วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เดชคัมภีร์นางฟ้า( คัมภีร์มังกรหยก ) 6 ตอน ค่ายกลกระบี่ง่อไบ๊





     กังปังพอได้ฝึกซ้อมสิบแปดฝ่ามือสยบมังกรเที่ยวหนึ่งก็เข้าใจในทุกระบวนท่าอย่างปรุโปร่ง ตอนนี้มันเริ่มรู้ถึงพลังต่อสู้และวรยุทธของตัวเองชัดเจนขึ้นแล้ว หลังจากทำการต่อสู้ แต่พอมองเห็นค่ายกลกระบี่ของง่อไบ๊ที่ล้อมรอบมันอย่างแข็งขันเช่นนี้ มันก็ไม่อาจชะล่าใจ เพราะเมื่อสักครู่ที่มันได้ประลองกับเพลงกระบี่คุณธรรมจากนางชีว่านฃิงกับเซี่ยวหลิงจึงเห็นความลึกล้ำของกระบี่ง่อไบ๊ยิ่ง เพราะขนาดแค่สองคนยังสามารถต้อนให้มันจนมุมได้

   ตอนนี้ค่ายกลกระบี่ที่ก่อตั้งขึ้นมาเกินร้อยกว่าคนคงบีบให้มันสยบได้เป็นแน่
   “ ศิษย์ง่อไบ๊ทุกคนจงฟังคำสั่งข้า ”

   เสียงซือไท้ตันหยงพูดขึ้นด้วยเสียงดังกังวานเพราะใช้พลังลมปราณช่วยพูดออกมาราวกับพูดด้วยเครื่องขยายเสียงทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ

   “ พวกเจ้าอย่าได้ถือว่าเป็นการใช้พวกมากเอาชัย หน้าที่พวกเจ้าต้องช่วยกันสยบคนผู้นี้ให้ได้เพราะศพอาจารย์ทวดอึ้งย้งเป็นสิ่งล้ำค่าของง่อไบ๊ที่ไม่อาจประเมินได้ ต้องจับกุมผู้นี้ให้นำศพอาจารย์ทวดอึ้งย้งคืนมา ต้องตั้งใจอย่าให้มันหนีไปได้ ใครทำค่ายกลแตกต้องรับโทษ พวกเจ้าอย่าได้ลุกลนทำตามที่เคยฝึกตามขั้นตอน ตามคำสั่งข้าก็จะเอาชัยได้ “
   “ ศิษย์ทราบดีแล้วคะ น้อมรับคำสั่งท่าน ”
  
   เหล่านางชีต่างพูดรับโดยพร้อมเพรียงกัน
   “ เริ่มได้ ”
   " ดาวเดือนเคลื่อนคล้อยนภา "

   สิ้นเสียงแม่ชีตันหยงรองเจ้าสำนักง่อไบ๊ เหล่านางชีศิษย์ง่อไบ็ทุกคนต่างวิ่งวนเคลื่อนหาเจ้ากังปังพร้อมเสือกแทงไปที่กังปังทีละคน กังปัง ต้องยกฝ่ามือขึ้นโต้ตอบด้วยกระท่าสิบแปดฝ่ามือสยบมังกร กระบี่แต่ละเล่มที่แทงเข้ามาราวกับเครื่องจักรที่หมุนวนแทงกระบี่เข้าออกโดยมิปาน พอมันจะสำแดงเดชใช้พลังฝ่ามือตีโต้ เหล่านางชีต่างก็ถอยออกไปจนหมด เป็นมันต้องฟาดฝ่ามือใส่อากาศ ว่างเปล่า เสียแรงโดยใช้เหตุ

   " หยาดพิรุณโปรยปราย "

   คราวนี้มันเห็นค่ายกลกระบี่แปรรูป เหล่านางชีที่อยู่ด้านหลัง กลับกระโดดข้ามแถวหน้าขึ้นมาระดมแทงกระบี่ใส่
กังปังทำได้เพียงเคลื่อนย้ายท่าเท้าหลบหลีก กระบี่เล่มแล้วเล่มเล่าที่พุ่งเข้ามาหาราวกับหยาดฝนที่หล่นมาจากฟ้าเข้าหาจริงๆ มันจึงทุ่มฝ่ามือเข้าหาในท่ามังกรพิโรธ

   แต่เหล่านางชีเหมือนเข้าออกอย่างรวดเร็ว กลับหายไปอยู่ในกระบวนดั่งเดิม
   “ ถ้าเป็นอย่างนี้ข้าต้องหมดแรงก่อนแน่ ค่ายกลกระบี่แน่นหนาอย่างนี้ต่อให้มีปีกก็ยากจะหนี ”

   กังปังรำพึงกับตัวเอง ปีกบินหนีหรือ พอคิดได้ดังนั้น มันเลยโผทยานขึ้นบนท้องฟ้า ราวเหาะเหิน เหล่านางชีถึงกับตลึง เพราะไม่เคยพบเห็นว่าใครจะสามารถกระโดดได้สูงถึงเพียงนั้น แสดงถึงวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ

   “ พวกเจ้าอย่าได้ ลนลาน แปรขบวนเป็นเกราะเพชร เหม่ยฮั้ว เหม่ยเฮียง นำขบวนแปรไปทางตะวันตก เดี๋ยวมันก็ต้องตกลงมา ”

   กังปังตั้งใจกระโดดหนีให้พ้นจากวงล้อม มิคาดพอตกลงมายังตกมาในกลางวงล้อมอยู่ดี มันทดลองโดดหนีอีกหน กลับตกลงมาที่เดิม ทำให้มันมึนงง

   “ ค่ายกลกระบี่ของลูกซึ้ยงลึกล้ำยิ่ง ดัดแปลงมาจากค่ายกลของเกาะดอกท้อ ”
   “ เอ๊ะ เสียงผู้ใดพูดในหัวเรา ”

   กังปังยังไม่ทราบความว่าตอนนี้ที่มันมีพลังวรยุทธสุดยอด เพราะได้มาจากอาจารย์อึ้งย้งที่มันไปล่วงเกินบัดสี
และไม่เพียงแต่วรยุทธ ผลข้างเคียงมันคือ ได้รับความทรงจำและสติปัญญาของอึ้งย้งติดมาด้วย สิ่งที่อึ้งย้งรู้อะไรมา มันจึงรู้ด้วย กังปังหลังจากมันทดลองกระโดดหลบหลีสองครั้งไม่ประสบผล มันจึงยืนหลับตานิ่งกลางค่ายกล
เพื่อสงบฟังความคิดที่เกิดขึ้นมาในหัวของมัน

    เสียงของอึ้งย้งดังขึ้นมาว่า
    ค่ายกลเกาะดอกท้อ บิดา( อึ้งเอี้ยะซือ )ซึ่งเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลเป็นผู้สร้างขึ้น โดยดัดแปลงมาจากค่ายกลของท่านจูกัดเหลียง( ขงเบ้ง )ลักษณะเป็นดั่งค่ายกลซ้อนค่ายกล แบ่งเป็น 8 ประตู( หาอ่านเพิ่มเอา จาก พิศวาสมังกรหยก ที่แต่งขึ้นก่อนหน้า )ทุกค่ายกลจะมีลักษณะคล้ายกันคือ มีความสลับซับซ้อนสร้างมายาภาพ เพื่อกักให้คู่ต่อสู้ติดในค่ายกล ใช้กำลังจนหมดแรง เพราะถูกหมุนเวียนเข้าต่อสู้ ถึงจะเป็นทั้งกองทัพหากติดในค่ายกลก็จะอ่อนกำลังแพ้ไปเอง แต่จุดที่เหมือนกันของทุกค่ายกลที่สร้างขึ้น ผู้สร้างจำต้องสร้างประตูหลัง( ประตูลับ )ซ้อนเอาไว้ เพื่อใช้เป็นทางเดินเข้าออกฉุกเฉิน ในกรณีที่ผู้สร้างต้องการเข้าออกเพื่อไปแก้สถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นมา ลูกเซึ้ยงเจ้าจะทำอย่างไรเพื่อซ่อนประตูลับ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้

   ระหว่างที่กังปังยินหลับตาคิด ทั้งขบวนกระบี่ก็กลับหยุดตามไปด้วย เพราะรอคำสั่งจากรองเจ้าสำนักอยู่ แม่ชีตันหยงไม่รู้ว่าเจ้ากังปังจะมาไม้ไหน เลยรอดูท่าที

   “ หรือมันจะยอมจำนน เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่ คุกเข่ายอมให้จับกุมแต่โดยดี ”

   กังปังลืมดาขึ้นยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา
   “ ไม่ยอม ใครว่าข้ายอมแพ้ละ ”
   “ งั้นดีละ ดาวเดือนเคลื่อนคล้อย ”

   อีกครั้งที่ขบวนกระบี่แปรรูปเป็นวงกลมหมุนเข้าหากังปัง มันจึงหลบหลีกป้องกันตัวแต่ไม่ได้ตีโต้กลับ อีกเดียวก็หยาดพิรุณโปรยปรายอีกรอบใช่ไหม ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด

   " หยาดพิรุณโปรยปราย " เสียงแม่ชีตันหยงก็สั่ง จริงๆ

   เจ้ากังปังหลบหลีกได้คล่องแคล่วว่องไวกว่ารอบแรก
   “ ข้ารู้แล้ว ที่อันตรายที่สุดคือที่ปลอดภัยที่สุด ประตูลับต้องซ่อนอยู่ในที่นั้นแน่ “

   ฟ้าคำรามยามค่ำ กังปังพูดขึ้นในใจ แต่กลับผิดคาดแม่ชีตันหยงกลับพูดขึ้นว่า
   " จันทร์กระจ่างกลางสมุทร " เหวอ...ไม่ใช่แฮะ กังปังที่กำลังกระโดดลอยขึ้น

   กลับถูกเหล่านางชีกระโดดตามติดประสานกระบี่ จนเกือบฟันถูกข้อเท้ามัน แต่อาศัยวิชาตัวเบาที่สูงกว่าหลบไปได้หวุดหวิด แต่กลับตกลงมามายืนหยุดอยู่เบื้องหน้านางชีวัยรุ่นผู้หนึ่งในระยะกระชั้นชิดใบหน้าแทบจะติดกัน ต่างสูดลมหายใจที่ออกมาของกันและกันได้ กลิ่นลมหายใจของอิสตรีช่างหอมจรุงยิ่ง จริงซิถึงเป็นนางชีก็เป็นสตรีนางหนึ่ง กังปังคิด โรคหื่นกามของมันกำเริบอีกแล้วอย่างช่วยไม่ได้

   นางชีรูปนั้นถึงกับมองตาโตเพราะไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนใดติดขนาดนี้มาก่อนเพราะอยู่ในระยะประชิดเกินไป นางจึงไม่สามารถใช้กระบี่ ขณะจะผละถอยมากลับถูกมือของเจ้ากังปังดึงศรีษะนางเข้าไปจูบปากจิ้มลิ้มโดยไม่ได้ตั้งตัว เหล่านางชีต่างตกใจไม่คิดว่าเจ้ากังปังจะกล้าทำสัปดนแบบนี้กับผู้ถือบวชเป็นนางชีได้ เจ้ากังปังพอถอนจูบนางชีรูปนั้นก็หันไปกอดนางชีอีกรูปที่อยู่ข้างๆ จนนางร้องว้ายอย่างตกใจ แก้มใสกลับโดนเจ้ากังปังจอมทะลึ่งจูบไปฟอด อย่างไม่รู้ตัว

   เจ้ากังปังก็อาศัยความว่องไวไปคว้ากอดนางชีอีกรูปทำเช่นเดียวกัน เหล่านางชีส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีพรหมจรรย์ไม่เคยต้องมลทินจากชายใด สุดแสนจะอับอาย ต่างตลึงพึงเพริศ ฃั่วพริบตาเดียวเหล่านางชีต่างถูกเจ้ากังปังกอดจูบล่วงเกินไปเจ็ดแปดคนแล้ว เหตุการณ์ในค่ายกลกระบี่กลับตาละปัตร เหล่านางชีที่พึ่งโจมตีเข้ามาเลยต่างวิ่งหนี ด้วยกลัวกังปังกอดจูบเอา แม่ชีตันหยงเห็นเหตุการณ์แปรเปลี่ยนเหนือคาดหมายแก้ไขไม่ทัน
เจ้ากังปังวิ่งไล่กอดนางชีคนนั้นที คนนั้นที จนค่ายกลกระบี่วุ่นวายไปหมดเพราะกลัวโดนกอด

   ต่างวิ่งหนีลืมต่อสู้ไป มีนางชีรูปหนึ่งวิ่งหนีไม่ทันคล้ายรู้ชตากรรม กับหลับตาพริ้มยื่นปากให้เจ้ากังปังจูบซะงั้น
แม่ชีตันหยงแสนเดือดดาล ร้องสั่งลูกศิษย์ว่าอย่าแตกตื่นลนลาน

   “ พวกเจ้าต่างมีกันตั้งมากมาย ทั้งมีมือเท้าดรรชนี ศัตรูประชิดตัวใช้กระบี่ไม่ได้ ก็ใช้นิ้วจิ้มตามันก็ได้ ”

   เหล่านางชีค่อยตั้งสติได้ค่อยรวมกำลังมาใหม่ เป็นเหมยฮั้วศิษย์เอกของเจ้าสำนักอุงหลิงที่ตั้งตัวได้ก่อนใช้กระบี่เข้าสกัดเจ้ากังปังไม่ให้ก้มจูบนางชีที่หลับตาพริ้มคอยจูบจากเจ้ากังปังออกมา กังปังพลิกตัวหลบเอามือหนึ่งคว้ามือที่ถือกระบี่ของแม่ชีเหมยฮั้วได้

   อีกมือหนึ่งจับเอวนางพาหมุนออกคล้ายทั้งคู่กำลังเต้นรำกัน
   “ ว้าว นางชีง่อไบ๊ นี้สวยๆหลายคนแฮะ คนนี้ก็สวยพอๆกับแม่ชีว่านชิงเลยแฮะ ขอกอดให้ชื่นใจหน่อยเถอะแม่ชีคนสวย ”

   นางชีเหมยฮั้วสุดกระอักกระอ่วนด้วยเสียท่าเจ้ากังปัง นางชีอื่นจะเข้ามาก็ไม่ทัน กังปังพาเหมยฮั้วหมุนตัวเข้าออกอย่างสนุกไม่กลัวบาปกรรมที่ทำกับนางชี พลันสายตามันก็แลเห็นแม่ชีว่านชิงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง

   “ เจอแล้ว ประตูลับอยู่ที่นั้นเอง ” ลูกเซี้ยงเจ้าจะซ่อนประตูลับอย่างไร.ข้าคงต้องใช้ยอดฝีมือกำกับอยู่ทุกประตู ผู้มีฝีมือสูงสุดต้องอยู่เฝ้าประตูลับเพื่อยากแก่การให้โจมตีเป็นกำแพงป้องกันอีกชั้น

   ใช่แล้วนางต้องเป็นผู้มีฝีมือดีที่สุดของง่อไบ๊แน่ ประตูลับข้ากำลังจะไปหาเจ้า คิดได้ดังนั้นเจ้ากังปังเลยตรงเข้าหาแม่ชีว่านชิงแถมยื่นปากทำท่าจุ๊บๆส่งให้นางมาแต่ไกลนางมาแต่ไกล ว่านชิงต้องสบัดร้อนสบัดหนาวเห็นท่าไม่ดีแน่เดี๋ยวมันคงเข้ามาจูบนางแน่ เห็นเหม่ยฮั้วเอามือเช็ดแก้มนางทำท่าจะร้องไห้ คงโดนมันจูบแก้มไปอีกคนกระมั่ง นางคิดในใจ จะว่ากันตามจริงเหม่ยฮั้วซึ่งเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักอุงหลิงทั้งรูปร่างหน้าตา วัยและวรยุทธต่างสูสีกัน

   แต่ที่ว่านชิงรับตำแหน่งสำคัญเป็นเพราะนางเป็นศิษย์รักของแม่ชีตันหยงซึ่งควบคุมการฝึกซ้อมค่ายกลกระบี่จึงลำเอียงได้รับตำแหน่งนี้ ที่แม่ชีเหม่ยฮั้ว เสียทีต่อกังปังโดบง่าย เพราะเหมือนเจ้ากังปังยิ่งต่อสู้ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนว่านชิงก็ตกใจเพราะไม่เคยเห็นใครที่มีพัฒนาการฝีมือขึ้นมาได้ในเวลารวดเร็วเช่นนี้

   แต่ก่อนที่กังปังจะเข้าถึงตัวนางก็ปรากฎร่างแม่ชีตันหยงรองเจ้าสำนักง่อไบ๊เข้ามาขวางยกรองเท้าให้มันจูบแทน
   “ เจ้าลามก ”

   กังปังลืมตาขึ้นตัวเองกำลังจูบรองเท้า ตรงหน้าเป็นรองเจ้าสำนักง่อไบ๊แทน ต้องถอยหลังออก
   " เหวอ ” เหล่านางชีต่างรู้สึกขบขันทั้งอับอายเจ้ากังปังระคนกัน
   “ เจ้าช่างบังอาจมาทำลวนลามนางชีในสำนัก ต้องฆ่าให้ตายซะแล้ว ”

   ซือไท้ตันหยงแสนเดือดดาล ควงกระบี่เป็นประกายใช้ฟาดฟันเจ้ากังปังอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้ทั้งวงต่างชมการประฝีมือระหว่างรองเจ้าสำนักง่อไบ๊กับกังปังอย่างตื่นเต้นจนลืมตั้งค่ายกลเพราะไม่มีคนควบคุม แม่ชีตันหยงใช้กระบี่ขั้นสูงของง่อไบ๊ส่วนกังปังใช้สิบแปดฝ่ามือสยบมังกร มองดูต่อสู้กันอย่างสูสีดูไม่ออกว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำ
ขณะนั้นมีแม่ชีอีกขบวนหนึ่งเข้ามา ทุกคนต่างเอามือคาราวะหลีกทางให้ ในขบวนนี้ที่เด่นคือ เจ้าสำนักคนก่อน แม่ชีเฒ่าซือจื้อเหนียง ที่มีศิษย์ฆารวาสประคองมาด้วยสองคน คือ เจียวเสี่ยวจูและเจียวเสี่ยวเหม่ย

   สองพี่น้องที่ถูกจัดเป็นสิบโฉมสคราญแห่งยุคเช่นกัน ฉายาสองดรุณีง่อไบ๊ และเจ้าสำนักคนปัจจุบัน
แม่ชีอุงหลิง ที่เดินทางเข้ามาสมทบ กังปังกำลังต่อสู้อยู่ เห็นมีคนเดินเข้ามาเพิ่มจึงปรายตามองไปกลับสะดุดที่สองดรุณีที่เดินเข้ามา จึงกระโดดลอยตัวสลับด้านกับแม่ชีตันหยงเพื่อมองให้ชัด เจ้ากังปังถึงกับตลึงในความสวยหยาดเยิ้มของสองดรุณีง่อไบ๊ ที่จัดเป็นโฉมสคราญแห่งยุค

   โรคเจ้าชู้หื่นในกามารมณ์มันกำเริบขึ้น
   “ ว้าว สวยๆ สวยกว่าแม่ชีว่านชิงซะอีก ”

   ว่านชิงและเหล่านางชีที่ถูกกังปังไล่กอดจับ พบว่าเจ้ากังปังเอาแต่เหลียวมองสองดรุณีง่อไบ๊ไม่วางตาให้นึกหมั่นไส้ยิ่ง รวมถึงแม่ชีตันหยงรองเจ้าสำนักง่อไบ๊ที่เห็นเจ้ากังปังทำเหมือนว่านางไม่อยู่ในสายตาต้องกราดเกรี้ยวนัก นางจึงต้องการแสดงพลังฝีมือให้อาจารย์ประจักษ์ว่าใครกันแน่สมควรเป็นเจ้าสำนักง่อไบ๊และไม่ต้องการยืดเยื้อการต่อสู้

   เลยต้องการวัดพลังฝีมือกับเจ้ากังปังให้รู้ดำรู้แดงกันไป จึงเก็บกระบี่
   “ เจ้ามีสิบแปดฝ่ามือสยบมังกร ข้าขอทดสอบหน่อยว่าใครจะเหนือกว่ากัน ”

   กังปังกำลังเหม่อลอยชมโฉมสองดรุณีง่อไบ๊อยู่ดีๆ เกิดอาการปวดศรีษะขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ แม่ชีตันหยงรวบรวมพลังใส่ฝ่ามือเต็มพิกัด กระโดดตัวลอยขึ้นสูงเตรียมโจมตีพลังฝ่ามือใส่กังปังจากด้านบน กังปังมองไปเกิดอุปาทานขึ้นมาว่า แม่ชีตันหยงเป็นก้อนหินขนาดมหึมากำลังพุ่งชนตน ตกใจ รวมพลังใส่ฝ่ามือทั้งสอง
ปั้นเป็นกระสุนขนาดมหึมาในใจกลางฝ่ามือ

   แม่ชีเฒ่าเห็นต้องตกใจ กระโดดลงมายังลานประลองพร้อมกับสองดรุณีง่อไบ๊และเจ้าสำนักในพริบตา ตะโกนเสียงหลง
   “ ตันหยงอันตรายยิ่ง ” ขาดคำแม่ชีตันหยงได้ฟังแต่ไม่อาจยั้งมือได้ทันแล้วปล่อยพลังฝ่ามือทั้งมวลลงมาที่กังปัง

   ทั้งสี่เห็นไม่รอช้ารีบยิงพลังฝ่ามือออกมาเช่นกัน ขณะดียวกับที่กังปังจะปล่อยพลังฝ่ามือขึ้นปะทะ ก็รู้สึกมีคลื่นพลังอีกสามสายตรงเข้ามาด้านข้างเช่นกัน ในเวลาชั่วพริบตาที่เกิดขึ้นโดยสัญชาติญาณทั้งหมดเรียกว่าแทบจะเป็นแค่เศษเสี้ยววินาที ที่อันตรายเป็นตายยิ่ง กังปังใช้วิชาสองมือขัดแย้งของจิวแปะท้ง( ผู้เฒ่าเด็กดื้อ )แยกมือออกสองข้างทางหนึ่งขึ้นรับพลังฝ่ามือจากแม่ชีตันหยง

   อีกทางเข้าปะทะกับพลังฝ่ามือของเจ้าสำนักง่อไบ๊อุงหลิงและสองดรุณีง่อไบ๊ที่ช่วยกันยิงเข้ามาเพื่อสกัดพลังจู่โจมของกังปัง ที่จะทำร้ายแม่ชีตันหยง เสียงพลังฝ่ามือทั้งหมดปะทะกันดังราวระเบิดตูม ตูม สนั่นก็ไม่ปาน พลังสายแรกคือพลังจากฝ่ามือของแม่ชีตันหยงกับกังปัง
ที่ปะทะกันแต่พลังของแม่ชีตันหยงกลับไม่อาจสู้กับพลังฝ่ามือของกังปังได้เลยถูกดันกลับ

   แต่เป็นฝ่ามือของผู้เฒ่า ซือจื้อเหนียงที่เข้ามาสกัดให้พลังของกังปังให้เบี่ยงออกไปกระทบถูกป้ายด้านบนเสาทางเข้าประตูสุสานต้องพังทลายลงมาเป็นกองเศษหินในชั่วพริบตา แต่แม่ชีตันหยงยังมิวายโดนสเก็ดพลังทำให้ปลิวไปโชคดีที่ ว่านชิงกับเซี่ยวหลิงว่องไวต่างกระโดดไปรับนางลงมาอย่างปลอดภัย ส่วนอีกทางคือพลังฝ่ามือของกังปังที่ปะทะกับพลังงานจากแม่ชีอุงหลิงแม้จะเบากว่าก็ส่งเสียงการระเบิดดังออกมาเช่นกัน

   ทั้งกังปังแม่ชีอุงหลิงและสองดรุณีง่อไบ๊ต่างได้รับแรงกระเทือนจากพลังฝ่ามือที่ปะทะกันจนอวัยวะภายในปั่นป่วน แม่ชีเฒ่าแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดแต่พลังฝ่ามือนี้ก็ทำให้นางสูญพลังไปมากเช่นกัน ศิษย์ง่อไบ๊ถึงกับแตกตื่นเพราะไม่เคยพบพลังฝ่ามืออะไรที่จะรุนแรง ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน เรียกว่า อาจใช้ทำลายอาคารทั้งหลังลงได้ทีเดียว เป็นกังปังกลับฟื้นกำลังได้ก่อน เห็นยอดฝีมือของง่อไบ๊ยิ่งมายิ่งมีคนเก่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากอยู่ไปคงต้องโดนกรุ้มรุมเสียทีแน่

   อาศัยค่ายกลกระบี่ที่ยกเลิกไปโดยปริยายเพราะไม่มีคนควบคุมสั่งการ มันจึงตะบึงวิ่งหลบหนีออกไปทางนั้น ศิษย์ง่อไบ๊สกัดดไม่ทัน มีบางส่วนพยายามวิ่งไล่ตามจับแต่ด้วยวรยุทธและวิชาตัวเบาต่างกันจึงไล่ไม่ทัน

   “ ข้าไปก่อน ไว้วันหลังข้าค่อยกลับมากอดพวกท่านใหม่ ”

   เหล่านางชีต่างอับอายในความทะเล้นทะลึ่งของมัน ต่างต้องพากันกลับมารายงาน
   “ คาราวะท่านอาจารย์ศิษย์ไร้ฝีมือ ไม่อาจจับกุมคนร้ายได้ โปรดพิจารณาลงโทษด้วย ”
   “ เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว เพียงแต่คนร้ายเก่งเกินไป ทั้งรอบรู้วิชาหลายด้านอาจรวมถึงค่ายกลด้วย ”
   “ แล้วจะทำเช่นไรดี คนร้ายทำลายของล้ำค่าของสำนักเรา แถมมาอวดศักดา หากเรื่องนี้แพร่ไปมิทำให้ง่อไบ๊เราต้องเสียชื่อหรือ ”
   “ ชื่อเสียงตอนนี้ไม่สำคัญ เท่ากับมหันตภัยของบู๊ลิ้มที่กำลังจะเกิดแล้ว ”

   แม่ชีเฒ่ากล่าวต่อ
   “ คนร้ายเก่งกาจเหลือคณา เกรงว่าในตอนนี้แม้แต่เจ้าสำนักเสี่ยวลิ้มคนปัจจุบันก็ยังอาจไม่สามารถเทียบฝีมือคนนี้ได้ ”
   “ หา “ ทั้งแม่ชีตันหยง เจ้าสำนักอุงหลิง และสองดรุณีง่อไบ๊ที่อยู่ใกล้ๆต้องอุทานโดยพร้อมกัน

   แม่ชีเฒ่าจึงพูดต่อคล้ายรำพึง
   “ พวกเจ้าคงได้ยินคำกล่าวว่าในสมัยก่อนที่พูดถึง อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร( ความหมายคือ หากใครที่มีอำนาจ แต่หลงลำพอง คิดใช้อำนาจไปในทางทีผิด จะมีคนถือกระบี่อิงฟ้าออกมาปราบ )แต่ตอนนี้หากกลับเป็นว่าอิงฟ้า ปรากฎในทางตรงข้ามเสียเอง จะมีใครมาต่อกรได้เล่า ”

   ทุกคนต่างเงียบงัน
   “ ดูท่าคำทำนายของ เซี่ยวเซียงจือ กำลังเป็นจริงแล้วกระมัง "
   “ เซี่ยวเซียงจือ  ท่านหมายถึงหลวงจีนสัปดนที่ถูกกักอยู่ในวัดเส้าหลินรูปนั้นนะหรือ "

   อาจารย์เฒ่าไม่ตอบคำ หันไปทางสองอรุณีง่อไบ๊
   “ อาจู อาเหม่ย อาจบางที กาลข้างหน้าต้องอาศัยพวกเจ้าร่วมมือช่วยกอบกู้บู๊ลิ้มแล้ว ”

   ทั้งเจียวเสียวจู และเจียวเสียวเหม่ย ต่างงงกับคำพูดของอาจารย์เฒ่าโดยไม่รู้ท่านกล่าวถึงอะไร
   “ แต่ตอนที่ข้าปะทะกับพลังของชายคนนั้น กลับรับสัมผัสถึงพลังสีขาว( พลังความดี )ที่มีซ่อนอยู่ในนั้น หวังว่าข้าคงไม่ได้อุปาทานไปเอง "


แม่ชีเฒ่าแห่งง่อไบ๊ แก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือไง ถึงพูดจาไม่รู้เรื่อง
คำทำนายของ เซี่ยวเซียงจือ เป็นเช่นไร ไฉนสองดรุณีง่อไบ๊ ต่างก็เป็นผู้ร่วมกันกอบกู้บู๊ลิ้ม
คงต้องหาปริศนาคำตอบต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น