วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

จุดจบยอดนักเย็ด #4


“สนุกดีเนอะ ไม่คิดว่าคุณชานุพงศ์ จะพูดสนุกขนาดนี้” เสียงกุ๊กเอ่ยขึ้นหลังจากเราเดินออกจากห้องประชุมในสถาบันศศินทร์
“ก็ดีมั้ง ไม่รู้ว่ะ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่กูสนใจเท่าไหร่ด้วยมั้ง” ผมตอบไปตามตรง
“อ้าว! แล้วลุงมานั่งฟังทำไมอ่ะ”
“เอ๊า อีกุ๊ก! ก็มึงเป็นคนชวนกูมาเองไม่ใช่เหรอครับ”
“น่าๆๆ คิดซะว่ามาเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศไงลุง ยังไงช่วงนี้ลุงก็ว่างอยู่แล้ว ป่ะๆ ไปหาหนมกินกันดีกว่า เดี๋ยวหนูให้ลุงเลี้ยงเอง”
“ไม่ได้ว่างโว้ย! แล้วไง จะกินอะไร?”
“ไปเดินดูตรงพารากอนมั้ยล่ะ เห็นเขาว่ามีร้านเค้กอร่อยๆ มาเปิดใหม่อยู่ นะๆๆๆ” เสียงมันอ้อนเหมือนเด็กๆ จนผมเองก็อดที่จะตามใจมันไม่ได้

เราขับรถไปจอดไว้ที่พารากอนแล้วลงไปเดินดูร้านขนมที่ชั้น G ซึ่งยังไม่ค่อยมีคนพลุ่งพล่านเท่าไหร่ในช่วงบ่ายๆ ผมปล่อยให้ไอ้กุ๊กเดินนำ ก่อนที่เราจะไปหยุดกันที่ร้านKyo Roll En ผมสั่งไอศครีมรสชาโคลมาถ้วยนึง ส่วนยัยกุ๊กพอรู้ว่ามีคนเลี้ยงก็ล่อทั้งซอฟท์ครีมรสชาโคลเบิ้ลด้วยไอศครีมชาเขียวมัจฉะ ผมนั่งมองหน้ามันตักไอศครีมกินอย่างเพลิดเพลินจนอดแซวไม่ได้

“เฮ้ยกุ๊ก กูถามมึงจริงๆ เหอะ” ผมเอ่ยปากถาม
“หืมมม?” มันครางตอบเบาๆ ไอศครีมยังเปื้อนเลอะริมฝีปากอยู่เลย
“กินจุแบบนี้ ไม่กลัวจะอ้วนจนหาแฟนไม่ได้เหรอวะ?”
“โห ลุงใจร้ายว่ะ.... ก็ไม่ได้อยากอ้วนเหมือนกันแหละ แต่มันอดกินไม่ได้นี่นา”
“จะกินก็ไม่ได้ว่าหรอก แต่ทำไมมึงไม่หาเวลาไปออกกำลังกายวะ เดี๋ยวนี้ฟิตเนสมันก็เปิดเยอะแยะ”
“เปลืองเงินดิ เงินเดือนหนูไม่ได้เยอะเท่ากะค่าคอมลุงนา ถ้าต้องจ่ายค่าฟิตเนสเดือนละ 2,000 อีก ก็ไม่ได้เก็บเงินกันพอดี”
“มึงอย่ามาอ้างๆ แล้วไง จะบอกว่าถ้าไม่ต้องเสียเงินเล่นจะยอมไปรึไง?”
“ก็เออดิ้” มันตอบหน้าตาเฉยพลางตักไอศครีมเข้าปากสบายใจเฉิบ

“เมื่อก่อนหนูก็ผอมกับเค้าเหมือนกันนะลุง” มันว่าจบแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดรูปตอนเด็กของตัวเองสมัยม.ต้นกับม.ปลายให้ดู เออว่ะ! มันผอมจริงๆ ด้วยคุณ ดูไปดูมาแทบไม่ต่างอะไรกับน้องแก้วพี่สาวของมันตอนนี้เลย แม้จะดูคล้ายทอมบอยหัวโปกหน่อยๆ แต่ก็เห็นชัดๆ เลยว่าร่างบางแตกต่างจากที่เห็นในตอนนี้อยู่ไกลโข ผมมองอยู่พักนึงจึงพูดต่อ
“งั้นถ้ากูบอกว่าฟิตเนสที่คอนโดกูเค้ามีโปรให้พาเพื่อนไปเล่นฟรีได้คนนึง มึงจะลากสังขารไปเล่นมั้ยล่ะ?”

“เฮ้ย ลุงพูดจริงดิ!?” เสียงยัยกุ๊กอุทาน ไม่รู้ว่าเพราะดีใจหรือเสียใจกันแน่
“เออ ทำไม ไม่อยากไปขึ้นมาเลยทีนี้”
“ไปๆๆ คอนโดลุงตรงลาดพร้าวอ่ะนะ”
“เออ”
“มีของให้เล่นเยอะเปล่า?”
“เล่นฟรีแล้วยังจะเลือกอีกนะมึง ก็มีพวกลู่วิ่ง จักรยาน ดัมเบลนิดหน่อย ถ้ามึงขี้เกียจนักก็มีสระว่ายน้ำให้ว่ายอ่ะ”
“เฮ้ยยยยย ไปด้วยยยย” มันร้องดีใจเหมือนเด็กๆ
“ว่าแต่ แล้วลุงไม่พาสาวๆ ไปเล่นแทนเหรอ ไหงมาชวนหนูล่ะ? หรือว่า..... แอบหลงสเน่ห์หนูแล้วล่ะสิ”
“เพราะสาวๆ คนอื่นเค้าไม่อ้วนเหมือนมึงต่างหากโว้ย” ผมพูดจบก็ตักไอศครีมเข้าปากอย่างสะใจ

ช่วงหลังๆ มานี้ผมเลยมักจะมีสาวหมวยร่างอ้วน ติดสอยห้อยตามนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถกลับมาที่คอนโดด้วยกันตลอด พอเล่นไปได้ระยะนึงผมเลยซื้อคีย์การ์ดสำรอง เอาไว้สำหรับให้มันมาเล่นคนเดียวเวลาที่ผมมีนัดกับน้องมิ้นท์ ซึ่งต้องบอกว่าตอนนี้ก็เหลืออีกไม่กี่สเต็ปแล้ว ที่เราสองคนจะได้บ่ะๆ โอ้บ่ะๆ กันอย่างสาสมใจ เพราะทุกวันนี้เราก็มักจะคุยโฟนเสียวด้วยกันบ่อยๆ จนต่างคนต่างน้ำแตกสบายตัวกันไปทุกครั้งเวลาที่เราเงี่ยน แม้ว่าช่วงหลังๆ เธอจะเริ่มยุ่งเพราะต้องเดินสายไปร่วมกิจกรรมกับกองประกวดนางงามของเธอแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังพยายามหาโอกาสคุยกันเรื่อยๆ ตามแต่ที่เวลาจะมีให้กัน

ขณะที่อีกด้านนึง ผมก็เริ่มสนิทกับยัยกุ๊กไก่มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ต้องไปรับไปส่งมันเหมือนลูกสาวคนนึง แม้ว่ามันจะยังคงกวนตีนผมเหมือนเดิม มีอยู่วันนึง จำได้เลยว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน ผมเห็นมันเซ็งๆ เศร้าๆ แปลกๆ ตั้งแต่เช้า พอตกเย็นเลยลองถามไถ่มันดูระหว่างที่กำลังขับรถไปเล่นฟิตเนสที่คอนโดเหมือนเดิม ก่อนจะได้คำตอบที่ทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้

“หนูว่าหนูอกหักว่ะลุง...”
“ห๊ะ? ยังไงนะ? สรุปมึงอกหักรึไม่อกหัก??”
“ก็... ก็.... อกหักมั้ง ไม่รู้ดิ”
“เอ๊า มึงไม่รู้แล้วใครจะรู้วะ พูดให้เคลียร์ๆ ดิ๊” ผมรีบซักมันต่อด้วยความสงสัย เพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่ายัยเด็กง้องแง้งอย่างมันจะแอบคบกับใครอยู่ตอนนี้ โดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องซักนิด
“ก็แบบ... คือหนูอ่ะเคยสนิทกันกับเพื่อนคนนึงใช่มั้ย แล้วเราก็เหมือนจะคุยๆ กันแบบจีบๆ กันอ่ะ แล้ว... แล้วเค้าก็ไปเรียนต่อเมืองนอกไง หลังๆ ก็เลยได้คุยกันผ่านสไกป์บ้างนิดๆ หน่อยๆ”
“แล้วไง คือเค้าไปมีเมียฝรั่ง?”
“คือไม่ใช่... เนี่ย ลุงก็อย่าพึ่งขัดดิ” มันแอบบ่นนิดๆ ผมก็เลยพยักหน้าเออออให้มันเล่าต่อให้จบ

“แล้วเหมือนหลังๆ เค้าจะห่างๆ เงียบๆ ไป หนูก็คิดว่าเค้าคงเรียนหนักแหละ แต่พอวันก่อนเห็นเค้าอัพรูปขึ้นเฟสบุ๊ค เป็นรูปคู่กับสาวอ่ะลุง แล้วเค้าสวยด้วยนะ โห คือแบบ มันจี๊ดอ่ะ”
“เฮ้ย ญาติเค้ารึเปล่า น้องสาวเค้าไรงี้”
“ไม่ใช่ดิ! น้องสาวเค้าหนูก็รู้จัก พอเข้าไปอ่านคอมเมนท์นะ โห เพื่อนเค้ามาแซวกันตรึมเลย หนูรู้เลยว่าเนี่ยเค้าคบกันแล้วแน่ๆ” ไอ้กุ๊กลืมตัวพูดอย่างมีอารมณ์

“แล้วได้คุยกับเค้าอีกรึเปล่า?”
“ไม่ได้คุยอ่ะ ใครจะไปกล้าคุยล่ะ กลัวแฟนเค้าอยู่ด้วยจะยิ่งกลายเป็นหมาหัวเน่าเข้าไปอีก”
“อืมมม.... แต่คือตอนแรกเราก็ไม่ได้ตกลงคบเป็นแฟนกันจริงจังป่ะ แค่คุยๆ กัน”
“ก็ใช่แหละ แต่แบบ โห มันก็แอบหวังป่ะวะ คุยกันมาเป็นปีๆ ขนาดนี้ แม่ง เผลอแป๊บเดียวหนีไปมีแฟนแล้ว เออ ก็กุ๊กมันไม่ผอม ไม่สวยเหมือนคนอื่นนี่หว่า ฮึ่ก.. ” น้ำเสียงกุ๊กสั่นๆ เหมือนจะร้องไห้ ผมเองก็ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลยได้แต่เอามือลูบหัวปลอบมันเบาๆ  มันเองก็ยิ่งเอาหัวถูมือผมเหมือนชอบใจ ผมเลยตัดสินใจชวนมันไปนั่งกินเบียร์บนห้องแทนที่จะไปเล่นฟิตเนสแทน

นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมพายัยกุ๊กขึ้นมาในห้องตัวเองแบบสองต่อสอง แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะเคยมานั่งกินเบียร์กับผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานบ้างแล้ว 2-3 ครั้ง ผมรินเบียร์โฮการ์เด้นเย็นเจี๊ยบใส่แก้วไพน์อันใหญ่ แล้วยื่นส่งให้มันรับไปนั่งจิบที่โซฟาเงียบๆ รสชาติของมันก็พอจะทำให้ชื่นใจได้บ้าง แม้ว่าจะไม่อร่อยเหมือนไปกินสดๆ ที่ร้านก็ตาม

“เสียใจมั้ยเนี่ย?” ผมเอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นมา
“โห.... ยังต้องถามอีกเหรอ”
“เอ้า ก็เห็นเราดูเป็นเด็กบ้าพลัง มุ่งแต่งาน ก็เลยนึกว่าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหมือนคนอื่นเค้า”
“แหม มันก็ต้องมีมุมแบบนั้นบ้างมั้ยอ่ะลุง หนูอยู่คนเดียวมาเป็นปีๆ มันก็ต้องอดเหงาไม่ได้เหมือนกันนะ ไม่ได้มีคนคุยเยอะเหมือนลุงนี่”
“อ้าว อย่าแขวะกูดิ นี่เราข้างเดียวกันนา”
“ฮือออ... ขอโทษษษษ” กุ๊กพูดเสียงอ่อย เหมือนเริ่มจะเมาด้วยฤทธิ์เบียร์ที่กระดกไปเกือบหมดแก้ว

“เค้าไม่สนใจเรา เราก็อย่าไปสนใจเค้าดิวะ หาใหม่ไปเลย ไม่เห็นยาก”
“ลุงเห็นหนูหน้าเหมือนชมพู่อารยารึไง มันจะได้หากันง่ายขนาดนั้น ตัวก็บวมขนาดนี้”
“มึงก็ลดสิวะ ออกกำลังกายกับกูเรื่อยๆ เดี๋ยวแม่งก็ผอมเองนั่นแหละ หน้าตามึงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถ้าหุ่นดีๆ หน่อยเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาคุยเองแหละ” ผมบอกชมมันตรงๆ มันฟังแล้วก็ออกอาการเขินนิดๆ เพราะทุกทีก็มักจะลงเอยด้วยการด่าข้ามหัวกันไปมาซะมากกว่า

เรานั่งดื่มกันไปอีกเกือบๆ สองชั่วโมง ต่างคนต่างเล่าประสบการณ์ความรักของตัวเองในแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเปิดเผยซึ่งกันและกันได้ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นคู่กัดแบบเราสองคน  ผมเองก็พึ่งรู้จากปากมันนี่แหละว่าอยู่มาจนจะอายุ 30 แล้ว มันก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์บนเตียงกับใครๆ มาก่อน เรียกง่ายๆ ว่ายังซิงสนิทอยู่เลย ยิ่งคุยกันก็ยิ่งมันปาก จนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะ 4 ทุ่ม หลังจากเบียร์หมดไป 5 ขวด สภาพของผมกับกุ๊กตอนนี้ก็ต้องบอกว่าป้อแป้ไปตามๆ กัน ผมเองตอนแรกตั้งใจว่าจะขับรถไปส่งมันที่คอนโดพี่ แต่ดูสภาพตัวเองตอนนี้รับรองว่าขับรถออกไปอาจไม่ถึงที่หมายแน่ๆ ไหนจะเรื่องด่านที่ชอบมาตั้งดักแถวนี้อีกล่ะ เลยบอกให้กุ๊กโทรบอกพี่สาวตัวเองหน่อยไม่ให้เป็นห่วง

“ฮัลโหล เจ๊เหรอออ... เค้ากลับช้านิดนึงนะ... อืมมม พอดีอยู่ห้องเพื่อน... เดี๋ยวดึกๆ มันไปส่ง” ผมรอจนมันวางหูแล้วก็เอ่ยทัก
“เฮ้ย  ไหงไปบอกว่าอยู่ห้องเพื่อนวะ เดี๋ยวเค้าเห็นกูไปส่งก็งงหรอก”
“โธ่ลุงงง... ถ้าบอกเจ๊ว่าหนูมานั่งเมาอยู่กับผู้ชายสองคน... เจ๊ก็ฟ้องป๊าอ่ะดิ ฮึ...หัวขาดพอดี” ผมฟังแล้วก็อดขำไม่ได้
“ทำไมวะ เค้ากลัวว่ามึงจะโดนกูล่อรึไง?”
“เอ๊า.... ใครจะไปรุ้ ผู้ชายเมาๆ มันก็เอาได้หมดแหละ ยิ่งหื่นๆ แบบลุงน่ะ” มันพูดจบก็เอนคอก่อนจะค่อยๆ หลับไปบนโซฟา ผมเห็นมันนอนไม่สบายตัวก็เลยพยุงมันขึ้นไปนอนให้สบายๆ บนเตียง กว่าจะหิ้วปีกไปถึงก็เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น เพราะตัวมันก็ไม่ใช่เบาๆ ยัยกุ๊กทิ้งตัวลงนอนกับเตียง พลิกตัวตะแคงกอดหมอนข้างหลับไปโดยไม่สนใจผมที่นอนหอบอยู่ข้างๆ ผมเองก็มึนหัวไม่แพ้กัน เลยล้มตัวนอนหลับไปข้างๆ มัน กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีก็ล่อไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว

ผมหันไปมองเห็นกุ๊กยังคงนอนหลับไม่ได้สติอยู่ มันนอนหงายหลับอย่างสบายใจ ดูท่าทางจะนอนดิ้นไม่เบานะยัยนี่  ผมจ้องพินิจพิเคราะห์ใบหน้าหมวยๆ ของมันอยู่ครู่หนึ่ง อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าจริงๆ แล้วมันเองก็เป็นคนที่หน้าตาน่ารักแบบหมวยๆ ตามประสาคนมีเชื้อจีนนั่นแหละ ผิวขาวผ่องเป็นใย ปากนิดจมูกหน่อย ยิ่งช่วงหลังๆ ที่มันเริ่มออกกำลังกายจนน้ำหนักลดไปเหลือแค่ 60 นิดๆ ก็ยิ่งพอจะมองเห็นความน่ารักที่มีอยู่ในตัวมันชัดเจนขึ้น เสื้อแขนยาวสีเขียวขี้ม้ายี่ห้อ H&M ของมัน เปิดถลกเพราะแรงดิ้น เผยให้เห็นพุงขาวๆ ไปถึงสะดือบุ๋ม เลื่อนสายตาขึ้นไปอีกนิดคือทรวงอกอวบอิ่ม ที่กระเพื่อมขึ้นลงไปตามจังหวะการหายใจ

ผมเองพอเห็นแบบนี้แล้วแก่นกายก็อดปึ๋งปั๋งขึ้นมาไม่ได้ แม้จะไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับมันมาก่อน แต่พอได้มานอนเบียดเสียดแนบชิดกันบนเตียงแบบนี้แล้ว สัญชาตญาณลึกๆ ก็พร้อมที่จะตื่นขึ้นมา ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปถลกชายเสื้อของมันเบาๆ เลื่อนเปิดขึ้นไปจนเห็นยกทรงแบบสปอร์ตบรายี่ห้อวาโก้สีเทาที่ปิดบังเต้านมขาวอวบของเธอไว้ อ๊ะๆ อ้าว นี่ผมเผลอเรียกแทนตัวยัยกุ๊กว่าเธอ แทนคำว่ามันไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

ผมค่อยๆ ใช้มือซ้ายลูบสัมผัสอย่างแผ่วเบาผ่านเนื้อผ้ายกทรง อืมม นมเธอนิ่มเด้งสู้มือดีจัง ลองใช้ฝ่ามือบีบคลึงไปตามฐานเต้า จนกุ๊กเริ่มที่จะมีอาการส่งเสียงครางลอดออกมาเบาๆ ผมซุกไซร้ลำคอขาวเนียนของเธอ ได้กลิ่นแป้งจางๆ ลอยออกมา ยิ่งผมด้านหลังของเธอตัดสั้นเกรียนตรงบริเวณท้ายทอย ยิ่งชวนให้ผมดอมดมซุกซนเข้าไปอีก คราวนี้กุ๊กเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว เธอแหงนหน้าหันมามองช้าๆ อย่างคนไม่มีแรง สบตากับผมนิดนึง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“อือออ.... พี่... ไม่เอา...” แล้วกุ๊กก็หลับตาและหลับไปอีกครั้งด้วยความเมามาย ผมเองพอได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปแป๊บนึง ถ้าเป็นปกติผมคงจะไม่สนใจคำร้องห้าม ยิ่งเจ้าตัวหลับไหลไม่ได้สติแบบนี้ด้วย แต่ไม่รู้สิ สำหรับกุ๊กแล้วมันมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมา อาจจะด้วยความที่เราสนิทสนมกันแบบพี่น้องมาตั้งแต่แรก พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แม้ว่าจะมีอารมณ์พอสมควร แต่มันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดที่จะไปละเมิดขืนใจขืนอารมณ์เธอ ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม พอคิดแบบนั้นแล้วผมจึงล้มตัวลงนอน เอามือกอดเธอไว้จากด้านหลังแล้วหลับไปในที่สุด

ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนเกือบ 10 โมงเช้า ตื่นมาอีกทีไม่เจอกุ๊กอยู่ในห้องแล้ว เข้าใจว่าเธอคงตื่นก่อนผมและกลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจำได้รึเปล่าว่าเมื่อคืนผมแอบลวนลามเธอไปเล็กน้อย พอนึกขึ้นได้ก็กุลีกุจรคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กะจะส่งไลน์ไปขอโทษขอโพยก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เปิดหน้าต่างแชทปุ๊บก็เจอข้อความที่กุ๊กส่งมาหาตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง

“ถึงบ้านแล้ว เมื่อคืนขอบคุณนะพี่โจ้ แล้วก็ขอบคุณที่ไม่รังแกกุ๊กด้วย” ข้อความของเธอแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงประทับใจเล็กๆ เธอไม่ได้ใช้คำเรียกผมว่าลุงเหมือนทุกที พออ่านแล้วก็อดรู้สึกเขินกระดากไม่ได้ เลยพิมพ์ข้อความส่งตอบไป
“ถึงบ้านกี่โมงเนี่ย?” ซักพักก็มีข้อความตอบจากเธอกลับมา
“8 โมงเช้า โดนเจ๊ด่าหูชาเลย ฮือ” ผมอ่านแล้วก็อมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของเธอ

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ยิ่งดูจะสนิทสนมจนเกินจากคำว่าพี่น้องที่ทำงานปกติ ผมเริ่มชวนเธอไปเที่ยว ไปเดินห้างกันสองคนขึ้นบ่อยขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ได้แสดงท่าทีแบบคนจีบกันอย่างโจ่งแจ้งจริงๆ จังๆ แต่เราต่างก็พอจะรู้อยู่ลึกๆ ว่ามีความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น กุ๊กเองก็ดูจะชอบพอผมอยู่ไม่น้อย เรายังคงชอบที่จะทะเลาะถกเถียงกันเวลาอยู่ที่ทำงาน แต่ก็มักจะคอยระบายปรึกษาปัญหาชีวิตให้กันและกันฟังอยู่เสมอ ยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ กลายเป็นว่าผมแทบจะได้คุยกับกุ๊กมากกว่าที่ได้คุยกับน้องมิ้นท์คนสวยซะอีก เวลาผ่านไปเกือบเดือน เราก็สนิทกันจนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจของกันและกันที่สุดแล้วในตอนนี้ แม้ว่าจะยังมีกำแพงบางๆ กั้นอยู่ด้วยคำว่าพี่น้องก็ตาม



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น