วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2566

[Side Story] เรื่องเล่าของนายโจ้ยอดชาย : พี่หน่อย #1

 
 
 

=======================================


“ในส่วนของตัวเฟสบุ๊คแฟนเพจนะครับ เราจะเน้นไปที่การนำเสนอคอนเทนต์โปรโมชั่นหลักๆ ของเทศกาลต่างๆ สลับกับการแชร์ข้อมูลเนื้อหาสาระทั่วไป ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับตัวโปรดัคส์ของเราได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือพวกการทานอาหารทางเลือก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในโรคต่างๆ ซึ่งคอนเทนต์พวกนี้เป็นคอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยมและมีการแชร์กันแพร่หลายมากๆ ในตอนนี้ เพราะเค้าไม่ได้มองว่ามันเป็นโพสต์โฆษณายัดเยียด แต่มองเป็นสาระความรู้ซะมากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้เราสามารถหาทางสอดแทรกคุณประโยชน์ของตัวโปรดัคส์เข้าไปได้เนียนๆ

ขณะที่ในส่วนของกิจกรรมที่จะใช้เล่นกันในเพจ ผมอยากเสนอให้เน้นไปที่การทำกิจกรรมง่ายๆ ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ อย่างเช่นการตั้งคำถามพื้นๆ ให้คนเข้ามาตอบคอมเมนท์ และสุ่มแจกรางวัลจากจำนวนยอดไลค์ หรือใครตอบได้เร็วที่สุด อะไรทำนองนั้น เพราะถ้าเกิดว่าไปเลือกเล่นเกมที่มันซับซ้อนเกินไป ที่ต้องใช้ทักษะหรือความคิดมากๆ อันนี้เค้าสำรวจกันมาแล้วว่าตัวผู้บริโภคในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งก็คือกลุ่มเป้าหมายหลักๆ ของเรานั้น มักจะไม่ค่อยสนใจกิจกรรมที่มันยุ่งยาก หรือเสียเวลาเกินกว่าแค่การเอานิ้วไปคลิก แม้ว่าของรางวัลมันจะคุ้มค่าขนาดไหนก็ตาม สังเกตได้ง่ายๆ ครับ ทุกวันนี้ในเฟสบุ๊คมีแต่คนเล่นควิซ เล่นอะไรกันเต็มไปหมด ในขณะที่ตัวแอพเกมใหม่ๆ ที่ทยอยออกมาในเฟสบุ๊คกำลังเริ่มเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากมันเห็นผลช้า เพราะลูกค้าสมัยนี้เค้าไม่เสียเวลารอกันแล้ว ยิ่งถ้าเป็นกิจกรรมที่เรียบง่าย กดเล่นปุ๊บรู้ผลปั๊บเนี่ย ก็จะยิ่งเห็นผลดีขึ้นไปอีก...... ฯลฯ”

เอ่อ... อย่าพึ่งสับสนว่าเข้ากระทู้ผิดกันนะครับ ไอ้ข้อความด้านบนน่ะผมแค่กำลังเสนอขายแผนงานให้กับลูกค้าเฉยๆ... ส่วนกระทู้นี้ก็ยังคงเป็นกระทู้นิยายอีโรติกสยิวกิ้ว ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหื่นๆ เสียวๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ
ผมโจ้ครับ ยอดชายคนดีคนเดิมของเพื่อนๆ วันนี้ก็ยังคงมีเรื่องราวระหว่างผมและสาวๆ ในความทรงจำมาให้คุณได้อ่านกันอีกเช่นเคย อ้อ... ที่ต้องร่ายเปิดหัวซะยาวอย่างกับท่องมนตร์เมื่อครู่ ก็เพราะว่าเนื้อหาที่ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟังในวันนี้น่ะ มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนที่กำลังนั่งขายงานอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ กับเรื่องของ 'พี่หน่อย' สาวใหญ่วัย 40 ต้นๆ หน้าคมผมสั้นร่างเพรียวระหงส์ หน้าอกหน้าใจอวบอิ่มอัดแน่นอยู่ในท่ากอดอก จนเนินเนื้อบริเวณนั้นดันนูนออกมา ท่วงท่าที่ดูสง่าราวกับนางพญา แต่เวลาพูดทีล่ะเสียงดังฟังชัดแบบไม่เกรงกลัวใคร จนคนอื่นๆ ได้แต่นั่งนิ่งตั้งใจฟังเธอพูดให้จบ ใช่ครับ พี่หน่อยหรือ 'เจ๊หน่อย' ที่ใครๆ ในวงการมักจะเรียกกัน ก็คือคนเดียวกันกับที่เป็นเจ้านายของผมนั่นแหละ.....

เราสองคนกำลังช่วยกันเสนอขายแผนกลยุทธ์ในสื่อออนไลน์ ซึ่งจะใช้โปรโมตแคมเปญช่วงครึ่งปีหลังให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัทร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีชื่อดัง ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าเจ้านี้ก็ค่อนข้างแฮปปี้กับเนื้องานที่เราเคยคิดให้มาตลอด ส่วนนึงก็เป็นเพราะว่าตัวผู้บริหารใหญ่อย่างคุณนิวัฒน์เอง ก็ค่อนข้างสนิทสนมกับพี่หน่อยเป็นอย่างดี ดังนั้นไอ้ลูกกระจ๊อกอย่างผมจึงค่อนข้างจะมั่นใจ กล้าพูดกล้านำเสนอแผนงานในพาวเวอร์พอยท์ได้อย่างฉาดฉาน ซึ่งอันที่จริงมันก็ควรที่จะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นเหมือนอย่างทุกที ถ้าไม่ติดว่ายัยผอ.การตลาดคนใหม่อย่างคุณต้อยที่กำลังนั่งฟังอยู่แถวหน้าสุด จะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดแทรกขึ้นมากลางวงซะก่อน

“แต่ต้อยว่าถ้าเราทำแบบนั้น มันจะไม่ต่างอะไรกับการเดินตามก้นชาบูชิเค้าเลยนะคะ” คุณต้อยยกมือพูดโพล่งขึ้นมาทันทีหลังจากที่ผมพึ่งพรีเซนท์หัวข้อออนไลน์จบ มันเป็นเหมือนระเบิดลูกเล็กๆ ขนาดย่อมที่เราไม่ทันได้เตรียมรับมือ อยู่ดีๆ ก็ระเบิดตู้มขึ้นมากลางวงดื้อๆ จนผมเองก็ไม่รู้จะตอบเธอไปว่ายังไงเหมือนกัน
“คือว่า... ถ้ามองในแง่ของโซนธุรกิจแล้ว ทางฝั่งนั้นเค้าจะเป็นเหมือนตัวแทนด้านอาหารญี่ปุ่นประเภทชาบูมากกว่านะคะ ส่วนของทางนี้ก็จะหนักไปทางอาหารปิ้งย่างแนวเกาหลี หน่อยว่ามันก็อาจจะไม่ถึงขั้นเดินตามรอยกันตรงๆ เท่าไหร่” พี่หน่อยพยายามหาลู่ทางอธิบาย แต่คุณต้อยเองก็ดูจะยังไม่ยอมลดละให้ง่ายๆ

“เข้าใจค่ะว่าอาหารคนละประเภทกัน แต่ว่าเรื่องของกิจกรรมและการโปรโมตที่ฟังมา มันแทบจะเหมือนกันไปหมด ยิ่งถ้าเราไปทำตามทีหลังเค้าด้วย ต้อยว่ามันจะหวังผลได้น้อยกว่าที่คาดการณ์กันไว้ แถมทางลูกค้าเองก็จะสับสนและจำภาพแคมเปญเราได้ไม่ชัดเจนด้วย อย่างในตัวคีย์วิชวลเมื่อครู่เอง ต้อยยอมรับนะคะว่าไอเดียมันสดแล้วก็สวยดี แต่มันเหมือนเป็นคีย์ที่ทำมาเพื่อเน้นชิงรางวัลโฆษณาจากคานส์น่ะ คือมันไม่ได้ช่วยสนับสนุนและขายตัวโปรโมชั่นกับลูกค้าจริงๆ จังๆ เท่าไหร่ ซึ่งอย่างที่เคยคุยกันไว้ว่ารอบนี้เราจะเน้นไปที่การโฟกัสให้ตัวฟู้ดโปรดัคเป็นพระเอก คือเน้นให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกหิว รู้สึกอยากทานขึ้นมาเลย จำได้มั้ยคะ?” คำพูดของคุณต้อยเล่นเอาเราสองคนได้แต่นั่งมองหน้ากันแบบอึ้งๆ พอตัวหัวหน้าเปิดประเด็นขึ้นมายาวเหยียดแบบนี้ ลูกน้องในทีมการตลาดของเธอจึงเริ่มเห็นดีเห็นงาม และออกปากวิจารณ์แผนงานของเรากันอย่างสนุกปาก บ้างก็ออกหน้าออกตาเข้าข้างเจ้านายตัวเองซะจนเราจมดินไปเลย

สรุปว่าหลังจากเถียงกันไปเถียงกันมาอยู่ครู่ใหญ่ๆ ผมกับพี่หน่อยจึงต้องยอมหอบเอาแผนงานกลับมาแก้ใหม่ เพื่อเตรียมนำไปเสนอขายอีกรอบแบบเร่งด่วนในช่วงสัปดาห์หน้า แม่ง! ใครจะไปคิดล่ะครับว่าจะเจอแจ็คพ็อตแบบนี้ ผมเองน่ะหงุดหงิดและหมั่นไส้ยัยคุณต้อยนั่นเต็มที ส่วนพี่หน่อยเองก็คงไม่ต่างกัน แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพเธอจึงพยายามรักษาท่าทีและคำพูดให้ดูเยือกเย็นเข้าไว้ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอช่วงหลังจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ตาม พอเราสองคนปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถโตโยต้าแคมรี่สีบรอนซ์ของเธอแล้ว เราทั้งคู่จึงเริ่มเปิดปากนินทายัยลูกค้าจอมจู้จี้ทันที

“โอ๊ย! แม่งโครตรปรี๊ดดดดด” พี่หน่อยเป็นฝ่ายร้องกรี๊ดขึ้นมาคนแรก
“ตอนรัฟท์ไอเดียด้วยกันก็เห็นเออออมาตลอด แล้วจู่ๆ จะมาเปลี่ยนเลย์เอาท์ตอนขายแบบนี้ มีใครที่ไหนเค้าทำกันวะ?” พี่หน่อยพูดแล้วสตาร์ทรถขับออกไป
“มีดิพี่... ก็ที่เราพึ่งเจอเมื่อกี้นี่ไง” ผมตอบเธอไปเซ็งๆ
“เออ แม่งปัญหาเยอะอยู่คนเดียวเลย พูดตรงๆ นะชั้นล่ะโคตรคิดถึงพี่เคนเลยว่ะ เวลาดีลกับแกแม่งคุยกันรู้เรื่องง่ายกว่านี้เยอะ แล้วที่เซ็งที่สุดคืออะไรรู้ป่ะ? ยัยคุณต้อยอะไรนี่แม่งก็ไม่เคยดูด้านฟู้ดมาก่อนเว่ย ก่อนหน้านี้แม่งทำแบงค์มาก่อน ถามจริงเหอะ เราทำกับที่นี่มาก่อนมันกี่ปีแล้ว?” พี่หน่อยพูดอ้างอิงถึงผอ.การตลาดคนก่อนซึ่งค่อนข้างจะสนิทสนมกับเธอ และเป็นคนคอยดีลงานกับเรามาก่อนหน้านี้
“เข้าใจพี่ คนพึ่งมาใหม่แม่งก็แบบนี้แหละ มีโอกาสก็ขอโชว์พาวให้ลูกน้องดู... เออ ว่าแต่พี่ขับช้าลงหน่อยดีมั้ย ผมว่ามันชักจะเร็วไปแล้วว่ะ” ผมเอ่ยปากเตือน เมื่อเห็นว่าพี่หน่อยดูจะเหยียบคันเร่งเร็วเกินไปแล้วตอนนี้ แถมการจราจรบนท้องถนนก็ไม่ได้ว่างโล่งพอที่จะให้เธอเหยียบมิดตามใจชอบซะด้วย

เราสองคนพาตัวเองมาติดอยู่บนถนนเส้นรัชดาภิเษก ตอนเวลาเกือบหกโมงครึ่ง ดูจากสถานการณ์การจราจรแล้ว กว่าจะถึงออฟฟิศก็คงเกือบๆ ทุ่มนึงนั่นแหละ ปกติแล้วเวลาที่ต้องออกมาขายงานลูกค้าด้วยกันแบบนี้ พี่หน่อยก็มักจะให้ผมเป็นฝ่ายติดรถนั่งไปกับเธอด้วยเสมอๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าผมเองจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำมันโดยไม่จำเป็น และสองก็คือจะได้มีคนคอยรับฟังเวลาเธอบ่นระบายความหงุดหงิดแบบนี้นั่นแหละ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มักจะไม่ค่อยได้มีเรื่องราวให้บ่นเท่าไหร่หรอกครับ เพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่าพี่หน่อยแกน่ะ 'ขายงานโคตรเก่ง' ด้วยความที่เธอเคยเป็นทั้ง AE และครีเอทีฟมาหมดแล้วทั้งสองด้าน เลยทำให้เธอมีมุมมองที่ค่อนข้างจะรอบด้าน อ่านขาด และสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วแม่นยำ พูดง่ายๆ ว่าปล่อยให้เธอยืนขายของไปยังไม่ทันจะครบทุกสไลด์ ลูกค้าก็แทบจะเซ็นเช็คอนุมัติให้เลย นานๆ ทีถึงจะมีเคสงี่เง่าๆ แบบนี้หลุดมาให้หงุดหงิดใจบ้างนั่นแหละ

ซึ่งตัวผมเองก็ได้พี่แกนี่แหละ ที่คอยช่วยทั้งดุทั้งดันให้เมื่อตอนที่เปลี่ยนสายงานมาทำ AE ใหม่ๆ ตั้งแต่ครั้งที่ยังล้มลุกคลุกคลานตั้งไข่ จนถึงตอนนี้ก็พอจะมีลูกค้าไว้เนื้อเชื่อใจให้ความเชื่อมั่นอยู่บ้างพอสมควร พูดได้เลยว่าพี่หน่อยนั้นเป็นทั้งเจ้านาย, รุ่นพี่ และพี่สาวคนนึงที่ผมสนิทสนมและไว้ใจที่สุด ขณะที่เธอเองก็ค่อนข้างที่จะเอ็นดูผม และมองผมเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ คนนึง จนใครๆ ในบริษัทก็มักจะแซวว่าผมเป็นลูกรักของเธออยู่เสมอ

ก็แหม จะไม่ให้สนิทสนมกันได้ยังไง เพราะผมเองน่ะแทบจะเป็นพนักงานคนแรกๆ ที่พี่หน่อยดึงตัวมาช่วยงาน ตั้งแต่ช่วงที่ออกมาเปิดบริษัทเอเจนซี่เป็นของตัวเองเลยก็ว่าได้ ซึ่งด้วยความที่เราสองคนสนิทสนมกันค่อนข้างมากนี่แหละครับ ทำให้ผมกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องสาวๆ กับเธออยู่พอสมควร มีอะไรก็เล่าให้ฟังเกือบหมด บางทียังเคยไปขอคำแนะนำจากเธอเวลาที่เจอปัญหากับสาวๆ ด้วยซ้ำไป ซึ่งเธอก็มักจะมีคำแนะนำดีๆ พ่วงแถมมาด้วยคำดุด่าแสบๆ คันๆ กลับมาตลอด ยิ่งเวลาที่ผมแอบดอดไปกุ๊กกิ๊กกับน้องๆ นักศึกษาฝึกงานสวยๆ ในบริษัททีไรนะ เป็นได้โดนพี่หน่อยเรียกเข้าไปด่าหูชากลับมาทู๊กกกกทีเลย อิอิอิ

เช่นเดียวกัน เวลาที่พี่หน่อยมีเรื่องอะไรเครียดๆ อยู่ในหัว เธอก็มักจะชอบชวนผมไปนั่งดื่มแฮงก์เอาท์เป็นเพื่อนที่ร้าน The Bay  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบริษัท เพราะเธอน่ะรู้ดีว่าผมมันคอแข็ง เวลาที่เธอเกิดเมาเละเทะขึ้นมาเมื่อไหร่ (ซึ่งก็แทบจะทุกครั้งล่ะครับ) จะได้ให้ผมคอยรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งเธอที่คอนโดอยู่ร่ำไป เสร็จแล้วก็ต้องหาโบกแท็กซี่ นั่งย้อนกลับมาเอารถตัวเองที่บริษัทอีกทีนึง เฮ้อออ... ทำไงได้ล่ะครับ ก็เจ๊เค้าสั่งนี่นา แต่ถึงกระนั้นเราสองคนก็ยังไม่เคยมีปัญหาเกินเลยในแง่ชู้สาวกันแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะครับ อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ว่าผมเองน่ะค่อนข้างเคารพเธอในฐานะเจ้านายและพี่สาวคนนึง ส่วนเธอเองก็เอ็นดูผมเหมือนเป็นน้องชายของตัวเอง จึงทำให้เราสองคนไม่เคยคิดที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งของความเป็นพี่น้อง จนนำไปสู่ความสัมพันธ์ในรูปแบบของชาย-หญิงเหมือนกับสาวๆ คนอื่นๆ ที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่พึ่งจะโดนยัยคุณต้อยตัวแสบ ยิงงานทิ้งลงถังขยะมาหมาดๆ พี่หน่อยจึงค่อนข้างที่จะหงุดหงิดอยู่พอสมควร และเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนผมไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนเธอที่ร้านเดิมในคืนนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เลยรับปากไปง่ายๆ

พอไปถึงร้านเราก็สั่งของว่างรองท้องทันที พี่หน่อยสั่งลาบเนื้อทอดกับยำคอหมูย่างมาอย่างละจาน ส่วนผมสั่งเคิร์ลลี่ฟรายมาทานเล่นอีกหนึ่ง พร้อมกับเบียร์ไทเกอร์เย็นๆ อีกหนึ่งเหยือกใหญ่ ให้พอได้ชุ่มคอ เราสองคนนั่งจิบเบียร์ไปพลาง ทานของกินเล่นไปพลาง สลับกับการนั่งบ่นเรื่องงานวันนี้ไปด้วยอย่างสนุกปาก พอได้ระบายความอึดอัดในใจออกไปบ้าง มันก็พอจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้เหมือนกันนะเนี่ย

“แล้ววันนี้ แกไม่ได้มีนัดกับใครที่ไหนไว้เหรอวะโจ้?” พี่หน่อยถามขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อนิดๆ หลังจากหมดเบียร์ไปสามเหยือก เวลาพี่แกเมาทีไรแก้มงี้แดงเป็นลูกตำลึงทุกที
“ไม่มีอ่ะพี่ วันนี้ตอนแรกคิดว่าจะขายงานกันถึงหัวค่ำ เลยไม่ได้นัดใครไว้ ที่ไหนได้ แม่งโดนยิงร่วงตั้งแต่ตอนเย็นเลย” ผมพูดแล้วก็ยกเบียร์ในแก้วขึ้นมาจิบ
“เออดี นั่งกินเป็นเพื่อนชั้นนี่แหละ ดีแล้ว ไม่งั้นนะ มีหวังชั้นได้อกแตกตายเพราะโมโหยัยนั่นแน่ๆ”
“ก็แล้วพี่จะพูดเรื่องนี้ซ้ำๆ ทำไมอีกล่ะครับเนี่ย?” ผมแกล้งแซว
“เอ๊า! อีนี่... ก็แกดันพูดเรื่องโดนยิงงานทิ้งขึ้นมาอีกทำไมล่ะยะ ห๊า!?” ผมเห็นเธอบ่นแล้วก็หัวเราะแฮะๆ ชอบใจ

“เออพี่ ผมถามหน่อยดิ” ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาบ้าง
“ว่า?” พี่หน่อยตอบพลางใช้ส้อมจิ้มม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลที่เราพึ่งสั่งเพิ่มทีหลังเข้าปาก
“คุณเคนที่เค้าออกไปอยู่ยูนิลิเวอร์เนี่ย เค้าซี้กับพี่มาก่อนใช่ป่ะ?”
“ก็... นิดหน่อยว่ะ เคยขายงานกับเค้าตั้งแต่สมัยยังไม่ขึ้นเป็นผอ.เลยมั้ง ทำไม?”
“เปล่า.. ก็ผมเห็นพี่พูดชื่อเค้าขึ้นมาบนรถไง เลยนึกขึ้นได้ว่าคุณเคนเนี่ยเค้าโคตรดีเลยนะ เวลาพี่เสนอไอเดียอะไรให้ เค้าก็โอเคตลอด กล้าเสี่ยงกล้าลอง ผิดกับผอ.คนใหม่นี่แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย” พี่หน่อยฟังแล้วก็นิ่งไปครู่นึงก่อนจะตอบกลับมา
“จะไม่ให้โอได้ไง ก็เค้าเคยกิ๊กกับชั้นอยู่พักนึง” คำพูดของเธอเล่นเอาผมสำลักเบียร์พ่นออกมาดังพรื่ดดด

“ห๊ะ!? พี่กับคุณเคนอ่ะนะ?” ผมถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
“เออ แต่แค่ช่วงสั้นๆ นะ หลังๆ ก็ห่างๆ กันไปละ” พี่หน่อยตอบเรียบๆ โดยไม่ได้แสดงอาการอะไร
“โห... พี่แม่งเปรี้ยวว่ะ กินลูกค้าตัวเองเฉยเลย ไม่เบาๆ”
“ทำไมยะ ก็ชั้นก็โสด พี่เค้าก็โสด ก็เลยลองคุยๆ คบๆ กันดู ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย ไม่เหมือนแกซักหน่อย จะลูกค้าหรือลูกเมียใครก็เอาดะไปทั่ว สำส่อน...” เธอแอบเหน็บผมเบาๆ ตอนท้าย ซึ่งผมรู้สึกรู้สาที่ไหนล่ะครับ
“ยิ่งเด็กฝึกงานเนี่ย ของโปรดเลยครับ ฮี่ๆๆ” ผมพูดแล้วทำท่าเลียปากไปด้วย
“อีห่า! พอเลยนะแก ชั้นรู้นะว่าแกแอบเล็งน้องหนุนเค้าอยู่ เตือนก่อนนะ พ่อเค้าน่ะเป็นตำรวจนะยะ ระวังเถอะจะได้กินลูกปืนเข้าซักวัน ถ้าไปทำน้องเค้าเสียใจขึ้นมา”
“โหยยยยย พี่ ผมเนี่ยนะ จะทำน้องเค้าเสียใจ ไม่มีทางหรอกครับ มีแต่จะทำให้น้องเค้าดีใจที่ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดต่างหาก นี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดน่ะ ขอขึ้นขอขึ้นอีกทีนะคะพี่...”  ผมเลื้อยมาลงท้ายด้วยการร้องเพลงของพี่เจ เจตรินอย่างหน้าระรื่น พี่หน่อยฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวกับความกะล่อนของผมอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เราสองคนคุยเล่นเรื่อยเปื่อยแก้เซ็งกันไปเรื่อยๆ คุยไปคุยมาก็เริ่มวกเข้ามาที่เรื่องราวความรักของแต่ละคนในที่สุด

“พี่ ผมถามจริงๆ เหอะ พี่ก็อายุขนาดนี้แล้ว พี่ไม่เหงา ไม่คิดอยากมีแฟนกับเค้าบ้างเหรอ?” ผมเปิดประเด็น
“ใครแม่งจะไม่อยากมีวะ แต่แกก็เห็นว่าชั้นเองงานยุ่งขนาดนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปหาใครมาคุย” พี่หน่อยตอบเซ็งๆ
“เอ๊า ก็พวกลูกค้า ไม่ก็พวกนายเก่าพี่ พวกนั้นไง”
“โธ่แก.. รุ่นนี้เค้าก็มีลูกมีเมียกันหมดแล้วป่าววะ ขนาดอีพี่เคนนี่นะ พอห่างๆจากชั้นไปแป๊บเดียว แม่งโดนแฟนใหม่จับแต่งงานเสร็จสรรพ ตอนนี้ลูกหนึ่งแล้วเนี่ย คิดดู... แล้วอีกอย่าง ถ้าหาผู้ชายที่ดีๆ ไปเลยไม่ได้เนี่ย ชั้นยอมอยู่คนเดียวยังจะสบายใจซะกว่า” เธอพูดแล้วหยิบเบียร์ขึ้นมากระดกดับอารมณ์
“ทุกวันนี้ก็เลยต้องโลกสวยด้วยมือเราใช่มั้ยพี่?” ผมถามหน้าทะเล้น
“อีห่า เดี๋ยวจะโดน!” แกด่าเสร็จแล้วก็หัวเราะเบาๆ

“ถ้าพี่เหงามากๆ ให้ผมไปช่วยคลายเหงาบ้างก็ได้นะพี่ ผมยินดีเพื่อพี่เสมอ” ผมแกล้งพูดแซวแกเล่นๆ
“ขอบใจ แต่ไม่เอาดีกว่า... เด็กน้อยแบบแกเนี่ย กระดูกมันอ่อน คงไม่ถูกปากชั้นว่ะ” แกตอบกลับมาทำสีหน้าท้าทาย
“อ้าวๆๆ ยังไม่เคยได้ลองชิมเลย แล้วจะรู้ได้ไงคร้าบ ไม่แน่นะ กระดูกกรุบๆ แบบนี้ เคี้ยวไปเคี้ยวมาพี่อาจจะจุกตัวเกร็งเลยก็ได้ใครจะไปรู้ อิอิอิ”
“วุ้ย! นี่ขนาดชั้นแก่กว่าแกตั้งรอบนึง ยังจะกล้าหลีลงอีกเหรอยะ? อีกนิดนึงนี่จะเป็นแม่ลูกกันได้แล้วนะเนี่ย”
“แหม พี่หน่อยก็ยังไม่เห็นจะแก่เลยนี่ครับ หน้าตารึก็สะสวย รูปร่างก็ยังฟิตเปรี๊ยะ  เผลอๆ จะดูดีกว่าสาวๆ บางคนซะอีก” ผมพูดชมแกจากใจจริง เพราะแม้ว่าพี่หน่อยเองจะอายุ 40 กว่าแล้ว แต่ด้วยความที่เธอคอยดูแลรูปร่างตัวเองมาตลอด ทั้งเล่นโยคะ เข้าฟิตเนส ทำให้หุ่นเธอยังกระชับเต่งตึง สวนทางกับวัยของเธอที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
“พอๆๆ เปลี่ยนเรื่อง ยอซะจนกินเบียร์ไม่อร่อยเลย” แกพูดตัดบทแล้วรินเบียร์ใส่แก้วตัวเองเพิ่ม

เรานั่งดื่มกันไปจนเกือบถึง 5 ทุ่ม ลูกค้าในร้านก็เริ่มที่จะเบาบางลงไปบ้างแล้ว พี่หน่อยเองก็ดูจะตึงๆ ออกอาการเมาๆ ป้อแป้ให้เห็นพอสมควร ส่วนผมเองน่ะยังพอไหว แม้จะมีอาการมึนๆ บ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเมาหนักจนขับรถกลับไม่ไหว พอยิ่งเมา พี่หน่อยก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมชักจะเริ่มเกรงใจคู่หนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศที่มานั่งทานข้าวกันโต๊ะข้างๆ เลยเอ่ยปากชวนเธอเช็คบิลเพื่อจะได้ขับไปส่งเธอที่คอนโด แล้วตัวเองก็จะได้กลับไปนอนเสียที

“อะไรยะ... นี่มันพึ่งจะหัวค่ำเอง แกจะรีบกลับไปไหน อยู่กินเป็นเพื่อนชั้นก่อนดิ้” เสียงพี่หน่อยพูดอ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่อง ตาเธอแทบจะปิดอยู่รอมร่ออยู่แล้ว แต่มือขวายังคงกำแก้วเบียร์แน่นไม่ยอมปล่อยให้ห่างมือ
“หัวค่ำอะไรของพี่เล่า นี่มันจะห้าทุ่มอยู่แล้ว เมาแอ๋ขนาดนี้ กลับไปนอนที่ห้องเห๊อะ สงสาร... น้องครับเช็คบิลด้วยครับ” ผมโบกมือเรียกน้องพนักงานผู้หญิงที่ยืนพยักหน้าหยอยๆ อยู่ไม่ไกล
“โจ้... เฮ้ย แก... ไม่ต้องออกนะ เดี๋ยวพี่จ่ายเอง.... เอ้า กระเป๋าพี่อยู่ไหน” พี่หน่อยหันซ้ายหันขวาหากระเป๋าถือตัวเองที่วางอยู่ข้างเก้าอี้ไม่เจอ
“ปั๊ดโธ่ ก็พี่วางไว้ข้างเก้าอี้นี่ไงครับ ตาบอดป่ะเนี่ย เอ้า เอากระเป๋าตังค์มานี่มา อยากเลี้ยงก็เลี้ยง ตามใจ ผมไม่ขัดหรอกนะ” ผมควานล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์เธอออกมา รับบิลจากน้องพนักงานแล้วก็ยื่นแบงค์พันสองใบไปให้ พอได้รับเงินทอนแล้วก็ใส่คืนไปในกระเป๋าสตางค์ของพี่หน่อย พยุงหิ้วปีกเธอเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดไว้ลึกเข้าไปในซอย

สภาพของผู้บริหารเอเจนซี่โฆษณาคนเก่งตอนนี้ เมามายแทบไม่ได้สติ หน้าแดงก่ำตาปรืออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับข้อศอก ด้านล่างเป็นกางเกงสแล็คสีเทาเข้ารูป รองเท้าส้นสูงแบรนด์เนมที่ใส่มาวันนี้ดันย้อนกลับมาเป็นอุปสรรค ทำให้เธอเดินเหินลำบากในตอนเมา พี่หน่อยเดินสะดุดซ้ายทีขวาที แทบจะลากให้ผมล้มหัวทิ่มลงไปกับเธอด้วย พอเดินไปได้ซักพักผมก็หมดความอดทน เอื้อมมือไปดึงตัวเธอขึ้นมาอุ้มพาดบ่า เสร็จแล้วก็เร่งเดินรวดเดียวจนมาถึงที่รถ ผมควานหากุญแจในกระเป๋าเธอแล้วไขเปิดประตูเข้าไป อุ้มเธอไปนอนพาดที่เบาะหลัง สตาร์ทเครื่องแล้วขับกลับคอนโดเธอทันที

“ขอบใจนะแก” เสียงพี่หน่อยครางเบาๆ ลอยมาจากเบาะหลัง ผมเหลือบมองกระจกเห็นแกนอนฟุบหน้าคว่ำอยู่บนเบาะแล้วก็อดขำไม่ได้
“ครับพี่ หลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วผมค่อยปลุก”
“ฮืมมมมมมมม” เธอพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเป็นคำตอบ

ผมขับมาถึงคอนโดเธอแล้วก็เอารถเข้าไปจอดไว้ที่ลานจอดชั้น 2 พยุงพาเธอเดินขึ้นลิฟท์ไปอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ ผมกดปุ่มที่หมายที่ชั้น 7 แล้วขยับเข้าไปยืนพิงผนังด้านใน คอยประคองตัวพี่หน่อยที่กำลังฟุบหน้าซบอยู่กับอกผมอย่างคนไม่มีแรง พอลิฟท์เปิดถึงชั้น 7 ผมก็พาตัวเราทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเธอ ควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าถืออยู่ครู่หนึ่ง พอเจอแล้วก็ใช้มันเปิดประตู อุ้มเธอไปวางทิ้งไว้ที่เตียงนอนนุ่มๆ ของตัวเอง พี่หน่อยตอนนี้หลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว ตรงบริเวณมุมปากมีคราบน้ำลายแห้งๆ ยืดติดเป็นทางยาว

“ถึงห้องแล้วนะพี่ ผมกลับก่อนนะ” ผมร้องบอกเธอ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา พี่หน่อยยังคงเอาแต่นอนดิ้นพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงเหมือนไม่สบายตัว สูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะยาวๆ ผมเห็นว่าเธอคงจะหลับไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยเดินไปเข้าห้องน้ำ กะว่าจะขอฉี่ซักรอบ แล้วจะได้กลับห้องไปนอนซักที ระหว่างที่ผมกำลังยืนฉี่อยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเข้ากับตะกร้าหวายทรงสูงใบนึงที่ตั้งอยู่มุมห้องน้ำ ตรงบริเวณข้างๆ อ่างล่างหน้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดฝาครอบออกมาดู จึงได้รู้ว่ามันคือตะกร้าใส่เสื้อผ้าที่ใส่แล้วของพี่หน่อยนั่นเอง.... พอเจอแบบนี้ ไอ้ผมก็เลยสร่างเมาขึ้นมาทันทีล่ะครับ

เสื้อผ้าด้านในถูกวางพับซ้อนๆ กันไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนสุดเป็นชุดเดรสผ้าลื่นสีครีมอ่อนๆ สำหรับใส่นอน ผมหยิบขึ้นมาสำรวจ จดๆ จ้องๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดดมความหอมของมันเข้าไปจนชุ่มปอด มันมีกลิ่นตัวของพี่หน่อยติดอยู่ที่ชุดจนผมสัมผัสได้แม้จะค่อนข้างบางเบา มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมแบบเดียวกับที่เธอใช้ใส่อยู่เป็นประจำ แต่เป็นกลิ่นหอมๆ แปลกๆ อธิบายไม่ถูก จะเรียกว่าเป็นกลิ่นกายเฉพาะของตัวเธอก็คงจะได้ ถัดมาด้านล่างเป็นชุดทำงานอีก 2-3 ชุด ทั้งชุดเดรสแขนกุดสีเขียวมรกต กระโปรงทำงานทรงเอสีดำ และเสื้อสูทภูมิฐานที่เธอใส่เมื่อวันก่อน

ผมคุ้ยลึกลงไปอีกจนเจอเข้ากับชุดชั้นในใส่แล้วที่ถูกพับม้วนอยู่รวมกัน ยกทรงลายลูกไม้สุดเซ็กซี่สีดำสลับแดง บริเวณช่วงที่เป็นลูกไม้เป็นผ้าซีทรูมองทะลุเข้าไปเห็นถึงพื้นที่โล่งด้านใน ดูเอ็กซ์สุดๆ ส่วนกางเกงในลูกไม้แบบเข้าชุดก็ดูเซ็กซี่ไม่แพ้กัน เนื้อผ้าบริเวณเป้าแทบจะเป็นซีทรูทั้งหมด นึกภาพออกเลยว่าเวลาใส่แล้วคงมองเห็นทะลุไปถึงแคมหีของเธอได้อย่างชัดเจนแน่ๆ ผมรีบกางคลี่ผ้ากางเกงในลูกไม้ออกจนสุด หยิบขึ้นมาสูดดมความหอมของมันฟืดดดด... ฟื่ดดดดดด.... บริเวณเป้าด้านในมีคราบแข็งๆ ใสๆ เกาะติดอยู่เป็นดวงๆ ผมลองก้มลงไปดมเน้นๆ กลิ่นมันคาวๆ แปลกๆ ผสมผสานปนเปกับกลิ่นอับชื้นของกองผ้าที่ถูกทับรวมไว้ พอลองใช้ลิ้นเลียชิมรสดูก็ออกเค็มๆ ปะแล่มๆ รสชาติและกลิ่นคาวจากคราบหีของพี่หน่อย กระตุ้นอารมณ์จนทำให้ท่อนควยของผมที่กำลังนอนสงบนิ่งอยู่ภายในกางเกง ดีดตัวปึ๋งปั๋งขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ผมสูดดมกลิ่นกายจากชุดชั้นในของเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำ มาหยุดอยู่ที่บริเวณปลายเตียงซึ่งมีร่างอวบอัดของพี่หน่อยนอนตะแคงกอดหมอนข้างอยู่ด้านบน ผมยืนจดๆ จ้องๆ เธอที่กำลังนอนหลับสบายอย่างครุ่นคิด ในหัวกำลังนึกสับสนกับอารมณ์ความรู้สึกที่ตีกันไม่หยุด ใจนึงก็คิดอยากจะถลกรูดเปลื้องผ้าพี่หน่อยออกให้หมดจนเนื้อตัวเปลือยเปล่า แล้วจับเธอกระเด้าเย็ดทั้งๆ ที่กำลังหลับอยู่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่อีกใจนึงก็อดหวั่นๆ ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเธอเองก็ค่อนข้างที่จะไว้ใจผมพอสมควร ว่าจะไม่มีทางล่วงเกินและฉวยโอกาสกับเธอเด็ดขาด ซึ่งความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ดำเนินมาในรูปแบบนี้อย่างราบรื่นมาเป็นปีๆ ถ้าเกิดผมทำอะไรบุ่มบ่าม แล้วเกิดเธอไม่พอใจ หรือโกรธเคืองผมขึ้นมา หรือที่แย่กว่านั้นคือเธอต้องการที่จะคบกับผมอย่างจริงๆ จังๆ เนี่ย ถึงตอนนั้นผมเองนั่นแหละที่จะตกที่นั่งลำบากแน่ๆ ถ้าไม่โดนไล่ออกจนต้องซมซานไปหาที่ทำงานใหม่ ก็อาจจะได้เมียแก่แสนดุแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแหงๆ

ก็แน่นอนล่ะครับ ความเงี่ยนไม่เคยปราณีใคร และศีลธรรมในใจของผมก็ถูกมันบดขยี้จนมลายสิ้นหายไปในห้วงเวลาไม่ถึงนาที ผมค่อยๆ ขยับลงไปนั่งข้างๆ ตัวพี่หน่อยที่กำลังนอนตะแคงอยู่ ยื่นมือออกไปประคองจับไหล่เธอ แล้วพลิกตัวให้กลับมาอยู่ในท่านอนหงายอีกครั้ง พี่หน่อยยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ ทรวงอกของเธอสั่นกระเพื่อมไปมาตามจังหวะการหายใจ ผมไม่รอช้า รีบยื่นมือเข้าไปวางแหมะลงบนเต้านมอวบอัดทันที ใช้ฝ่ามือค่อยๆ บีบคลึงเนินเนื้อไขมันไล่ไปมาตามความโค้งเว้า ยกประคองทรวงอกของเธอขึ้นมาแล้วซุกหน้าลงไปดอมดมอย่างชื่นใจ กลิ่นน้ำหอมจากตัวเธอลอยฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก

ท่อนลำกลางตัวผมตอนนี้แข็งดิ้นไปมาอยู่ภายใต้กางเกงจนรู้สึกปวดควยไปหมด เลยใช้สองมือปลดเข็มขัดออก ค่อยๆ รูดกางเกงสแล็คพร้อมๆ กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเองลงไปทางหน้าขา ก่อนจะรูดมันไปกองทิ้งเอาไว้ข้างเตียง เปิดทางให้ดุ้นควยยาวใหญ่ที่พึ่งได้เป็นอิสระ ผงกหัวกระตุกหงึกๆ ไปมาด้วยความเงี่ยนง่าน... ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดเสื้อเชิ้ตของเธอออกจนหมด จับเสื้อเธอถ่างอ้าออกจนมองเห็นถึงยกทรงลายลูกไม้สีน้ำตาลอ่อน ที่ปกปิดสองเต้าอวบอิ่มด้านในไว้อย่างชัดเจน นมพี่หน่อยมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควรเมื่อเทียบจากรูปร่างของเธอที่ค่อนข้างจะออกไปทางสูงเพรียวบาง เธอสวมยกทรงแบบตะขอหน้าตามสไตล์สาวมั่น ซึ่งช่วยให้งานของผมง่ายดายขึ้นไปอีก ใช้มือขวาข้างเดียวปลดขยุกยุกยิกอยู่เพียงครู่หนึ่งก็สามารถถอดมันออกได้อย่างง่ายดาย หัวนมสีน้ำตาลจึงปรากฏออกมาชูชันอยู่ตรงหน้าผม หน้าอกพี่หน่อยดูจะหย่อนคล้อยลงไปบ้างตามวัยที่ล่วงเลย ด้วยความที่มันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ พออายุมากๆ เข้ามันจึงไม่อาจต้านทานต่อแรงโน้มถ่วงของโลกได้เหมือนวัยสาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูสวยงามน่าหลงใหล ไม่แพ้หน้าอกเต่งตึงของสาวๆ รุ่นๆ ที่ผมเคยผ่านมา

พอเห็นด้านบนแล้วผมก็ยิ่งเกิดอาการเสี้ยนซน อยากเห็นเนื้อตัวด้านล่างของเธอดูบ้าง จึงเลื่อนตัวลงมาปลดตะขอกางเกงสแล็คสีเทาของเธอออก ค่อยๆ จับมันรูดออกช้าๆ เผยให้เห็นหน้าขาขาวเนียนอวบอิ่ม ซึ่งตัดกับสีของกางเกงในผ้ายืดลายลูกไม้สีดำสนิท เส้นขนหยิกหยอยของเธอโผล่ทะลุออกมาจากเนื้อผ้ากางเกงในบางเบา เนินหีโหนกนูนจนดันเนื้อผ้าให้โค้งอูมตามจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างและเป็นร่อง พอได้มาเห็นสัดส่วนของเธอแบบเต็มๆ โดยไม่มีเสื้อผ้าปิดแล้ว ต้องบอกเชพบ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ จริงๆ นมเป็นนม ก้นเป็นก้น สะโพกผายโค้งเว้าได้รูป แม้ว่าผมจะแอบขัดใจเล็กน้อยที่กางเกงในกับยกทรงของเธอนั้นมันไม่เข้าคู่กัน... ไม่รู้สิครับ ผมว่าเวลาผู้หญิงใส่ชุดชั้นในแบบเข้าคู่กันเนี่ย มันดูเซ็กซี่น่าค้นหากว่ากันเยอะเลย แต่ช่างมันเถอะ เพราะเดี๋ยวผมก็จะรูดมันออกไปให้พ้นๆ จากร่างของเธออยู่ดีนั่นแหละ จังหวะที่ผมกำลังสอดนิ้วเข้าไปเพื่อเตรียมจะรูดกางเกงในเธอลงนั้นเอง พี่หน่อยก็เหมือนจะรู้สึกตัวและเปิดปากร้องห้ามผมขึ้นมาซะก่อน

“อืออออ..... โจ้... อย่า...าาาา.... พอแล้ว...” เสียงพี่หน่อยร้องครางขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังนอนหลับตาอยู่ เล่นเอาผมสะดุ้งหยุดกึกเพราะกลัวว่าเธอจะตื่นแล้วร้องโวยวายขึ้นมา ผมนั่งตัวแข็งจดๆ จ้องๆ ดูเชิงอยู่ครู่นึงก็เห็นว่าเธอยังคงไม่ยอมลืมตาลุกขึ้นมาซักที ได้แต่นอนส่ายไปมาอยู่บนเตียงในสภาพเกือบเปลือยเปล่า มีเพียงกางเกงในตัวจิ๋วที่ปกปิดอวัยวะเบื้องล่างอยู่เพียงชิ้นเดียว เอาไงดีวะ...? จะลุยต่อก็กล้าๆ กลัวๆ แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกเงี่ยนจนไม่อยากที่จะถอยกลับแล้ว ในหัวผมตอนนี้เริ่มกลับมาสับสนอีกครั้ง...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น