วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ 9 เหตุแห่งกรรม




ตอนที่ 9  (เหตุแห่งกรรม)

ขุนช้างได้หอบข้าวหอบของมาเพื่อเตรียมการสำหรับแผนการของตน เมื่อมาถึงยังเรือนหอของพลายแก้ว ก็รีบเอามือขยี้ตาแรงๆ
จนสองตาแดงช้ำ พลางใช้ฝุ่นโปรยใส่ตาทำให้สองตามีน้ำตาไหลพราก แล้วก็ส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นดังๆ พลางเดินเข้าไปที่
เรือนหอของพลายแก้ว ท่ามกลางความมึนงงของบ่าวไพร่ ที่ออกมาดูกันแตกตื่น

นางศรีประจันที่กำลังนั่งบงการบ่าวไพร่ให้ทำอาหาร เพื่อเตรียมที่จะไปเลี้ยงพระเพล ก็ถึงแก่กาลแปลกใจ ที่จู่ๆ ขุนช้างก็ขึ้นมา
ถึงบนเรือนพร้อมกับหอบข้าวของมามากมาย เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนก็กระแทกนั่งลงบนพื้น พลางร้องไห้เสียงดังกังวาลดุจดั่งเสียง
ควายถูกเชือดก็ไม่ปาน

นางวันทองที่กำลังนั่งปักเย็บเก็บข้าวของทันทีที่ได้ยินเสียงร้องที่ดัง โหยหวนดุจดั่งเปรตมาขอส่วนบุญ เมื่อออกมาจากห้องก็พบ
กับขุนช้างหัวล้านกบาลใส ที่นั่งร้องไห้กอดหม้อใบหนึ่งไว้แน่น ก็ให้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก พลางนั่งลงข้างกายมารดา สองตาก็จ้องดู
ว่าขุนช้างเป็นอะไรมา ทำไมจึงได้เสียใจมากมายถึงขนาดนั้น

ขุนช้างจอมเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นเป้าหมายเดินยุรยาตร ออกมาจากห้องแล้ว ก็ค่อยๆ หยุดเสียงควายถูกเชือดไว้ก่อน เพื่อทำตามแผนต่อ
พลางตีหน้าเศร้าแล้วยกมือไหว้นางศรีประจันครั้งหนึ่ง ก่อนจะแจ้งข่าวร้ายว่า

“คุณน้าครับ ผมมาแจ้งข่าวร้ายให้ทราบครับ ข่าวร้ายที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย พลายแก้วเพื่อนรักสุดชีวิตของผม
เขาได้ ได้ ได้ ฮือ ฮืออออ แงงงงง แอ่กๆ (แสบคอ) เขาตายแล้วครับ ด้วยฝีมือของขุนทัพของเมืองเชียงใหม่ครับ พวกทหารใน
สังกัดก็เก็บเอากระดูกของเขามาให้ นี่ครับ” พูดพลางยื่นหม้อที่ปิดด้วยผ้าดิบอย่างแน่นหนามาให้กับนางศรีประจัน

สำหรับนางวันทองนั้นเป็นลมพับไปตั้งแต่ได้ยินว่าพลายแก้วตายแล้ว ยังความสมใจแก่ขุนช้างยิ่งนัก เมื่อยื่นหม้อให้แก่นาง
ศรีประจันเรียบร้อยแล้ว ขุนช้างยังมีการหยอดอีกว่า ถ้าเกิดว่ามีขุนศึกที่พ่ายแพ้เสียชีวิตในสนามรบแล้วละก็ ลูกเมียของขุนศึก

คนนั้นจะต้องถูกคุมตัวเข้าวังเป็นม่ายหลวง และจะต้องอยู่อย่างเดียวดายที่นั่นตลอดชีวิต ทำให้นางศรีประจันถึงกับหน้าถอดสี
เมื่อได้ฟังดังนั้น

ขุนช้างเมื่อเห็นสีหน้าของนางศรีประจันเป็นดั่งนั้น ก็ซ่อนยิ้มในหน้า พลางรีบลาออกจากเรือนทันทีด้วยแผนสัมฤทธิ์ผลแล้ว
อยู่ต่อไปโดนซักเดี๋ยวเผลอ ออกพิรุธจะโดนตื้บจนไม่ได้ออกจากเรือนเสีย

นางศรีประจันได้ฟังข่าวร้ายนี้ แถมเห็นลูกสาวเป็นลมล้มพับลงไปก็มือไม้สั่น ตะโกนเรียกบ่าวไพร่เข้ามาปรนนิบัติพัดวีให้นาง
วันทองฟื้น พลางคิดในใจว่า มันจริงหรือนี่ มันเป็นไปได้ยังไงกัน แล้วสิ่งที่ขุนช้างพูดมันน่ากลัวจริงๆ จะทำยังไงดี เมื่อวันทอง
ได้สติ ก็เอาแต่ร้องไห้ จนเป็นลมล้มพับไปอีก ทำเอานางศรีประจันใจไม่ดี ด้วยกลัวว่าลูกสาวจะต้องไปเป็นม่ายหลวงในวัง

เมื่อนางวันทองฟื้นคืนสติมา ก็รีบบอกเรื่องนี้ให้แก่นางวันทองทันที นางวันทองนั้นไม่เชื่อคำพูดของขุนช้าง จึงบอกกับมารดาว่า
จะต้องไปพิสูจน์ที่ต้นโพธิ์ ที่ตนและพลายแก้วปลูกเอาไว้

ขุนช้างเมื่อแผนสองไปได้สวย แล้วก็รีบดำเนินการตามแผนสามต่อทันที ไม่รอรั้ง เมื่อลงจากเรือน ขุนช้างก็มุ่งหน้าไปยังชายป่า
ที่พลายแก้วและนางวันทองได้ ปลูกต้นโพธิ์เอาไว้ เพื่อใช้ตรวจสอบชะตากรรมของทั้งสอง ขุนช้างนั้นชาญฉลาดนักรู้จักใช้เงิน
ซื้อบ่าวไพร่ในเรือนของพลายแก้ว ให้มาคอยรายงานความคืบหน้า หรือตื้นลึกหนาบางของพลายแก้วให้แก่ตนได้ทราบ รวมถึง
เรื่องของต้นโพธิ์นี่ก็เช่นกัน หุหุ เรานี่สุดฉลาดมากเลย ขุนช้างคิดในใจ

กล่าวถึงพลายแก้ว เมื่อรุกไล่ตีมาจนได้เมืองขึ้นเพิ่มให้กับพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็มาหยุดยังหมู่บ้านจอมทองซึ่งพลายแก้วนั้น

มีคำสั่งไปถึงทหารหาญทั้งหลายว่า

“เมื่อมาถึงยังหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าทหารผู้ใดออกปล้นสดมภ์ หรือกดขี่ข่มเหงรังแกชาวบ้านชาวเมืองละก็ ข้าจะไม่ไว้หน้า จะฆ่าให้

ตายแล้วเสียบหัวประจานมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

ข่าวเรื่องนี้เมื่อ รู้ถึงหูของนายเมือง นายบ้านของหมู่บ้านจอมทอง ก็ให้รู้สึกเลื่อมใส และต้องการที่จะได้พบหน้ากับท่านแม่ทัพ
ผู้นี้ทันที เมื่อนายเมืองได้มาถึงยังจุดที่ตั้งกองทัพของพลายแก้ว ก็ถูกกีดกั้นจากทหารยามที่ไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าได้เข้าไป

ในค่ายทหาร นายเมืองก็เฝ้าพยายามอธิบายว่าตนเองนั้นเป็นนายบ้านของหมู่บ้านนี้เอง รู้สึกเลื่อมใสต่อแม่ทัพหนุ่มของกองทัพนี้

อยากจะมาทำความรู้จักเป็นการส่วนตัวจะได้หรือไม่ ทหารยามนั้นได้รับคำสั่งมา ก็เกรงอาญายืนกรานยังไงก็ไม่อาจจะให้พบได้

ทั้งสองเถียงกันไปมาจนเสียงดังเข้าไปถึงในกระโจมของแม่ทัพ พลายแก้วได้ยินเสียงถกเถียงออกมาจากด้านนอกกระโจมจึงออก

มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นมีชายกลางคนผู้หนึ่งกำลังถกเถียงกับทหารยาม จึงได้ถามไปว่า

“ท่านผู้นี้ต้องการมาพบกับข้าพเจ้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”

นายเมืองนั้น หะแรกที่ได้เห็นตัวของแม่ทัพหนุ่มน้อย ก็ยังไม่แน่ใจนัก ด้วยอายุของแม่ทัพนี่ยังน้อยเหลือเกิน กับคำร่ำลือถึง
ความเก่งกาจที่ได้ฟังมา แต่เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นแม่ทัพจริง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก ถึงกับลดตัวลงกราบกราน ทำให้

พลายแก้วนั้นลนลานรีบเข้ามายกตัวของนายเมืองขึ้น แต่กลับยิ่งทำให้นายเมืองนั้นรักใคร่เลื่อมใสจนหมดใจ

เมื่อทั้งคู่คนหนึ่งพยายามกราบคนหนึ่งพยายามไม่ให้ทำ ก็ยักแย่ยักยันกันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดพลายแก้วก็ยอมให้นาย

เมืองกราบ เมื่อนายเมืองกราบเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวขึ้นว่า

“กระผมชื่อ นายเมือง เป็นนายบ้านของหมู่บ้านจอมทองที่ท่านแม่ทัพได้มาพักอยู่น่ะขอรับ กระผมหะแรกที่ได้ข่าวว่ากองทัพของ

ท่านจะมาพักตั้งค่าย ณ ที่นี้ ก็ไม่สบายใจ ด้วยว่ากองทัพแห่งไร ที่มาพักยังที่นี้ มักจะปล่อยให้ทหารออกมาปล้นสดมภ์ ฉุดคร่า

ข่มขืน ราษฏร ถ้าใครขัดขืนก็จะฆ่าทิ้งเสีย แต่ด้วยความเมตตาของท่านแม่ทัพ ทำให้กระผมและลูกบ้านยังอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

ได้ กระผมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี จึงได้มาขอพบกับท่าน เพื่อขอบพระคุณที่ท่านได้ให้ความเมตตาแก่หมู่บ้านของเรา”

พลายแก้วก็รู้สึกเก้อเขินไปกับคำชมของนายเมือง แต่ด้วยความที่เป็นคนเปิดเผยจึงได้กล่าวว่า

“ในความจริงแล้ว เราเข้าใจว่าชาวบ้านที่อยู่ระหว่างสงครามก็เดือดร้อนอยู่แล้ว ถ้าเรายิ่งมาทำให้เดือดร้อนอีก ก็คงจะไม่ดีแน่

ด้วยทหารก็มีหน้าที่เพื่อราษฏรอยู่แล้ว ถ้ามารังแกราษฏรเสียเองมันย่อมไม่ถูกต้อง”

นายเมืองได้ฟังคำของพลายแก้ว ก็นิ่งอึ้งไป พลางกราบลา แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากค่ายทหารทันที

บ่ายวันนั้นเอง นายเมืองก็ได้กลับมายังค่ายทหารอีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมกับหญิงสาวรุ่นกำดัดอายุประมาณ 15 ปีหย่อนๆ

หน้ากลมเกลี้ยงอิ่มเอิบ ไว้ผมยาวถึงหลัง รูปร่างเล็กๆ กะทัดรัด มีกริยามารยาทเรียบร้อย นางผู้นี้คือ ลาวทอง เป็นบุตรสาวของ

นายเมือง ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่นายเมืองรักถนอมดั่งดวงใจ ด้วยความที่นายเมืองรักถนอมดั่งดวงใจนี่เอง นายเมืองจึง

ต้องตัดสินใจที่จะให้นางได้มีความสุขกับคนที่ดีๆ ที่นายเมืองได้เลือกไว้ ก็คือ พลายแก้วนั่นเอง

เมื่อนายเมืองมาถึงยัง ค่ายทหาร ก็แจ้งกับทหารยามว่า ตนเองมาขอพบกับแม่ทัพพลายแก้วอีกครั้งหนึ่ง ทหารยามก็แจ้งว่าท่าน

แม่ทัพ กำลังออกตรวจขบวนทหาร คงต้องรออีกสักครู่ นายเมืองและลาวทองจึงนั่งรออยู่ที่หน้าค่ายแห่งนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่

พลายแก้วก็ควบม้ากลับมาจากการตรวจขบวนทหาร เมื่อเห็นนายเมืองและลาวทองแต่ไกลก็ลงจากหลังม้าพลางเดินเข้ามาทักทายอย่าง เป็นมิตร

“ว่าไง นายเมือง วันนี้มาเยี่ยมค่ายทหารอีกหรือ หรือว่ามีธุระอะไร มาเชิญเข้ามาคุยกันในกระโจมแม่ทัพก่อนซิ”

นายเมืองก็ยกมือไหว้ พลางชี้มือมาที่ลาวทองที่กำลังกระพุ่มมือไหว้อย่างน่ารัก แนะนำว่า

“สวัสดีครับท่านแม่ทัพ นี่คือบุตรสาวของกระผมชื่อว่า ลาวทอง เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของกระผม กระผมพามาในวันนี้ก็เพื่อ

ที่ฝากให้แม่ทัพได้ดูแลด้วย เพราะกระผมเองก็แก่ลงไปทุกวัน เมียก็เสียไปตั้งแต่ลาวทองเกิด ผมกลัวว่าถ้าไม่มีผมแล้วลูกสาวไม่มี

ใครจะลำบาก ก็ขอให้ท่านแม่ทัพได้เมตตาด้วยขอรับ”

พลายแก้วได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ยกมือโบกขวักไขว่ พลางบอกว่า

“ไม่ได้หรอกนะ นายเมือง นายเมืองจะทำอย่างนี้ไม่ได้ มันจะไม่ดีต่อลาวทอง และนายเมืองเอง ใครๆ เขาจะคิดว่านายเมือง

กำลังประจบผม เพียงเพราะผมเป็นแม่ทัพ และลาวทองก็จะต้องมาอยู่กับคนที่ตนไม่ได้รัก ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ชีวิตของลาวทอง

จะน่าสงสารมากนะ แล้วอีกอย่างผมก็มีเมียแล้วด้วย”

นายเมืองได้พังคำพูดของพลายแก้วแล้วก็ นิ่งอึ้งไป แต่ลาวทองนั้นตั้งแต่ได้เห็นหน้าพลายแก้วแล้ว ก็รู้สึกลุ่มหลงในทันทีที่ได้เห็น

เมื่อได้ยินพลายแก้วพูดดังนั้นก็ตอบเบาๆ ว่า

“ข้าน้อยไม่รังเกียจที่จะเป็นน้อยดอก เพราะข้าน้อยและพ่อต้องการตอบแทนบุญคุณของแม่ทัพที่ไม่ทำร้ายคนของหมู่บ้าน”

พลายแก้วรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ ลาวทองก็เสนอตัวมาเองอย่างนั้น สำหรับนายเมืองก็รีบส่งเสียงสนับสนุนลาวทองทันที
พลางลากลับ

สำหรับพลายแก้วนั้นกำลังงุนงงอยู่ เมื่อเห็นนายมืองกลับก็เรียกไม่ทัน เห็นแต่ลาวทองนั่งรอตนอยู่ภายนอกคนเดียวก็น่าเกลียด

จึงเรียกให้ลาวทองเข้าไปอยู่ในกระโจมด้วย ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารที่มองดูอยู่ บางคนถึงกับพยักเพยิดกัน ทำท่าทาง
ล้อเลียนแม่ทัพอย่างสนุกสนาน

กล่าวถึงขุนช้าง เมื่อเดินมาจนถึงยังต้นโพธิ์ที่ชายป่า อันเป็นต้นโพธิ์ที่พลายแก้วและวันทองอธิษฐานแล้วปลูกเอาไว้ ก็นั่งลงต้ม

น้ำร้อน แล้วเทราดต้นของพลายแก้วทันที ต้นโพธิ์เมื่อโดนน้ำร้อนราด ก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาไป ขุนช้างเมื่อเห็นว่าต้นโพธิ์เหี่ยวเฉา ก็

ยินดีในความชาญฉลาดของตน แล้วก็รีบจากไปเพื่อเตรียมแผนการอื่นต่อไปทันที

ณ เรือนหอของพลายแก้ว วันทองรู้สึกไม่เชื่อคำพูดของขุนช้าง จึงได้ชักชวนสายทอง และนางศรีประจันผู้เป็นมารดา เพื่อไปดูยัง

ต้นโพธิ์ว่ายังอยู่ดีหรือไม่ เพื่อเป็นการยันคำพูดของขุนช้าง เมื่อวันทอง สายทองและนางศรีประจันได้เดินไปจนถึงยังต้นโพธิ์ทั้ง

สองต้น วันทองก็มีอันเป็นลมล้มพับไปอีก เมื่อเห็นว่าต้นโพธิ์ของพลายแก้วนั้นเหี่ยวเฉาไป สายทองและนางศรีประจันก็รีบหาม

ร่างของวันทองกลับมาปฐมพยาบาลกันที่บ้าน

เมื่อวันทองได้สติตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ สายทองนั้นก็เสียใจมาก แต่ไม่ต้องการจะให้น้องวันทองสงสัย ก็ได้แต่แอบไป

ร้องไห้อยู่แต่ในห้องของตนด้วยอาลัยรักในน้องพลายแก้ว สำหรับนางศรีประจันนั้นก็สงสารที่ลูกสาวต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว

แต่ความไม่สบายใจมีมากกว่า ด้วยกลัวว่าลูกสาวจะต้องถูกยึดตัวไปเป็นม่ายหลวง นางจึงคิดหาวิธีแก้ไข เพื่อไม่ไห้ต้องเป็นอย่างนั้น

ขุนช้างนั้น อย่างใจเย็นจนเวลาผ่านไป 2 วัน ก็แอบย่องไปหานางศรีประจันที่บ้าน

“สวัสดีครับคุณน้า วันนี้ผมมาเพื่อจะมาบอกกับคุณน้าว่า มีข่าวจากทางพระนครศรีอยุธยาแล้วว่า จะส่งทหารมายึดตัวของน้อง

วันทองเพื่อเอาไปเป็นม่ายหลวงแล้วนะครับ ผมละเป็นห่วงน้องจริงๆ คุณน้าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ครับ” ขุนช้างถามพลางมอง

หน้าของนางศรีประจัน เมื่อเห็นหน้าของนางศรีประจันเผือดลงไป ก็ยิ้มอยู่ในใจ พลางกล่าวต่อทำหน้าจริงจัง

“เอางี้ดีไหมครับ ถ้าคุณน้าไม่รังเกียจ ก็ให้น้องวันทองแต่งงานกับผมดีไหมครับ จะได้ไม่ผิดกฎหมายและไม่ต้องถูกยึดตัวเป็น
ม่ายหลวงด้วย”

นางศรีประจันก็เคยคิดอย่างนี้เหมือนกัน เมื่อขุนช้างเสนอตัวมาเอง ก็แกล้งทำเป็นอิดออดเอาเชิงไว้ก่อนจะบอกว่า

“มันจะดีหรือพ่อช้าง ลูกสาวน้าก็เคยแต่งงานมาแล้ว มันจะไม่เหมาะนา เพราะพ่อช้างเองก็เป็นเศรษฐี มีหน้ามีตา น้าว่ามันจะ
ไม่ค่อยดีนา”

ขุนช้างเห็นท่าทีของนางศรีประจันก็รู้แล้วว่าตนเองมีหวังเสียแปดส่วน รีบตอบโดยทันควัน

“เหมาะซีครับคุณน้า ผมเองก็เป็นพ่อม่าย น้องวันทองเองก็เป็นแม่ม่าย เหมาะกันมากๆ ครับ คุณน้าไม่ต้องคิดมาก ผมจะเตรียม

สินสอดทองหมั้นมาให้เลยละกันนะครับ สำหรับฤกษ์ยามก็จะรีบไปหามา คิดว่าจะให้เร็วที่สุด ส่วนเรือนหอ..”

นางศรีประจันรีบพูดต่อเลยว่า

“รื้อเรือนหออันนี้ทิ้งแล้วปลูกซ้ำที่นี่แล้วกันนะพ่อช้างนะ วันทองเขาจะได้อยู่ใกล้ๆ กับแม่”

ขุนช้างยินดียิ่งนัก แต่แกล้งทำหน้าลังเล พลางตอบ

“แล้วแต่คุณน้าละกันครับ ผมเองก็ต้องตามใจอยู่ละ” เมื่อเสร็จเรื่องราวขุนช้างก็รีบลากลับไปบ้าน พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไป

ตลอดทาง ยังความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

นางวันทองเมื่อได้รู้ข่าวที่มารดาจะให้ตนแต่งงานกับขุนช้าง ก็ขัดขืนไม่ยินยอม โดยจะยอมให้หลวงยึดตัวเพื่อเป็นม่ายหลวงยัง

จะดีกว่า แต่นางศรีประจันเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่เป็นผล สุดท้ายใช้วิธีโหด จับนางวันทองโยงกับขื่อคา แล้วเฆี่ยนด้วยหวายจนนาง

วันทองสลบไสล แล้วส่งตัวเข้าห้องหอไปกับขุนช้างเสียเลย

นางวันทองเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองได้มาอยู่ในเรือนหอของขุนช้างแล้ว ก็ใช้มีดจ่อคอหอยตนเอง ไม่ยินยอมให้ขุนช้างได้แตะต้องร่าง

กายของตน ขุนช้างนั้นด้วยความรักและเกรงว่าวันทองจะบาดเจ็บ ก็เลยยอมให้วันทองนั้นนอนแยกห้องกับตนเองจนกว่า
วันทองจะยินยอม ดังนั้นทั้งวันทองและขุนช้างก็อยู่กันมาได้จนกระทั่ง...

พลายแก้วนั้น เมื่อเดินทางกลับมาถึงยังพระนครศรีอยุธยา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนแผนแสนสะท้าน ท่ามกลางความชื่นชมยินดี

ของเหล่าขุนนาง ขุนแผนนั้นทูลกับสมเด็จพระพันวษาว่าตนเองขอกลับไปเยี่ยมเมียของตนก่อน ด้วยจากกันมาคงจะเป็นห่วง

แล้วจะกลับมารับใช้เบื้องพระยุคลบาทต่อไป สมเด็จพระพันวษาก็เห็นใจในความรักที่ขุนแผนนั้นมีต่อวันทอง จึงได้ทรงอนุญาต

ให้ไปเยี่ยมเมียก่อนได้ ขุนแผนจึงได้เดินทางกลับมาถึงยังเมืองสุพรรณบุรี ในช่วงพลบค่ำพอดี

ณ เรือนหอของขุนช้าง พลายแก้วพร้อมด้วยลาวทอง ก็เดินทางมาจนถึงยังเรือนหอของขุนช้างที่สร้างทับที่เรือนหอของขุนแผน

ขุนแผนนั้นงงงวยไปทันทีที่ได้เห็นเพราะมองไม่เห็นว่าเรือนหอของตนมันบินหาย ไปไหน เห็นแต่บ้านใครก็ไม่รู้ปลูกอย่างใหญ่โต

รโหฐาน จึงพาลาวทองเดินทางไปยังเรือนของนางศรีประจันก่อน แล้วใช้อาคมสะกดบ้านไว้ พลางบอกลาวทองให้รอตนอยู่ที่

หน้าบ้านก่อน แล้วจึงเดินขึ้นบนเรือนไปยังห้องของสายทอง

สายทองเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น ก็เห็นหน้าของขุนแผน ก็ร้องไห้โฮ โผเข้าสวมกอดคนรักไว้ ด้วยใจนี้คิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้พบกัน

แล้ว สร้างความตื้นตันใจให้แก่ขุนแผนเป็นอย่างยิ่ง ขุนแผนนั้นจึงได้เล่าเรื่องราวการไปรบของตนไปจนถึงการได้ลาวทองมาให้

สายทอง ฟังอย่างละเอียด สายทองเมื่อได้ยินว่าขุนแผนนั้นได้พาผู้หญิงกลับมาด้วย ก็รู้สึกไม่ใคร่พอใจด้วยเกิดความหึงหวงใน

ตัวของขุนแผน จึงทำท่านิ่งไปเย็นชา สร้างความสงสัยแก่ตัวของขุนแผนยิ่งนัก ขุนแผนถามถึงเรือนหอของตนว่าตนหาเรือนหอ

ของตนไม่เจอ ไม่รู้ว่าวันทองเป็นยังไง สายทองได้ฟังดังนั้นด้วยความที่หึงหวงเป็นทุนอยู่จึงตอบประชดขุนแผนไปอย่าง ไม่ยั้งคิดว่า

“ห้องหอของน้อง เอ้อ ไม่ใช่ต้องท่านขุนน่ะคะ ถูกรื้อออกไปแล้ว เพราะท่านขุนเดินทางไปก็ไม่ติดต่อกลับมาเลย ขุนช้างก็เลยมา
สู่ขอน้องวันทองไปเป็นเมียแล้ว แถมปลูกเรือนหอทับที่ของท่านขุนไปแล้วล่ะค่ะ”

ขุนแผนเมื่อได้ฟังดังนั้นก็โกรธจนหน้ามืด หูอื้อ ตาลาย แค่ได้ยินว่าวันทองไปเป็นเมียของขุนช้างไปแล้ว แต่ต่อไปสายทองพูดว่า

กระไร ก็กลับไม่ได้ยิน รีบแล่นลงจากเรือน วิ่งตรงไปยังเรือนหอของขุนช้างทันที ลาวทองเมื่อเห็นขุนแผนกระโดดลงจากเรือน
วิ่งตะบึงไปยังเรือนหอของขุนช้าง ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงวิ่งตามขุนแผนไปยังเรือนหอของขุนช้างทันที

เมื่อมาถึงยังเรือนหอของขุนช้าง ขุนแผนก็ตะโกนเรียกขุนช้างทันทีด้วยความโกรธแค้น ชักดาบออกมาเตรียมจะถลามาฟันขุนช้าง
หากขุนช้างออกมา

แต่ผู้ที่ออกมาก่อนกลับเป็นนางวันทอง เมื่อนางวันทองได้เห็นขุนแผน หะแรกก็รู้สึกตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ทำให้

ขุนแผนเข้าใจผิดว่าวันทองกลัวความผิดที่ได้ก่อไว้กับขุนช้าง จึงทำเมินมองไม่เห็น ตะโกนเรียกขุนช้างอยู่ปาวๆ ขุนช้างเมื่อเดิน

ตามออกมา เห็นขุนแผนเข้าก็ตกตะลึงไปอีก ด้วยคิดว่า กูตายแน่ๆ วันนี้ กูตายแหงๆ กูจะทำยังไงดี แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือไปก่อน

ตอบทักทายขุนแผน

“หวัดดีเพื่อน วันนี้มาเยี่ยมกันถึงนี่เลย ขึ้นมาบนเรือนมากินน้ำกินท่าก่อนซิ แหม มีเรื่องจะคุยเยอะแยะไปหมด มาขึ้นมาก่อน”
“เออ กูขึ้นมาแน่ ไอ้ช้าง มึงไม่รอดแน่ ไอ้สารเลว มึงแย่งเมียกู รื้อเรือนหอกู มึงยังเป็นคนอยู่รึ” ขุนแผนตะโกนด่าพลางกระโดดขึ้น

บนเรือน เงื้อดาบจะฟันใส่ขุนช้าง ทำเอาขุนช้างนั้นก้มหลบเป็นพัลวัน พลางร้องตะโกนเรียกบ่าวไพร่ให้มาช่วยตนด้วย

“หยุดนะ พลายแก้ว เธอจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ถ้าเธอฆ่าขุนช้าง เธอจะต้องอาญาจากพระเจ้าอยู่หัวนะ คิดให้ดีๆ” นางวันทองร้อง

เตือนสติของพลายแก้ว แต่กลับยิ่งทำให้พลายแก้วเสียสติหนักขึ้น พยายามจะฟันขุนช้างให้ม่องเท่งให้ได้ ขุนช้างนั้นตอนนี้หน้า

ไม่มีสีเลือดแล้ว หลบเลี่ยงไม่ทันก็กลิ้งตัวสุดแรงลงจากเรือนดังตุ๊บ ดังสนั่น จุกแอ้ดๆ นอนรออยู่บนพื้นหน้าเรือนเหมือนหมูโดน

มัดรอให้เพชฌฆาตมาเชือด

ขุนแผนกระ โดดตามลงมาเพื่อจะเสียบขุนช้างให้จมดาบ แต่ขุนช้างก็รวบรวมแรงเอาชนะความจุก เพื่อชีวิตเอี้ยวตัวหลบ
ขุนแผนเล็งเป็นมั่นเหมาะกำลังจะจ้วงแทงขุนช้าง ก็ปรากฏมือคู่หนึ่งมายึดมือของขุนแผนเอาไว้

ลาวทองวิ่งไล่ตามขุนแผนมา จนกระทั่งถึงเรือนหอของขุนช้าง แล้วก็เห็นขุนแผนกำลังไล่ฆ่าคนหัวล้านคนหนึ่งอยู่ ก็รีบวิ่งเข้ามา

เห็นขุนแผนกำลังเงื้อดาบจะจ้วงแทงคนหัวล้านนั้น ด้วยเกรงว่าขุนแผนจะต้องอาญาแผ่นดิน นางจึงได้ยึดมือของขุนแผนไว้
ขุนแผนหยุดชะงัก แล้วหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นลาวทองจึงได้ลดดาบลง พลางเดินออกห่างมายืนสงบอารมณ์อยู่คนเดียวที่
ใต้ต้นไม้ใหญ่ กายสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธาอันคุคั่งอยู่ในใจอย่างเหลือแสน

นางวันทอง ที่เห็นขุนช้างจะโดนขุนแผนฆ่า ก็ร้องตะโกนเรียกขุนแผน พลางเดินลงบันไดอย่างรีบร้อนจนล้มกลิ้งลงมาจากบันได

บ้านลงมายังพื้น ปากก็ร้องตะโกนให้ขุนแผนหยุด แต่ขุนแผนหาฟังนางไม่ เมื่อเห็นหญิงงามนางหนึ่งเข้ามาจับมือของขุนแผน
เอาไว้ ก็สะดุ้งเฮือก ตกตะลึงไปในทันที จวบจนเห็นขุนแผนเดินเข้าไปสงบอารมณ์ยังใต้ต้นไม้ใหญ่

นางก็เพ่งพิศมายังหญิงคนนั้นทันที ลาวทองนั้นไม่ใช่คนที่มีใบหน้าอันงดงามก็จริง แต่รูปลักษณะของนางเป็นคนที่มีราศีชวนให้

คนที่เห็นรู้สึกดี แต่นั่นกลับทำให้เพลิงอารมณ์ของนางวันทองก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ความหึงหวงที่ก่อเกิดได้บดบังสติสัมปชัญญะ
ของนางวันทองจนหมดสิ้น

“มึงเป็นใคร มากับพลายแก้วของกูได้ยังไง หา อีไพร่”

ลาวทองได้ฟังคำพูดของนางวันทองก็ถึงแก่สะดุ้ง แต่ยังไม่ทันตอบคำ นางวันทองก็ด่ากราดออกมาเป็นชุด พลางถลาเข้ามาตบ

หน้าของลาวทองอย่างแรง ลาวทองเซถลาออกไปล้มลงกับพื้น แต่นางวันทองไม่สนใจตามลงไปตบซ้ำกับพื้น พลางจับหัวของ

ลาวทองกระแทกกับดินอย่างแรง ลาวทองก็ไม่ได้ตอบโต้

แต่อยู่ๆ ร่างของนางวันทองก็ลอยขึ้นจากร่างของลาวทอง ขุนแผนนั่นเองอุ้มร่างของนางวันทองขึ้นมา นางวันทองเมื่อเห็นอย่างนี้

ก็ยิ่งเข้าใจผิดมากขึ้น ยกมือขึ้นตบหน้าของขุนแผนอย่างแรงจนหน้าสั่นสะท้านจนสะเทือนไปจนถึงหัวใจอัน บอบช้ำ กลัดหนอง

ของขุนแผน ขุนแผนนั้นไม่พูดกระไรอีกสักคำ กลับตัวไปพยุงร่างของลาวทองขึ้น แล้วเดินด้วยกันอย่างช้าๆ ไปจนลับไปในความมืด

นางวันทองเห็นดั่งนี้แล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่ อายใคร ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจที่ได้รับจากขุนแผนผัวรักที่ตนนั้นเฝ้ารอแล้ว
รอเล่า เก็บรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ไม่ยอมให้ขุนช้างได้มาล่วงเกิน

ขุนช้างนั้น ได้รอดตายมาดุจดั่งปาฏิหาริย์ก็ยังงุนงงไปหมด จับต้นชนปลายไม่ใคร่จะถูก แต่ได้เห็นนางวันทองร้องไห้ก็ถลาเข้า

มากอดไว้แนบอกด้วยความรักและความเป็นห่วงที่มีให้อย่างเต็มหัวใจอันชั่วช้าของเขา นางวันทองร้องไห้จนรู้สึกสาแก่ใจก็กอด

รัดร่างของขุนช้างไว้แน่น พลางกล่าวว่า

“พี่ช้าง ข้ามันตาบอดไปเอง ข้ามันเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ข้าอยากจะขอให้พี่ช้างยกโทษให้ข้าด้วยที่ข้าเคยทำไม่ดีกับพี่ไป นะพี่นะ

ต่อไปนี้วันทองจะเป็นเมียของพี่ช้าง จะอยู่กับพี่ช้างตลอดไป”

ขุนช้างแสนจะปลาบปลื้มในคำมั่นสัญญาที่นางวันทองมีให้แก่ตน พลางกอดร่างนางวันทองแนบแน่น พูดไม่ออกด้วยเกิดความ

ตื้นตันที่แน่นจุกอยู่ในอก จึงกอดร่างของนางวันทองแต่ถ่ายเดียว พลางประคองร่างนางวันทองเมียรักขึ้นเรือนไป ทิ้งไว้แต่

บรรยากาศแห่งความเศร้าสร้อยโหยหา และเข้าใจผิดที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศยามดึก

ขุนช้างนั้นประคองร่างของ นางวันทองมาจนถึงยังห้องนอนของตน ก็ผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของตน พลางปิดประตูแนบ

แน่น ลงกลอนแน่นหนา นางวันทองเห็นดังนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าขุนช้างนั้นต้องการอะไร จึงได้ถอดสไบ ผ้าแถบรัดอกออก เผยให้

เห็นเต้าเต่งงามสะพรั่งด้วยวัยสาว ปลายยอดสีชมพูจางๆ นั้นประดับอยู่ปลายยอดอย่างสวยงาม พลางก้มลงถอดผ้านุ่งออกเผย

ให้เห็นเอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายสล้าง ขาวสะอาดเนียนตา

โคกเนินลาดท้องน้อยนั้นเล่าก็ปราศจากความรกเรื้อ โลมาขึ้นเป็นระเบียบสวยงาม กลีบแคมปิดสนิทสีชมพูอ่อนนั้นเล่า ก็เป็นพู

อวบสวยงาม ขุนช้างปากอ้าตาค้างในความงามของนางวันทองด้วยเคยได้เห็นเพียงชั่วครู่ และขณะนั้นก็อยู่ระหว่างเร่งรีบ
ไหนเลยจะได้มีโอกาสมาเพ่งพิศอย่างชัดเจนอย่างนี้หรือ

นางวันทองก็เดินเปลือยเปล่าเข้ามานั่งคุกเข่าที่ด้านหน้าของขุนช้าง พลางยกมือขึ้นปลดกางเกงของขุนช้างออกเผยให้เห็นสุด

ยอดควยแห่งเมืองสยามของ ขุนช้าง ที่ขณะนี้กำลังตั้งเด่ด้วยอารมณ์ใคร่อันกระเจิดกระเจิง ลูบไล้พลางใช้ปากค่อยๆ ดูดอม
ส่วนหัวเข้าไปในอุ้งปากอันอบอุ่น

ทำให้ขุนช้างถึงแก่เสียวจนต้องจับหัวของนางวันทองเอาไว้แนบแน่น นางวันทองนั้นก็พยายามอมจากส่วนหัวให้ถึงลำตัว
โดยหวังจะให้เข้าลึกที่สุด แต่ด้วยความยาวที่สุดมหายาวของควยแห่งขุนช้าง นางวันทองพยายามอมเข้าไปสุดลำคอแล้ว
ยังได้ไม่ถึง 1 ใน 3 เลย ขุนช้างนั้นหน้าตาบิดเบี้ยว ครางออกมาอย่างสุขสม พลางใช้มือลูบไล้ที่ศรีษะของวันทองเมียรักด้วย
ความรัญจวนใจ

วันทองนั้นเมื่อเอาควยของขุนช้างเข้ามาในปากก็ใช้ลิ้นเลียส่วนหัวไปมา พลางใช้อุ้งปากดูดควยของขุนช้างไปมา
เมื่อนางวันทองเห็นว่าขุนช้างนั้น เสียวได้ที่แล้ว นางก็ค่อยๆ นอนลงกับที่นอน พลางดึงตัวของขุนช้างให้นอนตามร่างของนาง
มาด้วย แล้วนางก็นอนหลับตาเพื่อรอขุนช้าง ขุนช้างเห็นดั่งนั้นก็ก้มลงกระซิบกับหูของนางวันทองว่า

“พี่ให้สัญญา ว่าพี่จะรักน้องเพียงคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าวันใดที่พี่ตระบัดสัตย์ ขอให้ฟ้าดินจงลงโทษยังตัวพี่ ขอให้บรรดา

ศาสตราวุธจงระดมกันมาทิ่มแทงตัวพี่ให้ด่าวดิ้นไปด้วยเถิด”

นางวันทองก็พยักหน้ารับ พลางมีน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากตาของนาง นางยกมือขึ้นจับควยของขุนช้างมาจ่อกับธารสวรรค์
ของนาง ขุนข้างเห็นนางวันทองมีน้ำตาหลั่งไหลออกมาก็ทราบว่านางเข้าใจถึงความรักและ ภักดีของเขาที่มีต่อนางแล้ว
พลางจูบซับน้ำตาบนใบหน้าของนาง ถามนางว่า

“น้องวันทอง น้องยินยอมหรือ”

วันทองก็หลับตาพยักหน้าน้อยๆ ขุนช้างจึงค่อยๆ กดควยของเขาเข้าไปในร่องสวรรค์ของนางวันทองทีละน้อย
นางวันทองรู้สึกตึงเจ็บที่ปากทางเข้า จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขุนช้างเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ ชักเข้าออกอย่างช้าๆ
ในชีวิตของเขานั้นยังไม่เคยมีสักครั้งที่เขารู้สึกกลัวอย่างนี้ แต่วันนี้เขาได้รู้ถึงความรักและความทนุถนอมที่มี
แล้วขุนช้างก็ค่อยๆ กดควยของเขาเข้าออกช้าๆ อย่างทนุถนอม ด้วยเกรงว่าเมียรักจะเจ็บ
จนกระทั่งมันได้เข้าไปมิดด้าม แล้วเขาก็แช่ไว้ พลางกอดร่างของวันทองไว้ในอ้อมกอด

จนรู้สึกว่าน้ำหล่อลื่นได้เริ่มไหลออกมา และรู้สึกว่าวันทองนั้นได้เริ่มส่ายร่างตอบสนองต่อควยของเขาแล้ว ขุนช้างจึงค่อยๆ ชัก

เข้าออกอย่างช้าๆ วันทองก็ยกส่ายสะโพกตอบรับตาม ขุนช้างก็ก้มลงเพื่อจูบไซร้ที่ยอดอกสีชมพูเรื่อที่ชูชันท้าทายปากของเขาทั้ง
สองยอด

วันทองก็ยกแขนขึ้นกอดร่างของขุนช้างพลางรัดขุนข้างเข้ามาอย่างเต็มใจ ขุนช้างก็ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น จนมีเสียงดังป้าบๆ
วันทองนั้นก็ร้องครางออกมาเบาๆ พลางส่ายร่างรับอย่างไม่ผิดจังหวะ จนกระทั่งวันทองแอ่นร่างขึ้น กอดขุนช้างแนบแน่นกับอก
ของนาง

สองเท้ารัดสะโพกของขุนช้างไว้แนบแน่น ปลายเท้าหงิกเกร็ง ตัวสั่นระริก ขุนช้างก็ทราบว่านางถึงแล้วแต่เขายังไม่ถึง ด้วยความ

รักทีมีต่อนางวันทอง เขาจึงหยุดเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น พลางตระกองกอดร่างของวันทอง หลับใหลไปด้วยกันอย่างสุขสม

ขุนแผนที่ได้รับการกระทบกระเทือนใจอย่าง รุนแรงนั้น เมื่อจูงมือลาวทองออกมาจากเรือนหอของขุนช้างแล้ว ก็เดินกลับมาจนถึง

ที่ที่เขาผูกม้าเอาไว้พลางขึ้นม้าและควบขับอย่างรวดเร็ว ออกไปจากเมืองสุพรรณบุรีทันที ลาวทองนั้นก็เข้าใจถึงความรู้สึกของ

ชายอันเป็นที่รักเป็นอย่างดี จึงได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดด้วยกลัวว่าชายอันเป็นที่รักของนางอาจจะทำ อะไรแบบไม่มีสติอีกได้

เมื่อเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจขนาดนี้

นางควบขับม้าตามขุนแผนมาจนออกจากเมืองสุพรรณบุรี ย่างเข้าสู่เขตป่าเขาอันเป็นรอยต่อของเมือง ขุนแผนก็มาหยุดเอาที่หมู่

บ้านแห่งหนึ่ง ลงจากหลังม้าแล้วขุนแผนก็เดินไปหาซื้อสาโทมาได้หลายไห บอกเช่าบ้านของชาวบ้านแถวนั้นแล้วเขาก็นั่งกรอกตัว

เองอยู่คนเดียวที่มุม หนึ่งในบ้านนั้น

ลาวทองก็เดินตามขุนแผนมา แต่ไม่ได้ห้ามขุนแผน ด้วยเห็นว่า นี่อาจเป็นวิธีที่ดีในการระบายความทุกข์ของขุนแผนก็ได้ จึงนั่งลง

ปรนนิบัติคอยรินเหล้าให้แก่ขุนแผน

ขุนแผนนั้นเมื่อกรอกสาโท เข้าไปได้หลายไห ก็รู้สึกเมามายพลางล้มตัวลงนอนกับพื้นและหลับไปในทันที ลาวทองนั้นก็เฝ้าดูแล

ปรนนิบัติ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อย่างเอาใจ เฝ้าคอยดูแลขุนแผนอย่างไม่ให้วางตา ขุนแผนนั้นเมื่อนอนไปตื่นหนึ่ง เมื่อเขาตื่นมา

รู้สึกตัวก็เดินออกไปหาสาโทมา แล้วก็ตั้งหลักดื่มต่ออีก เมื่อเมามายเขาก็ล้มตัวลงนอน หาได้สนใจลาวทองที่ปรนนิบัติพัดวีเขา

อย่างใกล้ชิดไม่

เวลาผ่านไปอย่างนี้ จนกระทั่งผ่านไปได้รุ่งเช้าของวันที่ 4 เช้านี้ขุนแผนตื่นนอนขึ้นมา พลางกวาดสายตามองในห้องที่ตนเอง
มานอนอย่างงงงวย เห็นลาวทองนอนอยู่ข้างๆ ตน ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้น ทำอะไรเมื่อวันเวลาที่ผ่านไป ตนเองนั้นเป็นชายชาติ

ทหาร ไยจึงต้องมาเสียสติด้วยสตรีที่ไม่รักดีเพียงนางหนึ่งด้วย แถมยังทรมานสตรีที่ดีงามนางหนึ่งให้มาทนทุกข์กับตนอีกด้วย
คิดแล้วให้รู้สึกสงสารลาวทองเป็นกำลัง พลางยกมือขึ้นจัดเรือนผมของลาวทองให้กลับเข้าสู่ทรงสวยงาม

ลาวทองนั้น ก็รู้สึกตัวขึ้นทันทีว่ามีคนมาจัดเรือนผมให้แก่ตน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นขุนแผนนั้นกำลังจัดเรือนผมให้แก่ตนเอง

ทั้งมองมาหน้ายิ้มๆ ก็รู้สึกเอียงอาย ก้มหน้าลงมองพื้น ขุนแผนเห็นลาวทองเอียงอายหน้าเป็นสีชมพู ก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดูยิ่งนัก
ก้มตัวลงประทับจูบยังหน้าผากขาวนูนนั้นเบาๆ อย่างรักใคร่ สร้างความเอียงอายให้แก่ลาวทองยิ่งนัก ขุนแผนก็ไม่อยากจะ
หยอกล้อนางให้มากนัก จึงได้ประคองลาวทองขึ้น พลางชักชวนให้ออกจากกระท่อม

อากาศรุ่งเช้า ช่างสดชื่นยิ่งนัก มองเห็นทิวเขาเขียวอยู่ไกลลิบๆ หมอกลอยอยู่เคล้ากับยอดดอย ดูแล้วช่างสดชื่น สบายใจยิ่งนัก

ขุนแผนก็จูงมือลาวทองเดินเล่นช้าๆ ท่องไปตามป่าลึกเข้าไปในภูเขา จนกระทั่งมาถึงยังน้ำตกแห่งหนึ่ง ที่สวยงามอย่างหาที่

เปรียบมิได้ น้ำใสไหลลงจากยอดเขา กระทบกับแง่หินแตกกระจายเป็นฟูฝอย เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์เกิดเป็นสายรุ้งเหลือบ

ประกายชวนให้ไหลหลงยิ่งนัก

ขุนแผนก็ชักชวนลาวทองให้นั่งชื่นชมกับธรรมชาติอันตระการตานี้อย่างเต็มตา เมื่อแดดเริ่มออก ก็เริ่มรู้สึกร้อน ขุนแผนจึงชักชวน
ลาวทองให้ลงไปเล่นน้ำตกกัน ลาวทองนั้นไม่เคยเจอกับน้ำตกสวยขนาดนี้ก็รับคำ ทั้งสองจึงจูงมือกันเดินเข้าไปเล่นน้ำตกกัน

อย่างสนุกสนาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น