วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คำสารภาพของแฟนผม ตอนที่4




เมื่อผมไปถึงร้านแม็คโดนัลก่อนเวลานัดเล็กน้อย รีบมองสำรวจรอบร้าน ยังมีลูกค้ามาใช้บริการไม่มากนักแต่ส่วนใหญ่นั่งกันเป็นกลุ่มๆ น้องนิดคงไม่ได้นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนี้แน่ มีคนนั่งเดี่ยวๆอยู่เพียงสองที่ ที่แรกเป็นผู้ชาย
ส่วนอีกที่หนึ่งเห็นต้นคอด้านหลังรู้เพียงแค่เป็นผู้หญิงผมยาว คนนี้จะใช่น้องนิดมั๊ยหนอตอนนั้นผมจำได้ว่าใจเต้นตึ๊กตั๊ก แทบจะกระดอนออกมานอกอก จึงค่อยๆเดินเลี่ยงเฉียดๆไปด้านข้างของผู้หญิงคนนั้นหวังจะแอบมอง
หน้าเธอก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งแรกที่ผมมองเห็นคือลำแขนอวบๆสั้นๆของน้องผู้หญิงคนนั้น มันบ่งบอกให้รู้
ได้เลยว่าน้องผู้หญิงคนนี้รุปร่างอวบขั้นสุดท้ายแน่ๆ

ผมตัดสินใจไล่สายตาขึ้นไปมองหน้า ก็เจอใบหน้ารูปทรงกลมแก้มยุ้ย ทาปากสีชมพูเข้มที่ดูแล้วขัดกันอย่างมากมายกับใบหน้าของหล่อน น้องคนนี้กำลังอ้าปากงับแม็คเต็มปากเต็มคำพอดี ผมทำใจล่วงหน้าไว้แล้วว่า ถ้าเป็นน้องนิดผมก็จะเข้าไปคุย แต่เพื่อความแน่ใจ ผมจึงกดหมายเลขโทรไปหาน้องนิด แล้วรอลุ้นว่าน้องผู้หญิงคนนี้จะรับสายหรือไม่ โชคดีครับพอต่อสายติด ผมกลับไม่ได้ยินสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ไอโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าของน้องคนนั้น  แต่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามันกลับมาดังอยู่เบื้องหลังของผมเสียแทน

ผมค่อยๆหมุนตัวกลับหันไปเผชิญหน้า ยังจำได้ถึงความรู้สึกในครั้งนั้นได้อย่างชัดเจนเหมือนกับเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปเมื่อวันวาน ผมรู้สึกใบหน้าชาเห่อร้อนวูบ ๆ วาบ ๆ ทั้งๆที่อุณหภูมิในร้านแม็คนั้นเย็นกำลังพอดี ทันทีที่ผมหันไปเสียงเล็กๆหวานๆของหญิงสาวเบื้องหน้าก็ดังสวนขึ้นมาถามว่า พี่เก่งใช่มั๊ย ผมไม่ได้ตอบหรอกครับว่าใช่ จำได้ว่าผมพูดออกไปเหมือนละเมอว่า...น้องนิด...สวยเหลือเกิน ผมรู้สึกดั่งที่พูดออกไปจริงๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผมนั้น เธอสวยมาก สวยแบบหมวยๆ ใบหน้าขาวผ่องรูปไข่นั้นแดงระเรื่อ เมื่อได้ยินคำพูดชมจากผม แต่งแต้มเครื่องสำอางค์บางๆ ทาปากสีชมพูอ่อนๆ ทรงผมยาวสลวยสีโค๊ก สวมเดรสยาวคลุมเข่าสีนำตาลเข้ม รูปร่างน้องนิดสูงโปร่งเวลายืนเกือบจะสูงเท่าผม

"พี่เก่งคะ....อย่ามองแบบนี้สิ นิดเขิลนะ"เสียงน้องนิดกระซิบอุ๊บอิ๊บๆเบาๆ พอให้ผมได้ยินแค่คนเดียว ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าตนเองมองน้องนิดด้วยสายตาแบบใด แต่ก็คงไม่ต่างกับสายตาของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนจ้องมองลูกอมแสนหวานรสอร่อยที่บรรจุอยู่ในโหลแก้ว มองด้วยความอยากกิน มองด้วยความหลงไหลในรสชาติของมัน หรืออาจจะมองจนอดอ้าปากน้ำลายสอก็เป็นไปได้

"ไปร้านอื่นกัน...." ผมจำได้ว่าพูดแบบนั้นไปจริงๆ พร้อมฉวยข้อมือดึงน้องนิดเดินลิ่วออกไปจากร้าน เนื่องด้วยเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังมีสายตาของคนในร้านแม็คหลายสิบคู่ที่กำลังจ้องมองมายังผมกับน้องนิดด้วยความอยากรู้ว่าไอ้ชายหนุ่มเหลือน้อยคนนี้กับสาวน้อยแสนสวย มานัดบอดเจอกันในร้านแม็คหรืออย่างไร

ระหว่างที่ผมเดินจูงมือน้องนิดออกมาจากร้านแม็คเราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย น้องนิดเดินตามต้อยๆ เหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่จูงมือ ครั้งแรกผมกะจะแวะเข้าร้านสเต็ค แต่พอดูแล้วบรรยากาศพลุกพล่านเกินไป ผมจึงพาน้องนิดเดินต่อไปก็เจอร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งไม่ใช่ร้านที่มีชื่อดังอะไรนักเหมือนฟูจิ หรือโออิชิ ยาโยอิ  ผู้ที่มาใช้บริการร้านนี้จึงค่อนข้างน้อย ภายในจัดสถานที่บรยากาศคล้ายร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ซึ่งผมเคยไปเที่ยวมาแล้วครั้งหนึ่ง

พอเราสองคนเดินตามพนักงานสาวไปยังที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เป็นที่นั่งส่วนตัว มีกระจกล้อมรอบสามด้านที่นั่งเป็นหลุมลึกลงไปต้องนั่งกันกับพื้นที่มีเบาะเตี้ยๆรองก้น พอพนักงานรับออร์เดอร์จากไปแล้ว น้องนิดจึงกระซิบถามว่า มะกี้ที่ออกมาจากร้านแม็ค ผมอายคนหรอ ถึงได้รีบร้อนเดินออกมา
"เปล่าหรอก..พี่ไม่ได้อาย พี่กลัวว่าน้องจะอายมากกว่าที่มานัดบอดกับคนแก่อย่างพี่"
"ใครว่าพี่เก่งแก่คะ หนุ่มใหญ่ดูสมารท์จะตาย....ตอนเดินเดินมาที่ร้าน นิดเห็นผู้หญิงมองพี่เก่งตั้งหลายคนเลยนะคะ"
"อืมมม..พี่ก็เห็นผู้ชายมองพี่เหมือนกัน..มองพี่แล้วก็มองน้องแล้วก็หันกลับมามองพี่แล้วคงคิดอิจฉาพี่ว่าไอ้แก่คนนี้ทำบุญมาด้วยอะไรนะ ถึงมีสาวสวยงามสง่าเดินควงได้ ฮ่าๆๆๆ" ผมหยอดคำหวานไปอีกหลายดอก จนน้องนิดอายเขิล พร้อมตัดพ้อว่าผมป้อนลูกยอให้ทานจนอิ่มสงสัยจะทานอาหารไม่ลงแน่

แล้วบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะโดยสาวเสริฟอาหาร ผมละเมียดทานช้าๆ ไม่อยากรีบทานเร็ว เพราะกลัวว่าเวลาที่พบน้องนิดจะหมดไปไว แต่แม้จะละเมียดอาหารช้าเท่าใด ก็ดูเหมือนเวลาแห่งความสุขมันติดปีกโบยบินไปได้ไวเสียเหลือเกิน ผมขอนัดน้องนิดมาแค่ทานอาหารเท่านั้น ก็เลยไม่กล้าขอให้เธออยุ่ต่อ แต่เหมือนสวรรค์มีตาฟ้ามีใจให้ผม เพราะพอเราเดินออกจากร้านอาหาร น้องนิดก็เป็นฝ่ายชวนผมเดินขึ้นไปชั้นบนของศูนย์การค้า เธอเดินดูนั่นนี่โน่นไปเรื่อยๆ แต่ดูแล้วไม่สนใจอยากได้สิ่งใดเป็นพิเศษ ตลอดการเดินจูงมือกันเที่ยวนั้น ผมต้องสบสายตากับผู้คนหลากหลายที่เดินสวนแล้วมองมาบางคนก้มองแบบมีมารยาท บางคนก็มองแบบอิจฉา แต่ก็มีบ้างที่มองด้วยสายตากึ่งดูถูกดูแคลน สายตาแบบนี้ผมมองออกเลยว่าคงคิดไม่ดีไม่งามกับตัวน้องนิดแน่ๆ

เราสองคนเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนต์ น้องนิดจูงผมไปดูโปรแกรมหนัง แล้วชวนผมดู เรื่องอะไรผมจะปฎิเสธจริงมั๊ยครับ ผมไม่สนหรอกว่าจะดูหนังเรื่องอะไร แค่ขอมีเวลาอยู่ใกล้ชิดสาวงามอีกสักสองสามชั่วโมงก็บุญหัวแล้ว

ผมจำไม่ได้หรอกครับว่าวันนั้นดูหนังเรื่องอะไรกับน้องนิดเป็นครั้งแรก เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในโรงหนัง ผมแทบจะไม่ได้หันหน้าไปที่จอภาพยนต์เลย ผมหันจ้องมองซีกหน้าด้านข้างของน้องเค้าตลอดเวลา นานๆครั้งน้องเค้าก็หันหน้ามาสบสายตากับผม แม้ในความสลัว ผมยังมองเห็นชัดเลยว่าแววตาของน้องนิดนั้นหวานหวามปานใด ความหวานของสายตาคุ่นั้นสามารถดึงดูดทั้งตัวและหัวใจของผมจนแทบละลาย ผมเผลอตัวยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ขึ้นใกล้มากจนหน้าผากเราสองคนชนกัน น้องนิดก็ยังไม่ยอมหลบสายตาเร่าร้อนที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาของผม

ผมผละหน้าถอยออกมาแล้วค่อยๆยื่นปากไปจุ๊บเบาๆตรงหน้าผากของน้องนิด รู้สึกเลยว่าเธอสะดุ้งแต่ไม่ถอยหนี ยังคงส่งสายตาหวานหวามสบสายตาเร่าร้อนของผม ผมจุบที่หน้าผากเบาๆอีกครั้ง น้องนิดก็ค่อยๆหลับตาพริ้มเสียงถอนหายใจดังเฮือก เมื่อผมจูบต่อไปที่เปลือกตาทั้งสองข้าง สันจมูกโด่งเล็กๆได้รูป แล้วผมก็ตัดสินใจแนบริมฝีปากประกบไปที่ปากชมพูเต็มอิ่มของน้องเค้า ผมแนบลงไปตรงๆแล้วค้างนิ่ง ไม่ได้พยายามสอดปลายลิ้นเข้าไปในปากน้องแนบลงไปแล้วก้มหน้าเข้าหาออกแรงกดริมฝีปากให้แนบแน่นขึ้นเท่านั้น น้องนิดก็เริ่มตัวสั่น ยิ่งมือเอื้อมมือไปวางบนตักของเธอ ตัวน้องก็ยิ่งสั่นหนักขึ้น หายใจเข้าออกแรงจนรู้สึกได้ว่าอกกระเพื่อมไหว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น