วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นรกสางเขียว ตอนที่ 4

 

 
               กล่าวถึงเหตุการณ์ที่แค้มป์ใหญ่ หลังจากที่ทุกคนหลับกันหมดแล้ว โดยคะหยิ่นที่
ยังไม่มีโอกาสเย็ดหีของดารินเลย ได้รับสิทธิ์นอนกอดดาริน โดยสอดมือล้วงเข้าไปในเสื้อของดาริน
บีบขย่ำนม จนต่างคนต่างหลับไปนั้น พอตกดึกแกคงฝันไป ว่าได้เย็ดดาริน แกเลยละเมอซอยควยที่
แข็งขึ้นมาใส่ร่องก้นดารินยิกๆ มือก็บีบเค้นนมอย่างแรง จนดารินเจ็บสะดุ้งตื่นขึ้นมา
              และแล้วดารินก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะเมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าอันน่า
กลัวน่าขยะแขยง ของสางเขียวคนหนึ่ง กำลังก้มลงมองเธออยู่
              " กรี๊ด ช่วยด้วย สางเขียวบุก "  เธอร้องขึ้นสุดเสียง
             สางเขียวคนนั้น พอได้ยินเสียงร้องของเธอ ก็จับมือเธอกระชากให้ลุกขึ้น แล้วต่อย
หมัดไปที่ท้องของเธออย่างแรง
             ดารินร้อง"โอ้ย"ด้วยความเจ็บและจุก ทรุดตัวลงกองอยู่กับพื้น
             พวกของบุญคำ พอได้ยินเสียงของดาริน ต่างก็ตกใจตื่น แต่ก็ต้องพบกับการจู่โจม
ของพวกสางเขียว ที่เข้ามารุมจับ การต่อสู้เกิดขึ้นพักเดียว ฝ่ายคนเมืองก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าหมด
รวมทั้งดารินด้วย
             ทั้งหมดถูกพวกมัน จับยัดในตาข่ายที่ทำขึ้นจากเถาวัลย์ พวกสางเขียวสอดไม้เข้าตา
ข่ายแล้วยกหาม โดยสางเขียวสองคนหามคนเมืองหนึ่งคน พวกบุญคำมีความรู้สึกเหมือนหมูที่กำลัง
ถูกหามไปเชือด
             เมื่อทุกอย่างจัดเรียบร้อย หัวหน้ากลุ่มของพวกมัน ก็สั่งออกเดินทาง โดยหาบทีขัง
ดารินถูกหามนำหน้าไปก่อน แล้วหาบอื่นๆก็ตามมา เป็นแถวเรียงเดี่ยว การเดินทางเป็นไปอย่างรีบเร่ง
พวกดารินที่ถูกมัดอยู่ในหาบ ก็กระเด้งกระดอนไปตลอดทาง
             "น่ากลัวจังเลย มันจะจับเราไปทำอะไรนี่ จะเป็นแบบที่รพินทร์เล่าให้ฟังหรือเปล่า โอ้
จะบ้าตาย ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ มันถึงบ้าบอคอแตกอย่างนี้"  เธอคิดแล้วน้ำตาก็ไหลออก
มา "พี่ใหญ่ ไชยยัน จะรู้มั๊ยนะว่าเราถูกพวกสางเขียวจับตัวไป โอ้ย  รพินทร์คะ คุณจะมาช่วยน้อย
มั๊ยคะ น้อยคิดถึงคุณจังเลย โอ้นี่เราจะต้องตายจากกัน โดยที่ยังไม่เข้าใจกัน ยังไม่ได้บอกรักกันเลย
ชีวิตช่างอาภัพนัก ฮือๆๆๆ" เธอร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
             "ไอ้สัตว์ปล่อยกู ไอ้ห่าเอ้ยจับกูไปทำไม บอกให้ปล่อยกู" ตาบุญคำตะโกนเสียงดัง
ตลอดทาง "พวกมึงจะกินกูเหรอ เนื้อกูไม่อร่อยหรอก กูแก่แล้ว เนื้อมันเหนียว เคี้ยวไม่แหลก แถม
ติดฟันอีกต่างหาก เฮ้ยบอกให้ปล่อยกู" บุญคำตะโกนร้อง
             " พี่คำไม่ต้องตะโกนหรอก คอแห้งเปล่าๆ พวกมันฟังพี่คำไม่รู้เรื่องซักหน่อย" จัน
ร้องบอกออกมา
             " แล้วมึงจะปล่อยให้มันจับไปกินเหรอ พวกมึงกูไม่ว่าอะไรหรอก กูเสียดายแต่นาย
หญิงเท่านั้นแหละ กูยังเย็ดไม่ทันฉ่ำควยเลย โดนจับซะงั้น นี่ก่อนมันกิน มันคงใช้งานนายหญิงกู
อย่างหนัก โอ้ย กูเสียดายโว้ย ทั้งคับทั้งแน่น ทั้งดูดทั้งตอด โอ้ยกูจะบ้าตาย ไอ้สัตว์สางเขียว ไอ้
ห่าสางเขียวเอ้ย " แล้วแกก็ก่นด่าไปตลอดทาง
             การเดินทางเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เปลตาข่ายที่บรรจุพวกคนเมืองอยู่ ก็แกว่ง
ไกวไปตามจังหวะการเดิน ของพวกสางเขียว บางครั้งก็แกว่งไปกระแทก ต้นไม้มั่ง ก้อนหินมั่ง ทำ
ให้ช้ำเขียวไปตามๆกัน บุญคำก็ด่าล้งเล้งไปตลอดทาง
             พวกมันเดินกันอยู่ห้าหกชั่วโมง จนสายวันรุ่งขึ้น ขบวนก็หยุดลงที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
พวกมันวางหาบลง
             "พวกมันจะเอาเราทิ้งเหวเหรอ " เส่ยร้องขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
             "คงไม่หรอก ถ้ามันจะฆ่าเรา มันฆ่าทิ้งที่แค้มป์แล้ว ไม่ต้องแบกเรามาให้เหนื่อย
หรอก" เกิดร้องตอบมา
             สักพักทุกคนก็ได้คำตอบ เมื่อพวกสางเขียวพักกันเสร็จ ก็เข้ามาหามพวกเชลยเดินไป
ที่ริมเหว ทุกคนจึงได้เห็น สะพานไม้ผูกเชือกพาดระหว่าง หน้าผาสองด้าน ซึ่งห่างกันประมาณสิบกว่า
เมตร ตัวสะพานแกว่งไหวตามแรงลม ดูน่าหวาดเสียวมาก แต่พวกสางเขียวก็หาบเชลย  ผ่านไปได้
ด้วยความคล่องแคล่ว
   .................................................
             ประมาณตีสี่ของวันเดียวกัน คณะติดตามของรพินทร์ ก็กำลังประสบกับปัญหา โดย
การนำทางของเกอะ ได้นำมาถึงทางตัน เพราะเจอกับธารน้ำขนาดกว้าง ไม่สามารถจะว่ายข้ามไปได้
ทั้งหมดจึงต้องปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี
             "ตอนนี้เรามีทางเลือกสองทาง คือ ทางแรก เกอะบอกว่าถ้าเราเดินทวนน้ำขึ้นไป ระ
ยะประมาณหนึ่งชั่วโมง เราจะไปพบกับเส้นทางที่ เกอะเคยใช้หนีสางเขียวออกมา ตรงนั้นน้ำจะแคบ
และตื้น พอที่จะเดินลุยข้ามไปได้ แต่เราต้องเสียเวลาเพิ่มถึงสองชั่วโมง เพราะจุดนั้นไกลจากชมรม
ของพวกสางเขียว มากกว่าเส้นที่เรากำลังมุ่งหน้าอยู่ขณะนี้" รพินทร์เอ่ยขึ้น
             "แล้วอีกหนทางหนึ่งล่ะ รพินทร์" เชษฐาถามขึ้น
             "เราต้องตัดไม้ไผ่ ทำแพขึ้น ซึ่งก็ต้องใช้เวลาใกล้เคียงกัน"รพินทร์ตอบ
             "เอาอย่างไง เชษฐาแกรีบตัดสินใจ" ไชยยันเร่ง
             "ถ้าทำแพ เราจะแก้ปัญหาเรื่องเชือกที่จะใช้ผูกอย่างไง" เชษฐาถาม
             "เราใช้เปลือกเถาวัลย์ ลอกแล้วควั่นให้เป็นเกลียวครับ"รพินทร์ตอบ
             "ถ้างั้นผมขอเลือก ทำแพข้ามน้ำตรงนี้แหละ เริ่มงานกันได้" เชษฐาสั่ง
            ทุกคนจึงรีบช่วยกันจัดเตรียม สิ่งที่จำเป็นต่างๆในการทำแพ ทุกคนช่วยกันคนล่ะไม้ล่ะ
มือ เพราะตระหนักดีว่า ไม่มีเวลาที่เสียอีกแล้ว ทุกนาทีมีค่าต่อชีวิตของคนที่พวกเขากำลังไปช่วย
   ....................................................................
            มาเรียถูกผูกติดกับหลักไม้ ในสภาพเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวติดกาย
หลังจากที่พวกมันสองคน นำน้ำมาให้ดื่มแล้วออกไปนั้น ก็ยังไม่มีใครเข้ามาในถ้ำนี้อีกเลย มาเรียคิด
ไปทั่ว ประกอบกับการเดินทาง และยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง ตั้งแต่เมื่อวานเย็น จึงทำให้เธออ่อน
เพลียอิดโรย และหลับไปในที่สุด
            เธอมารู้สึกตัวสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก ดังเข้ามาในถ้ำ "เอ๊ะ นั้นมัน
เสียงของ ตาเฒ่าบุญคำจอมลามก ลูกน้องรพินทร์นี่ เรารอดตายแล้ว รพินทร์มาช่วยเราแล้ว" เธอรู้
สึกดีใจมาก แต่ก็แปลกใจไปด้วย ที่ไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลย
            เสียงของบุญคำใกล้เข้า พร้อมกับเสียงฝีเท้า ดังใกล้เข้ามา เธอจึงตะโกนออกไปว่า
            "บุญคำ บุญคำ ฉันอยู่ที่นี่ มาช่วยฉันเร็วๆ"
            แต่ความดีใจของเธอ ก็กลายเป็นการตกตะลึง เมื่อพวกสางเขียวเดินหามดารินและ
พวกเข้าถ้ำมา
            "น้อย เธอก็ถูกจับมาเหมือนกันเหรอ บุญคำด้วย"มาเรียตะโกนถาม
            "เมย์ ฉันดีใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องห่วงนะ พวกพี่ใหญ่ต้องมาช่วยพวกเรา"ดาริน
ส่งเสียงปลอบมาเรีย ทั้งๆที่เธอก็ยังไม่มั่นใจ เพราะพวกเชษฐาออกเดินทาง ก่อนที่เธอจะถูกจับมาตั้ง
หลายชั่วโมง ไม่รู้จะได้รับอันตรายอะไรไปหรือเปล่า
            พอขนพวกดารินเข้ามาในถ้ำหมดแล้ว พวกสางเขียวก็ทำการตาข่ายออก แล้วจับเธอ
มัดคู่กับมาเรีย แต่พวกผู้ชายก็จับแก้มัด ยัดใส่กรงตรงผนังห้องจนหมดทั้งห้าคน แล้วพวกมันก็ออกไป
            "นายแหม่มเป็นไงบ้าง มันทำร้ายนายแหม่มตรงไหนบ้างมั๊ย"บุญคำถามขึ้น ส่วนตา
ของแกก็กวาดดู ร่างเปลือยเปล่าของมาเรีย อย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณนมและหีของมาเรีย
            ไม่ใช่แต่บุญคำเท่านั้น พวกที่เหลือทุกคน ก็กำลังตะลึงมองมาเรียอยู่ ทุกคนลุกขึ้นมา
ยืนเกาะลูกกรงจ้องมาเรียตาไม่กระพริบ
            จนดารินสังเกตเห็น จึงคิดขึ้นว่า"ดูซิ ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกนี้พอเห็นมาเรียโป๊อยู่
ก็ยังเงี่ยนง่าน ควยแข็งเป็นลำ ดันกางเกงจนเห็นได้ชัด ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลากันเลย"
           เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ดารินก็ได้ยินเสียงฝีเท้า กำลังเดินเข้ามาในถ้ำ สักพักก็
เห็นสางเขียวเดินเข้ามากันสิบกว่าคน โดยคนสุดท้ายลากผู้หญิงชาวป่า ร่างเปลือยเปล่าเข้ามาด้วยคน
หนึ่ง สางเขียวชุดนี้ ล้วนแล้วแต่มีหน้าตา ที่ดุร้ายโหดเหี้ยม ดูจากการแต่งกาย คนที่เดินนำหน้าเข้า
มาน่าจะมีตำแหน่งเป็นพ่อมดหมอผี ส่วนคนถัดไปคงเป็นหัวหน้าเผ่า ที่เหลือก็น่าจะเป็นบุคคลสำคัญใน
เผ่า เพราะการแต่งตัว ต่างจากลูกสมุนทั่วไป
           สางเขียวคนที่ดารินเข้าใจว่าเป็นหมอผี เดินถือรูปปั้นลักษณะเดียวกัน กับรูปแกะสลักที่
บนเวทีนอกถ้ำ แต่ย่อเล็กลง เป็นรูปหัวหมาป่ากำลังอ้าปากอยู่ ดูน่ากลัวมาก มันถือเดินผ่านเธอและ
มาเรียแล้วอ้อมไปที่ด้านหัวของ แท่นหินกลางถ้ำ แล้ววางรูปปั้นนั้นลง เงยหน้ามองมาทางเธอและมา
เรีย สายตาของมันเต็มไปด้วย ความหื่นกระหายเลือด มันจ้องราวกับจะกลืนกินพวกเธอไปทั้งตัว ไม่
เพียงตัวพ่อมดเท่านั้นที่จ้อง สางเขียวคนอื่นๆก็มีอาการเดียวกัน เธอจึงรู้สึกกลัวจนตัวสั่นไปหมด
           แล้วตัวพ่อมดก็พูดขึ้นในภาษาที่พวกของดารินฟังไม่รู้เรื่อง แต่มีความหมายดังนี้
           "เรื่มพิธีเซ่นสังเวยเทพเจ้าได้"
           สางเขียวคนที่เดินเข้ามาคนสุดท้าย ก็ลากหญิงสาวคนนั้นยกไปไว้บนแท่นพิธี แล้วมัด
มือและเท้าของหญิงคนนั้น ไว้กับหลักไม้ข้างแท่นทั้งสี่หลัก
           หมอผีจึงเริ่มพิธี โดยการก้มกราบรูปปั้นหมาป่านั้น แล้วท่องบ่นมนต์ เสียงดังกังวานก้อง
สักพักก็ลุกขึ้นถือมีด เดินขึ้นไปบนแท่น ก้าวเท้าคล่อมตัวหญิงสาวคนนั้น แล้วย่อตัวลง ระหว่างนั้น
พวกสางเขียวที่เหลือ ก็เริ่มเต้นไปรอบๆแท่นหิน
           "บัดนี้ ถึงเวลาที่ท่านเทพเจ้าจะได้รับ การเซ่นสังเวย ด้วยชีวืตของนางกาลีต่างเผ่าพันธุ์
แล้ว ขอให้ท่านเทพเจ้าจงคุ้มครอง ปกป้องรักษาชนเผ่าของเราดัวย ข้าขอสักการะ"พูดจบ ไอ้พ่อมด
ก็คว้าเต้านมด้านซ้ายของเหยื่อดึงขึ้น เอามีดในมือปาดที่ฐานของเต้า จนเต้านมขาดออกมาทั้งเต้า
เลือดกระจาย สาดกระเด็นไปทั่ว หญิงโชคร้ายร้องขึ้นสุดเสียง ด้วยความเจ็บปวดทรมาน
         ไอ้หมอผีเอาเต้านมในมือ โยนให้กับหัวหน้าเผ่า ซึ่งก็รับไปกัดกินจนเลือดเลอะเต็มปากไป
หมด แล้วส่งเต้านมที่กินเหลือให้กับสางเขียวคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ
          ยังไม่จบพิธี ไอ้หมอผีเอามีดกรีดที่อกหญิงคนนั้น แล้วเอามือแบะออก ใช้มือข้างขวาล้วง
ลงไปดึงหัวใจที่ยังเต้นอยู่ออกมา กัดกินและดูดเลือดจนเต็มปาก แล้วพ่นไปที่รูปปั้นเทพเจ้าหมาป่านั้น
จนแดงเถือกไปหมด
          ส่วนหญิงสาวคนนั้น ก็ร้องขึ้นสุดเสียง ร่างกายกระตุกไปมา แล้วก็เงียบแน่นิ่งไป
          ท่ามกลางสายตาของดารินและพวก ช่างสยดสยองนัก บุญคำถึงกับอ้วกออกมา เกิดและ
เส่ยเยี่ยวราดรดกางเกงโดยไม่รู้สึกตัว
          ดารินกับมาเรียยิ่งแล้ว เห็นเพื่อนร่วมเพศพบชะตากรรมอันสยดสยอง ก็สั่นไปทั้งตัว กลัว
ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดกับตัวเอง
          "ไอ้พวกสัตว์ แม่งมันไม่ใช่คน คนกับคนไม่ทำกันอย่างนี้ นี่มันนรกชัดๆ โอ้ยนี่พวกเราจะ
ทำกันยังไง จะเจออะไรอีก น่ะ....นายรพินทร์ มาช่วยพวกบุญคำด้วย" บุญคำครางออกมาด้วยความ
สยองขวัญ
   .................................................................
          ฝ่ายรพินทร์ หลังจากที่ช่วยกันต่อแพด้วยความรีบเร่งจนเสร็จ ก็ไม่ชักช้า พากันขึ้นแพถ่อ
ไปกลางน้ำทันที
          การถ่อแพเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะน้ำค่อนข้างเชี่ยว และมีโขดหินทั้งทีจมน้ำ
อยู่และโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา รพินทร์กับคณะต้องช่วยกันถ่อแพหลบเลี่ยง หวุดหวิดจะชนหินหลายครั้ง
ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะถึงฝั่งตรงข้าม
          พอช่วยกันลากแพขึ้นมาไว้บนฝั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางต่อทันทีโดยไม่พักกินเสบียง
การเดินทางในช่วงนี้ ต้องระแวดระวังไปตลอดทาง เพราะเข้าใกล้ถิ่นของสางเขียวไปทุกที การปะทะ
ก่อนที่จะถึงที่ซึ่งมาเรียถูกคุมขังอยู่ ดูจะเป็นการโง่ เพราะนอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้ว ยังทำให้พวก
สางเขียวรู้ตัวและเตรียมตัวป้องกัน ฉะนั้นการจู่โจมโดยที่ศัตรู ไม่ทันระวังตัวจึงเป็นหนทางที่ฉลาดที่สุด
          หลังจากเดินทางออกจากแม่น้ำ ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า พวกรพินทร์ก็ลัดเลาะมาถึงเนิน
เขาเตี้ยๆติดชิดกับชุมชนของสางเขียว ซึ่งอยู่ต่ำลงไปมีลักษณะเป็นหุบเขา มีลานกว้างอยู่ตรงกลาง
ล้อมรอบด้วยเนินดินสูงชัน ที่ชาวสางเขียวขุดเป็นโพรงเข้าไป เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งก็มีอยู่มากมายเต็มไป
หมด ผู้คนชาวเผ่าสางเขียว ทั้งหญิงชาย ลูกเล็ก เด็กแดง บ้างก็อยู่ที่หน้าโพรงของตน บ้างก็อยู่ที่
ลานกว้าง ทุกคนต่างก็ทำกิจกรรมของตนไปตามสบาย โดยไม่สำเหนียกเลยว่า บัดนี้มีคนต่างถิ่นมาถึง
และเฝ้าดูพวกเขาอยู่
          "ไอ้พวกชีเปลือยสางเขียวมีเยอะแยะไปหมด รูโพรงก็เต็มไปหมด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า
เมย์ ถูกจับไว้ที่ไหน ขืนบุ่มบ่ามลงไป ก็เหมือนลงไปหาที่ตาย ทำไงดีรพินทร์"ไชยยันพูดและถามขึ้น
มาเบา
          "ผมว่าพวกเราพักกินเสบียงกันก่อน แล้วผมกับแงซาย จะออกไปสำรวจดูลู่ทาง แล้วค่อย
มาวางแผนกัน ว่าแต่คุณไชยยันเตรียมอาวุธหนักมาหรือเปล่าครับ" รพินทร์ตอบแล้วถามกลับ
          "ถ้าคุณหมายถึงระเบิดล่ะก็ ไม่ต้องห่วงผมเอาน้อยหน่ามาสิบห้าลูก แล้วก็ TNT สำหรับ
ติดลูกศรพระรามแงซาย อีกสามชุด บวกกับกระสุนที่ทุกคนพกติดตัว แบบจัดเต็ม ผมว่าเราพร้อมจะ
ทำสงครามย่อยๆ กับพวกสางเขียวได้เลย" พูดจบไชยยันก็ควัก ระเบิดน้อยหน่าออกมาแจกให้กับทุก
คน คนละสามลูก ยกเว้นส่างปาและเกอะที่ไม่ได้รับแจก เพราะคงใช้ไม่เป็น
          หลังจากกินเสบียงกรังกันอย่างลวกๆแล้ว รพินทร์กับแงซายก็แยกออกจากคณะ ทำการ
สำรวจลู่ทาง เดินกันไปสักพัก แงซายก็พูดขึ้นว่า
          "ถึงเราบุกเข้าไปได้ เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแหม่มมาเรีย ถูกขังอยู่ที่ไหน ผู้กองจะใช้วิธีไหนถึง
จะช่วยแหม่มออกมา ด้วยความปลอดภัย และพวกเราต้องปลอดภัยด้วย"
           "แกมีวิธีมั๊ยล่ะ อย่าอมพนำ" รพินทร์ถาม
           "ผมรู้ว่า ผู้กองมีวิธี และน่าจะเป็นวิธีเดียวกันกับผม การอ้างกับพวกนายใหญ่ว่าออกมา
สำรวจเส้นทางนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ ความจริงแล้ว ผู้กองกำลังมองหาอะไรอยู่ใช่มั๊ย"แงซายพูด
           "เออ ฉันยอมรับ ว่าการสำรวจทางเป็นข้ออ้าง งั้นแกก็ช่วยฉันมองหา หน่อยสิ"รพินทร์
บอก
           "ผู้กองก็เดินออกมาถูกทางแล้วนี่ ผมคาดว่าข้างหน้ามีสิ่งที่ผู้กองต้องการอยู่สอง"แงซาย
กระซิบบอก
           "เออ ฉันรู้แล้ว ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ แต่พอเห็นแกตามมาโดยไม่ขัดขืน ก็เลยมั่นใจ"
รพินทร์กระซิบตอบ
           "แล้วคิดว่า เราสองคนจะเอาอยู่มั๊ย ตัวมันใหญ่ๆทั้งนั้น" แงซายกระซิบเบาลงไปอีก
เพราะใกล้ถึงเป้าหมายเต็มที
           ตอนนี้ทั้งสองคน กำลังย่องไปข้างหน้า ด้วยฝีเท้าทีเบากริบ ในมือของทั้งสองคนถือมีด
สั้นคนละเล่ม พวกเขาค่อยๆย่อง ค่อยๆย่อง เริ่มมองเห็นเป้าหมายแล้ว ทั้งสองยกมีดสั้นขึ้นเตรียมจ้วง
แทง รพินทร์ปลายตามาทางแงซาย เป็นความหมาย รับผิดชอบคนละหนึ่ง แงซายผงกหัวตอบตกลง
           เมื่อย่องไปถึงระยะ ทั้งสองกระโจนใส่เป้าหมายทันที
           ชายชาวสางเขียวสองคน ที่กำลังก้มหน้าขุดดินอยู่ ไม่ทันรู้ตัว ก็ถูกรพินทร์กับแงซายใช้
มีดแท่งใส่หัวไหล่ทั้งสองข้าง จนแขนทั้งสองข้างใช้การไม่ได้
           รพินทร์กับแงซาย ใช้เข่ากระแทกเข้าที่กลางหลัง แล้วกดร่างของสางเขียวลงกับพื้นจน
ใบหน้าแนบติดพื้นดินไม่สามารถกระดิกตัวได้ จากนั้นก็คว้าใบไม้แถวนั้นปั้นเป็นก้อน ยัดเข้าปากของ
พวกมัน จนมันไม่สามารถจะส่งเสียงได้ เสร็จแล้วจึงเอาเชือกมามัดมือไขว้หลัง กระชากให้ลุกขึ้น เอา
มือบีบไปที่แผลอย่างแรง มันเจ็บจนสั่นสะท้าน หมดแรงที่จะขัดขืน จากนั้นก็ผลักให้มันกลับไปยังที่
พวกเชษฐากำลังรออยู่
           พอเห็นรพินทร์กับแงซาย คุมตัวสางเขียวกลับมา ไชยยันก็ร้องออกมาว่า
           "ฉันว่าแล้ว ลงว่าไอ้เสือสองคนนี้ ร่วมมือกันเมื่อไหร่ มันต้องได้เรื่องล่ะน้า"
           "เราพบมันอยู่แถวนี้ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก เลยจับพวกมันกลับมา เพื่อจะได้เค้นถามที่
พวกมันขังมาเรียไว้ครับ" รพินทร์อธิบายขึ้น
          "ดีมากรพินทร์แงซาย เริ่มเลย ว่าแต่เราจะพูดกับมันรู้เรื่องเหรอ" เชษฐาชมและถามขึ้น
          "ผมคาดว่ามันคงใช้ภาษาเดียวกันกับที่เกอะใช้ครับ ซึ่งแงซายก็พูดได้เหมือนกัน เดี๋ยวผม
กับแงซายจะแยกมันทั้งสอง ไปสอบสวนกันคนละที่ จะได้เปรียบเทียบคำตอบของพวกมัน แล้วค่อย
มาหารือว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป" รพินทร์พูดขึ้น
          "คุณรอบคอบดีมากรพินทร์ เอาล่ะเริ่มได้" เชษฐาสั่ง
          จากนั้นรพินทร์กับแงซาย ก็กระชากสางเขียวเดินไปคนละทาง จนคิดว่าไม่ได้ยินเสียงกัน
แล้ว จึงลงมือสอบถาม บางครั้งก็ต้องใช้การทรมาน กว่าจะสอบสวนเสร็จ สางเขียวทั้งสองคนก็โดน
อัดจนง่อม
           พอสอบสวนเสร็จ รพินทร์กับแงซายก็คุยสรุปวิเคราะห์ ข้อมูลที่สอบสวนมาได้ พอได้ผล
สรุปก็รีบรายงานให้เชษฐารับรู้ทันที
           "เรื่องที่สอบสวนมาได้ ก็มีเท่านี้แหละครับ" รพินทร์พูดขึ้นหลังจากที่สรุปให้เชษฐาฟัง
           "แสดงว่า เมย์ไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่" ไชยยันพูดขึ้น
           "ครับ ที่นี่เป็นที่อยู่ของ ผู้หญิง เด็ก คนชรา และนักรบส่วนใหญ่ เมย์ถูกจับไปที่คล้าย
ศูนย์บัญชาการของพวกมัน และมีไว้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าหมาป่า ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง
ครับ" รพินทร์สรุปซ้ำ
           "ไป พวกเราเดินทางได้ ไม่รู้เป็นไง เป็นห่วงน้อยเหลือเกิน" หัวหน้าคณะเปรยขึ้น ซึ่งที่
จริงแล้ว ลางสังหรของเขาแม่นมาก ใช่แล้ว ดารินกำลังตกอยู่ในวิกฤตการณ์ร้ายแรง ไม่สามารถช่วย
ตัวเองได้เลย มีแต่พวกเขาเท่านั้น ที่จะกู้วิกฤตการณ์ให้ดีขึ้นมาบ้าง จะทันมั๊ย พระเจ้าเท่านั้นที่รู้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น