วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

พรหมลิขิต ผิดคิว 4

“พี่ภา พี่ภา พี่ภาคะ” เสียงใสหวาน เรียกชื่อหล่อน ทำเอาวิภาวรรณตื่นจากภวังค์ มีอาการสะดุ้งเล็กน้อย
“จ๊ะ ว่าไง แพรวา” “แหม นั่งเหม่อเชียวนะคะ คิดอะไรอยู่น้า” คนถามทำตาเพ้อฝัน เล่นสำนวนแซวสาวใหญ่ผู้เป็นผู้บังคับบัญชา วิภาวรรณปรับสีหน้าให้ปรกติแล้วก็ถามต่อ
“มีอะไรเหรอ” “อ่อ มีคนส่งดอกไม้ให้พี่ภาคะ ช่อโต สวยมากๆ คะ แต่ เอ!!! แพรอยากรู้แล้วสิ ว่าใครส่งมาให้พี่ภาคะ” แพรวาทำทีอยากรู้อยากเห็นก่อนส่งช่องดอกกุหลาบสีชมพูช่อโตให้วิภาวรรณ พอเปิดดูการ์ดที่ส่งมา วิภาวรรณ วางช่อดอกไม้ สีหน้าเรียบเฉย
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ คนส่งท่าจะบ้าแล้วมั้ง”
“โอ้ยยยย พี่ภาขาาาา คงไม่บ้าหรอกคะ ผู้จัดการสาขาธนาคารของจังหวัดของแพร ออกสวย สาว ใครๆ ก็อยากมอบดอกไม้ ให้ทั้งนั้น เผื่อจะได้มอบหัวใจอีกที ฮิฮิฮิฮิ”
“แพรวา พี่ไม่ใช่สาวรุ่นแบบแพรนะ จะได้หลงใหลได้ปลื้มกะอีแค่ช่อดอกไม้แค่นี้ พี่น่ะ แก่เกินแกงแล้วจ้า คนส่งถ้าไม่กินยาผิด ก็คงสติฟั่นเฟือนละจ๊ะ”
“พี่ภาก้อ อย่างงี้ทุกที แพรอยากรู้คะ พี่ภาบอกแพรได้มั้ยคะ ในฐานะที่แพรก็ทำงานกับพี่ และก็เคารพรักพี่เหมือนพี่สาวคนโตคนนึง ทำไมพี่ภาถึงได้เย็นชากับคนที่มาสนใจพี่ภานักละคะ มีอะไรฝังใจหรอคะ”
“พี่ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้วนะแพร ชีวิตพี่ที่คิดว่าสวยหรู งดงามทุกอย่าง สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บช้ำ พี่เลยไม่อยากจะมีใคร แต่พี่ไม่ได้ปิดกั้นหรอกนะ แต่ยังไม่พบใครที่คิดว่าใช่ คงเพราะความกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่เคยเป็นละจ๊ะ” สีหน้าผู้เล่าขรึมและเศร้าลงกว่าเดิม
“ก็ไม่แน่นะคะ ถ้าพี่ภาเปิดใจ ยอมให้โอกาสเค้า เราอาจจะเห็นแง่ดีของเค้าบ้างก็ได้”
“อย่าดีกว่า แพร พี่ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ ว่าแต่แพรเถอะจ๊ะ มีใครถูกใจหรือยังจ๊ะ รู้สึกหมู่นี้สดใสร่าเริงผิดหูผิดตาเลยนะจ๊ะ”
“เอ่อ ก็ .... คิดว่าเจอแล้วละคะ” สาวน้อยหลบตาต่ำ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย เอียงอาย
“ดีจัง ว่าแต่ ว่าที่น้องเขยพี่ภานี่ ใครเอ่ย พอจะบอกพี่ได้มะ”
“ก้อ พี่หมอธนธรณ์คะ เพื่อนพี่วีรพลไงคะ” วิภาวรรณสะอึกเล็กน้อย ดวงตาแพรวาจ้องจับอยู่แล้ว
“พี่หมอเค้าสัญญาแล้วว่า ขึ้นบ้านใหม่พี่หมอวีรพลเมื่อไหร่ จะให้จัดผู้ใหญ่ไปเจรจาสู่ขอกับพ่อแม่แพร นะค่ะ”
“พี่ยินดีด้วยจ่ะ” “ขอบคุณคะ แพรเป็นห่วงและหวังดีกับพี่นะคะ ยังไงก็ลองคบหาดูใครสักคน แพรว่ามีคนสนใจพี่เยอะจะตาย ถ้าพี่ไม่ปิดกั้น”
“ขอบใจจ๊ะ พี่จะรับฟังไว้ละกัน”
“ง้าน แพรไปทำงานต่อนะคะ พี่ภา” “จ๊ะ”
วิภาวรรณหันกลับมาที่ช่อกุหลาบช่อโต หยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“ผมอยากจะเลี้ยงข้าว ไถ่โทษ ถ้าพี่ไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไรนะครับ ถือว่าครั้งนี้จะรบกวนพี่เป็นครั้งสุดท้ายครับ ต่อไปผมจะไม่รบกวนพี่อีกแล้ว รักและจริงใจ วีรพล”
ความรู้สึกในใจวิภาวรรณแปล้บขึ้นมาทันที

วันนี้หมอวีรพล ทำหน้าที่ตรวจคนไข้ตามปกติ เพียงแต่พยาบาลทุกคนผิดสังเกต ระยะนี้หมอหนุ่มมีอาการเงียบขรึม ทั้งที่ปกติก็พูดน้อยอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ ทั้งเงียบทั้งซึม แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับการทำงาน ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเป็นปรกติ
“หมอคะ พักนี้หมอดูหน้าซีดๆ ซึมๆ ไปนะคะ มีเรื่องอะไรทุกข์เหรอ เดือนสังเกตมาเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก เดือน ว่าแต่วันนี้พี่มีนัดกับคนไข้รายไหนเพิ่มเติมอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้วคะ หมดเคสทำแผล ตรวจการติดเชื้อคนไข้ที่โดนทำร้าย อีกรายเดียวก็หมดแล้วคะ หมอมีธุระด่วนก็ฝากให้เดือนจัดการให้ก็ได้นะคะ เดือนว่าคุณหมอพักบ้างก็ได้ ได้ข่าวว่าจะไปดูเรื่องสร้างบ้านด้วยนิคะ”
“ขอบใจจ๊ะ งั้นพี่ฝากด้วยละกัน ถ้าอาการร้ายแรง ติดต่อพี่ได้ตลอด”
วีรพลกลับมาที่ห้องทำงาน เตรียมเก็บเอกสาร อุปกรณ์เครื่องใช้ประจำ เข้าห้องน้ำ ชำระร่างกายสักพักก็ออกมา แต่แล้วก็ต้องชะงัก !!!!!!
“คุณหมอขี้ใจน้อย ขี้งอน วันนี้จะเลี้ยงอะไรพี่ดีล่ะ ถ้าเมนูไม่ถูกปาก ถือว่าเป็นมื้อสุดท้ายที่จะต้องเลี้ยง ตกลงมั้ยคะ” ใบหน้าสวยหวาน จีบปากจีบคอพูดลอยหน้าตา แต่ทำเอาหมอหนุ่มหัวใจลิงโลด
วันนั้นวิภาวรรณ แต่งชุดฟ้าอ่อน แนบเนื้อ กระโปรงก็รัดรูปด้วยเนื้อผ้าที่บางเนียน ทำเอาวีรพลต้องแอบมองแล้วกลืนน้ำลายทุกที การรับประทานอาหารก็ไปอย่างราบรื่น วิภาวรรณ เป็นฝ่ายชวนคุย จนวีรพลแสดงอาการอารมณ์ดีขึ้นจากเมื่อตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนคนละคน
“พลคะ ครอบครัวคุณทำกิจการอะไรคะ เห็นโอนกรรมสิทธิ์มาให้มูลค่าเป็นสิบล้านเลย”
“อ้าว พี่ภาไม่ได้จัดการเองเหรอคับ ถ้าพี่รับดูแลเรื่องนี้เอง พี่ไม่น่าถามผมนะ เพราะต้องรู้ชื่อผู้โอนให้อยู่แล้ว”
“เอ่อ พี่ให้แพรดำเนินการให้น่ะคะ แต่ถึงรู้ชื่อ ก็ไม่ได้รู้นี่คะว่าทำอาชีพอะไร”
“เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ครับ แต่ช่างมันเถอะครับ ผมไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับธุรกิจนี้อยู่แล้ว และจะไม่ไปก้าวก่ายด้วย”
“ทำไมละคะ”
“มันเป็นบริษัทที่พ่อ กับ แม่เลี้ยงผมเค้าก่อตั้งขึ้นมา แม่เลี้ยงผมเค้าไม่ค่อยจะชอบผมสักเท่าไหร่ ถึงพ่อจะพยายามช่วยแล้วก็ตาม ผมเองก็อึดอัดใจ ผมอยากให้พ่อมีความสุข ผมเป็นตัวที่ทำให้ครอบครัวอึดอัด เลยอยากออกมาสร้างเป็นของตัวเอง คุณพ่อก็เลยมอบมรดกบางส่วนให้ มันเป็นทุกข์นะครับพี่ การอยู่กับคนที่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของตัวเอง แล้วเขาไม่ยอมรับเรา พี่คิดดูสิครับ แม้กระทั่งรูปแม่ผม เค้าก็เอาไปทิ้งหมด จนผมจำไม่ได้แล้วว่าหน้าแม่ผมเป็นยังไง” สีหน้าเขาเริ่มหม่นอีกครั้ง
“ตอนนั้น ผมน่าจะอายุประมาณ 9-10 ขวบ ที่จริงผมน่าจะจำหน้าแม่ได้บ้าง แต่ทำไมไม่รู้ คิดหน้าไม่ออก พยายามจะตามหาเหมือนกัน แต่ก็ไร้วี่แวว คุณแม่คงไม่รู้หรอกว่า ลูกชายแม่ต้องทุกข์ทรมานใจ คิดถึงแม่แค่ไหน”
วิภาวรรณ ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ใจสะท้านสะท้อน
“แล้วที่ว่าลูกพี่ภาละครับ เค้าอายุเท่าไหร่ พี่ไม่คิดจะไปตามเค้ามาอยู่ด้วยเหรอ ผมว่านะ ลูกพี่ภาน่าจะอยากมาอยู่ด้วย เหมือนผมตอนนี้ ความรู้สึกแม่ลูกยังไงมันก็รักผูกพันมากกว่า แล้วสามีเก่าพี่เค้าชื่ออะไรครับ ไม่แน่ผมอาจรู้จัก”
“เอ่อ ... ถ้าตอนนี้คงอายุประมาณ 20 กว่าๆคะ แต่พี่หมดความหวังแล้วล่ะ เค้าอาจจะมีครอบครัวที่มีความสุขแล้วก็ได้ และก้อ ชื่อสามีพี่ พี่ไม่ขอบอกได้มั้ย พี่ไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้วล่ะ มันเป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีนักหรอก” วิภาวรรณตอบเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ การสนทนาเริ่มกลับมาอึมครึมอีกครั้ง จนวีรพลต้องตัดบท
“ขอบคุณครับพี่ ที่อุตส่ารับการขอโทษจากผม ผมว่าเราไปที่เดินเล่นย่อยอาหารก่อนกลับบ้านดีกว่านะครับ”
“ก็ดีคะ พี่ก็รู้สึกแน่น อึดอัดมากๆ อาหารวันนี้อร่อยถูกใจพี่มาก ดูสิหมดไปหลายจานเลย ถ้ามีคนเลี้ยงแบบนี้บ่อยๆ ได้อ้วนฉุแน่ๆเลย”
ระหว่างที่เดินเล่นไปตามทางสวนสาธารณะ เวลาประมาณสองทุ่มเศษ บรรยากาศเงียบ เพราะถือว่าดึกมากแล้วสำหรับชาวต่างจังหวัด วีรพลเดินเคียงวิภาวรรณต่างพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่ชวนสนุกสนานมากขึ้น มีกระเซ้าเย้าแหย่บ้างเล็กน้อย วีรพลลอบมองหน้าหวานๆ ที่ลมพัดผ่านหน้า ผมปลิวสวย ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี พลอยทำให้วีรพลอารมดีตามไป ด้วย หากมองไกลๆ จะเหมือนคู่รักมาเดินพลอดรักคุยกันตามทาง เพราะวีรพลรูปร่างสูงโปร่ง ทะมัดทะแมง กับหญิงร่างระหง อรชร ถ้าหากไม่เห็นหน้าชัดๆ ใกล้ๆ จะดูไม่ออกว่าบ่งบอกถึงอายุที่น่าจะห่างกันพอสมควร
“อุ้ย” ร่างระหงทรุดซวนล้ม แต่วีรพลก็คว้าเข้ามาในอ้อมแขนได้ทัน เพราะอยู่ระยะห่างกันไม่เกินศอก
“เป็นไรครับพี่” “รองเท้าพี่สิ ส้นมันหัก ว้าาาา ดูสิแล้วจะใส่ยังไงล่ะทีนี้ ได้เดินเท้าเปล่ากลับแน่เลย” พูดพลางบ่นพลางแต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที วิภาวรรณต้องรีบขยับตัวออกห่าง เพราะเมื่อกี้หล่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ วีรพลนั้นได้แต่จ้องตาวิภาวรรณไม่กระพริบ จนสาวใหญ่ออกอาการขวยเขิน ปานเด็กสาวแรกรุ่น วีรพลเห็นชัดกับตา ว่าแก้มหล่อนออกระเรื่อ ถ้าหากไม่อดกลั้นความรู้สึก เค้าอยากจะคว้ามาจูบสักฟอด
“พี่ไม่เป็นไรนะ” “เอ่อ... ไม่ละคะ ขอบคุณนะคะ ไม่งั้นพี่คงล้มคะมำไปแล้ว” “ผมไม่ยอมให้พี่เป็นอะไรเด็ดขาด ผมสัญญา พี่ภาครับ ความรู้สึกผมที่ผมเคยพูดกับพี่ ผมยังยืนยันคำเดิม” สีหน้าวีรพลจริงจัง จนวิภาวรรณพูดอะไรไม่ออก ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทำเอาวิภาวรรณสั่นสะท้านกว่าเดิม เพราะชุดที่ใส่มาก็เปิดลำแขน เนื้อผ้าก็บาง วีรพลจึงถอดเสื้อนอกออกมาสวมทับ วิภาวรรณมองหน้าเขาแล้วส่งยิ้ม เหมือนเป็นการขอบคุณ แค่นี้ก็ทำให้วีรพลหัวใจพองโตคับอกทีเดียว
“กลับกันเถอะครับ อากาศเย็นเกินไปแล้ว เดี๋ยวพี่ไม่สบาย จะมาโทษผมเป็นคนทำไม่ได้น๊า” พูดจบทำเป็นขำเล็กน้อย เขาคว้ารองเท้าคู่นั้นมาถือ แล้วก็เดินจูงมือนำหน้าไป วิภาวรรณได้แต่ลอบค้อนนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ดื้อดึงการเกาะเกี่ยวแต่อย่างใด
“พี่จะกลับบ้านสวนหรือว่าที่ร้านขายของฝากละครับ”
“ที่ร้านดีกว่าคะ ดึกมากแล้ว เสียเวลาคุณพักผ่อนเปล่าๆ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกนิคะ”
“อ่อครับ เอ้อ อีกประมาณสองเดือนกว่าๆ บ้านผมก็น่าจะเสร็จ ผมกะว่าจะให้เสร็จทันวันครบรอบคล้ายวันเกิดผม จะได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่กับฉลองวันเกิดด้วยเลย อยากจะรบกวนพี่ช่วยเป็นแม่งานให้ด้วย เรื่องงานบ้านงานครัว ผมไม่ค่อยถนัด อีกอย่างนึง เพราะผมยังไม่คุ้นเคยกับบ้านใหม่ อยากจะให้เชิญเพื่อนบ้านในละแวกหมู่บ้านมาร่วมงาน จะได้ทำความรู้จักกันไว้ด้วยน่ะครับ พี่ภาคุ้นเคยกับที่นี่อยู่แล้วคงไม่ลำบากนะครับ”
“พูดซะยาวเลยนะคะ กลัวพี่ไม่ทำให้เหรอคะ คิคิคิคิคิ” วีรพลอึกอักๆ เพราะตอบไม่ถูก เพิ่งรู้ตัวเองว่าพูดยาวมาก “โอเคคะ พี่จะรับทำหน้าที่ให้เท่าที่ทำได้นะคะ ถึงบ้านแล้ว ขอบคุณนะคะ สำหรับเมนูสุดเด็ด ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
แล้วใบหน้าสวยหวานก็ชะโงกมาใกล้หน้าวีรพล ก่อนที่จะคิดทำอะไร กลิ่นแป้งและน้ำหอมกรุ่น ก็ปะทะจมูกเขา เรียวปากนุ่มแปะที่แก้มดังจุ้บ แล้ววิภาวรรณก็เปิดประตูรถออกไป โดยไม่หันกลับมาอีกเลย จนเข้าร้านไปลับตา ฝ่ายคนขับได้แต่นั่งตัวแข็ง ไม่ได้คาดคิดอะไรมาก่อน พอเรียกสติกลับได้ ก็ได้แต่ยิ้ม มีความสุข ถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขับรถออกไป...

ทุกๆ วันจันทร์วิภาวรรณจะได้รับช่อดอกกุหลาบช่อโตมาส่งที่ออฟฟิตทุกวัน จนแพรวาอดไม่ได้ พูดจาแซวผู้บังคับบัญชา อยู่เป็นประจำ วิภาวรรณก็ได้แต่ค้อนให้ ทำท่าปรามเสียงดุ พอเลิกงานที่ธนาคาร กลับไปที่ร้านขายของ ก็มักจะได้เจอวีรพลบ่อยครั้ง แต่ไม่ทุกวัน เพราะบางวันวีรพลก็มีเข้าเวรช่วงค่ำถึงดึก ก็มี ทุกครั้งที่วีรพลไปที่ร้านวิภาวรรณวางตัวลำบาก เพราะบางทีวีรพลก็มีหยอดคำหวาน ทำตาหวานใส่ จนเด็กพนักงานขายมองเห็นบ่อยครั้ง จนกลายเป็นที่รู้กันในร้านว่ามีหนุ่มน้อยวัยกระเตาะ มาชอบเจ้านายสาวใหญ่ของตัวเอง วิภาวรรณมักจะวางตัวเรียบๆ ไม่ค่อยจะทำท่าสนิทสนมกับวีรพลเท่าใดนัก แต่หากนอกสถานที่ หรือลับตาคนหน่อย วิภาวรรณจะยอมให้วีรพลโอบกอดทุกครั้ง เด๋วนี้เธอยอมรับแล้วว่าหลงรักหมอหนุ่มหมดใจ ด้วยความที่เขาเป็นคนสม่ำเสมอ จริงใจ และไม่แสดงการฉวยโอกาส รู้จักกาลเทศะ สุภาพอ่อนโยน วันนี้เป็นวันศุกร์หลังจากเลิกงานแล้ว วิภาวรรณก็กลับไปยังร้านขายของตามปกติ แต่ในใจเธอกลับกระวนกระวาย บางครั้งก็ทำตาชะเง้อมองมาหน้าร้าน หลังจากตรวจบัญชีรายรับ-จ่ายของร้านเรียบร้อย ก็สั่งงานเด็กที่ร้านอย่างที่เคยทำประจำ สักพักวีรพลก็ขับรถมาที่ร้านเพื่อมารับวิภาวรรณไปที่บ้านสวน พอรถออกมาได้สักพัก วีรพลก็คว้ามือวิภาวรรณมาจุมพิต ซึ่งวิภาวรรณเองก็ไม่ได้ขัดขืน เพราะหัวใจมันเรียกร้องหาเขามานาน
“กว่าจะเสร็จงาน ผมแทบรอไม่ไหวเลยครับ พี่ คิดถึงพี่จัง”
“ก็รอมาได้จนเดี๋ยวนี้แล้วนิคะ จะพูดทำไม” พูดพลาง ส่งสายตาค้อนขวับ จนวีรพลคิด ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่จะดึงหน้ามาจูบให้สมความอยากซะเลย
“โธ่ พูดซะแบบนี้ ไม่เห็นใจคนคิดถึงบ้างเล้ยยย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ การที่รัก และ คิดถึงใครสักคน มันกระวนกระวาย ทรมานใจจริงๆ” พอพูดจบ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือกำมือของหล่อน บีบกระชับขึ้น ทำเอาคนฟังก็หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“อ้อ อาทิตย์นี้ บ้านก็เสร็จแล้วครับพี่ภา เหลือแต่หาเฟอร์นิเจอร์มาลงตกแต่งเพิ่มเติม พี่ภาอย่าลืมที่สัญญานะครับ เรื่องจัดงานทำบุญบ้านใหม่ และก็วันเกิดผมด้วย ตรงกับวันอาทิตย์ อาทิตย์หน้าพอดี”
“เหรอคะ อืมม วันที่ 10” วิภาวรรณทำหน้าครุ่นคิด เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง
“ทำไมเหรอครับ” “เอ่อ ปล่าวคะ พี่แค่คิดว่า จะจัดงานเลี้ยงยังไงดี” ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักนึง
“พรุ่งนี้วันเสาร์ พี่ว่าจะพาพลไปที่วัดวัดนึง เค้าว่ากันว่า คนในจันทบุรี จะทำกิจการอะไรก็ตาม จะพากันไปไหว้พระขอพรที่วัดนี้ แล้วส่วนมากจะทำมาค้าขึ้น ทำงานมงคล ก็จะประสบแต่ความสุขความเจริญ พลจะไปมั้ยคะ”
“ไปสิครับ ดีจังเลย แต่คงเป็นช่วงบ่ายนะครับ ช่วงเช้าผมขอตรวจงานก่อสร้าง แล้วก็เซ็นสัญญาจ่ายค่างวดให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็แล้วแต่เจ้าถิ่นจะเป็นไกด์พาไปแล้วกันครับ” ขณะขับรถไป วีรพลยังไม่ยอมปล่อยมือวิภาวรรณเลย กลับกำบีบกระชับแน่น วิภาวรรณเองก็รับรู้ เอื้อมมืออีกข้างมากุมไว้เป็นการตอบรับ ช่วงนี้ระหว่างข้างทางดูเหมือนบรรยากาศจะสดใสไปหมด พอก่อนจะถึงบ้าน วิภาวรรณกับวีรพลก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะกลัวคนงานก่อสร้างสงสัย ต่างก็แยกกันเข้าบ้านไป วิภาวรรณเข้าบ้านไป ก็เดินดูบริเวณรอบๆ บ้าน สักพักก็เข้าครัวทำอาหารแบบง่ายๆ ใจหนึ่งก็อยากชวนวีรพลมาทานด้วย แต่เห็นว่าคนงานก่อสร้างยังไม่กลับ เกรงว่าจะมีคนสงสัย จึงไม่ได้ชวน เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จัดการทำความสะอาดแล้วก็เดินไปเปิดไฟหน้าประตูบ้าน ซึ่งหากเธออยู่ จะต้องเปิดไว้ประจำ แล้วจะเข้าอาบน้ำชำระร่างกาย เพื่อเข้านอน เมื่อเข้าห้องน้ำ วิภาวรรณก็เปลื้องกายออก ร่างขาวโพลน สัดส่วนชวนหลงใหล ก็ปรากฏเย้ยให้ผีบ้านผีเรือนกระสันเล่นซะแล้ว เมื่อเธอเอื้อมมือไปเปิดปุ่มเครื่องทำน้ำอุ่น เปิดก้อกน้ำ สายน้ำไหลพร่างลงมา ทันใดนั้น ร่างระหง ขาวผ่อง ก็มีอาการร้อนวูบวาบ สติสัมปชัญญะวิภาวรรณก็ดับวูบลงอย่างที่หล่อนไม่ทันตั้งตัว...
วีรพล สำรวจการก่อสร้างทั้งภายในและนอกบ้าน บัดนี้บ้านทั้งหลังที่เค้าใฝ่ฝัน ก็เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงตกแต่งภายในนิดหน่อย อีกทั้งจัดหาเฟอร์นิเจอร์มาวางประจำห้อง เสร็จแล้วก็ทานอาหารที่คนงานเผื่อไว้ให้ ทีแรกกะว่าจะไปที่บ้านวิภาวรรณ แต่ยังยุ่งๆ หลายอย่าง จึงบอกคนงานให้เผื่อกับข้าวไว้ เมื่อทานอาหารเสร็จ จัดการชำระล้างร่างกายพอประมาณ คนงานกลับหมดแล้ว เขาจึงเดินออกมานอกบ้าน มองไปที่เรือนไทยอีกฟากรั้ว วีรพลทำสีหน้าผิดสังเกต ทุกครั้งบ้านหลังนั้นจะเปิดไฟหน้าบ้านไว้ตลอด ทำไมวันนี้มันมืดไปหมด หรือว่ามีเหตุอันตรายอะไรหรือปล่าว ด้วยความเป็นห่วง วีรพลรีบเข้าบ้าน คว้าไฟฉายแล้วข้ามรั้วไปบ้านวิภาวรรณ ร้องเรียกชื่อเธอหลายหนก็ไม่ได้ยินเสียงขานรับ จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ประตูบ้านยังไม่ล้อก!!! วีรพลร้องเรียกวิภาวรรณหลายครั้งก็เงียบ เขาจึงวิ่งเข้าไปค้นหลายที่ที่คิดว่าจะเจอ ในที่สุด วีรพลก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นร่างขาวผ่องเปลือยเปล่า นอนหมดสติอยู่ในห้องอาบน้ำ เร็วเท่าความคิด เขารีบคว้าร่างระหง บัดนี้ขาวซีดแทบไม่มีสีเลือดอุ้มไปยังห้องนอนของหล่อน เขย่าตัวเรียกชื่อก็ยังไร้การตอบรับ เอามือจับชีพจร แตะที่ปลายจมูก จึงรู้ว่ายังหายใจ แต่รวยรินมาก วีรพลคิดว่าน่าจะเกิดจากไฟฟ้าแน่ๆ เพราะไฟดับทั้งบ้าน ต้นเหตุน่าจะมาจากห้องน้ำ เขาจึงทิ้งร่างนั้นชั่วคราว เดินไปสำรวจระบบไฟ ปรากฏว่าเครื่องตัดไฟ สวิทซ์มันสับลง จึงทำการกดสวิทซ์ขึ้น ไฟฟ้าก็เปิดตามปกติ ได้ยินเสียงน้ำที่ห้องน้ำไหลซู่ๆ เขาจึงเดินไปที่ห้องน้ำ พอก้าวแรกที่เหยียบพื้นห้องน้ำ วีรพลถึงกับสะดุ้งเฮือก มีความรู้สึกร้อนแปล้บแล่นขึ้นเกือบทั้งตัว ไม่รู้ด้วยสัญชาตญาณหรืออะไร เขารีบกระโดดถอยกลับ แล้วไฟก็ดับอีกครั้ง ทำให้สันนิษฐานว่าน่าจะมีไฟรั่ว วีรพลจึงเดินไปดูระบบไฟค้นดูสายไฟห้องน้ำแล้วปิดสวิทซ์สายไฟห้องน้ำ แล้วเปิดสวิทซ์สายเมนอีกที ไฟฟ้าก็สว่างดังเดิม เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้ว วีรพลก็รีบกลับไปห้องนอนวิภาวรรณ เค้าได้เห็นร่างอันเปลือยเปล่าหล่อนเต็มตาก็คราวนี้เอง ด้วยความที่หล่อนผิวขาว เพียงแต่บัดนี้อาจจะซีดมากหน่อย เอวคอด สะโพกผายเย้ายวน หน้าอกกลมตึง ถึงแม้ไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็เป็นเต้ากลมกลึงน่าดูน่าชม นัยน์ตาหลับพริ้ม วีรพลตะลึงอยู่พักใหญ่ ในใจเค้าปั่นป่วน ร่างกายหมอหนุ่มสูบฉีดแรง จนแสดงออกมาด้วยลมหายใจที่เริ่มถี่ เมื่อมีร่างกายหญิงงามเปลือยต่อหน้าขนาดนี้ มีหรือเหล่าชายทั้งหลายจะคิดเป็นอย่างอื่น วีรพลเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงข้างๆร่างงามนั้น ตาจ้องไม่กระพริบ โน้มใบหน้าลงที่หน้าสวย ริมฝีปากอวบน่าจูบ ประกบปากลงไป เป่าลมเข้าออก อยู่สักพัก ก็สังเกตเห็นว่า ลมหายใจวิภาวรรณเริ่มดีขึ้น เขาประคองศีรษะหล่อนขึ้นเพื่อที่จะช้อนศีรษะ เอาหมอนรอง มือเขาก็รู้สึกว่ามีหยดน้ำเปียกๆ ยกขึ้นมาดู วีรพลใจหายวาบ!!!!! เลือด!!!!! เขารีบหาตู้ยาประจำบ้าน แล้วจัดการทำความสะอาดแผลที่ศีรษะ แล้วก็หาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้หล่อน จัดการห่มผ้าเรียบร้อย ก็นั่งเฝ้ามองหล่อนด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใย วีรพลเองก็ชายหนุ่มเต็มตัว เมื่อได้เห็นร่างที่ไร้อาภรณ์ก่อนหน้านี้ ความต้องการทางร่างกายมันพองตัวขึ้นจนไม่อาจระงับได้ ใจจริงวีรพลอยากทำในสิ่งที่เค้าปรารถนา แต่ต้องระงับไว้ แล้วเข้าห้องน้ำจัดการทำให้เจ้ามังกรสงบลง เรื่องเพศแล้ว วีรพลก็คงได้ความสุขสมเพียงเท่านี้ ตั้งแต่เกิดมาจนเป็นหนุ่มกำยำขนาดนี้ เขายังไม่เคยเกี่ยวกับเพศตรงข้ามเลย พอรู้บ้างก็แค่การบำบัดด้วยแม่นางทั้งห้าของตนเท่านั้น แล้วกลับมาเฝ้าวิภาวรรณอีกที จนทนความง่วงไม่ไหวก็ผล๊อยหลับไป...
ดึกสงัดประมาณ 4. น.ได้ วิภาวรรณก็รู้สึกตัวขึ้นมา ขยับร่างกายก็รู้สึกระบม ปวดตุบๆ ที่ศีรษะ ลูบคลำไปก็พบว่ามีผ้าก๊อตพันไว้ !!! หันมองไปรอบๆ ก็เห็นร่างวีรพลนั่งหลับฟุบที่ขอบเตียง สำรวจดูร่างกาย ก็เห็นว่ามีเสื้อผ้าสวม ผ้าห่มห่มกายไว้อีกชั้น ย้อนนึกเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้ว่าเธอเข้าไปอาบน้ำ เปลือยกายหมด แล้วก็หมดความรู้สึกไป วาบเข้ามาในใจ หันกลับมามองวีรพลที่ฟุบอยู่ นี่เขาเป็นพาเธอขึ้นมาห้องนอนเหรอเนี่ย ตายล่ะ นี่เขาคงเห็นอะไรเป็นอะไรของหล่อนหมดแล้วแน่ๆ หล่อนรีบสำรวจร่างกายตัวเองด้วยคิดว่าเขาอาจฉวยโอกาส ล่วงเกินหล่อนในเวลาที่เธอหมดสติ ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ สาวใหญ่ร่างงาม ก็หันมามองวีรพลอีกครั้ง แววตาหล่อนเปลี่ยนจากอาการตกใจ ระแวง เป็นสีหน้าผ่อนคลาย มองเขาด้วยท่าทีที่ไว้ใจ ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่หลับอยู่ เอามือลูบศีรษะ ด้วยความรัก ไม่ผิดหวังเลย ที่หล่อนรักเขาหมดหัวใจ วิภาวรรณนอนต่ออีกหน่อยรอให้สว่าง แต่กลับหลับไม่ลงเท่าไหร่ ในใจหล่อนเต้นตุบๆ มันปลาบปลื้มจนไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท จนเช้า หล่อนจึงลุกไปทำกับข้าว เสร็จแล้วกลับขึ้นมาจะปลุกวีรพล ก็เห็นเขาตื่นแล้ว กำลังเดินลงมาชั้นล่าง ส่งยิ้มให้หล่อน
“ขอโทษนะครับ พี่ภา ที่หลับนานไปหน่อย แล้วพี่รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ ยังปวดหัวหรือเปล่า ยังไงๆ ก็ต้องทานยาต่ออีกหน่อยนะครับ”
“อรุณสวัสดิ์คะ ยังปวดตุบๆ อยู่บ้าง แต่ก็โอเคคะ ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก พี่ต่างหากต้องขอบคุณพล พี่เป็นอะไรไม่รู้ว่าจะอาบน้ำ อยู่ดีก็หมดความรู้สึกไปเลย ยังระบมที่ไหล่ด้วยนิดหน่อย”
“ผมว่าห้องน้ำพี่มีปัญหาน่ะครับ ไฟฟ้าในห้องน้ำรั่วแน่ๆ คงเป็นที่เครื่องทำน้ำอุ่น พี่เลยถูกไฟดูด ดีนะครับระบบเซฟทีคัทยังทำงานได้ดี ไม่งั้นละก็แย่เลย เดี๋ยววันนี้ผมจะให้ช่างเค้ามาดูและก็ซ่อมให้ละกันครับ ผมละเป็นห่วงพี่แทบแย่ รู้มั้ย” พูดจบก็รีบเข้าคว้าร่างเธอไปกอด วิภาวรรณเองก็ไม่ขัดขืน กลับวาบหวิวเคลิบเคลิ้มกับความห่วงใยที่เขามีต่อเธอ
“ไปอาบน้ำแปรงฟันเถอะคะ พี่ทำกับข้าวไว้แล้ว ทานกับพี่ที่นี่แหละนะคะ” วิภาวรรณจุมพิตที่แก้มหมอหนุ่มฟอดใหญ่แล้วก็รีบไปจัดกับข้าวที่โต๊ะ วีรพลถึงกับยิ้มดีใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น