วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พรหมลิขิต ผิดคิว16

วิภาวรรณสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอนให้ห้องของวีรพล ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็พอนึกได้ลางๆ ว่านั่งอยู่กับเขาที่ระเบียงด้านนอกแล้วก็สติดับวูบไป นี่หล่อนสลบไสลไปนานหรือเปล่า เหลือบไปมองนาฬิกา ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง โอ!! เป็นเวลาน่าจะประมาณ 4 ชั่วโมงได้ที่หล่อนหมดสติไป เหลียวมองหาวีรพลก็ไม่เห็นเขา หล่อนลุกเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าชำระร่างกายส่องมองที่กระจกก็พบใบหน้าตัวมันซีดแทบจะไม่มีสีเลือด วิภาวรรณก็ครุ่นคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมหมู่นี้รู้สึกว่าจะหน้ามืดเป็นลมบ่อยทั้งๆ ที่ก็พักผ่อนตามปกติ เมื่อสะสางล้างหน้าเรียบร้อยแล้วก็ออกจากห้องเดินออกไปที่ระเบียง มองเห็นวีรพลนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวนั่งเล่นที่ประจำของเขา ทีแรกนึกว่าเขานั่งอ่านเอกสารอย่างที่เห็นเมื่อเช้า แต่เดินเข้าไปอีกหน่อยวิภาวรรณก็ได้ยินเสียงใสกังวานของกีต้าร์คลาสสิค เพลงที่เขาเล่นอยู่ออกทำนองละตินใสหวานปนจังหวะแดนซ์หน่อยๆ ตามสไตล์เพลงสแปนิชหรือละติน วิภาวรรณเดินไปอย่างเงียบกริบไปนั่งข้างเขาด้านขวามือซึ่งอยู่ทางด้านท้ายของกีตาร์ วีรพลคงสนใจแต่กีตาร์อยู่จึงไม่สังเกตเห็นพอรู้สึกว่าหล่อนมานั่งข้างๆ โอบแขนด้านขวาและหน้าซบไหล่เขาก็หันกลับมามองหล่อน
“ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างครับ ทำไมอยู่ดีๆ ก็วูบไปซะอย่างนั้น”
“ภาก็ไม่รู้เหมือนกันคะ พล สองสามวันแล้ว ภารู้สึกว่าจะหน้ามืดบ่อยมากเลย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วคะ” สองแขนหล่อนกระชับข้างแขนเขาหน้าอกแนบประชิดกับลำแขนเขาใบหน้าหล่อนแนบบนไหล่ หน้าเขากับหล่อนห่างกันไม่กี่นิ้ว วีรพลชำเลืองตามองวิภาวรรณด้วยสายตาห่วงใย หยุดเล่นกีตาร์ยกแขนด้านขวาขึ้นมาโอบกอดวิภาวรรณ
“ผมตกใจแทบตาย พอให้ภาไปนอนพักก็เลยออกมานั่งคลายเครียด”
“ภาออกมาเห็นนึกว่าพลนั่งเอกสารเสียอีก พลเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ ตอนจัดของเข้าบ้าน ภาไม่เห็นกีตาร์สักตัว นึกว่าแต่จับเข็ม ถือมีดหมอ จรดปากกาเขียนใบสั่งยาเป็นอย่างเดียว นี่เล่นกีตาร์ก็เพราะด้วย”
“อ่ะ.. ไม่รู้อะไรซะแล้ว ตอนอยู่เชียงใหม่น่ะ ผมหัดเล่นจนแทบจะตั้งวงดนตรีได้เชียวนะ ถ้าผมตั้งวงออกอัลบั้มได้ละก็ เสกโลโซ แคลช หรือวงร็อคดังๆ ในเมืองไทย ผมว่าผมก็พอสู้เค้าได้ล่ะ หรือว่าทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ได้โม้..............ฮ่ะๆๆ หึหึ... ผมเพิ่งเอามาจากกรุงเทพฯอ่ะ เมื่อตอนว่างๆ จากดูหนังสือหรือช่วงใกล้สอบที่มันเครียด ผมจะเอามาเล่นประจำ คิดว่าบางทีเบื่อๆ เครียดๆ มันก็น่าจะพอช่วยผ่อนคลายได้ ภาจะฟังมั้ยล่ะ ผมจะเล่นให้ฟังสักเพลงสองเพลง ฟังมั้ย” เขาหันไปจ้องหน้าถามหล่อน วิภาวรรณได้แต่ส่งยิ้มแล้วพยักหน้า หล่อนคงยังคลอเคลียกระชับข้างกายเขาอยู่ แล้ววีรพลก็ยกมือข้างขวาที่โอบหล่อนปล่อยหล่อนไปวางบนตัวกีตาร์ นิ้วก็เริ่มพลิ้วไปตามสาย มือด้านซ้ายก็ขยับปรับเปลี่ยนไปตามสายตามคอร์ดตามเมโลดี้ของเพลง มันเป็นเพลงสากล เสียงสายกีตาร์กังวานใสไปตามจังหวะที่เขากรีดนิ้วลง แล้วเสียงทุ้มกังวานน่าฟังของเขาก็เริ่มเปล่งเนื้อร้องของเพลง
Whenever I'm weary From the battles that rage in my head
You make sense of madness When my sanity hangs by a thread…
..............ฯลฯ.................
Until the day The oceans doesn't touch the sand
Now and forever I will be your man, Now and forever I will be your man..ฯ
ในท่อนสุดท้าย เสียงหวานๆ ใสของวิภาวรรณก็ประสานร้องกับเขาด้วยจนเพลงจบวิภาวรรณชำเลืองตามองเขาอย่างหวานซึ้ง วีรพลกรีดนิ้วตามสายลงเป็นช่วงสุดท้ายแล้วก็หันมาสบตาหล่อนที่อยู่แนบข้างอย่างหวานซึ้งตอบ
“ไม่น่าเชื่อว่าพลจะเล่นและร้องได้เพราะแบบนี้ ภาไม่เคยเห็นพลเล่นกีตาร์สักที เพิ่งมาเห็นครั้งนี้แหละ”
“ตอนผมเรียนมัธยม อยู่กับคุณลุงผมเห็นลุงแกเล่นซึงเพราะมากเลยอยากเล่นบ้าง แต่ก็เล่นไม่ได้เพราะเหมือนคุณลุงเลย อาศัยแต่กีตาร์พอที่จะเล่นคัฟเวอร์เพลงอื่นที่เขาฮิตกันได้ ผมเล่นได้ทุกแนวนะ เพื่อชีวิต ลูกทุ่ง สากล หรือจะเอาแบบสไตล์กีตาร์ฮีโร่ เฮฟวีเมทัล ก็เล่นได้”
“พลนี่ก็อารมณ์ศิลปินเหมือนกันนะนี่ แต่ภาขอห้าม ห้ามไปเล่นกล่อมใครเป็นอันขาด” วิภาวรรณทำเสียงเล็กเสียงน้อย ออดอ้อนแกมบังคับ บอกถึงความหึงหวงหรือแกล้งเย้าเขาเล่นก็ไม่ทราบ
“ฮ่ะๆๆ อารายกัน.... แค่นี้หวงเหรอ หึหึ.... สัญญาครับ ผมจะเล่นกล่อมภาคนเดียว” แล้ววีรพลก็โน้มหน้าเข้าหาหล่อนประทับจูบที่แก้มขาวที่อาจจะยังซีดอยู่บ้าง วิภาวรรณก็เอียงแก้มรับเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาช่างมีดีไปซะหมดเมื่อยามหล่อนอยู่ลำพังกับเขาทีไรเป็นต้องมีเรื่องให้หล่อนได้เคลิบเคลิ้มหลงใหลตามเขาไปซะทุกอย่าง ทำให้จิตใจวิภาวรรณแช่มชื่นขึ้น สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาดระเรื่อ
“อืมม...ดูเหมือนอาการดีขึ้นแล้วนี่ เอ.......สงสัยผมต้องร้องเพลงกล่อมบ่อยๆซะละมั้งภาจะได้หายป่วย งั้นอีกซักเพลงนะ” วิภาวรรณได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดจาโต้ตอบ แล้ววีรพลก็ดีดสายกีตาร์เล่นอีกเพลง เป็นเพลงที่เขาเคยได้ฟังแล้วประทับใจเมื่อคราวไปร้านแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับวิทยาลัยเกษตรแม่โจ้ เขาจำชื่อนักร้องได้ว่าชื่อ ธวัชชัย ชูเหมือน เสียงของนักร้องคนนี้ทุ้มหวานจนเขาชื่นชอบและเล่นแกะเพลงตามจนคล่อง ชื่อเพลงอดีตฝัน วีรพลเล่นกีตาร์พลางร้องเพลงไปจนจบ โดยที่วิภาวรรณยังขนาบข้างกายฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ทำไมเล่นแต่เพลงหวานๆ ไหนบอกว่าแนวเฮฟวี่ก็เล่นได้”
“อ้าว... ยามนี้ผมคงจะเล่นแนวนั้นไม่ได้หรอก เดี๋ยวภาจะได้โยกหัวสั่นหัวคลอน คงน่าขำพิลึก ฮ่ะๆๆๆ” วิภาวรรณได้แต่ทุบต้นแขนเขาเบาๆ กับการเหน็บแนมหยอกล้อของเขา
“อ่ะ เอ่อ....คุณภา คุณหมอคะ อุ้ย....แหม.....มาสวีทหวานกันอยู่นี่เอง”
ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของปิ่น วิภาวรรรีบขยับตัวออกห่างวีรพลไปอีกศอกหนึ่งนั่งตัวตรง ปรับหน้าให้เป็นปกติเรียบเฉย
“มีอะไรครับ พี่ปิ่น”
“ตอนนี้คนงานที่จะมาทำงาน รออยู่ข้างล่างคะ คุณหมอจะลงไปพบเลยมั้ยคะ”
“อ่อ ให้เค้าขึ้นมาที่นี่เลยดีกว่า อากาศกำลังร่มเย็นดี ข้างล่างมันอบอ้าวไปหน่อย แล้วพี่ปิ่นช่วยจัดน้ำท่ามาต้อนรับด้วยนะ”
“ค่ะๆ...เด๋วปิ่นจะตามขึ้นมาให้คะ” ปิ่นหันกลับเดินลงไปด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแอบลอบมองวิภาวรรณที่ตอนนี้ยังหน้าปั้นยากอยู่ สักครู่คนงานที่ว่าก็ขึ้นมานั่งบนพื้นระเบียงกว้างที่ยื่นออกมานอกบ้านชั้นบน ทุกคนไหว้วีรพลกับวิภาวรรณแล้วก็นั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าทั้งสอง
“นั่งตามสบายเถอะครับ แล้วค่อยว่ากันเรื่องงาน”
“คุณหมอคะ นี่ ศักดิ์ ชล หาญ โต้ง และก็นี่ ประกาย คะ นี่ทุกคนนี่คือคุณหมอวีรพล เจ้าของบ้านหลังนี้ และนี่ก็คุณนายวิภาวรรณเจ้าของบ้านหลังที่ชั้นทำงานหลังโน้น” ทั้งหมดไหว้วีรพลกับวิภาวรรณอีกครั้งหนึ่งตามคำแนะนำของปิ่น วีรพลกับวิภาวรรณก็รับไหว้ตอบ ทั้ง 5 คนที่มาวันนี้ ดูจากลักษณะยังเป็นวัยหนุ่มสาวประมาณ 20 ปลายๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงแต่ว่าร่างเล็ก สันทัด เมื่อเทียบกับวีรพล
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คืองี้ ผมอยากจะให้ทุกคนมาช่วยงานที่สวนของผมและก็ที่บ้าน ก็ไม่ได้ทำทุกวันหรอกครับเอาแค่อาทิตย์นึงไม่น้อยกว่า 3-4 วัน จะอยู่ประจำหรือว่าไปกลับก็แล้วแต่ทุกคนจะสมัครใจ ถ้าจะอยู่ประจำผมจะได้สร้างเรือนคนงานเพิ่มให้ ตอนนี้ผมอยากจะทำสวนกล้วยไม้ ผมมีแปลนที่ผมร่างไว้แล้ว สักครู่นะครับ” แล้ววีรพลก็เดินเข้าไปในบ้าน เดินออกมาพร้อมกระดาษแผ่นกว้างสองสามแผ่นที่ขีดเขียนด้วยปากกาเป็นเส้นลาย ดูเป็นระเบียบ
“คุณหมอคะ ทุกคนที่มานี่ส่วนมากก็ทำสวนมาก่อน แต่ว่ามีที่เนื้อที่ไม่มาก ก็เลยว่างงานกัน เรื่องทำสวนคงไม่มีปัญหา ถ้าจะให้อยู่ประจำคงจะเป็น ศักดิ์ โต้งและก็ประกายน่ะคะ ถ้าเรือนคนงานพร้อมเสร็จ ปิ่นพูดคุยก่อนหน้านี้ทุกคนก็ยินดีทำงานที่คุณหมอสั่งได้เลยคะ”
“ขอบคุณครับพี่ปิ่น อีกอย่าง ผมอยากให้พี่ปิ่นกับพี่โชค มาอยู่ประจำที่บ้าน เอ่อ. บ้านพี่ภาเลยน่ะครับ พี่ปิ่นจะพาครอบครัวมาอยู่ด้วยเลยก็ได้ ลูกพี่ปิ่นผมจะรับผิดชอบดูแลเรื่องเล่าเรียนให้เอง พี่โชคเป็นหัวหน้างานเรื่องทำสวนและหาคนขับรถให้พี่ภาสักคนหนึ่งหรือใครในนี้ขับรถได้ก็ขอไว้สักคนนึง ส่วนพี่ปิ่นกับประกายให้ดูแลงานบ้านทั้งสองหลัง ที่เหลือก็อยากจะให้ทำเรื่องสวนกล้วยไม้เป็นอันดับแรก เรื่องค่าจ้างและค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ผมจะขอมอบให้พี่ภาเป็นคนดูแลทั้งหมด เพราะพี่ภาเค้าเป็นคนดูแลบัญชีธนาคารให้ผมอยู่แล้ว เรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายคงไม่มีปัญหา ตอนนี้ให้ประกายกับพี่ปิ่น พี่โชค อยู่บ้านพี่ภาไปก่อน แล้วทุกคนช่วยหาจ้างช่างมาทำเรือนคนงาน และก็ทำเรือนกล้วยไม้ เรือนคนงานเสร็จเมื่อไหร่ใครจะมาอยู่ประจำก็ให้บอกมา เรื่องค่าใช้จ่ายก่อสร้างทั้งหมดให้ทำบัญชีมอบให้พี่ภาดูแลนะครับ สวนผลไม้ที่เหลือเมื่อถึงฤดูก็ค่อยๆทำกันไป ไม่ต้องให้ดิบดีมากก็ได้ขอเพียงอย่าให้สวนรกเท่านั้นก็พอ จะขายหรือเก็บไว้ยังไงก็แล้วแต่ทุกคนจะเห็นว่าดีเท่านั้นแหละ งานที่ผมอยากให้ช่วยทำก็มีเท่านี้ใครจะมีอะไรซักถามเพิ่มเติมก็ได้ เชิญครับ อ้อ....และก็อีกอย่างผมอยากจะให้รื้อรั้วกั้นบ้านออกไปเลยดีกว่าผมขี้เกียจเดินอ้อมไปประตูรั้วหน้าบ้านพี่ภา เดินลัดไปบ้านพี่ภาแค่ไม่ถึงร้อยเมตรเอง พี่ภาว่ายังไงครับ”
วิภาวรรณนั่งจ้องมองวีรพลจัดแจงแบ่งงานคล่องปรื๋อ จนหล่อนเองก็แอบภูมิใจในตัวเขาไม่ได้ เมื่อตะกี้เขายังมีอารมณ์หวานโรแมนติกกับหล่อนอยู่เลย แต่พอเข้าเรื่องงานเขาก็ดูขึงขังเป็นเรื่องราว วางแผนงานได้อย่างเป็นระบบ คล่องแคล่ว ฉะฉาน เขาได้ความเป็นนักบริหารนักปกครองมาจากวีรวัฒน์แทบจะเหมือนหมด หล่อนได้แต่นั่งมองเขาอยู่ข้างๆอย่างอดปลื้มชื่นชมในใจไม่ได้ กำลังนั่งมองเขา ฟังเขาพูดไป พอเขาหันมาถามหล่อนถึงกับสะดุ้ง ปิ่นมองหน้าเจ้านายสาวเห็นท่าทางหล่อนก็แอบหัวเราะคิกคักคู่กับโชค วิภาวรรณปรับสีหน้าไม่ถูก เลิ่กลั่กๆ
“อ่ะ เอ่อ... ก็แล้วแต่คุณหมอก็แล้วกันคะ ถ้าคุณหมอว่าเหมาะภาก็ว่าตามนั้นคะ” วิภาวรรณยังตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ค่อยกล้าสบตาเขา
“แหม...คุณภา คุณหมอคิดถูกแล้วคะ ไหนๆ ก็จะเป็นแผ่นดินเดียวกันแล้ว เอารั้วออกเลยดีกว่า ปิ่นเคยบอกคุณภาแล้ว คุณหมอจะได้หมดห่วง เดินอ้อมไปประตูรั้วหน้าบ้านตั้งไกล เดินลัดไปบ้านคุณภาแค่นี้เอง ดีแล้วล่ะคะ จริงมั้ยคะ คุณหมอ...” วีรพลยิ้มพยักหน้า วิภาวรรณเหมือนโดนตอกย้ำให้เขินอายหนักเข้า ได้แต่ถลึงตาไปทางปิ่นทำปากขมุบขมิบเหมือนจะว่าอะไรสักอย่าง คนงานใหม่ 5 คนที่นั่งอยู่ต่อหน้าได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้ววีรพลก็พูดคุยซักซ้อมกับคนงานใหม่ทุกคนในเรื่องการรับผิดชอบงาน เขาให้ความเป็นกันเองพูดคุยด้วยสนุกสนาน ทำให้ทั้ง 5 คนรู้สึกสบายใจ ทีแรกนึกว่าจะต้องมานั่งหงอต่อหน้าเจ้านาย โดยทีแรกๆ ทุกคนคิดว่าเจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนมีอายุ แต่พอมาเจอรู้ว่าเป็นหนุ่มหน้าคมสันหล่อเหลาแถมให้ความเป็นกันเอง ทุกคนก็พลอยคลายความประหม่ากลัว ทุกคนก็ต่างรับมอบหน้าที่ตามที่วีรพลสั่งแล้วทุกคนจึงลากลับ โดยจะมาทำงานในอีกสองวันข้างหน้า..........


“คุณภาจะไปบ้านคุณหมอเหรอคะ อุ้ย...ดูสิ แต่งตัวสวยหวานขนาดนี้ คุณหมอได้นอนหลับยิ้มหวานแน่ๆ ฮิฮิๆ” ปิ่นมองเห็นวิภาวรรณสวมชุดเสื้อคล้องคอสีชมพูหวานแหววเป็นเนื้อเดียวกับกระโปรงเนื้อบางละเอียด เป็นจีบพลิ้ว เป็นชุดสีสันที่วิภาวรรณชอบใส่ประจำ ยิ่งมองหล่อนในยามเย็นแสงแดดอ่อนๆ ระเรื่อแบบนี้ วิภาวรรณดูผิวขาวผ่องนวลอมชมพูสวยหวานบาดใจ ปิ่นทำตาล้อวิภาวรรณเจ้านายสาวที่สนิทคุ้นกันจนแทบจะเป็นเพื่อนหรือน้องมากกว่าแม่บ้านเสียอีก
“ก็คุณหมอบอกให้ไปนอนพักที่บ้าน คุณหมอกลัวภาจะไม่สบายเหมือนเมื่อตอนสายอีก ภาฝากให้ปิ่นเฝ้าบ้านด้วยละกัน”
“ค๊า...ไม่ต้องห่วงบ้านใกล้กันแค่นี้เอง รู้มั้ยคะคุณภา ปิ่นน่ะ อิจฉาคุณภานะเนี่ย คุณหมอเอาใจใส่ดูแลคุณภาทุกอย่างทั้งรักษาอาการป่วยทั้งร้องเพลงกล่อม แบบนี้คุณภาคงหายป่วยเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ ยิ่งตอนนี้สั่งให้รื้อรั้วบ้านแล้ว เหมือนคุณหมอจะบอกนัยๆ ว่าไม่ช้านี้คุณภาคงไม่ต้องมาอยู่บ้านหลังนี้แล้วมั้ง ฮิฮิฮิ”
“บ้าน่า.... ปิ่น นี่ก็บ้านภา ทำไมภาจะมาอยู่ไม่ได้ภาไม่ทิ้งหรอก ไม่คุยกับปิ่นแล้ว ฝากดูบ้านด้วยนะจ๊ะ ไปล่ะ” ขืนอยู่ต่อไปวิภาวรรณคงมองหน้าปิ่นไม่ติดแน่ๆ ก็ปิ่นเล่นมองตาหล่อนล้อๆ แซวๆ อยู่เรื่อย วิภาวรรณจึงตัดบทห้วนๆ เดินจากไปซะอย่างนั้น ทิ้งให้ปิ่นอ้าปากค้าง แต่แล้วหล่อนก็ได้แต่ยิ้มอย่างชื่นชมยินดีที่นายสาวใหญ่จะมีคนรู้ใจมาคอยดูแลเอาใจใส่
วิภาวรรณเดินเข้าไปหาวีรพลที่ห้องทำงานชั้นล่าง เห็นเขานั่งอ่านเอกสารที่ดูค้างไว้เมื่อตอนสาย หล่อนรีบเดินไปหาเขา
“เอาอีกแล้ว ดูจะคร่ำเคร่งกับงานมากไปแล้วมังคะ พล ไม่เอา ภาไม่ยอมแล้ว ตั้งแต่คุยกับคนงานเสร็จก็เห็นพลมาขลุกอยู่แต่ห้องทำงาน เอาไว้ค่อยดูวันหลังก็ได้ นะคะ”
“แหม...ภา ก็ไม่รู้จะทำอะไรนิ ว่างๆ ก็หยิบจับมาดูบ้างไม่เห็นเสียหาย รับรองว่าผมไม่จะไม่คร่ำเคร่งหรอกน่า ว่าแต่ภาเถอะ อาการดีขึ้นหรือเปล่า เอ..รู้สึกภาจะทำตัวเหมือนเป็นแม่ผมไปทุกขณะเลยนะ”
“พล...!!!! นี่ภาเป็นห่วงพลนะคะ ยังมาหาว่าภาจุ้นจ้านเหรอ ก็ได้คะ งั้นภาไม่รบกวนล่ะ” วิภาวรรณพูดตัดพ้อเชิงน้อยใจ เพราะคำพูดที่ว่า “เป็นแม่” มันรู้สึกจะจี้หัวใจหล่อนมาก หันกลับกำลังเดินออกจากห้องทำงานของเขา ก็รู้สึกถึงร่างกำยำใหญ่สูงโปร่งตามมารวบกอดรั้งไว้
“ไม่เอาน่า ภา... ผมขอโทษ ผมไม่ได้ว่าภาจุ้นจ้านหรอกนะ ขอบคุณด้วยซ้ำที่เป็นห่วง ผมแค่ไม่อยากอยู่ว่างๆ น่ะ อีกนิดเดียวก็จะอ่านหมดแล้ว อย่าโกรธเลยน่า เดี๋ยวจะไม่สบายอีกนะ อืมม... ผมก็ลืมไปเลย พรุ่งนี้ภาไปโรงพยาบาลกับผมนะ เดี๋ยวผมจะขอตรวจให้ละเอียดว่าภาเป็นอะไร จะได้หายกังวลซะที ที่นี่เครื่องมือผมไม่ได้ติดมาด้วย”
“ภาเป็นห่วงพลนี่คะ อยากให้พลพักสบายๆ บ้าง ตอนนี้พลมีแต่เรื่องให้คิดหนัก ถึงภาจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไรบ้าง ภามองตาก็รู้ว่าพลมีหลายเรื่องที่ยังกลุ้มอยู่ แค่นี้ภาก็อดห่วงไม่ได้แล้ว แล้วยังจะต้องมารับงานหลายอย่าง เดินทางไปโน่นมานี่จนแทบไม่ได้พักผ่อน เรื่องตรวจสุขภาพของภา คุณหมอธรณ์เขาแอดฯ รับภาไว้เป็นคนไข้แล้วคะ เขาไม่อยากให้พลรับภาระหลายอย่าง ภาก็เห็นด้วย ให้คุณหมอธรณ์เขาดูแลเรื่องสุขภาพภาก็ได้คะ พลแค่รับฟังผลจากคุณหมอธรณ์ก็พอ นะคะ ภาไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ห่วงได้ยังไง นี่ภาเป็นลมมา 2-3 ครั้งแล้วนะ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถจะดูแลคนรักของตัวเองได้ ผมยิ่งไม่สบายใจ ถ้าภาเป็นอะไรไปโดยที่ผมไม่รู้ไม่ได้มีส่วนในการดูแล ตกลงครับเอางั้นก็ได้ เอาเป็นว่า....เดือนนี้ผมจะไม่ไปกรุงเทพฯ อีกแล้ว จนกว่าจะแน่ใจว่าภาไม่เป็นอะไรมาก และงานเอกสารผมจะให้ภาช่วยดูให้ มีอะไรเพิ่มเติมผมจะให้พี่ผ่องส่งงานมาให้ดูและคุยทางโทรศัพท์ก็พอ ภาสบายใจหรือยังครับ” เขายังโอบกอดวิภาวรรณจากด้านหลังพูดอยู่ข้างหูหล่อนกระชับร่างโอนเอนไปมาเป็นการปลอบโยนเอาใจ วิภาวรรณหันกลับมาประจันหน้าเขาส่งยิ้มถึงแม้จะดูซีดๆ เนือยๆ แต่ก็เริ่มดูดีขึ้นมาก
“คะ ขอเวลาให้ภาอีกสักระยะนะคะ ขอทำเรื่องร้านให้เสร็จ ภาจะมอบหมายให้ก้อยเขาดูแลเองทั้งหมด และก็เรื่องตัวแทนจำหน่ายร้านที่จะไปหาทำเลที่กรุงเทพฯ ภาจะทำหน้าที่แค่วางแผนขยายการตลาดก็พอ จากนั้นภาจะเคลียร์งานทุกอย่างและลาออกจากธนาคารมาช่วยงานพลที่บ้านคะ ภาไม่อยากเห็นพลต้องมารับภาระคนเดียวอีกแล้ว”
“ขอบคุณครับ ภา ได้ยินอย่างนี้ชื่นใจจัง ที่รัก รอให้ภาเคลียร์งานทุกอย่างหมด ผมจะพาไปกรุงเทพฯ ไปดูที่บ้านและที่ทำงาน ผมจะได้วางแผนงานให้ภาช่วยทำ ผมกะว่าเมื่อบริหารบริษัทจนอยู่ตัวแล้ว ยัยมีนโตพอที่จะรับช่วงต่อได้ ผมจะยกให้น้องทั้งหมดแล้วเรามาอยู่ที่นี่กันพ่อแม่ลูกอย่างที่ผมฝันไว้ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีก ดีมั้ยครับ ภาจ๋า”
วิภาวรรณมองหน้าเขาอย่างซาบซึ้ง สวมกอดเขาแน่น แค่ชีวิตนี้มีเขาอยู่เคียงข้าง หล่อนก็จะไม่ขออะไรอีกแล้ว แล้ววีรพลเดินไปเก็บเอกสารจัดเข้าระเบียบ ปิดไฟห้องทำงานแล้วเดินมาประคองวิภาวรรณขึ้นชั้นบน
“ไปเถอะ วันนี้ผมจะเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกล่อม หรือจะเอาสไตล์เฮฟวี่เมทัล ดีล่ะ โยกหัวให้มันหลุดไปเลย ฮ่ะๆๆๆ”
“ไม่เอา....ขอแบบคลาสิคๆ หวานๆ ดีกว่า จะได้นอนหลับสบาย ขืนเล่นเฮฟวี่ ภาปวดหัวมากกว่าเดิมแน่คะ” แล้วทั้งสองก็ประคองกันเข้าห้อง ประสานเสียงร้องเพลงไปเรื่อย จนดึก ต่างพากันหลับผล๊อยอยู่ในอ้อมกอดกันและกัน.........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น