วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สามีที่รัก ตอนที่ 13 หวานได้อีก



        ดิฉันกับพี่กรใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่น   ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันถึงแม้เรื่องบนเตียงจะไม่ได้มีบ่อยครั้ง  แค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง  ดิฉันก็มีความสุขดี  ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านั้น แค่เราสองคนเข้าอกใจกันก็เกินพอ  นับวันดิฉันยิ่งได้เห็นความรักเอาใจใส่จากเขามากขึ้นจนไม่คิดว่าดิฉันจะต้องการอะไรจากเขาอีกแล้ว  ยังนึกย้อนหลังไปว่าถ้าหากดิฉันไม่ใช่คนที่เชื่อฟังคำของพ่อแม่และพี่ชาย  ดื้อดึงไม่ยอมแต่งงานกับพี่กรตั้งแต่แรก  ก็ไม่รู้ว่าชีวิตดิฉันจะมีความสุขได้อย่างที่เป็นอยู่นี่หรือเปล่า  ระยะหลังนี้พี่กรชักจะหวานขึ้นทุกวันๆ
        “ที่รัก   วันนี้จัดบ้านเสร็จ  ไปหาพี่ที่ออฟฟิตนะ”  พี่กรเอ่ยขณะที่ดิฉันเดินเกาะแขนออกมาส่งหน้าบ้าน
        “ทำไมเหรอค่ะ”
        “ก็....อยากทานข้าวกลางวันกับเมียบ้าง  ไม่ได้หรือไง”
        “ฮื่อ...เช้ากับเย็นก็ทานด้วยกันตลอดอยู่แล้วนี่ค่ะ”
        “ไม่รู้สิ  นะๆๆ ที่รัก  ไม่ต้องทำกับข้าวไปหรอก  เราไปหาร้านทานที่โรงงานเลย   ไม่เห็นหน้าอ้อยแล้วพี่ชักทานข้าวไม่ค่อยลง”    แน้...เดี๋ยวนี้ชักจะปากหวานขึ้นทุกวันค่ะ  ไม่เคยนับอายุตัวบ้างหรือไงไม่รู้คะ  เขาก็ 30 กว่าแล้วแต่ยังทำปากหวานยังกะวัยรุ่นก็ไม่ปาน  ดิฉันหมั่นใส้  แต่ในใจก็อดวาบหวามปลาบปลื้มกับคำนั้นไม่ได้  ทำทีหยิกแขนเขาเบาๆ  แต่ก็พยักหน้ารับคำสามี
        “ก็ได้ค่ะ ที่รัก  ขออ้อยจัดเก็บบ้านให้เรียบร้อย  แล้วจะตามไปค่ะ  ขับรถดีๆ นะคะ”
ว่าพลางก็จุ้บแก้มเขาแล้วก็ปล่อยเขาขับรถออกไป  ดิฉันยืนส่งยิ้มโบกมือให้สามีจนเขาขับออกจากบ้านไปแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้าน  แต่หันหลังกลับได้เพียงสองสามก้าว
        “แหม...  น้องกร  น้องอ้อย   สวีทหวานกันไม่สร่างเลยนะจ๊ะ”  เสียงคุณพี่เพื่อนบ้านที่สนิทคุ้นเคยคนหนึ่งที่อยู่รั้วติดกันเย้าแหย่ข้ามรั้วมา
        “อุ้ย..  พี่กานดา  วันนี้ไม่ได้ไปทำงานเหรอค่ะ”  ดิฉันหันไปทักยิ้มให้และก็เดินไปหาเธอที่รั้วกั้น
        “ไม่จ๊ะ วันนี้วันหยุดของพี่  และก็พอดีวันนี้แฟนพี่จะมาเยี่ยม  ก็เลยอยู่ต้อนรับเขาหน่อย   วันนี้น้องอ้อยมาอยู่คุยด้วยกันสิจ๊ะ   อยากให้อ้อยมาช่วยทำของกินกัน เพื่อนพี่ก็จะมากัน 2-3 คน  เราจะมีปาร์ตี้กันนิดหน่อย”
        “อืมม....วันนี้คงไม่ได้แล้วค่ะ  รับปากพี่กรว่าจะไปทานข้าวกลางวันกันแล้ว  สักหน่อยอ้อยจัดเก็บของเสร็จก็จะตามพี่กรไป”
        “แหม... เดี๋ยวนี้  ติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยนะจ๊ะ   พี่ล่ะอิจฉาจัง  น้องอ้อยมาอยู่นี่เกือบ 3 ปีแล้ว พี่ยิ่งเห็นเธอสองคนหนุงหนิงหวานแหววกันมากขึ้นทุกวัน  เฮ้อ..พี่สิ  นานๆ แฟนจะมาหาสักที  ไม่รู้จะเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้”
        “พี่ก็รีบแต่งกันสักทีสิคะ  จะได้มาอยู่ด้วยกัน”
        “พี่ก็อยากอ่านะ  นับวันอายุก็เยอะแล้ว  ใครจะไม่อยากแต่ง  แต่แฟนยังไม่พร้อม   ว้า..เสียดายจัง  พี่เลยขาดเพื่อนแม่ครัวมือหนึ่งไปซะแล้ว  รู้หรือเปล่าว่าคุณวิโรจน์น่ะ  เขาอยากให้พี่ทำกับข้าวเก่งเหมือนอ้อย  เขาบอกว่าที่น้องกรเขารักน้องอ้อยขนาดนี้  คงเพราะติดเสน่ห์ปลายจวักแน่ๆ   เมียสวยไม่พอแถมงานบ้านก็เก่ง  ความรู้ก็สูง  จนพี่อิจฉา  บางครั้งพี่หมั่นใส้แฟนจนยุประชดให้แฟนมาแย่งน้องอ้อยด้วยซ้ำ  ฮิๆๆ”
        “แหม..  อ้อยก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่กานดาก็น่ารักออก  ไม่งั้นพี่วิโรจน์คงไม่ลงทุนเทียวมากหาหรอกคะ  จากภูเก็ตมา กทม. ก็ไม่ได้ใกล้นี่คะ  อืมม.พี่กานดาคะ  งั้นอ้อยเอาอาหารที่ทำไว้มาให้พี่ๆ ก็ได้นะคะ  เพราะอ้อยไม่ได้อยู่ทานกลางวัน  ที่จริงอ้อยก็ตั้งใจว่าจะแบ่งให้พี่กานดาแต่แรกอยู่แล้ว  เดี๋ยวอ้อยทำอะไรง่ายๆ ไว้เพิ่มให้ด้วย  ก่อนจะไปโรงงาน  ดีมั้ยค่ะ  ฝากบอกพี่วิโรจน์ด้วยนะคะว่าน้องสาวยังคิดถึงอยู่  ไว้ว่างๆ จะชวนมาปาร์ตี้พร้อมหน้ากันทุกคนเลย”
        “อู้ยย...ขอบใจจ๊ะ  น้องสาว”   พี่กานดายิ้มอย่างยินดี

        ขณะที่ดิฉันเตรียมจัดอาหารที่ทำเพิ่มบางส่วนไปให้พี่กานดา  หูก็ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูบ้าน  เป็นสัญญาณว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา  ซึ่งปกติจะต้องกดออดก่อน  แต่ถ้าไม่ใช่ใครอื่นก็ต้องพี่กรคนเดียวที่ทำแบบนี้ เขาอาจจะลืมของหรือเปล่าไม่ทราบ ดิฉันเอ่ยทักออกไปโดยยังไม่ทันได้หันไปมอง
        “ลืมอะไรเหรอค่ะ  ที่รัก”   พักหลังๆ ดิฉันเรียกเขาด้วยคำนี้บ่อย  รู้สึกมันมีความสุขยังไงไม่รู้ค่ะ  ดิฉันชะงักเมื่อไร้เสียงตอบกลับ  จึงหันไปดู  พอเห็นว่าเป็นใครดิฉันแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
        “อุ้ย.....พี่อ๋อง  คุณพ่อ  คุณแม่  ”
        “โห่ะๆๆ   เดี๋ยวนี้แกเรียกไอ้กรว่าที่รักเลยเรอะ”   พี่อ๋องยืนกอดอกเลิกคิ้วยิ้มทะเล้นเย้าแหย่ดิฉัน  ดิฉันได้แต่อึกอักๆ  ปั้นหน้าไม่ถูก  เพราะเล่นปล่อยไก่ไปแล้ว
        “เอ่อ... แล้วมากันได้ไงค่ะเนี่ย  แล้วทำไมมากันเงียบๆ”   ไม่รู้จะตอบยังไงจนต้องเฉไฉไปทางอื่น
        “พี่กับแม่และพ่อไปทำธุระที่อิสาน ก็เลยพากันแวะไปปากช่อง  บ้านไอ้กรมันด้วย  แม่ไอ้กรเขาฝากของมาให้ลูกสะใภ้ด้วย  พี่ก็เลยพาพ่อแม่ขับรถแวะเอามาฝากก่อนจะกลับบ้าน  ก็แค่อยากมาดูว่าอยู่กันสบายดีมั้ย แล้วแกก็ไม่ล้อกประตูรั้ว กับประตูบ้านนี่หว่า  พี่ก็เลยพาพ่อแม่เดินเข้ามาเลย  เผื่อแอบมาได้เห็นอะไรดีๆ  ฮ่ะๆๆๆ”  พี่อ๋องพูดไปหัวเราะไป ดิฉันก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ล้อกประตูรั้วหน้าบ้าน กับประตูบ้าน  เพราะคิดว่าสักพักก็จะออกไปแล้ว
        “เป็นไงจ๊ะ  ลูกแม่  ฮึๆๆ  หน้าตาสดชื่นกว่าตอนพ่อกรไปอเมริกาอีกนะ  หืมม..”  คุณแม่เดินมาโอบดิฉันพร้อมประคองมือลูบหน้าดิฉันเย้าหยอก  คุณแม่ทำราวกับดิฉันยังเป็นลูกสาวคนเล็กที่ไม่รู้จักโตอยู่เช่นเคย
        “แหม..คุณแม่ก็..”
        “เออ..  รักกัน  เข้ากันได้แบบนี้ก็ดี  พ่อก็สบายใจหน่อย  แรกๆ พ่อก็ยังกลัวว่าจะเข้ากันไม่ได้  แต่พ่อมองตาไอ้กร  พ่อก็เชื่อมั่นเหมือนกับเจ้าอ๋องมันนะ  ว่าไอ้กรมันน่าเชื่อใจได้  ดวงตามันซื่อ จริงจังดี   เห็นอยู่กันมีความสุขแบบนี้  พ่อก็เบาใจขึ้นเยอะ  แถมตอนนี้ที่โรงงานเจ้ากรมันก็ดูแลได้อย่างดี  ปรับปรุงพัฒนามาตรฐานขึ้นมาได้เยอะ   ตอนนี้พ่อกับแม่ก็รออยู่แค่ว่า  เมื่อไหร่พ่อจะได้อุ้มหลานสักทีล่ะ  หรือว่าไอ้กรมันไม่ได้เรื่องอย่างว่า”   คำถามคุณพ่อก็เล่นเอาดิฉันหน้าแดงขึ้นมาอีก  ก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
        “เอ่อ...คุณพ่อก็...”
        “ฮื่อ..คุณนี่  ไปพูดอะไรแบบนั้น  ลูกมันก็อายนะ   เอ้อ..นี่  อ้อย  แม่สมรเขาฝากของมาให้อ้อยด้วย”  คุณแม่หันไปค้อนคุณพ่อ  แล้วก็พาดิฉันมานั่งที่ห้องรับแขก  หยิบกระเช้ามายื่นให้
        “อะไรคะ”
        “ก็ยาบำรุงเลือด อะไรพวกนี้แหละ  ทางโน้นเขาก็อยากอุ้มหลานเหมือนกัน  อ้อยก็ลองใช้ดู  ผู้หญิงเราต้องมีบำรุงกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ  จะได้ช่วยให้เลือดลมดีมีน้ำมีนวล  มีหลานให้แม่ไวๆ  นี่ก็จะ 3 ปีแล้วน่าจะมีกันได้แล้วนะ”   นึกว่าจะโดนคุณพ่อแหย่คนเดียว  คุณแม่ก็เอาด้วยซะอย่างงั้น  จนดิฉันได้แต่อิดออดเอียงอาย
        “คุณแม่....”   ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้นอกจากค้อนเสียงสูง
        “ฮ่าๆๆ   ที่จริงผมว่านะแม่  คงไม่ต้องบำรุงกันหรอก  ดูท่ายัยอ้อยมันออกจะเห่อผัวมันขนาดนี้แล้ว ไม่เห็นเหรอแม่ ตอนไอ้กรไปอเมริกา ยัยอ้อยไปอยู่กับเรา นั่งซึมกระทือยังกะแบกโลก  พอผัวกลับมาหน้างี้บานเป็นกระด้ง ไม่นานพวกเราได้รับขวัญหลานแน่ๆ  จริงมั้ยอ้อย”   น่าน.....  โดนพี่อ๋องสำทับมาอีกระลอก  ไปไม่เป็นแล้วค่ะ  ได้แต่ค้อนคนนั้นคนนี้ตาปะหลับปะเหลือก  ทุกคนก็พากันหัวเราะกับอาการเขินอายของดิฉัน
        “เอ้อ  อ้อยไปบ้านด้วยกันมั้ยลูก  ไปทานข้าวกันที่บ้าน  เย็นๆ ค่อยกลับมา”  คุณพ่อชวน
        “อ้อยคงไปไม่ได้แล้วค่ะ คุณพ่อ  อ้อยรับปากจะไปทานข้าวกับพี่กรที่โรงงานแล้วค่ะ”
        “น่าน  เห็นมั้ย  แม่  พ่อ   มันติดผัวจนแทบจะเดินตามกันแล้ว”
        “ฮื่อ..  ตาอ๋องนี่ก็  ไปแหย่น้องอยู่เรื่อย  ผัวเมียกันมันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ  รักกันแบบนี้ก็ดีแล้ว  เห็นลูกแม่ดีขึ้นแบบนี้ก็เบาใจได้หน่อย  เดือนก่อนน่ะ  เห็นหน้าหงอยเชียว   เอาล่ะ  ถ้างั้นแม่กับพ่อกลับบ้านก่อนนะลูก  นั่งรถกันมานานหลายชั่วโมง  เมื่อย  อยากนอนพักเหมือนกัน”   คุณแม่ลุกพร้อมชวนคุณพ่อและพี่ชายเตรียมที่จะกลับ
        “ค่ะ  คุณแม่  ขอบคุณนะคะแม่  สำหรับของฝาก”
        “จ้า  หมั่นดูแลสุขภาพก็แล้วกัน  เอาใจใส่ดูแลกันดีๆ ล่ะ  รักกันให้มากๆ นะลูก  อย่าให้คนฝากเขาผิดหวัง”
        “ค่ะ  บ๊ายบายคะ พ่อ แม่”
        “พี่ไปก่อนนะจ๊ะ  ที่รัก”   พี่อ๋องยื่นหน้ามาอำลา ยิ้มกวนประสาทจนดิฉันต้องฟาดฝ่ามือเข้าที่ไหล่อย่างเหลืออด พี่อ๋องไม่สะทกสะท้านอะไร  กลับหัวเราะร่าชอบใจ เพราะเขามักจะหาเรื่องเย้าแหย่ดิฉันเป็นประจำเมื่อตอนอยู่บ้านด้วยกัน  เรียกว่าเป็นคู่หูคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะพาคุณพ่อคุณแม่ขึ้นรถกลับบ้านไป

        จากนั้นดิฉันจึงขึ้นแท็กซี่ไปหาพี่กรที่โรงงาน ที่จริงก็มีรถอยู่อีกคัน แต่ดิฉันไม่อยากจะเปลือง ตั้งใจว่าขากลับก็นั่งรถกลับพร้อมกับสามีดีกว่า  ทานข้าวกลางวันด้วยกันอย่างที่เขาต้องการแล้ว  พี่กรก็ให้ดิฉันอยู่ช่วยงานต่อ  และเพิ่งจะมารู้ว่า  พี่กรอยากให้ดิฉันเข้าไปช่วยงานที่โรงงานในตำแหน่งของเขาด้วย  เพราะพี่กรรับงานเป็นหุ้นส่วนกับพี่แคทและแฟนเขาทำบ้านพักตากอากาศที่เพชรบุรี  ทำให้พี่กรต้องมีเวลาน้อยลงไปอีก  เขาเลยอยากสอนให้ดิฉันศึกษางานของเขา  ซึ่งดิฉันเองก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน  เรียนจบมาก็ยังไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถสักเท่าไหร่  อยู่ทำแต่งานบ้านอย่างเดียว ไม่ค่อยได้ออกเปิดหูเปิดตา   อย่างน้อยก็ได้มีส่วนช่วยสามีทำงานบ้าง  และดิฉันเองว่าไปโดยฐานะหน้าที่ก็คือเจ้าของโรงงานแต่เดิม  จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากสักเท่าใด  ก่อนจะแต่งงานก็เคยมาช่วยคุณพ่อกับพี่ชายอยู่บ้างแล้ว  
        จนเมื่อถึงเวลาเลิกงาน  พี่กรก็พาดิฉันนั่งรถออกจากโรงงาน  แต่ที่แปลกใจก็คือ  ไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้าน  แต่กลับเป็นสวนสาธารณะซึ่งไม่ห่างจากโรงงานมากนัก  สถานที่แห่งนี้ร่มรื่นเย็นสบาย   ตั้งแต่เด็ก ดิฉันมักจะผ่านที่แห่งนี้ประจำเวลาไปโรงเรียน  หรือแม้แต่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม  ดิฉันชอบจะแวะมาที่นี่เสมอ บางครั้งก็มานั่งเล่น ทำการบ้านกับเพื่อน ก่อนกลับบ้านหรือมาจากที่บ้าน ก็จะแวะมานั่งเล่นสูดอากาศยามเช้าก่อนไปโรงเรียน  นี่ก็หลายปีที่ไม่ได้เยื้องกรายเข้ามาที่นี่  ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับมาย้อนรำลึกอดีตอีกครั้ง   พี่กรเดินโอบดิฉันเดินเคียงคู่ไปเรื่อยราวกับอยากซึมซับเอาความสดชื่นเข้าปอด  เขาไม่พูดจาอะไรเลย  ดิฉันได้แต่อิงแอบเดินคู่กับเขา ลอบเงยหน้ามองเขาหลายครั้ง  แต่ก็ยังไม่กล้าถามอะไร  ทั้งที่จริงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไงถึงได้พาดิฉันมาที่นี่  เวลานั้นราวๆ 5 โมงเย็นแล้ว  แสงอาทิตย์เริ่มอ่อน  ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มแก่ และเริ่มครึ้มลง  ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ  ผู้คนที่พากันมาออกกำลังกายหรือมาพักผ่อนหย่อนใจ ก็เริ่มพากันทยอยกลับ  คงเหลือประปราย  จะมีบ้างก็หนุ่มสาววัยรุ่นที่พากันเดินเกาะเกี่ยวควงแขนกันเดินเล่นเป็นระยะๆ บรรยากาศแถบชานเมืองกรุงเทพฯ  ยามนี้มันน่ารื่นรมย์จริงๆ ถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่สว่างสดใสมากนัก  แต่ก็ทำให้หัวใจสดชื่นได้เสมอเมื่อยามมาที่นี่ พี่กรพาดิฉันเดิมมาถึงริมสระน้ำ ที่มีน้ำพุพ่นละอองน้ำอยู่กลางสระอยู่เป็นระยะ  ที่ตรงนั้นมีม้านั่งยาว วางอยู่เป็นระยะห่างๆ ตามริมสระ  เขาจึงพาดิฉันหยุด

        “รอพี่อยู่นี่แป้บนึง  เดี๋ยวพี่มา”   ดิฉันได้แต่ขมวดคิ้ว  ยังไม่เข้าใจอะไร  จนเมื่อเขากลับมาพร้อมไอศกรีมถ้วยใหญ่และน้ำอัดลมกระป๋อง  เขายื่นมาให้ดิฉันพร้อมกับนั่งที่ม้านั่งยาวเคียงข้างกัน  ดิฉันได้แต่เอียงคอยิ้มมองหน้าเขาแทนคำถาม  พี่กรจึงได้เอ่ยออกมา
        “อ้อยจำได้มั้ย  ตรงฝั่งด้านโน้น”  เขาชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่ได้ไกลนัก  ตรงบริเวณนั้นจะเป็นลานหญ้ากว้างๆ มีต้นจามจุรีต้นใหญ่อยู่ 2-3 ต้น แผ่กิ่งก้านออกกว้างให้ความร่มรื่น  และมีโต๊ะหินอ่อน อยู่กลางลานหญ้าใต้ต้นจามจุรีนั้น
        “จำได้สิคะ  ก็ตรงนั้นอ้อย จะมานั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ อยู่ประจำ  ตอนเช้าๆ  อ้อยก็จะมานั่งรอเพื่อนก่อนไปเรียน  ทำไมเหรอคะ”   ดิฉันตอบพลางเอาช้อนพลาสติกตักไอศกรีมป้อนเขาอย่างเอาใจ สลับกับตักทานเอง
        “พี่ชอบมานั่งเล่นตรงนี้  ตอนพี่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ  ก่อนจะได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา”
        “แล้วไงละคะ”
        “พี่ได้เจอผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง  ตอนเช้าก็มารอใส่บาตร  และก็รอเพื่อนก่อนไปเรียน   และตอนเย็นก็จะเห็นมานั่งอ่านหนังสือ  หัวเราะหยอกล้อกับเพื่อนๆ  สนุกสนาน  รู้สึกชอบเธอคนนั้นขึ้นมา  ไม่รู้สินะ  พี่ชอบจะแอบมานั่งรอมองเธอคนนั้นจากฝั่งนี้   จนคิดฝันไปว่าเราจะมีโอกาสได้รู้จักกับเธอคนนั้นหรือเปล่าน้อ...”   ดิฉันได้แต่อึ้ง  เมื่อคิดตามคำพูดของเขา พูดอะไรไม่ออก  หันมามองหน้าสามี  เขายังคงมองไปยังที่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้ายิ้มแย้ม
        “จนมารู้ทีหลังว่าเป็นน้องสาวเพื่อน   แต่พี่ก็ไม่เคยกล้าจะเข้าไปหาไปทักทายทำความรู้จัก  ก็ได้แต่มานั่งรอให้ได้เจอหน้า  วันไหนที่เธอคนนั้นไม่มา  เหมือนรู้สึกว่าอะไรมันขาดหายไปสักอย่าง  จนพี่ไปเรียนต่อที่อเมริกา  พี่ก็ยังจดจำที่ตรงนี้ไม่เคยลืม”
        “พี่กร....”  ดิฉันได้แต่ครางเรียกชื่อเขา  เมื่อคิดตามคำพูดและเริ่มเข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร  ไอศครีมที่กำลังตักทานและป้อนเขาไปด้วยชะงักค้างสนิท
        “ในที่สุด  พี่คิดว่าคงทนไม่ไหวแล้ว  จึงได้บอกความรู้สึกกับพี่ชายคนนั้นและขอความช่วยเหลือจากเขา  จนมาวันนี้  สาวสวยที่อยู่ฝั่งโน้น  ก็ได้มาอยู่คู่กับพี่ที่ฝั่งนี้  และนั่งอยู่ตรงนี้”  พี่กรเอื้อมมือมาลูบใบหน้าดิฉันเบาๆ  มองหน้าดิฉันตาเป็นประกายหวานซึ้ง
        “หมายความว่า...”
        “พี่แอบรักอ้อยมาตั้งนานแล้ว  พี่แอบมองอ้อยมาตลอด  อ้อยคงไม่รู้หรอกมั้งว่าพี่มานั่งที่ตรงนี้ตั้งเกือบสองปี”
        “เอ่อ...อ้อยไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ   แล้วทำไมพี่กรถึงเพิ่งมาบอกวันนี้ล่ะคะ”
        “ก็.....ไม่รู้จะบอกไงดี  ก็วันนี้มันเกิดอยากบอกขึ้นมา”  พี่กรก็ออกอาการเขินๆ เหมือนกัน
        “แล้วพี่กรกับพี่อ๋องรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่  ทำไมอ้อยไม่เคยเห็นพี่สักครั้ง”
        “จำได้มั้ย  เจ้าอ๋องเคยถูกงูกัดที่ อ.มวกเหล็ก ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือ   ค่ายนั้นเป็นของป้าพี่เอง  ตอนนั้นพี่ไปเยี่ยมคุณป้า  ก็เลยได้ช่วยงานดูแลอำนวยความสะดวกให้กับคณะครูและนักเรียนที่ไปเข้าค่าย  พี่เป็นคนช่วยเจ้าอ๋องไปส่งโรงพยาบาล และรับผิดชอบอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลแทนเพื่อนนักเรียนที่ต้องอยู่ค่ายอบรมกันต่อ  เราก็ได้รู้จักคุ้นเคยกันตอนนั้น สองวันต่อมาครอบครัวอ้อยก็เดินทางไปเยี่ยมตาอ๋องและรับตัวมารักษาต่อที่กรุงเทพฯ  มีอ้อยคนเดียวที่ไม่ได้ไปด้วยในตอนนั้น  พี่ก็พอได้รู้จักกับพ่อแม่ของอ้อยประมาณหนึ่ง  และตอนมาเรียนที่กรุงเทพฯ  พี่ก็เรียนมหาลัยเดียวกับเจ้าอ๋อง คนละคณะ  แต่อยู่ใกล้ๆ กัน  พี่ก็เลยเริ่มรู้จักสนิทกันขึ้น พี่เคยมาลองฝึกงานตอนเป็นนักศึกษาที่โรงงานของเราด้วยนะ ในระยะสั้นๆ โดยเจ้าอ๋องเป็นคนนำมาฝากกับพ่อของอ้อย  แต่ตอนนั้นอ้อยอาจจะไม่เคยเห็นพี่  เพราะอ้อยยังเรียนมัธยมอยู่  ไม่ค่อยได้เข้ามาที่โรงงาน  ตอนอ้อยมาพี่ก็หลบไปที่อื่น  ตอนรู้ว่าอ้อยเป็นน้องสาวเจ้าอ๋อง พี่ก็บอกกับมันนะว่าพี่สนใจอ้อย  พอเจ้าอ๋องยุให้พี่มาทำความรู้จักกับอ้อย  แต่ตอนนั้นพี่อาย และพี่ก็คิดว่าพี่คงไม่มีอะไรไปเทียบกับอ้อยได้   ก็เลยบอกเจ้าอ๋องว่าอย่าเพิ่งบอกให้อ้อยรู้ จนกว่าพี่จะแน่ใจว่าตัวเองพร้อมและนั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่พี่ไม่เคยไปเล่นกับเจ้าอ๋องที่บ้านอ้อยเลยสักครั้ง  จนพี่กลับมาเยี่ยมพ่อตอนเรียนอยู่อเมริกาในช่วงปิดเทอม พี่มาหาเจ้าอ๋องและให้คำมั่นสัญญากับเจ้าอ๋องว่า  พี่กลับไปเรียนต่อที่อเมริกา  เมื่อจบกลับมาพี่จะมาทำความรู้จักกับอ้อยให้เป็นเรื่องเป็นราว”

        “มิน่าล่ะ  พี่อ๋องถึงกีดกันพวกผู้ชายที่เข้ามาหาอ้อยนักหนา   แต่พอพี่กรมาสู่ขอกลับเปิดทางช่วยเชียร์ออกหน้าออกตา  แต่อ้อยก็ยังสงสัยอยู่ดี  ทำไมพี่อ๋องกับพ่อถึงได้ปลื้มพี่กรนัก  ไม่มีใครค้านสักคน  อ้อยเคยแกล้งถามเลียบเคียงก็ไม่มีใครบอก”
        “อืม...ห่ะๆๆ  อันนี้พี่ก็ไม่รู้แน่ชัด  แต่เจ้าอ๋องมันบอกว่าพี่กล้าทำ  และทำจริง ทีแรกมันก็บอกไม่อยากเชื่อเท่าไหร่  แต่ตอนพี่กลับมาและพูดคุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราว  มันก็เห็นว่าพี่เอาจริงก็เลยยอมตาม”
        “กล้าเหรอคะ  ฮึๆๆ...กล้ามาก....แต่ไม่ยอมมาเจอหน้าทำความรู้จักกับอ้อยด้วยซ้ำ จะมาจีบเป็นแฟนก็ไม่เคย แถมยังมัดมือชกให้แต่งงานด้วยอีกต่างหาก  ที่จริงอ้อยน่าจะคัดค้านไม่ยอมแต่งงานในตอนนั้นก็สิ้นเรื่อง   ไม่น่าจะยอมแต่งงานกับผู้ชายขี้ขลาดเล้ย”   ดิฉันเชิดหน้าใส่
        “ถ้าอ้อยไม่ยอมแต่งงานตอนนั้น  พี่คงเสียใจไปอีกนาน  แต่ตอนนี้พี่มีความสุขที่สุด  ที่พี่ได้อยู่กับคนที่พี่แอบรักมานาน   และพี่ก็ให้สัญญาว่าจะรักอ้อยตลอดไปตราบนานเท่านาน”

        พี่กรดึงร่างดิฉันเข้าหาโอบกระชับ  ดิฉันก็แอบอิงซบกับแผงอกเขา  แหงนหน้ามองจากใต้คางเขาจ้องมองที่ใบหน้าคมเข้มที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้  ดวงตาเขามีประกายจริงจัง  จนใจดิฉันพองโต  ปลาบปลื้ม  ใครจะไม่ปลื้มละคะ  พี่กรเคยบอกว่าแอบรักดิฉันมานาน  แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าเขาแอบรักมานานขนาดนี้  วันนี้เขาได้สารภาพเรื่องราวที่ดิฉันเคยคลางแคลงออกมาทั้งหมดแล้ว
        “ฮึๆๆ.....  วันนี้เป็นอะไรน๊า....  คุณสามีของอ้อยมาปากหวานนั่งจีบเมียตัวเอง  ทีก่อนแต่งงานไม่เคยปากหวานป้อยอจีบอ้อยสักคำ”  ดิฉันชำเลืองมอง  พร้อมไล้มือไปตามริมฝีปากบางเข้มของเขา
        “ก็ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะจีบยังไงดี  ขอจับแต่งงานก่อนซะเลยดีกว่า  ตอนนี้ยิ่งเห็นเมียสวยขึ้นทุกวันก็เลยอยากจีบย้อนหลังบ้าง  ไม่ชอบหรือไง”  พี่กรตอบพร้อมหัวเราะเขินๆ  ดิฉันเองก็เพิ่งเห็นนี่แหละคะ  ใบหน้าคมเข้มที่มักจะเอาจริงเอาจัง  ไม่ค่อยมีท่าทีขี้เล่น ไม่เคยเห็นเขาทำหน้าอายๆ อย่างนี้สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามปั้นหน้าหุบยิ้มแต่ก็หุบไม่ลง ช่างน่าตลกจริงๆ  ยิ่งตอนนี้ทั้งน่าขำทั้งน่าจูบฟัดมากๆ เลยค่ะ
        “อืมม...ไม่ชอบก็ต้องชอบแล้วล่ะค่ะ   จะมีผู้ชายสักกี่คนที่มาจีบเมียย้อนหลัง  แปลกดีออก  แหวกแนวดี  คิกๆๆๆ”   ดิฉันตอบพร้อมหัวเราะชอบใจ  พี่กรคลายกอดแล้วลุกหนี  ดิฉันก็ยังคิดว่าเขาคงเขิน  แต่เขากลับเดินไปที่ริมฝั่งน้ำ  มีกอไม้อยู่กอหนึ่ง  ดิฉันเองก็มองเห็นไม่ชัดเพราะแสงโพล้เพล้แล้ว   พี่กรก้มลงไปเด็ดดอกอะไรสักอย่างมา 2-3 ดอกพร้อมทั้งติดก้านใบมาด้วย  แล้วเดินกลับมานั่งข้างดิฉันตามเดิม  แล้วก็ชูดอกไม้ที่เด็ดมาปักแซมผมที่ข้างหูดิฉันหลังจากเกลี่ยเส้นผมให้ไปเหน็บข้างใบหูแล้ว  จ้องมองหน้าดิฉันอย่างหวานซึ้ง  และยื่นอีกดอกมาให้ดิฉันถือจึงได้รู้ว่า มันเป็นมะลิซ้อนดอกขาวนวลกลิ่นหอมทีเดียว ดิฉันยิ้มให้  วางไอศครีมไว้ที่ข้างตัวและรับดอกมะลิซ้อนนั้นมาชื่นชมกับกลิ่นที่หอมชื่นใจ  อีกดอกเขาก็ถือหมุนก้านเล่นไปมาพร้อมสูดดมความหอมของมัน

        “รู้หรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์”  
        เขาเอ่ยถามจึงทำให้ดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่าจริงอย่างที่เขาว่า  ถ้าเขาไม่บอกดิฉันก็ลืมสนิทไปแล้ว  เพราะไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไร  ในชีวิตดิฉันก็ไม่เคยมีอะไรประทับใจกับวันวาเลนไทน์มาก่อนสักครั้ง  รู้แต่ว่าเป็นวันที่คู่รักหนุ่มสาวจะมอบดอกกุหลาบให้แก่กันและกัน  ก็เท่านั้น  แต่สำหรับดิฉันกับพี่กรคงจะเลยวัยที่จะมองความสำคัญของวันเช่นนี้ไปแล้ว  และอีกอย่างพี่กรก็ไม่มีดอกกุหลาบสักช่อ  แต่กลับมอบดอกมะลิซ้อนแทน
        “วันวาเลนไทน์เขามีแต่มอบดอกกุหลาบ  แต่นี่มันดอกมะลิซ้อนนี่คะ”  ดิฉันแย้ง  แต่ก็ยังกุมดอกมะลิซ้อนขึ้นมาสูดดมเอากลิ่นหอมชื่นใจจากดอกมะลิซ้อนดอกนั้นพร้อมกับจ้องประสานตามองเขา
        “พี่คิดว่ามันเหมาะกับอ้อยมากกว่ากุหลาบนะ  เพราะอ้อยใส บริสุทธิ์  และหอมหวานกว่าเป็นไหนๆ  กุหลาบร้อยพันช่อก็สู้ความหอมของมะลิซ้อนคนนี้ของพี่ไม่ได้  ความอ่อนหวานของอ้อยทำให้พี่รักจนหมดใจ พี่รักอ้อยมากที่สุดเลยรู้มั้ย   ที่รัก”
        พี่กรแย้มยิ้มดวงตาประกายจริงจังและโอบกระชับกอดเข้าอีกที   โอยย...คุณขา...  วันนี้พ่อยอดชู้ของดิฉันไปทานอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าไม่รู้คะ  คำพูดจาหวานหยดย้อยอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย  ดอกไม้บอกรักก็ไม่เหมือนใครอีกต่างหาก  หัวใจดิฉันแทบละลายไปก่อนไอศกรีมที่เขาซื้อมาให้เสียด้วยซ้ำ  แล้วแบบนี้ดิฉันจะหลุดพ้นจากห้วงเสน่หาของเขาไปได้อย่างไรละคะเนี่ย  นับวันดิฉันยิ่งรู้ว่าตัวเองหลงเสน่ห์เขาเข้าไปลึกทุกขณะ   ดิฉันอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าดิฉันก็รักเขามากไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย  อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  ดิฉันเงยหน้าจากที่ซบอยู่กับอกใต้ซอกคางของเขา สบขึ้นมองเขา  พี่กรก็ก้มหน้าหลุบต่ำจ้องมองใบหน้าดิฉันกับเขาห่างกันแค่ปลายเส้นผมลอดผ่าน  ดิฉันจับจ้องมองตาเขาอย่างสุดแสนรักที่สุด  ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเคยตั้งแง่รังเกียจเขาอยู่บ้าง  แต่มาจนบัดนี้เขาไม่มีอะไรที่ทำให้ดิฉันเกลียดเขาลงเลยสักนิด  ปลายจมูกสองเราจรดกันประชิด  ดิฉันที่เงยแหงนมองอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา  จนดิฉันเหลืออดแล้วค่ะ  ต้องเผยอริมฝีปากขึ้นหาประกบปากจูบเขาอย่างหมดความอดกลั้น   ไม่ได้คิดเลยว่าที่นี่คือสวนสาธารณะ  อาจจะมีใครเดินผ่านมาเห็นก็ได้  ดิฉันไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วค่ะ  และวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ที่จะมีคู่รักมาพลอดรักกัน   ยิ่งตอนนี้  พ่อยอดรักของดิฉันมาบทหวานซะจนอดใจไม่อยู่แล้วนี่ค่ะ  นี่ถ้าหากว่าอยู่ด้วยกันที่บ้าน  ดิฉันคงเหลืออดจนต้องปล้ำฟัดให้สมรักเป็นแน่  และแล้วในที่สุด  ความประทับใจในวันวาเลนไทน์ของดิฉันก็ได้มีบันทึกไว้ในหัวใจดิฉันบทหนึ่งแล้วค่ะ..........................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น