วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559
คำสารภาพของแฟนผม ตอนที่14
ครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงซีเรียสๆของน้องนิด บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา แล้วเธอก็เงียบไปพักหนึ่ง ใจผมก็เตลิดคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ ว่าใครหนอมาบังอาจทำอะไรกับเมียกรูหรือเปล่า แต่พอซักถามให้น้องนิดค่อยลำดับความเล่าเรื่อง ผมก็เบาใจลง เพราะมันเป็นเรื่องของพ่อเธอที่จะขายที่ดินที่จังหวัดนนท์ ให้กับเจ้าของหมู่บ้านที่ซื้อที่ดินผืนใหญ่ของญาติๆเธอไปแล้ว พ่อเธออยากขายเนื่องจากจะเอาเงินไปลงทุนทำร้านอาหารที่อเมริกาตามญาติพี่น้องที่ไปก่อนหน้านี้ ผมลองสอบถามว่าน้องนิดกังวลเสียดายที่ดินยังงั้นหรือ แต่คำตอบของเธอถึงกับทำให้ผมอึ้ง เมื่อเธอร่ายยาวออกมาเป็นชุด
"เปล่าค่ะ...นิดไม่ได้เสียดายที่ดิน หรือบ้านหรอก เพราะมันเก่าแล้ว อีกทั้งก็ไม่ใช่บ้านโบราณที่จะต้องอนุรักษ์ไว้ แต่นิดเสียดายต้นไม้ที่ปู่ย่าปลูกไว้น่ะค่ะ....พี่ลองคิดดูนะคะว่า ปัจจุบันจังหวัดนนท์จะเหลือทุเรียนพันธ์หมอนทอง ก้านยาว กบตาขำ แท้ๆอีกสักกี่ต้น...ไหนจะมะม่วงอกร่องสวน มะม่วงยายกล่ำ มันไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ถ้าพ่อขายให้กับหมู่บ้านจัดสรร เขาก็ต้องโค่นทิ้ง..ผลไม้เหล่านี้ทำเงินเลี้ยงนิดมาจนโต...นิดเสียดายค่ะ...ไม่อยากให้โดนโค่นทิ้ง" ท้ายเสียงของน้องนิดสั่นครือ ทำให้ผมมั่นใจว่าเธอรู้สึกเสียดายต้นไม้เหล่านี้อย่างแท้จริง ผมลองถามไปว่าจะให้ช่วยยังไงล่ะ น้องนิดเลยถามว่าผมพอจะรู้จักใครๆที่อยากซื้อที่ดินมั๊ย แต่มีข้อแม้ว่าซื้อไปแล้วขอให้อนุรักษ์ต้นไม้ของเธอไว้ อย่าโค่นทิ้ง ผมเลยถามพิกัดสถานที่ตั้งของที่ดินบ้านน้องโดยละเอียด พร้อมรับปากว่าจะหาทางช่วยเธอ ทำให้เธอดีใจน้ำเสียงดีขึ้น ผมพูดหยอกเย้าน้องนิดอีกสักครู่ ก็ลองโทรไปหาพรรคพวกที่กรมที่ดิน จังหวัดนนท์ อยากรุ้ราคาประเมินของที่ดินบ้านน้องนิดว่ามันตารางวาละเท่าไหร่ พอได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รุ่งขึ้นผมก็ขับรถโฉบไปที่นั่นทันทีโดยไม่บอกให้น้องนิดทราบ
ผมกับเพื่อนที่เป็นนักกฎหมายไปถึงบ้านน้องนิดที่จังหวัดนนทืในช่วงบ่าย จอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินไปเยี่ยมมองตรงประตุรั้ว เจอพ่อแม่น้องนิดอยู่ในบ้านพอดี เลยสอบถามว่าได้ข่าวที่ดินผืนนี้จะขายใช่ไหม พ่อน้องนิดรับว่าใช่ แล้วเชื้อเชิญผมเข้าไปในบ้านเมื่อรู้ว่าผมสนใจอยากจะซื้อ พ่อแม่น้องนิดเป็นชาวบ้านซื่อๆ ไม่มีเล่ห์ทางการค้า มีคนมาสนใจสอบถามถึงบ้านกลับไม่โก่งขึ้นราคาที่ดินแม้สักบาท คงบอกราคาขายตามที่น้องนิดบอกกับผมมา ซึ่งมันก็เป็นราคาที่สุงกว่าราคาประเมินตารางวาละไม่ถึงพัน ผมตกลงซื้อไว้โดยจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อน10เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจะทำเรื่องกู้แบ็งค์โดยเอาโฉนดที่ดินผืนนั้นวางค้ำประกัน ผมมั่นใจว่าในขณะนั้นเครดิตของผมกับแบ็งค์ดีมาก ไม่น่าจะเป็นปัญหา ระหว่างที่กำลังคุยแล้วให้เพื่อนร่างสัญญาการซื้อขาย ผมขออนุญาติพ่อแม่น้องนิดเดิสำรวจรอบๆบ้าน จุดแรกที่ผมมองคือห้องนอนของน้องนิด ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นห้องใด แต่จากการที่เคยคุยกันโทรศัพท์เรื่องหนุ่มบ้านข้างๆมาแอบมองเธอนั้น ทำให้ผมพอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นห้องด้านซ้ายที่ติดกับบ้านอีกหลัง หน้าต่างสองบ้านอยู่เยื้องกันหน่อยๆ ตรงตามที่น้องนิดบอกทุกประการ ผมเลยมองไปยังบ้านตรงข้ามเห็นว่าปิดเงียบอยู่ เลยลองสอบถามพ่อน้องนิดว่าเป็นบ้านใคร พ่อน้องนิดก็บอกว่า
"เป็นบ้านให้นักศึกษาเช่าน่ะครับ เจ้าของบ้านตัวจริงไปเรียนที่อเมริกา เพิ่งกลับมาปีที่แล้วนี่เอง ผมได้ยินข่าวว่าพอเด็กนักศึกษาที่เช่าเรียนจบแกจะเอาคืนแล้วรื้อปลูกใหม่ ว่าแต่คุณซื้อที่ดินผมไปทำอะไรครับ ขอโทษที่ถาม..."
"ผมกะว่าจะทำเรือนหอนะครับพี่....." พอผมตอบไปพ่อแม่น้องนิดต่างมองหน้าอมยิ้ม คงไม่เชื่อหรอกครับว่าหนุ่มใหญ่มากอายุขนาดผมยังไม่ได้แต่งงาน พอแกไม่ซักถามอะไรต่อ ผมก็ลากลับ โดยเรื่องนี้ผมเก็บไว้เป็นความลับไม่บอกน้องนิด กะจะเซอร์ไพร์ซเธอเมื่อถึงเวลาอันสมควร
รุ่งขึ้นอีกวันน้องนิดก็มาหาผมที่ไซด์งาน ในขณะที่ผมกำลังดูงานก่อสร้างบ้านอยุ่พอดี เธอเดินฝ่าเปลวแดดอ่อนๆยามบ่ายแก่ๆ ตรงมาหาผมด้วยหน้าตาเธอสดใสท่าเดินสวยสง่าในชุดนักศึกษาขาวสอาด พวกคนงานก่อสร้างทั้งไทยทั้งประเทศเพื่อนบ้านต่างจ้องมองเธอตาค้าง แอบซุบซิบกันทำนองอิจฉาเจ้านายที่มีสาวสวยวัยละอ่อนหุ่นเซ็กซี่เป็นเมีย
น้องนิดยังเดินมาไม่ถึงตัวผม ผมก็ชิงรีบเดินไปหาพร้อมพาเธอมาที่ออฟฟิตชั่วคราว เธอมาขอบคุณผมที่พาเพื่อนไปซื้อที่ดินของพ่อ...
"เห็นพ่อบอกว่ามากันสองคน..พี่ไปด้วยใช่มั๊ยคะ". ผมตอบรับว่าอืม
"พ่อบอกว่าเพื่อนพี่จะซื้อเอาไว้ทำเรือนหอ..." น้องนิดยังพูดต่อจ๋อยๆ
"คงงั้นมั้ง.....มีอะไรหรอครับ"
"ก็นิดแปลกใจว่า...เพื่อนพี่ก้น่าจะอายุประมาณพี่ ..เอ่อ..อายุขนาดนี้ยังไม่แต่งงาน ยังมีอีกหรอคะนอกจากพี่อ่ะ"
"ก็มีสิ..." ตอนนั้นผมไม่รุ้จริงว่าน้องนิดจะมาหลอกถามผมหรือเปล่า เพราะผมยังไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมเป็นคนซื้อที่ดินผืนนั้นเอง จึงพยายามพูดให้น้อยที่สุด
"เอ๊ะ....หรือว่าจะซื้อให้บรรดาน้อยๆ...." เธอยังไม่ยอมจบ
"ก็แล้วมันแปลกอะไรล่ะที่รัก..เขาจะซื้อให้ใครก็เป็นเรื่องของเค้า แต่เพื่อนพี่ก้รับปากกับพี่ว่าจะไม่แตะต้องต้นทุเรียนของนิด.."
."ที่นิดข้องใจก็คือ...เพื่อนฝูงกันคบกันย่อมต้องมีรสนิยมคล้ายกันพี่ว่าจริงมั๊ยคะ...."
"จริงมั้ง..." พอผมตอบออกไปแบบนั้น น้องนิดก็เดินเข้ามาใกล้ทำท่ายกมือสุงระดับคอผม แล้วปั้นหน้าเหี้ยม พูดเสียงแข็งขึ้นมา
"ถ้าพี่ทำแบบเพื่อน มีอีหนูแอบซ่อน นิดจะเอาตาย" พอพูดเสร้จเธอก็ลดมือลงวูบแล้วคว้าเป้ากางเกงของผมบีบเบาๆทำหน้าเหี้ยมเกรียม
"เจ้หมวยเตือนอาตี๋เล็กไว้ก่อนน๊า...ถ้านอกใจเจ๊หมวยมะไหร่ละก็ จะหักคอตี๋เล็กจิ้มน้ำพริกกินแน่นอน"จากนั้นก็หัวเราะคิกๆ ผมละยอมเลยกับความน่ารักทะลึ่งทะเล้นของเธอ มักมีมุกมีคำพูดมีศัพท์แปลก ๆ มาเย้าหยอกให้ผมตื่นเพริดได้ตลอดเวลา มือที่กำกุมพวงไข่ผมนั้นไม่ได้บีบแน่นจนผมหน้าเขียว เธอบีบๆคลึงๆให้ผมตื่นเตลิดเสียมากกว่า พอน้องนิดขู่จบก็ปล่อยมือ ผมฉวยจังหวะเอาคืนล้วงมือไปกำบีบเนินเสียวในกระโปรงพรีสจีบรอบตัวของเธอแล้วทำหน้าหื่นๆกระซิบเธอเบาๆบ้างว่า
"แล้วหมวยเล็กไม่ให้รางวัลตี๋ใหญ่บ้างหรอจ๊ะ" ผมพูดไปขยับมือบีบคลึงเนินสาวไปจนน้องหมวยของผมเริ่มตัวอ่อน ทันใดนั้นช่างสมโฟร์แมนของผมก็โผล่พรวดเข้ามาเพราะผมลืมล็อคประตู ช่างสมเห็นจังๆตาว่าผมกำลังล้วงมือจับส่วนใดของน้องนิด เธอร้องว๊ายเมื่อช่างสมเข้ามาแบบไม่ให้สุ่มเสียง แล้วรีบเบี่ยงตัวเข้าไปหลบซุกหน้ากับแผ่นหลังกว้างของผม ช่างสมมองเราสองคนอมยิ้มๆ แล้วยื่นเอกสารให้ผมก่อนเดินออกไปโดยไม่พูดจา พอช่างสมออกไปจากห้องแล้วน้องนิดก้ค่อยโผล่หน้าลอดวงแขนของผมออกไปมองแล้วหยิกแขนผมบิดอายหน้าแดงกร่ำ พร่ำอุ๊บอิ๊บว่าผมเป็นตาแก่ลามก
คืนนั้นที่คอนโดของผม น้องนิดก็ตอบแทนเรื่องที่ผมช่วยเหลือเธอ ด้วยความรักและความประทับใจจนผมแทบจะสำลักความสุขที่เธอมอบให้ เราสองคนเริงรักกันอย่างอ่อนหวานในช่วงเริ่มต้น ก่อนจะเร่าร้อนรุนแรงเมื่อไฟสวาทโหมกระพรือ
ผมยังจำได้แม่นว่าคืนนั้นน้องนิดให้บริการผมอย่างกับผมเป็นราชา แล้วเธอเป็นนางบำเรอทาสสวาท เธอจับผมอาบน้ำ ขัดตัวแล้วนวดผมด้วยฟองสบูเลียนแบบวีดีโอหนังโป๊ที่ผมเคยเปิดดูกัน จากนั้นพาผมขึ้นเตียงผูกมือผมสองข้างโยงไว้กับเสาหัวเตียง แล้วปีนขึ้นมาขย่มร่วมกันอย่างเร่าร้อน ลีลาบิดพริ้วส่ายเอวร่อนสไลตัวยึกๆยักๆ ไหลลื่นแทบไม่มีชงักติดขัดเลยสักครั้งทำให้ผมเกือบหัวใจวายเสียให้ได้ พอผมใกล้เสร็จ เธอก็ใช้ปากทำให้ต่อจนน้ำกามของผมกระฉูดออกมาหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือเก็บไว้ในสต็อคแม้แต่หยดเดียว
ชีวิตโชคชะตาไม่มีอะไรแน่นอน ช่วงระหว่างนั้นที่ผมกับน้องนิดกำลังมีความสุขหวานชื่นกันอยู่ ผ่านไปไม่ถึงเดือนก็มีข่าวร้ายเรื่องเศร้าเกิดขึ้นกับน้องนิด หลังจากที่พ่อเธอได้รับเงินค่าที่ดินในส่วนที่ผมกู้แบ็งค์เรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่เธอก็บินไปอเมริกา ดูลู่ทางที่จะหุ้นกับญาติๆในการทำร้านอาหารไทย สายการบินที่พ่อแม่เธอเดินทางไป ประสพอุบัติเหตุเครื่องบินตก ท่านทั้งสองตายในซากเครื่องบินลำนั้น ผมจำได้ว่าน้องนิดร้องไห้เมื่อทราบข่าวนี้ เหมือนเสียสติ เธอร้องไห้เหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด ผมเพียงได้แต่ปลอบประโลม แล้วเป็นธุระจัดงานศพให้ท่านทั้งสอง เสมือนหนึ่งเป็นพ่อแม่ของตนเอง ในวันเผาศพ ญาติๆของน้องนิดบินมาร่วมงาน แต่ดูเหมือนจะเกิดความไม่เข้าใจกันบางเรื่องเกี่ยวกับเงินที่พ่อแม่น้องนิดรับปากว่าจะไปร่วมลงทุน แต่น้องนิดคงไม่อยากให้ เพราะใจของเธอไม่ต้องการไปลงทุนที่อเมริกาตั้งแต่แรกมาแล้ว ผมเสมือนยังเป็นคนนอกจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว รู้เพียงว่าญาติทั้งหมดของเธอบินกลับอเมริกาในวันรุ่งขึ้นด้วยความขัดใจ ขนาดประกาศตัดเป็นตัดตายกับน้องนิด
ช่วงนั้นผมเลยให้น้องนิดมาอยู่ด้วย ไม่อยากให้เธออยู่ตามลำพัง คอยพูดจาปลอบประโลมให้เธอคลายทุกข์ แม้ผมจะเสียใจไปกับเธอก็จริง แต่ลึกๆผมกลับแอบยินดีด้วยความเห้นแก่ตัวว่า บัดนี้อุปสรรคที่จะขัดขวางชีวิตรักของผมกับน้องนิดก็หมดลงแล้ว ผมเพียงรอจังหวะเหมาะๆที่จะขอเธอแต่งงาน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น