วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ 12 พยัคฆ์ติดปีก
ตอนที่ 12 (พยัคฆ์ติดปีก)
ขุนแผนนั้นเมื่อได้กุมารทองมาเป็นลูกแล้ว ก็ออกท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ เพื่อหาช่างมีฝีมือที่จะหลอมดาบให้แก่เขาได้ เมืองแล้วเมืองเล่าที่ขุนแผนได้เดินทางผ่านไป พบกับช่างตีดาบมามาก ก็ไม่สามารถได้พบกับผู้ที่จะสามารถตีดาบให้แก่เขาได้ จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงบ่าย ขุนแผนได้เดินทางมายังตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งมีความเจริญมาก ด้วยเป็นหัวเมืองใหญ่ มีการค้ามากมายยังที่นี้ ขุนแผนจึงได้เลือกเดินทางมาที่นี่ เผื่อจะได้พบกับช่างตีดาบที่มีฝีมือ
ขุนแผนเดินทางรอนแรมมาเป็นระยะทางไกล เมื่อมาถึงยังตัวเมืองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย จึงได้เข้าพักยังวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก นอนพักตอนบ่าย เมื่อถึงยังเวลายามเย็น ขุนแผนซึ่งได้รับการพักผ่อนเต็มที่แล้ว ก็เริ่มออกเดินเที่ยวยังตลาดที่อยู่ในตัวเมือง ข้าวของที่ชาวบ้านนำมาขายในตลาดนั้นก็เป็นข้าวของจำพวกผลไม้ในสวนหรือไม่ก็เป็นพวกแพรพรรณทั้งหลาย
ขุนแผนนั้นเดินเที่ยวไป สายตาก็สอดส่ายหาร้านตีดาบ หรือร้านตีเหล็กเพื่อจะได้เข้าไปถามไถ่ ฉับพลันนั้นเอง ก็เกิดโกลาหลขึ้น ชาวเมืองทั้งหลายวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง พลางร้องตะโกน
““ม้าตื่น อาละวาดใหญ่แล้ว รีบหนีเร็ว””
ขุนแผนเมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบเบี่ยงหลบไปยังด้านข้างของถนนทันที เมื่อชาวบ้านแตกตื่นวิ่งหนี ก็มองเห็นม้าตัวหนึ่ง สีตัวนั้นขาวสะอาดไม่มีสีใดเจือปนเลย ตาสีดำ วิ่งอาละวาดไล่เตะถีบ ชาวเมืองเป็นพัลวัน บรรดาชาวเมืองนั้นก็ทิ้งหาบทิ้งคอนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน
เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งหลงพลัดกับพ่อแม่ ล้มลงอยู่ใกล้กับที่ม้าตัวนั้นกำลังอาละวาดอยู่ ขุนแผนเมื่อเห็นดังนั้น จึงได้วิ่งเข้าไปอุ้มเด็กออกมาวางยังข้างถนน จากนั้นก็กระโดดเข้าไปขี่บนหลังเจ้าม้าตัวนี้ทันที เจ้าม้านั้นเมื่อรู้สึกว่ามีคนขึ้นมาขี่อยู่บนหลัง มันก็ดิ้นพยศสุดชีวิต ขุนแผนเมื่อขึ้นมาขี่บนหลังเจ้าม้าตัวนี้ได้แล้ว ก็ก้มตัวลงกอดคอของมันแน่น สองขาก็หนีบเอวมันไว้ ไม่ว่าเจ้าม้าจะดิ้นพยศยังไง ก็ไม่ตกลงมา เจ้าม้าตัวนี้ก็ฉลาดเป็นกรด เมื่อเห็นว่าเจ้ามนุษย์นี้ไม่ตก มันก็หยุดพยศ เริ่มออกควบวิ่งไปในทันที
ขุนแผนที่อยู่บนหลังของมันนั้น รู้สึกถึงทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านด้านข้างไปอย่างรวดเร็ว ลมพัดอื้ออึงเต็มสองรูหู ก็รู้สึกประหลาดใจ ปนกับความดีใจ ว่าเจ้าม้าตัวนี้เยี่ยมยอดจริงๆ ก็ยิ่งกอดคอของมันแน่นยิ่งขึ้น เจ้าม้าตัวนี้ก็พาขุนแผนวิ่งเตลิดเข้าป่าเข้าดง จนเวลาผ่านไป 2 วัน ในที่สุดเจ้าม้าก็ควบช้าลง จนหยุดยืนเฉย ขุนแผนจึงได้ลงจากหลังม้า ม้าตัวนี้ก็ไม่แสดงอาการพยศ เอาปากไซร้ตามตัวของขุนแผน หัวนั้นก็ซุกไซร้กับตัวของขุนแผน แสดงถึงความยอมรับในตัวของขุนแผนแล้ว ขุนแผนเมื่อเห็นอาการของมันดังนั้น ก็เด็ดหญ้าจากพื้นดินขึ้นมา พลางเสกด้วยอาคมขลัง แล้วป้อนให้เจ้าม้าตัวนี้กิน พลางตั้งชื่อให้ตามสีของตัวมันว่า ““สีหมอก”” พลางเดินจูงพาเจ้าสีหมอกไปหาน้ำหาหญ้ากิน แล้วเอาเสบียงออกมาแบ่งกินกับเจ้าสีหมอก แล้วล้มตัวลงนอนพักจนหลับไป
เย็นวันนั้น ขุนแผนก็รู้สึกตัวว่าโดนอะไรบางอย่างเลียไปทั่วหน้า ลืมตัวขึ้นมาก็เห็นเจ้าสีหมอกกำลังเลียหน้าของตนเองอยู่ ก็ลุกขึ้นนั่ง สองหูก็ได้ยินเสียงเตือนจากกุมารทองว่า
“พ่อจ๋า เจ้าของม้าเขามาตามแล้วจ๊ะ ระวังด้วยนะจ๊ะ เจ้าพวกนี้มันเป็นนักเลง มันไม่ค่อยชอบที่พ่อเอาม้าของมันมา”” ขุนแผนนั้นพยักหน้า แล้วนั่งเฉยรอจนกระทั่งเสียงนั้นใกล้เข้ามา
ชายฉกรรจ์ 3 คน เดินเข้ามายังจุดที่ขุนแผนและม้าสีหมอกอยู่ พลางชักดาบที่สะพายหลังออกมา ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็โถมเข้าฟันขุนแผนทันที ขุนแผนระวังตัวอยู่แล้วก็เบี่ยงตัวหลบ พลางเตะสวนเข้าที่ท้อง เล่นเอาเจ้าคนแรกจุกแอ้ดๆ ล้มตัวลงนอน เจ้าคนที่สองโถมเข้ามาแทงที่ตัวของขุนแผนด้านหลัง ขุนแผนได้รับการเตือนจากกุมารทอง ก็เบี่ยงตัวหลบ ยกมือขึ้นจับข้อมือของเจ้าคนที่สองกระชากจนดาบไปฟันรับดาบของเจ้าคนที่สามที่ฟันมาที่ท้ายทอยของขุนแผนด้วยกะฟันให้หัวหลุดไป เมื่อรับดาบแล้ว ขุนแผนก็ถีบตัวเจ้าคนที่สองเซถลาออกไป พลางเบี่ยงตัวหลบดาบของเจ้าคนที่สามที่ฟันมาอีก แล้วเตะเข้าที่ปลายคางของเจ้าคนที่สาม จนมันผงะหงายไปล้มลงแน่นิ่งไป เจ้าคนที่สองเมื่อเห็นเพื่อนเสร็จขุนแผนไปสองคนอย่างง่ายดาย ก็หยุดนิ่งงันอยู่
““ว่าไง พวกเอ็ง ไม่พูดไม่จาก็ฟันกันเลยนะ จะมาทวงม้าคืน ก็บอกกันดีๆ ข้าไม่ชอบวิธีนี้ ถ้าข้าเอาจริง พวกเอ็งตายหมดไปแล้ว ตอนนี้คุยกันดีๆ ได้หรือยังหา”” ขุนแผนพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นเจ้าคนที่สองยังจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้ามาอีก
““จ๊ะ คุยกันดีๆ ก็ได้จ๊ะ”” เจ้าคนที่สองพูดพลางลดดาบลง
““เออ ดี ไปปลุกพวกเอ็งขึ้นมาคุยกันดีๆ ไป ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ ถ้าปลุกแล้วข้องใจอีก ก็ได้นะ ทีนี้ข้าไม่ออมมือละ”” ขุนแผนขู่เจ้าคนที่สองไป
ได้ผล หน้าของเจ้าคนที่สองถอดสีไป พลางรีบนั่งลงแก้ไขเจ้าคนที่สามจนรู้สึกตัว แล้วรีบไปช่วยเจ้าคนที่หนึ่งที่ยังนอนจุกอยู่บนพื้น จนทั้งสามคนได้ลุกนั่งได้
ขุนแผนก็เปิดฉากทันที ““ข้าบอกก่อนเลยว่า ข้าไม่ได้ขโมยม้าพวกเอ็งมา แต่มันวิ่งเตลิดมาข้าพยายามจับให้พวกเอ็งเท่านั้น พวกเอ็งมาไล่ฟันข้า ถ้าไม่ใช่ข้า เป็นคนอื่นคงตายไปแล้ว เอ็งมีอะไรจะพูดก็ว่ามา””
““คืองี้จ๊ะพี่ พวกเราเข้าใจว่าพี่ขโมยม้ามา ก็เลยกะจะเล่นพี่ให้เจ็บๆ พอจำแค่นั้นละจ๊ะ”” เจ้าคนที่สองพูดเกรงๆ ด้วยเห็นท่าทีของขุนแผนนั้นไม่ใคร่จะชอบใจนัก
““เออ ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ เอาแค่เจ็บๆ ของเอ็ง ถ้าข้าหลบไม่พ้น ป่านนี้หัวพับไปข้างหลังได้แล้ว เอาเหอะ ม้าตัวนี้ข้าขอซื้อไว้ละกัน ว่าแต่พวกเอ็งได้ม้าตัวนี้มาจากไหนหือ?”” ขุนแผนถามด้วยความสนใจด้วยม้าสีหมอกนั้นลักษณะดี จนไม่น่าจะได้มาอยู่กับเจ้าพวกนักเลงม้าพวกนี้ได้
““จ๊ะพี่ ม้าตัวนี้มันเป็นลูกม้าที่ติดมากับอีเหลือง ซึ่งเป็นม้าอยู่ในกลุ่มม้าที่หลวงศรีวรขานได้ไปซื้อมาจากเมืองมะริดประเทศอินเดีย ตามรับสั่งของสมเด็จพระพันวษา แต่ตอนที่ซื้อมาก็ได้ม้าตัวนี้ติดมาด้วย ไล่ยังไงก็ไม่ไป เห็นพวกเจ้าของม้าคนก่อนเขาเล่าว่า มันเป็นลูกของอีเหลืองกับม้าน้ำ ทำให้มีลักษณะอย่างนี้ นิสัยเกเรจ๊ะ เที่ยวไล่กัดกับม้าตัวอื่น และก็พยายามไล่กระทืบคนเลี้ยง คนเขาเอือมระอากันไปตามๆ กัน นี่พวกฉันก็เห็นมันแหกคอกออกมาก็รีบตามมา ถ้าพี่ชอบพวกฉันก็ให้พี่เลยละจ๊ะ ไม่อยากจะเลี้ยงมันอยู่แล้ว”” เจ้าคนที่สามตอบพลางยกมือไหว้ขุนแผน
““เฮ้ย ไม่ได้ เอางี้ข้าให้ราคาม้าตัวนี้ 4 ชั่ง พวกเอ็งจะได้ไม่กลับไปมือเปล่า”” ขุนแผนกล่าวพลางส่งห่อเงินให้กับเจ้าสามคน ซึ่งพวกมันก็ยกมือไหว้ขอบคุณ พลางประคองกันเดินออกจากที่นั้นไปจนลับตา
ขุนแผนเมื่อเห็นพวกมันจากไปแล้ว ก็ขึ้นหลังเจ้าสีหมอก แล้วควบขับจนมาถึงยังตัวเมืองอีกแห่งหนึ่ง ก็หาคอกม้าแล้วใส่บังเหียน อานม้า และตอกเกือกม้าให้กับสีหมอก พลางควบขับออกนอกเมือง ขุนแผนนั้นแสนจะอิ่มเอมเปรมใจที่ได้ม้าคู่ใจมา ม้าสีหมอกนั้นเป็นม้าแสนรู้ มันก็ดีใจที่ได้นายดีเช่นกัน ทั้งคนทั้งม้าก็ควบขับอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน จากเช้าตรู่จนพลบค่ำ จึงได้มาถึงยังวัดแห่งหนึ่ง ที่วัดแห่งนั้นเกือบจะเป็นวัดร้าง ด้วยมีพระจำวัดอยู่เพียง 2 รูปเท่านั้น คือ หลวงปู่ช้างกับพระทอง ด้วยเมืองเกิดโรคระบาด ชาวเมืองก็พากันย้ายหนีไปยังที่ใหม่จนเกือบหมด แต่พระทั้งสองรูปไม่กลัวโรคระบาด ยังคงอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดดังเดิม
ขุนแผนมาถึงที่วัดเอาช่วงเวลาย่ำค่ำแล้ว จึงได้ขอเข้าพักที่วัดแห่งนี้ ซึ่งหลวงปู่ช้างก็ไม่ขัดข้อง ขุนแผนจึงได้นำม้าสีหมอกเข้าไปกินน้ำกินหญ้าที่หลังวัด ส่วนตนเองนั้นก็เข้ามานั่งสมาธิยังด้านในโบสถ์เก่าแก่ ที่กำลังจะพังไม่พังแหล่ วันนั้น ขุนแผนนั่งสมาธิจนสมาธิแน่นิ่งดำดิ่งลงสู่ ความสงบ ก็ได้ยินเสียงในใจดังขึ้น
““ไปทางตะวันตกเรื่อยๆ จะพบสิ่งที่เจ้าต้องการ อย่าลืม ไปทางตะวันตก””
ขุนแผนเมื่อถอนจากสมาธิ ก็จำได้แม่นถึงเสียงที่ดังขึ้นในหัว รู้สึกยินดียิ่งนัก เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ก็บริจาคเงินบำรุงวัดให้แก่หลวงปู่ช้าง แล้วรีบขึ้นม้าควบขับไปทางตะวันตกทันที เมื่อควบขับมาทางตะวันตกมาเรื่อย ๆ บ้านเรือนก็เริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนไป ขุนแผนนั้นเดินทางมา 4 วันแล้ว ยังไม่ได้พบอะไรเลย ก็ชักจะไม่แน่ใจกับเสียงที่บอกให้มาทางตะวันตก จนมาถึงยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน ก็พบเห็นกลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมหนุ่มสาวคู่หนึ่งอยู่ หนุ่มสาวคู่นี้หน้าตาดีแต่กำลังตื่นกลัวกับการข่มขู่ของพวกอันธพาลเหล่านี้
ขุนแผนเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมนี้ ก็ลงจากหลังม้าเพื่อจะมาไกล่เกลี่ยให้แก่สองหนุ่มสาว แต่เจ้ากลุ่มอันธพาลเห็นขุนแผนแต่แรกอยู่แล้ว จึงแยกย้ายกันมารายล้อมอยู่รอบตัวของขุนแผน คงเหลือเพียง 2 คนที่คุมเชิงหนุ่มสาวไว้ไม่ให้หนีไป ขุนแผนเมื่อเห็นเจ้าพวกอันธพาลมารุมล้อมตน ก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกมันต้องการอะไร จึงยกมือขึ้นบริกรรมคาถา แล้วก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นมาจบ แล้วโยนก้อนหินขึ้นไปบนฟ้า ฉับพลันนั้นเอง ก้อนหินเมื่อปลิวขึ้นไปบนฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นนกขนาดใหญ่ บินถาโถมลงมาไล่จิกตี กลุ่มพวกอันธพาลจนวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไป เหลือไว้แต่เพียงมีดดาบที่ทิ้งเอาไว้ระเกะระกะเต็มถนนไปหมด
หนุ่มสาวทั้งสองเมื่อเห็นอานุภาพของขุนแผนที่เก่งกาจมากขนาดนั้น ก็ดีใจอย่างยิ่ง วิ่งเข้ามากราบ
““เราสองพี่น้องขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือเราจากเจ้าพวกอันธพาลพวกนั้น พ่อของพวกเราโดนพวกมันโกงจนกระทั่งติดหนี้พวกมัน พวกมันก็เลยมาทวงหนี้กับพวกเราไม่หยุดหย่อน เมื่อกี้ถ้าท่านไม่มาช่วยไว้ มันคงฉุดพี่สาวของข้าไปข่มขืนแล้ว””
ขุนแผนเมื่อได้ฟังคำสองพี่น้อง ก็ดีใจที่ตนเองได้มาช่วยเหลือเอาไว้ แต่ก็โบกมือว่าไม่ต้องขอบคุณ แล้วขึ้นบนหลังม้าเพื่อจะควบขับจากไป แต่ชายหนุ่มนั้น ก็ปราดเข้ามาจับที่สายบังเหียนไว้ พลางร้อง
““ได้โปรดเถอะท่าน อย่าเพิ่งไปขอรับ ได้โปรดไปพักกินน้ำที่บ้านของเราก่อนเถิด อย่างน้อยเพื่อให้พวกเราได้ตอบแทนบุญคุณท่านสักน้อยนิดก็ยังดี””
ขุนแผนมองหน้าหนุ่มน้อย แล้วก็พยักหน้ารับ ปล่อยให้ชายหนุ่มจูงม้าสีหมอกเดินไปในหมู่บ้านอย่างช้า ระหว่างทางนั้นก็คุยกันได้ความว่า เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ชื่อ “ยิ่ง” พี่สาวชื่อ “ชบา” ทั้งสองคนเป็นลูกของ “ยะขิ่น” อดีตช่างตีดาบจากเมืองพม่า ที่หนีเอาชีวิตรอดจากศัตรูมาซ่อนตัวที่นี่ได้กว่า 15 ปีแล้ว ขุนแผนเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของยิ่ง ก็รู้สึกสนใจด้วยตนเองก็พยายามหาช่างตีดาบเพื่อตีดาบให้แก่ตนเอง เมื่อมาถึงยังบ้านของยะขิ่นนั้น ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ชบานั้นรีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมทำอาหารเลี้ยงขุนแผน
ส่วนยิ่งนั้นเมื่อจูงม้าสีหมอกมาจนถึงหน้าบ้านก็รอจนขุนแผนลงจากหลังม้า แล้วก็ผูกม้าสีหมอกไว้ตรงข้างบ้านที่มีหญ้ามีน้ำกิน แล้วเดินมาหาขุนแผนที่ยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน ยิ่งเดินหายเข้าไปในบ้านสักพัก แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับชายวัยกลางคน ท่าทางล่ำสันแข็งแรง หัวหงอกขาวบางส่วน เมื่อยะขิ่นได้ฟังคำของยิ่งที่เล่าว่าได้รับการช่วยเหลือจากขุนแผนอย่างไร ก็รู้สึกประหลาดใจที่คนมีวิชามีฝีมือ มาทำอะไรยังที่แห่งนึ้ แต่ก็ระงับความสงสัยเอาไว้ เดินพร้อมยิ่งออกมาต้อนรับขุนแผนเข้าเรือน
อาหารค่ำคืนนั้น มีหลายอย่าง มีทั้งน้ำพริก ยอดกระถิน ปลาทอด แถมตบท้ายด้วยน้ำเย็นๆ ขุนแผนก็นั่งผึ่งพุงสบาย พลางมองสบตากับยะขิ่น ที่นั่งมองขุนแผนด้วยความสนใจเช่นกัน
““พ่อเฒ่าตีดาบในวังหลวงของเมืองพม่าหรือจ๊ะ””
““ใช่ ข้าตีดาบให้กับพระเจ้าแผ่นดินและบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ถ้าข้าไม่มีศัตรูปองร้าย ป่านนี้ข้าคงยังตีดาบอยู่ที่นั่นแหละ”” พ่อเฒ่าตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
““คืองี้พ่อเฒ่า ข้ามีวัตถุดิบที่จะให้พ่อเฒ่าช่วยตีดาบให้ข้าสักเล่มหนึ่ง ไม่ทราบจะได้ไหมจ๊ะ?”” ขุนแผนถามพลางจ้องหน้ายะขิ่นเฒ่า เพื่อสังเกตสีหน้าว่าเขาสนใจหรือไม่ ปรากฎว่าเมื่อยะขิ่นได้ฟังคำของขุนแผน ก็สนใจทันที ลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องหน้าของขุนแผน
““เอ็งมีอะไรมาหรือ? หือไอ้หนุ่ม มีอะไรมาให้ข้าตีหรือ? ลองเอามาให้ดูถีรึ”?”
ขุนแผนจึงล้วงเอาห่อผ้ายันต์ออกมาคลี่ เพื่อให้ยะขิ่นได้เห็นของภายใน ยะขิ่นนั้นเมื่อเห็นวัตถุธาตุที่อยู่ภายในนั้นก็นิ่งขึงไป จนขุนแผนนั้นไม่แน่ใจว่าเขายังอยู่หรือเป็นหินไปแล้ว นานสองนาน ยะขิ่นถึงได้ถอนสายตาออกจากของภายในห่อนั้น พลางถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปมาช้าๆ พลางก้มหน้าอย่างใช้ความคิด พลางเดินไปมา แล้วก็หยุดถาม
““เอ็งแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าตีให้ ไอ้หนุ่ม ของที่เอ็งเอามามันเป็นสุดยอดของอาถรรพ์ 7 อย่างที่เขานำมารวมเพื่อหล่อหลอมและตีมันออกมาเป็นสุดยอดแห่งดาบ ข้าเองก็เคยได้ยินแต่อาจารย์ของข้าเล่าถึงวิธีการตีและหล่อหลอมมันออกมา แต่ว่าแม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังไม่เคยรวบรวมได้ครบ ข้าจึงได้เคยแต่รู้วิธีตี แต่ยังไม่เคยเห็นสักที ถ้าเอ็งต้องการ พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มตีให้เอ็ง”” แล้วพ่อเฒ่าก็ล้มตัวลงนอน ไม่พูดคุยอีก ทิ้งให้ขุนแผนนิ่งอึ้งไป
รุ่งเช้าวันต่อมา พ่อเฒ่ายะขิ่นก็ตั้งศาลเพียงตา กราบไหว้อยู่ครึ่งค่อนวัน ก็เริ่มก่อไฟเตาหลอม เร่งไฟจนแดงฉาน พ่อเฒ่าก็นำสัตตโลหะ มาหย่อนลงในเบ้าหลอม แต่หล่อหลอมอย่างไร เจ้าโลหะทั้งหลายก็ไม่ยอมรวมตัวกัน ทำเอาพ่อเฒ่างุนงงกับเหตุการณ์นี้ พ่อเฒ่าก็นิ่งคิดถึงคำสอนของอาจารย์
และแล้วพ่อเฒ่าก็เรียกชบามา พลางใช้มีดกรีดแขนของชบาเบาๆ พอมีเลือดออกมา ก็ให้ชบาหยดเลือดลงไป 7 หยด น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก สัตตโลหะเมื่อได้รับเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้น แล้วก็ค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามา ปรากฏเป็นสีเขียวปีกแมลงทับเรืองรองอยู่ในเบ้าหลอม พ่อเฒ่าร้องออกมาด้วยความดีใจ พลางเทสัตตโลหะลงในแบบ รอจนเย็นลง ก็เริ่มตี เวลาผ่านไป 7 วัน ดาบก็เป็นรูปเป็นร่าง
ระหว่างนั้นขุนแผนก็เดินทางเข้าป่าไปเพื่อหาไม้มาทำเป็นด้ามดาบ ก็ไปต้องตาเอาไม้ชัยพฤกษ์ ด้วยเป็นไม้ที่เป็นมงคลยิ่งนัก จึงได้ตัดมาทำด้ามดาบ จากนั้นก็เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อหาเส้นผมของโหงพรายที่แรงฤทธิ์ มาบรรจุใส่ด้ามดาบ แล้วให้พ่อเฒ่าจัดการติดกับตัวดาบ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ขุนแผนจึงได้ชักดาบออกมากวัดแกว่ง ปรากฏเมฆหมอกปั่นป่วนอลวน พลางมีเสียงฟ้าผ่าดังมาแต่ไกล ขุนแผนจึงได้ตั้งชื่อดาบนี้ว่า ““ดาบฟ้าฟื้น””
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น