนี้หรอก”

“ม่ายยยยเอาล่ะครับคุณยุ้ย...ที่ผมออกไม่ใช่เพราะเรื่องเงินอย่างเดียวหรอกครับ จริงๆ ผมอยากจะทำงานในบริษัทชั้นนำที่ผมพอจะฝากอนาคตผมได้ และเค้าไม่ใช้งานผมจนดึกดื่นอย่างที่คุณยุ้ยทำ”


คุณยุ้ยแสยะยิ้มที่มุมปาก “เฮ้อออ เด็กๆ สมัยนี้ห่วงแต่เล่น ไม่รู้จักทุ่มเทให้กับการทำงาน”


“ชีวิตผม ผมเลือกได้น่ะคุณยุ้ย” ผมยักไหล่อย่างไม่แคร์ ก็ผมจะออกแล้วนี่ ผมจะกลัวแกไปอีกทำไม

“งั้น......ถ้าพี่ไปบอกทางปตท. ว่าเราปลอมทรานสคริปต์มาสมัครงานกับพี่ล่ะ...ทางโน้นเค้าจะรับเธออยู่มั้ย” แกยิ้ม

ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ใช่ ผมปลอมทรานสคริปต์ไปสมัครงานกับคุณยุ้ยตั้งแต่แรกเอง แต่ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะไปตรวจสอบประวัติผมกับทางมหาวิทยาลัย อันที่จริงผมจบมาด้วยเกรดในวิชาภาคที่ต่ำกว่า 2.00 มันขาดบวกอีกแค่ตัวเดียวเท่านั้น เกรดเฉลี่ยรวมผมจาก 1.97 ก็จะกลายเป็น 2.01 ทันที ตอนที่ผมมาสมัครงานกับคุณยุ้ยผมไปจ้างคนปลอมใบทรานสคริปต์ให้กับผมซะเหมือนเปี๊ยบ แล้วผมก็นึกไม่ถึงด้วยว่าแกจะกลับไปค้นประวัติผมแบบนี้ เหงื่อกาฬผมแตกพลั่กทั้งๆ ที่ห้องทำงานของคุณยุ้ยเปิดแอร์ซะเย็นฉ่ำ

“ไม่ใช่เท่านั้นนะพล...ตอนที่พลทำงานที่ออฟฟิสพี่ดึกๆ ดื่นๆ พี่เองไม่ได้ใช้พลฟรีๆ พี่ก็ให้โอทีพลตามฐานเงินเดือนพล แต่พลทำอะไร...พลใช้คอมพ์บริษัทพี่ อินเตอร์เนตพี่ ไปดูเวบลามกอีกด้วย...พลว่าพี่ไม่รู้เหรอ”

“พี่ยุ้ย!!!!!!!” ผมถลึงตาตวาดใส่


“อ๊ะๆๆๆ อย่าน่าพล ที่นี่พี่ติดกล้องวงจรปิดไว้ด้วยนะ พี่ถึงบอกไงว่าพี่รู้ว่าพลทำอะไรเวลาอยู่บริษัทคนเดียว พลอยากเห็นภาพมั้ย??”


ผมหน้าชาด้วยความอาย ความจริงคือผมมักจะแกล้งให้ล่วงเวลากว่าที่ควรจะเป็นเสมอ ไหนๆ ก็ไม่มีโอกาสไปเที่ยวแล้ว และทุกๆ วัน ผมก็ชอบใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตของบริษัทดูคลิปโป๊ แล้วก็ชักว่าวไปด้วยในที่ทำงานนี่แหละ


“พี่ว่าพลกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนก็ได้ แต่พี่บอกเราแล้วว่าพี่จะขึ้นเงินเดือนให้เป็นสามหมื่นห้า พี่ขึ้นให้เราจริงๆ หวังว่าเดือนหน้าพี่จะมีโอกาสได้จ่ายเงินเดือนให้พลนะ แต่ถ้าพี่ไม่เห็นหน้าเราพรุ่งนี้ พลก็อย่าคิดว่าพลจะได้ทำงานที่ปตท. แล้วคลิปที่พลชักว่าวในออฟฟิสพี่ พี่จะเอาลงเนตให้พลดู เอ้า ไปซะ”

อีผีเสื้อสมุทร อีห่าลากระยำ ผมนั่งด่าอียุ้ยในใจ ทำไมมันเลวแบบนี้ มันคิดจะให้ผมเป็นขี้ข้ามันไปตลอดรึไง แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินออกจากห้องทำงานของอีผีเสื้อสมุทรนั่นอย่างผู้แพ้ ใช่ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำงานกับมันต่อไป

หลังจากวันนั้น แน่นอนว่าผมต้องโทรไปยกเลิกกับทางปตท. และขอโทษขอโพยทางโน้นเป็นการใหญ่ และผมก็ต้องจำใจกลับไปทำงานกับอียุ้ยเหมือนเดิม แต่มาครั้งนี้ ความรู้สึกดีๆ หายไปหมด ผมคิดอยู่แค่อย่างเดียวว่า ผมเกลียดที่นี่ ผมเกลียดอียุ้ย มันจะเอาอะไรกับผมนักหนา มันหาคนใหม่ไม่ได้เลยรึไง ถึงได้มารั้งตัวผมด้วยวิธีนี้

ผมทำงานไปตามปกติ อีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา มันก็เรียกผมไปพบอีกครั้ง


“ตอนนี้ชั้นหาฟรีแลนซ์มาทำหน้าที่แปลงานเอกสารแทนเธอได้แล้ว” คุณยุ้ยนั่งเซ็นต์เอกสาร พลางคุยกับผมโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย

ผมยิ้มขึ้นมา ใช่ มันทำให้ผมเบาแรงไปได้อีกเยอะ....คิดดูดีๆ ถ้าผมทิ้งงานตรงนี้ไปได้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ดึกๆ อีกแล้ว เพราะมีหลายครั้งมากที่ผมต้องมานั่งแปลงานจนดึกดื่น ผมดีใจมากจนผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอบคุณแก

“ขอบคุณครับพี่ยุ้ย” ผมยิ้มขอบคุณแกเป็นการใหญ่ ลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้ผมด่าแกไว้ในใจยังไงบ้าง

“แต่พลต้องมาทำหน้าที่เลขาของพี่แทน” แกวางปากกาแล้วบอกผม

ความดีใจของผมหายวับไปกับตาทันที มันอะไรกันเนี่ย นั่นแปลว่า เวลาที่อีนี่ไปติดต่องานข้างนอกผมก็ต้องเดินตามตูดมันด้วย แล้วนั่นมันแปลว่าถึงจะหักเอางานแปลเอกสารออกไป ผมก็ต้องมีภาระคือทำหน้าที่เลขาให้มันด้วย ฉิบหายล่ะคุณ มันไม่ได้ขึ้นเงินเดือนให้ผมฟรีๆ จริงๆ ด้วย มันใช้งานผมหนักกว่าเดิมซะอีก


“นี่...พี่ยุ้ย ผมไม่ใช่ทาสของพี่นะ พี่ชี้นิ้วให้ผมทำโน่นทำนี่ พี่เคยถามผมซักคำมั้ยว่าผมอยากทำรึเปล่า” ผมตวาด

“ถ้าเธอไม่พอใจเธอลาออกก็ได้...แต่พี่จะประกาศว่าเราไม่ใช่พนักงานของเราอีกแล้ว เธออยากให้ทำอย่างนั้นมั้ยล่ะ?” พี่ยุ้ยพูดเรียบๆ

…..ผมคิดถึงภาพประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ที่บอกว่าคนนั้นคนนี้ไม่ได้เป็นพนักงานแล้ว.....ถึงไม่ต้องบอกเหตุผล แต่ใครๆ ก็รู้ว่าถ้าหากโดนประกาศแบบนี้แล้วร้อยทั้งร้อยรู้ว่ามันคือการประจานกันดีๆ นี่เอง แล้วที่สำคัญ ตัวผมเองก็ปลอมทรานสคริปต์มาสมัครกับแกจริงๆ ด้วย ผมได้แต่ก้มหน้าแล้วส่ายหน้าไปมา แล้วพูดเบาๆ อย่างคนพ่ายแพ้ว่า “ก็แล้วแต่พี่ครับ”


พี่ยุ้ยหัวเราะคิกคักอย่างคนมีชัยชนะ แล้วหลังจากนั้น ผมก็มีหน้าที่ใหม่ คือเป็นเลขาประจำตัวของพี่ยุ้ย แกมักจะเอาผมหนีบไปด้วยทุกครั้งที่แกต้องไปติดต่องานข้างนอก แถมไม่ใช่เท่านั้น เรื่องทุกเรื่องของบริษัทประดังประเดเข้ามาหาผมคนเดียว เพราะผมเป็นด่านหน้าของพี่ยุ้ย เรียกได้ว่างานผมหนักกว่าเดิมมากกว่ามาก แต่ท้ายที่สุดเมื่อวันเงินเดือนออก ผมเห็นเงินโอนเข้าบัญชี 40,250 บาท ผมก็รู้สึกดีกับพี่ยุ้ยขึ้นมาทันที และเอาเข้าจริงๆ แกก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนัก ถึงแกจะบีบบังคับให้ผมทำงานกับแก แกก็ไม่ได้เอาเปรียบผมซะทีเดียว และหลังจากที่ผมทำงานกับพี่ยุ้ยอย่างใกล้ชิด ทำให้ผมมีความเลื่อมใสในตัวพี่ยุ้ยมากกว่าเมื่อก่อน

พี่ยุ้ยเองใช้งานผมหนักข้อขึ้นกว่าเก่า แล้วคราวนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่งานของบริษัทเท่านั้น แกยังใช้ผมกับเรื่องส่วนตัวของแกด้วย เช่น ใช้ผมไปซื้อผ้าอนามัยให้แกบ้าง ใช้ผมไปซื้อยกทรงให้กับแกบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก แต่เรื่องเวลาที่รองเท้าแกเปื้อนนี่สิ แกมักจะชอบใช้ผมลงไปคุกเข่าเช็ดรองเท้าให้แกเลย แรกๆ ผมก็กระอักกระอ่วนใจอยู่หรอก แต่มาพักหลังๆ ผมก็สามารถทำให้แกได้โดยที่ผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าธารกำนัลอย่างข้างถนนเป็นต้น


เรื่องเวลาส่วนตัวผมเนี่ย ไม่ต้องพูดถึง มันไม่มีอีกแล้ว พี่ยุ้ยแทบจะเป็นอะไรที่ผมต้องติดสอยห้อยตามแกตลอดเวลา แล้วแกก็ชอบใช้งานผมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานมากขึ้น เช่น ใช้ให้ผมบีบนวดขาให้แกในเวลาที่ทุกคนกลับบ้านเหลือแค่ผมกับพี่ยุ้ยในออฟฟิส และมาจนถึงวันหนึ่ง วันที่มันเปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปตลอดกาล

วันนั้นกลับมาจากที่พี่ยุ้ยไปขึ้นศาลฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับลูกค้าที่เบี้ยวหนี้เรา ผมในฐานะพยานก็ต้องไปให้ปากคำในศาลด้วย วันนั้นเรากลับถึงออฟฟิสแล้วรีบกลับไปเคลียร์งานกันจนถึงเวลา 4 ทุ่ม วันนั้นดูเหมือนพี่ยุ้ยจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะว่าท่าทางทางเราจะชนะคดีและทางคู่ความเสนอการยอมความและจ่ายค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยให้ พอเคลียร์งานเสร็จ พี่ยุ้ยก็เรียกผมให้ไปบีบขาให้แกเหมือนทุกครั้ง พี่ยุ้ยนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ แกยื่นขาให้ผมบีบนวดไปซักพัก อยู่ๆ พี่ยุ้ยก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดไว้ที่บ่าผมที่นั่งยองๆ นวดให้พี่ยุ้ย


“พล นวดต้นขาด้านในด้วยสิ”


ผมพยักหน้ารับ แต่คราวนี้ผมมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าพี่ยุ้ยชัดเจน แกใส่ชั้นในลายลูกไม้ที่แกเคยใช้ผมไปซื้อ ผมเห็นสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าพี่ยุ้ยแล้วมือไม้ผมสั่นไปหมด ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าการเห็นแค่ร่มผ้าของพี่ยุ้ยแล้วมันจะทำให้ผมตื่นเต้นได้ขนาดนี้ ผมตั้งใจนวดให้กับพี่ยุ้ยอย่างสุดฝีมือ แกสั่งให้ผมเลื่อนตัวเข้ามาจนหน้าผมอยู่ห่างจากใต้ร่มผ้าแกแค่ฟุตหนึ่งเท่านั้น ผมนวดต้นขาที่ที่อวบอัดของพี่ยุ้ยอย่างแผ่วเบา แต่ตาผมนี่สิ จ้องดูกางเกงในลูกไม้ใต้กระโปรงพี่ยุ้ยซะเขม็ง


“จ้องอะไรน่ะ”


“ปะ เปล่าครับ” ผมรีบหลบตา


“ฮึๆ พลแอบดูกางเกงในพี่ไม่ใช่เหรอ”

“เอ่อ ผมไม่ตั้งใจครับ ผมขอโทษ”


“พี่ถามว่าเราแอบดูกางเกงในพี่ใช่มั้ย ตอบมาให้ตรงคำถามสิ”


“คะ...ครับ ผมแอบดูครับ ผมขอโทษ”


“เรานี่ก็ยังเด็กอยู่เลยนะ...แล้วเห็นของพี่แล้วรู้สึกไงบ้างล่ะ”


“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่เลยนะครับ”


“พี่ไม่เชื่อหรอก” แล้วขาอีกข้างหนึ่งของพี่ยุ้ยก็มาเขี่ยที่เป้ากางเกงผม ที่ตอนนี้มันแข็งปั๋งแถมยังมีเยี่ยวเหนียวเหนอะเลอะจนมันเปียกทั้งกางเกงในอีกด้วย “นี่ไง ไหนบอกว่าไม่คิด โกหกพี่นี่”


ผมพูดอะไรไม่ออก มาจนถึงตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าพี่ยุ้ยไม่ได้คิดกับผมแค่ลูกจ้างปกติซะแล้ว แต่ผมถูกพี่ยุ้ยทำแบบนี้แล้วผมยิ่งตื่นเต้น ยิ่งกลิ่นจากใต้ร่มผ้าของพี่ยุ้ยกระทบจมูกผม ผมยิ่งตื่นเต้นขึ้นอีก พี่ยุ้ยให้เท้ากดบี้กับเป้ากางเกงผมไปได้พักนึง แกก็สั่งผมว่า


“พล ยืนขึ้นซิ”


ผมลุกขึ้นยืนตามที่แกสั่ง

“ถอดกางเกงออกเดี๋ยวนี้”


ผมถอดกางเกงออก กางเกงสแลกผมหลุดลงไปกองกับพื้น ขณะที่ผมกำลังจะถอดกางเกงในพี่ยุ้ยก็แหวใส่ผมว่า “ใครให้เธอถอดกางเกงใน ทำตามที่ชั้นสิ” เท่านั้นแหละครับ ผมรีบยืนตรงนิ่งทันที พี่ยุ้ยยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่เห็นเป้ากงเกงที่ตุงแน่นเพราะลำควยที่โป่งพองของผมอัดแน่นอยู่ในนั้น แถมหัวควยผมยังโผล่พ้นขอบกางเกงอีกด้วยซ้ำ น้ำเยี่ยวเหนียวฉ่ำแฉะที่ปลายหัวถอกฉ่ำเยิ้มไปหมด พี่ยุ้ยสั่งให้ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ แก แล้วพี่ยุ้ยก็กำหมับเข้าที่เป้ากางเกงที่เปียกแฉะและตุงแน่นของผม


“อ๊ะหหห์ อาห์ พะพี่ยุ้ยครับ อูยยยยยยยย”


“อะไร เป็นอะไร เจ็บเหรอ?” แกถามพลางขยำบีบลำควยที่โป่งพองอย่างมันส์มือ แกบีบแรงซะจนผมเห็นข้อมือพี่ยุ้ยเกร็งบีบควยผมแน่น


“คะ..ครับ...จะเจ็บครับพี่ อูยยยยยยยยย”


“ช่วยไม่ได้นี่ เราอยากมาเงี่ยนพี่เองทำไม” แกพูดพลางบิดควยผมไปมา “แต่ปากบอกว่าเจ็บแต่ของเธอมันแข็งสู้มือพี่ใหญ่เชียวนะ” แกเหลือบตาขึ้นมามองหน้าผมพลางบีบไข่ทั้งสองข้างผมแรงๆ


“อ๊ะห์ๆๆๆๆ พะพี่ยุ้ย ซี้ดสสสสสสส ขอโทษครับพี่ โอ๊ยๆๆๆ พี่ซี้ดสสสสส”


ผมเห็นพี่ยุ้ยเลียริมฝีปากตัวเองอย่างสะใจ แกบีบที่หัวควยผมที่มันโผล่พ้นขอบกางเกงใน แกยิ้มกริ่มคงจะด้วยเพราะสนุกสนานกับการทรมาณผม


“ขอโทษ????? แต่ของเรามันแข็งปั๋งสู้มือพี่ตำตาแบบนี้เนี่ยนะ ดูซิเนี่ย ยิ่งพี่ทำโทษพลเท่าไหร่มันก็ยิ่งแข็งสู้มือพี่ พลนี่ดื้อกับพี่แล้วนะเนี่ย”


“อาาาาห์ อูยยยยยยยยย ซี้ดสสสสส ขอโทษครับพี่ พลผิดไปแล้ว ซี้ดสสสสสสสส อูยยยยยยยยยยย พี่ยุ้ยกรุณาทำโทษพลหน่อยนะครับ อูยยยยย” ผมแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าผมพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง แต่ตอนนี้ผมอยากให้พี่ยุ้ยบีบควยผม อยากให้พี่ยุ้ยบีบแรงๆ ยิ่งแรงยิ่งดี ยิ่งผมพูดไปอย่างนั้น มืออีกข้างของพี่ยุ้ยก็มาวางนาบไว้ที่หัวควยผมแล้วถูไปถูมาแรงๆ ส่วนอีกข้างของพี่ยุ้ยก็ทั้งบีบทั้งบี้ลำควยผม เท่านั้นแหละครับ ทำนบผมแตกทันที น้ำควยผมทะลักล้นออกมาเยอะจนผมเองยังตกใจ คงเป็นเพราะผมทำงานมาตลอดจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ ควยผมฉีดน้ำอสุจิกลิ่นคาวคลุ้งใส่อุ้งมือพี่ยุ้ย มันเลอะทั้งมือพี่ยุ้ย ทั้งกางเกงในของผม


“เฮอะ....เสร็จจนได้....น้ำออกมาเยอะขนาดนี้เลย ท่าทางจะตื่นเต้นมากนะเราน่ะ”


“อาาาาาห์ ครับพี่ พลขอโทษพี่ครับ”


“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” พี่ยุ้ยพูดพลางเอามือบีบเฟ้นควยที่อ่อนตัวของผมไปมา น้ำควยผมที่เลอะมือพี่ยุ้ยก็เลอะติดกางเกงในผมจนมันเปียกเหนียวหมดเกือบทั้งกางเกง “เอ้า ดึกแล้ว เรากลับบ้านซะ”


“แล้วพี่ยุ้ยจะทำงานต่อเหรอครับ ให้พลอยู่ช่วยพี่นะครับ”


“ชั้นบอกให้เธอกลับ ไม่เข้าใจรึไง” พี่ยุ้ยพูดเสียงเขียว


“คะ..ครับพี่”


“กางเกงในน่ะ ถอดทิ้งไว้ที่นี่ เลอะขนาดนั้นเดี๋ยวมันหมักหมม สกปรกจะตาย”

“ครับพี่ยุ้ย” ผมรับคำพลางจะเดินเข้าไปห้องน้ำ


“ชั้นบอกให้เธอถอดไว้ที่นี่....ทำตามที่ชั้นบอกสิ”


“คะ...ครับพี่ยุ้ย” ผมรีบถอดกางเกงในออกต่อหน้าแก แล้ววางกางเกงในไว้ที่พื้น สวมกางเกงสแลกให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปอย่างจำยอม ตลอดเวลาที่ผมขับรถกลับคอนโดผมเองคิดถึงพี่ยุ้ยตลอดเวลา คิดถึงรูปร่างที่ท้วมอวยอัดของแก คิดถึงภาพของร่องนมพี่ยุ้ยใต้เสื้อสูทตอนที่พี่ยุ้ยบีบควยผม พอถึงห้อง อาบน้ำเสร็จแล้ว ผมยังคิดถึงพี่ยุ้ยอยู่ ผมเลยตัดสินใจโทรไปหาพี่ยุ้ย ผมกะว่าพี่ยุ้ยน่าจะยังไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ เสียงสัญญาณรอสายมันดังนานมาก ผมไม่รู้ว่าพี่ยุ้ยจะรับสายผมรึเปล่า จนกระทั่งปลายสายรับ


“มีอะไรเหรอ”


“พี่ยุ้ยกลับบ้านรึยังครับ”


“กำลังกลับ”


“ผมห่วงพี่จังเลยครับ”


“น้อยๆ หน่อยพล พี่ไม่ใช่เด็กๆ ให้เรามาห่วงพี่นะ”

“คะ..ครับ”


“แต่เราจะนอนแล้วใช้มั้ย”


“ดี...ต่อไปนี้ก่อนพลนอนพลต้องโทรมาบอกพี่ก่อนรู้มั้ย”


ผมได้ยินพี่ยุ้ยพูดอย่างนั้นแล้วผมดีใจมาก ผมละล่ำละลักบอกว่า “คะ ครับพี่ ผมจะโทรหาพี่ก่อนนอนทุกคืนครับ”


“ดี เอ้า นอนได้แล้ว”


แค่นี้เองเหรอ??????? ผมคาดหวังว่าผมจะได้พูดคุยกับพี่ยุ้ยให้มากกว่านี้ มันไม่มีการพลอดรักรำพันอะไรเลยเหรอ พี่ยุ้ยก็ยังเป็นพี่ยุ้ยเหมือนเดิมที่เย็นชาอย่างกับน้ำแข็ง ผมเองไม่เข้าใจพี่ยุ้ยจริงๆ แต่ผมก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ นอกจากต้องยอมวางสายและนอนหลับเอาแรงวันพรุ่งนี้









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น