วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ 16 (กำเนิดพลายงาม)






ตอนที่ 16  (กำเนิดพลายงาม)

วันนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นยะเยือก ลมหนาวพัดกรรโชก รุนแรง ชาวบ้านร้านตลาดเมื่อมืดค่ำแล้วต่างก็พากันรีบชวนกันเข้าบ้านปิดไฟมืด (ไม่รู้จะทำอะไรกัน อิอิ) บรรยากาศในพระนครศรีอยุธยานั้น เมื่อย่ำค่ำแล้วช่างเงียบเหงา ต่างกับช่วงยามเช้าถึงเที่ยงบ่าย ที่คนคึกคักเดินกันเนืองแน่นไปหมด แต่ยังมีหญิงงามนางหนึ่งเดินอย่างโดดเดี่ยวมายังสถานที่เปลี่ยวร้างที่มีทหารเฝ้าอยู่เพียงคนเดียว

สถานที่แห่งนั้น เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ที่สร้างมานมนานมาก จนคนสร้างน่าจะตายไปนานแล้ว มันถูกประกอบด้วยไม้ซุงต้นใหญ่ๆ อย่างหยาบๆ มีร่องรูมากมาย จนไม่อาจจะกันลมฝน หรือลมหนาวได้ดีนัก ภายในถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆ มากมาย แต่ละห้องก็ถูกกันด้วยลูกกรงไม้ซุงท่อนย่อมๆ สกปรกรกรุงรัง ด้วยขาดการทำความสะอาด มีหนูและแมลงสาบวิ่งกันยั้วเยี้ย น่าจะเรียกได้ว่าบ้านร้างก็ได้ เพราะนอกจากทหารยามเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็มีเพียงนักโทษไม่กี่สิบคนอยู่เท่านั้น

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากนครหลวงไม่มากนัก แต่สภาพแวดล้อมนั้นถือได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับคุมขังบรรดานักโทษนั่นเอง หญิงงามนั้นเมื่อเดินเข้ามาถึงยังหน้าประตูของคุกหลวงแห่งนั้น ก็ถูกยามที่หน้าประตูกางแขนออกกั้นเพื่อมิให้เธอเข้าไป หญิงงามนั้นก็ยกมือล้วงเข้าไปในย่ามที่เธอสะพายเข้ามาด้วย พลางหยิบถุงผ้าออกมา พลางส่งถุงผ้านั้นให้แก่ทหารยามผู้นั้น ทหารยามเมื่อได้รับถุงผ้าจากนางแล้ว ก็เบี่ยงตัวหลบ พลางดันประตูให้เปิดออก ให้นางเดินเข้าไปภายใน

ทางเดินภายในนั้นช่างสกปรก และเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล น่าขยะแขยง แต่เธอก็ยังเดินเข้ามายังที่แห่งนั้น โดยไม่แสดงอาการรังเกียจแต่อย่างใด เธอเดินผ่านประตูห้องขัง ห้องแล้ว ห้องเล่า เธอเดินมาจนถึงยังห้องสุดท้าย ที่มีการล่ามโซ่เอาไว้มากมาย คงจะเป็นเพราะนักโทษที่อยู่ในห้องมีความร้ายกาจมากเกินไป จึงถูกล่ามโซ่เอาไว้มากมายปานนั้น เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงที่ห้องนั้น จึงส่งเสียงเรียกเบาๆ
““พี่แผน พี่แผนจ๊ะ นี่แก้วเองจ๊ะ””

สักพักในห้องนั้นก็มีเสียงเหมือนกับคนลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดยังหน้าประตู พลางหยุดไปสักพัก บรรดากลอนที่ล็อกโซ่ทั้งหลายนั้น ก็ปลดตัวเองหลุดออกมา จนประตูนั้นสามารถเปิดออกมาได้ เผยให้เป็นใบหน้าของคนที่อยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อเหลา เพียงแต่อาจดูซูบซีดไปบ้าง ด้วยความหม่นหมองตรองตรม มีเคราขึ้นเขียวครึ้มไปสองข้างแก้ม ชายผู้นี้ก็คือขุนแผนนั่นเอง

ขุนแผนเปิดประตูเพื่อให้แก้วกิริยาเมียรักเดินเข้ามาภายในห้องขังของเขา ภายในห้องขังนั้น นอกจากเตียงไม้ที่มีไว้สำหรับนอนแล้ว ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก การจะขับถ่ายอะไร ก็มีช่องเล็กทางมุมห้องให้ถ่ายลงไปในรูนั้น เพียงแค่นั้นแก้วกิริยานั้นแสนจะสงสารขุนแผนผัวรัก เมื่อเดินเข้ามาในห้อง ก็รอจนขุนแผนปิดประตูห้องเรียบร้อย ก็โผเข้ามากอดร่างของขุนแผนไว้แน่น พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยสงสารในชะตากรรมของผัวรักที่ต้องอาญาจากพระเจ้าแผ่นดิน

ขุนแผนนั้นเองก็กอดร่างของแก้วกิริยาไว้แนบแน่น สองกรามนั้นขบกันแน่นจนเป็นสันนูน ทั้งสองนั้นกอดกันอยู่เป็นเวลานาน จนขุนแผนนั้นคลายการกอดพลางถามแก้วกิริยาว่า
“แล้วน้องวันทองเล่า เป็นอย่างไร ครรภ์ของเขายังสบายดีอยู่รึ”?”
แก้วกิริยานั้นก็ปลดเอาย่ามที่เธอสะพายออกมาพลางหยิบของออกมาวาง ซึ่งประกอบด้วย อาหารอันโอชารสมากมายที่เธอ และวันทองได้ทำเตรียมเอามาให้แก่ขุนแผน ได้รับประทานทุกวัน พลางตอบว่า
““พี่วันทองก็สบายดีจ๊ะ และลูกของพี่ก็น่าจะสบายดี วันนี้ก่อนแก้วมายังเตะท้องพี่วันทองออกมาจนเห็นเลย แข็งแรงจริงๆ สงสัยจะเก่งเหมือนกับพ่อของเขา””
ขุนแผนได้ฟังก็ยิ้มน้อยๆ พลางคิดไปถึงเจ้าตัวน้อยแล้วก็ให้สงสารยิ่งนัก ด้วยมันคงจะต้องเกิดมาในสภาพที่ไม่ได้เห็นหน้าพ่อเสียแล้ว คิดแล้วให้เศร้าใจ ทำให้รอยยิ้มที่มีอยู่เพียงน้อยนิดต้องหายไป แก้วกิริยาที่สังเกตเห็นความเศร้าใจของผัวรักตลอดเวลา ก็เสียใจที่ผัวรักต้องเสียใจอีก จึงจัดอาหารเตรียมไว้ แล้วยกขึ้นป้อนให้แก่ขุนแผน

ขุนแผนนั้นเห็นแก้วกิริยาเมียรัก ที่มาปรนนิบัติเขาทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในคุกแห่งนี้ ก็ให้เกิดความรักและความสงสารที่ท่วมท้นหัวอกของขุนแผน ยกมือขึ้นมาจับข้อมือกลมกลึงขาวสะอาดของแก้วกิริยาไว้ พลางดึงร่างของแก้วกิริยาเข้ามากอดประทับไว้แน่นกับอก แก้วกิริยาก็หลับตากอดร่างของขุนแผนไว้แน่น พลางดื่มด่ำกับความสุขนี้อย่างเงียบๆ

ขุนแผนนั้นกอดร่างของแก้วกิริยาไว้แน่นพักหนึ่งก็คลายกอดออก แก้วกิริยานั้น ก็รู้ว่าขุนแผนผัวรักนั้นต้องการอะไร ก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ ถอดผ้าสไบ ตามด้วยผ้าแถบรัดอกออก ปล่อยให้หน้าอกงามที่เต่งตั้งได้รูปสวยได้เผยออกมา พลางยกมือปลดผ้านุ่งออก แล้วปล่อยให้กองกับพื้น ให้เห็นเรือนร่างเปลือยเต็มตัวของนาง ที่มีเรือนร่างที่ขาวนวล อกตูมตั้งได้รูป ปลายยอดสีชมพูแต้มปลายเย้ายวน เอวคอดกิ่ว สะโพกที่ยังผายออกไม่มากนัก ลงมาถึงยังเนินนูนที่อูมน้อยๆ กำลังงาม ที่ประกอบด้วยร่องธารสีชมพูที่ปิดสนิทเหมือนดั่งกับไม่เคยมีใครได้เชยชมมาก่อน โคนขาอวบที่เบียดกันสนิทแน่น ปลายเท้าได้รูปสวยงาม

แก้วกิริยาเดินเข้ามาหาขุนแผน พลางค่อยนั่งลงกับเตียงข้างของขุนแผน แล้วค่อยหงายลงกับพื้นเตียง ขุนแผนนั้นก็ลุกขึ้น พลางถอดชุดออก เผยให้เห็นร่างบึกบึน ที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อสวยงามได้รูป เอวคอด สะโพกปอด และสิ่งสำคัญคือ ควยอาคมที่เป็นสุดยอดแห่งควย ยังคงอาถรรพ์เย้ายวนใจ เมื่อแก้วกิริยาเห็นควยอาคม ก็ปราดเข้ามาประคองลูบไล้มันไปมา พลางจรดปากเข้าไปเคลียคลอ และดูดอมเข้าในโพรงปากอันอบอุ่นของเธอ พลางดูดดุนอย่างไม่รู้เบื่อ สร้างความเสียวซ่านให้แก่ขุนแผนอย่างยิ่ง จนต้องใช้สองมือนั้นช้อนเต้านมอวบขึ้นมาบีบบี้ที่ปลายติ่งเต้าของมันจนมันแข็งตัวชี้เป็นไตออกมา

แก้วกิริยาอมดูดควยอาคมจนขุนแผนต้องค่อยๆ ประคองเอาควยอาคมออกจากปากของแก้วกิริยาก่อน ด้วยกลัวจะระเบิดออกมาก่อนแล้วจะไม่สนุก พลางค่อยๆ นอนกอดร่างของแก้วกิริยาลงกับเตียงไม้ พลาง ใช้มือสากหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างเนียนงามของแก้วกิริยา บีบบี้ไปตามติ่งไตต่างๆ จนขนแก้วกิริยานั้นลุกตั้งอย่างเห็นได้ชัด จนมาถึงยังร่องหลืบสีชมพูที่มีน้ำเยิ้มจนเห็นเป็นมันเงา ค่อยแหวกนิ้วเข้าไปควานหาติ่งไตเล็กที่อยู่เหนือร่องแคม พลางบีบบี้จนมันสั่นระริกสู้มือ ร่องหลีบหลั่งน้ำออกมาจนเปียกหญ้าขนลู่ราบไปหมด

ขุนแผนเห็นว่าพร้อมแล้วก็ลุกขึ้นนั่งพลางประคองร่างของแก้วกิริยานั้น ให้ขึ้นมานั่งซ้อนหันหน้าเข้ามาหาขุนแผน มือของขุนแผนนั้นประคองควยอาคม ให้จ่อตรงกับรอยแยกของแก้วกิริยา พลางให้แก้วกิริยาค่อยห่มตัวลงมา ให้ปากร่องหลืบนุ่มนิ่ม ค่อยๆ กลืนควยอาคมเข้าไปทีละน้อย จนหมดสิ้น แก้วกิริยาสูดปากเบาๆ ด้วยความเสียวที่ควยอาคมแทรกเข้าไปในร่องรูสดใหม่ของหล่อน ด้วยฤทธิ์ของควยอาคมแก้วกิริยานั้นเสียวซ่านจนแทบทนไม่ได้ ต้องหลั่งน้ำเสียวออกมาราดรดควยอาคมจนเป็นมันวาว

ขุนแผนนั้นจับร่างของแก้วกิริยาให้ควบขับขึ้นลงบนร่างของเขา พลางก้มหน้าลงดูดดื่มความหวานจากปลายยอดติ่งเต้าที่กระเพื่อมขึ้นลง แก้วกิริยานั้นมีความรู้สึกประดุจล่องลอยขึ้นสู่ห้วงเวหาอันสวยงาม สองแขนนั้นคล้องไว้ที่คอของขุนแผน พลางแอ่นสองเต้าสลับกันให้ขุนแผนได้ดูดดื่มความหวานจากปลายปทุมถันของนางอย่างถนัดถนี่ สะโพกนั้นก็กระแทกขึ้นลง พลางบดส่ายวนอย่างเสียวซ่าน น้ำเสียวที่ไหลซ่านออกมาจนเปียกหน้าของขุนแผน มีเสียงดังเจ๊าะแจ๊ะไม่หยุดหย่อน

สักพักสะโพกของแก้วกิริยาก็บดกับหน้าขาของขุนแผนถี่ขึ้น ถี่ขึ้น ใบหน้าแหงนหลับตาพริ้ม ปากอ้าน้อยๆ ขุนแผนนั้นเล่า ก็รีบจับเอวของแก้วกิริยากระแทกบดวนกับหน้าขาของเขาถี่ขึ้น ถี่ขึ้น จนแก้วกิริยาร้องครางออกมาเบาๆ ร่างงามแอ่นเกร็ง กระตุก พลางซบฮวบมากับร่างของขุนแผน ขุนแผนก็จับร่างของแก้วกิริยานอนลงกับพื้น พลางจับควยอาคมจ่อเข้ากับร่องรูที่ฉ่ำเยิ้มของแก้วกิริยา พลางดันพรวดเข้าไปทีเดียวจนมิดด้าม พลางกระเด้าถี่ยิบ จนในที่สุดก็กระฉูดพุ่งน้ำกามสีขาวขุ่นข้นเข้าไปในร่องรูของแก้วกิริยา จนท่วมท้นออกมานอกรู ส่งให้แก้วกิริยาขึ้นสวรรค์ตามไปอีกครั้งอย่างติดๆ แล้วทั้งสองร่างก็ประคองกอดกันแนบแน่นจนแทบจะเป็นร่างเดียวกัน

ขณะเดียวกันนั้นที่เรือนของจมื่นศรีที่ขุนแผนได้มาพำนักอยู่ในระหว่างที่อยู่เมืองหลวงนั้น นางวันทองที่ขณะนี้ท้องแก่ใกล้จะคลอดนั้น ก็กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อจะได้เยี่ยมขุนแผนผัวรักที่ในคุก เพื่อให้ขุนแผนนั้นได้ประหลาดใจสักครั้งหนึ่ง ก่อนที่นางจะคลอดลูกแล้วคงยากจะมีโอกาสที่จะได้ไปเยี่ยมผัวรัก นางวันทองจัดเตรียมบรรดาอาหารและผ้าห่มกับของแห้งหลายอย่างเพื่อให้ผัวรักได้สุขสบายสักที เมื่อจัดของเสร็จนางวันทองก็บอกให้บ่าวชายและบ่าวหญิง ช่วยกันแบกข้าวของต่างๆ เหล่านี้ เพื่อเตรียมไปเยี่ยม

เมื่อนางวันทองลงจากเรือนและออกเดินทางพร้อมบ่าวหญิงชาย ไปพ้นหน้าบ้านไม่ไกลเท่าใด ก็ปรากฏร่างชายฉกรรจ์หลายคน ปิดหน้าปิดตา ควงดาบเข้ามาฟันบ่าวหญิงชายของนางจนด่าวดิ้นไปหมด สร้างความตกใจกลัวแก่นางวันทองยิ่งนัก เหล่าชายฉกรรจ์เหล่านั้นเมื่อสังหารบ่าวของนางแล้ว ก็ย่างสามขุมเข้ามาหานางพลางเงื้อดาบในมือขึ้น นางวันทองก็ล้มลงสลบไป

เมื่อนางวันทองได้สติตื่นขึ้นมา ก็รู้ว่าตนเองยังไม่ได้เสียชีวิต แต่กลับถูกนำมานอนยังห้องห้องหนึ่งที่มีการตกแต่งที่คุ้นตาของนางอย่างยิ่ง ห้องนี้เป็นห้องนอนที่นางและขุนช้างได้เคยอยู่ร่วมกันมาเมื่อครั้งก่อนที่ขุนแผนจะมานำนางไป นางวันทองได้คิดแล้ว ก็รู้สึกกลัวอย่างยิ่งที่ตนเองกลับมาอยู่ในเงื้อมมือของขุนช้างอีกครั้ง และรู้สึกกังวลอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยของนางที่อยู่ในท้อง กลัวเขาจะได้รับอันตราย เมื่อนางคิดถึงลูกแล้วจิตใจก็สงบลงมากมายนัก ด้วยนางยังมีภาระที่ต้องทำมากมายเพื่อลูกของนาง ต่อให้ขุนช้างจะมาไม้ไหนนางจะต้องกัดฟันรับมันไว้ เพื่อลูกน้อยของนางเอง

ประตูห้องนั้นเปิดออกช้า เผยให้เห็นร่างอ้วนเตี้ยหัวล้านเลี่ยน เดินยิ้มแย้มเข้ามาในห้อง เขาคืนขุนช้างนั่นเอง ขุนช้างนั้นใช้คนของเขาไปเฝ้ายังหน้าบ้านของจมื่นศรีทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่วันที่เขาได้ทราบข่าวว่าขุนแผนนั้นต้องอาญาของสมเด็จพระพันวษา เพื่อต้องการที่จะช่วงชิงเอาตัวของนางวันทองกลับมาเป็นของเขาอีกครั้งหนึ่ง และบัดนี้เขาก็ได้สมหวังแล้ว

เมื่อนางวันทองเห็นขุนช้างเดินยิ้มเข้า นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าขุนช้างนั้นต้องการอะไร นางจึงยิ้มตอบกับขุนช้าง สร้างความยินดีแก่ขุนช้างที่รู้สึกกังวลว่า นางวันทองจะยังรักเขาอยู่หรือไม่ ขุนช้างนั้นรีบกระวีกระวาดก้าวเดินมานั่งบนเตียงพลางตระกองกอดร่างของนางวันทองไว้ในอ้อมกอดแนบแน่น พลางระดมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าของนางวันทอง

“น้องวันทองจ๊ะ พี่ช้างคิดถึงน้องตลอดเวลา พี่ช้างไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสเจอกันน้องวันทองอีก พี่ช้างคงต้องตายแน่ๆ ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น น้องวันทองคงจะยกโทษให้แก่พี่ช้างแล้วใช่ไหมจ๊ะที่ใช้คนไปเอาตัวของน้องวันทองมา ขอให้น้องวันทองเข้าใจความรักที่พี่ช้างมีต่อน้องเถิดนะจ๊ะ ให้พี่ช้างตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้น้องวันทองไปอยู่กับคนอื่น””

วันทองได้ฟังคำพรรณนาของขุนช้างก็รู้สึกปลาบปลื้มใจน้อยๆ ด้วยเข้าใจถึงความรู้สึกของขุนช้างที่มีต่อนาง แต่นางเองก็ต้องการใช้ความรู้สึกนี้ให้เป็นประโยชน์ นางจึงลูบเบาๆ ไปบนหัวล้านเลี่ยนของขุนช้าง แล้วกล่าว
““น้องเข้าใจจ๊ะพี่ช้าง แต่พี่ช้างจ๊ะตอนนี้น้องวันทองกำลังตั้งท้องลูกของเรา พี่ช้างคงจะเตรียมตัวสำหรับลูกของเราดีไหมจ๊ะ เพื่อลูกของเราจะได้มีชิวิตที่มีความสุข ดีไหมจ๊ะ””
ขุนช้างได้ฟังคำของวันทอง ก็นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ แต่แล้วเขาก็กระโดดผลุงออกนอกประตูห้อง พลางตะโกนลั่นบ้าน
““เฮ้ย พวกมึง กูจะมีลูกแล้วโว้ย ได้ยินหรือเปล่า กูจะมีลูกแล้วโว้ย ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า””
ขุนช้างวิ่งร้องพลาง หัวเราะพลาง ตะโกนพลาง บอกทุกคนในบ้านด้วยความดีใจ สร้างความตื้นตันในหัวใจของนางวันทองอย่างยิ่งถึงความดีใจที่ขุนช้างมี

ขุนช้างวิ่งพลาง ร้องพลาง แล้วก็กลับมาที่ห้อง พลางคุกเข่าลงกอดครรภ์ของนางวันทองพลางร้องไห้ และหัวเราะสลับกันไปเหมือนดั่งคนบ้า สร้างความยินดีและเสียใจก่อตัวกันสับสนในห้วงดวงใจของนางวันทองยิ่งนัก จากวันนั้นผ่านไปไม่นาน ก็ถึงวันที่นางวันทองเจ็บท้องจะคลอดลูก สร้างความวุ่นวายแก่เรือนของขุนช้างยิ่งนัก ขุนช้างนั้นเดินพล่านไปมาบนเรือน ด้วยส่งบ่าวไปตามหมอตำแยตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่มาอีก (ไอ้ที่นานของมันน่ะ คือบ่าวเพิ่งวิ่งลงจากเรือนไปเดี๋ยวเดียวแหละ)

ขุนช้างได้ยินเสียงร้องครวญครางของนางวันทองในห้องแล้วยิ่งรู้สึกเป็นห่วง จึงลงจากเรือนไปยืนรอยังที่ลานหน้าบ้าน พลางเดินพล่านไปมา ปากก็บ่นพึมพำเหมือนดังกับคนบ้า เมื่อเห็นบ่าวจูงหมอตำแยมาถึง ก็ตะโกนด่าบ่าวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พลางวิ่งเข้ามาจูงมือของหมอตำแยได้ก็ลากหมอตำแยบินเข้าประตูเรือนไปถึงยังหน้าห้องของนางวันทอง เล่นเอาหมอตำแยร้องด่าขุนช้างสนั่นหวั่นไหว ด้วยลากตัวแกผ่านบันไดเรือนมา จนขาแข้งของแกถลอกปอกเปิกไปหมด แต่ขุนช้างไม่สนใจ ลากแกเข้ามาในห้อง แล้วกำลังจะปิดประตูห้อง ก็ถูกตีนของใครก็ไม่รู้ยันตัววิ่งหัวทิ่มออกมา พลางประตูห้องก็ปิดตามหลังดังปัง

ขุนช้างลุกขึ้นได้ก็ตะโกนด่าหมอตำแยดังสนั่นหวั่นไหว ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านไปหมด ขุนช้างเมื่อถูกถีบออกนอกห้อง ก็นั่งๆ เดินๆ ไปมาอยู่หน้าห้อง พลางฟังเสียงร้องของนางวันทองจากในห้อง สองตาก็คลอไปด้วยน้ำใสๆ ด้วยความเป็นห่วงนางวันทอง จวบจนได้ยินเสียง อุแว้แรกออกมา เขาก็กระโดดตัวลอย พลางวิ่งเข้ามาทุบประตูห้องดังสนั่นหวั่นไหว

““ได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย หา ตอบกูหน่อย หาได้ยินไหม”?”
““ได้ผู้ชายจ้า พ่อขุนช้าง แล้วช่วยๆ หุบปากหน่อยได้ไหม? แม่เด็กเขาจะได้พักผ่อน””
ขุนช้างได้ฟังดังนั้นก็ไม่ฟังเสียง วิ่งร้องแหกปากตะโกนก้องไปทั่วไปบ้านด้วยความดีใจ ทำให้บรรดาบ่าวไพร่ที่เห็นพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆ กัน กับความดีใจของขุนช้าง และนั่นคือการกำเนิดของหนูน้อย ““พลายงาม”” ที่นางวันทองได้ตั้งชื่อตามชื่อของพ่อบังเกิดเกล้าของเขา ที่จะเกิดมาเพื่อสร้างบทบาทให้แก่เรื่องนี้อีกมากมายนัก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น