วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566

[Side Story] เรื่องเล่าของนายโจ้ยอดชาย : พี่เป้ #1


มาถึง Side Story คนสุดท้ายกันแล้วนะครับ กับเรื่องราวของสาวเป้ นางเอกของเรานี่เอง
ยังไงก็ขอเชิญติดตามกันได้เช่นเคยครับ  ;)



=======================================

“ไอ้โจ้.. กูว่า... กูอยากให้มึงลองจีบเป้ดูว่ะ”
“จริงเหรอพี่!? พี่มั่นใจแล้วนะ?”
“เออ กูมั่นใจ... หลังจากหมดเรื่องต้นไป กูว่าเซ็กส์ของกูกับเป้แม่งจืดชืดมากเลยว่ะ กูกลัวว่าถ้าเป็นงี้ต่อไป วันนึงเป้อาจจะเป็นฝ่ายหนีไปมีชู้กับคนอื่นเองก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ให้กูเป็นฝ่ายเริ่มต้นเองยังจะดีกว่า อย่างน้อยมึงก็ยังเป็นคนที่กูคุยรู้เรื่อง แล้วก็ไว้ใจได้”
“ได้พี่! พี่ไว้ใจผมได้เลย”

ประโยคข้างต้น คือบทสนทนาระหว่างผมกับพี่บอย รุ่นพี่ที่ซี้ย่ำปึ้กกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาฯลัย ซึ่งแกมักจะชอบมาปรึกษาปัญหาเรื่องในมุ้งระหว่างแกกับเมียให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ เวลาที่เรานั่งเมาด้วยกัน

พี่บอยแกเป็นรุ่นพี่คนนึงที่ผมเคารพและนับถือเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง แกเป็นคนใจกว้าง อารมณ์ดี และมักจะคอยช่วยเหลือเพื่อนๆ น้องๆ มาตั้งแต่สมัยเรียน ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินแกเอ่ยปากบอกให้ผมลองไปจีบเมียแกดูแบบจริงๆ จังๆ ถึงแม้ว่าผมจะเคยแกล้งพูดแหย่แซวเรื่องเมียแกไปบ้างตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ก็เถอะ... เพราะว่าเมียสุดที่รักของแกอย่างพี่เป้นั้น ก็คือรุ่นพี่อีกคนนึงที่ผมค่อนข้างสนิทสนมและรู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ใช่สิ... ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นคู่ปรับที่ชอบกัดกันทุกครั้งที่เจอหน้ากันซะมากกว่า... พอนึกภาพว่าจะได้มีโอกาสกระทุ้งหีพี่เป้จอมแสบคนนี้แล้ว ควยผมมันก็สั่นกระตุกหงึกๆ อย่างห้ามอกห้ามใจไม่ได้ เอ้ย!.. พี่บอยแกแค่บอกว่าให้ลองจีบพี่เป้เฉยๆ นี่หว่า ยังไม่ได้บอกให้เย็ดเลยซักหน่อย แฮะๆๆ เผลอลืมตัวไปหน่อย....

พี่เป้ คุณแม่ลูกหนึ่งวัย 31 เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาหมวยๆ เรียบๆ คิ้วหนาตาตี่ แก้มป่องๆ ดูน่าตบดีชะมัด จุดเด่นอีกอย่างของเธอก็คือแว่นตากรอบหนาเตอะสีดำที่เป็นเอกลักษณ์อยู่บนใบหน้า ผิวของเธอขาวเนียนเหมือนหยวก รูปร่างมีน้ำมีนวลไม่ถึงกับผอมแห้งแต่ก็ไม่อ้วน แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่มีใบหน้าสวยโดดเด่นเหมือนกับสาวๆ ที่ผมเคยฟันมาก่อนหน้านี้หลายๆ คน แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง นิสัยห้าวๆ ลุยๆ บวกกับรอยยิ้มยิงฟันกว้างๆ ตาหยีจริงใจของเธอนั้น ก็พอจะทำให้พี่เป้ดูเป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์คนนึง จนพี่บอยสุดที่รักของผมต้องรีบปักป้ายจองไว้ทันทีที่เจอกัน นับนิ้วไปมานี่ก็ผ่านมาเกิน 10 ปีที่ทั้งคู่คบหากัน เริ่มต้นจากคำว่ารุ่นพี่-รุ่นน้อง ก่อนจะพัฒนาไปเป็นแฟน และเปลี่ยนแปลงไปสู่คำว่าสามี-ภรรยาคู่ชีวิตในท้ายที่สุด โดยมีลูกชายตัวน้อยเป็นโซ่คล้องใจอีกหนึ่งคน เอ้า! ปรบมือสิครับ รออะไรอยู่ล่ะ?

ชีวิตคู่ของพี่ๆ ทั้งสองก็แทบจะไม่เคยมีปัญหาอะไรให้ต้องหนักอกหนักใจเท่าไหร่ ไม่เคยโต้เถียงหรือทะเลาะกันรุนแรง อาจมีง้องแง้งกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวให้ต้องวุ่นวายใจ ส่วนชีวิตเซ็กส์ของพี่บอยกับพี่เป้ก็ดูจะไปได้สวย... อย่างน้อยก็จนถึงช่วงก่อนหน้านี้ล่ะนะ เพราะในช่วงปีหลังๆ พี่บอยนั้นเริ่มมีอาการที่เรียกกันง่ายๆ ว่าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ น้องชายของพี่แกไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ รวมถึงยังไม่อาจคงสภาพได้ยาวนานไปตลอดการปฏิบัติภารกิจ คือมักจะปึ๋งปั๋งขึ้นมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที ก่อนที่จะค่อยๆ อ่อนตัวลงและแน่นิ่งไปในที่สุด จนต้องเสียเวลาปลุกปั่นกันขึ้นมาใหม่... ซึ่งพอมันเป็นบ่อยๆ เข้าแบบนี้ ก็เลยส่งผลกระทบไปถึงสภาพความมั่นใจในเรื่องบนเตียง จนพาลทำให้ร่างกายของแกยิ่งห่อเหี่ยวตามไปด้วย... คนเราแม้จะรักกันแค่ไหน แต่ถ้าเกิดเรื่องบนเตียงมันจืดชืดขาดสีสันแล้วล่ะก็ ยังไงๆ ชีวิตคู่ก็คงต้องมีปัญหากันขึ้นมาซักวันนั่นแหละครับ ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งก็อาจจะแอบเถลไถลหลุดออกนอกเส้นทางไปได้ง่ายๆ

และแม้ว่าพี่บอยจะสามารถใช้วิธีอื่นเป็นการแก้ขัด อย่างการใช้นิ้วและปากช่วย เพื่อประคองตัวพาพี่เป้ไปให้ถึงฝั่งฝัน แต่ถึงที่สุดแล้ว... แกก็ตัดสินใจยอมทำตามข้อเสนอที่ผมเคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ นั่นก็คือการหาคนมาจีบเมียตัวเอง.... ที่ตลกก็คือ ที่ผมบอกแกไปก่อนหน้านี้น่ะ ผมหมายถึงให้แกเป็นคนกลับไปจีบพี่เป้เอง กลับไปทำอะไรกระหนุงกระหนิงสวีทหวานด้วยกัน เหมือนตอนที่เริ่มคบหากันใหม่ๆ เพื่อที่จะได้ช่วยสปาร์คความรู้สึกให้มันกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แต่พี่แกดั๊นเข้าใจผิด ไปจัดแจงหาหนุ่มคนอื่นมาจีบเมียตัวเองจริงๆ ซะงั้น ผมฟังแล้วก็ได้แต่กุมขมับกับความซื่อของแก

แต่ที่ตลกไปกว่านั้นก็คือ พอทำไปทำมา มันดันได้ผลดีกว่าที่คิดน่ะสิครับ... อารมณ์หึงหวงที่ได้เห็นเมียตัวเองกำลังสวีทหวานกับหนุ่มรุ่นน้องของพี่เป้ที่ชื่อต้น แม้จะเป็นเพียงการกุ๊กกิ๊กๆ กันเล็กๆ น้อยๆ และยังไม่ถึงขั้นมีอะไรกันก็ตาม แต่มันก็ช่วยกระตุ้นอารมณ์หื่นของพี่บอยให้กลับมาพุ่งกระฉูด และสร้างความคึกคักให้กับกิจกามบนเตียงของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ติดว่าสุดท้ายแล้ว... พ่อตัวช่วยคนนั้นจะต้องย้ายกลับภูเก็ตไปซะก่อน พอตัวช่วยหายไป ก็เลยพาลทำให้ไฟพิศวาสของพี่บอยที่กำลังลุกโชน ค่อยๆ ดับมอดลงไปอีกครั้ง... จนกระทั่งพี่แกเปลี่ยนเป้าหมาย และเอ่ยปากชวนผมให้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อหนุ่มต้นคนเดิมนั่นเอง

ซึ่งไอ้เจ้าประโยคเชิญชวนข้างต้นนี่แหละครับ ที่กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ซึ่งผมกำลังจะเล่าให้คุณฟังในครั้งนี้นี่เอง....

=======================================

“ง่วงงงงงงงนอนนนนนนน” คือข้อความที่ผมแชทไลน์ไปหาพี่เป้ ขณะกำลังนั่งทำงานอยู่ตอนบ่ายๆ
“ทำงานดึกเหรอเมื่อคืน” ไม่นานพี่เป้ก็ตอบกลับมา
“งานอ่ะไม่ดึกพี่ แต่อย่างอื่นอ่ะดิดึก” ผมตอบสองแง่สองง่ามไปตามประสา
“กาแฟมั้ย” พี่เป้เมินมุกของผมแล้วถามดื้อๆ
“จะชงให้เค้าเหยออ” ผมตอบออดอ้อนกลับไป พร้อมกับสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำตาโตเป็นประกายวิ้งๆ
“เปล่า จะสาดใส่หน้าแกนั่นแหละ 5555+” คือคำตอบที่ส่งกลับมา
“โหย ใจร้ายว่ะ เอะอะก็จะแตกใส่หน้าตลอดเลย” ผมแกล้งพิมพ์ทะลึ่งกวนกลับไป
“อีบ้า ทุเรศ คิดแต่เรื่องอุบาทว์” พี่เป้ด่าผมกลับมาเป็นชุด
“แค่นี้นะ จะทำงานแล้ว บาย” ก่อนที่เธอจะพิมพ์ตัดบทแล้วก็เงียบไป

ปกติแล้วผมกับพี่เป้ก็มักจะคุยเล่น หรือไม่ก็หาเรื่องกัดกันอยู่บ่อยๆ เวลาเบื่อๆ แต่หลังจากที่พี่บอยเอ่ยปากบอกให้ผมลองจีบพี่เป้ดู ผมก็เริ่มที่จะทักแชทเธอบ่อยขึ้น หรือถ้ามีเวลาว่างก็มักจะหาโอกาสแวะไปนั่งเล่นทานข้าวที่บ้านของพี่ๆ ทั้งสองคนอยู่บ่อยๆ อย่างที่บอกไปครับว่าพี่เป้เธอเป็นคนน่ารักแบบเรียบๆ ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการแต่งตัวของเธอ ที่มักจะเป็นชุดทำงานแบบทะมัดทะแมง พวกเสื้อเชิ้ต เสื้อโปโล กับกางเกงยีนส์เข้ารูป สำหรับไว้ใส่ออกสถานที่ข้างนอกซะเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้าวันไหนเธอใส่ชุดเดรส ก็มักจะเป็นชุดเดรสแบบเรียบๆ ที่ปกปิดผิวกายเอาไว้ค่อนข้างมิดชิด ไม่ค่อยโชว์เรือนร่างขาวๆ เนียนๆ ของตัวเองซักเท่าไหร่ มีเพียงสะโพกและบั้นท้ายของเธอนี่แหละ ที่มันกลมกลึงและโค้งเว้าจนพี่เป้ไม่อาจเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้

“พี่เป้วันนี้แต่งตัวเซ็กซี่จังเลยนะครับเนี่ยยยยย” ผมเอ่ยปากแซว ขณะที่พี่เป้กำลังยกกับแกล้มมาตั้งบนโต๊ะรับแขก จังหวะที่เธอก้มตัวลงมาเพื่อวางอาหารบนโต๊ะ บั้นท้ายอวบๆ ของเธอจึงลอยเด่นโค้งท้าทายสายตาของคนรอบข้าง
“เซ็กซี่บ้านป้าแกดิ! เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์เนี่ยนะ มันโป๊ตรงไหนอีบ้า?” พี่เป้ร้องด่าออกมาแก้เขิน
“เอ๊าา เสื้อผ้าน่ะไม่ได้โป๊หรอกครับ แต่ตูดพี่เนี่ยสิ บึ้บบั้บจนแทบจะทะลุกางเกงออกมาแล้วเนี่ย”
“ปากดีนัก นี่แน่ะ หาว่าชั้นตูดใหญ่เหรอ” พี่เป้ร้องแว้ดๆ พร้อมกับใช้ถาดรองจานตีไหล่ผมไม่หยุด
“โอ๊ย ผมล้อเล่นพี่ โอ๊ย! พี่บอยช่วยด้วย!” ผมแกล้งร้องเสียงหลงเรียกหาพี่บอยที่กำลังนั่งหัวเราะลั่นอยู่ข้างๆ
“สมน้ำหน้ามึง ฮ่าๆๆๆ” พี่บอยพูดแล้วยิ้มขำๆ

ยิ่งนานวันผมกับพี่เป้ก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนึงเป็นเพราะว่าพี่บอยเองที่คอยช่วยเปิดทาง พร้อมกับแอบสนับสนุนอยู่เงียบๆ จนพี่เป้เองก็เริ่มที่จะเปิดใจ และกล้าคุยเล่นทะลึ่งตึงตังกับผมมากขึ้น โดยมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ซึ่งผมก็มักจะชวนเธอคุยเรื่องพวกนี้บ้างเป็นครั้งคราว เพื่อคอยเขี่ยเชื้อไฟให้มันคุกรุ่นไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันที่จะปะทุขึ้นมาทีหลัง

“ถามไรหน่อยดิแก” พี่เป้เอ่ยขึ้นมาขณะที่เรากำลังแชทติดพันกันอยู่
“ว่า” ผมส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้างงกลับไป
“ทุกวันนี้แกก็ยังไม่มีแฟนใช่ปะ”
“ก็ใช่ ไมอ่ะ”
“ไม่เหงาเหรอ”
“ก็ไม่นะ ก็มีคนคุยด้วยตลอด นี่ก็คุยกับพี่อยู่ไง อิอิ” ผมตอบไปกวนๆ
“เออ ขอบใจ! ชั้นหมายถึงไม่เหงาเหรอ ที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจนจะ 30 แล้วเนี่ย” พี่เป้ร่ายยาว
“มันก็อิสระดีอ่ะพี่ แล้วอีกอย่างผมมันเจ้าชู้ด้วย ให้ไปคบใครจริงจังคนเดียว สงสารเค้าเปล่าๆ”
“เออ รู้ตัวก็ดีแล้ว” พี่เป้ตอบพร้อมกับส่งสติกเกอร์พยักหน้ากลับมา

“แล้วพวกพี่อ่ะ คบกันมาตั้งนาน แต่งกันจนมีลูกแล้ว ก็ยังรักกันดีใช่มะ” ผมถามเธอกลับไปบ้าง
“ก็เรื่อยๆ แหละแก ชั้นกับพี่บอยก็ไม่ใช่สายดราม่าแบบคนอื่นเค้าอ่ะ ก็อยู่กันเงียบๆ มันก็สบายใจดี ไม่มีปัญหาอะไร” เป็นคำตอบจากทางพี่เป้
“ถามจริง พี่มีเบื่อกันมั่งป่ะ” ผมถามยิงประเด็น พี่เป้พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่แป๊บนึงก่อนจะกดส่งข้อความกลับมายาวพรืด
“มันก็ไม่เชิงเบื่อนะ มันแค่บางทีเราก็ลืมตัวทำอะไรซ้ำๆ กันเหมือนเดิมอ่ะ แกเข้าใจป่ะ คนเราอยู่ด้วยกันทุกวัน เป็นสิบๆ ปี มันก็ค่อนข้างชินชา จะให้รู้สึกตื่นเต้นกันเหมือนสมัยข้าวใหม่ปลามัน มันก็ไม่ใช่ป่าววะ”
“เออ เข้าใจ แบบเป็นความผูกพันมากกว่าโรแมนติกงี้ใช่มะ” ผมตอบตามน้ำไป
“เออ ประมาณนั้นแหละ”

“แล้วเรื่องกุ๊กกิ๊กอ่ะ ยังซู่ซ่าอยู่เปล่า อิอิ” ผมเปิดประเด็นลึกขึ้นไปอีก
“อีเวร เรื่องส่วนตัวโว้ย ฟามลับ 555+” พี่เป้ด่ากลับมา ตามด้วยสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำท่าจุ๊ปาก
“ฮั่นแน่ ไม่เบานะสองคนนี้ รุ่นนี้แล้วยังล่อกันได้ทุกวี่ทุกวัน นับถือๆ”
“ไม่ถึงโว้ยไอ้บ้า ใครมันจะไปหื่นได้ทุกวันแบบแก กลับจากทำงาน หัวถึงหมอนก็แทบจะหลับแล้วย่ะ”
“เอ้าเหรอ งี้อาทิตย์นึงก็ไม่ถึง 5 ครั้งอ่ะดิ” ผมถามเจาะลึกลงไป
“เอ๊ะแกนี่ บอกว่าไม่บอกไง เปลี่ยนเรื่องๆ” พี่เป้รีบบอกปัด
“3 เอ้า นี่เต็มที่แล้วนะเนี่ย ต่อมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วนะ”
“อีห่าาาาาา 55555” พี่เป้หัวเราะกลับมาเพราะความทะเล้นของผม
“เอาจริงๆ อยากรู้ ตกลงถึง 3 ครั้งมั้ยอาทิตย์นึง” คำถามของผมทำเอาเธอนิ่งไปแป๊บนึง
“เอาจริงๆ ก็ไม่ถึงหรอกแก เฉลี่ยแล้วก็อาทิตย์ละครั้งแหละ บางอาทิตย์ก็ไม่ได้ทำ มันเหนื่อย ไหนจะเลี้ยงลูกอีก มีอะไรให้ทำตั้งเยอะ”

ผมพอจะรู้คำตอบของเธออยู่แล้ว เพราะพี่บอยแกเคยเล่าไว้ให้ฟังก่อนหน้านี้ ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าแล้ว อีกสาเหตุนึงก็น่าจะมาจากอาการเซ็กส์เสื่อมของพี่บอยด้วยแหละครับ ที่ทำให้ทั้งสองคนต้องจำทนจำยอมกับสภาพจืดชืดนี้มาในช่วงปีหลังๆ

“โห... แล้วพี่ไม่อึดอัดกันมั่งเหรอ” ผมถามเธอไปตรงๆ
“ก็ไม่นะ ธรรมดาว่ะแก” พี่เป้ตอบมาเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่เธอทำใจรับได้แล้ว
“ถ้าเป็นผมนะ อึดอัดตายห่า อย่างน้อยอาทิตย์นึงต้องขอระบายซัก 3-4 ครั้งอะถึงจะสบายตัว” ผมพิมพ์ยั่วเธอ
“จ้า พ่อเทพบุตร แล้ว 3-4 ครั้งที่ว่าเนี่ย มัน 3-4 คนด้วยรึเปล่ายะ” พี่เป้พิมพ์แซวกลับมา
“ก็แล้วแต่นะพี่ ถ้าสวยหน่อยก็หลายครั้ง หลายยก 555+” ผมส่งสติกเกอร์ทำหน้าหัวเราะตอบไป
“ตามสบายย่ะไอ้หื่น” พี่เป้ตอบมาด้วยความหมั่นไส้

“แล้วพี่บอยอ่ะ ทุกวันนี้ยังเบิ้ลไหวอยู่อ๊ะป่าว อิอิ” ผมแกล้งแซวถึงผัวเธอบ้าง
“พี่บอยเค้ารอบเดียวก็ลงไปนับสิบแล้วย่ะ 555” เธอตอบกลับมาเหมือนเล่นมุกขำๆ ทั้งที่เป็นเรื่องจริง
“โอ๊ย ไม่เชื่อหรอกครับ มีแฟนสวยๆ แบบพี่ เป็นผมคงจัดซักสองยกทุกวันอ่ะ” ผมหยอดไปดื้อๆ
“หื่นแบบแกคืนเดียวสามรอบก็คงไหวมั้ง 5555+” พี่เป้แซวคืนมา
“โห แบบนั้นคงฟ้าเหลืองตายคาเตียงกันพอดีครับพี่” ผมตอบพร้อมกับส่งสติกเกอร์รูปกระต่ายนอนป่วยไปด้วย จนพี่เป้อดขำไม่ได้
“5555”

ผมคุยๆ แซวๆ พี่เป้แบบนี้อยู่ราวๆ 2-3 อาทิตย์ ก็ค่อยๆ ขยับไปเป็นการคุยหยอดหวังผลมากขึ้น ซึ่งสารภาพตรงๆ เลยนะครับว่าไอ้การมาคุยจีบเมียคนอื่นโดยที่ผัวเค้าเต็มใจไปด้วยเนี่ย มันค่อนข้างจะง่ายดายกว่าการไปขโมยตีท้ายครัวกินเมียชาวบ้านอยู่พอสมควรเลย ซึ่งแม้ว่าไอ้แบบหลังนั้นมันจะดูตื่นเต้นท้าทาย และน่าลิ้มลองยิ่งกว่า แต่บางครั้งคนเราก็เพียงแค่อยากทานอะไรที่มันง่ายๆ แต่ได้ทั้งความอิ่มท้องและอิ่มใจเหมือนกันนะครับ

ผ่านไปอีกประมาณเดือนสองเดือน ผมก็ตัดสินใจที่จะรุกคืบแผนการที่วางเอาไว้ ด้วยการเอ่ยปากขอคำปรึกษาเรื่องการปรับพื้นที่ห้องคอนโดของตัวเอง เนื่องจากพี่เป้เธอจบด้านอินทีเรียมา แถมยังทำงานในบริษัทตกแต่งภายในด้วย จึงพอจะมีความรู้ในด้านนี้อยู่บ้าง โดยผมลองเกริ่นๆ ให้เธอแวะมาดูสถานที่จริงที่ห้อง เพื่อลองประเมินราคาค่าตกแต่งต่างๆ พร้อมกับบอกให้เธอชวนพี่บอยมาด้วย ซึ่งพี่เป้เองก็ตกปากรับคำอย่างดี

แต่พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ พี่บอยกลับอ้างว่าติดประชุม และปล่อยให้พี่เป้ต้องเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องเพียงลำพัง ซึ่งพอผมได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มเลยครับ เพราะรู้ว่าพี่บอยแกจงใจแน่นอน แล้วก็จริงดังคาด ไม่นานพี่บอยก็ไลน์มาหาทันที พร้อมกับเอ่ยปากแซวไปด้วย รอกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ พี่เป้ก็มาถึง ผมรายงานบอกพี่บอยพร้อมกับลงไปรับเธอที่ด้านล่างคอนโด พี่เป้วันนี้มาในชุดเดรสกระโปรงแขนกุดสีครีมรัดรูปนิดๆ สวมส้นสูงสีเข้าชุด เธอรวบผมมัดไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นถึงต่างหูมุกสีขาว ที่เปล่งประกายโดดเด่นอยู่บริเวณติ่งหู

“โห! วันนี้แต่งตัวซะสวยผิดหูผิดตาเลยนะพี่ แค่แวะมาดูห้องผมเนี่ยนะ” ผมร้องทักแซวเธอทันที
“ไอ้บ้า! ชั้นไปสัมมนามาตอนเช้าเฟ้ย ไม่ได้เกี่ยวกับแกซักหน่อย หลงตัวเอง!” พี่เป้ตอกกลับมา
“คร้าบๆๆ แหม แค่แซวนิดแซวหน่อย ขึ้นง่ายเหลือเกินนะ”
“เฉพาะกับแกเท่านั้นแหละย่ะ” พี่เป้ว่าพลางแลบลิ้นทำหน้าล้อเลียน
“แล้วพี่บอยไม่มาเหรอพี่?”
“ไม่รู้ดิ เค้าว่าจะตามมา แต่ยังประชุมไม่เสร็จเลย ไม่รู้เสร็จกี่โมงเหมือนกัน” เธอว่าเซ็งๆ

ผมพาเธอขึ้นลิฟท์มาถึงหน้าห้องก่อนใช้คีย์การ์ดแตะเปิดประตูเข้าไป พี่เป้เดินสำรวจพลางใช้กล้องมือถือถ่ายเก็บภาพจนพอใจ ใช้ตลับเมตรวัดมุมต่างๆ ที่เธอสนใจไปด้วย ผมเข้าไปช่วยเธอจับวัดขนาดพื้นที่รอบๆ บางจังหวะก็แกล้งเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ทำท่าทางสนใจเวลาที่เธอพูดเรื่องเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ขึ้นมา จนใบหน้าแทบจะติดกับหน้าเธออยู่แล้ว ชายหญิงพออยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสองในห้องแบบนี้ แม้แต่คนที่เคยเป็นคู่กัดกันมาตลอดอย่างพี่เป้ ก็ยังเผลอออกอาการเขินๆ มีท่าทีหลบสายตาอยู่เป็นพักๆ ก่อนที่เธอจะขอตัวไปโทรศัพท์หาพี่บอยเสียก่อน ซึ่งจนแล้วจนรอด พี่บอยของเราก็ยังเล่นตัวและไม่ยอมมาที่นี่อยู่ดี ก็แหงล่ะครับ... ป่านนี้พี่แกคงกำลังใจจดใจจ่อรอฟังผลลัพธ์อยู่ที่บ้านแล้วมั้งเนี่ย ไอ้ผมเองก็ไม่อยากทำให้รุ่นพี่ที่เคารพต้องผิดหวังซะด้วย ยังไงๆ วันนี้คงต้องขอล่วงเกินภรรยาสุดที่รักของแกซักหน่อยแล้วล่ะ....

พอพี่เป้เอ่ยปากบ่นหิว ผมจึงเดินไปคุ้ยตู้เย็น หยิบพิซซ่าในถาดที่ยังเหลืออยู่หลายชิ้น สปาเก็ตตี้เบคอนอีกครึ่งกล่อง รวมถึงพวกเครื่องเคียงอย่างปีกไก่ทอด กับขนมปังกระเทียม ออกมาอุ่นทานด้วยกันสองคน ตบท้ายด้วยเบียร์สิงห์อีกคนละกระป๋อง เย็นชื่นใจ

“จริงๆ พี่แต่งตัวแบบนี้แล้วก็สวยดีเหมือนกันนะผมว่า” ผมเอ่ยชมเธอขณะหยิบพิซซ่ากัดเข้าปากคำโต
“ชั้นก็สวยทุกวันอยู่แล้วป่ะวะ?” เธอตอบกวนตีนหน้าตาเฉย พร้อมกับยกเบียร์ขึ้นซดเบาๆ
“เฮ้ย นี่ผมชมจริงจังนา พี่แต่งแบบนี้แล้วดูมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลย วันหลังก็หัดแต่งแบบนี้บ่อยๆ ดิ”
“ขอบใจ... แหม ทีก่อนหน้านี้ล่ะไม่เคยเห็นหัวชั้นเลยนะ ตอนเรียนก็เอาแต่ร้องตะแง้วๆ ตามก้นยัยบีตลอด” พี่เป้เอ่ยถึงชื่อเพื่อนซี้คนสวยของเธอที่ผมเคยแอบตามจีบตามตื้ออยู่เมื่อสมัยก่อน
“ก็แหม... พี่บีเค้าสวยเด้งซะขนาดนั้น ใครเห็นก็ต้องหลงป่าววะพี่?” ผมตอบไปซื่อๆ
“ก็ใช่น่ะสิค้า น้องโจ้ถึงได้โดนเค้าหักอกจนกลายเป็นหมาหงอยอยู่ตั้งปีสองปีนี่ไง ฮิฮิฮิ” พี่เป้พูดแซวผมบ้าง เธอคงไม่รู้หรอกครับว่าผมน่ะจัดการเผด็จศึกพี่บีคนสวยไปเรียบร้อยแล้วเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ส่วนเพื่อนซี้แบบเธอน่ะ กำลังจะได้กลายเป็นเหยื่อรายต่อไปในเร็วๆ นี้ ฮี่ๆๆ

เราสองคนนั่งทานกันไปพร้อมกับคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะค่อยๆ เปลี่ยนประเด็นชวนเธอคุยเรื่องบนเตียงเหมือนทุกที เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่ เราได้มานั่งคุยกันแบบตาสบตากันสองต่อสอง ไม่ใช่เป็นเพียงข้อความทื่อๆ แข็งๆ ที่ส่งผ่านกันไปมาทางโทรศัพท์เท่านั้น

“เออพี่ ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องตอนเรียนขึ้นมาแล้ว ผมนึกได้อีกเรื่องนึง” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่
“เรื่องไรอะ?” พี่เป้ถามเสียงราบเรียบ ใช้ส้อมจิ้มสปาเก็ตตี้เข้าปากไปด้วย
“ก็เรื่องที่พี่เคยมาแอบดูเจี๊ยวผมในห้องน้ำที่หอไง” คำพูดของผมเล่นเอาพี่เป้ถึงกับสำลักสปาเก็ตตี้ ต้องหยิบเอาน้ำเปล่ามากระดกอึกๆ พร้อมกับทำหน้าเหวอตาโต
“ไอ้โจ้! ไอ้ทุเรศ! ใครเคยไปแอบดูแกตอนไหน” พี่เป้รีบพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน ใบหน้าเขินอายเริ่มเป็นสีแดงนิดๆ
“เอ้า! ก็ตอนนั้นไง ที่พี่มานั่งทำงานที่หอผม แล้วตอนผมอาบน้ำพี่ก็เปิดประตูเข้ามาดูผมแก้ผ้าอ้ะ! ผมจำได้นา”
“ไอ้บ้า! ก็ตอนนั้นแกเป็นคนบอกให้ชั้นหยิบผ้าเช็ดตัวไปให้เองไม่ใช่รึไง แถมคนที่เปิดประตูน่ะก็คือแกด้วยซ้ำ” เธอรีบโวยวายกลับมาทันที ซึ่งก็แสดงว่าเธอเองยังคงจำเรื่องนี้ได้ฝังใจล่ะครับ
“ใช่เร้อ... ผมไม่เห็นจะจำได้เลย” ผมแกล้งตอบหยั่งเชิงไป

“ก็ใช่น่ะสิยะ ทุเรศ! ชั้นไม่ได้อยากดูแกโป๊ซักหน่อย แกนั่นแหละอยากโชว์เอง” พี่เป้ตอบเสียงแข็ง
“อ๋อ จำได้ละ โห! นึกแล้วเสียดาย ผมกะว่าพี่บีจะเป็นคนหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ซักหน่อย พี่นี่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเล้ยย” ผมตอบทำเสียงไม่พอใจ
“ชั้นต่างหากที่ต้องโวยย่ะ ที่ต้องทนเห็นหนอนชาเขียวของแกแบบนี้เนี่ย” พี่เป้ทำหน้างอนๆ กลับมา
“อะไรๆๆ มาว่าของผมหนอนชาเขียวแบบนี้ผมไม่ยอมนะครับ อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าของผมยังใหญ่กว่าของพี่บอยแน่ๆ อ่ะ” ผมแกล้งทำท่าฮึดฮัด จะรูดซิปปลดกางเกงโชว์เธอดื้อๆ จนพี่เป้ร้องกรี๊ดๆ รีบยกไม้ยกมือห้ามทันที

“พอๆๆ หยุดตรงนั้นเลย... ชั้นเชื่อแล้วว่าแกใหญ่จริง ไม่ต้องควักออกมาเลยนะ”
“แล้วตกลง ของผมใหญ่กว่าของพี่บอยเยอะป่ะพี่?” ผมยังแกล้งถามยั่วเธอต่อ
“ไม่รู้ว้อยไอ้บ้า เรื่องมันตั้งนานแล้ว ใครจะไปจำได้ยะ” เธอรีบปฏิเสธ
“ไม่จริงง่ะ ตะกี้พี่ยังเล่าได้ละเอียดอยู่เลย ผมว่าพี่ไม่มีทางลืมชัวร์ แสดงว่า... ของผมใหญ่กว่าเยอะเลยใช่ป่าววว?” ผมพูดจบก็ต้องรีบเอียงหน้าหลบก้อนขนมปังกระเทียมที่พี่เป้เขวี้ยงกลับมาแทนคำตอบ ก่อนที่เธอจะชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งผมเองก็เออออตามเธอไปอย่างว่าง่าย เรานั่งคุยเล่นกันอยู่อีกพักนึง แต่บรรยากาศตอนนี้ก็แฝงไปด้วยความเขินอายซึ่งกันและกัน ผมตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัว ขยับเข้าไปนั่งชิดติดกับเธอบนโซฟา สบตากับเธอตรงๆ ด้วยใบหน้าจริงจัง พี่เป้มองหน้าผมงงๆ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“พี่เป้ครับ... ผมรู้ว่ามาบอกเอาตอนนี้มันก็สายไปแล้ว แต่ยังไงผมก็ยังอยากบอกพี่อยู่ดีนะครับ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้เบาๆ แล้วพูดต่อ
“ผมชอบพี่นะครับ ชอบมาตั้งนานแล้ว” พี่เป้ได้ฟังก็นั่งอึ้งตัวแข็งเป็นหิน  ผมเห็นเธอยังงงๆ อยู่ จึงเอื้อมมือทั้งสองข้างไปโอบกอดเธอไว้แน่น
“โจ้..... อย่า....” พี่เป้พูดออกมาได้แค่นั้นแล้วก็เงียบไปอีก
“ผมรู้ดีครับว่าพี่น่ะมีพี่บอยอยู่แล้ว แต่ยิ่งเราได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นทุกที” ผมพูดพร้อมกับสบตาเธอไปด้วย เราสองคนจ้องหน้ากันเงียบๆ พี่เป้เองก็นั่งนิ่งปล่อยให้ผมกอดเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ผมจึงได้ใจ ค่อยๆ เลื่อนหน้าชิดเข้าไปใกล้ๆ พี่เป้พยายามจะเอนหน้าหนีแต่ติดที่สองมือของผมยังรั้งตัวเธออยู่ ก่อนที่ริมฝีปากของเราสองคนจะประกบจูบแนบชิดกันในที่สุด

“อื้อๆๆ” พี่เป้ร้องอู้อี้ออกมาไม่เต็มเสียงเมื่อโดนผมบดปากจูบ ผมพยายามใช้ลิ้นดันแทรกเข้าไปด้านใน ขณะที่พี่เป้เองก็พยายามฝืนต้านทาน เม้มปากเอาไว้แน่นไม่ให้ผมสอดลิ้นเข้าไปได้ แต่ท้ายที่สุดครับ อธรรมก็ย่อมชนะธรรมะ และปลายลิ้นของผมก็ค่อยๆ แซะง้างริมฝีปากบางๆ ของเธอให้เผยออ้าออก ก่อนจะค่อยๆ แทรกตัวมุดสำรวจเข้าไปด้วยความซุกซน ผมดูดปากเธอเสียงดังจ๊วบจ๊าบ สลับกับเสียงสูดน้ำลายดังซ้วบๆ ส่วนพี่เป้เองได้แต่นั่งหลับตา เผยอปากให้ผมจูบอย่างถนัดถนี่ บางจังหวะยังเหมือนว่าลิ้นเธอจะขยับพัวพันสู้ลิ้นของผมด้วยซ้ำ สองมือเธอก็โอบแนบแผ่นหลังของผมไปด้วยอย่างลืมตัว

ผมเข้าใจไปว่ารสจูบของผมคงจะไปปลุกสวิตซ์อะไรบางอย่างในตัวเธอให้ตื่นขึ้นมา พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็เลยใช้มือข้างนึง ค่อยๆ วางแหมะลงไปที่หน้าอกของเธออย่างนุ่มนวล ค่อยๆ บีบคลึงสัมผัสมันเบาๆ ที่นอกผ้า รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มจากทรวงอกของคุณแม่ยังสาวที่คับแน่นเต็มไม้เต็มมือ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินหน้าบุกต่อ พี่เป้ก็ใช้สองมือผลักอกผมออกมาเสียก่อน แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน ใช้มือจับขยับเสื้อผ้าเข้าที่ให้เรียบร้อย

“แก....ชั้นกลับก่อนนะ” พี่เป้พูดตัดบทสั้นๆ แล้วก็คว้ากระเป๋าสะพายเพื่อเตรียมตัวกลับ เธอคงยังสับสนและปรับอารมณ์ไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ ในเมื่อที่ผ่านมาผมมักจะแสดงออกด้วยการต่อล้อต่อเถียงกับเธอในฐานะคู่กัด ไม่เคยแสดงท่าทีชอบพอให้เธอได้เห็นมาก่อน จู่ๆ จะมาสารภาพหักดิบกันแบบนี้ ใครจะไปตามทันล่ะครับ
“เดี๋ยวผมลงไปส่งครับพี่” ผมรีบลุกขึ้นเดินนำเธอไปหน้าประตู เราสองคนเดินลงมาเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา พอถึงลานจอดรถแล้วพี่เป้ก็หันมามองผมด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก
“กลับแล้วนะ ไว้เรื่องห้องเดี๋ยวดูให้อีกที”
“ครับพี่ กลับดีๆ นะครับ” ผมโบกมือให้เธอแล้วก็เดินกลับขึ้นห้องมาคนเดียว

พอพี่เป้กลับบ้านไป หลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่าๆ พี่บอยก็ทักไลน์ผมมาถามด้วยความร้อนรน ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่แกฟังจนหมด พี่บอยดูจะมีท่าทีตื่นเต้นพอสมควร 2-3 วันต่อมา พี่เป้ก็ส่งรายละเอียดเรื่องการแต่งห้องมาให้ผมดู โดยไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยซักนิด แต่คิดว่าเธอเองก็คงยังไม่ลืมเลือนรสจูบของผมในคืนนั้นไปได้แน่ๆ เพราะทุกครั้งเวลาที่เราเจอหน้ากัน พี่เป้ก็มักจะมีอาการเขินๆ ไม่ค่อยกล้าสบตาผมเท่าไหร่ แม้จะยังคงคอยต่อปากต่อคำกับผมอยู่เหมือนเดิม

มีอยู่วันนึงพี่บอยเอ่ยปากชวนผมไปเดินเล่นงานลอยกระทงที่วัดภูเขาทอง ผมเองก็ว่างๆ อยู่แล้วจึงตกปากรับคำแกไปง่ายๆ พอผมไปถึงหน้างาน ก็เห็นพี่บอยกำลังยืนอุ้มน้องโอมลูกชายตัวน้อยอยู่ที่หน้าประตูเข้าวัด ส่วนพี่เป้คนสวยกำลังจ่ายเงินซื้อน้ำเปล่าจากคุณป้าร้านเครื่องดื่มอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ วันนี้เธอดูเซ็กซี่เป็นพิเศษในชุดเสื้อกล้ามสีขาวรัดรูปแม้ว่าจะคลุมทับไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตก็ตาม ด้านล่างเป็นกางเกงยีนส์ขาสั้นเปิดเผยเรียวขายาวๆ ผิวขาวๆ ของเธอสะท้อนกับแสงไฟดูโดดเด่น พี่บอยขออาสารับหน้าที่ดูแลลูกชาย เปิดโอกาสให้ผมได้ใช้เวลาสวีทหวานกับพี่เป้แบบเต็มที่ จนเธอต้องจำยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้

พี่เป้เอ่ยปากชวนผมไปเล่นยิงเป้าเพราะอยากได้ตุ๊กตามาให้ลูกชาย ผมลองยิงก่อนเป็นคนแรก แต่ยิงเข้าเป้าไปแค่ลูกเดียว พี่เป้รีบพูดเยาะเย้ยทันที ผมจึงพูดท้าทายให้เธอลองยิงเองบ้าง พี่เป้ก็หันไปจ่ายเงินแล้วหยิบปืนขึ้นมาเล็ง แต่ท่าทางของเธอดูเก้ๆ กังๆ จนผมอดไม่ได้ ต้องขยับเข้าไปช่วยจัดท่าเล็งของเธอให้ตรงเป้าหน่อย เธอมีอาการเกร็งๆ เขินๆ นิดๆ เมื่อสองมือของผมสัมผัสลงไปที่หัวไหล่และท่อนแขนนุ่มๆ จนเธอต้องรีบพูดแซวเพื่อแก้เขิน

“ยิงโดนแค่ลูกเดียวยังจะทำซ่ามาสอนอีก” แน๊ะ! ปากดีจริงๆ แม่คนนี้ ฟังแล้วอยากจะตบจูบให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ยิงๆ ไปเหอะน่า มัวแต่บ่นอยู่นั่นแหละ วู้!” ปากผมพูดไป แต่สายตากลับคอยชำเลืองมองหน้าท้องขาวๆ ของเธอที่โผล่พ้นชายเสื้อกล้ามตัวเล็กจิ๋ว อูยยย... นี่แค่หน้าท้องยังขาวเนียนซะขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเนินเนื้อด้านในกางเกงของเธอมันจะขาวจั๊วะขนาดไหนกันนะเนี่ย ผมมัวแต่มองพุงเธอจนไม่ทันได้สังเกตว่าพี่เป้ที่ยิงโดนเป้าครบทุกลูก ตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังโดนถ้ำมองอยู่
“อีลามก! มองอะไรอยู่ได้!?” เธอร้องแว้ดๆ พร้อมกับใช้ด้ามปืนฟาดแขนผมเป็นการใหญ่ จนแม่ค้าต้องรีบร้องห้ามเพราะกลัวว่าปืนจะพังซะก่อน
“ก็พี่อยากใส่เสื้อโป๊ๆ มายั่วผมทำไมเล่า ผมก็ต้องมองดิ้” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ใครยั่วแกยะ ชั้นใส่ของชั้นดีๆ แกนั่นแหละจ้องซะอย่างกับจะกินชั้นอยู่แล้ว” เธอพูดงอนๆ แก้มป่อง หยิบรางวัลที่ได้แล้วก็ส่ายก้นเดินงุดๆ ออกไป

ผมเดินตามพี่เป้ที่หิ้วตุ๊กตากระต่ายตัวโต กลับไปหาพี่บอยและลูกที่ยืนรออยู่ น้องโอมทำท่าทางดีใจใหญ่เมื่อได้ของเล่นชิ้นใหม่จากคุณแม่ เราเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งก็มาถึงหน้าบ้านผีสิงสไตล์งานวัดสุดคลาสสิค มันเป็นทางเดินแคบๆ ยาวๆ มืดๆ ที่ด้านในจะมีพนักงานสวมชุดโครงกระดูก ไม่ก็หน้ากากผีห่วยๆ คอยโผล่ออกมาแกล้งลูกค้าให้ตกใจ พี่เป้เห็นปุ๊บก็ร้องกรี๊ดๆ อยากเล่นทันที ส่วนน้องโอมลูกชายตัวน้อยออกอาการงอแงเหมือนกลัวผี จนพี่บอยต้องอุ้มขึ้นมากอดไว้แน่น แล้วก็เหมือนเดิมครับ เมื่อไม่มีทางเลือก พี่เป้จึงต้องเอ่ยปากชวนผมเข้าไปเล่นด้วยกัน ผมเดินนำหน้าเธอเข้าไปทันที พี่เป้รีบร้องเรียกบอกให้รอเธอด้วย ผมเห็นแบบนี้ก็อดแซวไม่ได้

“พี่จะกลัวอะไรเนี่ย ข้างในมันก็คนทั้งนั้นแหละ”
“เออน่า พูดมาก เดินไปเร็วๆ” เธอบ่นอุบอิบแล้วผลักผมเดินต่อไป บรรยากาศด้านในมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น ดีที่ว่าบนพื้นยังมีลูกศรเรืองแสงคอยบอกทางให้เราเดินไปถูก ข้างๆ กำแพงประดับไปด้วยตาข่ายอะไรไม่รู้ห้อยเต็มไปหมด ดูแล้วขำมากกว่าจะน่ากลัว แต่ยัยคนที่เดินตามหลังผมนี่สิ ดูจะกลัวมันไปซะทุกอย่าง พอเดินไปได้ครึ่งทางก็มีเสียงร้องแฮ่ออกมาดังๆ ไอ้ผมน่ะไม่ตกใจเท่าไหร่หรอกครับ เพราะกะไว้อยู่แล้ว แต่พี่เป้แกนี่สิ กลับร้องกรี๊ดๆ เสียงดัง กระโดดเข้ามากอดผมแน่น
“โอ้ยพี่... ผมหายใจไม่ออก” ผมร้องบอกเธอขณะที่พี่เป้เอาแต่เกาะไหล่ซบผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใจนึงผมก็นึกขำ แต่อีกใจนึงก็อดหวิวๆ ไม่ได้ เพราะหน้าอกเธอมันทิ่มโดนหลังผมตลอด จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ แล้วเดินพาเธอออกไปข้างนอกเร็วๆ พอเราเดินเกือบถึงทางออก พี่เป้ก็รีบปล่อยมือจากผมทันทีเหมือนกลัวพี่บอยจะเห็น

สรุปว่าที่ไปเที่ยวกันคราวนั้นเลยแทบจะกลายเป็นการเดทกันระหว่างผมกับพี่เป้ไปโดยปริยาย เราสองคนออกอาการเขินๆ ใส่กัน โดยแทบจะไม่เกรงใจพี่บอยที่เดินจูงลูกตามหลังอยู่ต้อยๆ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ผมพอจะมั่นใจแล้วว่า พี่เป้เองก็เริ่มที่จะหลงเสน่ห์ของผมบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม... เวลาที่เราแชทคุยกันหลังจากนั้นก็เลยยิ่งดูคล้ายคำพูดคำจาของคนจีบกันมากขึ้นไปอีก ซึ่งตอนที่เราอยู่ด้วยกันสามคนกับพี่บอย ผมก็มักจะแอบลอบมองหน้าเธอบ่อยๆ ซึ่งพี่เป้เองก็จะแอบส่งสายตา เล่นหูเล่นตากับผมตอบกลับมาด้วยเช่นกัน

“ผมชอบพี่จริงๆ นะเนี่ย” ผมพิมพ์ส่งข้อความหยอดไปหาเธอเรื่อยๆ เหมือนกับที่ผ่านมา
“อีกแระ อะไรของแกเนี่ย หาาาา กินยาผิดมารึไง” พี่เป้มักจะแกล้งพิมพ์ตอบเหมือนไม่รู้เรื่องกลับมา
“พี่ไม่คิดชอบผมบ้างเหรอออออ” ผมถามจี้ใจเธอไปอีก
“ม่ายอ่ะ ไม่มีทาง ชั้นไม่กินเด็กย่ะ 555+” เธอพิมพ์ส่งกลับมาพร้อมหัวเราะร่า
“ใจร้ายยยย” ผมออดอ้อนไม่หยุด
“ใจร้ายเฉพาะกับเด็กดื้อย่ะ” เธอตอบกลับมาพร้อมสติกเกอร์ตัวการ์ตูนแลบลิ้นปลิ้นตา
“แต่เค้าคิดถึงตัวเองน้าาา” ผมยังไม่ละความพยายาม
“เพ้อเจ้อ ไปนอนไป๊” เธอพูดตัดบทดื้อๆ
“นอนก็ได้ จะได้ฝันถึงพี่ไวๆ” ผมหยอดเข้าไปอีกเพื่อให้เธอตบกลับมา
“ฝันร้ายอ่ะดิแบบนั้น 555+”
“ฝันดีตะหาก แล้วอีกคนเค้าจะฝันถึงเราบ้างมั้ยน้ออออ”
“ฝันค่ะ ฝันไปเถอะ 55555+”

ผมคุยจีบเธออยู่แบบนี้อีกพักใหญ่ๆ โดยที่พี่เป้เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจใดๆ บางครั้งยังเออออทีเล่นทีจริงไปกับผมด้วย ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคือการสานต่อความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปจากคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง เหมือนที่เราเคยเป็นมาโดยตลอด ผมพยายามหาเวลานัดเธอมาคุยเรื่องห้องคอนโดอยู่บ่อยๆ ซึ่งเธอก็ยอมมาด้วยทุกครั้ง เพียงแต่ยังไม่ยอมเข้าไปที่คอนโดของผมแบบสองต่อสองซักที คงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบคราวที่แล้วขึ้นมาอีก

ผมไม่รู้ว่าในใจนั้นเธอจะรู้สึกผิดกับพี่บอยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมันแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย เพราะว่าพี่บอยผัวเธอนั่นแหละ ที่ดูจะลุ้นไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากกว่าผมด้วยซ้ำ.... ยิ่งช่วงหลังๆ ที่พี่บอยค่อนข้างงานยุ่งและไม่ได้มีเวลาสวีทหวานอะไรเท่าไหร่ ผมคิดว่าพี่เป้เองก็คงแอบรู้สึกเหงาๆ เคว้งๆ อยู่เหมือนกันนะ ยิ่งเรื่องบนเตียงของทั้งคู่นั้นก็ดูจะห่างเหินกันไปนานแล้วด้วย มันคงไม่แปลกอะไรที่คุณแม่ยังสาวแบบเธอจะเกิดเผลอใจ และหลงมาใช้เวลานอกลู่นอกทางกับผมอยู่แบบนี้

“พี่เป้ พรุ่งนี้ว่างมั้ย ไปหาอะไรกินกันเย็นนี้” ผมโทรชวนเธอเธอทานมื้อเย็นเหมือนทุกที ซึ่งผมก็แอบบอกพี่บอยไปล่วงหน้าแล้ว
“เอาดิ จะไปกินแถวไหนอะ ชวนพี่บอยไปยัง?” ปลายสายตอบกลับมา
“คือ... ผมกะจะชวนพี่คนเดียวน่ะครับ... พี่สะดวกรึเปล่า” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง แอบตะกุกตะกักเล็กน้อย พี่เป้ฟังแล้วก็เงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบกลับมา
“แกหมายถึง.... ชวนชั้นไปกินข้าวด้วยกัน... สองต่อสองอ่ะนะ?” เธอถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ครับพี่... พี่สะดวกมั้ย?” เธอเงียบเว้นช่วงไปแป๊บนึง
“ก็ได้... ที่ไหนอ่ะ? แต่ถ้าเลือกดึกก็คงไม่ได้ไปนะ” พอเธอตอบมาแบบนี้ ผมจึงบอกชื่อร้านกับตำแหน่งที่อยู่ของร้านไปให้เธอฟัง และตกลงนัดแนะกันว่าจะมาเจอกันที่ร้านตอนประมาณทุ่มนึง โดยไม่ลืมกำชับเธอไปว่าห้ามให้พี่บอยรู้เด็ดขาด เสร็จแล้วผมก็เป็นฝ่ายพิมพ์แจ้งข่าวบอกพี่บอยซะเอง แฮ่!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น