วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สามีที่รัก ตอนที่ 16 ขอมีเพียงเธอ



        หลังจากที่ได้ชำระสะสางร่างกายแล้ว  ดิฉันจัดห้องจนเรียบร้อยทุกอย่าง   จึงออกมาเดินเล่นรับลมและความร่มรื่นของธรรมชาติรอบบ้าน  พอกลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นก็พบกับพี่แคทและพี่นารีตน์มานั่งเปิดทีวีดูหนัง  ดิฉันก็นั่งร่วมวงไปด้วย ครั้นพอจับกลุ่มกันได้  ก็ตามประสาแหละคะ หาเรื่องมาคุยกันจนดูหนังไม่รู้เรื่อง  ไม่รู้จบไปแต่เมื่อไหร่  จนเวลาเกือบ 5 โมงเย็น  พี่กรก็กลับพร้อมหอบของพะรุงพะรัง  พวกเราก็ช่วยรับและจัดเก็บเข้าตู้เย็น  พี่กรเข้าไปห้องสักพักก็ออกมา
        “เดี๋ยวผมขอตัวภรรยาผมไปสักครู่นะครับ พี่นา  แคท”
        “อ้าว  จะมาขอทำไม  ผัวเมียกัน  ก็ตกลงกันเองสิ”  
        “ก็เห็นยังคุยกันสนุกๆ   กลัวจะทำให้ขัดจังหวะ”
        “ไปเถอะ   ว่าแต่จะพาน้องอ้อยไปไหนเหรอ กร”
        “ก็....พาไปเดินเล่นแถวๆ นี้แหละ”   พี่กรทำท่ายิ้มๆ  เขินๆ
        “โอ้ย....ไปเถอะจ้า  ถ้าให้เดาพี่ก็รู้แล้วว่าจะพากันไปไหน แต่รีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นก็แล้วกัน  พี่ไม่รั้งน้องอ้อยไว้หรอก ขืนพี่รั้งก็คงไม่อยากอยู่ละมั้ง  จริงมั้ยจ๊ะ  น้องอ้อย  ฮิๆๆๆ”     พี่นารีรัตน์ไม่วายหันมาแซวจนได้   พี่กรยิ้มเขินๆ  ค้อมศีรษะให้  ก่อนจะหันมาพยักหน้าชวนดิฉัน แล้วก็เดินนำโท่งๆ ไปก่อน   พี่แคทกวักมือไล่ดิฉันให้ตามเขาไปพร้อมกับหลิ่วตามองดิฉันยิ้มมุมปากราวกับรู้ทัน

        ดิฉันเดินตามพี่กรที่นำหน้าออกจากบ้าน  ขึ้นเนินที่ผ่านแนวแมกไม้ใหญ่ห่างจากบ้านไม่ถึงร้อยเมตร  พอตามมาถึงตัวเขาพี่กรเอื้อมแขนโอบดิฉันเข้าหาตัวเขา  ดิฉันมีหรือจะขัด  ยังอยากจะขำเขาอยู่เหมือนกัน  ทีตอนออกจากตัวบ้านเขาทำทีท่าเดินห่างดิฉันเป็นเมตร  แต่พอเข้ามุมลับตากลับดึงดิฉันเข้าโอบกอดพาเดินจนมาถึงปลายเนิน  ก็ได้มองเห็นเป็นลานหญ้ากว้างพอประมาณ  รอบๆ ก็ถูกปลูกดอกไม้ดอกประดับไว้อย่างสวยงาม  สุดขอบปลายเนิน จะมีโต๊ะนั่งเล่นอยู่ 1 ชุดสร้างจากไม้เนื้อดี  ถัดไปก็เป็นเก้าอี้ก้านตาลที่ทำขึ้นไว้สำหรับเอนนอนเหมือนเปลที่นิยมไว้นอนเล่นริมหาด อยู่ 4 ตัว ถูกจัดวางไว้เป็นวง 4 มุมเหมือนไว้นอนจับกลุ่มคุยกันเล่น  ถัดจากนั้นก็จะเป็นศาลาไม้เล็กๆ กว้างยาวไม่น่าเกิน 5 เมตรที่มีม้านั่งยาวโยกได้ตรึงติดกับเสาศาลาทุกด้าน สำหรับนั่งรับลม กลางศาลาก็เป็นแท่นสี่เหลี่ยมเป็นที่วางของและมีบานลิ้นชักเป็นที่เก็บของไปในตัว  ที่ตรงนั้นมันสุดเนินเขาพอดี  เยื้องไปทางขวามือสามารถมองลงไปเห็นชายทะเลอยู่ลิบๆ  ทางด้านซ้ายมือก็จะเป็นแนวเทือกเขาที่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก  สุดขอบเนินเขาก็จะเป็นหน้าผาไม่สูงนัก  ทำให้ที่ตรงนั้นโล่ง มีลมพัดผ่านจากทะเลขึ้นมาเย็นสบาย  ยิ่งตอนนี้เวลาเย็นแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างดี  ดิฉันเดินลิ่วนำหน้าพี่กรไปสุดปลายเนิน  มองทิวทัศน์งามตาที่ไม่สามารถเห็นได้บ่อยด้วยความตื่นตา  พี่กรเดินตามมาถึงตัวก็โอบกอดจากด้านหลัง  แขนแข็งแรงข้างเดียวของเขาโอบตัวดิฉันตั้งแต่ต้นแขนด้านหนึ่งไปยังอีกข้างได้รอบเลยทีเดียวคะ  อย่างที่เคยบอกว่าสามีตัวสูงล่ำ กำยำ  แค่เขาโอบกอดก็แทบจะกลืนดิฉันได้มิด  ดิฉันชอบมากๆ เวลาอิงซบกับแผงอกเขา  ไออุ่นจากอ้อมอกเขาทำให้ดิฉันอยากอิงซบไม่รู้คลาย แต่ดิฉันยังผิดสังเกตที่ตัวเขาร้อนกว่าที่เคยสัมผัส  ไม่รู้ว่าเพราะอากาศรอบข้างจะเย็นกว่าปกติก็ไม่รู้  เราสองคนต่างไม่มีใครพูดจา  ดิฉันยังคงยืนเบียดเบียดแนบอกเขาด้วยใจโหยหามานานหลายวัน  ช่วงนั้นท้องฟ้าเริ่มครื้มลง  พี่กรหมุนพาดิฉันหันไปทางตะวันตก  ก็มองเห็นดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้เป็นดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้ตั้งใจมอง  มีสีแดงส้ม เริ่มแสงอ่อนลงใกล้จะลับยอดเขา  พี่กรกอดดิฉันไว้  สูดลมหายใจลึก  ดันแก้มที่สากครึ้มด้วยเคราที่เริ่มหนาแนบกับแก้มดิฉันจนร้อนผะผ่าว  เราสองคนอิงแอบจนดวงตะวันได้ลับหายไปจากยอดเขา  จึงเกี่ยวแขนพาดิฉันไปนั่งที่เก้าอี้ก้านตาลที่สามารถนอนเอนได้  เขาหย่อนตัวลงและเอนนอนพร้อมกับรั้งดิฉันให้นอนเบียดข้างกับตัวเขาและกอดไว้หลวมๆ   ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าพี่กรต้องการอะไร  แต่ตอนนี้ได้อยู่ในอ้อมอกเขา  ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจก็กลับมา
        “พาอ้อยมานี่ทำไมเหรอค่ะ”
        “พี่ให้ช่างเขามาทำสนามหญ้าตรงนี้ขึ้นมาใหม่  เวลาเย็นๆ มานั่งรับลมเล่นที่นี่ทำให้รู้สึกสดชื่นดี  พี่ตั้งใจทำไว้ให้อ้อยเลยนะ  ต่อไปทุกวันหยุดถ้าหากว่าไม่ติดงานอะไรมากเราจะมาพักที่นี่ด้วยกัน  ก็เลยอยากพาอ้อยมาดู  วันนี้อยากพาเมียมานั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบเขา  รับลมตอนเย็น เป็นไง  สวยมั้ย  อุตส่าห์ทำเพื่ออ้อยโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย”
        “สวยค่ะ  ช่างคิดนะคะ  ฮึ...”  ทำทีว่าเขา  แต่ดิฉันกลับซบอยู่กับอกเขาอย่างสุขใจ  ไม่เคยคาดคิดว่าเขาอายุกลางคนแล้วยังมีกะจิตกะใจพาภรรยามายืนชมพระอาทิตย์อัสดงค์   และสวนหย่อม มีสนามหญ้าเล็กๆ ที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจตรงนี้เขาก็ทำเพื่อดิฉัน  แล้วใครจะไม่ปลื้มล่ะคะ
        “หลังๆ พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้อ้อยเลย  วันนี้เลยอยากอยู่กับเมียให้หายคิดถึงบ้างสิ  หรือว่าอ้อยไม่คิดถึงพี่”
        “คิดถึงสิค๊า...  ที่รัก แต่อ้อยก็เข้าใจว่าพี่ทำงานเยอะ  อ้อยก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่ซะหน่อย”
        “นานแล้วนะ  ที่พี่ไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้  นั่งมองตะวันตกดินกับคนที่พี่รัก   พี่จำได้เสมอวันที่พี่พาแฟนพี่นั่งคุยกันดูตะวันตกดิน  เมื่อตอนอยู่ที่เขาใหญ่  มันคล้ายๆ กับตอนนี้นี่แหละ   วันนั้นเราได้ให้สัญญากันว่าจะรักและจะอยู่ร่วมเคียงคู่กันตลอดไป   และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จดจำไม่ลืม   ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นเธอได้จากพี่ไปไม่มีวันที่จะกลับมาดังเดิม  ทิ้งไว้แต่คำสัญญาที่เขาไม่ได้เห็นค่าและความหมายของมัน  ตอนนี้เธอคงจะมีความสุขอยู่กับคนที่เธอรักจริงๆ ไปแล้ว”
ดิฉันนิ่งฟังแล้ว  ก็รู้สึกมีอะไรมาเฉือนหัวใจให้เจ็บแปลบ  อารมณ์เคลิบเคลิ้มกับความโรแมนติกของเขาหายวับไปทันใด  แต่ความปวดแปลบในหัวใจกลับมาแทนที่   ก็ทำไมล่ะ  ในเมื่อเขาอยู่เคียงคู่กับดิฉันแต่กลับเล่าถึงคนรักเก่าให้ดิฉันปวดใจเล่นทำไม  หรือว่าเขายังไม่เคยลืมเธอคนนั้น  เขาคงรักเธอมากกว่าสินะ
        “พี่กรยังจดจำเวลานั้นอยู่อีกหรือค่ะ”
        “ใช่  พี่ไม่มีวันลืมวันนั้นแน่นอน”   คำตอบนี้มันยิ่งตอกย้ำ  ดิฉันรู้สึกเหมือนคอแห้งผาก
        “หมายความว่า  คนที่พี่รักจริงๆ  คือเธอคนนั้น  ใช่หรือเปล่าค่ะ   พี่ยังลืมเธอไม่ได้ ใช่หรือเปล่า”   ดิฉันผละตัวออกห่างเขา ลุกขึ้นนั่ง ถามไปโดยไม่กล้ามองหน้า  สุ้มเสียงมันก็สั่นสะท้อนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  พี่กรคงจับน้ำเสียงดิฉันได้  ก็ลุกขึ้นนั่งตาม
        “ไม่ใช่อย่างนั้นนะอ้อย”
        “แล้วยังไงละคะ  พี่ไม่ได้รักเขา  แต่กลับบอกว่าไม่มีวันลืมวันที่เคยสัญญารักกับเธองั้นหรือคะ”  เสียงดิฉันสั่นเครือ  ไม่รู้เหตุอันใดที่ดิฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  รู้สึกน้อยใจเขาที่อยู่เคียงคู่กับดิฉันแท้ๆ  เขายังกล้าจะพรรณนาเรื่องราวที่เขายังมีเยื่อใยกับคนรักเก่าอยู่อีก  ทำไมเขาช่างกล้าทำร้ายจิตใจกันได้
        “อ้อย  พี่ขอโทษ  พี่ไม่ได้ความว่าอย่างนั้น”
        “แต่พี่ก็พูดไปแบบนั้นนี่คะ  ถ้าพี่ไม่ได้รักอ้อย  แล้วพี่มาแต่งงานกับอ้อยทำไม  แล้วทำไมจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้อ้อยฟังด้วย  ถ้ายังรักเขาอยู่พี่ก็ไม่น่ามาหลอกลวงอ้อยนะคะ”   ดิฉันตัดพ้อเขาอย่างอดกลั้นไม่ได้
        “ที่รัก   มีเหตุผลหน่อยสิ  ฟังพี่นะ ใช่... ความรักครั้งแรก พี่ไม่มีวันลืม  แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ยังรักเขาอยู่นะ  ที่พี่จดจำก็คือมันเป็นบทเรียนแห่งความเจ็บปวดจากการไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกันต่างหาก  มันทำให้พี่รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน  และมันจะเป็นบทเรียนให้พี่ระลึกอยู่เสมอ  และพี่จะจดจำใส่ใจไว้ว่าหากพี่ได้รักใครสักคนอีกครั้ง  พี่จะไม่มีวันทำร้ายจิตใจใครให้เขาต้องได้รับความเจ็บปวดเช่นนั้น  และตอนนี้คนที่พี่รักที่สุด ก็คือเมียพี่คนนี้  ไม่มีวันที่พี่จะทำให้อ้อยต้องเป็นแบบที่พี่เคยได้รับมาก่อน  นี่แหละคือสิ่งที่พี่อยากจะบอก  รักครั้งแรกถึงแม้มันจะไม่สมหวัง  แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะลบเลือนจากจิตใจพี่ได้   มันยังฝังอยู่ในใจย้ำเตือนให้พี่ได้ระลึกถึงความเจ็บปวดอยู่เสมอ   พี่รู้รสชาติมันดี”  
        พี่กรพูดออกมาจนช่วงท้ายๆ เสียงเขาเริ่มสั่นเครือ ดวงตาเลื่อนลอยบ่งบอกถึงความรู้สึกเจ็บช้ำในอดีตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี  จนบัดนี้ดิฉันรู้สึกสงสารเขาจับใจ  อารมณ์หึงหวง น้อยใจหายไปหมดสิ้น
        “พี่.....”   ดิฉันเรียกเขาแผ่วเบา  จ้องมองนัยน์ตาที่หรี่คมจริงจังดวงนั้น   พี่กรค่อยๆ ปรับสีหน้าปั้นยิ้มยกมือมาป้ายเช็ดน้ำตาดิฉัน  ดิฉันเอนตัวซบหน้าลงกับอกเขาอีกครั้ง
        “อ้อยไม่เคยมีรักครั้งแรกหรือ  ถ้าหากอ้อยมี  อ้อยน่าจะเข้าใจพี่ได้นะ”
        “อ้อยขอโทษคะ  พี่กร  ที่อ้อยวู่วามไม่มีเหตุผล  พี่กรสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่ทำให้รักครั้งแรกของอ้อยต้องเป็นสิ่งที่เหมือนพี่ได้รับมา   อ้อยอยากให้รักครั้งแรกของอ้อยเป็นรักครั้งเดียวที่มีความสุขสมหวังไปตลอดชีวิต”   พี่กรประคองใบหน้าดิฉัน  เริ่มมีรอยยิ้มเมื่อรู้คำตอบจากดิฉันว่าเขาคือรักแรกของดิฉัน
        “จ๊ะ...พี่สัญญา   ว่าแต่....เมื่อกี้น้อยใจพี่เหรอเนี่ย”
        “มีผู้หญิงคนไหนจะไม่น้อยใจที่สามีพูดเหมือนยังมีอาลัยคนรักเก่าละคะ”
        “อืมม...นี่หึงพี่ขนาดนั้นเชียว  ฮึฮึฮึ”    พี่กรเชยคางดิฉันขึ้นสบตา   หัวเราะในลำคอล้อเลียนเมื่อเห็นว่าดิฉันแสดงอาการออกชัดเจนไปแบบนั้น  จนดิฉันไม่รู้จะตอบไปอย่างไร  เขาก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าดิฉันรักเขาแค่ไหน  ตอนนี้ได้แต่ทำตาค้อนให้เขา  ทำเสียงขึ้นจมูก  ทั้งๆ ที่น้ำตายังไม่แห้งเหือดไปเลย
        “ฮึ...”
        “โถ..ที่รัก  ตอนนี้ก็มีเมียพี่คนนี้คนเดียวที่พี่รักที่สุดแล้ว  อย่าน้อยใจเลยน่า  ดูสิ  ตาแดงหมดแล้ว   พี่ขอโทษก็แล้วกันที่ทำให้อ้อยเข้าใจผิด  ถึงอ้อยจะไม่ได้เป็นรักแรก   แต่อ้อยคือรักเดียวของพี่นะ”
        คำยืนยันของเขาทำให้ดิฉันใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง  พี่กรกระชับดิฉันเขาแนบกาย ลูบไล้ปลอบประโลม  เขายังประคองหน้าดิฉันสบตามอง แล้วค่อยไล้นิ้วเกลี่ยซับน้ำตาพลางหอมแก้มอย่างเอาใจ  จนดิฉันใจปลอดโปร่งหมดความเคลือบแคลงใจเขา   พี่กรเอนตัวลงนอนราบกับเก้าอี้ก้านตาลพร้อมกับรั้งตัวดิฉันให้นอนทาบร่างกำยำของเขาและโอบคอดิฉันโน้มตาม  ประทับหน้าดิฉันประกบเข้าและจูบดั่งเป็นคำยืนยัน  ยิ่งทำให้หัวใจดิฉันชุ่มชื่นเป็นทวีคูณ  คราวนี้พี่กรจูบกับดิฉันอ้อยอิ่งอยู่เป็นนานสองนาน  สองเราก็ไม่ยอมผละจากกัน   อยากบอกพี่กรเหลือเกินว่าดิฉันอยากอยู่กับเขาแบบนี้นานๆ  ไม่อยากให้เวลาผ่านไปเร็วเลย  รสจูบของเขาเหมือนมีพลังอะไรสักอย่าง   ไม่ว่าจะครั้งใดก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก  แค่ได้อยู่ในอ้อมอกแข็งแรงอบอุ่น  รสจูบที่แสนหวานดิฉันก็สุขใจมากพอแล้ว  จนเมื่อบรรยากาศเริ่มมืดลง
        “ที่รักคะ  ทำไมตัวร้อนจัง  เหมือนจะไม่สบาย”
        “พี่ไม่ได้นอนมาหนึ่งคืนหนึ่งวันแล้ว วันนี้ก็ขับรถมานี่ยังไม่ได้นอนพักเลย  คงเพราะพักผ่อนไม่พอ  ไม่น่าเป็นอะไรมาก  พี่แข็งแรงดีไม่เคยเป็นอะไรอยู่แล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก”
         “แต่ยังไงก็กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ  งั้นเรากลับกันเถอะค่ะ   ทานข้าวแล้วค่อยทานยานอน”
         “ไม่เป็นไรหรอกน่า   ขอนอนกอดเมียอยู่นี่อีกสักหน่อยไม่ได้หรือ”
        “ไม่เอาค่ะ  นี่คงเลยเวลาทานข้าวแล้วละมั้ง  กลับเข้าบ้านกันเถอะคะ  เดี๋ยวอากาศเย็นจะยิ่งอาการหนักนะคะ  น๊า...ที่รัก  ยังไงอ้อยก็อยู่กับพี่อยู่แล้ว  นะคะ  กลับกันเถอะ”
        เมื่อดิฉันรบเร้า  พี่กรจึงยอมตาม เราเดินกลับเข้าบ้านพอทันกับกลุ่มพี่แคทที่เพิ่งลงมือทานข้าว  พอทานเสร็จพี่กรก็ขอตัวเข้านอนก่อนทันที  ไม่ได้อยู่รวมกลุ่มสนทนาหลังมื้อเย็น   ดิฉันก็ตามเข้านอนหลังจากที่เก็บกวาดเรียบร้อย  อยู่ร่วมสนทนากับทุกคนได้ไม่นานก็ตามพี่กรเข้าห้องไปด้วยความเป็นห่วงเขา  ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องของแต่ละคู่

        พอเข้าห้องก็เห็นสามีนอนหลับสนิทไปแล้ว  ดิฉันก็ไปนอนเคียงข้าง  แต่ยังไม่ง่วงจึงลุกหาหนังสือมาอ่านคั่นเวลา  จนเริ่มดึก  คาดว่าทุกคนที่เหลือก็คงเข้านอนกันแล้ว   แต่แล้ว.........สิ่งที่ทำให้ดิฉันแทบหลับไม่ลง  ก็คือสองห้องที่อยู่ด้านข้างนั้นเขาจู๋จี๋กันตามประสาสามีภรรยา  แถมแต่ละห้องส่งเสียงครวญครางอย่างมีความสุขกันดังลั่นแข่งกันมาถึงห้องดิฉัน  มิหนำซ้ำถ้อยคำที่ได้ยินแต่ละคำนั้น  พรั่งพรูคำหยาบโลนที่ดิฉันเพิ่งได้ยินมาเมื่อตอนบ่ายวันนี้  เล่นเอาดิฉันใจระรัว   กว่าจะข่มตาหลับได้เล่นเอาถึงช่วงให้หลังจากทั้งสองห้องเขาได้สุขสมกันไปแล้ว  อีกใจก็นึกอยากจะต่อว่าเขาไป  ช่างไม่รู้สึกเกรงใจกันบ้าง  แต่จะไปว่าอะไรเขาก็คงไม่ถูก  เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคู่  ต่างคนต่างก็มีห้องส่วนตัวอยู่แล้ว  แต่เหตุใดเสียงมันถึงดังเล็ดลอดมาให้ดิฉันต้องกระสับกระส่ายจนข่มตาหลับยากก็ไม่รู้   จนบางทีก็นึกอยากจะปลุกชวนพ่อยอดชู้ของดิฉันขึ้นมาปล้ำฟัดเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป  แต่ตอนนี้เขาคงอ่อนเพลียจนหลับไปตั้งแต่ไม่ถึงสองทุ่มด้วยซ้ำ


        ครั้นเกือบถึงตี 5 ดิฉันงัวเงียตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกมีบางอย่างรบกวน  หันมองไปด้านข้างก็เห็นพี่กรตื่นมาก่อนแล้ว  ไฟหัวเตียงถูกเปิด  เขานั่งพิงหมอนที่หัวเตียง มีโน๊ตบุ้ควางอยู่บนตัก  ดิฉันแปลกใจ   นี่เขาตื่นก่อนดิฉันเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย  ปกติเขาจะตื่น 6 โมงเช้าแล้วไปวอร์มร่างกายที่หน้าบ้านก่อนทานข้าวเช้า  แต่วันนี้เขาตื่นก่อนจะถึงตี 5 เสียอีก
        “อรุณสวัสดิ์จ๊ะ  ที่รัก”   พี่กรทักเบาๆ  พอได้ยินกันสองคน  ส่งยิ้มมาให้  แล้วก็หันไปสนใจที่หน้าจอ
        “ทำไมตื่นเช้าจังคะ  ที่รัก”   ดิฉันขยับตัวมานั่งซบไหล่กับเขา
        “ไม่รู้เหมือนกัน  มันตื่นมาเอง  สงสัยได้นอนพักเต็มที่แล้วพอตื่นมาก็ไม่รู้จะทำอะไร  เลยมาเช็คเมล์ดู  เผื่อคุณปรียานุชจะฝากไฟล์งานมาให้ตรวจ”  เขาตอบไปก็จ้องตรวจงานที่หน้าจอ
        “อ้อยไปล้างหน้าก่อนนะคะ”
เมื่อดิฉันล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย  กลับมาในห้องกำลังจะเปลี่ยนชุด  พี่กรก็กวักมือเรียกเข้าไปหา  ดิฉันหยุดยืนที่ขอบเตียงจ้องหน้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
        “มีอะไรคะ”
        “อ้อยจะทำอะไร  จะไปไหน”
        “ก็....ออกไปดูว่าจะทำอะไรเป็นอาหารเช้าดี  ทำไมเหรอคะ”
        “นี่..ที่รัก  นี่มันไม่ใช่บ้านเรานะ  ไม่ต้องไปทำก็ได้   เราสั่งอาหารจากร้านที่ชายทะเลมาให้ทุกมื้อ  อ้อยไม่ต้องทำหรอกและนี่มันก็ยังเช้ามืดอยู่เลย”
        “ฮื่อ   แล้วพี่กรมาแกล้งอ้อยให้ตื่นแต่เช้าทำไมคะเนี่ย   แล้วพี่กรยังเช็คเมล์งานอยู่เหรอค่ะนั่น”
        “เปล่าหรอก  ดูรูปนางแบบ   สวย  เซ็กซี่ด้วยนะ”   พี่กรตอบพลางยิ้ม  แต่ไม่มองหน้าดิฉันเลย  กลับสนใจอยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ้ค
        “สวยขนาดไหนคะ”   ดิฉันเริ่มทำเสียงห้วน กระด้าง  ลำคอแข็งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
        “ก็สวยขนาด  เอ่อ...  ต้องเก็บเอาไปฝันทุกคืน  อยากเอามากอดทุกคืน”      ดูซิ   ช่างพูดมาได้  ต่อหน้าเมียแท้ๆ  ดิฉันชักหึงขึ้นมากรุ่นๆ   รีบขึ้นเตียงไปหาเขา   แต่พี่กรกลับยิ้มมุมปากเหมือนอยากจะกลั้นหัวเราะ  ยิ่งเห็นดิฉันยิ่งโกรธแทบอยากจะฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ   เมื่อวานตอนเย็นเขาก็ทำให้ดิฉันหึงหวงไปทีแล้ว  นี่ยังไม่ยอมเลิกยั่วให้โกรธให้หึงหวงอีกเหรอเนี่ย
        “พี่กร...”  ดิฉันเรียกชื่อเขาลอดไรฟัน  รีบขยับขึ้นเตียงไปหาเขา  หมายมาดว่าถึงตัวเมื่อไหร่ได้เจ็บตัวแน่ ทั้งๆ ที่พยายามระงับอารมณ์หึงหวงไว้ให้ใจเย็นไว้ก่อน  ไม่อยากวู่วาม    และอยากรู้เหมือนกันว่าหญิงที่พี่กรบอกว่าสวยคือใคร  แต่ครั้นพอได้เห็นเท่านั้น  ความโกรธกลับกลายเป็นความอายขึ้นมาจนดิฉันหน้าร้อนวูบ
        “เป็นไง  เซ็กซี่มั้ย  ยิ่งเวลานอนหลับเนี่ย  มันน่าคว้ามากอดจริงๆ นะ”  เขายังลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่หยี่ระกับอาการฟึดฟัดของดิฉันในตอนแรก  ดิฉันฟาดกำปั้นน้อยๆ เข้าที่ไหล่เขาหลายชุด  แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน  เอื้อมมือมารวบดึงดิฉันไปกอดอิงแอบซบข้างเขา
        “บ้า...พี่กร  โรคจิตหรือไง  มาแอบถ่ายอ้อยตอนนอนหลับเนี่ย”   ดิฉันต่อว่าเขา  ค้อนให้ไปหลายทีแล้วก็จ้องมองรูปถ่ายที่เขาเลื่อนให้ดูไปทีละรูป
        “ไม่รู้สิ  พี่ตื่นมาแล้วมันนอนไม่หลับ  เห็นอ้อยนอนอยู่  น่ารักดีก็เลยลองเอากล้องมาถ่ายลงไว้ในโน๊ตบุ้ค  ห่ะๆๆ  ดูรูปนี้สิ  เซ็กซี่ไม่หยอก”  
เขายังเลื่อนไปทีละรูปให้ดิฉันดู  ยิ่งทำให้ดิฉันหน้าร้อนผ่าว  รูปที่เขาค่อยๆ เลื่อนไปเป็นรูปดิฉันนอนตะแคง  ผ้าห่มเลื่อนไปอยู่ช่วงเอว คงเหลือแต่ชุดนอนสายเดี่ยวลายลูกไม้ทั้งชุดสีขาว  พี่กรเน้นโฟกัสไปตรงที่ซอกคอและหน้าอกที่มันเบียดกัน  มองเห็นเป็นเต้ากลมโผล่มาครึ่งหนึ่ง   ไม่รู้จะโกรธหรืออายเขาดีที่อยู่ๆ  นึกคึกอะไรขึ้นมา  ถึงได้มาแอบถ่ายรูปเมียตัวเองตอนนอนหลับ
        “พอแล้ว  ไม่ดูแล้ว   และก็ลบออกเลยนะคะ  ห้ามเก็บไว้  ลบออกเดี๋ยวนี้”   ดิฉันออกเสียงเฉียบขาด  พี่กรจึงยอมลบออก  โดยดิฉันจ้องดูด้วยตลอดเพื่อให้แน่ใจว่าเขาลบออกจนหมดแล้ว  เขาก็ปิดโน๊ตบุ้ค  เอาไปวางบนโต๊ะข้างเตียงนอน  แล้วกลับมานั่งโอบดิฉัน   ดิฉันได้แต่ค้อนเขาอยู่ขวับๆ
        “แล้วอาการไข้ละคะ  หายหรือยัง”  ดิฉันถามพร้อมเอามือคลำไปตามใบหน้า  หน้าผาก ซอกคอ พี่กรก็คว้ามือนั้นไปกุมไว้แล้วก็จุมพิตลงตรงแหวนแต่งงานของเราพอดี  ส่งยิ้มหวานมาให้
        “ยังเลย  สงสัยต้องใช้ยาชุดใหญ่  มันถึงจะหาย”   เขายิ้มมุมปาก  แต่ดิฉันยังไม่ทันได้ฉุกคิดอะไร  เพราะห่วงเขามากกว่า  ใช้หลังมือทาบตามอก  คอ และหน้าผากเขาอีกครั้ง
        “เป็นอะไรเหรอค่ะ  เดี๋ยวอ้อยจัดหายามาให้”
        “และต้องเป็นอ้อยเท่านั้นนะ   คนอื่นรักษาไม่หาย”   เขายิ้มกรุ้มกริ่ม  จ้องตาดิฉันเป็นประกาย  ค่อยๆ เอื้อมฝ่ามือมาประคองลูบไล้เขาตามกรอบหน้าดิฉัน   ดิฉันเริ่มจะรู้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร   เขาจ้องมาตาเชื่อมหวานทีเดียว  ค่อยๆ โน้มหน้าเขาหาดิฉัน   ดิฉันเอาฝ่ามือป้องหน้าเขาและผลักออกห่าง
        “ฮื่อ...ยังจะมาทำเจ้าชู้พูดเล่นอีก   อ้อยรึอุตส่าห์เป็นห่วง”
        “พี่ไม่ได้พูดเล่น  พี่พูดจริงๆ   อาการไข้ของพี่ตอนนี้  ถ้าอ้อยไม่รีบช่วยรักษา  มันอาจจะกำเริบหนักนะ  ดีไม่ดี ถึงขั้นโคม่าจนพี่ขาดใจตายก่อนน๊า...  แล้วอ้อยอยากให้พี่ขาดใจตายไปต่อหน้าเชียวหรือ”        แน๊...ยังทำมีสำบัดสำนวน  แถมมือไม้เริ่มซุกซนลูบไล้ซอกคอและหน้าอกดิฉันแผ่วเบา  ฝ่ามือหนาของเขาแผ่ประจุไฟฟ้ามาตามจุดที่เขาลูบไล้  ทำเอาดิฉันเริ่มขนลุกซู่   เขายังทำตายิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์จ้องมองจนดิฉันหวั่นไหวอีกแล้ว  
        “ละ....แล้ว   จะให้อ้อย  ระ...รักษา  ยังไงค่ะ”
        “อืม...คนเป็นเมียน่าจะรู้นะ  ว่าโรคคิดถึงเมียต้องรักษายังไง  นะครับคุณหมอคนสวย  ช่วยรักษาคนไข้ที่ใกล้จะตายหน่อยนะคร้าบบ...”   เขาทำตาอ้อยสร้อย  ออดอ้อน   จนดิฉันทั้งอายทั้งอยากจะขำกับท่าทีทำเป็นเด็กขี้อ้อนของคนป่วยจอมเจ้าเล่ห์คนนี้  ผู้ชายหน้าเข้มเวลาเขาทำท่าแบบนี้มันน่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน
        “หมอไม่มีเครื่องมือค่ะ  คงต้องรอไปรักษาที่กรุงเทพฯ  นะคะ”   ดิฉันทำเมินหน้า  เล่นตัว
        “โธ่  น่านะ  อ้อยจ๋า”  เขารุกออดอ้อนเป็นการใหญ่   บดเบียดแรงกำยำเข้าหาดิฉันหนักขึ้น  พยายามดึงหน้าดิฉันกลับไปประจันหน้ากับเขา  แต่ดิฉันก็แสร้งทำขืนแข็ง
        “ฮื่อ...บ้า  พี่กรเนี่ย  นึกคึกอะไรขึ้นมาแต่เช้าค่ะเนี่ย   อย่าเลยคะ”
        “นะๆๆ...อ้อยจ๋า...  ไหนสัญญาว่าจะเป็นเจ้าสาวของพี่ตลอดชีวิต  แล้วนี่จะไม่ตามใจพี่บ้างหรือ”
        เจอทวงสัญญาเข้าเป็นไม้เด็ด  ดิฉันหันหน้าไปประสานตาเขา  ก็เห็นเขาทำหน้าละห้อย   ยื่นหน้าผากมาชนกับหน้าผากดิฉัน  ปลายจมูกเราก็จรดกัน   ดวงตาเราที่จ้องประสานกันห่างแค่ไม่เกิน 2 นิ้ว  เหมือนตาเขามีอำนาจที่ทำให้ดิฉันใจอ่อนละลายทุกทีหากเขาจดจ้องแบบนี้  ก็หมดหนทางที่จะเล่นตัวแล้วค่ะ  ในใจลึกๆ ดิฉันก็ปรารถนา  โหยหาความรักจากเขาเป็นทุนอยู่แล้ว  ยิ่งง่ายต่อการโอนอ่อนตามเขา  เมื่อคนที่เรารักที่สุดในชีวิตออดอ้อนขนาดนี้  คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ลงคอหรอกคะ
        “แต่นี่มันยังเช้ามืดอยู่นะคะ  ไม่กลัวเสียงดังไปห้องข้างๆ หรือไงค่ะ  อ้อยอายเขานะ”   ดิฉันยังอิดออด เสียงแผ่วเบา
        “เราก็เบาๆ  เสียงสิจ๊ะที่รัก  น่านะ  จะปล่อยให้พี่อกแตกตายหรือไง   ตกลงจะไม่ยอมใช่มั้ย”   เขาทำหน้าถอดใจจนดิฉันใจหาย  ทุกครั้งที่เขาอยากร่วมรักดิฉันเขาต้องให้ดิฉันพร้อมใจให้เสมอ  ไม่เคยขืนใจสักครั้ง  แล้วใครจะกล้าขัดใจสามีที่น่ารักอย่างนี้ละคะ
        “มีครั้งไหนที่อ้อยขัดใจพี่กรสักครั้งละคะ  ที่รัก”   ดิฉันส่งยิ้มหวานเอาใจ เอื้อมมือโอบคอเขาตอบรับ พี่กรสีหน้าลิงโลดขึ้นมาทันที
        แล้วเราสองคนที่ประชิดหน้ากันอยู่  แค่ขยับนิดเดียวริมฝีปากเราทั้งคู่ก็ประกบกันแล้ว  พี่กรจุมพิตริมฝีปากดิฉันแผ่วเบา  ดิฉันก็ยื่นตอบรับ  เราต่างแลกแตะริมฝีปากกันเล่นอย่างใจเย็น   ดิฉันพลิกตัวขึ้นคร่อมสามี  ยิ้มแย้มให้เขาโน้มหน้าเข้าจุมพิตไปตามหน้าผาก  แก้ม ระไปเรื่อยตามซอกคอแล้วก็สลับไล่ขึ้นมาใหม่  เช้านี้ใบหน้าพี่กรเกลี้ยงเกลา สงสัยไปโกนหนวดเคราออกตอนที่เขาตื่นนอนแล้ว  ผิดกับเมื่อวานที่ยังครึ้มสากเกือบเต็มแก้มและคาง  ทำให้ดูสดใสขึ้นเป็นกอง
        “จะให้หมอตรวจไข้ตรงไหนบ้างคะ  คนป่วยยอดรัก”   ดิฉันถามแผ่วเบา  ด้วยเกรงว่าสุ้มเสียงของเราทั้งสองจะดังเล็ดลอดไปห้องข้างๆ   ส่งตาเย้ายวนพี่กรที่นั่งพิงหมอนที่หัวเตียงยิ้มอย่างชอบใจ  พลางตอบมาด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำแทบจะเป็นกระซิบเช่นกัน
        “แล้วแต่คุณหมอครับ  แต่ตอนนี้  อยากให้หมอวัดไข้  ตรงนี้”
        เขาชี้ไปที่ริมฝีปาก  ดิฉันก็โน้มหน้าเข้าหาพร้อมประกบปากจูบอ้อยอิ่ง   แนบอกเบียดกับแผ่นอกหนาของเขา  กดสะโพกบดเบียดหว่างขาให้เสียสีหน้าท้องเขาส่ายโยกแผ่วเบา   พี่กรก็เอื้อมมือลูบไปตามสะโพกเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ  ทุกสัมผัสเราทำกันอย่างแผ่วเบานุ่มนวล   ดิฉันยังประทับจูบพี่กรอย่างไม่รู้เบื่อ  เขาก็คงเช่นกัน  ลมหายใจสองเราพ่นรดกันเป็นระยะ เริ่มมีเสียงครางแผ่วเบาขึ้นมา  เราจูบกันโดยยังไม่ได้แลกลิ้นลิ้มรสชิวหากันด้วยซ้ำ  ไม่รู้สิคะ  ก็อย่างที่เคยบรรยายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าต่อให้จูบกันกับพี่กรข้ามวันดิฉันก็ไม่มีวันเบื่อ   ดิฉันบดเบียดร่างส่ายเสียดสีกับเขาเป็นระยะ  จากนั้นเราก็ค่อยๆ ชำแรกลิ้นตวัดล้อกัน  สลับเม้มปากดูดดุนเล่นไม่รู้อิ่ม  บางครั้งก็สลับงับขบเม้มริมฝีปากของเขาทั้งกลีบล่างกลีบบน พี่กรเม้มตอบสลับกัน  พี่กรงับดูดปลายลิ้นดิฉันเล่น ดิฉันสลับทำตอบ  พี่กรสอดมือแข็งแรงของเขาผ่านหน้าท้องของเราที่เบียดทับกันอยู่ ดิฉันต้องยกตักช่วยให้ทางสะดวก  เขาใช้ฝ่ามือสอดไปถึงหว่างขาดิฉันแล้วลูบตรงเนินเนื้อส่วนนั้นที่ยังมีแพนตี้ลายลูกไม้ปกปิดอยู่  แต่ก็ทำให้เลือดดิฉันสูบฉีดแล่นไปทั่วร่างได้  เอวดิฉันส่ายเป็นจังหวะไปโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ยังแลกจูบกับเขาอย่างอ้อยอิ่ง  เมื่อดิฉันถอนใบหน้าออกส่งยิ้มหวานพริ้มพราย  จ้องประสานตาเขาไม่กระพริบ
        “เป็นไงคะ ที่รักขา...  หายคิดถึงเมียหรือยัง”   ดิฉันพูดแผ่วเบาเกือบเป็นเสียงกระซิบด้วยน้ำเสียงกระเส่าฉอเลาะ
        “ยังเลย  นี่แค่ตรวจอาการ  ยังไม่รักษาเสียหน่อย”  เขาตอบพร้อมหรี่ตาบอกความนัย  ทำให้ดิฉันนึกสนุกยอมตามน้ำเล่นมุขกับเขาไปด้วย
        “งั้นเดี๋ยวอ้อยขอตรวจให้ละเอียดก่อนนะคะ”  
        “ตรวจให้ทั่วร่างนะ  จะได้รู้ว่ามันเป็นอะไร  ทำไมคิดถึงเมียไม่หาย  เรายังมีเวลากันเหลือเฟือ”
        เขาตอบกระซิบแผ่วเบาพอได้ยินกันแค่สองคน   ดิฉันลุกมานั่งข้างกายเขาและรีบถอดเสื้อของเขาออก  พอถอดทิ้งไว้ข้างกายแล้ว ก็ค่อยๆ โน้มร่างลงต่ำมาที่แผงอกเขาที่มีไรขนจางๆ ไม่มากนัก  เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แน่นเครียด  ดิฉันพรมจูบไปจนทุกตารางนิ้ว  แถมขบเม้มที่หัวนมเม็ดเล็กๆ ของเขาไปด้วย  อีกข้างก็ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเล่นจนมันแข็งชันขึ้น  เสียงพี่ผ่อนลมหายใจทางจมูกแรงขึ้นเป็นช่วงๆ  ดิฉันค่อยๆ เลื่อนจูบลงไปที่หน้าท้องเกร็งเครียดมีลอนกล้ามเป็นก้อนพอเห็นเป็นร่าง   ริมฝีปากดิฉันจุมพิตนิ่มนวลไปแทบทุกตารางนิ้ว  และเริ่มถอยลงมาถึงท้องน้อย  เงยหน้าเอี้ยวส่งยิ้มให้สามีที่จ้องมองตาม  เพราะตอนนี้เราแทบจะกลับหัวกลับหางให้กันแล้ว บั้นท้ายดิฉันแอ่นโด่งอยู่ข้างเขา  ดิฉันรูดขอบกางเกงเขาออก  ค่อยๆ งัดแท่งเนื้อที่ยังไม่แข็งเต็มตัวจนมันเผยโฉมออกมา  ค่อยๆ โน้มริมฝีปากเข้าหาและจุมพิตมันแผ่วเบาที่ตรงปลายลำ  ดิฉันรูดมันเล่นจนหนังหุ้มรูดลงเผยอเนื้อในโผล่มากจนเกือบสุด แตะริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบา  เจ้าแท่งเนื้อของเขาเริ่มมีเลือดสูบฉีดจนอุ่นมือ  ดิฉันก็ยังจุมพิตเล่นเบาๆ  แต่พี่กรกลับเกร็งหน้าท้องเป็นระยะ   เช้านี้ดิฉันตั้งใจอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด  จึงไม่ค่อยเร่งร้อนที่เล้าโลมรุนแรงและเร่าร้อนอย่างที่เคยทำ  แต่คงอีกไม่นานนี้  คงได้สุขใจกันละคะ.....   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น