วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พิศวาสมังกรหยก 4 ตอนกำเนิดคัมภีร์มารนพเก้า





ตอน กำเนิดยอดยุทธพิศวาส  คัมภีร์มารนพเก้า

    ณ.กรุงพาราณาสี แคว้นชมพูทวีป มีเรื่องเล่ากันว่ามีมหาราชาองค์หนึ่งนาม บาบาตูตู้ มีความคิดที่จะมีพระชนม์ชีพเป็นนิรันดร์ จึงออกเดินทางไปหาตัวยาอายุวัฒนะ หรือวิธีที่จะทำให้มีชีวิตนิรันดร์ และได้หายสาบสูญไปในเทือกเขาหิมาลัย

    อีก 300 ปีต่อมา มหาราชาบูตู ผู้เป็นหลานเหลน ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน( ผู้ปกครองผู้มีอำนาจ ทุกยุคทุกสมัยต่างก็มีความเช่นเดียวกันหมดที่อยากจะมีชีวิตนิรันดร์จะได้ครองอำนาจได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ )

    มหาราชาบูตู จึงเรียกพระโอรส ที่เกิดจากชายาและสนมกำนัลทั้งปวงมาเข้าเฝ้า และประกาศว่าหากผู้ใดสามารถทำให้พระองค์มีชีวิตเป็นนิรันดร์ จะแบ่งสมบัติให้ครองราชย์ครึ่งหนึ่ง มีพระโอรสและธิดาอยู่คู่หนึ่งนามว่า  เจอรูดัลและรัศมีเทวี ซึ่งเป็นคู่หมั้นกัน ได้ออกเดินทางไปยังเทือกเขาหิมาลัย

    " เดี๋ยวก่อนย้งยี้ เจ้าว่า องค์ชายเจอรูดัล( เจอ- รู- ดัน เขียนเป็นคำอ่านภาษาไทยอาจดูพิกล พยายามออกสำเนียงแขกแล้วกัน ) และองค์หญิงรัศมีเทวี เป็นพี่น้องกันและเป็นคู่หมั้นกันด้วยหรือ "
    " ไม่ผิดหรอกท่านพี่ " อึ้งย้งบอก

    " เพราะประเพณีของทีนั่นต่างมีความเชื่อไม่เหมือนเรา ที่นั่นมีความคิดเรื่องวรรณะ ชาติตระกูลที่รุนแรง ว่า จะต้องสมรสในเผ่าพันธุ์ วรรณะที่เหมือนกัน หากไปสมรสกับต่างวรรณะกัน บุตรที่เกิดมาจะถือว่าเป็นจัณฑาล ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้นจึงนิยมให้บุตรหลานแต่งงานกันเอง "

*** ( เป็นเรื่องที่ผู้แต่งสมมุติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับประเพณีหรือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัยใดๆ หากชื่อตัวละคร สถานที่ ฯลฯ ไปสอดคล้องหรือเกี่ยวพันกับบุคคล สถานที่ ประเพณีที่มีอยู่จริงต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้*****
***ของไทยเราเอง ในสมัยหนึ่งก็เคยนิยมให้ญาติพี่น้องแต่งงานกันเอง จะเห็นว่ามีนิยายไทยเก่าๆ หลายเรื่องที่มีความนิยมแบบนี้ เข้าตำราเรือล่มในหนองเงินทองไม่ไปไหน เช่น เรื่องพลนิกรกิมหงวน พลยังแต่งงานกับนันทาซึ่งเป็นญาติมีศักดิ์เป็นพี่สาวด้วยซ้ำไป )**

   ก๋วยเจ๋งเป็นผู้เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี ฟังแล้วครุ่นคิดว่าเป็นเรื่องประหลาด อึ้งย้งพูดต่อ ว่า
    " ด้วยประเพณีที่แตกต่างกันนี้เอง จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อขัดแย้งในภายหลัง "

    อึ้งย้งหยุดกล่าวสักพักจึงเล่าต่อไปว่า
    " เมื่อทั้งคู่ได้เดินทางมาเทือกเขาหิมาลัย ได้บังเอิญพบกับโยคีผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า บาบาตูตู้ มหาโยคี ซึ่งเป็นอัยกาของทั้งสองที่หายสาบสูญไปเมื่อ 300 ปีก่อน "
    " ฮ่า ...นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า บาบาตูตู้มหาโยคีผู้นี้ มีอายุยืนถึง 300 กว่าปีนะหรือ "
    " อืม ตามตำนานที่ท่านพ่อบันทึกไว้ว่าอย่างนั้น "
    " มหาโยคีบาบาตูตู้ เล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนที่พระองค์เป็นกษัตริย์ได้มาแสวงหายาอายุวัฒนะจนมาถึงที่เทือกเขาหิมาลัย ได้เกิดหิมะถล่ม ทำให้ ขุนนางผู้ติดตามพลัดพรากล้มตายไปจนหมด เหลือพระองค์เพียงลำพัง อาจเป็นลิขิตแห่งฟ้า จึงทำให้พระองค์ได้พบกับเหล่าโยคีที่ซ่อนตัวให้เทือกเขาหิมาลัย พระองค์ได้สนทนากับเหล่าโยคี ที่ฝึกฝนตนที่เทือกเขานี้เห็นแต่ละคนมีอายุมากกว่าสองร้อยปีขึ้นไป เกือบทุกคน และหลักลัทธิของโยคีสอดคล้องกับเจตนาของพระองค์ จึงตัดสินใจนับถือบำเพ็ญตนเช่นโยคีทั้งหลายจนมีอายุจนถึงปัจจุบัน "
    " ยังงั้นเท่ากับพระองค์ได้ค้นพบ วิธีทำให้เป็นอมตะนิรันดร์แล้วซิ " ก๊วยเจ๋งพูดขึ้น
    " ยังไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ค้นพบวิธีบำเพ็ญตนภาวนา ทำให้ร่างกายสงบนิ่งจนสามารถมีอายุยืนกว่าปกติ แต่ในที่สุดมหาโยคีบาบาตูตู้ก็ต้องถึงแก่กรรม ตายจากโลกนี้ จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องต่อมาในภายหลังที่ข้าจะเล่าให้ฟังต่อไป "
    " อืม..." ก๊วยเจ๋งผงกศรีษะรับทราบ ฟังอึ้งย้งเล่าต่อ

****( หมายเหตุ ในชมพูทวีปสมัยก่อน มีศาสนาเกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งลัทธิต่างๆ โยคีไม่ใช่ศาสนาแต่จัดเป็นลัทธิหนึ่ง หลักของศาสนาอื่นๆ ล้วนแต่เชื่อในชาติภพ หรือการถือศีลทำบุญ เพื่อที่จะได้ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ หรือเกิดในชาติภูมิที่ดีขึ้น เช่น ศาสนาพราห์มเชื่อว่าคนเราเกิดมาจากพระพรหม ให้ทำบุญเพื่อที่ตายแล้วจะได้กลับไปอยู่กับพระพรหมอย่างเก่า ฯลฯ แต่ลัทธิโยคี มีหลักความเชื่อที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและนานที่สุด โดยไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บไม่ป่วย เพราะไม่รู้ว่าโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่ ดังนั้นควรจะหาทางทำอย่างไรให้อยู่ในโลกนี้ได้นานที่สุด โดยไม่มีทุกข์ ลัทธิโยคีเชื่อว่าลัทธิตนเป็นลัทธิที่ดีที่สุด เพราะสามารถหลุดพ้นทุกข์ในชาติภพนี้ได้ หากต้องเกิดมาใหม่ ก็มาดำเนินชีวิตแบบโยคีก็ไม่มีทุกข์ เรื่องโยคีหากผู้ใดสนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จาก หนังสือลัทธิโยคี ของหลวงวิจิตรวาทการ )

    " ทั้งสองต่างดีใจที่ได้พบมหาโยคี ที่เป็นอัยกาของตนและต่างก็คิดว่ามหาโยคีค้นพบวิธีเป็นอมตะแล้วเช่นกันจึงคิดจะเชิญมหาโยคีไปที่วังเพื่อไปพบมหาราชาบูตู และถ่ายทอดวิธีเป็นอมตะ แต่มหาโยคีปฏิเสธและบอกว่าที่จริงท่านก็ไม่สามารถเป็นอมตะนิรันดร์เพียงแต่สามารถรักษาสังขารให้ยืนยาวได้ แต่ถึงยังไงก็ตามสังขารร่างกายของท่านก็ยังคงล่วงโรยไปตามวัฏจักรสงสารอยู่ดี และจนบัดนี้ที่แม้ท่านยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ค้นพบหนทางที่หลุดพ้นอย่างแท้จริงจึงยังไม่ทิ้งสังขารไป "

    " แต่เนื่องจากมหาโยคีบาบาตูตู้ ได้จะบำเพ็ญเพียรมาหลายปีมีวิชามากมายจนถึงขั้นมีฤทธิ์ ตามความเชื่อของชาวชมพูทวีป เช่น สามารถเหาะเดินอากาศได้ ฯลฯ ( ส่วนของชาวตง้วนในสมัยนั้น คิดว่าสามารถบรรลุวิชาตัวเบาขั้นสูงสุด ) ทั้งสองจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาจากมหาโยคีตั้งแต่บัดนั้นจนทั้งสองก็สามารถบรรลุวิชาตัวเบาขั้นสูงจนได้ ดังที่พวกเราได้ประสบมา "
    " อืม..เท่าที่เจ้าเล่ามา มหาโยคีคนนี้ นับว่าบรรลุขั้นสุดยอดของวิชาทีเดียว "
    " เดี๋ยวท่านพี่ฟังข้าเล่าต่อไปจะยิ่งตระหนกมากกว่านี้"
    " อะ.." ก๊วยเจ๋งร้องออกมาอย่างสนใจ
    " มหาโยคีท่านนี้ เนื่องจากบำเพ็ญเพียรมานาน จึงมีพลังลมปราณที่ล้ำลึก และยังได้บันทึกตำราขึ้นมาสองเล่มด้วยกัน หนึ่งคือคัมภีร์กามาสูตร เกี่ยวกับการร่วมรักของชายหญิง "
    " เอ๊ะ ทำไมท่านโยคีถึงแต่งตำราเช่นนี้ออกมา "
    " ตามที่ข้าได้บอกแล้วว่า หลักของลัทธิโยคี คือการที่จะทำให้ตนสามารถมีชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ยังไงได้นานและเป็นสุขที่สุด ก่อนที่ท่านจะเข้าภาวะธรรมก็คิดว่า คนเราก็ต้องมีการกิน นอน และมีเพศสัมพันธ์กัน จึงคิดว่า การทำอย่างไรจึงจะมีเรื่องเพศที่เปี่ยมสุขจึงเขียนตำรา ท่าร่วมเพศขึ้น "

    " ของทุกอย่างในโลกย่อมมีทั้งคุณและโทษขึ้นอยู่กับผู้นำไปใช้ แม้ตำราเล่มนี้จะดูเป็นเรื่องลามกอนาจารแต่นำไปใช้ในทางที่ถูกก็เกิดคุณได้เช่นกัน "

    ก๊วยเจ๋งฟังแล้วก็พยักหน้าคล้อยตาม อึ้งย้งจึงกล่าวต่อ
    " ส่วนคัมภีร์อีกเล่มที่มหาโยคีเขียนดูว่าน่าจะเป็นคุณ แต่คนไปใช้ผิดก็ทำให้เกิดโทษขึ้นมาได้เหมือนกัน "
    " แล้วคัมภีร์อีกเล่ม นั้นคือคัมภีร์อะไรหรือ "
    " คัมภีร์นั้นคือ คัมภีร์วิชาพิสดารเก้าประการ "
    " คัมภีร์วิชาพิสดารเก้าประการ "
    " ใช่แล้ว หรือตอนหลังที่เรารู้จักกันว่า คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง( มารนพเก้า )
    " ไฮ้..คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเป็นท่านมหาโยคีเป็นผู้เขียนหรือ"
    " เดี๋ยวฟังข้าเล่าไปเรื่อยๆ ท่านก็จะกระจ่างเอง " อึ้งย้งกล่าว

    " ภายหลังที่ทั้งสองฝึกวิชาลอยตัวจนสำเร็จแล้ว ก็ไปพบคัมภีร์สองเล่มนี้ในขณะที่ท่านโยคีกำลังเข้าฌาณอยู่ ทั้งคู่เห็นเป็นวิชาประหลาดจึงนำมาทดลองฝึก องค์ชายเจอรูดันมีนิสัยเจ้าชู้และชื่นชอบในเรื่องเพศอยู่แล้ว จึงชักชวน นางรัศมีเทวีที่เป็นน้องสาวให้ทดลองในตำรากามาสูตรดู ทีแรกนางก็เอียงอายแต่ถูกรบเร้าหนักเข้าจึงไม่ขัดพี่ชายซึ่งเป็นคู่หมั้น ด้วยไกลจากบ้านเมืองและอยู่ลำพังกัน จึงมีอะไรกันตั้งแต่นั้นมา "
( เรื่องของกามารมณ์ใครยังไม่ได้ลองยังไม่เท่าไร แต่พอได้ลองแล้วยิ่งติดใจ ลองได้เสพสังวาสแล้วก็อยากจะได้ลองอีก )

    " เมื่อทั้งคู่ได้เสพกาม ก็ยิ่งมัวเมาในกามารมณ์โดยไม่รู้ตัว และได้ฝึกวิชาในคัมภีร์พิสดารเก้าประการซึ่งมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีอยู่หลายหลาก ทั้งคู่ได้ฝึกเอาวิชาแปลกๆในคัมภีร์ เช่น การเคลื่อนย้ายดวงจิต( สะกดจิต ) ,ระบำอสูร , การเปลี่ยนกระดูก( เปลี่ยนโฉม ) ฯลฯ ที่สอดคล้องกับเรื่องกามารมณ์จนมัวเมาไปผิดทาง ส่วนวิชาเดินลมปราณเปลี่ยนเส้นเอ็น ทั้งสองกลับฝึกไม่สำเร็จเพราะตอนนั้นทั้งคู่กำลังหมกมุ่นกับกามารมณ์จนไม่สามารถเข้าสภาวะธรรมได้ "
    " แล้วตอนหลังเป็นอย่างไรเล่า "
    " ภายหลังท่านมหาโยคีออกจากฌาณทราบเรื่องเข้าก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าตำราของตนจะทำให้ทั้งคู่เกิดมัวเมาในกามารมณ์ จึงสอนวิชาลมปราณและสมุนไพร เพื่อหวังจะให้ทั้งคู่ลดทอนด้านกามาลงบ้าง "

    " จริงๆวิชาในคัมภีร์ค่อนข้างยากต้องอาศัยการตีความ ยิ่งวิชาลมปราณเปลี่ยนเส้นเอ็นในคัมภีร์ต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน ขนาดท่านพี่กับข้าแม้สามารถจดจำข้อความในคัมภีร์จนขึ้นใจยังไม่สามารถบรรลุได้ "
    " จริงของเจ้า..เรื่องนี้ข้าก็แปลกใจอยู่ แต่อาจเป็นเพราะมันมีข้อความในคัมภีร์ที่เราแปลความหมายของภาษาบาลีนั่นไม่ออกด้วยกระมัง "
    " นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็คือจำเป็นต้องตัดกิเลสเข้าสู่สภาวะธรรมอันสูง และที่สำคัญข้อความในคัมภีร์ได้ถูกตัดทอนดัดแปลงไปด้วยจึงไม่สมบูรณ์ "
    " อืม..น่าจะจริง เพราะข้าก็รู้สึกเช่นนั้น และที่สำคัญที่ข้าอยากรู้ก็คือ หากคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง เป็นของมหาโยคีจากชมพูทวีปเป็นผู้เขียน เหตุไฉนจึงได้ตกทอดมาถึงแดนตงง้วนเราได้และใครเป็นผู้แปลคัมภีร์นี้ "
    " เรื่องนี้ข้ากำลังจะเล่าต่อไปพอดี "

    " บังเอิญต่อมา มีหลวงจีนพร้อมด้วยลูกศิษย์สองคนเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป ผ่านมายังเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ ชื่อ หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋ง กับเฮ้งซุนหงอและโป๋ยก๋า ( คล้ายๆ พระถังซำจัง ในเรื่องไซอิ๋ว )

    หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งและลูกศิษย์จึงได้ขออาศัยพักค้างแรมกับมหาโยคี โป๋ยก๋าเป็นคนเจ้าชู้กลับชื่นชอบในตัวนางรัศมีเทวี แต่ไม่รู้ความในว่าพี่น้องสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน เพราะมหาโยคีแนะนำแต่เพียงว่า เป็นพี่น้อง ในระหว่างพักหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งและมหาโยคี ต่างแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งได้อธิบายถึงวิธีที่ทำให้เป็นอมตะในทางพุทธ

     ซึ่งต่างจากหลักของทางโลกหรือหลักธรรมอันสูงสุดของทางลัทธิโยคีโดยสิ้นเชิง คือทางพุทธสามารถเข้าสู่นิพพาน หลุดพ้นจากวัฏฏะสังสารทั้งปวง ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไปมหาโยคีฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ เพราะแค่หลักของโยคีว่าสามารถเกิดมาแล้วทำให้มีชีวิตยืนยาวนานอย่างไม่มีทุกข์ก็น่าจะสูงสุดแล้ว แต่หลักพุทธว่าสามารถหลุดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีผู้ใดทำได้

    หลวงจีนเล่า ซ่า เจ๋ง จึงแสดงธรรม เรื่องวิธีทำให้พ้นทุกข์ตามหลักพุทธที่ศึกษามา( อริยะสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) มหาโยคีบาบาตูตู้ ได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจบรรลุทันที( เหมือนกับพระโกณฑัณญะ )

    ในระหว่างที่มหาโยคีและหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋ง สนทนาธรรมกัน พี่น้องสองคนได้ออกไปหาสมุนไพรข้างนอก ในเวลานั้นได้เกิดพายุหิมะขึ้น มหาโยคีได้ฟังธรรมที่หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งแสดงเกิดเลื่อมใสเห็นแจ้งในปัญญาตัดสินใจละสังขาร เข้าสู่นิพาน แต่ก่อนที่มหาโยคีจะละสังขารได้มอบคัมภีร์ของตนไว้กับหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งเป็นการตอบแทน

   ทีแรกมหาโยคีคิดว่าจะทำลายทิ้งอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากได้สนทนาธรรมกับหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งจึงได้คิดว่า แท้จริงคัมภีร์ต่างๆ เป็นสิ่งตายคนใช้เป็นสิ่งเป็น ขึ้นกับผู้ใช้จะเป็นผู้ทำให้เกิดประโยชน์หรือโทษ ตัวอย่างเช่น พระ เทวทัต ซึ่งเป็นประยูรญาติของพระพุทธเจ้า ได้ศึกษาธรรมกับพระพุทธเจ้าจนมีฤทธิ์ แต่ยังหลงผิดคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าหลายครั้ง สุดท้ายโดนธรณีสูบ ตกอยู่ในนรกอเวจี

   มหาโยคีบาบาตูตู้ อายุ 300 กว่าปี รู้ตัวว่าสังขารเสื่อมโทรมใกล้ดับสูญ แสงหาชีวิตนิรันดร์มาตลอดได้ฟังธรรมที่หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งแสดงเห็นแจ้งในปัญญา ว่าคือผลบุญที่ตนบำเพ็ญเพียรแสวงหามาช้านานจึงได้พบกับสิ่งที่ตนปรารถนาในยามสุดท้ายของชีวิต นั่งสมาธิเข้าสู่สภาวะธรรม ละซึ่งกิเลสทั้งปวง ทิ้งสังขาร เข้าสู่นิพพานไป

    หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งกับลูกศิษย์รอสองพี่น้องอยู่สิบห้าวันก็ยังไม่กลับ ขณะนั้นบริเวณนั้นกำลังจะเกิดพายุหิมะ หลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งเห็นท่าไม่ดีและคอยเป็นเวลานานแล้ว จึงเดินทางกลับแผ่นดินใหญ่และเขียนหนังสือบอกเรื่องทิ้งไว้ ต่อมาภายหลังสองพี่น้องกลับมาเห็นหิมะปกคลุมไปทั่วจึงขุดค้นจนพบถ้ำที่อาศัย เข้าไปเห็นมหาโยคี นั่งหลับตาสิ้นลมอยู่บนแท่นหิน น่ามหัศจรรย์ที่ร่างกายมหาโยคีไม่เน่าเปื่อย อาจเป็นเพราะความเย็นของหิมะ ก็ได้
และค้นพบว่าคัมภีร์ของมหาโยคีหายไป

     จึงเข้าใจว่าหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งพร้อมลูกศิษย์ได้ฆ่ามหาโยคีและขโมยตำราไป โดยแต่งหนังสือโกหกพวกตนจึงเดินทางติดตามพวกหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งเข้ามาในตงง้วนก่อให้เกิดเรื่องขึ้น

    " เดี๋ยวก่อน ย้งยี้ เรื่องที่เจ้าเล่าให้ฟังมานับว่าประหลาด เกินจะเชื่อหลายประการ "
    " ยังไงหรือท่านพี่ "
    " เช่น คนเราสามารถหลุดพ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ "
    " เรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่ท่านพ่อบันทึกไว้ บังเอิญข้าไปพบในห้องสมุดตอนข้าเป็นเด็ก เวลานี้ไม่ทราบว่าบันทึกนั้นหายไปไหน ตั้งแต่คราวที่อาวเอี้ยงฮงได้มาบุกเกาะดอกท้อเรา "
    " อืม..."
    " ทีแรกข้าก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีอยู่จริง จนเราได้เจอกับยอดยุทธพิสศวาสในวันนี้แหละ ข้าถึงนึกเรื่องนี้ได้จึงเล่าให้ท่านพี่ฟัง "
    " เพราะเรื่องนี้ยากเกินเชื่อ และในบันทึกที่ท่านพ่อเขียนก็รวบรวมมาจากคำพูดของหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่มีประจักษ์พยานอะไร อาจจะเป็นพวกท่านกับลูกศิษย์ร่วมมือกันฆ่ามหาโยคีแล้วชิงตำราหนีมาตามที่สองพี่น้องนั้นว่าก็ได้ "
    " อะ...เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือ "
    " ข้า..ก็ไม่รู้แน่ แต่ตามหลักแล้ว เราก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เพราะหลวงจีนเล่าซ่าเจ๋งก็เป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมะ แม้ลูกศิษย์จะไม่ได้สำรวมเท่าไร แต่ตามประวัติแล้วท่านเป็นสมณะที่ดีมากคำพูดน่าจะเชื่อได้ และเรื่องเล่าในทางพุทธก็ว่าหลักทางนิพพานมีอยู่จริง และมีพระสงฆ์ตั้งหลายร้อยรูปสามารถเข้าสู่นิพพานเป็นอรหันต์ได้ในชมพูทวีป จนกลัวว่าคนจะบวชในศาสนานี้ทั้งหมดไม่มีฆราวาสอยู่เลยในสมัยหนึ่ง จนถูกกีดกั้นในสมัยต่อมา "
    " อืม.."
    " ก็ไม่แน่เหมือนกัน บางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อในโลกก็สามารถเกิดจริงได้ ประวัติของพุทธเองก็แปลก เพราะผู้ที่สำเร็จนำมาเผยแพร่ เดิมที ก็เป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง มีชีวิตสุขสบายในพระราชวัง แต่ต้องการให้ผู้คนพ้นทุกข์จึงสละราชบัลลังค์ออกบวชแล้วสามารถตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ออกสั่งสอนผู้คนก่อให้เกิดศาสนาอันยิ่งใหญ่ "
    ( อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวของอึ้งย้งกับก๊วยเจ๋ง เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้นับถือพุทธ )

    " และดูจากวิทยายุทธ ที่ยอดยุทธพิศวาสนั้นใช้ เราก็ไม่คิดว่าจะมีผู้สามารถฝึกจากตำรานั้นจนสำเร็จได้ แต่พวกเขาก็ฝึกออกมาจนได้ "
    " จริงของเจ้า แล้วเรื่องต่อมาเป็นอย่างไรต่อไป " ก๊วยเจ๋งถาม อึ้งย้งจึงเล่าต่อ

.......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น