วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ 14 ชีวิตที่มาใหม่กับการถูกตามล่า
ขุนแผนเดินผ่านเข้ามาในห้องลับที่เป็นห้องนอนของขุนช้างและนางวันทอง สภาพในห้องที่ขุนแผนได้เห็น ทำให้ขุนแผนต้องถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยภายในห้องนั้นตกแต่งอย่างสวยงาม กลางห้องนั้นเป็นเตียงนอนกว้างใหญ่ มีร่างของหญิงชายคู่หนึ่งนอนกอดก่ายกันแนบแน่น อาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่ภาพนั้นทำให้ไฟแค้นในหัวอกของขุนแผนนั้นลุกโหม ถ้ามันสามารถออกมาเผาผลาญคนในห้องได้ คงจะเผาผลาญจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ภาพที่เห็นได้ฟาดหัวใจของขุนแผนจนแหลกละเอียดไม่เหลือหรอ ขุนแผนทรุดกายลงนั่งอย่างคนหมดแรง สองมือที่กำดาบฟ้าฟื้นนั้นสั่นระริก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินหลั่ง มันอาจจะไม่ไหลออกมามากมายนัก เพราะส่วนที่เหลือมันกลับไหลไปท่วมอยู่ที่ห้วงหัวใจของเขา ขุนแผนบุรุษรูปงามที่เคยมาดมั่น เคยต่อสู้กับข้าศึกศัตรูมามาก แต่กลับพ่ายต่อสนามรัก ….ขุนแผนนั้นพังทลายแล้ว
เวลาผ่านไปจนจวบใกล้รุ่งสาง เสียงของไก่ขันวิเวก มาตามสายลมอ่อนที่พัดเฉี่อยฉิว ได้ปลุกขุนแผนจากห้วงแห่งความเศร้าโศก ขุนแผนตระหนักดีว่า เวลามีเหลืออีกไม่มากนัก เพราะเวลาเช้า มนตราที่สะกดไว้จะเริ่มเสื่อมคลาย เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินมายังเตียงที่สองชายหญิงนอนกอดก่ายกัน พลางก้มลงดึงร่างของนางวันทองขึ้นมา
โอ้อนิจจา นางวันทองที่เคยสะคราญโฉม งดงามไร้เดียงสา มาบัดนี้กลับทรุดโทรมลงไปมาก แก้มซูบตอบ ขอบตาลึกดำคล้ำ ร่วงโรยจนดูชรากว่าอายุจริง สังขารนั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นอนิจจัง ขุนแผนก้มดูหญิงที่เคยเป็นคนรัก ที่เคยเป็นเมียรัก และที่เคยทำร้ายหัวใจของเขา ดูแล้วทำให้หัวใจของขุนแผนนั้นผ่อนคลายความแค้นลง ด้วยนางวันทองนั้นกลับมิได้อยู่กับขุนช้างอย่างมีความสุขแน่นอน ด้วยลักษณะของนางนั้นบอกต่อเขาได้อย่างชัดเจน
ขุนแผนจึงอุ้มนางวันทองออกมาจากห้อง วางลงบนเตียงของแก้วกิริยา แล้วเดินกลับมายังห้องนอนของขุนช้างอีกครั้ง ขุนช้างยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง ตามธรรมดาคนที่ใกล้จะพบกับเคราะห์ร้าย จะต้องมีลางอะไรบางอย่างมาชี้บอกเสมอ แต่ด้วยความซวยของขุนช้างนั้นมันยิ่งกว่า เพราะกระทั่งลางบอกเหตุร้ายนี้ก็ไม่มีซักน้อยนิด ขุนแผนยืนมองขุนช้างอยู่ชั่วขณะ สมองของขุนแผนกำลังวิ่งราวกับหนูที่วิ่งอยู่ในวงล้อ ในที่สุดขุนแผนก็ยิ้มออกมา แล้วเดินเข้าไปหาขุนช้างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ
ยามเช้าวันนั้น อากาศดีมาก มีหมอกบางๆ ลงอยู่ทั่วไปหมด ขุนแผนและนางวันทองกำลังนั่งอยู่บนหลังของม้าสีหมอก ควบขับผ่านอากาศเย็นสดชื่นของยามเช้า พลางสนทนากันอย่างมีความสุข ด้วยทั้งสองนั้นได้ปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย ขุนแผนนั้นในหัวใจยังมีนางวันทองอยู่เต็มหัวใจ เมื่อได้รับฟังความอธิบายของนางวันทอง ก็เชื่อโดยทันทีและพร้อมที่จะยกโทษให้แก่นาง พร้อมเสมอที่จะรับนางกลับมาเป็นภริยาของเขา
เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงยังน้ำตกแห่งหนึ่งที่สวยงามสะอาด มีน้ำตกตกกระแทกโขดดินเป็นฟูฝอย นกกาหากินอยู่แถบนั้นอย่างมากมาย งามประดุจดั่งสรวงสวรรค์ ขุนแผนจึงได้หยุดพักที่น้ำตกแห่งนั้น และล้วงเอาเสบียงกรังออกมาแบ่งให้กับนางวันทองได้ทานด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงเนื้อย่างที่แห้งกรังแข็งกระด้าง ข้าวเหนียวที่เย็นชืด แต่สำหรับทั้งสองนั้น ช่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นกระชั้นนัก ไม่นานนักทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกระชั้นมา ในที่สุดก็เห็นกลุ่มคนที่นำโดยขุนช้าง ซึ่งตอนนี้ได้นำบ่าวไพร่จำนวนมากของบ้านเขามาเพื่อจะมาชิงตัวนางวันทองคืน ขุนช้างนำขบวนของบ่าวไพร่ ซึ่งถืออาวุธครบมือ มีทั้งดาบ ทั้งขวาน และบางคนที่หาอาวุธไม่ได้ก็มีดุ้นแสมติดมือมา ท่าทางขึงขัง เมื่อขบวนของขุนช้างมองเห็นร่างของหนุ่มสาวทั้งสองที่นั่งพร่ำพรอดกันอยู่อย่างมีความสุขข้างน้ำตก ขุนช้างก็โบกมือนำพรรคพวกตรงเข้าไปหาโดยทันที
““ไอ้แผน ไอ้สารเลว มึงกล้ามาชิงน้องวันทองไปจากกู มึงต้องตายแน่แล้ว แต่กูจะให้มึงตายดีๆ ถ้ามึงส่งน้องวันทองมาให้แก่กูโดยดี ไม่งั้นมึงต้องตายอย่างทรมานแน่ ว่าไง หา”” ขุนช้างตะคอกใส่ขุนแผนที่นั่งยิ้มทำทองไม่รู้ร้อน
““น้องวันทองจ๊ะ แถวนี้ชักไม่ค่อยจะดีแล้วนะ พี่แผนหนวกหูเสียงหมาเห่าน่ะ เราไปหาที่ใหม่กินข้าวเช้ากันดีกว่านะ พี่แผนได้กลิ่นเหม็น สงสัยมีใครบางคนคงไปกินขี้มาแน่เลยนะจ๊ะ”” ขุนแผนกล่าวพลางชักชวนให้นางวันทองลุกขึ้นเพื่อขึ้นมาสีหมอกไปจากที่นี่
ขุนช้างได้ฟังดังนั้น ก็หันไปบอกกับลูกน้อง ““เฮ้ย ปากกูเหม็นจริงหรือเปล่าวะ”?”
ลูกน้องได้ฟังก็ส่ายหน้า บางคนก็อมยิ้ม แต่มีอยู่คนหนึ่งทะลึ่งกว่าเพื่อน เสือกเอามืออุดจมูก แล้วโบกมือไปมา ขุนช้างเห็นดังนั้น จึงยกเท้าถีบไอ้คนทะลึ่งถลาลงน้ำตกไป ขุนช้างเห็นขุนแผนอุ้มนางวันทองขึ้นหลังม้าสีหมอกไป ก็โกรธอย่างที่สุด ถลาเข้ามาฟันใส่ขุนแผน นางวันทองที่เห็นขุนช้างถลาเข้ามาฟันขุนแผนด้านหลัง ก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ พลางยกมือเพื่อผลักขุนแผนให้หลบไปจากดาบของขุนช้าง ขุนแผนได้รับคำเตือนจากกุมารทองก็ระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อขุนช้างถลามาถึง ก็เบิกตากว้าง แล้วตะโกนดังลั่น ““เฮ้ย””
ขุนช้างนั้นหยุดชะงัก นิ่ง ขุนแผนเมื่อสะกดขุนช้างแล้ว ก็เดินช้าๆ เข้ามาหา พลางใช้ดาบของขุนช้าง กรีดตัดเสื้อผ้าของขุนช้างออก เผยให้เห็นร่างที่มีขนรุงรังของขุนช้าง และที่แปลกมากก็คือ บนหน้าอกของขุนช้างนั้น มีรอยสักสีแดงอยู่ เป็นคำว่า ““ไอ้หน้าตัวเมีย”” สำหรับท่อนล่างที่ท้องน้อยนั้น ก็มีรอยสักสีเขียวเป็นคำว่า ““แย่งเมียเพื่อน”” สักอยู่ชัดเจน ซึ่งรอยสักนั้นเป็นที่รู้กันว่า ถ้าไม่ลอกหนังออกมันจะไม่จางหายไป ขุนแผนนั้นได้จัดการสักคำทั้งหมดนี้บนตัวของขุนช้าง ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนของขุนช้างมา เพื่อเป็นการแก้แค้นขุนช้างที่ได้ทำกับเขาและนางวันทองไว้
เมื่อขุนแผนได้ขึ้นม้าไปกับนางวันทองแล้ว บรรดาลูกน้องของขุนช้างก็ไม่รู้จะทำยังไงกับขุนช้างดี ด้วยขุนช้างนั้นนิ่งขึงไม่ขยับไปไหน ก็มีบ่าวคนหนึ่งเสนอความเห็นว่าให้แบกขุนช้างขึ้นขี่คอบ่าวคนหนึ่งไปจะดีกว่า ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยบอกว่าตัวของขุนช้างนั้นหนักน้องๆ ช้าง ถ้าให้ขี่คอบ่าวคนไหนต้องมีอันคอหักตายเป็นแน่ บ่าวทั้งหมดถกเถียงกันอยู่เป็นนานจนเวลาผ่านไปจนสายแล้ว ก็ได้ข้อตกลงกันว่า จะให้บ่าวสองคนประคอง โดยเอาแขนของขุนช้างคล้องคอบ่าวข้างละคน แล้วค่อยๆ เดินจนกลับไปที่เรือนของขุนช้าง เมื่อได้ข้อตกลงดังนั้นแล้ว บ่าวสองคนก็ก้มลงดึงแขนของขุนช้างคล้องคอของตนคนละข้าง แล้วออกแรงประคองร่างของขุนช้างออกเดินไปกับพวกตนเข้าไปในเมือง
ที่เมืองสุพรรณบุรี ยามนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านต่างก็กำลังออกมาเพื่อไปทำธุระหรือทำงาน เมื่อเห็นขบวนแห่ของบ่าวไพร่ที่แบกร่างของขุนช้างเดินตัดผ่านมากลางเมือง ก็สงสัยพากันเรียกพี่น้อง พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ออกกันมาทั้งโคตร เพื่อมาดูว่าขบวนของขุนช้างนั้น มาทำอะไรกัน แต่เมื่อมาถึงยังขบวน เห็นขุนช้างนั้นแก้ผ้าล่อนจ้อน ก็หัวเราะกันครืนไปทั้งบาง และเมื่อมีผู้รู้หนังสือได้อ่านรอยสักบนตัวของขุนช้าง ทั้งบนและล่างดังๆ ออกมาจนได้ยินกันทั่ว คราวนี้เสียงฮา ดังครืนไปทั่วทั้งบาง กว่าที่ขุนช้างจะถูกบ่าวแบกถึงเรือน เรื่องตลกนี้ก็เล่าลือกันไปจนถึงกรุงศรีอยุธยานั่นเลยทีเดียว
ขุนแผนนั้นเมื่อจัดการกับขุนช้างแล้ว ก็เดินมาขึ้นม้าสีหมอกพลางควบขับออกไปกับนางวันทอง ทั้งสองนั้นเดินทางไปพร่ำพรอดกัน จนมาถึงยังชายป่าแห่งหนึ่ง ขุนแผนก็ใช้มีดตัดเถาวัลย์ มาสานเป็นเปลและนำมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ สูงจากพื้นดินมากมายนัก เพื่อป้องกันสัตว์ป่ามาทำร้ายในตอนกลางคืน สำหรับม้าสีหมอกนั้น ขุนแผนก่อกองไฟไว้ให้ และสั่งให้โหงพรายนั้นเฝ้าดูแล ส่วนตัวของเขาและนางวันทองนั้น โหงพรายก็ได้ยกร่างทั้งสองขึ้นมาวางไว้บนเปลอย่างนิ่มนวล
ขุนแผนนั้นนอนกอดร่างของนางวันทองจนหลับไป อากาศในช่วงกลางดึกหน้าหนาวนั้นช่างหนาวเย็นยิ่งนัก และยิ่งอยู่ในป่านั้นก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้น ดังนั้นขุนแผนจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหนาว และมองไปเห็นร่างของนางวันทองก็หนาวเย็นเช่นกัน เขาจึงลุกขึ้นจากเปล แล้วประคองร่างของนางวันทองขึ้นมานั่งบนตักของเขาบนต้นไม้ ทั้งสองตระกองกอดกันแบ่งปันไออุ่นซึ่งกันและกัน
สองมือของขุนแผนนั้นลูบไล้ไปตามเรือนร่างอวบอัดสมบูรณ์ของนางวันทอง สองมือของนางวันทองนั้นก็กอดร่างของขุนแผนไว้แน่น ขุนแผนนั้นเมื่อได้กลิ่นสาบของนางวันทอง ซึ่งเป็นกลิ่นที่ตนเองนั้นได้เฝ้าฝันถึง ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น ก็สุดจะทนทานได้ ก้มหน้าลงประทับจูบยังริมฝีปากอวบอิ่มของนางวันทอง พลางยื่นลิ้นไปกระหวัดพันกับลิ้นของนางวันทอง
นางวันทองเมื่อเจอกับลีลาของขุนแผนก็ถึงกับเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้ขุนแผนนั้นปลดผ้าแถบรัดหน้าอก ปล่อยหน้าอกที่อวบใหญ่หลุดออกมากระเพื่อมอยู่ตรงหน้า ขุนแผนก้มลงดูดดุนปลายถันสีน้ำตาลอ่อนหายเข้าไปในปากพลางดูดดุนด้วยปากและลิ้น มืออีกข้างก็เคล้นคลึงเต้าอีกข้าง ปลายนิ้วก็บีบบี้ปลายถันจนมันแข็งขี้ชัน เมื่อขุนแผนดูดดื่มเต้าถันจนอิ่มเอมใจแล้ว ก็จับร่างของนางวันทองยืนขึ้น พลางถลกผ้านุ่งของนางวันทองขึ้น เผยให้เห็นสะโพกผายกว้าง ท้องทุ่งรกเรื้อไปด้วยหญ้าจนมองไม่เห็นปากทางเข้า
ขุนแผนก็ปลดกางเกงของตนปล่อยให้ควยอาคมนั้นแข็งเด่ ชูหัวแดงร่า บอกอารมณ์ของเจ้าของอย่างชัดเจน จากนั้นก็ค่อยๆ จับร่างของนางวันทองนั่งลง ให้ปากทางของนางวันทองนั้นอมหัวของควยอาคมเข้าไปทีละน้อย ขุนแผนนั้นแสนจะแปลกใจที่หีของนางวันทองนั้นหาได้ฟิตไม่ เขามีความรู้สึกดุจดั่งควยอาคมของเขานั้น แหย่เข้าไปในปล่องอะไรซักอย่างที่หลวมกว้าง
สำหรับนางวันทองนั้นเมื่อควยอาคมของขุนแผนนั้นแหย่เข้าไปในร่องหีของนางนั้น นางกลับไม่แสดงอาการเสียวแต่อย่างใด ขุนแผนนั้นทอดถอนใจ ในที่สุดสิ่งที่เขากลัวนั้นมันก็มาถึง หีของนางวันทองนั้นกลวงบานออกตามขนาดควยพิสดารของขุนช้างไปเสียแล้ว มันคงไม่อาจกระชับได้ดั่งเดิม ขุนแผนจึงดึงร่างของนางวันทองขึ้นยืน ตนเองนั้นพนมมือบริกรรมคาถาที่อาจารย์ได้เคยสอนไว้เมื่อยามที่ทำควยอาคมให้แก่เขา เมื่อบริกรรมผ่านไปหนึ่งคาบ ควยอาคมของขุนแผนนั้นขยายขนาดขึ้นมาก เมื่อขุนแผนนั้นบริกรรมครบสิบคาบ ควยอาคมของขุนแผนนั้น ยาวไม่น้อยกว่า 9 นิ้ว ใหญ่กว่าข้อมือของนางวันทองมากนัก
นางวันทองเมื่อเห็นควยอาคมของขุนแผนนั้นขยายขนาดได้ก็แปลกใจระคนดีใจ ค่อยหย่อนสะโพกลงมาจนปากร่องหีนั้นครอบหัวควยอาคมของขุนแผน แล้วค่อยๆ กดลงไป โอว มันช่างใหญ่คับแน่น บีบรัด ทั้งสองนั้น สูดปากด้วยความเสียวซ่าน แต่ถึงแม้ควยอาคมจะใหญ่โตสักเพียงไร แต่ด้วยความฤทธาของมัน ทำให้นางวันทองนั้นไม่ใคร่เจ็บปวดแม้ขณะที่ควยอาคมแหวกร่องหีของนางเข้าไป คงเหลือแต่ความเสียวซ่าน น้ำเงี่ยนของนางวันทองไหลอาบควยอาคมของขุนแผนเป็นมันปลาบ ขณะชักขึ้นลงได้ยินเสียงดัง เจ๊าะแจ๊ะ ป้าบ ป้าบ ดังสะท้านป่า นานกว่า 3 ชั่วโมง จึงได้หยุดไป สร้างความแปลกใจแก่สัตว์ป่าบริเวณนั้นเป็นยิ่งนัก
เวลาผ่านไปกว่า 2 วัน ขุนช้างจึงได้รู้สึกตัว เมื่อรู้สึกตัวขุนช้างก็แหกปากร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่นานกว่าครึ่งวัน ทำให้บ่าวไพร่ต้องหนวกหูกับเสียงควายร้องออกลูกของขุนช้างเป็นยิ่งนัก แต่ไม่อยากโดยถีบก็จำต้องก้มหน้าทนต่อไป ขุนช้างร้องไห้เสียใจจนรู้สึกว่าตนเองจะต้องทำอะไรเป็นการแก้แค้นไอ้ขุนแผนที่ทำกับเขา ขุนช้างจึงลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเรียกบ่าวไพร่เตรียมม้า เพื่อจะออกควบขับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาที่กรุงศรีอยุธยา
ขุนแผนนั้นมีความสุขยิ่งนัก การเดินทางของเขาในครั้งนี้ มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดเวลาแห่งความสุขก็หมดไป วันหนึ่งนางวันทองก็เริ่มมีอาการอาเจียนในช่วงเช้าๆ สร้างความเป็นห่วงเป็นใยให้แก่ขุนแผนยิ่งนัก เขาจึงต้องพานางวันทองเข้าเขตเมืองพิจิตร เพื่อหาหมอมาดูอาการของนางวันทอง เมื่อหมอได้ตรวจอาการของนางวันทองแล้ว ก็บอกยิ้มๆ กับขุนแผนว่า
““ท่านจะได้เป็นพ่อคนแล้ว ดีใจด้วยนะ””
ขุนแผนได้ฟังก็โห่ร้อง พลางกระโดดโลดเต้น หกหน้าหกหลัง ประดุจเด็กตัวน้อยๆ ที่ได้ของเล่น วิ่งเข้ามากอดท้องของนางวันทอง แล้วหัวเราะร่า ส่วนนางวันทองนั้นเมื่อได้ฟังคำของหมอก็ตะลึงแข็งไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าตนเองจะตั้งครรภ์ เมื่อขุนแผนมากอดครรภ์ของนางนั้น นางก็กอดศีรษะของขุนแผนไว้แน่น แล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ขุนแผนเมื่อเห็นเมียร้องไห้ ก็แปลกใจถามไปว่าทำไมจึงร้องไห้ นางวันทองก็ไม่ตอบ
ขุนแผนนึกว่าเมียจะไม่สบายใจ จึงกล่าวปลอบใจนางวันทองไป ทำให้นางวันทองที่เห็นขุนแผนตื่นเต้นขนาดนี้ก็หยุดร้องไห้ แล้วกลับมาหัวเราะกับท่าทีของขุนแผนสร้างความงงงวยให้แก่ขุนแผนยิ่งนัก ยามเมื่อทั้งสองเดินทางกลับจากเขตเมืองพิจิตรเพื่อกลับไปยังที่พักของทั้งสองที่ชายป่านั้น ก็ประสบกับกองทัพของทหารจากเมืองพระนครศรีอยุธยา ขุนอินทร์ เป็นผู้นำทัพมา โดยได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระพันวษา ให้มาจับขุนแผนที่ประพฤติตนเป็นกบฏและหลอกลวงเอาเมียเพื่อนมา ตามคำเพ็จทูลของขุนช้าง ซึ่งสร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระพันวษายิ่งนัก รับสั่งให้จัดกองทัพและแต่งตั้งให้ขุนอินทร์ นายทัพผู้เก่งกล้า ติดตามเอาตัวมาให้ได้ ถ้าไม่ได้ตัว ก็เอาหัวมา
ขุนอินทร์นั้นเร่งทัพมาจากกรุงศรีอยุธยา ตามรายทางได้รับความร่วมมือจากบรรดาหัวเมืองทั้งหลาย แจ้งข่าวของขุนแผนและนางวันทอง ทำให้กองทัพได้ติดตามมาจนถึงยังที่นี้ ขุนอินทร์เมื่อเห็นขุนแผน ก็ลงจากหลังม้า แล้วยิ้มเยาะขุนแผนพลางกล่าว
““นี่น่ะหรือ ไอ้กบฏขุนแผน ที่แย่งเมียเพื่อน ช่างหน้าตัวเมียซะนี่กระไร สงสัยพ่อแม่จะไม่ได้สั่งได้สอน บังอาจมากบฏในช่วงที่กูได้เป็นนายทัพ ชะตามึงน่ากลัวจะขาดซะละมั้ง””
ขุนแผนได้ฟังคำของขุนอินทร์ ก็โกรธยิ่งนัก ไม่ตอบคำของขุนอินทร์ ลงจากหลังม้าพลางตบสะโพกม้าสีหมอกให้เดินหลบไปข้างๆ ชักดาบฟ้าฟื้นออก ปากก็บริกรรมคาถาสำทับจากด้ามดาบไปจนปลายดาบ ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าครืนครั่นมาแต่ไกล ดาบฟ้าฟื้นส่องประกายสีเขียวจ้าออกมา ขุนแผนจึงยกดาบฟ้าฟื้นขึ้นพลางกระหวัดฟันอย่างแรง ก่อให้เกิดเสียงเปรี้ยงดุจดั่งฟ้าร้อง ประกายดาบกรีดเป็นรูปวงโค้ง สีเขียวเข้ม วิ่งฝ่าอากาศอย่างรวดเร็ว เข้าหาขุนอินทร์ที่ยืนตะลึงนิ่งอยู่ ประกายวงโค้งสีเขียวนั้น วิ่งผ่านคอของขุนอินทร์ และเลยไปยังกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไปจนกระทบกับต้นไม้ใหญ่ขนาด 10 คนโอบ ล้มดังครืน หัวของขุนอินทร์ และบรรดาทหารที่ยืนด้านหลัง ก็กลิ้งลงจากบ่าโดยพร้อมกัน สร้างความตื่นกลัวแก่บรรดาทหารที่เหลือ พากันวิ่งหนีตายกันอลหม่าน
ขุนแผนเก็บดาบฟ้าฟื้นเข้าฝัก แล้วเดินเข้ามาหานางวันทองที่นั่งปากอ้าตาค้างอยู่บนหลังม้าสีหมอก พลางจูงบังเหียนเดินช้าๆ กลับเข้าไปยังที่พักของตนอย่างสงบ ทิ้งซากร่างของขุนอินทร์และทหารที่ตายเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าและบรรดานกกาต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น