วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2564

หอมกลิ่นโลกีย์ ตอนที่ 8



          อาแปะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ตระกูลของเขาไม่ได้ร่ำรวย ทุกคนต้องทํามาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำกันมาทั้งนั้น เขามีพี่น้องหลายคน แต่ละคนก็ยากจนแต่ก็ขยัน ดูเหมือนมีอาแปะเพียงคนเดียว ที่จะเกียจคร้านกว่าพี่น้อง ท้องเดียวกัน
          ก่อนนั้นเขาอยู่ในกรุงเทพฯ ทํามาหากินอะไรไม่จริงจัง หยิบจับอะไรไม่แน่นอน ไม่ได้มุ่งมั่นในการหาเลี้ยงชีพ ชอบเล่นการพนัน และดื่มเหล้าคบเพื่อน อาเหลี่ยนเมียของอาแปะส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย แต่นางก็ทํามาหากินตัวเป็นเกลียว โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบที่ไม่มีลูก ถ้ามีลูกจะเลี้ยงกันไหวหรือไม่ อาเหลี่ยนคิดแล้วคิดอีก อาจเป็นโชคดีของเด็กที่ไม่ยอมเกิดมา ถ้ามาเกิดในท้องอาเหลี่ยนนั่นก็หมายถึงความลําบาก
          อาเหลี่ยนเป็นผู้หญิงสวย ผิวขาว หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นชาวจีน มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาชอบกันเยอะ แต่อาแปะมือไวกว่า จึงได้อาเหลี่ยนมาครอง ได้มาแล้วเขาไม่ได้ถนอม ให้สมกับที่ช่วงชิงมาได้

          อาแปะมัวเมาการพนันเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงกับกู้ยืมเงินเถ้าแก่เล้ง ที่มากินทางปล่อยเงินกู้ แล้วคิดดอกแพงๆ เก็บกันเป็นรายวัน ลูกหนี้ของเถ้าแก่เล้งส่วนใหญ่จะต้องมีหลักประกัน แต่สําหรับอาแปะ ไม่มีอะไรจะให้เถ้าแก่เล้งยึดได้ แต่เถ้าแก่เล้งก็ให้กู้ ไม่มีใครรู้ว่าเถ้าแก่คิดอะไรอยู่ แม้แต่อาแปะก็ไม่ทราบ แต่อาแปะสังเกตเห็นอยู่อย่างว่า เถ้าแก่เล้งนั้น ชอบแอบมองอาเหลี่ยนของเขาอยู่บ่อยๆ มันเป็นสายตาที่บ่งบอกความพึงพอใจ แต่อาแปะก็ไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ ไม่มีใครมาพรากอาเหลี่ยนไปจากเขาได้ อาเหลี่ยนรักเขา หลงเขา ปิดหนทางที่อาเหลี่ยนจะไปชอบคนอื่น

          อาแปะเป็นคนกู้ยืม แต่คนส่งดอกคืออาเหลี่ยน เขาคิดดอกกันอีท่าไหน อาแปะก็ไม่เคยที่จะล่วงรู้มาก่อน ได้เงินจากเถ้าแก่เล้งมา ก็เข้าบ่อนการพนัน หมดแล้วก็ไปหาเถ้าแก่เล้งอีก อาเหลี่ยนเตือนแล้วเตือนอีก อาแปะก็ไม่เชื่อ แถมยัง ตวาดนางเสียอีก

          อาแปะคงลืมไปว่า อาเหลี่ยนนั้น ไม่ได้แก่เฒ่าอะไรเลย วัยสี่สิบต้นๆ ของนางนั้นยังพริ้งเพรา หน้าตาเหมือนเพิ่งจะสามสิบ ยังมีผู้ชายหมายปองกันไปทั้งละแวก อาแปะไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ระหว่างเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้ กับภรรยาแสนสวยไม่สร่างซาของเขา

          เขารู้อีกที ก็ตอนที่อาเหลี่ยนหายตัวไปจากบ้าน ตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ก็ยังไม่สนใจ หาเงินไปเล่นพนันต่อดีกว่า เข้าไปในบ้านเถ้าแก่เล้ง แบมือขอกู้เงิน เถ้าแก่เล้งโบกมือ บอกว่าไม่ต้องกู้ไม่ต้องยืม ให้ไปเลยแล้วไม่ต้องมาหาเขาอีกแล้ว จบกันที ทําให้อาแปะรู้สึกแปลกใจ มองหน้าเถ้าแก่เล้ง
          “พูดเล่นหรือพูดจริงเถ้าแก่”
          “จริงซี”
          “แน่นะเถ้าแก่”
          “เอาหรือไม่เอา”
          อาแปะรีบกําเงินออกจากบ้านไปเสียในบ่อนจนหมดเกลี้ยง กลับบ้านอย่างอ่อนระโหย มีคนบอกเขาว่า อาเหลี่ยนหนีไปแล้ว เขาก็ยังไม่เชื่อ หาว่าชาวบ้านปากอยู่ไม่สุข จะมีเรื่องมีราวกัน

          อาแปะไม่พบอาเหลี่ยนอีกเลย ไม่รู้นางไปอยู่ที่ไหน ตามหาจ้าละหวั่น จนมีคนมากระซิบบอกว่า อาเหลี่ยนอยู่บ้านเถ้าแก่เล้ง อาแปะก็ตกใจ รีบไปค้นหาความจริงที่นั่น ก็พบว่าอาเหลี่ยนอยู่บ้านหลังใหญ่โตนั้นจริงๆ
          “นี่มันหมายความว่ายังไง”
          อาแปะถามเถ้าแก่เล้ง แต่เถ้าแก่ไม่ตอบ เขาให้อาเหลี่ยนเป็นคนชี้แจง อาเหลี่ยนแลดูสวย สะอาดสะอ้าน อยู่ในเสื้อผ้าที่ดีมีราคา ไม่เหมือนอาเหลี่ยนคนก่อน ใบหน้าหมองไปบ้าง แต่ก็ยังแลดูงาม

          “เฮียน่ะเอาเงินเถ้าแก่เขาไป จนใช้เขาไม่ไหวแล้ว ฉันต้องอยู่ที่นี่แหละ กลับบ้านไม่ได้แล้ว ต้องอยู่ใช้หนี้เขา”
          ทีแรกอาแปะก็ยังไม่เข้าใจอะไร เขานึกว่าอาเหลี่ยนอยู่ที่บ้านเถ้าแก่เล้งเพื่อทํางานใช้หนี้ แต่มันไม่ใช่ยังงั้น ชาวบ้านพูดกันไปทั่วว่า อาเหลี่ยนเป็นเมียน้อยเถ้าแก่เล้ง เถ้าแก่เล้งเป็นม่ายมาหลายปี แอบชอบอาเหลี่ยนมานาน และพาอาเหลี่ยนไปขัดดอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดติดเนื้อต้องใจกัน จนต้องใช้ชีวิตร่วมกันอย่างที่เห็นๆ กันอยู่

          ที่อาแปะได้ยินต่อมาคือ อาเหลี่ยนอยู่กับเถ้าแก่เล้งนั้น ดีกว่าอยู่กับอาแปะ อยู่กับอาแปะทํางานตัวเป็นเกลียวคนเดียว เลี้ยงอาแปะ แล้วต้องหาเงินใช้หนี้ที่อาแปะเป็นคนก่อ แต่อยู่กับเถ้าแก่เล้ง นางไม่ต้องหยิบจับอะไรเลย อยู่กับอาแปะ เหมือนตกนรก แต่อยู่กับเถ้าแก่เล้ง เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น

          อาแปะแทบเป็นบ้า เมื่อได้ล่วงรู้ความจริง คิดแล้วคิดอีกว่าจะทําอย่างไรดี เขาอยากจะไปลากตัวอาเหลี่ยนกลับมา แต่หลายคนก็พูดกันว่า อาเหลี่ยนอยู่กับเถ้าแก่เล้งสบายดีแล้ว ถ้าอาแปะรักอาเหลี่ยนก็คงไม่ไปเอาตัวอาเหลี่ยนกลับมาทุกข์ยากลําบากอีก แล้วอีกอย่างอาแปะจะเอาเงินที่ไหนไปไถ่ตัวอาเหลี่ยนกลับมา

          น้องชายของอาแปะรู้ข่าวก็รีบมาหาพี่ชาย เขาเองก็มีความเห็นเหมือนกับชาวบ้าน ปล่อยให้อาเหลี่ยนมีความสุขเสียที นางลําบากมามากแล้ว อาแปะถึงกับน้ำตาไหล ปลงตก น้องชายชวนไปอยู่ด้วยก็ตกลง ละทิ้งกรุงเทพฯไปอยู่ชานเมือง

          อาแปะมาอยู่ที่หมู่บ้านกับน้องชาย หันหลังให้การพนัน ไม่แตะต้องมันอีกเลย อยู่กับครอบครัวของน้องชายก็อบอุ่นดี เพราะมีหลานๆ อยู่หลายคน คนนั้นก็เรียกอาแปะ คนนี้ก็เรียกอาแปะ

          วันหนึ่งน้องชายกลับมาจากไปธุระในกรุงเทพฯ เอาเงินมายื่นให้อาแปะสามหมื่น อาแปะมองเงินปึกนั้นอย่างงงๆ
          “นี่มันอะไร เงินใคร”
          “อาเหลี่ยนฝากมาให้
          อาแปะมองหน้าน้องชาย เขายิ้มและขอร้องให้พี่ชายรับเงินจํานวนนั้นไว้ บอกว่าเขาไปเจออาเหลี่ยนเข้าโดยบังเอิญ นางฝากมาให้ด้วยความหวังดี นางรู้ว่าอาแปะเลิกการพนันแล้วก็ดีใจ อยากให้เงินจํานวนนี้แก่อาแปะเอาไว้ทําทุน

          ทีแรกอาแปะจะไม่รับ แต่น้องชายขอร้องอ้อนวอนเพราะอาเหลี่ยนตั้งใจฝากมาให้จริงๆ ถ้าอาแปะไม่รับอาเหลี่ยนคงจะเสียใจมาก
          อาแปะรับเงินไว้ แต่ยังไม่ได้หยิบมาใช้แม้แต่บาทเดียว เขาเก็บเอาไว้ โดยยังไม่รู้จะทําอย่างไรกับเงินก้อนนั้น

          เช้าๆ เขาไปกินกาแฟที่ตลาด เห็นการค้าขายของพวกพ่อค้าแม่ค้า ได้รู้ถึงการกู้ยืมเงินกันของพ่อค้าแม่ค้าในตลาด มีคนพูดถึงเจ๊หมวย ที่รวยเพราะปล่อยเงินกู้ ทําให้อาแปะหวนคิดไปถึงเถ้าแก่เล้ง คิดถึงอาเหลี่ยน และคิดถึงเงินจํานวนสามหมื่นบาทที่เก็บเอาไว้

          สามหมื่นบาท เพียงพอจะปล่อยกู้ แต่ต้องระมัดระวัง ปล่อยแต่น้อย เก็บดอกรายวัน เหมือนอย่างที่เจ๊หมวยทํา และต้องเหี้ยมหน่อย ใครไม่มีเงินใช้หนี้ก็ต้องยึด ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นขายของ หรือข้าวของเครื่องใช้ในการค้า
          อาแปะเริ่มปล่อยกู้รายละพัน สองพันก่อน ธุรกิจนี้ดีวันดีคืน มีคนรู้จักอาแปะมากขึ้น ชื่อของอาแปะถูกกล่าวขาน บอกกันต่อๆ ไป เงิน สามหมื่นจึงทวีคูณจํานวนขึ้นเป็นลําดับ

          ทีแรกอาแปะใช้วิธีเดินเก็บดอกเบี้ย ต่อมายึดจักรยานได้หนึ่งคัน ก็ใช้จักรยานเป็นพาหนะ ไม่นานนัก ยึดมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ได้คันหนึ่ง ก็ใช้มอเตอร์ไซค์ที่ยึดมาได้แทนจักรยาน

          เขาปล่อยกู้กับพวกแม่ค้าพ่อค้าในตลาด และต้องดูว่าจะมีอะไรให้ยึดได้บ้าง ในกรณีที่ไม่มีเงินใช้คืน ถ้ารายไหนไม่ควรเสี่ยง เขาก็จําต้องบ่ายเบี่ยง เขาสวมวิญญาณเถ้าแก่เงินกู้ของเถ้าแก่เล้ง จนกลายมาเป็นอาแปะที่คนในหมู่บ้านรู้จักมักคุ้น บ้านหลังที่อาแปะอยู่ปัจจุบันนี้ น้องชายขายต่อให้ ก่อนจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น อาแปะไม่เคยนึกว่าจะมีวันนี้ ไม่เคยนึกว่าจะมีบ้าน เป็นของตัวเอง เขายังคิดถึงอาเหลี่ยนอยู่ แต่ไม่เคยพูดถึงนางให้ใครฟัง

          คนในหมู่บ้าน ต่างเข้าใจว่าอาแปะไม่เคยมีเมียมาก่อน เข้าใจว่าเขาเป็นหนุ่มโสด มันหาได้เป็นเช่นนั้น ถ้าใครได้รู้ประวัติของอาแปะ ก็จะรู้ว่าเขาต้องเสียเมียไป เพราะเขากู้ยืมเงินไปเล่นการพนัน หมดเนื้อหมดตัว ไม่เหลือแม้แต่เมียที่เขารักมากที่สุด


          นุชไม่ชอบอาแปะ ชอบพาแม่ออกไปข้างนอก ไม่รู้ไปไหนกัน และชอบพาไปที่บ้านของเขา ไปทําอะไรกัน หล่อนไม่รู้ แต่พอจะนึกออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่บ้านเดี่ยวหลังนั้น
          บางวันแม่ก็พาอาแปะมานอนค้างคืนในบ้าน นุชจะนอนตัวเกร็ง เมื่อได้ยินเสียงมารดาครวญครางราวกับกําลังได้รับความเจ็บปวดรวดร้าว ในบางครั้งแม่พาอาแปะมากลางวันแสกๆ นั่นหมายถึงวันหยุด ที่แม่ไม่ได้ไปทํางาน อาทิตย์นั้น พี่หนึ่งก็ไม่อยู่ ที่บ้านเหลือแต่นุชคนเดียว

          หล่อนไม่นึกว่าแม่จะพาอาแปะเข้าห้อง  ...แต่แม่ก็พาเข้าไป หล่อนตัวสั่นสะท้าน เพราะเข้าห้องไปได้แป๊บเดียว แม่ก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก แล้วหลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ได้กลายเป็นเสียงครวญคราง
          นุชคิดว่า ก็คงเป็นอย่างที่พี่หนึ่งเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ  ...แต่หล่อนไม่เคยคิดจะแอบฟังเสียงเหล่านั้นเลย รู้ดีว่ามันไม่เหมาะ ไม่ถูกต้อง ไม่สมควรสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้ใหญ่
          แต่ความอยากรู้ มันกระตุ้น เสียงนั้นก็เร้าความรู้สึก จนต้องไปแอบฟังที่ข้างบานประตู ก็สามารถได้ยินเสียงที่ดังอยู่ในห้องได้ทั้งหมด

          หล่อนยืนตัวเกร็ง แทบไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไร ซอกขาทําไมชื้นขึ้นมาเหมือนมีน้ำฉ่ำอยู่ในซอกหลืบ นุชอยากผละออกมาจากประตู แต่ผละไม่ได้ เสียงนั้นมันสะกดเอาไว้ให้แอบฟังต่อไป
          เสียงรัวกระหน่ำ ที่ดังพั่บๆๆ เกือบตลอดเวลา ท่ามกลางเสียงนั้น ก็มีส่ำเสียงของมารดากรีดร้องไม่หยุดหย่อน และเสียงหอบหายใจรุนแรงของอาแปะ เสียงถอนหายใจของแม่
          นุชทนแทบไม่ไหว ได้ยินแม่ร้องเร่งให้อาแปะทําแรงๆ เร็วๆ เสียงรัวก็ยิ่งกระชั้นจนมีเสียงกรีดร้องของแม่ นุชผละออกมา ไม่ไหวแล้ว ขืนแอบฟังต่อไปคงแย่

          หล่อนแทบไม่รู้ตัวว่าส่ำเสียงเหล่านั้นแหละ มันทําให้หล่อนมีความรู้สึกทางเพศรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องช่วยตัวเองหลายครั้งหลายหน จากที่ไม่อยากฟัง ก็กลายเป็นความติดเนื้อต้องใจ เห็น                แม่พาอาแปะเข้าห้องทีไร ก็ต้องรีบไปแนบหูกับบานประตูทีนั้น ทั้งที่หล่อนรู้ดีว่าการกระทําอย่างนั้นไม่เหมาะสม แต่ก็ห้ามใจไม่ได้

          ความจริงมารดาของนุชไม่น่าทําอย่างนั้น จะทําให้ลูกสาวใจแตกหมด มีลูกสาวถึงสองคน กําลังอยู่ในวัยที่เรียกได้ว่าอยากรู้อยากลอง มาทําให้เด็กรู้เห็นอย่างนี้ อาจทําให้นุชกับหนึ่งเสียคน
          นุชจึงต้องแอบฟังการเล่นสนุกบนเตียงนอน ระหว่างแม่กับอาแปะอยู่เป็นประจําขาดไม่ได้ ทีไรก็ทีนั้น

          สําหรับหนึ่ง ก็เช่นเดียวกัน มีโอกาสเมื่อไร หล่อนก็ต้องแอบฟังเสมอ มันตื่นเต้นดี แม้หนึ่งจะอายุมากกว่านุช แต่ความอยากรู้อยากเห็น มันก็ไม่ได้มีอายุมาเป็นขีดจํากัด ถ้าแม่กรีดร้องระรัว หนึ่งก็จะรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหลืบร่อง

          ในครอบครัวไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งมีแฟนหนุ่มอยู่ในที่ทํางาน เลิกงานแล้วทั้งสองมักไปเที่ยวด้วยกัน ทําให้หนึ่งกลับบ้านช้ากว่าปกติ หนึ่งไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้ นุชก็ไม่ทราบ เขาอยากมาส่งหนึ่งที่บ้าน แต่หล่อนไม่เคยยอมให้เขาทําเช่นนั้น เขาจึงจอดรถส่วนตัวส่งหล่อนแค่หน้าหมู่บ้าน แล้วหนึ่งก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านอีกทอดหนึ่ง

          นับวันความรักก็ยิ่งสุกงอม แรงกระตุ้นจากที่บ้าน ประกอบกับแรงรุกเร้าจากแฟนหนุ่ม ทําให้หนึ่งแทบจะควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองไม่ได้ ความอยากรู้อยากลองทวีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ไปกับแฟนหนุ่มทีไร ก็มักโดนเขากอดจูบ มือของเขาซุกซนที่สุด ละลาบละล้วงเข้าไปถึงไหนต่อไหน ไม่ว่าในเสื้อหรือในกระโปรง และไม่ว่าในเสื้อหรือในกระโปรงก็ล้วนแต่ทําให้หล่อนเกิดความรู้สึกมากมาย แรงปรารถนาร้อนรุ่มเหมือนสุมด้วยไฟ

          “พี่ตั้ม ไม่เอาจ้ะ อย่านะจ๊ะ พอแล้ว หนึ่งทนไม่ไหวจ้ะ”
          “ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนซีจ๊ะ”
          “พี่ตั้มพูดเอาแต่ได้ หนึ่งเป็นผู้หญิงนะจ๊ะ คนที่เสียหายก็คือหนึ่ง อุ๊ย ไม่เอา พี่ตั้ม อย่าล้วงเข้าไป ไม่เอา หนึ่งเสียว อู๊ยย์ หนึ่งเสียจ้ะ อย่าล้วงยังงั้น พี่ตั้มอย่าล้วง หนึ่งเสียว เอานิ้วไปทํายังงั้นทําไมจ๊ะ ไม่ดี พี่ตั้มเอานิ้วออก อู๊ยย์ เสียวจ้ะ เสียวมากๆ เลย เดี๋ยวหนึ่งทนไม่ได้”
          “บอกแล้วไงจ๊ะ ไม่ต้องทน”
          “บ้าน่ะซี พูดยังงี้ ไม่เอาแล้ว ไปส่งหนึ่งเถอะ”
          “ส่งที่ไหนจ๊ะ ที่บ้านหรือว่าที่โรงแรม”

          หนึ่งร้อนซ่านไปหมด เพราะเขาล้วงมือเข้าไปในกระโปรง แล้วทั้งลูบทั้งคลึงเนื้อนูนที่หน้าขา แล้วยังมาชวนไปโรงแรมอีก ก็แทบจะตอบไปแล้วว่าให้ไปส่งที่โรงแรม แต่หล่อนจะใจง่ายอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด มันจะไม่ดีแก่ตัวหล่อนเอง หล่อนรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วไม่ใช่เด็กๆ ที่ไม่รู้ประสีประสา

          “ไปส่งบ้าน ออกรถซีจ๊ะ จอดอยู่ตรงนี้ มันมืดแล้วนะ เดี๋ยวใครก็มาจี้เอาหรอก ไปส่งหนึ่งที่บ้าน หนึ่งอยากกลับบ้าน เดี๋ยวแม่เป็นห่วง”
          “ไหนว่าแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ไปกับอาแปะอะไรนั่น”
          “เร็วๆ เข้าเถอะ เอามือออกไปด้วย”
          บอกเขาก็ไม่ยอมชักมือออกจากชายกระโปรง ต้องดึงมือเขานั่นแหละ เขาจึงยินยอม แต่กว่าจะสําเร็จ ก็ต้องใช้ความพยายามกันน่าดู
          นึกว่าเขาจะออกรถ ก็กลับมารบกวนหน้าอกอวบของหล่อนอีก ต้องปัดมือเขาอย่างแรง เขาจึงได้ยุติการรุกเร้าส่วนต่างๆ ของหล่อน

          “ใจร้ายจัง หนึ่งเนี่ย ใครๆ เขาก็ทํากันทั้งนั้น ทําไมต้องหวงด้วย มันไม่เสียหายอะไรหรอกจ้ะ คนที่เขาเป็นแฟนกันน่ะนะ เขาก็ทํากันทั้งนั้น เขาทํากันยิ่งกว่าเราเสียอีกนะหนึ่ง อย่างพี่ๆ ที่เขารักกันชอบกัน เขาไปนอนกันมาแล้วทั้งนั้น เขามีอะไรกันแล้ว เขาเป็นของกันและกันแล้วจ้ะ”

          “พี่ตั้มรู้ได้ยังไง”
          “เรื่องยังงี้ ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น ไม่มีใครเขาเป็นแฟนกันเพื่อเดินควงกันไปโน่นมานี่หรอกจ้ะหนึ่ง ถ้าหนึ่งไม่ลองดูนะ  ...หนึ่งก็จะไม่รู้หรอกว่า การทําแบบนั้นกันมันมีความสุขมากแค่ไหน”
          “มันไม่ดีหรอกพี่ตั้ม”
          “ไม่ดี เขาก็ไม่ทํากันซีจ๊ะ นี่ใครๆ เขาก็ทํากันมันสนุก หนึ่งไม่รู้หรอกว่ามันสนุกแค่ไหน มันทั้งเสียว ทั้งสนุกเชียวละ”
          “พอแล้ว ไม่ฟังแล้ว จะกลับบ้าน”

          จู่ๆ เขาก็ดึงมือของหนึ่งให้ตะปบลงบนเป้ากางเกง หนึ่งสะดุ้ง เพราะมือไปโดนเข้ากับอะไรบางอย่าง ที่เป็นดุ้นใหญ่ยาวแข็งปั๋ง
          หนึ่งจะชักมือกลับ แต่เขากดมือของหนึ่งเอาไว้
          “อุ๊ย...อะไรจ๊ะ”
          “ไม่รู้หรอกหรือหนึ่ง ว่ามันคืออะไร อะไรรู้หรือเปล่า เขาเรียกว่าอะไรเอ่ย อ่อนได้ แข็งได้ ยาวได้ สั้นได้”

          ใบหน้าของหนึ่งร้องผะผ่าว ไม่เอาแล้ว เขาทะลึ่งเกินไป ดึงมือหล่อนไปจับลําเนื้อของเขา แล้วยังมาถามว่ามันคืออะไรเสียอีก มันทั้งยาวทั้งใหญ่  ...น่ากลัวเหลือเกิน ไม่อยากนึกถึงมัน คงเจ็บนะถ้ามันเข้าไปที่ตรงนั้นของหล่อน ไม่น่าทํายังงี้ ตั้มไม่น่าเล่นพิเรนทําให้ใจสั่นไปหมด

          หนึ่งกระชากมือหลุดมาได้
          “พี่ตั้ม พอแล้วนะ ไม่เอาแล้ว ถ้าไม่ไปส่งหนึ่ง หนึ่งจะลงจากรถเดี๋ยวนี้แหละ”
          หล่อนพูดอย่างเด็ดเดี่ยวนั่นแหละ ...แฟนหนุ่มจึงยินยอมพาหล่อนไปส่งบ้านและกล่าวขอโทษหล่อนอยู่หลายคํา ...เอาอกเอาใจ หยอกเย้าเล่น จนหนึ่งก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

          กลับถึงบ้านแล้ว หนึ่งพบว่าตัวเองมีความรู้สึกปรารถนาอย่างรุนแรง ไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ ระหว่างเปลือยกายอาบน้ำอยู่นั้น หล่อนเคล้าคลึงสองเต้าอวบตึงบนหน้าอก และเนินเนื้ออย่างลืมตัว ด้วยความรู้สึกอันรุนแรง หล่อนครางออกมาเบาๆ นึกอะไรหลายอย่าง คิดถึงเสียงครวญครางของแม่ที่เล่นรักกับอาแปะ นึกถึงหนังเอ็กซ์ที่เคยดูมานานแล้ว คิดถึงมือของตั้ม ที่ล้วงเข้าไปเล้าโลมโนมเนื้อข้างในเสื้อและข้างในชายกระโปรง สิ่งสุดท้าย นึกถึงตอนที่มือตะปบลงไปบนแป้ากางเกงของแฟนหนุ่ม
          มันคงทั้งยาวทั้งใหญ่ มันคงจะน่ากลัวมากๆ ก็คงเหมือนในหนังเอ็กซ์ที่เคยดู ของผู้ชายยาวใหญ่น่าตื่นเต้น หัวแดงก่ำ ลํายาวและใหญ่ เหมือนกับกระบอกไฟฉายใหญ่ๆ หรืออาจจะใหญ่กว่านั้น และมีเส้นเอ็นปูดโปนอยู่รอบๆ เนื้อตัวของลํานั้น

          หนึ่งคิดคํานึงอย่างงุ่นง่าน เป็นเหตุให้หล่อนช่วยตัวเองอย่างเมามันส์ ทั้งคลึงโคกเนื้อและเคล้าเคล้นสองเต้าไม่ลดละ ครางไปด้วยและช่วยปลดเปลื้องความรู้สึกอัดอั้น ของตัวเองไปด้วย
          ออกจากห้องน้ำ พบนุชมองหล่อนด้วยสายตาแปลกๆ เอ่ยถามว่า เป็นอะไรไปหรือเปล่า ได้ยินเสียงเหมือนคราง
          “หนาวเหรอจ๊ะพี่หนึ่ง”
          “...เปล่าจ้ะ ไม่ได้หนาวสักหน่อย”
          “ได้ยินเสียงพี่คราง นึกว่าพี่หนาวเสียได้”
          “ครางที่ไหน”
          หนึ่งรีบแก้ตัวโดยเร็ว ด้วยการปฏิเสธ  ...ทําให้นุชขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก็หล่อนได้ยินนี่นา ทําไมพี่หนึ่งบอกว่าเปล่า!

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น