หลังจากเรียนจบ ผมก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอพี่บีอีกเลย เต็มที่ก็มีแค่การคุยเล่นตามเฟสบุ๊ค หรือแชทกันในไลน์เท่านั้น ซึ่งไปๆ มาๆ มันก็พอจะช่วยให้เราสองคนสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าตอนที่คุยกันสมัยเรียนซะอีก ยิ่งไอ้ผมน่ะมันเป็นขาแชทอยู่แล้ว เลยรู้จังหวะยิงมุกดักหยอด หาช่องออดอ้อนเธอได้ไม่ยาก แม้ว่าจะยังไม่มีโอกาสนัดเจอตัวเป็นๆ กันเลยก็ตาม อาจเพราะตัวพี่บีเองเค้าก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย ไอ้เรื่องจะให้ไปไหนมาไหนกับหนุ่มอื่นก็ดูจะยังไงๆ อยู่ ไอ้ผมก็เลยได้แต่คุยหมาหยอกไก่กับเธอไปวันๆ จนกระทั่งเหมือนฟ้าชังสวรรค์แกล้ง จู่ๆ วันหนึ่ง พี่บีก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากนัดหมาย เปิดโอกาสให้เราสองคนได้เจอหน้ากันอีกครั้งด้วยตัวเอง ซึ่งผมคงจะดีใจมากกว่านี้เยอะ ถ้าหากว่ามันจะเป็นการนัดเที่ยวกันแบบสองต่อสอง ไม่ใช่การส่งบัตรเชิญไปร่วมงานแต่งของเธอกับพี่กร แฟนหนุ่มนักธุรกิจรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนเรียนปริญญาโทแบบนี้
“อย่าลืมมาให้ได้นะโจ้ ถ้าไม่มาพี่โกรธจริงๆ ด้วย” พี่บีส่งข้อความในไลน์ตามมาย้ำ ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านข้อความรายละเอียดในการ์ดเชิญของเธออยู่
“ครับพี่ ยินดีด้วยครับ” ผมพิมพ์ตอบเธอไปเรียบๆ ในหัวนั้นไม่ได้นึกยินดีไปกับเธอด้วยเลย แม้ว่าทุกวันนี้ผมเองจะมีงานมีการที่ถือว่ามั่นคงระดับนึงแล้ว บวกกับหน้าตาและคารมที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ก็เลยทำให้มีสาวๆ มาติดพันอยู่พอสมควร ไม่สิ... ต้องบอกว่าแทบจะสลับหน้ากันวันเว้นวันเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ภาพของพี่บีในใจผมก็ยังคงไม่เคยเลือนหายไปไหน มันเหมือนเป็นภารกิจที่ค้างคา ไม่สามารถปิดงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อตอนที่ผมยังเรียนอยู่ จนกระทั่งล่วงเลยผ่านมาเป็นปีๆ ก็ยังค้างคาใจอยู่ข้างในลึกๆ แม้จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงมองเห็นผมเป็นเพียงรุ่นน้องคนนึงอยู่ดี เฮ้อ....
บรรยากาศงานฉลองตอนเย็นถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่ห้องบอลล์รูมในโรงแรมสุโขทัย คะเนด้วยสายตาแล้วแขกในงานน่าจะเกือบๆ 100 โต๊ะได้ ก็สมฐานะกันดี คนนึงก็เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทแบรนด์อาหารแช่แข็งส่งออกชื่อดัง ส่วนอีกคนก็เป็นเลขา MD ของบริษัทในเครือธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ ผมโบกมือทักทายพี่ม่อนที่พึ่งมาถึงหน้าโรงแรมเหมือนกัน พวกเราแต่งตัวแทบจะเป็นฝาแฝดกันเลยก็ว่าได้ โดยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสวมทับด้วยเสื้อสูททรงเรียบๆ สีใกล้เคียงกัน พอเดินขึ้นไปถึงหน้างานก็เจอเจ้าสาวคนสวยกำลังยืนรับแขกอยู่ข้างๆ เจ้าบ่าว มีแขกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนมาขอถ่ายรูปตรงบริเวณแบ็คดร็อปเป็นระยะๆ
“อ้าว พี่ม่อน! โจ้! มาเร็ว มาถ่ายรูปกัน” เธอร้องเรียก โบกมือหยอยๆ ให้พวกผมไปถ่ายรูปร่วมกัน ผมก็เดินตามพี่ม่อนไปอย่างว่าง่าย เดินไปยืนประกบอยู่ข้างพี่กร ฝืนฉีกยิ้มออกไปให้กว้างที่สุด เจ้าบ่าวรุ่นพี่ยื่นมือมาโอบไหล่ผมอย่างเป็นกันเองเพื่อโพสต์ท่าถ่ายรูปหมู่ พี่กรคงไม่เคยนึกเอะใจแน่ๆ ว่าไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวแกตอนนี้น่ะ เคยแอบปู้ยี่ปู้ยำเจ้าสาวของแกในจินตนาการมานักต่อนักแล้ว
“ขอบคุณที่มากันนะ เข้าไปนั่งที่โต๊ะเลย พวกพี่เอเค้ามากันพักนึงแล้ว เดี๋ยวให้เป้พาไปละกันนะ เป้! เป้จ๋า! พาพี่ม่อนไปโต๊ะที” พี่เป้เดินอาดๆ มาในชุดเดรสสั้นสีครีมตามแบบฉบับเพื่อนเจ้าสาว ดูน่ารักไม่แพ้กัน
“พี่ม่อนหวัดดีค่ะ อ้าว... ไงแก มากับเค้าด้วยเหรอ” พี่เป้ทักทายพี่ม่อนแล้วก็หันมาแซวผม เพราะรู้ดีว่าผมน่ะเคยชอบพี่บีตอนสมัยเรียน
“พอๆ พี่บอยอยู่ไหนเนี่ย เดี๋ยวเดินไปเองก็ได้”
“มาๆ แหม ทำงอน เดี๋ยวพาไป มานี่!” พี่เป้ขำแล้วก็เดินนำหน้าผมกับพี่ม่อนไป ระหว่างที่เดินตามผมก็แอบมองสำรวจบั้นท้ายพี่แกที่บิดส่ายไปมาอยู่ใต้ชุดกระโปรง อื้อหือ ก้นแกนี่โคตรเด้งอ่ะครับ เวลาก้าวขาซ้ายนะ แก้มก้นขวามันจะโยกขึ้นนิดๆ พอก้าวขาขวา แก้มก้นซ้ายก็จะเด้งสลับกันไปมาน่าดูชมสุดๆ อ้าว เฮ้ย! ผมจะเล่าเรื่องพี่บีนี่หว่า ทำไมมัวแต่ไปชมตูดพี่เป้ล่ะเนี่ย พี่เป้พาเรามายังโต๊ะไม่ไกลจากเวทีที่พวกพี่เอนั่งกันอยู่ สมาชิกในโต๊ะก็หน้าเดิมๆ มีพี่บอย พี่หงส์ พี่เงาะ แล้วก็พี่โบ้ท เพื่อนพี่เออีกคน ผมทักทายพี่ๆ ในโต๊ะแล้วก็นั่งลงข้างๆ พี่บอย
งานแต่งดำเนินไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้น ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ ผมแอบเห็นพี่เอเองก็มีอาการตาแดงนิดๆ พี่แกคงอดดีใจไปกับน้องสาวตัวเองไม่ได้ที่เป็นฝั่งเป็นฝากับเค้าเสียที แขกในงานต่างร่วมยินดีให้กับคู่บ่าวสาวใหม่ด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ จะมีก็แต่ผมนี่แหละ ที่แอบน้ำตาตกในอยู่ลึกๆ แค่คนเดียว พอหลังเสร็จงานผมก็เลยชิงบอกลาพวกพี่ๆ ไหว้ลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วชิ่งกลับคอนโดทันที แม้ว่าพี่เอจะชวนนั่งก๊งกันต่อก็ตาม
หลังจากแต่งงานไปแล้ว พี่บีก็เหมือนจะเริ่มคุยเล่นกับผมน้อยลงเรื่อยๆ กลายเป็นการถามคำตอบคำ จนผมน่ะแอบคิดไปเองแล้วว่าตัวเองคงหมดโอกาส ไม่ได้ข้องแวะกับพี่บีคนสวยอีกแล้วแน่ๆ หลังจากที่เธอมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน แต่ที่ไหนได้... กลายเป็นว่าสามีของเธอนั่นแหละครับ ที่มีส่วนถวายพานภรรยาคนสวยให้ตกมาถึงท้องของผมซะอย่างนั้น... วันดีคืนดี จู่ๆ พี่บีก็เป็นฝ่ายทักไลน์ชวนผมคุยขึ้นมาซะอย่างนั้นในช่วงหลังๆ จนผมแปลกใจพอสมควร
“โจ้ เป็นไงมั่ง” เธอทักมาสั้นๆ
“สบายดีครับ พี่ล่ะเป็นไงมั่ง”
“อืม ก็ดีนะ เรื่อยๆ”
“อ่อครับ เห็นเงียบๆ ไปนะช่วงนี้”
“ก็เราแหละ ไม่ค่อยทักมาเองไม่ใช่เหรอ” เธอตอบแล้วก็ส่งสติกเกอร์หน้าบึ้งมา
“อ้าว 555 ผมก็นึกว่าพี่ยุ่งๆ ไง เห็นทักไปก็ไม่ค่อยจะตอบ ไม่ก็กลัวพี่กรหึง” ผมลองหยั่งเชิงถามหาสามีเธอก่อนเพื่อความปลอดภัย
“โอ๊ย หึงบ้าหึงบออะไร วันๆ ทำแต่งานแบบนั้น” พี่บีบ่นเซ็งๆ อ้าว! แบบนี้ก็เข้าทางผมสิครับ ผัวไม่ค่อยสนใจนี่เอง มิน่า ถึงต้องมาหาเพื่อนคุยแก้เหงาอยู่แบบนี้
“อ้าววววว ไอ้เราก็นึกว่าข้าวใหม่ปลามันจะซู่ซ่ากว่านี้ซะอีก 555” ผมส่งสติกเกอร์ทำหน้ายิ้มทะเล้นไปด้วย
“หึหึหึ คิดผิดแล้วย่ะ คู่พี่น่ะจืดสนิท ไม่ได้แซ่บเหมือนโจ้กับแฟนนะจ๊ะ”
“แฟนอะไรล่ะครับ โสดสนิทอยู่แบบเนี้ย”
“อ้าวเหรอ พี่ก็เห็นเรามีสาวๆ อยู่ด้วยตลอด นึกว่าคนนั้นเป็นแฟนเราซะอีก”
“คนนั้นอ่ะคนไหนครับ พอดีมีหลายคน” คำตอบของผมทำเอาพี่บีหัวเราะชอบใจ
“บ้า! 55555 จริงดิ ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย นี่จนป่านนี้ยังไม่เลิกเจ้าชู้อีกเหรอเรา”
“โหย เจ้าชู้อะไรกันครับ คนอื่นที่เข้ามาเค้าก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ผมน่ะรักเดียวใจเดียวมาตลอดเลยนะ เพียงแต่ผู้หญิงคนนั้นเค้าไม่ได้รักตอบ ก็เลยได้แต่แอบรักอยู่ข้างเดียวแบบนี้เนี่ย” ผมร่ายยาว พูดคำว่ารักออกไปอย่างสะดวกปาก ไอ้การบอกรักสาวๆ เนี่ย ผู้ชายอย่างเรามันไม่ค่อยจะถนัดกันนักหรอกครับ กว่าจะกล้าพูดออกไปแต่ละที ต้องง้างแล้วง้างอีก ทั้งๆ ที่มันถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้สาวๆ เค้าตกหลุมหลงสเน่ห์เราแบบโงหัวไม่ขึ้นแท้ๆ
“หูยยยย แล้วทำไมไม่จีบเค้าให้รู้แล้วรู้รอดไปล่ะจ๊ะ แบบนี้เค้าจะรู้เรื่องกับโจ้เหรอ?” ไม่รู้ว่าพี่บีน่ะไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าผมหมายถึงใครกันแน่
“มันคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะครับพี่ เพราะผู้หญิงคนนั้นเค้าแต่งงานไปกับคนอื่นแล้ว” ผมแกล้งตอบสื่อเป็นนัยๆ คราวนี้ล่ะครับ ถ้าไม่รู้ก็ต้องยอมรู้บ้างแล้วล่ะ พี่บีเงียบไปครู่นึงแล้วจึงพิมพ์กลับมา
“ถ้าเค้ามีครอบครัวแล้ว พี่ว่า โจ้ก็ลองมองหาคนอื่นดีกว่ามั้ง”
“มันคงยากอ่ะครับพี่ เรื่องความรู้สึกจะให้ไปบังคับมันก็ทำไม่ได้หรอก ถึงจะไม่มีโอกาสได้คบกับเค้าแล้ว แต่อย่างน้อยขอแค่ได้รู้ว่าเค้ารู้สึกยังไงบ้างก็ยังดี แค่นั้นก็พอแล้ว” ผมพิมพ์ตอบไปแบบโคตรพระเอกเจียมตัวสุดๆ นึกว่าตัวเองเป็นพระเอกซีรีส์เกาหลีเลยนะเนี่ย พี่บีนิ่งไปอีกพักใหญ่ๆ
“พี่ว่า เค้าก็คงรู้สึกดีกับโจ้บ้างแหละมั้ง” แล้วเธอก็ส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้าเขินกลับมา ผมอ่านแล้วลิงโลดเลย ไม่รู้ว่าเธอแค่ตอบรักษาน้ำใจเฉยๆ รึเปล่า
“จริงเหรอครัล พี่ชอบผมจิรงเหรอ” ผมพิมพ์ไปผิดๆ ถูกๆ ด้วยความเร่งรีบ
“เฮ้ย ไม่ได้หมายถึงพี่ซะหน่อย มั่วแล้วเรา” เธอแกล้งพิมพ์ตอบกลับมาแก้เขิน
“แต่ผู้หญิงคนที่ผมรักน่ะ ผมหมายถึงพี่บีจริงๆ นะครับ” พอได้จังหวะผมก็ปล่อยหมัดเด็ดออกไปทันที กะว่าดอกนี้ต้องเข้าเป้าแน่ๆ ซักพักเธอก็พิมพ์ตอบกลับมา
“บ้า เพ้อเจ้อนะเรา” ยังไม่ทันที่ผมจะพิมพ์อะไรตอบ เธอก็รีบชิงบอกขอตัวไปทำธุระเสียก่อน อ้าว! ซวยเลยตู นึกว่าจะเข้าเป้าแล้วนะเนี่ย กลายเป็นโดนสวนน็อคกลับมาซะงั้น
แต่พี่แกก็หายไปไม่นานครับ พอหลังจากนั้นผมทักไปแกก็ยังคงตอบกลับมาตลอด ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมเองก็พอจะรู้จังหวะดี ก็เลยไม่ได้ย้ำอะไรถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ชวนแกคุยเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ คอยเป็นที่ปรึกษาเวลาแกบ่นระบายเรื่องงานกับเรื่องครอบครัว ซึ่งดูจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก ผิดไปจากที่เคยคาดหวังเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไปๆ มาๆ เราก็เลยเริ่มติด ต้องคุยแชทกันทุกวันไม่เคยขาด แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องสาวๆ คนอื่นๆ ก็ยังไม่มีขาดตกบกพร่องนะครับ ผมยังคงแบ่งสรรเวลาไปคั่วคนนู้นทีคนนี้ที โดยที่เฝ้าบ่มความสัมพันธ์ผ่านการแชทกับพี่บีไปด้วยพร้อมๆ กัน และแล้วหลังจากที่คุยกันมาพักใหญ่ๆ พี่บีก็เป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้ผมได้รุกเธอหนักขึ้นเสียที
“โจ้ พี่ถามไรหน่อยดิ” พี่บีเกริ่นนำมา เว้นจังหวะหยุดรอคำตอบจากผม
“ครับพี่”
“มันทะลึ่งนิดนึงนะ” เธอยังอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมเข้าประเด็นซักที
“ครับ ได้ครับ”
“ปกติ อาทิตย์นึงโจ้มีอะไรกับแฟนบ่อยมั้ย?” โห! พี่บีแกถามทะลึ่งจริงด้วยครับ เล่นเอาผมตั้งตัวไม่ทันเลย ในเมื่อยังไม่แน่ใจว่าแกถามมาแนวไหน เลยแกล้งยิงมุกกลับไปก่อน
“ผมไม่มีแฟนครับพี่ ถ้าเป็นทำกับคนอื่นนี่นับมั้ย”
“ไอ้บ้า 55555+ เออ คนอื่นก็ได้”
“น่าจะประมาณ 2 วันครั้ง” ผมตอบไปพอให้ไม่น่าเกลียด ทั้งที่ช่วงนี้แทบจะร่อนล่าเหยื่อแบบไม่เว้นแต่ละวันเลย
“โห แล้วงี้เวลามีไรกัน ครั้งนึงถึงชั่วโมงป่ะ”
“รวมเล้าโลมมั้ยล่ะ”
“อืม รวมมั้ง รวมก็ได้”
“ก็น่าจะถึงนะ”
“แล้วถ้าไม่รวมล่ะ”
“โห ไม่ไหวอ่ะครับพี่ ถ้าให้ทำอย่างเดียวเป็นชั่วโมงนี่ตายห่านกันพอดี หนังโป๊มันยังไม่อึดขนาดนั้นเลย”
“อ้าวเหรอ แต่พี่ก็เห็นหนังโป๊แต่ละเรื่องมันถ่ายกันเป็นชั่วโมงๆ สองชั่วโมงก็มีนะ”
“แหม อันนั้นเค้ามีพัก มีตัดต่อครับพี่ มันเลยนาน”
“อ๋อออออออ แฮะๆ” แล้วเธอก็ส่งสติกเกอร์ทำหน้ายิ้มๆ แบ๊วๆ มา
“ว่าแต่พี่ถามทำไมครับเนี่ย อย่าบอกนะว่าแฟนพี่ทำทีเป็นชั่วโมงเยยย” ผมแกล้งกระเซ้าถามถึงเรื่องบนเตียงของเธอ
“โอ๊ย ไม่มีทางงงง”
“อ้าว งั้นก็แสดงว่าตรงกันข้าม” ผมพิมพ์แซวต่อ เล่นเอาพี่แกเงียบไปพักนึงเลย อ้าว สงสัยแบบนี้จะแทงใจดำ
“ผมล้อเล่นนะพี่ อย่าโกรธนะ”
“เปล่าๆ พี่ไม่ได้โกรธนะ โจ้ก็พูดถูกนั่นแหละ” เธอพิมพ์ตอบมาแล้วก็เงียบไปอีก
“ปกติพี่เค้าทำไม่นานเหรอ” ผมไม่ปล่อยโอกาส ยิ่งถามจี้หนักขึ้น
“อืม มั้ง”
“ผมถามหน่อยได้มั้ยพี่ อย่าโกรธนะ”
“ว่า”
“ปกติพี่เสร็จมั้ย”
“ก็ส่วนใหญ่นะ” คำตอบของเธอทำให้ผมรู้เลยว่ากำลังมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอยู่ตอนนี้ 3 เดือนเต็มๆ ที่แต่งงานไป พี่บีคงอึดอัดใจน่าดูกับสถานการณ์บนเตียงที่เป็นอยู่ ผมพอเดาได้ว่าเธอคงเคยมีประสบการณ์กับแฟนเก่าสมัยเรียนมาบ้าง เลยสามารถเปรียบเทียบลีลาของสามีคนปัจจุบันได้ไม่ยาก ซึ่งนอกจากจะลีลาไม่ได้เรื่องแล้ว พี่กรยังเอาแต่บินไปคุยงานต่างประเทศ ไม่ค่อยได้มีเวลากลับมานอนกอดเมียที่บ้านอีกต่างหาก ทิ้งให้พี่บีต้องอยู่เฝ้าบ้านหลังโตแค่คนเดียว โคตรเซ็งเลยนะครับ ถ้าเกิดต้องใช้ชีวิตคู่กับคนที่จืดชืดแบบนี้เนี่ย เป็นผมคงอกแตกตายแน่ๆ
“แสดงว่าบางทีก็ไม่” ผมถามย้ำชัดๆ
“อือ” เธอตอบมาเรียบๆ พร้อมกับส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้าร้องไห้กลิ้งไปกลิ้งมา
“แล้วพี่ไม่คุยกับพี่เค้าตรงๆ ล่ะ”
“พี่ไม่กล้ากวน แค่เคลียร์งานกับประชุมแกก็เลิกดึกแล้ว เกรงใจน่ะ”
“แล้วแบบนี้พี่ไม่อึดอัดแย่เหรอ” ผมเริ่มตั้งคำถามชี้นำเพื่อตะล่อมเธอช้าๆ
“มันก็ยังได้อยู่นะ”
“ปกติอาทิตย์นึงมีบ่อยมั้ยฮะ”
“ก็ ครั้งนึงแหละ ประมาณนั้น ยกเว้นบางอาทิตย์ที่พี่กรเค้าบินไปคุยงานต่างประเทศ ก็จะเว้นๆ กันไปก่อนน่ะ”
“แล้วพี่เค้าไปบ่อยมั้ยครับ”
“ก็แล้วแต่นะ ช่วงนี้ก็ยุ่งหน่อย แกจะเปิดแบรนด์ใหม่ เลยไปซื้อเฟรนไชส์ติ่มซำที่ฮ่องกงอยู่ นี่ก็พึ่งบินไปเมื่อคืนเนี่ย” อ้าวววววว พูดแบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางสิคร้าบคุณพี่
“โห พี่เค้าบินบ่อยๆ แบบนี้ พี่ไม่เหงาแย่เหรอครับ อยู่คนเดียวบ่อยๆ”
“ก็ไม่หรอกจ้า พี่ก็มีไปช็อปปิ้งกับเพื่อนๆ แล้วก็แวะไปหาแม่บ้างบางที ก็ไม่เหงาหรอก”
“ผมหมายถึงแบบ ไปดูหนัง ไปดื่มเปลี่ยนบรรยากาศอะไรแบบนั้นอ่ะครับ” ผมรุกเร้าหนัก
“อ๋อ... อือ... อันนั้นก็เฉยๆ นะ ปกติพี่ก็ไม่ใช่คนชอบดื่มอะไรด้วย”
“อืม แล้วถ้าวันไหนพี่ว่างๆ ถ้าผมชวนพี่ไปเดินเล่นกันสองคน พี่จะรังเกียจมั้ยครับ” ผมยิงคำถามออกไปตรงๆ
“โจ้จะชวนพี่ไปไหนอ่ะ”
“ก็ ไปไหนก็ได้ครับ แล้วแต่พี่บีอ่ะ พี่มีหนังอะไรอยากดูมั้ยล่ะช่วงนี้”
“อืม ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่ได้ดูหนังในโรงมานานแล้วด้วย ไม่รู้ว่ามีหนังอะไรเข้าบ้าง”
“ดูไอ้นี่มั้ยครับพี่ Thor น่าดูอยู่นะ”
“อืม สนุกเหรอ”
“น่าจะนะครับพี่ หนังมันฟอร์มใหญ่ด้วย ตกลงเราดูเรื่องนี้นะครับ” ผมรีบมัดมือชกทันที
“เฮ้ย ใจเย็น พี่ยังไม่ได้ดูวันว่างเลย ขอดูตารางงานก่อนนะ ไว้เดี๋ยวค่อยบอกอีกที” เธอพยายามเตะถ่วง
“ไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าผมจองคิวพี่เย็นวันศุกร์นี้แล้วกันนะ ถ้าพี่ไม่ว่างก็ค่อยโทรมาบอกผมก็ได้ โอเคนะครับ” พี่บีที่โดนไม้นี้เข้าไปก็ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ต้องยอมเออออตามผมไปแบบงงๆ ผมรอให้เธอโทรมาบอกเลื่อนนัดอยู่ทั้งอาทิตย์ จนกระทั่งถึงเช้าวันศุกร์ก็ยังไม่มีวี่แวว เลยมั่นใจแล้วว่าพี่แกต้องยอมรับคำไปดูหนังกับผมแน่ๆ พอถึงช่วงเที่ยงผมเลยโทรไปแย็บๆ ดูท่าทีอีกรอบ
“ฮัลโหล พี่บีเหรอครับ ตกลงเย็นนี้เรานัดกันใช่มั้ยครับพี่?”
“คือ..โจ้ พี่ยังไม่แน่ใจนะ ไม่รู้จะประชุมเสร็จกี่โมง ไว้เดี๋ยวพี่ไลน์บอกอีกทีแล้วกันนะ” อ้าว ตายล่ะ หรือเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาวะเนี่ย ไม่น่าโทรไปเร่งเลยกู แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือตอบตกลงไปแบบชิลๆ นั่งทำงานฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนเกือบ 4 โมง เธอก็ส่งข้อความตอบมาในไลน์
“พี่เลิก 6 โมงนะ รอไหวป่าว” เรียบร้อย! เธอยอมรับคำนัดผมแล้วครับ
“ได้ครับพี่ เจอที่เมเจอร์นะ”
“จ้ะ พี่ประชุมก่อนนะ” ผมนั่งยิ้มกริ่มรอเวลาเลิกงานจนพี่จ๋องที่นั่งตรงข้ามเอ่ยแซวเพราะผิดสังเกต ก็เลยพูดยิ้มๆ ตอบแกไปว่ามีนัดสาวเหมือนเดิม
พอ 5 โมงครึ่งผมก็รีบเก็บกระเป๋า ขับรถไปรอพี่บีที่เมเจอร์รัชโยธินทันที เส้นลาดพร้าวรถติดนิดหน่อย แต่ใช้เวลาไม่นานก็ขับมาถึงห้าง ผมเดินไปดูรอบหนังแล้วไลน์เช็คกับพี่บี ตกลงกันได้ว่าจะดูรอบ 2 ทุ่มครึ่ง นั่งร้านขนมรอแก จนเกือบทุ่มนึงแกก็โทรมาบอกว่าถึงแล้ว เราเลยนัดเจอกันหน้าร้านยาโยอิเพื่อหาอะไรทาน พี่บีวันนี้สวมเสื้อแขนกุดผ้าบางพริ้ว สวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวสีเทาเข้ม ด้านล่างเป็นกระโปรงทรงเอแบบมีจีบสีดำยาวคลุมเข่า ดูลุคสวยเฉียบสมกับที่เป็นเลขาสาวจริงๆ เราทานอาหารเย็นกันเสร็จเกือบ 2 ทุ่ม 15 นั่งคุยกันไปคุยกันมาอย่างถูกคอจนเกือบลืมเวลาหนังฉายไปเลย ผมรู้สึกว่าคราวนี้พี่บีดูจะยอมเปิดอกคุยเล่นกับผมมากกว่าตอนสมัยเรียนค่อนข้างมาก ไม่รู้สิ ผมคิดว่าส่วนนึงเพราะชีวิตแต่งงานที่จืดชืด ประกอบกับการที่เธอต้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ เลยทำให้เธอคงแอบเหงานิดๆ พอมีเพื่อนชายที่เข้ามาชวนคุยคอยรับฟังเวลาระบายปัญหา ก็เลยทำให้เธอค่อนข้างวางใจและมองผมในสถานะที่ดีกว่าแต่ก่อน
ผมเลือกที่นั่งโซฟาแถวบนสุด ส่วนนึงคือเพื่อจะได้มองจอชัดๆ เต็มที่ รวมไปถึงจะได้หาโอกาสสวีทแนบชิดกับพี่บีได้สะดวก โดยไม่ต้องคอยกังวลจากสายตาของคนที่นั่งติดๆ กัน เราต่างคนต่างดูหนังกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา มีหัวเราะขำๆ พร้อมกันบ้างตามมุกในหนัง ผมเองดูหนังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อยากจะลุกหันไปกอดพี่บีให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่กลัวพี่แกจะด่าเอา เลยตัดสินใจหยั่งเชิงดูก่อน ด้วยการยื่นมือขวาออกไปวางใกล้ๆ กับมือแกที่วางอยู่บนขอบเก้าอี้
“พี่บีครับ ผมขอจับมือนะครับ” พูดเสร็จแล้วผมก็ไม่รอช้า ยื่นมือไปกุมมือพี่บีไว้ทันที มือเธอสั่นเพราะไม่ได้ตั้งตัว กำมือเกร็งไว้แน่น ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆ ยอมผ่อนแรง แบมือออกมาให้ผมกุมได้อย่างสะดวก รู้สึกได้ถึงแหวนที่นิ้วนางของเธอที่เสียดสีกับฝ่ามือผม พี่บีนั่งนิ่งมองจอ หนังไปเรื่อยๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ยังคงยื่นมือมาจับมือผมไว้อย่างนั้น ผมบีบมือเธอแน่น พยายามส่งผ่านความรู้สึกและความปราถนาผ่านฝ่ามือเธอ เหมือนเธอจะรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่าง บางจังหวะก็เหมือนจะออกแรงบีบมือผมตอบ ไม่รู้ว่าเธอแค่อึดอัดเฉยๆ รึเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงจับมือเธอไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย
จู่ๆ เธอก็ค่อยๆ เอียงหัวมาซบแนบกับไหล่ผม เล่นเอาผมตัวเกร็งเลย เพราะไม่คิดว่าเธอจะเป็นฝ่ายเดินหน้าต่อเองแบบนี้ เจอแบบนี้ก็ไม่รอช้าล่ะครับ ผมเองก็ขยับหัวไปอิงแอบแนบชิดกับเธอด้วย ปล่อยมือจากที่กุมมือกันไว้ ขยับแขนไปโอบไหล่เธอมาแนบตัวแน่นขึ้นไปอีก กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเธอลอยเตะจมูกผมจางๆ คล้ายกลิ่นดอกมะลิ โอ้โห คราวนี้ยิ่งดูหนังไม่รู้เรื่องเลยครับ ใจมันเต้นตึ่กๆๆ ในหัวคิดแต่อยากจะเย็ดเธอคาโรงหนังนี่แหละ ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ขอดมกลิ่นสาวจากตัวเธอให้ชุ่มปอดก่อนล่ะวะ พอหนังจบเราสองคนก็ลุกเดินออกจากโรงหนังเงียบๆ ไม่กล้าเดินจูงมือกัน เพราะกลัวว่าจะเจอคนรู้จักเอาได้ ผมเดินไปส่งเธอที่ลานจอดรถชั้น 2 เวลาตอนนี้เกือบ 5 ทุ่มแล้ว
“งั้น... ไว้เจอกันนะครับพี่” ผมแกล้งพูดน้ำเสียงเศร้าๆ เมื่อเราเดินมาถึงหน้ารถ BMW ของเธอ พยายามส่งสายตาบอกเธอเป็นนัยว่ายังไม่อยากจะจากเธอไปเลยซักนิด
“อืม... จ้ะ ไว้เจอกัน ขอบคุณที่มาเดินเป็นเพื่อนนะวันนี้....” น้ำเสียงของพี่บีเองก็ดูจะซึมไม่แพ้ผม เธอคงจะไม่ได้มีโมเมนท์สวีทหวานๆ แบบนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว โดยเฉพาะเมื่อสามีของเธอเอาแต่เร่งโหมงานขยายกิจการอยู่แบบนี้ แต่ยังหรอกครับ สถานการณ์ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่สุกงอมดี ผมยืนมองเธอขับรถออกไปช้าๆ จนเลี้ยวหายไปตามทางลาดโค้ง ก่อนจะถอนหายใจ....
เดทครั้งนั้นเหมือนจะทำให้เราสองคนยิ่งสนิทกันมากขึ้น เราเริ่มคุยเล่นทะลึ่งตึงตังกันได้มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่บีที่มาปรึกษาสถานการณ์บนเตียงของเธอให้ผมฟังนั่นแหละ ซึ่งผมก็มักจะให้คำแนะนำแบบหวังดีประสงค์ร้ายกลับไปทุกรอบ ด้วยการยกเอาลีลาของตัวเองขึ้นมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยชี้ทางแก้ไข และอีกนัยหนึ่งก็คือเพื่อกล่อมให้เธอเชื่อว่าเซ็กส์ของสามีเธอน่ะมันไม่ได้เรื่อง! ต่ำกว่ามาตรฐานของคนปกติเค้า ยิ่งนานวัน เมล็ดพันธุ์แห่งความหื่นที่ผมหย่อนไว้ในตัวเธอก็ค่อยๆ งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีๆ ผมกับเธอเริ่มแอบนัดเจอหน้า ทานข้าวเย็นกันบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่พี่กรต้องบินข้ามประเทศหลายวันติดต่อกัน
ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าพี่บีก็พอจะมีใจหวั่นไหวมาทางผมอยู่บ้าง เลยตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องรุกหนักได้แล้ว
“พี่บี... อยากไปนั่งดื่มอะไรที่ห้องผมก่อนมั้ยครับ... นี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย” ผมเอ่ยปากชวนเธอไปนั่งต่อที่คอนโด ภายหลังจากที่เราพึ่งทานข้าวเย็นกันเสร็จหมาดๆ แม้แต่เด็กม.ต้นก็คงรู้ล่ะครับ ว่าคำพูดของผมมันหมายความยังไง โดยเฉพาะผู้หญิงฉลาดๆ อย่างเธอ มีหรือจะตามผมไม่ทัน น่าแปลกที่เธอกลับไม่ได้พูดปฏิเสธออกมาตรงๆ
“อืมม.. มันจะดีเหรอโจ้...?” สายตาเธอเหลือบลงด้านล่าง เหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอย่างหนัก
“ดีสิครับ นานๆ จะได้เจอกันที ผมยังอยากนั่งคุยอะไรกับพี่อีกตั้งเยอะแน่ะ” ผมพูดแล้วก็ยื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ พี่บีไม่ได้ตอบอะไรออกมา ยิ่งก้มหน้างุดๆ มองพื้น แล้วพยักหน้าเบาๆ ในหัวผมน่ะตะโกนร้องไชโยเลยล่ะครับ แต่ต้องเก็กขรึมวางมาดไว้หน่อย รีบนัดแนะแล้วเดินไปขึ้นรถตัวเอง ขับนำหน้าให้เธอตามไปจนถึงคอนโด ระหว่างที่ขับนำไปนั้นก็แอบเสียวๆ อยู่เหมือนกันว่าจู่ๆ เธอจะเกิดเปลี่ยนใจ แล้วหมุนพวงมาลัยขับรถกลับบ้านไปซะก่อน แต่สุดท้ายเธอก็ยอมขับตามมาจนถึงคอนโดผมจนได้ ทีนี้ก็ได้เวลาปิดประตูตีแมวล่ะครับ หึหึหึ....
ผมพาพี่บีเดินเข้าห้องไปนั่งที่โซฟารับแขก จัดแจงหยิบสปายขวดสีเขียวซึ่งเคยซื้อแช่เก็บไว้สำหรับเวลารับแขกสาวๆ ส่งให้เธอไปขวดนึง ส่วนของตัวเองเป็นเบียร์ลีโอกระป๋องโปรด แล้วนั่งลงไปบนโซฟาเดียวกันกับเธอ แต่ไม่ได้ถึงขั้นตัวติดกันมากนักเพราะเดี๋ยวไก่จะตื่นเสียก่อน ผมค่อยๆ เอนตัวพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์ นั่งมองดูเธอยกขวดสปายขึ้นจิบเบาๆ จนเธอสังเกตเห็น
“อาราย มองอาราย?”
“แฮะๆ พี่บีเนี่ย เวลาดื่มชอบหลับตาปี๋ ทำหน้าทรมานทุกทีเลยนะครับ ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว”
“แหม... ก็พี่ดื่มไม่ค่อยเก่งนี่นา รสมันขมๆ แปลกๆ ปกติพี่ก็ไม่ได้ดื่มอะไรบ่อยหรอกนะ” เธอทำหน้าค้อนตอบ
“อ๋อ.. แล้วทำไมวันนี้ยอมมานั่งดื่มเป็นเพื่อนผมล่ะครับ?” ผมถามยิ้มๆ
“อ้าววว? ก็โจ้เป็นคนชวนพี่มาเองไม่ใช่เหรอ ไหนบอกอยากคุยด้วยไง” เธอยิ้มเขินๆ
“ผมชวนมานั่งคุยเล่นเฉยๆ นี่ครับ ไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องดื่มซะหน่อย อิอิ”
“แน๊ะ ก็ตัวเองเป็นคนยื่นส่งมาให้พี่เองแท้ๆ กวนนะเราเนี่ย” พี่บีพูดแล้วก็ยกสปายขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ดูเธอจะเริ่มสนุกไปกับผมด้วยแล้ว เราสองคนนั่งคุยเล่าความหลัง แบ่งปันสารทุกข์สุกดิบในชีวิตประจำวัน สลับกับการกระดกแอลกอฮอล์ไปเรื่อยๆ จากหนึ่ง-เป็นสอง จากสอง-เป็นสี่ พี่บีเองน่ะคออ่อนอยู่แล้ว โดนสปายไปคนเดียวแค่ 3-4 ขวด เธอก็หน้าแดงกึ่ม ออกอาการตึงๆ เคลิ้มๆ อย่างที่ผมต้องการ
“พี่บีเมาแล้วมั้งครับเนี่ย... แบบนี้ขับรถไม่ไหวแล้วม้าง?”
“อืมมม.... พี่มึนๆ นิดหน่อย เดี๋ยวพักแป๊บนึงก็คงไหวแหละ”
“อย่าฝืนเลยครับพี่ ขับรถตอนนี้อันตราย ผมเองยังมึนๆ เหมือนกันเลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ นอนพักที่นี่ก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ยังได้ครับพี่” ผมพูดตะล่อมเธอเพราะรู้ดีว่าตอนนี้ผัวเธอก็คงยังนั่งแดกติ่มซำอยู่ที่ฮ่องกงนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องรีบกลับบ้านซักนิด
“ไม่ดีหรอก พี่เกรงใจโจ้น่ะ” เธอตอบตามมารยาท ใจจริงแล้วคงกลัวว่าผมจะล่วงเกินเธอมากกว่า ซึ่งก็คิดถูกแล้วแหละครับ ฮี่ๆๆๆ ถึงเธอจะไม่ยอม แต่ผมก็ไม่ปล่อยให้หนีกลับบ้านไปง่ายๆ หรอก อ้อยเข้าปากช้างขนาดนี้แล้วนี่เนอะ!
ผมเอื้อมไปกุมมือเธอไว้เช่นเคย ใช้ปลายนิ้วถูไปมาบนฝ่ามือเธอเบาๆ จ้องหน้าสบตากับเธออย่างหวานซึ้ง ขยับตัวเข้าไปแนบชิดกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ประคองวางลงไปบนไหล่เธอ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงเมตร พี่บีที่เคยดูสูงห่างเกินเอื้อม ตอนนี้กำลังนั่งนิ่งให้ผมลูบไล้มือไปมาตามใจชอบ ความใกล้ชิดของเราทำให้ผมสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป ค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มเธออย่างแผ่วเบา ริมฝีปากประกบเข้ากับเนื้อสาวอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นกายหอมๆ จากตัวเธอเข้าฟอดใหญ่
“อืออออ..... โจ้ อย่าซี่........” เธอร้องห้ามเสียงยานคางเหมือนคนเมา แต่มือไม้สองข้างกลับนิ่งเฉยไม่ได้ออกอาการปัดป้องใดๆ ปล่อยให้ผมออกแรงบีบจับเนื้อตัวเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม
“พี่บี.... พี่บีตัวหอมจังเลยครับ” ผมดอมดมไปที่ซอกคออ่อนนุ่ม สูดลมหายใจฟืดดดด เข้าเต็มปอด แลบลิ้นตวัดเลียลำคอของเธอเพื่อเพิ่มความสยิว
“อุ๊ย!.... โจ้ อย่าาาา...... ไม่เอา”
“ผมรักพี่นะครับ รักพี่มาตลอดเลย พี่รักผมบ้างมั้ย?” ผมกดสูตรท่าไม้ตายใส่เธอทันที เล่นเอาพี่บีอึ้งเงียบไป พูดอะไรไม่ถูก พยายามส่ายหน้าหนีผมที่กำลังระดมทั้งจูบทั้งหอมไปทั่วใบหน้าเธอ
“ผมคิดถึงพี่ทุกวันเลย... คืนนี้พี่อยู่เป็นเพื่อนผมซักคืนนะครับ นะ... นะ” ผมยิ่งเร่งเร้าออดอ้อนเธอหนักขึ้น หนักขึ้น มือซ้ายก็ประคองกอดเอวไม่ให้เธอดิ้นหนี ส่วนมือขวาก็ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามหัวไหล่ ไล่ลงมาจนถึงชายโครง ก่อนจะค่อยๆ ลูบขึ้นไปที่บริเวณเนินเนื้อใต้อกช้าๆ พี่บีออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย ตัวสั่นเกร็งเมื่อฝ่ามือผมสัมผัสเกาะกุมไปที่เต้านมของเธอ จูบซุกไซร้ลำคอและหลังหูไปด้วยจนเธอครางอึ๋ยยยยย.... ปากผมก็พร่ำกระซิบบอกรักเธอซ้ำๆ เหมือนพยายามสะกดจิต จะยังไงก็ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็นั่งนิ่งตัวแข็งให้ผมบีบนมเล่นตามใจชอบแล้ว....
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
[Side Story] เรื่องเล่าของนายโจ้ยอดชาย : พี่บี #2
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น