วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2566

คบเด็กข้างบ้าน #4 END


 

แม้ว่าพี่อ๊อฟนั้นจะหายออกจากบ้านไปเกือบๆ 20 นาทีแล้ว แต่สายตาของเราก็ยังคงเอาแต่จับจ้องมองเหม่ออยู่ที่ประตูบ้าน เหมือนกับกำลังรอคอยความเคลื่อนไหวบางอย่างจากหลังประตูบานนั้น แม้ว่าภาพที่เห็นนั้นจะค่อนข้างพร่ามัวจากหยาดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นอยู่รอบๆ ดวงตาก็ตาม

เราได้แต่นั่งเข่าอ่อนหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากพื้น นึกก่นด่าตัวเองที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ แทนที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากยอมรับผิดไปตรงๆ กลับยิ่งพยายามดิ้นรนแก้ตัว จนทำให้เรื่องทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปมากมายขนาดนี้

การได้เห็นพี่เค้าร้องไห้ ทำให้เรายิ่งรู้สึกรังเกียจตัวเองมากขึ้นไปอีก รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ในหัวใจ เมื่อได้เห็นน้ำตาของผู้ชายที่ตนเองรักค่อยๆ หยดแหมะลงมาเป็นครั้งแรก ใช่ค่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เราได้เห็นพี่อ๊อฟร้องไห้แบบต่อหน้าต่อตา ซ้ำยังเป็นน้ำตาที่มาจากความเสียใจเพราะสิ่งที่เราทำไว้กับเค้าอีกต่างหาก ยิ่งเห็นก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะพูดแก้ตัวหรือปลอบใจแกยังไงดี ถ้าต้องมาเห็นพี่เค้าร้องไห้เสียใจแบบนี้ สู้ให้เค้าโวยวายด่าว่าเรามาตรงๆ เลยยังจะดีกว่า...

เรานั่งฟุบหน้าร้องไห้อยู่กับโซฟาจนเริ่มเหนื่อย ก่อนจะเผลอหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น มาตื่นเอาอีกทีก็เกือบๆ 8 โมงเช้าวันเสาร์ หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ประตูบ้านยังคงปิดสนิท ถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะเมื่อคืนก็ยังคงกองอยู่ที่เดิม เราค่อยๆ ลุกเดินขึ้นไปบนห้องนอนเงียบๆ ภายในห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใดๆ ว่าพี่อ๊อฟได้ย้อนกลับเข้ามาที่นี่เมื่อคืนนี้

แสดงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ฝันร้าย... แต่มันคือความจริง...

ความจริงที่ว่าชีวิตคู่ของเราสองคนกำลังจะเดินทางมาถึงจุดจบ จากความผิดพลาดที่เราได้ก่อเอาไว้ เพราะหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเลยที่เราจะสามารถเข้าหน้ากับพี่เค้าได้อีกครั้ง แต่คิดไปคิดมา... เจอแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ก็สมน้ำหน้าตัวเองแล้วล่ะ ที่เลือกปล่อยให้ความอยากมันเข้ามาบดบังศีลธรรมจนหน้ามืดตามัวได้ขนาดนี้ แทนที่จะให้พี่เค้าต้องมาเสียเวลาฝืนทนอยู่กับคนเลวๆ แบบเรา สู้ปล่อยให้พี่เค้าได้มีโอกาสไปเจอกับผู้หญิงคนอื่นที่ดีกว่าเรา มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?

เราใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตาเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นเก็บกระเป๋าและจัดเตรียมข้าวของ ทั้งพวกเสื้อผ้า เครื่องใช้จุกจิก รวมถึงแม็คบุ๊คและอุปกรณ์ทำงานต่างๆ เพื่อเตรียมย้ายไปพักที่อื่น บอกตามตรงว่าในตอนนั้นน่ะ เราเองก็ยังไม่รู้หรอกค่ะ ว่าตัวเองกำลังจะเก็บข้าวของไปนอนที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าตัวเองคงไม่สามารถบากหน้าทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก อย่างน้อยก็ในช่วงอาทิตย์-สองอาทิตย์นี้ ยังไงก็ต้องรีบย้ายออกมาก่อน

และหลังจากคิดทบทวนหาจุดหมายซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักใหญ่ๆ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะหลบไปขอพักอยู่ที่คอนโดพี่สาวเป็นการชั่วคราว ซึ่งแม้ว่าจะต้องถูกอีกฝ่ายสอบสวนถึงที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้นแหงๆ แต่อย่างน้อยก็คงจะดีกว่าการเลือกไปพักอยู่กับพ่อแม่ของเราล่ะนะ เพราะสองรายนั้นน่ะมีแต่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวายใหญ่โตขึ้นอีกหลายเท่าแน่ๆ

ก่อนไปเราก็เลยถือโอกาสแวะไปหานายโมที่บ้าน กะจะบอกให้อีกฝ่ายได้รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และจะได้ระมัดระวังตัว ไม่ทะเล่อทะล่าโผล่เข้าไปทักทายพี่อ๊อฟแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ประเดี๋ยวจะได้โดนพี่เค้ากระทืบเอาง่ายๆ หรือหากร้ายแรงกว่านั้น ก็อาจจะทำให้พี่เค้าฟิวส์ขาดและพาลทำอะไรรุนแรงลงไปโดยไม่รู้ตัว แล้วคราวนี้ล่ะ เผลอๆ จะได้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง วุ่นวายกันไปทั้งหมู่บ้าน

แต่ก็ตามประสานายโมล่ะค่ะ เวลาต้องการตัวก็มักจะหายหัวหายตัวไปตลอด

“โมมันยังไม่กลับเลยค่ะพี่ สงสัยไปค้างห้องเพื่อนมั้ง พี่พัชมีธุระอะไรด่วนรึเปล่า?” น้องส้มงัวเงียตอบก่อนจะปิดปากหาว
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรจ้ะ พี่แค่จะแวะมายืมแผ่นโปรแกรมจากโมเฉยๆ น่ะ ส้มไปนอนต่อเถอะ ขอบใจมากนะ” เรารีบพูดตัดบท
“ค่ะๆ อืม ว่าแต่นี่พี่พัชกำลังจะไปเที่ยวเหรอคะ? หอบกระเป๋าพะรุงพะรังเลย” อีกฝ่ายเริ่มสังเกตถึงสัมภาระข้างกายของเราขึ้นมา
“อ๋อ... จ้ะ แวะไปทำโปรเจ็คท์กับเพื่อน 2-3 วันน่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันจ้ะ” เราโกหกไปแบบลวกๆ
“สวัสดีค่ะพี่” ส้มยกมือไหว้ก่อนจะปิดประตูหลบเข้าบ้านไป ส่วนเราก็เดินออกมาเรียกแท็กซี่ข้างนอก

ระหว่างที่กำลังอยู่บนแท็กซี่ เราก็ลองโทรไปหานายโมดูอีก แต่โทรอยู่นานสองนานอีตานั่นก็ยังไม่ยอมรับสายซักที เฮ้อ... ช่วยไม่ได้ งั้นที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของเธอแล้วกันนะโม เราตัดสินใจกดตัดสายทิ้งพร้อมกับแอบถอนหายใจเบาๆ เห็นสายตาของลุงคนขับแท็กซี่แอบเหลือบมองตามแว้บหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบหันกลับไปมองถนนต่อ

รถแท็กซี่ขับมาจอดที่หน้าคอนโดแห่งหนึ่งในซอยอารีย์ พอมองออกไปก็เห็นร่างของพี่แวว พี่สาวเรามายืนรอรับอยู่ด้านหน้าคอนโดเรียบร้อยแล้ว

“ของมีแค่นี้เหรอ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามทันทีที่เจอหน้า
“อืม” เราพยักหน้าตอบเนือยๆ
“ป่ะ งั้นขึ้นห้องก่อนแล้วกัน” พี่แววว่าพลางเดินนำหน้าเข้าไปในคอนโด พอเข้าลิฟท์ปั๊บเราทั้งคู่ก็เข้าสู่โหมดเดดแอร์ทันที

เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่ในลิฟท์เงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างฝ่ายต่างก็เหมือนหยุดรอให้อีกคนเป็นผู้เริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาก่อน

“พี่สบายดีใช่ป่าว?” เราชิงเป็นฝ่ายเปิดฉากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“อืม ก็ดี แล้วแกล่ะว่าไง? ไปทะเลาะอะไรกับไอ้อ๊อฟมันอีก ถึงขนาดต้องหนีมาอยู่นี่” พี่แววเปิดฉากเข้าเรื่องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เดี๋ยวหนูค่อยเล่าได้มั้ยอ่ะ ขอพักทำใจก่อน”
“อ่ะ... ตามใจ นี่แสดงว่าแกเป็นฝ่ายผิดใช่มั้ยเนี่ย? ถึงได้พูดอะไรไม่ออกแบบนี้” พี่แววเดาถูกเผง แต่เราก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แค่ก้มหน้านิ่งๆ ยืนรอจนลิฟท์เปิดออก แล้วจึงเดินตามพี่แววเข้าไปในห้อง

ห้องของพี่แววยังคงเต็มไปด้วยข้าวของวางกองระเกะระกะเหมือนเช่นเคย ที่โต๊ะรับแขกกับโต๊ะกินข้าวก็มีแต่หนังสือกับแฟ้มเอกสารวางกองซ้อนกันเป็นตั้งๆ ก็อย่างว่าละนะสำหรับสาวโสดบ้างานอย่างพี่แววแล้ว ขอแค่ยังมีอินเตอร์เน็ตกับทีวีเอาไว้นอนดูซีรีส์เกาหลีเพลินๆ อยู่ที่ห้อง ข้าวของอย่างอื่นจะเป็นยังไงก็คงจะไม่สำคัญแล้ว

“เอากระเป๋าวางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยเก็บของทีหลัง แล้วนี่กินอะไรมาแล้วใช่มั้ย?”
“ยังเลย พี่มีอะไรให้หนูกินมั้ยอ่ะ?”
“ไม่มีหรอก นี่ชั้นก็พึ่งตื่นตอนที่แกโทรมานี่แหละ งั้นรอแป๊บนึงแล้วกัน เดี๋ยวโทรสั่งผัดไทยข้างล่างเอาก็ได้”
“ของหนูเอาพิเศษนะ”
“ย่ะ!”

นั่งรอกันอยู่เกือบๆ 10 นาที ผัดไทยที่สั่งก็มาถึง และพอผ่านไปอีกราวๆ 20 นาทีต่อมา ผัดไทยที่เคยอยู่ในจานของเราทั้งคู่ก็หายวับไปราวกับเล่นกล

“ตกลงแกสองคนทะเลาะอะไรกันมา?” พี่แววเอ่ยถามพลางใช้ทิชชู่เช็ดคราบที่มุมปาก
“หนูก็ไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี คือ... ” เราตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดให้พี่สาวตัวเองฟัง ตั้งแต่ตอนที่พึ่งได้รู้จักกับโมเป็นครั้งแรก จวบจนกระทั่งมาถึงเรื่องที่ถูกพี่อ๊อฟจับได้แบบคาหนังคาเขา ส่วนเรื่องที่มีอะไรกันก็แค่รวบรัดเล่าสั้นๆ โดยที่ไม่ได้ไปลงรายละเอียดอะไรมาก พี่แววนั่งนิ่งตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนที่จะเอ่ยปากแสดงความคิดเห็นขึ้นมา

“สรุปว่า... น้องเค้าแซ่บถึงใจไม่ใช่เล่นสินะเนี่ย” พี่แววเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มทะเล้น จนเราได้แต่บ่นอุบอิบ
“โหย! พี่อ้ะ! อย่ามัวแต่พูดเล่นดิ นี่หนูเครียดจริงจังอยู่นะ ตกลงพี่คิดว่าไง?”
“โอ๊ย! ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากมายเลย แกน่ะผิดเต็มๆ ผิดเห็นๆ ถ้าชั้นเป็นไอ้อ๊อฟนะ ป่านนี้แกโดนชั้นประจานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” พี่แววทำเสียงดุ

“อือ หนูก็รู้ว่าหนูผิดแหละ แต่มันก็พลาดไปแล้วนี่นา จะให้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรตอนนี้มันก็ไม่ได้แล้ว” เราครางตัดพ้อ
“เอ๊า! แกก็รู้ตัวดีนี่นา แล้วจะหนีมาหลบอยู่ที่นี่ทำไมยะ? ทำไมไม่ไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง? ก็บอกมันไปสิว่าทีหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เอ่ยปากขอโทษน่ะทำเป็นมั้ย? จะเอาแต่ปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้อ่ะนะ?” พี่แววอัดกลับมาไม่ยั้ง แม้จะเป็นถ้อยคำจิกกัดเจ็บๆ คันๆ แต่เราก็ยังพอจะสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แฝงมาในข้อความเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

“โธ่... พี่ก็รู้ว่าเวลาพี่อ๊อฟโมโหน่ะ น่ากลัวจะตาย ยิ่งเป็นเรื่องนี้ด้วย พูดตรงๆ นะ ถ้าเจอกันตอนนี้หนูก็คงไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าพูดอะไรกับเค้าอยู่ดีแหละ” เราระบายความกังวลในใจออกไปให้ฟัง ส่วนพี่แววที่ฟังอยู่ก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ อย่างเอือมระอา
“เฮ้อ.... แกนี่ก็ช่างทำตัวเองแท้ๆ เออๆ ไม่ต้องคิดมาก ยังไงแกก็พักอยู่กับชั้นที่นี่ก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวพออะไรๆ มันดีขึ้น ก็ค่อยว่ากันอีกที เผื่อไอ้อ๊อฟมันอารมณ์เย็นลงแล้วชั้นจะลองไปคุยๆ กับมันให้” พี่แววบ่นด้วยน้ำเสียงกึ่งๆ สมเพชนิดๆ

“มันจะดีเหรอพี่แวว? เดี๋ยวพี่อ๊อฟเค้าก็พาลมาโกรธพี่ด้วยหรอก” เราถามเหมือนไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่ จนอีกฝ่ายชักเริ่มรำคาญ
“โอ๊ย! เรื่องของชั้นน่าแกไม่ต้องมาห่วงหรอก ห่วงแต่ตัวเองก่อนเหอะ นี่เอาเสื้อผ้งเสื้อผ้าอะไรมาครบแล้วใช่มั้ย?”
“อือ...” เราพยักหน้ารับ
“งั้นก็เก็บของไปก่อนแล้วกัน ชั้นจะอาบน้ำละ” พี่แววพูดตัดบทพร้อมกับลุกหนีไป

การได้ระบายปัญหาอัดอั้นตันใจออกไปให้ใครซักคนฟัง แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ช่วยให้ปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายหรือแก้ไขอะไรได้ แต่อย่างน้อยๆ มันก็ยังพอจะช่วยให้เราไม่ต้องแบกรับกับความรู้สึกอึดอัดเหล่านั้นอยู่คนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฟังที่ว่านั้นคือพี่สาวแท้ๆ อย่างพี่แวว ซึ่งคอยเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้เรามาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าคำแนะนำของพี่แกจะแฝงมาในรูปแบบของการจิกกัดซ้ำเติมก็ตาม

พอตกเย็น ช่วงที่พี่แววออกไปทำธุระข้างนอก เราจึงถือโอกาสลองโทรไปหาโมดูอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคราวนี้เจ้าตัวก็ยอมกดรับสายในที่สุด

“ฮัลโหลครับพี่” เสียงปลายสายเอ่ยทักทายขึ้นมา แอบได้ยินเสียงคนคุยกันโหวกเหวก ลอดเข้ามาในโทรศัพท์
“โมเหรอ? ตอนนี้โมอยู่ที่ไหน?” เราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“อ๋อ ผมอยู่หอเพื่อนน่ะครับ พี่พัชมีอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงของโมคล้ายจะประหลาดใจเล็กๆ ที่จู่ๆ เราเกิดถามอะไรจุกจิกขึ้นมา

“พี่อยากปรึกษาเรื่องของเราหน่อย โมสะดวกคุยรึเปล่า?”
“อืม งั้นแป๊บนึงนะครับพี่ เดี๋ยวผมขอย้ายที่คุยหน่อย เสียงมันดังไปนิด..... โอเค ว่าไงครับพี่?”
“คือ... พี่อ๊อฟเค้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ...” เราพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่หมายถึง เรื่องของผมกับพี่น่ะเหรอ?”

“ใช่ พี่เลยอยากโทรมาเตือนโมไว้ก่อน เผื่อจะได้เลี่ยงๆ อย่าพึ่งไปเจอหน้าพี่อ๊อฟเค้าตอนนี้ เดี๋ยวมันจะมีเรื่องขึ้นมา”
“อืม... ครับพี่ แล้วนี่พี่ยังอยู่ที่บ้านรึเปล่า?”
“เปล่าๆ ตอนนี้พี่มาพักอยู่กับพี่สาวน่ะ พึ่งขนของมาเมื่อเช้านี้เอง”

“นี่พี่อ๊อฟเค้าไล่พี่ออกจากบ้านเลยเหรอ?”
“ไม่หรอก นี่พี่ตัดสินใจออกมาเองแหละ พี่แค่ยังไม่พร้อมที่จะสู้หน้าเค้าตอนนี้เฉยๆ”
“ขอโทษนะพี่... ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตขนาดนี้”
“อืม ช่างมันเถอะ พี่ต่างหากที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเอง” เราพูดก่นด่าตัวเอง ส่วนโมที่ฟังอยู่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ

“แล้วนี่.... พี่จะทำไงต่อฮะ?” โมเอ่ยปากถามทำลายความเงียบขึ้นมา
“ก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ คงดูๆ ไปก่อน ถ้าสุดท้ายมันต้องจบก็คงต้องจบ คงไปยื้ออะไรไม่ได้แล้ว”
“พี่พัช ผมขอโทษจริงๆ นะ พี่อยากให้ผมเข้าไปช่วยพูดกับพี่อ๊อฟให้มั้ย?”
“เอ้ย! ไม่ต้องหรอก โมอย่าพึ่งคิดมากเลย เดี๋ยวพี่ค่อยไปคุยกับพี่เค้าเองแหละ ไม่ต้องห่วง” พอเราพูดจบ ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรกันต่อ ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกหาโมดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

“โมไปอยู่กับเพื่อนก่อนเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว แค่นี้ก่อนนะ” เราชิงพูดตัดบทขึ้นมา
“อืม... งั้นไว้ผมค่อยโทรกลับอีกทีนะครับ” อีกฝ่ายเหมือนจะยังงุนงงอ้ำๆ อึ้งๆ ทำอะไรไม่ถูก
“จ้ะๆ แค่นี้นะ” เราพูดพร้อมกับกดวางสาย

=======================================

เวลาก็ดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่เราย้ายมาอยู่กับพี่แววนั้น ถึงตรงนี้ก็ผ่านมาได้เกือบอาทิตย์นึงแล้ว  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ความสัมพันธ์ของเรากับพี่อ๊อฟก็แทบจะเรียกได้ว่า ตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์เลยก็ว่าได้

ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครโทรหาหรือติดต่อกัน ในฝั่งของเราน่ะรู้ดีว่าตัวเองยังคงรู้สึกผิด และไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าหรือพูดจาอะไรกับพี่เค้าได้อีก ส่วนทางฝั่งของพี่อ๊อฟนั้นก็คงจะโกรธหรือเกลียด จนไม่อยากที่จะเห็นหน้า หรือได้ยินแม้แต่เสียงของเรา จึงเลือกที่จะหายตัวไปจากชีวิตของเราแบบนี้

พอคิดแบบนี้ทีไรเราก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ทุกที บางครั้งนอนๆ อยู่น้ำตามันก็เผลอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ได้แต่นึกสมเพชในการกระทำของตัวเอง ที่มีส่วนทำให้ชีวิตคู่ต้องพังยับเยินลงไปแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประโยคแย่ๆ ที่เราใช้ประชดใส่เค้า เมื่อตอนที่เราสองคนทะเลาะกัน ถ้อยคำเหล่านั้นมันกลับกลายมาเป็นบ่วงบาศก์รัดคอ ที่คอยตามหลอกหลอนความรู้สึกของเราให้ย่ำแย่ลงไปอีกทุกครั้งที่เผลอไปนึกถึงช่วงเวลานั้น

ก็อย่างที่เค้าว่ากันไว้จริงๆ 'กว่าที่เราจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอะไรบางอย่าง ก็ต่อเมื่อเรารู้ตัวว่าได้สูญเสียมันไปแล้วนั่นแหละ'

ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา เราแทบไม่เคยรู้ตัวเลยว่าที่จริงแล้วตัวเองนั้นโชคดีแค่ไหนที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต ทั้งการเทคแคร์ดูแลที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง จากวันแรกที่คบกันจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งการเป็นที่ปรึกษาให้ทั้งปัญหาเรื่องงาน สุขภาพ ครอบครัว ตลอดจนถึงเรื่องชีวิตประจำวันต่างๆ ทั้งตอนที่เราตัดสินใจเลิกทำงานประจำ ซึ่งแม้ว่าคนที่บ้านจะคัดค้านยังไง แต่พี่เค้าก็ยังคอยสนับสนุนเรา แถมยังเป็นฝ่ายรับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้เราได้ตัดสินใจทำตามความฝันของตัวเองแบบเต็มที่

อาจเพราะพี่เค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาจีบเราตั้งแต่ต้นด้วยล่ะมั้ง มันจึงทำให้เราเผลอมองเห็นคุณค่าของความรักที่พี่เค้ามอบให้ว่าเป็นของตาย ยังไงๆ พี่เค้าก็คงไม่มีทางทิ้งเราไปไหนได้ แถมช่วงที่พึ่งเริ่มคบกันใหม่ๆ เรายังแอบหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายมีสิทธิ์เลือก จะบอกเลิกหรือทิ้งพี่เค้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเป็นไงล่ะ... พอเวลาที่ใกล้จะต้องเลิกกันจริงๆ ถึงได้มานั่งฟูมฟายอยู่ตรงนี้

ไม่รู้ว่าพี่แววเห็นเราร้องไห้บ่อยๆ จนเกิดนึกสงสาร หรือว่าทนสมเพชไม่ไหวขึ้นมา สุดท้ายแล้วพี่เค้าจึงตัดสินใจขอคุยเปิดอกกับเราแบบตรงๆ

“นี่... เมื่อไหร่แกจะกลับไปคืนดีกับไอ้อ๊อฟซักทีห๊ะ? จะเอาแต่หลบอยู่ที่นี่ไปตลอดรึไง ชั้นอึดอัดนะ รู้ป่ะเนี่ย?” พี่แววเริ่มต้นเปิดหัวด้วยคำพูดเจ็บๆ ตามประสา
“หูย... พี่อ่ะ หนูเศร้าอยู่นะ อย่าพึ่งหาเรื่องด่าหนูตอนนี้ได้มั้ย?” เราพยายามยกข้ออ้างขึ้นมาพูดปกป้องตัวเอง

“นี่... หล่อน... ถ้าแกมาพักทำใจอยู่วันสองวันเนี่ย ชั้นก็จะไม่บ่นซักคำหรอกนะคะแม่คุณขา แต่นี่มันล่อเข้าไปจะอาทิตย์นึงอยู่แล้ว รายงานที่เรียนก็ไม่มีกระจิตกระใจทำ งานออกแบบก็ไม่คิดจะติดต่อหาลูกค้า ถามจริงเหอะ แกจะแบกคอมมาทำไมให้หนักเปล่าๆ ห๊ะ? เอาแต่นั่งเปื่อยๆ ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่ที่ห้องทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ เดี๋ยวเกิดชั้นติดโรคซึมเศร้าหงอยเหงาของแกขึ้นมาจะทำยังไง? ขี้เกียจไปหาหมอนะโว้ย!” พี่แววได้ทีอัดใส่เราไม่ยั้งจนเราไม่รู้จะตอบโต้ยังไง

“พี่จะว่าอะไรหนูก็ว่าไปเหอะ ชีวิตหนูมันก็เฮงซวยแบบนี้แหละ หนูชินแล้ว...” เราพูดตัดบทห้วนๆ
“โถๆๆๆ แม่คุณ ก็ที่ชีวิตแกมันแย่เนี่ย ไม่ใช่เพราะแกเป็นคนไปสุมไฟก่อปัญหาขึ้นมาเองรึไงยะ?” อีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
“อือ... รู้น่า แล้วจะให้ทำไง? ก็เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว” เราตอบไปตามตรงอย่างจนใจ

“ชั้นถามจริงๆ นะ แกทำใจได้แน่เหรอ ถ้าต้องเลิกกับไอ้อ๊อฟมันน่ะ” พี่สาวตัวแสบถามคำถามจี้ใจดำเราแบบตรงเป้าเผง
“ก็ถ้าพี่เค้าอยากเลิกจริงๆ มันก็สมควรกับสิ่งที่หนูทำลงไปแล้วนี่นา” เราตอบงุบงิบเหมือนยอมรับความจริงได้ ทั้งที่ในใจนั้นเจ็บจี๊ด
“ตอบไม่ตรงคำถามเลยว่ะ ชั้นถามว่าแกน่ะทำใจได้เหรอ?” อีกฝ่ายยังถามย้ำ
“ไม่รู้สิ.... หนูไม่รู้... คงไม่ได้หรอกมั้ง ฮือ...” เรานิ่งคิดแป๊บนึงก่อนจะยอมสารภาพไปตามตรง พร้อมกับทำท่าว่าจะปล่อยโฮออกมา
“เออ ก็แค่เนี้ย ทำมาลีลาเล่นตัวเป็นนางเอกอยู่ได้ วุ้ย!” พี่แววเหน็บ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก

“ฮัลโหล เออ ถือสายรอแป๊บนึงนะ ไอ้พัชมันจะคุยด้วย” พี่แววบอกกับคนที่ปลายสายก่อนจะยื่นส่งโทรศัพท์มาให้เราคุย เสร็จแล้วพี่แกก็เดินหนีไปที่อื่น พอเรารับโทรศัพท์มาดูจึงได้รู้ว่าคนที่อยู่ในสายตอนนี้ก็คือพี่อ๊อฟนั่นเอง
“ฮะ... ฮัลโหล พี่อ๊อฟเหรอ? นี่... นี่พัชเองนะ” เราหลุดทักออกไปแบบตะกุกตะกัก เนื่องจากยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อน อีกฝ่ายฟังแล้วก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรกลับมา

“พี่อ๊อฟ... สบายดีมั้ย?” เราลองเอ่ยปากถามต่อไป แต่ก็เหมือนจะไม่คืบหน้าอะไรเท่าไหร่
“พี่อ๊อฟ... พี่อ๊อฟยังโกรธหนูอยู่เหรอ?” เงียบ... ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจซักแอะ
“พี่... พี่คุยกับหนูหน่อยได้มั้ย หนูขอร้อง” เราเอ่ยปากอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ... เออ เอาเข้าไป ไอ้เรารึอุตส่าห์กลั้นใจยอมเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยก่อน แต่พี่แกก็ดันเอาแต่นั่งนิ่งเป็นบ้าเป็นใบ้อยู่แบบนี้

“โอเค... หนูขอโทษที่โทรมารบกวน งั้นแค่นี้นะคะ” เราตัดสินใจตัดบทเตรียมจะวางสาย ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากคุยด้วยก็ไม่รู้ว่าจะยังหน้าด้านไปรบกวนเค้าอยู่ทำไม
“เดี๋ยว... พัช” เสียงเรียกของพี่อ๊อฟดังลอดออกมาในจังหวะที่เรากำลังจะกดวางหูพอดิบพอดี ในที่สุดพ่อคุณเค้าก็ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาซักที เฮ้อ... ดูสิ เล่นปล่อยให้เรานั่งอึดอัดจนแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้วนะเนี่ย

“นี่พัชอยู่ที่คอนโดแววเหรอ?”
“อือ” เราตอบเสียงสั่น พร้อมกับใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อซึมออกมา
“อ้าว... ทำไมไม่อยู่บ้านล่ะ? นี่พี่อุตส่าห์ออกมานอนค้างที่บ้านไอ้ยอดมันเนี่ย กะว่าเธอจะได้ไม่ต้องย้ายออกไปไหนให้ลำบาก”
“ไม่เอาหรอก หนูเป็นคนผิดเอง ให้หนูย้ายออกมาแบบนี้แหละดีแล้ว”
“เฮ้อ....” พี่อ๊อฟฟังแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ เหมือนหน่ายใจ

“ขอโทษค่ะ หนูคงทำให้พี่รำคาญใจอีกแล้ว”
“เปล่า พี่ไม่ได้รำคาญพัชหรอก พี่ก็แค่... เสียใจที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วคืนนั้นพี่ไม่ได้ตั้งใจที่จะกดดันเธอขนาดนั้นหรอกนะ เพียงแต่พี่... พี่ลืมตัวไปหน่อย... พอกลับมาจากบ้านไอ้ยอดแล้วไม่เห็นเธอก็เริ่มจะใจแป้วขึ้นมา ยิ่งนานไปก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่าเธอจะทิ้งพี่ไปแล้วจริงๆ แต่จะโทรไปหาก็กลัวจะเข้าหน้ากันไม่ติด ก็เลยได้แต่ร้อนใจอยู่แบบนี้ แต่พอได้รู้จากยัยแววว่าเธอย้ายไปอยู่ด้วยก็เลยพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง” พี่อ๊อฟระบายความรู้สึกในใจออกมาให้เราฟังตรงๆ

คำพูดที่ได้ยินมันทำให้เรารู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งร่าง เป็นเสมือนอ้อมกอดที่ช่วยส่งมอบความอบอุ่น ให้กับคนที่กำลังหลงทางและเคว้งคว้างไร้จุดหมายอย่างเราในตอนนี้... แม้ว่าเราสองคนจะกำลังมีปัญหาระหองระแหงจนแทบจะเลิกกันอยู่ในเร็ววันนี้ แต่พี่เค้าก็ยังคงอุตส่าห์ที่จะนึกเป็นห่วงคนผิดอย่างเราขึ้นมา ความอ่อนโยนที่พี่อ๊อฟแสดงออกมา มันทำให้เราถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หยาดน้ำใสๆ ไหลพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก

“พี่.... หนูขอโทษจริงๆ อึ่ก... ฮือ... ออออ” คำพูดขอโทษหลุดออกจากปากเราอย่างง่ายดาย แทบจะพุ่งทะลุออกมาจากจิตใต้สำนึกลึกๆ ด้วยซ้ำ พี่อ๊อฟฟังแล้วก็คงอดสงสารเราไม่ได้ รีบเอ่ยถ้อยคำปลอบโยนปลอบใจกลับมาในทันใด
“พัช... อย่าร้องไห้เลยนะ พี่รักพัชนะรู้มั้ย...?”
“ฮือ... อออ หนูขอโทษ... พี่อย่าทิ้งหนูเลยนะ” เราร้องไห้ครวญครางอ้อนวอนอย่างหมดอาย
“พี่ไม่ทิ้งพัชหรอก... กลับมานะ... กลับมาบ้านเรา พี่จะไม่ต่อว่าอะไรเธออีกแล้ว...”
“อึ่ก... อื้อ... อื้อ!!” เราสะอึกสะอื้นตอบแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง

มันเป็นความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจแบบไม่น่าเชื่อ หลังจากที่ต้องทนทรมานอยู่กับความอึดอัดมานานเกือบสัปดาห์ ทั้งความรู้สึกผิดจากสิ่งที่ตัวเองได้ก่อ อาการเย็นชาบึ้งตึงของพี่อ๊อฟ ที่เงียบหายไปราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ทุกอย่างมันรุมเล่นงานเข้ามาพร้อมๆ กันในทีเดียวจนเราแทบจะประสาทกิน กระทั่งพอได้มาคุยเปิดใจกับพี่อ๊อฟในวันนี้นี่แหละ เราถึงเริ่มที่จะผ่อนคลายความเครียดลงไปบ้าง

=======================================

“จะให้ชั้นเข้าไปส่งมั้ย?” พี่แววเอ่ยถามหลังจากขับรถพาเรามาส่งถึงหน้าประตูบ้าน
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก” เราส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ
“ตามใจ งั้นก็... คุยกันดีๆ แล้วกันนะ อย่าพึ่งใจร้อน ชั้นคุยกับไอ้อ๊อฟมันให้ก่อนหน้านี้แล้วว่าห้ามดุด่า ลงไม้ลงมือกับแกอีกเด็ดขาด เพราะงั้นแกก็อย่าไปทะลึ่งยั่วโมโหมันแล้วกัน” พี่สาวจอมแสบของเราหยอดทิ้งท้ายเอาไว้
“อือ รู้แล้วน่า... งั้นหนูไปละ ขอบคุณมากนะพี่” เราเอ่ยปากขอบคุณ ก่อนจะหอบพาร่างของตัวเองเดินฉับๆ เข้าไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน

เราสูดลมหายใจลึกๆ อยู่ 2-3 ที ก่อนจะใช้มือหมุนลูกบิดแล้วดันประตูเข้าไป พอเข้ามาในบ้านปั๊บ สายตาก็พลันสบเข้ากับร่างของพี่อ๊อฟที่นั่งรออยู่บนโซฟาทันที ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันเหมือนอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดจาหรือทักทายอะไรกันดี

“อ้อ... พัชมาแล้วเหรอ...” พี่อ๊อฟเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนจะลุกเดินเข้ามาช่วยเราหิ้วกระเป๋าเป้ไปวางเก็บไว้ให้
“เป็นไงบ้าง? ทำไมทำหน้าหงอยๆ แบบนั้นล่ะ?” พี่เค้าเอ่ยถามต่อเมื่อเห็นว่าเรายังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม ก็แหม... ไอ้เรามันคนทำผิด จะให้เจอหน้ากันแล้วแฮปปี้ดี๊ด๊าทันทีเลยมันก็ไม่เหมาะใช่มั้ยล่ะคะ ก็เลยยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้จะพูดยังไงออกไปดี

“พี่อ๊อฟ... เอ่อ... สบายดีนะ?” เราเอ่ยทักทายด้วยถ้อยคำง่ายๆ เท่าที่ในหัวจะคิดได้ในตอนนั้น
“อืม 2-3 วันมานี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ แล้วพัชล่ะ สบายดีนะ?”
“อือ....”
“ไปอยู่นู่น โดนไอ้แววมันบ่นอะไรอีกรึเปล่า?”
“อืม ไม่หรอก” เราตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนที่ทั้งเราและพี่เค้าจะกลับเข้าสู่ช่วงเดดแอร์กันอีกรอบ

ทั้งๆ ที่เรานั้นโคตรจะดีใจที่ได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพี่เค้าแบบนี้ แต่ปากมันกลับพูดอะไรไม่ออกจริงๆ พอเห็นว่าบรรยากาศมันชักจะไม่ได้การแล้ว เราจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าและพูดเข้าประเด็นตรงๆ ไปเลย โดยที่ไม่ต้องมาคอยอ้อมค้อมกันอีก

“หนูรู้ว่าต่อให้สัญญาอะไรไปตอนนี้ พี่ก็คงยากที่จะทำใจเชื่อหนูได้อยู่ดี แต่ถ้าพี่ให้โอกาสหนูซักครั้ง... หนูสัญญานะว่าจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองอีก หนูจะเลิกยุ่งกับโมจริงๆ พี่ให้โอกาสหนูได้มั้ย?” เราเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ เพื่อหวังจะขอโอกาสเริ่มต้นกันใหม่

พี่อ๊อฟฟังคำอ้อนวอนของเราก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ๆ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา ก้อนความรู้สึกต่างๆ เริ่มปีนขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ หยดน้ำตาค่อยๆ เอ่อซึมจนล้นออกมาจากดวงตาของเราอีกครั้ง ก่อนที่พี่อ๊อฟจะยอมเปิดปากระบายความรู้สึกในใจออกมาให้ฟัง

“พัชรู้มั้ยว่าตลอดเวลาที่เราห่างกันไป... พี่เฝ้าคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดเลยนะ ว่าชีวิตคู่ของเราที่ผ่านมาจริงๆ แล้วมันเป็นแค่ภาพลวงตารึเปล่า... พี่เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกัน พัชเคยรักพี่จริงๆ บ้างมั้ย? หรือที่อยู่ๆ กันไปนี่เพราะพัชแค่ผูกพัน… สมเพช... สงสาร หรือว่านึกเห็นใจพี่ พอพี่คิดแบบนี้แล้วพี่ก็ตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าพัชเคยรักพี่บ้างรึเปล่า ไม่รู้จริงๆ...” ถ้อยคำจากปากของพี่อ๊อฟฉายแววความรู้สึกผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน แม้สีหน้าของคนพูดจะดูเรียบเฉย แต่แววตานั้นกลับแฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายใน

“มันมีบางช่วงที่พี่เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าชีวิตคู่ของเรามันก็คงเดินมาได้จนสุดทางแค่นี้แหละ สุดท้ายแล้วเราก็คงจะต้องเลิกกันแน่ๆ ในเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างมันไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อพัชเองก็อาจจะหมดรักพี่ไปตั้งนานแล้วก็ได้ ตอนนั้นน่ะพี่เกือบจะถอดใจอยู่แล้วนะ... แต่เชื่อมั้ย? พอพี่ลองคิดทบทวนกับตัวเองดูดีๆ พี่ถึงได้ค้นพบความจริงข้อนึงที่ว่า... ต่อให้พัชจะไม่ได้รักพี่เหมือนเมื่อก่อน ไม่สิ... ต่อให้พัชจะไม่เคยรักพี่มาตั้งแต่ต้นเลยก็ตาม แต่พี่ก็ยังรักพัชเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน...”

พอพี่อ๊อฟพูดมาถึงตรงนี้เท่านั้นแหละค่ะ น้ำตาของเราก็ไหลทะลักพรากๆ ออกมาจนเหมือนเขื่อนแตก รีบกระโจนเข้าไปกอดร่างของพี่เค้าไว้พร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น

“พี่... หนูขอโทษ หนูรักพี่นะ.... หนูจะไม่ทำให้พี่เสียใจอีกแล้ว” เราสะอึกสะอื้นฟูมฟายราวกับเด็กๆ
“สัญญาแล้วนะ ว่าจะไม่มีเรื่องพวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง” พี่อ๊อฟเอ่ยด้วยถ้อยคำเคลือบแคลงแต่ยังแฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ดูเชื่อมั่น
“สัญญา... จริงๆ” เราตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

“เค้าไม่อยากให้เราเลิกกันนะ รู้ใช่มั้ย?” พี่เค้าเอ่ยย้ำเสียงสั่น สรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวก็เริ่มกลับมาอ่อนหวานเหมือนก่อนหน้านี้
“อื้อ! หนูก็เหมือนกัน” เราใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตา ก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกของพี่อ๊อฟด้วยความซาบซึ้ง ซึ่งพี่เค้าก็รีบใช้สองมือโอบกอดร่างของเราไว้แทบจะในทันที ความรู้สึกอึดอัดกังวลที่สั่งสมมาตลอดสัปดาห์ก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น

ลึกๆ ในใจเราน่ะรู้ดีแหละว่า แก้วที่เคยแตกไปแล้ว ต่อให้จับกลับมาต่อกันใหม่ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ประสานกันเป็นเนื้อเดียวอยู่ดี และความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ที่เคยแตกร้าว ก็ย่อมไม่กลับมาแนบสนิทเชื่อใจกันได้ร้อยเปอร์เซนต์เหมือนเดิม แต่สำหรับเราแล้วมันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก... ต่อให้มันจะมีรูรั่ว หรือรอยร้าวสักเท่าไหร่ ขอแค่เราทั้งคู่ยังพยายามประคับประคองความรักให้กันอยู่ ไม่ยอมถอดใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มันก็คงจะเพียงพอแล้ว....

“หนูรักพี่นะ” มันเป็นประโยคที่กลั่นออกมาจากความรู้สึก โดยที่เราไม่ต้องพยายามปั้นแต่งใดๆ เพิ่มเติม และทำให้เราได้รับรู้จากก้นบึ้งของหัวใจ ว่าตัวเองนั้นรักผู้ชายคนนี้มากมายขนาดไหน
“อืม... มมมม” พี่อ๊อฟส่งเสียงครางยาวๆ ในลำคอแทนการตอบรับ ใช้มือขวาลูบหัวเราเบาๆ อย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบอย่างอ่อนโยน

เราหลับตาลง เผยอปากจูบพี่เค้าตอบ ความรู้สึกอบอุ่นไหลซ่านซึมผ่านเข้าสู่ร่างกาย เมื่อริมฝีปากของเราทั้งคู่ประกบแนบสนิท ร่างของเราเอนคล้อยไปทางด้านหลังด้วยแรงกดจากน้ำหนักตัวของพี่อ๊อฟ ใช้สองแขนประคองโอบกอดร่างของพี่เค้าไว้เพื่อทรงตัว ขณะปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับรสจูบอันอ่อนหวานละมุนละไม

เรายืนจูบกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่พี่อ๊อฟจะจูงมือพาเราเดินขึ้นมาบนห้องนอน ค่อยๆ ปลดเปลื้องชุดเดรสกระโปรงของเราลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนที่พี่เค้าจะรูดเอาเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ของตัวเองออกจากร่างกายตามไปด้วย ร่างของเราทั้งคู่โผเข้าหากัน ประกบจูบปากกันอย่างดูดดื่ม ต่างฝ่ายต่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนพลิกกลิ้งลงไปกองอยู่บนเตียง

พี่อ๊อฟนั้นดูจะคึกคักสุดขีด เรือนร่างอันใหญ่โตของพี่เค้านอนคร่อมทับอยู่บนร่างของเรา ปากก็คอยประกบจูบ ส่วนมือก็เอื้อมมาบีบคลึงขยำเข้าที่เต้านมของเราไปด้วยอย่างเมามัน จนเราได้แต่ส่งเสียงครางอืมๆ อยู่ในลำคอด้วยความกระสันซ่านรัญจวนใจ ไม่นานยกทรงสีขาวก็ถูกปลดกระชากจนหลุดออก ปล่อยให้ทรวงอกเปลือยเปล่าได้สัมผัสเข้ากับไออุ่นจากฝ่ามือของพี่เค้าโดยตรง

ปลายนิ้วอุ่นๆ ของพี่อ๊อฟเริ่มที่จะเลื้อยลงต่ำโดยมีจุดหมายปลายทางคือเนินเนื้อสาวด้านล่างของเรา สองขาของเราเผลอขยับหนีบเข้าหากันแน่นตามสัญชาตญาณ แต่มือซ้ายของพี่เค้าก็ยังพุ่งทะลวงแทรกเข้ามาได้จนถึงกึ่งกลางหว่างขา ก่อนจะคว้าหมับจับเข้าที่กลางเป้าของเราแบบเต็มๆ

“อือ.... อื้อ... อออออ” เสียงครางของเราดังอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง เรือนร่างกระตุกสั่นดิ้นพล่านๆ ไปมาสู้กับลีลาปลุกเร้าของอีกฝ่าย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ เมื่อโดนปลายนิ้วของพี่อ๊อฟบดคลึงที่บริเวณปุ่มกระสันย้ำๆ ซ้ำๆ พอพี่อ๊อฟเล้าโลมเราจนเปียกได้ที่แล้ว พี่เค้าก็ใช้มือรูดเอาปราการด่านสุดท้ายของเราออกด้วยความรวดเร็ว จนเราตกอยู่ในสภาพตัวเปล่าล่อนจ้อนในที่สุด

เราเผลอใช้สองมือปกปิดอวัยวะทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวเองเอาไว้อย่างลืมตัว ทั้งๆ ที่เราสองคนก็เคยมีอะไรกันมาเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง จนแทบจะจินตนาการถึงภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอยู่ในหัวได้โดยไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ แต่เรากลับรู้สึกเขินอายราวกับว่าพึ่งจะเคยได้มีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรกขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รู้สิ... บางทีอาจเป็นเพราะเราสองคนพึ่งจะกลับมาคืนดีกันได้หมาดๆ หลังจากทะเลาะกันรุนแรงด้วยล่ะมั้ง ก็เลยยังมีแอบรู้สึกขัดๆ เขินๆ อยู่บ้าง

พอเสื้อผ้าของเราหลุดออกปไหมดแล้ว ก็ถึงคราวของพี่อ๊อฟกันบ้าง พี่เค้ารูดกางเกงในของตัวเองพรืดเดียวหลุดออก ก่อนจะขยับเข้ามาทาบทับร่างของเราดังเดิม ใช้มือดันหน้าขาของเราให้เปิดอ้าออกกว้าง พร้อมกับจ่อแท่งเนื้อดุนเข้ามาที่ปากร่องสาวของเราเบาๆ

“อืม... มมม” เราหลุดครางออกไปเบาๆ ด้วยความหวาดเสียว พี่อ๊อฟมองหน้าเราแล้วก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องเกร็งนะ เดี๋ยวเค้าจะค่อยๆ ทำเบาๆ” พี่อ๊อฟพยายามปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เราก็ยังคงอดนึกระแวงไม่ได้อยู่ดี ในหัวมันก็แอบคิดกังวลเป็นการใหญ่ ไม่ใช่ว่ากลัวเจ็บหรอกนะคะ แต่กลัวว่าพี่เค้าจะรู้สึกได้ว่าอะไรๆ ด้านในมันดูไม่ค่อยจะเหมือนเดิมต่างหาก

ก็แหม... ไอ้ตรงนั้นของนายโมมันออกจะใหญ่โตขนาดนั้นนี่นา... แล้วจะไม่ให้เรากังวลกับสภาพความฟิตของตัวเองได้ยังไงล่ะคะ?

แต่โชคดีที่พี่อ๊อฟเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดหรือไม่พอใจอะไรออกมาให้เห็น พี่แกยังคงตั้งหน้าตั้งตาออกแรงกดท่อนเนื้อให้มุดทิ่มเข้ามาในร่างของเราอย่างใจจดใจจ่อ ทีละนิด... ทีละนิด... ยิ่งพอมาเจอกับความเปียกชื้นตรงบริเวณปากทางเข้าด้วยแล้ว ก็เลยทำให้ปลายหัวของดอกเห็ดค่อยๆ จมหายเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย

“อือ... ออออ ” เราถึงกับออกอาการเสียวเกร็งไปทั่วทั้งร่าง ได้แต่นอนหลับตาปี๋ ส่งเสียงร้องครางฮือๆ ออกมาเป็นจังหวะ ส่วนมือก็เผลอคว้าจิกเข้าไปที่แผ่นหลังของพี่อ๊อฟอย่างลืมตัว ซึ่งพอเห็นอาการของเราแบบนั้นแล้วพี่เค้าก็จะคอยหยุดชะลอเว้นช่วงให้เป็นระยะๆ เพื่อรอให้เราผ่อนคลายจากอาการจุกเกร็งเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ออกแรงกดทิ่มเข้าไปใหม่

ช่องว่างแห่งความเหินห่างค่อยๆ ถูกบีบให้แคบลงๆ เรื่อยๆ... ค่อยๆ ขยับเดินหน้าเข้าหากันอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคง... จนกระทั่งแก่นกายของพี่อ๊อฟสอดลึกเข้ามาได้จนสุดลำนั่นแหละ ร่างของเราทั้งคู่จึงถูกประกบเข้าจนแนบสนิท ไม่ต่างอะไรจากสิ่งของที่ถูกจับแยกออกเป็นสองซีก ซึ่งบัดนี้ได้หวนคืนกลับมาประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

พอตั้งหลักกันได้เรียบร้อยแล้ว พี่อ๊อฟจึงเริ่มต้นออกแรงตอกเสาเข็มใส่ร่างของเราแบบเบาๆ แต่ก็ยังหนักแน่นพอที่จะทำให้เราหลุดส่งเสียงครวญครางซี้ดซ้าดออกมาอย่างเผ็ดร้อน พอเราเริ่มที่จะปรับสภาพคุ้นเคยกับมันได้ อาการเสียวเกร็งในตอนแรกก็กลับกลายเป็นความรู้สึกเสียวสยิวจี๊ดๆ ตรงกลางหว่างขาขึ้นมาแทน รู้สึกได้เลยว่าตรงบริเวณนั้นมันเปียกชุ่มโชกจนไหลนองไปทั่ว

พี่อ๊อฟค่อยๆ เพิ่มความแรงทีละนิดๆ ก่อนจะติดเครื่องไล่โขยกใส่เราแบบหนักหน่วง จนร่างของเรากระเด้งกระดอนไปมาด้วยแรงกระแทก พร้อมๆ กับใช้สองมือบีบคลึงสองเต้าของเราไปด้วย

“อ่ะ... อาห์.. สสส ซี้ดส์... อาห์ โอ๊ยตัวเอง... เค้าเสียวจังเลย” เราครวญครางร้องบอกออกไปตามที่รู้สึก แม้ว่าอาวุธของพี่เค้าจะไม่ได้อลังการใหญ่โตเท่ากับของโม แต่เราก็ยังรู้สึกเสียววาบๆ เต็มอิ่มทุกครั้งที่มันขยับเข้าออกอยู่ภายในร่าง มันทำให้เราอดดีใจไม่ได้ ที่ได้รู้ว่าเซ็กส์ของเราทั้งคู่ยังคงราบรื่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าเราจะเคยผ่านประสบการณ์โลดโผดโจนทะยานกับโมมาแล้วก็ตาม

สองขาของเราถูกพี่อ๊อฟจับไปวางพาดไว้บนไหล่ ทำให้ท่อนเนื้อที่กำลังแข็งตัวเต็มที่ กดทิ่มลึกเข้ามาจนแทบจะชนกับมดลูกด้านในของเรา จังหวะการกระแทกกระทั้นช่างดังสนั่นถึงอกถึงใจ ราวกับว่าพี่เค้าไปเก็บกดอัดอั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ เออ... ก็คงจะเก็บกดจริงๆ ล่ะนะ เพราะถ้านับนิ้วดูนี่เราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรกันมานานพอสมควรแล้ว ถ้าพี่เค้าจะหื่นหนักก็คงไม่แปลก

เสียงเนื้อของเราสองคนตีกระทบกันดังระรัว ปั้บ...! ปั้บ...! ปั้บ..!! สลับกับเสียงร้องครวญครางเป็นจังหวะที่หลุดลอดออกมาจากปากเรา ยิ่งพี่อ๊อฟออกแรงกระแทกรุนแรงเท่าไหร่ เสียงเนื้อที่กระทบกัน กับเสียงครวญครางก็ยิ่งดังโหยหวนมากขึ้นเท่านั้น

“อ้วน.... เค้า... เค้าขออยู่ข้างบนได้มั้ยอ่ะ?” เราเอ่ยปากร้องขอเมื่ออารมณ์รัญจวนเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงได้ที่ ซึ่งพี่อ๊อฟเองก็ยอมทำตามคำขอของเราแต่โดยดี ค่อยๆ ขยับพลิกตัวลงไปเป็นฝ่ายนอนหงายด้านล่าง ก่อนจะช่วยฉุดดึงร่างของเราให้ลุกขึ้นไปนั่งคร่อมควบขี่อยู่ทางด้านบนแทนตัวเอง
“อือ.... ดีจังเลย... อ๊ะ! อาห์... สสส ซี้ดส์ อาห์” เราร้องครวญครางออกมาอย่างสะใจ ออกแรงขยับบั้นท้ายบดอัดเข้าใส่ร่างของพี่เค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

หากจะมองหาข้อดีที่ได้จากความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโมที่ผ่านมา ก็เห็นจะเป็นเรื่องของลีลาบนเตียงที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมมาจากโมนี่แหละค่ะ เราหยิบเอาประสบการณ์และบทเรียนต่างๆ ที่ได้รับ นำมาปรับใช้กับกิจกรรมบนเตียงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเชี่ยวชาญและช่ำชอง ทั้งลีลาการร่อนขย่ม ทั้งการปลดปล่อยอารมณ์ความเสียวซ่านออกมาอย่างสุดขีดแบบไม่มีเม้ม จนแม้แต่พี่อ๊อฟเองก็คงแอบสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จนพาลให้ฝืนเก็บอารมณ์ต่อไปไม่ไหว

“อุ๊บ!... พัช เค้าใกล้จะเสร็จอยู่แล้วนะ อือ... อออ” พี่อ๊อฟร้องครวญออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“อือ... ออออ เค้าก็เหมือนกัน ซี้ดส์สสส... อือ... เค้ารักตัวเองนะ.... รักที่สุดเลย โอ๊ย... สสส ซี้ดส์... สสสส์” เราพรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมา ทั้งๆ ที่กำลังออกแรงขย่มร่างของพี่เค้าอย่างเมามัน เกิดเป็นเสียงเนื้อกระทบกันดังสนั่นลั่นห้อง
“อูยยย... เค้าก็รักเธอเหมือนกัน ซี้ดส์...!” พี่อ๊อฟครวญครางตอบกลับมาเสียงสั่น ก่อนจะใช้มือโน้มร่างของเราลงไปจูบปากกันอย่างเร่าร้อน ต่างฝ่ายต่างออกแรงบดปากเข้าหากันราวกับจะกลืนกินร่างของอีกฝ่ายเข้าไปจนหมด

“โอ๊ย! ไม่ไหว... เค้าจะเสร็จ... เสร็จ.. แล้ววววววว! อ่ะ... อ๋าาาาาาาา!!!!” เราสะบัดหน้าหลุดออก ก่อนจะหวีดร้องเสียงดัง พร้อมกับระเบิดอารมณ์เสียวซ่านออกมาแบบถึงกึ๋น เรือนร่างสั่นกระตุกเฮือกๆ แบบควบคุมไม่ได้ เมื่อร่างกายพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด

ความรู้สึกเสียวจี๊ดแล่นวาบผ่านเข้ามาจนเราไม่อาจเก็บกลั้นเสียงครางเอาไว้ ภาพตรงหน้าระเบิดแตกออกมาจนกลายเป็นสีขาวโพลนก่อนที่ทุกอย่างจะกลับกลายเป็นสีดำสนิท พร้อมๆ กับร่างของเราที่ค่อยๆร่วงหล่นลงไปนอนกองฟุบอยู่บนอกของพี่เค้า

จังหวะที่เรากำลังพยายามผ่อนคลายอาการเสียวเกร็งอยู่นั้น พี่อ๊อฟเองก็ถือโอกาสเด้งสะโพกสวนเข้าใส่ร่างของเราแบบเร็วระรัว ก่อนที่จะรีบพุ่งเข้าเส้นชัยตามเรามาแบบติดๆ ทิ้งกันแค่ไม่กี่ช่วงตัว

“อุ๊! สสสส... ซี้ดส์ อืมมมมม....” พี่เค้าสูดปากร้องครางซี้ดส์ๆ ออกมาเบาๆ ก่อนที่แท่งเนื้อด้านในจะออกอาการกระตุกตุบๆ พร้อมกับกระฉูดน้ำเชื้อเข้ามาแรงๆ จนเรารู้สึกอุ่นวาบไปทั่วท้องน้อย ดูท่าทางพี่เค้าจะเก็บกดมานานจริงๆ เพราะปริมาณที่พุ่งทะลักออกมานั้นมากมายจนมันเริ่มไหลล้นออกมาด้านนอก

มันเป็นการร่วมรักที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เป็นเส้นตรง ไม่หวือหวา แต่ว่าอิ่มเอมทางความรู้สึก ไม่ได้เร่าร้อนรุนแรงราวกับสัตว์ป่า ไม่ได้รวดเร็วหรือยาวนานยืดเยื้อจนเกินไป เป็นเซ็กส์แบบเรียบๆ ที่แสนจะธรรมดาสามัญไม่ต่างอะไรจากที่คนส่วนใหญ่เค้ามีกัน แต่มันคือห้วงเวลาแห่งความสุขทางเพศที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเราเลยก็ว่าได้

พอต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจสาสมใจแล้ว เราทั้งคู่ก็ทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างกันอย่างหมดเรี่ยวแรง ได้แต่นอนหอบหายใจแฮ่กๆ อย่างเหนื่อยอ่อนด้วยความสุขสมอยู่ข้างๆ กัน เราสองคนนอนกอดกันตัวกลม สายตาจ้องประสานกันอย่างลึกซึ้ง เรือนร่างมีแต่หยาดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาเป็นสาย พี่อ๊อฟใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่บังปรกหน้าผากของเราออกอย่างแผ่วเบา สายตาของพี่เค้าที่จ้องมาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกรักใคร่อยู่ภายใน

“ขอบคุณนะ...” เราเอ่ยขอบคุณออกไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
“หืม?” พี่อ๊อฟเพียงครางตอบออกมาเบาๆ เหมือนยังไม่เข้าใจ
“ก็ที่ให้โอกาสเค้าอีกครั้งไง”
“อืม... ขอบคุณเหมือนกันที่ยังไม่ทิ้งเค้าไป” พี่อ๊อฟเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“ตัวเองดีกับเค้าขนาดนี้ ใครจะกล้าทิ้งได้ลงเล่า” เราตอบเขินๆ
“แล้วนี่... อยากให้เค้าไปช่วยคุยกับน้องมันให้มั้ย?” พี่อ๊อฟเสนอตัวจะช่วย เราฟังแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ให้เค้าไปคุยเองดีกว่า สัญญาเลยว่าคราวนี้จะจบจริงๆ อ้วนไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“อืม... เอาที่ตัวสบายใจก็แล้วกัน” พี่อ๊อฟตอบพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จนเรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาถึงตัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะหลับไปข้างๆ กัน

=======================================

หลังจากที่เคลียร์ใจกับพี่อ๊อฟจบแล้ว ทีนี้ก็เหลือปัญหาอีกแค่เรื่องเดียวที่รอให้เราเแก้ นั่นก็คือการยุติความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโมแบบเด็ดขาด ซึ่งครั้งนี้เราตั้งใจเอาไว้แน่วแน่แล้วว่า จะต้องเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้โมได้ทำอะไรตามใจตัวเองอีกต่อไป และเรื่องของเราทั้งคู่ก็จะได้กลายเป็นเพียงแค่อดีตที่จะไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีก

แต่จนแล้วจนรอด เราก็ยังหาโอกาสเคลียร์กับโมไม่ได้ซักที เนื่องจากพักหลังๆ นั้นอีตาโมก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านตัวเองสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกเลยก็คือตั้งแต่ที่เราย้ายกลับมาอยู่นี่ ก็ยังไม่เคยได้เจอหน้ามันเลยด้วยซ้ำ พอลองโทรไปหาก็ไม่มีคนรับสาย สุดท้ายก็เลยได้แต่เฝ้ารอโอกาสอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้เปิดอกคุยกันซักที

และหลังจากเฝ้ารอพ่อตัวดีอยู่นานเกือบสัปดาห์ จู่ๆ ในบ่ายวันนึง... เราก็เหลือบไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของนายโม มาจอดแหมะอยู่ที่หน้าบ้านหลังข้างๆ จนได้

เราไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยออกไปจากมือ รีบคว้ารองเท้าแตะขึ้นมาใส่ ก่อนจะเดินดุ่มๆ บุกเข้าไปเคาะประตูถึงหน้าบ้านโมแบบไม่รอช้า

'ก๊อก ก๊อก ก๊อก!' ยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจนายตัวแสบก็เป็นฝ่ายเดินมาเปิดประตูบ้านต้อนรับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกอาการประหลาดใจที่ได้เห็นเรามายืนอยู่ตรงนี้

“อ้าว! พี่พัช? มาได้ไงครับเนี่ย?” โมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กๆ
“ก็เดินมาจากบ้านนี่ไง” เราตอบหน้าตาย
“ไม่ๆ ผมหมายถึง... นี่พี่กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเหรอ? นี่คือคืนดีกับพี่เค้าแล้วเหรอฮะ?”
“อืม ก็ประมาณนั้นมั้ง....”

“เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนมั้ยพี่?” โมเอ่ยปากเชิญชวนซึ่งเราก็ตกลงยอมตามไปแต่โดยดี ระหว่างที่เดินเข้าไปสายตาของเราก็คอยมองสำรวจรอบๆ ห้องไปด้วย มองเห็นเสื้อผ้ากับข้าวของบางอย่างถูกรื้อออกมาวางอยู่ข้างๆ กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่
“พอดีผมแวะกลับมาขนของที่เหลือน่ะครับ” โมเอ่ยปากเมื่อเห็นท่าทางสนใจใคร่รู้ของเรา

“อ้าว นี่โมได้หอแล้วเหรอ?”
“พึ่งได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เองครับ เป็นบ้านเช่าอยู่แถวๆ งามวงศ์วานนั่นแหละ ใกล้ห้าง ของกินเยอะดี สาวเยอะด้วย แฮะๆ”
“อืมๆ ดีใจด้วยจ้ะ ว่าแต่ทำไมไม่เลือกที่พักแถวๆ ท่าทรายล่ะ? จะได้ใกล้มหาฯลัยไปเลย”
“โหย ไม่ไหวอ่ะฮะ ใกล้มอมากไปมันยังไงๆ ไม่รู้ เดี๋ยวโจทย์ตามตัวเจอง่าย ฮ่าๆๆ” โมตอบพร้อมกับหัวเราะร่วน

“แล้วนี่... พี่พัชมาหาผม มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?” โมเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“คือ... ขอโทษที่เข้ามากวนตอนยุ่งๆ นะ แต่ว่าพี่มีเรื่องอยากเคลียร์กับโมให้มันชัดเจนเข้าใจตรงกัน” เราพูดเข้าประเด็นทันทีที่มีโอกาส ซึ่งโมเองก็เหมือนจะคาดเดาถึงจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้ได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“ผมเข้าใจครับ พี่อยากเคลียร์เรื่องของเราสองคนใช่มั้ย?”
“อืม” เราพยักหน้ารับทันควัน

“พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมเข้าใจดี... ผมถึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่นไง พี่กับพี่อ๊อฟจะได้ไม่ต้องมากลุ้มใจอะไรกับเรื่องของผมอีก แค่ได้ยินว่าพี่สองคนกลับมาดีกัน ผมก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง”
“อืม ขอบใจนะโม พี่รู้ดีว่าที่ผ่านมาเราสนิทกันแค่ไหน แต่พี่คิดว่าถ้าเราอยู่ใกล้กันต่อไป มันคงจะไม่ดีซักเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อพี่แล้วผมทำได้เสมอ เพียงแต่ว่า...”
“แต่...?”
“ผมขอกอดพี่เป็นครั้งสุดท้ายจะได้มั้ย?” โมเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหมือนเด็กอ้อนขอของเล่น

นั่นไงคะ! หลังจากทำทีเป็นสงบเสงี่ยมอยู่ได้แค่ครู่เดียว สุดท้ายนายตัวแสบก็ออกลายจนได้

“บ้า ไม่เอา...” เราบอกปัดเพราะรู้ดีว่าในหัวของตานี่คิดอะไรอยู่ลึกๆ
“น่า นะครับพี่พัช ไหนๆ นี่ก็อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันแบบนี้แล้ว ให้ผมได้มีความทรงจำดีๆ กับพี่ไว้ให้นึกถึงทีหลังบ้างไม่ได้เหรอ?”
“โอ๊ย... ไม่เอา โมไม่ต้องมานึกถึงคนแก่แบบพี่หรอก ไปหาสาวๆ สวยๆ รุ่นเดียวกับโมนู่นไป”

“โห่... พี่พัชใจร้ายอ่ะ นี่ผมอุตส่าห์ยอมหักดิบถอยห่างออกมาทั้งๆ ที่ยังตัดใจจากพี่ไม่ได้เลยนะ แต่นี่พี่จะไม่ยอมให้ผมได้แม้แต่อ้อมกอดสั่งลาซักครั้งเลยเหรอ?” โมชักจะเริ่มหาข้ออ้างพูดเข้าข้างตัวเองเป็นตุเป็นตะ เราฟังแล้วก็อดนึกเห็นใจน้องมันไม่ได้ เพราะเราเองก็มีส่วนแหละนะ ที่ทำให้น้องมันเผลอใจถลำลึกเข้ามาในความสัมพันธ์ต้องห้ามจนถอนตัวไม่ขึ้นแบบนี้
“แค่กอดจริงๆ นะ...” เราตัดสินใจยอมอ่อนข้อให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ นายโมที่ได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มร่ารับคำ พร้อมกับกางแขนพุ่งเข้ามาหาเราทันที

ซึ่งเรื่องมันก็คงจะไม่มีอะไรหรอกค่ะ ถ้าอีตาโมมันจะแค่ยืนกอดเราเฉยๆ โดยที่ไม่ได้เอาหน้าซุกไซร้ไปมาตามลำตัวของเราแบบนี้

“นี่... อย่าซี่...” เราบ่นอุบอิบ พยายามออกแรงดิ้นขัดขืนอย่างหมดท่า แทบไม่ต่างอะไรจากหนูตะเภาที่กำลังถูกงูเหลือมเข้ารัดเหยื่อ
“ผมคงคิดถึงพี่น่าดูเลย...” คำพูดหวานๆ ของโมช่างสวนทางกับการกระทำอันตะกรุมตะกราม ฝ่ามือหนาๆ ของโมเลื้อยเข้ามาบีบหมับเข้าที่หน้าอกของเราเต็มๆ ทั้งบีบ ทั้งขยี้อย่างมันเขี้ยว ส่วนมืออีกข้างก็ไต่เลื้อยลงไปเล่นงานตรงกลางหว่างขาของเราไปพร้อมๆ กัน

“อย่าพึ่งกลับเลยนะครับพี่ อยู่กับผมก่อนนะ” โมพูดอ้อนขอเราไม่หยุดหย่อน ก้มหน้าดอมดมซุกไซร้อยู่ที่ลำคอ ส่วนมือก็คอยลวนลามร่างกายของเราทั้งข้างบนและข้างล่างอย่างไม่หยุดนิ่ง
“โธ่เอ๊ย... ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ” เราโอดครวญเสียงอ่อน เผลอขบกัดริมฝีปากอย่างลืมตัว พยายามคิดหาทางออกอย่างเร่งรีบและร้อนรน แต่การเล้าโลมของโมก็ทำให้ความคิดทุกอย่างค่อยๆ จางหายมลายสิ้นออกไปจนหมด

“อยู่กับผมเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ แล้วผมจะไม่มายุ่งวุ่นวายอะไรกับชีวิตพี่อีกแล้ว” คำพูดและแววตาของโมทำให้เราต้องคิดชั่งใจอย่างหนัก ในหัวก็เผลอนึกย้อนไปถึงความสุขที่เคยมีร่วมกันมาก่อนหน้านี้ ลีลาและรสชาติอันจัดจ้านบนเตียงที่โมเคยมอบให้ ซึ่งแม้จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจลบเลือนหายไปจากใจได้เลย...

ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เห็นทีเราคงจะไม่รอดเงื้อมมือของโมอีกแน่ๆ เอ... หรือว่าเราควรจะเลือกเก็บความทรงจำสุดท้ายร่วมกับโมดีนะ? ถ้าตัดสินใจทำไปแบบนั้นแล้วมันจะผิดรึเปล่านะ...? แต่ว่าโมเองก็สัญญาว่าจะเลิกยุ่งด้วยนี่นา... ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงไม่น่าจะผิดจากความตั้งใจแรกของเราหรอกมั้ง.... อืมมมม

“นะครับพี่พัช...” คำพูดของโมดังก้องอยู่ในหัวของเราราวกับเสียงสะท้อน

และหลังจากลังเลชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ๆ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจได้เสียที ส่วนไอ้ที่ว่าจะตัดสินใจยังไงนั้น เรื่องนี้เราขออุบเอาไว้ก็แล้วกันนะคะ ขอให้เป็นความลับที่รู้กันกับโมแค่สองคนก็พอ แฮะๆๆ....

=======================================

หลังจากที่เคลียร์ธุระปะปังกับโมจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่เราจะกลับบ้านเสียที

“งั้นพี่ไปก่อนนะโม” เราเอ่ยลาแล้วเตรียมจะเดินออกไป
“เดี๋ยวครับพี่” โมเอ่ยเรียก พร้อมกับยื่นแผ่นซีดี 2-3 แผ่นมาให้เรารับไว้ พอมองดูดีๆ จึงเห็นว่าเป็นแผ่นโปรแกรมที่เราเคยให้โมยืมไว้เมื่อนานมาแล้วนี่เอง

“ผมยืมพี่มาดองไว้นานแล้ว ไม่มีโอกาสได้คืนซักที ยังไงก็ขอบคุณที่ให้ยืมนะครับ” โมเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เราฟังแล้วก็แอบโล่งอกเล็กๆ เพราะตอนแรกหลงคิดไปว่าน้องมันจะยื้อเราไว้เสียอีก
“จ้ะ ขอบใจนะ” เราว่าแล้วหันหลังเดินออกไปที่ประตู โดยมีนายโมเดินตามมาส่ง แต่ยังไม่ทันที่มือของเราจะเอื้อมคว้าไปถึงลูกบิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาซะก่อน...

เราหันไปมองหน้าโมด้วยอารามตกใจ แต่อีกฝ่ายเองดูเหมือนจะไม่ค่อยแปลกใจเลยซักเท่าไหร่ ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดเปิดล็อคประตูเพื่อต้อนรับแขกหน้าบ้าน ทั้งๆ ที่เรายังยืนนิ่งอ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้น พอมองออกไปก็เห็นสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสกระโปรงบานสีแดง

“อ้าว มาเร็วจัง ไอซ์กินไรมายังง่ะ?” โมเอ่ยทักทายหญิงสาวตรงหน้าอย่างคุ้นเคย
“อือ กินแล้วอ่ะ มีแขกเหรอ?”
“อ๋อ นี่พี่พัช พี่ข้างบ้านเราอ่ะ เค้ามาถามหาแผ่นโปรแกรม พอดีเรายืมมาแล้วลืมคืนเค้า” นายโมยกเหตุผลมาอ้างโดยไม่ออกอาการลนลานแม้แต่น้อย เราเห็นแล้วอยากจะมอบรางวัลนักแสดงนำชายให้มันไปตรงนั้นเลย โอ้โห... เนียนเกิ๊นนนน

“โธ่เอ๊ย... โมอ่ะขี้ลืมอีกละ แล้วนี่เก็บของเสร็จรึยังเนี่ย?” น้องที่ชื่อไอซ์ทำเสียงบ่น พร้อมกับเอามือตีแขนโมเบาๆ อย่างสนิทสนม ดูท่าว่าสองคนนี้คงจะไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดาๆ แน่ๆ กิริยาท่าทางและแววตาของเด็กสาวที่แสดงออก มันชัดเจนซะจนแม้แต่คนที่พึ่งเคยได้เจอหน้ากันอย่างเราก็ยังดูออกได้ไม่ยาก

“อ้อ... เกือบลืมแนะนำเลย พี่พัช... นี่ไอซ์ 'แฟน' ผมครับ” นายโมตอบข้อสงสัยให้เราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แม้ว่าเราจะแอบอึ้งนิดๆ แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้ายิ้มๆ และเอ่ยทักทายน้องไอซ์ไปตามปกติ
“จ้ะๆ ถ้างั้นพี่ไม่รบกวนเราสองคนแล้ว ขอตัวก่อนนะ” เราพูดพร้อมกับรีบหันหลังเดินหนีออกไปหน้าประตูรั้ว
“ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ” นายโมเอ่ยขอบคุณไล่หลัง ก่อนจะพาแฟนสาวเดินหายเข้าประตูบ้านไปด้วยกัน

เราเดินออกมาเงียบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ผสมปนเปกัน ใจนึงมันก็โล่งอกโล่งใจ ที่สุดท้ายแล้วสามารถจบปัญหาเรื่องของโมได้ แม้ว่าจะค่อนข้างวุ่นวายกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรกเล็กน้อย ส่วนอีกใจนึงก็อดที่จะรู้สึกแอบหึง เอ้ย! แอบหมั่นไส้นายโมไม่ได้ ที่ยังไม่ทันที่เราจะก้าวพ้นประตูบ้าน อีตานี่ก็พาแฟนมาให้เรารู้จักซะแล้ว แล้วไอ้คำพูดที่บอกว่ายังตัดใจจากเราไม่ขาดเมื่อครู่นี้มันหมายความว่ายังไงกันยะ!?

เฮ้อ.... เอาเถอะ ถึงยังไงก็จบเรื่องเสียทีล่ะนะ

เราสูดลมหายใจเข้าออกๆ ลึกๆ อีกเป็นครั้งสุดท้าย ใช้มือผลักประตูรั้วหน้าบ้านโมจนเปิดออก ก่อนจะเดินก้าวออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองข้างหลังอีกเลย....



THE END



=======================================



จังหวะที่เรากำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านตัวเองอยู่นั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นรถฮอนด้าซีวิคสีขาวที่ขับเข้ามาจอดหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านแบบพอดิบพอดี ก่อนที่คนขับจะเปิดประตูและก้าวออกมาจากรถ

เจ้าของรถเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอาการทีเดียว คะเนด้วยสายตาดูแล้วน่าจะอ่อนกว่าเราอยู่นิดหน่อย เจ้าตัวยืนชะเง้อมองเข้ามาในบ้านเราแบบงงๆ เล็กน้อย ในมือก็ถือกระเช้าของขวัญซึ่งบรรจุไว้ด้วยของใช้ของเด็ก ทั้งผ้าอ้อมและนมผงติดมือมาด้วย ซึ่งดูยังไงๆ เราก็ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากับแขกแปลกหน้าคนนี้เลยซักนิด จะว่าเป็นเพื่อนพี่อ๊อฟรึก็ไม่น่าจะใช่

“มาหาใครเหรอคะ?” เราเอ่ยถามออกไป
“เอ่อ... ที่นี่บ้านพี่บอยรึเปล่าครับ?”
“อ๋อหลังนี้ค่ะ” เราตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปที่บ้านหลังถัดไปทางขวามือ
“อ๋อ! ขอโทษครับ ผมจำผิดหลัง” ชายคนนั้นพูดขอโทษขอโพยก่อนจะเลื่อนรถไปจอดไว้ที่หน้าบ้านหลังข้างๆ เสร็จแล้วก็เดินไปกดกริ่งยืนรออยู่ที่หน้าประตู ครู่เดียวพี่บอยเจ้าของบ้านก็โผล่หน้าออกมาต้อนรับ

“อ้าว! ไอ้โจ้! ไปไงมาไงวะมึง?” พี่บอยเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี
“พอดีแวะเอาของขวัญมาฝากหลานน่ะพี่” ชายหนุ่มที่ชื่อโจ้ตอบด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่พูดจาทักทายกันอยู่ครู่นึงก่อนที่พี่บอยจะชักชวนให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งพูดคุยกันต่อในบ้าน

เชื่อมั้ยคะว่าตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่ยืนคุยกัน จนกระทั่งเดินหายลับเข้าไปในบ้านนั้น... เราแอบสังเกตเห็นว่าหนุ่มโจ้นั้นดูจะแอบลอบชำเลืองมองมาที่เราแทบจะตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ ซึ่งสายตาที่มองมานั้นมันก็ทำให้เรารู้สึกเย็นวาบๆ ไปทั่วทั้งร่าง และเกิดหวั่นใจขึ้นมายังไงๆ ชอบกล

เราตระหนักได้แทบจะในทันทีเลยว่า มันคือสายตาที่ฉายแววของนักล่าจอมเจ้าเล่ห์ แบบเดียวกับที่นายโมเคยจ้องเราก่อนหน้านี้นั่นเอง....    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น