ตอนที่2 --เดินทาง--
ผมลงรถไฟที่สถานีแห่งหนึ่งช่วงรุ่งสาง
เตรียมกล้องถ่ายรูปไปด้วย
ไหนๆก็มาแล้วตั้งใจจะเขียนรีวิวโฮมสเตย์ให้เธอด้วย
เอาประเภทที่อ่านจบแล้วปิ๊งไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก
ไว้ให้เธอใช้สำหรับคุยกับแขกที่ตัดสินใจเข้าพัก
คล้ายๆคู่มือการใช้ของเครื่องใช้ไฟฟ้าแหละครับ
เธอกับแฟนบอกว่าจะมารับผมที่สถานีรถไฟแต่ผมบอกว่าขาลุยอย่างผมถ้าตามใครไม่ถึงบ้านก็ฝีมือตกแล้ว
ตรงนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติมว่าเมื่อลูกค้าห้องพัก(ส่วนใหญ่เป็นสามี-ภรรยา)ตัดสินใจมาพักผ่อนเขาก็เดินทางมา
บางคนขับรถข้ามจังหวัดมา เธอกับแฟนจะออกไปรับ
ง่ายๆคือเจอะเจอนั่งคุยกันก่อนว่าแขกต้องการที่พักแบบไหนอย่างไร
เพื่อให้เป็นการพักผ่อนรีแลคจริงๆคุยเข้าใจตรงกันแล้วจึงมาพักเธอบอกมันลำบากไป
ผมจึงให้เธอบอกชื่อโรงเรียนที่ใกล้โฮมสเตย์เธอที่สุดแถวนั้น
ผมเอากูเกิ้ลลากเส้นแล้วเดินไปถามมอไซรับจ้างข้างๆสถานีรถไฟ
เอาแผนที่ในสมาร์ทโฟนให้เขาดูถามราคาว่าเขาจะเรียกเท่าไหร่
ผมโอเคกับราคาแรกไม่ต่อรอง ทำมาหากินสมัยนี้มันลำบากอยู่
ผมก็คนจนนี่แหละคนขับมอไซก็ไม่ได้รวยจะไปกดคนจนกันเองทำไม
ไปถึงจุดหมายผมจ่ายตามราคาที่ตกลงกันแล้วให้ทิปอีกนิดหนึ่ง
เขายิ้มแฉ่งขอบคุณแล้วรีบขับรถออกไป ผมโทรบอกเธอว่าผมรออยู่หน้าโรงเรียน
ไม่นานเธอกับแฟนก็ขับรถมาถึง
เธอสวมเสื้อผ้าชุดชาวสวนแต่ดูสะอาด
เธอเดินเข้ามากอดผมแน่นไม่เกรงใจแฟนเธอเลย
จนเธอคลายกอดแฟนเธอจึงยกมือไหว้ผม "สวัสดีครับพี่"
ผมตบไหล่เขาบอกเขาว่าสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเขาไม่ได้เลยคือยังหล่อเหลาเหมือนเดิม
เขาตอบว่าพี่ก็ยังดูอบอุ่นเหมือนเดิม เออยกหางกันเองนี่แหละไอ้น้อง
เธอคุยกับผมเป็นภาษกลางแต่คุยกับแฟนเป็นภาษาถิ่น
มันยิ่งรู้สึกถึงความเป็นเนทีฟ
ความบ้านๆไม่เสแสร้งเป็นสิ่งที่แขกที่มาพักชอบ
ขับรถออกจากโรงเรียนมานิดเดียวก็เลี้ยวจากถนนที่วิ่งระหว่างหมู่บ้าน
เลี้ยวลงถนนลูกรังเข้าป่า ขับมาจนถึงปลายทางไม่เห็นมีบ้านคนอื่นเลย
เธอจอดรถหน้าโกดังสินค้าแห่งหนึ่ง มองข้างๆมีคูน้ำใหญ่ขนานไปกับโกดัง
มีคูน้ำเล็กเชื่อมวิ่งขนานกับแปลงผักหลายแปลง "ไหนโฮมสเตย์เอ็งหว่า"
โกดังทรงA ขนาดยาวเกือบ 20เมตร
ประตูบานเลื่อนขนาดยาว5เมตรน่าจะได้ถูกปิดไว้
เธอขับรถไปตามริมคูน้ำเลียบชายคาโกดังจนถึงด้านหลังโกดัง
มีบ้านทรงเพิงหมาแหงนคล้ายบ้านพักคนงานแต่ตกแต่งดีกว่า
บ้านพักคนงานทรงเพิงหมาแหงนเรียงกัน4ห้อง สะอาด เป็นระเบียบ
หากมองจากด้านหน้าโกดังจะไม่เห็น แฟนเธอบอกว่าถึงแล้วครับ
ผมอยู่ห้องแรกเดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บพักที่ห้อง2ติดกับห้องผมนะครับ
ผมจะไปเอาของเตรียมกินเลี้ยงคืนนี้ พี่นอนพักก่อนสักพักเดี๋ยวผมกลับมา
แล้วทั้งคู่ก็เลี้ยวรถกลับขับกันออกไป ผมโคตรงง หยิบกระเป๋าเดินไปที่ห้อง2
เปิดประตูเข้าไป มีแต่ที่นอนบนพื้นไม่มีเตียง มีที่แขวนเสื้อ
เปิดดูห้องน้ำก็ธรรมดา ไม่มีทีวี "นี่หรือโฮมสเตย์" จะถูกหลอกมั้ยเนี่ย
บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งสรุปอะไรๆง่ายๆนัก
ผมเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้เสร็จ
ด้วยอาการงงๆ ไม่นอนพักแต่เดินไปที่ห้อง3 เมื่อเปิดประตูเข้าไปมันสว่างจ้า
มันไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นห้องซักผ้ามีเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่เครื่องอบผ้า
บางส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องใสแดดส่องเต็มห้อง
พื้นปูด้วยกระเบื้องปูภายนอก มุมหนึ่งถูกจัดเป็นที่อาบน้ำเอ้าดอร์
มีแดดมีต้นไม้สวยครับ ถ้าถ่ายรูปมุมนี้สวยเลยแหละ
ลองเดินไปเปิดน้ำดูมันใช้งานได้ครับ
หลังจากนั้นผมเดินออกมาจะเปิดดูห้อง4แต่มันล๊อคจึงเดินออกมาด้านหน้าห้องพักเป็นสนามหญ้ายาวไปจดคูน้ำ
มีซุ้มดอกเห็ด ริมคูมีบันไดลงไปในคูน้ำคล้ายๆบ้านริมคลองที่มีท่าน้ำครับ
บันใดบางส่วนจมอยู่ในน้ำ
เหมาะกับนั่งกินเบียร์ที่ซุ้มดอกเห็ดแล้วลงมาเอาตีนแช่น้ำก็ได้แต่ระวังเมาตกน้ำ
ผักบางแปลงที่อยู่อีกฝั่งคูน้ำกำลังงาม
มองไกลออกไปอีกนิดบางแปลงกำลังเตรียมปลูก อย่างแรกเลยที่ผมทำคือ
ไปหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายห้องน้ำ เอ้าดอร์ แสงเช้ากำลังได้
รูปออกมาสวยเลยครับ เสร็จแล้วก็กลับมานอนคิดทบทวน
ประสบการณ์ชีวิตมันสอนให้ผมอย่าด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป
แล้วก็หลับไปเพราะเพลีย
ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคนเดิน
เปิดประตูห้องออกมาเห็นแฟนน้องเขาเอง เขาถามว่าพี่จะอาบน้ำมั้ย
อาบเสร็จเดี๋ยวพี่ตามผมไปด้านหน้านะครับ ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึงหน้าโกดัง
อาจตั้งเต๊นส์สนามบนลานจอดรถข้างหน้าจัดงาน
พื้นที่มันไม่ใช่ห้องมิดชิดแต่ก็ดีครับงานจะได้เบา อาบน้ำเลย
งานเอน-เนอร์มันสอนผมอย่างหนึ่งคือเราต้องสะอาดสะอ้าน ดูดีตามบุคลิก
เฟรนลี่ ยิ้มง่าย แต่งตัวเสร็จผมเดินเลาะไปตามริมโกดังไปด้านหน้าโกดัง
ไม่มีเต๊นส์อย่างที่คิดมีแต่รถจอดอยู่บนที่ว่างใหญ่ๆแบบหน้าโกดังทั่วไปคันหนึ่ง
ประตูเลื่อนโกดังเปิดแล้ว ผมเดินเข้าไป แม่เจ้า..
โฮมสเตย์เธอมันซ่อนอยู่ในโกดังทั้งหลัง ผมยืนหน้าประตูโกดัง
มองเข้าไปด้านใน
พื้นปูด้วยกระเบื้องมันวับด้านซ้ายมีโซฟาเข้ามุมรูปตัวแอลรับแขกหันออกด้านหน้าประตู
เมื่อเข้าประตูมาจะเจอตรงนี้เป็นที่แรก
พื้นที่ทึบที่ประตูเหล็กเลื่อนปิดตอนเปิดประตูด้านนอก
พื้นที่ด้านในมันเป็นที่วางทีวีและเครื่องเสียง
มันเหมือนมุมรับแขกในบ้านเดี่ยวทั่วไปดีๆนี่เอง
ถ้านึกภาพโกดังไม่ออกให้นึกถึงหอประชุมอำเภอ ยาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า
โครงหลังคาเหล็กสูงๆ ด้านข้างปิดทึบหมดมีแต่ประตูเลื่อนทึบเหล็กขนาดใหญ่ยาว
4เมตรด้านหน้า
เมื่อมองเลยโซฟาด้านซ้ายลึกเข้าไปด้านในโกดังอีกนิดผมเห็นห้องใหญ่อยู่ห้องหนึ่งนึกภาพเราเอาตู้คอนเทนเนอร์วางต่อหลังโซฟา
แต่ที่เห็นมันเป็นห้องสี่เหลี่ยมปูนลอฟท์แข็งแรงคล้ายห้องสำนักงานในโกดัง
มีบันไดเหล็กขึ้นด้านบน
ด้านบนไม่ได้เป็นฝ้าแต่เป็นพื้นปูนใช้พื้นที่ได้แบบตู้คอนเทนเนอร์
มีเต็นส์วางอยู่2หลัง
มันอยู่ใกล้หลังคาจึงมีกระเบื้องช่องลมให้ลมผ่านเต็นส์
ห้องนั้นน่าจะยาวเกือบ 7เมตร
มองด้านขวาจากนับประตูโกดังเขาเว้นพื้นที่ว่างสัก10เมตร
ถัดไปจึงมีโต๊ะกินข้าวไม้สักขนาด 6 คนนั่ง
ต่อด้วยชุดคอมพิวเตอร์และโต๊ะทำงานเจาะหน้าต่างบานเกร็ดตรงหน้าคอม
ด้านหลังสุดด้านในโกดังเป็นพื้นที่ครัวถูกแยกพื้นที่บังตาด้วยระแนงไม้
ระหว่างโต๊ะคอมกับอ่างล้างจาน
มองอีกฝั่งตรงข้ามครัวต่อจากห้องใหญ่เป็นห้องน้ำ2ห้องและประตูหลังเล็กๆ
มันคือบ้านที่มีฟังชั่นการใช้งานครบครันที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้โกดังดูเก่าสีโทนทึมๆหลังเดียว
ดีที่ผมเตือนตัวเองแล้วว่าอย่าเพิ่งสรุปอะไรเร็วนัก
พื้นที่ทั้งหมดถูกจัดแบบโปร่ง เฟอร์นิเจอร์ธรรมดาไม่หรูหราอะไร
น้องผู้ชายบอกผมว่าเขาขายที่ที่อื่นแล้วมาซื้อที่นี่
เดิมเป็นที่ชาวบ้านเขาให้คนจีนมาเปิดโรงงานกำจัดขยะ(เถื่อน)
คนจีนก็สร้างโกดังไว้ พอมีปัญหาคนจีนก็หนีไป
เจ้าของเดิมก็ขายถูกๆเพราะเต็มไปด้วยขยะพสาสติกใช้พื้นที่ทำอะไรไม่ได้
แถมโดน อบต.ฟ้องสั่งให้ทำความสะอาดเจ้าของที่เดิมจึงขายทิ้ง
ยกภาระกำจัดขยะที่ตกค้างให้คนซื้อ เขาซื้อและขุดหน้าดินเดิมทิ้ง
ทำแปลงผักลงหน้าดินใหม่ ส่วนโกดังเป็นทรัพย์ติดที่ดิน
เขาดูทีวีเห็นฝรั่งดัดแปลงรถบ้าง
โรงเก็บของบ้างเป็นบ้านเขาเลยเอาไอเดียมาทำ
เสร็จแล้วออกมาอย่างที่พี่เห็นนี่แหละ ผมคิดว่ามันดีเลยแหละ
น้องผู้หญิงเขาเลือกคู่ชีวิตได้ดี
เรานั่งคุยกันบนโซฟา
ผมถามถึงแขกที่มาพัก เขาบอกว่ามักเป็นคู่สามี-ภรรยา
ที่สามีอยากให้รางวัลชีวิตแก่ภรรยา
ตรงนี้เขาเป็นคนต้อนรับแต่ถ้าแบบอื่นเขาให้น้องผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่
ผมถามต่อว่าแล้วแขกผู้หญิง?มีมั้ย
เขาตอบว่าการตัดสินใจตรงนี้ก็เป็นของน้องผู้หญิงซึ่งน้องเขามีกลุ่มประเภท
husband sharing ประมาณว่าลงรูปแล้วบอกว่าของฉันแซ่บนะจะลองมั้ยล่ะ
เดี๋ยวฉันแบ่งให้แล้วในมุมของผู้หญิงเขาก็ซุบซิบกันบอกต่อๆกันไป
ตอนคุยกันในกลุ่ม บางคนก็บอกมาลองแล้ว
บางคนก็กล้าการันตีว่าแซ่บจริงทำให้คนอื่นอยากลองดูบ้าง (หัวเราะ)
มันเป็นสังคมของผู้หญิงเขาผู้ชายไม่ค่อยเข้าใจ
น้องผู้หญิงชวนใครมาพักเขาก็ยินดีต้อนรับ
สรุปแล้วชีวิตเขาดีกว่าทำงานอยู่กรุงเทพ
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
บนเส้นทางชีวิต ตอนที่2 --เดินทาง--
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น