วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

[Side Story] เรื่องเล่าของนายโจ้ยอดชาย : หมอแจน #1


 


=======================================

'ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ' ผมเชื่อว่าเราทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับวลีที่ว่านี้กันดีอยู่แล้ว

แน่นอนล่ะครับ ใครบ้างล่ะที่จะไม่อยากมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เพียงแต่... ในยามที่ร่างกายยังเป็นปกติดีอยู่นั้น เรามักจะไม่ค่อยได้ใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพกันซักเท่าไหร่ ยังคงใช้ชีวิตกันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ปล่อยปละละเลย จนมันเริ่มที่จะมีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นนั่นแหละ... เราถึงคิดที่จะหันกลับมามองสุขภาพร่างกายของตัวเองที่กำลังทรุดโทรมลงไปเรียบร้อยแล้ว

ผมเองก็ไม่ต่างกันหรอกครับ ตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ผมมักจะเพลิดเพลินใจไปกับการใช้ร่างกายของตัวเอง ตะบี้ตะบันทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเร่งสร้างเนื้อสร้างตัว ส่วนเวลาว่างก็มักจะใช้มันหมดไปกับการยัดทะนานเครื่องดื่มของมึนเมาแบบหัวราน้ำกับเพื่อนๆ สลับกับการเสพสุขร่วมเตียงกับสาวสวยไม่ซ้ำหน้า โดยที่ไม่เคยนึกเลยว่ามันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของตัวเองยังไงบ้าง

ผมใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแบบนี้อยู่เป็นปีๆ ก่อนที่วันนึงพระเจ้าจะเกิดนึกอยากลงโทษผมขึ้นมา จึงส่งอาการปวดแปล๊บๆ พุ่งเข้ามากระแทกที่บริเวณบั้นเอวจนแทบจะร้องจ๊าก! ตอนแรกผมก็นึกว่ามันเป็นแค่อาการปวดเมื่อยที่เกิดจากการนั่งทำงานกับคอมฯนานเกินไป พยายามเอาครีมแก้ปวดมานวดมาทาดู ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้คลายลงไปได้บ้าง แต่พอหายไปได้ไม่นาน ซักพักมันก็กลับมาเป็นอีก เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนี้เกือบ 2 อาทิตย์ พอลองเอาอาการที่ว่านี้ไปค้นข้อมูลดู ก็เลยพอจะเดาๆ ได้ว่าที่หลังของผมน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ

ผมรีบขอลางานเพื่อหาคิวนัดตรวจกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้ๆ ทันที เพราะรู้ดีว่าอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับหลังเนี่ย ปล่อยเรื้อรังไว้นานๆ ย่อมไม่ดีแน่... ผมไปถึงโรงพยาบาลช่วงสายๆ นั่งรอคิวไม่นานคุณพยาบาลก็พาเข้าไปทำการเอ็กซ์เรย์ตรวจอาการ คุณหมอที่ดูผลให้นั่งเพ่งอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะเอ่ยปากให้คุณพยาบาลจับผมส่งไปตรวจ MRI อีกทีหนึ่ง ซึ่งผมเองก็เดินตามเธอไปต้อยๆ อย่างว่าง่าย นาทีนั้นเค้าบอกให้ทำอะไรก็ทำหมดล่ะครับ และด้วยเหตุนี้แหละ ผมจึงได้รู้ว่าไอ้เจ้าอาการปวดแปล๊บๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ มันคืออาการของคนเป็นโรค 'หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท' อันแสนจะโด่งดังนั่นเองงงงง! เหี้ยยยยยยยยย!

'แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ' คือจุดหมายต่อไป พอผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอเข้ากับคุณหมอสาวสวยตาโตที่กำลังนั่งรออยู่ เธอส่งยิ้มหวานต้อนรับอย่างเป็นมิตร คะเนคร่าวๆ แล้วเธอน่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับผมนี่เอง คือไม่น่าจะถึง 30 แน่ๆ ใบหน้าสวยๆ กับสายตาคมๆ เศร้าๆ ของเธอ ดูจับใจผมอย่างประหลาด

“สวัสดีค่ะ คุณอดิศักดิ์ใช่มั้ยคะ?” เธอเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แอบใหญ่นิดนึง
“ครับ ใช่ครับ เรียกโจ้ก็ได้ครับคุณหมอ เรียกชื่อจริงแล้วฟังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ แฮะๆ” ผมยิ้มแหยๆ ตอบเธอไป
“คุณโจ้นะคะ โอเคค่ะ... หมอชื่อแจนนะ คุณโจ้รู้แล้วใช่มั้ยว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นอะไรอยู่”
“ครับ... รู้ครับ” ผมตอบเสียงอ่อยๆ
“แหม ไม่ต้องทำท่าซึมขนาดนั้นก็ได้ค่ะ คือหมอดูผลตรวจของคุณแล้ว โอเคล่ะ ว่ามันเป็นอาการของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทก็จริง แต่ว่า... อาการของมันยังพึ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ตรวจเจอกันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะงั้นคุณโจ้ก็เบาใจได้เลยนะคะ แค่ทำกายภาพบำบัดและฟื้นฟูร่างกายให้ดีๆ ก็พอ ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดหรอกค่ะ” คำตอบของเธอเพียงพอที่จะช่วยให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้าง

“แล้วแบบนี้ผมต้องมาทำกายภาพบำบัดนานมั้ยครับคุณหมอ?”
“ก็... ถ้าประเมินจากอาการคร่าวๆ แล้ว หมอคิดว่าคงไม่น่าเกิน 2-3 เดือน ก็น่าจะเห็นผลแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ยังไงก็ยังต้องคอยระมัดระวังพวกพฤติกรรมเสี่ยงๆ ที่อาจส่งผลให้อาการกลับมาได้อีก อย่างเช่นการนั่งท่าเดิมนานๆ หลายชั่วโมง หรือการฝืนยกของหนักๆ พวกนี้ถือว่าห้ามเด็ดขาดนะคะ เพราะมันจะไปกระทบกับหลังเราเต็มๆ และที่สำคัญเลย... คุณโจ้ต้องหาเวลาออกกำลัง คอยบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอด้วยค่ะ ทำแบบนั้นแล้วอาการมันถึงจะหายขาด” รอยยิ้มของเธอที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับคำตอบ ยิ่งทำให้เธอดูสวยขึ้นไปอีกในสายตาผม
“แหม... เสียดายจังนะครับ นึกว่าจะนานกว่านี้ซะอีก แค่ 2-3 เดือน ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็จะอดเจอหน้าคุณหมอซะแล้ว” ผมพูดแบบติดกะล่อน
“ก็ถ้าคุณโจ้ยังอยากมาเจอหน้าหมออีก ก็คงต้องยอมให้อาการป่วยมันรุนแรงหนักกว่านี้แล้วล่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะคุ้มกันรึเปล่านะ” เธอแซวยิ้มๆ อย่างรู้ทัน

และด้วยเหตุนี้เอง ช่วงเวลา 2 เดือนหลังจากนั้นของผม จึงหมดไปกับการแวะเวียนเข้าไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลแทบจะตลอดเลยก็ว่าได้ รักษากันครั้งนึงก็เกือบครึ่งค่อนวัน พอลองนับนิ้วดู อาทิตย์นึงก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 4-5 วันแล้วล่ะครับ สุดท้ายก็เลยต้องขออนุญาตลางานยาวๆ เพื่อพักรักษาตัวให้หายดีซะก่อน โชคดีที่พี่หน่อยเจ้านายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมเซ็นอนุมัติใบลาให้ง่ายๆ พร้อมกับฝากถ้อยคำสมน้ำหน้าเยาะเย้ยมาอีก 2-3 ประโยค

แต่พอถึงเวลาทำกายภาพบำบัดเข้าจริงๆ ผมกลับแทบจะไม่ได้เจอหน้าหมอแจนคนสวยอย่างที่คิดหรอกครับ ส่วนใหญ่แล้วคนที่คอยดูแลก็มักจะเป็นบุรุษพยาบาลกับนางพยาบาล สลับกันมาดูแลซะมากกว่า นานๆ ทีจึงจะได้เจอหน้าคุณหมอเค้า ก็แค่ตอนที่ไปอัพเดทอาการกันที่ห้องตรวจนั่นแหละ หรือไม่ก็ต้องรอให้เค้าเป็นฝ่ายลงมาติดตามความคืบหน้าของการรักษาที่ห้องกายภาพบำบัดบ้าง นานๆ ครั้ง

“วันนี้คุณหมอแต่งตัวสวยจังเลยนะครับ” ผมเอ่ยปากร้องทักหมอแจน ขณะที่กำลังนั่งๆ นอนๆ ให้บุรุษพยาบาลหุ่นล่ำช่วยยืดเส้นกดจุดให้อยู่
“ก็ปกติแหละค่ะ สวยเสยที่ไหนกัน” เธอพูดปัดเขินๆ หมอแจนวันนี้แต่งตัวมาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายทางสีฟ้าอ่อน สวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวใหญ่ ด้านล่างเป็นกระโปรงพีทยาวคลุมเข่าสีน้ำตาลเข้มขุ่นๆ ส้นสูงที่เธอสวมยิ่งทำให้ดูสง่าขึ้นไปอีก
“ก็แหม ผมพูดจริงๆ นี่ครับ วันนี้คุณหมอดูสวยเป็นพิเศษเลย สงสัยจะมีเดท” ผมแกล้งตะล่อมถามสถานะเรื่องแฟนของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ยิ้มๆ เขินๆ ก่อนจะหันไปคุยกับน้องพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆ แค่นี้ผมก็พอจะรู้แล้วล่ะครับว่าเธอเองคงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว หรืออย่างน้อยก็ต้องมีคนที่กำลังคุยๆ ดูใจกันอยู่ล่ะน่า... แต่ถามว่าผมจะยอมถอยมั้ยน่ะเหรอ? คุณผู้อ่านก็น่าจะรู้ๆ กันดีอยู่แล้วนี่ครับ ฮี่ๆๆๆ
“พี่โจ้แอ่นหลังขึ้นนิดนึงครับ” น้องอาร์ม บุรุษพยาบาลหุ่นเตี้ยล่ำที่ผมเริ่มสนิทสนมด้วยเป็นฝ่ายเอ่ยแทรกทำลายความเงียบขึ้นมา สองมือของอาร์มก็ออกแรงกดนวดเน้นๆ หนักๆ ไปตามแผ่นหลังดังกึ้กๆ! จนผมต้องสะดุ้งโหยง
“โอ๊ย! เบาอาร์มเบา!” เสียงแหกปากร้องลั่นของผมทำเอาหมอแจนกับน้องพยาบาลอดยิ้มขำไปด้วยไม่ได้

ผมใช้เวลาพักรักษาตัวและทำกายภาพบำบัดไปแค่ราวๆ 2 เดือนนิดๆ อาการปวดหลังและบั้นเอวต่างๆ ก็ดูจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผลการวินิจฉัยของคุณหมอเองก็ช่วยยืนยันได้เช่นกันว่าในขณะนี้ ร่างกายของผมนั้นกำลังเริ่มที่จะฟื้นฟู และค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมในอีกไม่ช้า โดยคาดการณ์กันว่าอีกไม่เกิน 2 อาทิตย์ ก็น่าจะแข็งแรงพอที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ดังเดิมอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็แปลว่า... ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะลงมือสานต่อความสัมพันธ์กับคุณหมอแจนคนสวย ก่อนที่จะต้องโบกมือลาจากโรงพยาบาลไปซะก่อน ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจเดินหน้ารุกเต็มตัวแบบไม่ต้องมียางอายกันแล้วล่ะครับ

“คุณหมอครับ ผมซื้อขนมมาฝากครับ” ผมเอ่ยพร้อมกับยื่นกล่องขนมมาการ็องต์สุดแพง บรรจงวางมันลงไปบนโต๊ะทำงานของเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เอ่อ... อันนี้คือยังไงนะคะคุณโจ้?” หมอแจนถามด้วยสีหน้างงๆ
“อ๋อ ผมซื้อมาฝากเฉยๆ น่ะครับ พอดีวันก่อนไปซื้อของที่ห้างมา เดินผ่านร้านขนมแล้วดูน่ากินดี ก็เลยซื้อมากินเองกล่องนึง แล้วอีกกล่องก็เอามาฝากคุณหมอนี่แหละครับ คิดซะว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ ที่คุณหมออุตส่าห์ช่วยดูแลผมจนหาย” ผมพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง แม้จะรู้ตัวดีว่าฟังดูโคตรลิเกก็เถอะ

“โหย คุณโจ้ไม่น่าลำบากเลย..” หมอแจนพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ
“ไม่ลำบากหรอกครับ ผมแวะไปทำธุระที่นั่นอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หมอหมายถึงคุณโจ้ไม่จำเป็นต้องซื้อของมาขอบคุณหมอก็ได้ แค่ค่ารักษาที่จ่ายให้โรงพยาบาลเราก็ถือเป็นการขอบคุณแล้วล่ะค่ะ ฮิฮิฮิ” อูยยย.. คุณหมอแกเล่นตอกซะผมหน้าหงายเลย เพราะค่ารักษาที่นี่มันแพงหูฉี่เอาการ
“แหม... คุณหมอนี่มุกเยอะเหมือนกันนะครับ ยังไงก็รับไว้หน่อยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่เสียน้ำใจ” ผมพูดพลางเอามือลูบคางไปด้วยแก้เขิน
“ถ้างั้นก็... ขอบคุณนะคะ แหม คนไข้เรานี่น่ารักจังเลย” เธอรับกล่องขนมไปอย่างอารมณ์ดี
“ยังไงก็น่ารักไม่เท่าคุณหมอหรอกครับ” นี่! สบช่องเมื่อไหร่ผมยิงทันที มันต้องโดนบ้างล่ะครับ ไอ้มุกทื่อๆ ควายๆ แบบนี้ หมอแจนฟังแล้วก็ทำหน้าเขินๆ แก้มแดงนิดๆ เพราะถูกผมชมดื้อๆ
“คุณโจ้นี่ปากหวานจริงๆ นะคะ ระวังนา... หวานมากๆ แบบนี้เดี๋ยวจะได้เป็นเบาหวานเอาไม่รู้ตัว อันนั้นหมอช่วยอะไรไม่ได้นะคะบอกไว้ก่อน” เธอพูดยิ้มๆ

ผมยังคงคอยหาโอกาสซื้อขนมติดไม้ติดมือไปฝากหมอแจนอยู่เป็นประจำ พยายามหาช่องยิงมุกตีสนิทเธอไปเรื่อยๆ ฮาบ้าง แป้กบ้าง แต่ก็พอจะทำให้เราได้คุยเล่นกันมากขึ้น จนเธอเริ่มที่จะคุ้นเคยกับการตีสนิทเจ๊าะแจ๊ะชวนคุยของผมอยู่พอสมควร พอถึงช่วง 2 วันสุดท้ายก่อนที่การรักษาจะเสร็จสิ้น ผมจึงตัดสินใจขอไลน์เธอไปตรงๆ เพื่อจะได้ใช้เป็นช่องทางในการติดต่อกันหลังจากนี้

“คุณหมอครับ... พรุ่งนี้ผมก็มารักษาที่นี่เป็นวันสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไง... ผมอยากจะขอไลน์คุณหมอไว้สำหรับคอยปรึกษาอาการป่วยวันหลังจะได้มั้ยครับ?” ผมพูดออกไปโง่ๆ แม้จะรู้ดีว่าเธอคงอ่านความคิดผมได้ทะลุปรุโปร่งก็เถอะ
“อืมมม ไม่ดีมั้งคะคุณโจ้ หมอว่า... เอาไว้คุณโจ้อยากปรึกษาอะไรเมื่อไหร่ ค่อยแวะเข้ามาที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ หมออยู่ที่นี่ตลอดแหละ” หมอแจนออกอาการอึดอัด
“ถ้างั้น... ให้ผมได้มีโอกาสเลี้ยงข้าวคุณหมอเป็นการตอบแทนซักมื้อนะครับ” ผมยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เปลี่ยนเรื่องทันทีดื้อๆ ไม่ให้เธอตั้งตัวทัน
“คือว่า...” น้ำเสียงเธอเริ่มลังเล
“มื้อเที่ยงก็ได้นะครับ หรือถ้าคุณหมอไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ก็ขอแค่เลี้ยงกาแฟก็ยังดี”
“ถ้างั้น... เอาเป็นเลี้ยงกาแฟหมอแก้วเดียวก็พอค่ะ ใกล้ๆ นี้มีร้านกาแฟอยู่หลายร้าน น่าจะสะดวกหน่อย”
“งั้นคุณหมอนัดวันมาเลยครับ สะดวกวันไหน? ร้านไหนดี?” ผมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย แม้ว่าเป้าหมายจะลดลงมาเหลือแค่การนั่งทานกาแฟด้วยกันช่วงสั้นๆ แต่ก็ต้องคว้าไว้ก่อนล่ะครับ หมอแจนนิ่งคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะตอบกลับมา
“พรุ่งนี้เที่ยงๆ ก็ได้ค่ะ เอาเป็นร้านอะเมซอนฝั่งตรงข้ามนี้มั้ยคะ สะดวกดี”
“โอเคครับ” ผมตอบตกลง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่เดทแรกของเรานั่นเอง

ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น ผมแวะเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งผลตรวจโดยรวมนั้นก็ออกมาปกติ สอดคล้องกับแนวโน้มที่คาดการณ์กันไว้ตั้งแต่ช่วง 2-3 อาทิตย์ก่อน ซึ่งก็หมายความว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลอีกต่อไปแล้ว ลากันตรงนี้ล่ะนะเจ้าอาร์ม บายยยย ผมเข้าไปฟังคุณหมอแจนสรุปผลการรักษาโดยรวม พร้อมกับคำแนะนำในการออกกำลังกายต่างๆ ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการของโรคกลับมารบกวนชีวิตประจำวันอีก ผมกล่าวขอบคุณเธอแล้วก็นัดแนะว่าจะไปเจอกันที่ร้านกาแฟอีกทีตอนบ่าย เนื่องจากเธอยังมีคิวตรวจคนไข้อีกรายนึงต่อจากนี้

ผมแวะหาอะไรกินที่ร้านข้าวใกล้ๆ กับโรงพยาบาล ก่อนจะเข้าไปยืนดูหนังสือออกใหม่ที่ร้านซีเอ็ดอยู่อีกพักใหญ่ๆ เหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือเห็นว่าจะเที่ยงห้าสิบแล้ว จึงเดินเข้าร้านกาแฟไปสั่งเครื่องดื่มแล้วมานั่งรอเธออยู่ที่โต๊ะด้านหน้า ไม่ถึง 10 นาที หมอแจนในชุดเดรสกระโปรงยาวก็เดินเข้าประตูมา พอผมโบกมือเรียก เธอก็เดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะทันที เธอเอ่ยทักทายผมสั้นๆ ก่อนจะเดินเลยไปสั่งม็อคค่าเย็นมานั่งดื่ม พร้อมกับนิตยสารแจกฟรีของที่ร้าน

“คุณหมอทานอะไรมารึยังครับ?” ผมเริ่มบทสนทนาไปแบบพื้นๆ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณโจ้ล่ะคะ?” หมอแจนตอบยิ้มๆ ใช้นิ้วจับยึดหลอด ดูดกาแฟเข้าปากอย่างสบายใจ
“เหมือนกันครับ อิ่มแปล้เลย ทานเพลินไปหน่อย... อ้อ! ไหนๆ ตอนนี้ผมก็ไม่ใช่คนไข้ที่โรงพยาบาลแล้ว ถ้ายังไงผมขอเรียกคุณหมอว่า 'คุณแจน' แทนแล้วกันนะครับ จะได้ดูสนิทสนมกันหน่อย” ผมพูดตะล่อมอย่างลื่นไหล
“อ๋อ... ได้ค่ะไม่มีปัญหา ก็หวังว่าวันข้างหน้า คุณโจ้คงจะไม่ต้องกลับมาเรียกแจนว่าคุณหมออีกนะคะ” มุกของเธอทั้งแสบทั้งคัน จนผมต้องแกล้งทำเป็นหัวเราะร่วนเพื่อแก้เขิน แม้ว่าจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่ยอมลดการ์ด และเปิดช่องให้ผมจีบเธอได้ง่ายๆ

“คือ... ที่ผมชวนออกมานั่งคุยกันเนี่ย ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่อยากจะให้คุณแจนได้รับรู้ไว้เฉยๆ ว่า ผมน่ะแอบปลื้มคุณแจนมากนะครับ ถ้าคุณแจนไม่รังเกียจ ผมก็อยากจะทำความรู้จัก และสนิทสนมกับคุณแจนให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ทราบว่าคุณแจนจะว่าอะไรมั้ย?” ในเมื่อเธอไม่ยอมเปิดทาง ผมก็ต้องลุยเข้าไปซึ่งๆ หน้าแบบนี้ล่ะครับ เน้นใช้ถ้อยคำที่สุภาพ บวกกับการวางตัวเป็นสุภาพบุรุษเข้าไว้ ยังไงเธอก็น่าจะพอมีอาการเกรงใจกันบ้างแหละน่า
“คือจริงๆ แล้วแจนก็พอจะรู้อยู่ลึกๆ นะคะว่าคุณโจ้รู้สึกยังไง ก็... ขอพูดกันตรงๆ เลยแล้วกันนะคะ จะได้ไม่เสียน้ำใจกันทีหลัง คือตอนนี้แจนเองก็มีคนที่กำลังคุยๆ คบหากันอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าคงจะไม่เหมาะที่จะไปให้ความหวังอะไรเท่าไหร่ รังแต่จะทำให้คุณโจ้มาเสียเวลากับแจนเปล่าๆ” คำตอบปฏิเสธของเธอคือสิ่งที่ผมพอจะคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว

“แต่ว่ายังไง... คุณโจ้กับแจนก็ยังเป็นเพื่อนคุย คอยปรึกษาเรื่องอาการปวดหลังได้เหมือนเดิมนะคะ” เธอพูดปลอบใจ ในหัวผมตอนนี้กำลังพรั่งพรูไปด้วยแผนการต่างๆ เพื่อที่จะหาทางตะล่อมตีสนิทเธอให้มากขึ้นกว่าเดิม
“โอเคครับ คุณแจนพูดกันตรงๆ แบบนี้ผมก็พอจะทำใจได้ อย่างน้อยแค่ได้รู้จัก ได้มาเป็นเพื่อนกับคุณหมอแจนก็ถือว่าเป็นโชคดีของผมแล้วล่ะครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพแฝงรอยยิ้มอ่อนโยน
“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่เข้าใจแจน คือก่อนหน้านี้แจนเองก็ไม่กล้าบอกกับคุณโจ้ตรงๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้คุณโจ้เกิดไม่พอใจ หรือโกรธแจนขึ้นมา แล้วจะพาลไม่ยอมกลับมารักษาต่อให้หายขาด”
“โหย ไม่หรอกครับ คุณแจนน่ารักแบบนี้แล้วผมจะไปโกรธลงได้ยังไง” ผมพูดยิ้มๆ

เราสองคนนั่งคุยเล่นทำความรู้จักกันอยู่เกือบๆ ชั่วโมง ผมจึงพอจะได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอขึ้นมาบ้าง หมอแจนคนสวยคนนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมตามแบบฉบับของหญิงสาวในอุดมคติของหลายๆ คน เลยก็ว่าได้ เธอทั้งสวย ฉลาด เรียนเก่ง มาจากครอบครัวที่มีฐานะ และกำลังเริ่มที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่มั่นคงด้วยวัยเพียงแค่ 29 ปีเท่านั้น ผมว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจคนนึงเลยล่ะครับ แม้ว่าบ้านจะรวยแต่กลับไม่ได้มีนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ชอบที่จะนั่งรถใต้ดินไปกลับที่บ้านและที่ทำงาน เพราะมองว่ามันสะดวกและรวดเร็วกว่า ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีรถยนต์ส่วนตัว และชอบที่จะหมกตัวอยู่ในร้านหนังสือ มากกว่าที่จะไปเดินช็อปปิ้งเสื้อผ้ารองเท้าเหมือนกับสาวๆ ทั่วๆ ไป

การจีบผู้หญิงอย่างเธอนั้น หากเปรียบเป็นผลไม้ซักลูก ก็คงต้องบอกว่า... เปลือกของเธอนั้นทั้งแข็งทั้งหนา ยากที่จะฉีกให้ขาดออก ซ้ำยังมีหนามหุ้มอยู่รอบตัว ในขณะที่เนื้อนวลภายในนั้นกลับหอมหวาน และมีรสชาติอ่อนนุ่มละมุนลิ้น รอให้เราได้เข้าไปสัมผัส... ฟังไปฟังมานี่มันทุเรียนชัดๆ เลยนี่หว่า! สุดท้ายด้วยความหน้าด้านหน้าทนของผมที่ตื๊อไม่ยอมหยุด ในที่สุดหมอแจนก็ใจอ่อน และยอมให้ผมแอดไลน์ไอดีของเธอจนได้ เรานั่งคุยกันต่ออีกครู่เดียว เธอก็เอ่ยปากขอตัวกลับเข้าโรงพยาบาล ผมก็โอเคไม่มีปัญหา เดินตามไปส่งเธอที่หน้าอาคารต้อยๆ

“ที่สำคัญนะคะคุณโจ้ อย่าลืมออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหลังและหัวไหล่ แต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นหักโหมจนเกินไปนะคะ ประเดี๋ยวหลังจะพังซะก่อน ต้องกลับมารักษากันใหม่อีกรอบ คราวนี้ล่ะอ่วมแน่ๆ” หมอแจนพูดทิ้งท้ายก่อนจาก
“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าผมเกิดเดี้ยงขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังได้กลับมาเจอหน้าคุณหมออีกรอบก็ยังดี อิอิ” ผมตอบขำๆ
“แหม ทำเป็นเล่นตลอดเลยนะคะ ยังไงก็อย่าลืมออกกำลังตามที่แนะนำไปด้วยล่ะ แล้วก็ถ้ามีปัญหาสงสัยอะไรก็ค่อยถามแจนทีหลังก็ได้ค่ะ”
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับคุณแจน งั้นไว้เจอกันครับ” ผมพูดแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณเธอ
“ค่า กลับดีๆ นะคะคุณโจ้” เธอรับไหว้ก่อนจะเดินหายขึ้นอาคารไป ส่วนผมเองก็กลับห้องมาด้วยอารมณ์ที่เบิกบานแบบสุดๆ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็พอจะมีช่องทางในการพูดคุยกับเธอเพิ่มขึ้นมาแล้ว หลังจากนี้ถ้าจะหาเรื่องชวนคุย หรือแม้แต่จะนัดเธอออกมาทานข้าวด้วยกันก็คงจะพอทำได้ไม่ยากแล้วล่ะ

แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ผมคิดเอาไว้ เพราะแม้ว่าหมอแจนจะยอมรับนัดทานข้าวกับผมหลังจากนั้น แต่มันก็เป็นเพียงการนัดทานข้าวเที่ยงกันธรรมดาๆ ที่ร้านอาหารใกล้ๆ โรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่เท่านั้น แถมยังไม่ยอมให้ผมเลี้ยงค่าอาหารเธออีกต่างหาก ซึ่งก็ตามใจล่ะครับ ในเมื่อคุณหมออย่างเธอน่ะหาเงินได้มากกว่าผมอยู่แล้ว เรื่องหยุมหยิมอย่างการแชร์ค่าอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรในสายตาเธอ สุดท้ายแล้วผมก็เลยยังหาโอกาสเข้าไปคลุกวงในให้มากกว่านี้ไม่ได้เสียที

“คุณแจนครับ ศุกร์นี้ตอนเย็นๆ ว่างมั้ยครับ?” ผมเอ่ยถามเธอขึ้นมา ขณะที่เรากำลังทานมื้อเที่ยงด้วยกันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ทำไมเหรอคะคุณโจ้?” เธอใช้คำถามมาแทนคำตอบ
“คือผมว่าจะชวนคุณแจนไปดินเนอร์กันที่ร้านออเดรย์ตรงแถวๆ ทองหล่อน่ะครับ พอดีว่าผมพึ่งไปทานกับที่ออฟฟิศมาสัปดาห์ก่อน ถูกใจมาก อร่อยทุกอย่างจริงๆ คิดว่าคุณแจนน่าจะชอบพวกของหวานที่ร้านด้วย ก็เลยว่าจะขอเลี้ยงมื้อเย็นคุณแจนซักมื้อน่ะครับ” ผมร่ายยาวเพื่อหวังจะตะล่อมเธอให้อยู่หมัด

“โหย... แจนเกรงใจอ่ะค่ะ ไม่ต้องลำบากหรอก” เธอรีบปฏิเสธทันควันอย่างสุภาพ
“ผมเองน่ะไม่ลำบากหรอกครับ ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าอยากจะเลี้ยงตอบแทนซักมื้อ ที่คุณแจนเคยช่วยรักษาให้ผมจนหายดีแบบนี้ เพียงแต่ว่าคุณแจนต่างหาก ที่มีเรื่องติดขัดอะไรอยู่รึเปล่า?” ผมพูดเกริ่นๆ ถึงเรื่องสถานะของเธอ
“คุณโจ้อ้ะ... คุณโจ้ก็รู้นี่นาว่าแจนมีแฟนอยู่แล้ว ถ้าจะให้ไปทานมื้อเย็นกันสองคนแบบนั้น แจนลำบากใจจริงๆ นะคะ” เธอตอบปฏิเสธมาตรงๆ เหมือนเดิม
“เห็นแก่ผมซักครั้งนึงนะครับคุณแจน แค่ครั้งเดียวก็พอ แล้วผมจะไม่มารบกวนคุณแจนให้ลำบากใจอีก” ผมยืนกรานขอร้องเธอเป็นครั้งสุดท้าย หมอแจนนิ่งคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะตอบกลับมา
“อืมมม... ก็ได้ค่ะ เราไปทานมื้อเย็นกันวันศุกร์นี้ก็ได้ เพียงแต่คุณโจ้ต้องรับปากมาก่อนนะคะ ว่าจะไม่คาดหวังอะไรเกินเลยไปจากนี้ แจนไม่อยากให้คุณโจ้ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง เดี๋ยวเราจะเสียเพื่อนกันเปล่าๆ” เธอพูดรับปากอย่างจำยอม พร้อมกับดักคอผมไว้ล่วงหน้า
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะครับคุณแจน ให้ผมได้เลี้ยงข้าวคุณแจนซักมื้อ จะได้หายค้างคาใจซักที” ผมตอบน้ำเสียงเศร้าๆ เหมือนขอความเห็นใจตามสไตล์พระเอกละครหลังข่าว เราตกลงกันว่าผมจะมารับเธอที่โรงพยาบาลตอนประมาณ 6 โมงเย็น พอทานอะไรเสร็จแล้วจึงค่อยขับรถไปส่งเธอที่บ้านไม่เกินเที่ยงคืน

หลังจากที่ผมจัดแจงนัดวันเวลาและสถานที่กับเธอเรียบร้อยแล้ว ปัญหาเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือ แล้วผมจะหาทางเผด็จศึกเธอคืนนั้นยังไงดี!? เพราะถ้าปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปอีก ก็รับรองว่าได้กินแห้วกันแน่ๆ ล่ะครับงานนี้ เพราะดันออกปากไปซะดิบดีว่าจะเลิกตอแยเธอแล้ว... ในเมื่อเล่นบทพระเอกสุภาพบุรุษแล้วมันไม่เวิร์ค เห็นทีก็คงต้องหันกลับไปใช้วิธีแบบโจรๆ กันบ้างล่ะครับ... ผมตัดสินใจโทรหาไอ้แมนเพื่อนรักทันที เสียงสัญญาณรอสายดังต่อเนื่องเป็นจังหวะ รออยู่พักใหญ่ๆ มันก็ไม่ยอมรับสายซักที แม่งเวลาแบบนี้มาทำเล่นตัวนะมึง ไอ้แมน... ลองกดโทรไปอีกครั้ง ถือสายอยู่ครู่ใหญ่ๆ สุดท้ายก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย


“ฮัลโหล... แมนเหรอ? ยาที่มึงเคยให้กูยืมคราวก่อนยังเหลือป่ะ? เออๆ งั้นเดี๋ยวกูเข้าไปเอา....”    



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น