เราจำไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองใช้เวลาเสพสุขขลุกอยู่กับโมมานานกี่ชั่วโมงแล้ว แต่ที่แน่ๆ ก็คือ... ตั้งแต่ที่โมก้าวขาเข้ามาอยู่ในบ้านเราในช่วงสายๆ ของวันพุธ จวบจนถึงตอนนี้ซึ่งก็คือบ่าย 3 โมงของวันพฤหัส... เราทั้งคู่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ก้าวขาพ้นจากตัวบ้านไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว.... ซึ่งหากไม่นับช่วงที่พักเบรกลงมาอุ่นอะไรกินกันในครัว เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือของเราทั้งคู่ ก็มักจะไปขลุกกันอยู่แค่ในห้องนอนนั่นแหละ... พูดง่ายๆ ว่าพอถึงเวลาที่โมกลับไป เราก็ต้องรีบออกไปหายาคุมฉุกเฉินมากินทันทีเลยล่ะค่ะ
“อู๊ยยยย... ยยยย โมขา... เบาๆ ก่อน เดี๋ยวพี่จะถึง ซี้ดส์... สสสสสส...”
“อืม... มมมม อุ๊ย...! ซี้ดส์... ตรงนั้นแหละ... ระ.. แรงๆ เลย สสส... ซี้ดส์.. สสสส์ อาห์... ดีจังเลย... อืมมมมมม...”
เสียงร้องสั่งการของเรา ดังกระเส่าสลับกับเสียงครวญครางที่เกิดขึ้นเพราะความเสียวซ่าน บ้างก็เอ่ยปากสั่งการให้ทำด้วยความนุ่มนวล บ้างก็อ้อนวอนขอลีลาที่รุนแรงหนักแน่น
ร่างของเราในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน กำลังนั่งคุกเข่าคร่อมอยู่เหนือใบหน้าของโมบนเตียง พลางบดเบียดสะโพกเข้าหาริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน มันเป็นอีกหนึ่งท่วงท่าและลีลาใหม่ๆ ที่เราพึ่งเคยได้เรียนรู้จากการร่วมรักกับโม แม้จะเป็นท่วงท่าที่แสนจะน่าอับอาย ที่ต้องมานั่งแหกแข้งแหกขาทับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแบบนี้ แต่ความสุขเสียวที่ได้รับกลับมามันก็ช่างจัดจ้านถึงใจแบบสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ
ความรู้สึกที่ถูกปลายลิ้นเรียวยาวของอีกฝ่าย เสยทิ่มเข้ามาข้างในตัวเราแบบลึกๆ มันทำให้เรารู้สึกตัวเบาหวิวๆ จนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ นี่สินะ... คือความสุขที่แท้จริงของคำว่าเซ็กส์ สัมผัสต่างๆ ของโมช่างแฝงเอาไว้ด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อน ซ้ำยังหื่นกระหาย ราวกับต้องการจะกลืนกินเราเข้าไปทั้งตัว
“อ๋อย.. สสส... ซี้ดส์... สสสสส์ ฮืออออ... โอ๊ย! พี่จะถึง.... อีกแล้ว... ววว อ๋าาาาาาาาาาาา!!” เราแหกปากระเบิดเสียงครวญครางรัญจวนออกมาอย่างถึงใจ เมื่อโดนปลายลิ้นนุ่มๆ ของโมกดแหย่กระตุ้นบริเวณปุ่มกระสัน จนร่างกายกระตุกถึงจุดสุดยอด น้ำเสียวของเราพุ่งปรี๊ดด... ปรี๊ดดดด.... ล้นทะลักออกมาทางง่ามขา จนเปียกเข้าทั่วใบหน้าของโม ซึ่งกำลังอ้าปากดูดเลียรสชาติของมันด้วยความเต็มใจ
“ฮือ... ออออ โม พะ.. พอแล้ว.. วววว พอก่อนนะ ขอพี่... พักหายใจก่อน” เราเอ่ยปากอ้อนวอนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเมามันกับการใช้ปากดูดเลียจิ๊มิ๊ไม่ยอมหยุด
“แหม... ก็หีพี่มันทั้งหวาน ทั้งอร่อยถูกใจ กินยังไงก็ไม่เบื่อเลยนี่ครับ แผล่บ... บบบบ” โมพูดพร้อมกับใช้หลังมือปาดเช็ดคราบน้ำรักที่ปาก ไม่ว่าจะยังไง เราก็ยังคงไม่ชินกับถ้อยคำหยาบโลนพวกนี้อยู่ดี เวลาที่ได้ยินทีไรก็เลยมักจะแอบรู้สึกจั๊กจี้ในใจขึ้นมาทุกที
“ถ้างั้นครั้งนี้... พี่พัชทำให้ผมบ้างนะครับ” โมเอ่ยขอ พร้อมกับเกร็งดุ้นเนื้อกลางตัวจนสั่นกระตุกหงึกๆ ด้วยความขี้เล่น
“โมหมายถึง... ให้พี่ใช้ปากน่ะเหรอ?” เราหลุดถามออกไปอย่างไร้เดียงสา ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าอมยิ้มเป็นคำตอบ
“โหย! ไม่เอาหรอก พี่ทำไม่ได้จริงๆ” เรารีบปฏิเสธเสียงหลง
“ทำไมล่ะครับ? พี่พัชก็น่าจะเคยทำกับพี่อ๊อฟมาบ้างแล้วไม่ใช้เหรอ?”
“มันก็ใช่... แต่นี่มันไม่เหมือนกันนะ... พี่อ๊อฟเค้าเป็นสามีพี่”
“แต่ผมก็เป็น 'ผัวพี่' เหมือนกันนะครับ...” โมจงใจเน้นคำว่าผัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ เล่นเอาเราหน้าชาเถียงไม่ออก
“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...”
“น่านะครับ ทำให้ผมหน่อย แค่โม้กแป๊บเดียวเอง ถ้าพี่ไม่ช่วย งั้นผมก็ต้องเย็ดพี่ให้น้ำแตกอีกรอบแทนนะ พี่พัชยังไหวอีกเหรอ?”
นายโมจอมเจ้าเล่ห์ ค่อยๆ ตะล่อมบีบบังคับให้เราต้องยอมจนมุมอีกครั้ง
“ก็ได้... แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” เราถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเซ็ง ก่อนจะใช้ฝ่ามือคว้าหมับเข้าไปที่เจ้าหนูของโม แล้วค่อยๆ โน้มศีรษะลงไปจนใกล้กับหว่างขาของอีกฝ่าย ใบหน้าอยู่ห่างจากปลายหัวบานสีแดงเข้มแค่เพียงไม่ถึงคืบ กลิ่นคาวจากน้ำหล่อลื่นลอยมาแตะจมูกเราเบาๆ
เราตัดสินใจหลับตา ก่อนจะแลบลิ้นแตะเข้าไปที่บริเวณส่วนยอดของดอกเห็ด อืมมมมมม รสชาติมันเค็มๆ ปะแล่มๆ ความรู้สึกแทบจะไม่ต่างอะไรจากตอนที่เคยทำแบบนี้ให้พี่อ๊อฟซักเท่าไหร่ เราใช้ลิ้นปาดเลียชิมรสชาติของมันให้คุ้นเคยอยู่อีก 2-3 ที พอเริ่มที่จะตั้งหลักได้แล้วก็เลยค่อยๆ อ้าปากกว้าง ก่อนจะฮุบอมดุ้นเนื้ออวบอ้วนเข้าไปเกือบครึ่งลำ
“อาห์... แบบนั้นแหละครับพี่ อมลึกๆ เลยครับ ซี้ดส์.. สสสส์” โมร้องครางออกมาอย่างชอบใจ ในขณะที่ท่อนเนื้อค่อยๆ รูดครูดผ่านริมฝีปากของเราลึกเข้าไปด้านใน
“อือ.... อออ.... อื้ม... มมมม” เราได้แต่ครางอู้อี้อยู่ในลำคอ รู้สึกคับแน่นอึดอัดไปทั่วทั้งโพรงปาก เนื่องจากขนาดของดุ้นเนื้อของโมที่ค่อนข้างใหญ่และยาวกว่าของส่วนนั้นของพี่อ๊อฟค่อนข้างมาก จนเราแทบจะสำลักทุกครั้งที่มันขยับเข้าๆ ออกๆ
รสชาติเค็มๆ คาวๆ บวกกับกลิ่นหืนๆ ของน้ำหล่อลื่นที่ผสมผสานคละคลุ้งกัน กลับสร้างความรัญจวนใจให้เราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงครางสูดปากซี้ดซ้าดของนายโม กระตุ้นให้เรายิ่งออกแรงห่อปากดูดท่อนเนื้อเข้าออกเร็วขึ้น แรงขึ้น จนอีกฝ่ายต้องเผลอใช้สองมือจิกกุมเส้นผมของเราเอาไว้ด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งได้เห็นโมแสดงอาการตอบสนองมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้นเท่านั้น จากที่นึกลำบากใจในทีแรก มาบัดนี้กลับกลายเป็นความรู้พึงพอใจที่เหมือนได้เอาคืนอีกฝ่ายซะอย่างนั้น
“อื้ม.... มมมม อื้ม... มมมม...” เราห่อริมฝีปากรูดขึ้นลง สลับกับการเม้มขบที่บริเวณส่วนยอดของแท่งเนื้อแรงๆ บางจังหวะยังใช้ลิ้นเลียตวัดไปมารอบๆ โคนเสา ส่วนมือที่ว่างก็คอยคลึงเคล้นเล่นกับพวงไข่ทั้งสองข้างไปด้วย ลีลาที่แสดงออกมาแทบไม่ต่างอะไรจากโสเภณีเจนศึก ไม่น่าเชื่อว่าเราจะกล้าใช้ปากเล่นกับโมได้ขนาดนี้ พอลองมองย้อนกลับไปตอนนี้แล้วก็อดทึ่งกับความกล้าของตัวเองไม่ได้ ขนาดว่ากับพี่อ๊อฟเองเรายังไม่ได้ทุ่มเทสุดฝีมือขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ.... หรือโมจะมีเวทมนตร์สะกดใจเราให้หลงลืมตัวกันแน่นะ?
“ซี้ดส์.. สสส์ ดีครับพี่ อืม... แบบนั้นแหละครับ ดูดแรงๆ เลย อูยย.. ยยยย ซี้ดส์... สสสสส์” เราทั้งดูดทั้งเลียสุดฝีมือจนโมเริ่มจะทนไม่ไหว พยายามใช้สองมือดึงรั้งศีรษะของเราให้ผงกขึ้นลงเป็นจังหวะเร็วๆ รัวๆ ก่อนที่จะแหกปากร้องครางออกมาอย่างสุดกลั้น
“อุ๊!... ไม่ไหวแล้วครับ.... ซี้ดส์.. สสสส์ อาาาาห์!!” โมส่งน้ำเชื้ออุ่นๆ พุ่งกระฉูดเข้ามาเต็มปากเรา
รสชาติขมๆ ฝาดๆ กับกลิ่นหืนคาวของน้ำเชื้อทำให้เราแทบอาเจียนจนนึกอยากจะคายทิ้งให้เร็วที่สุด เราพยายามจะขยับถอนตัวออก แต่กลับถูกสองมือของโมกดล็อคศีรษะเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ลุกไปไหน ยิ่งพยายามดิ้นรนหนีท่อนเนื้อในปากก็ยิ่งทิ่มลึกเข้ามาด้านในมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ยิ่งรู้สึกพะอืดพะอมมากขึ้นไปอีก เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่น เราจึงต้องกลั้นใจ ยอมกลืนน้ำเชื้อคาวๆ เข้าไปในลำคออย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
พออีตาโมเห็นเรากลืนมันลงไปจนหมดแล้วจึงยอมปล่อยมือในที่สุด เรารีบฉวยจังหวะนั้น ผุดลุกขึ้นวิ่งไปบ้วนปากในห้องน้ำทันที แต่ถึงกระนั้นแล้วรสชาติขมๆ เหนียวๆ ที่ติดอยู่ในลำคอก็ยังคงเกาะแน่นไม่ยอมจางหาย ที่ผ่านมาเราแทบจะไม่เคยกลืนน้ำให้พี่อ๊อฟเลยด้วยซ้ำ ด้วยความที่รสชาติของมันค่อนข้างแย่และทำให้เรารู้สึกพะอืดพะอมติดค้างอยู่เป็นชั่วโมงนี่แหละ โชคดีที่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น เรากับโมแทบจะมีอะไรกันตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ ทำให้น้ำเชื้อของโมในครั้งนี้ มันมีปริมาณไม่มากมายอะไรเท่าไหร่
“นี่ ขอเถอะ คราวหลังไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะ พี่เกือบจะอ้วกอยู่แล้ว” เราเอ่ยปากตัดพ้อกับโมอย่างไม่พอใจ หลังจากชำระคราบไคลต่างๆ บนร่างกายจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษคร้าบ คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ” นายโมเอ่ยปากขอโทษแบบขอไปที ซึ่งเราก็รู้แหละว่ามันรับปากไปงั้นๆ แต่ก็ขี้เกียจจะไปจู้จี้หาความอะไรกับมันมาก
“อืม ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเหอะ นี่มันจะสี่โมงอยู่แล้ว เดี๋ยวเปิ้ลกับส้มเค้าก็ได้สงสัยเอาหรอกว่าโมหายไปไหนตั้งนาน” เราเอ่ยปากเตือน เพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบสองวันเต็มแล้ว ที่โมมานอนค้างขลุกอยู่กับเราในบ้านหลังนี้
“อ๋อ ถ้างั้นผมขอเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวนิดหน่อยก็พอครับ เดี๋ยวกลับไปอาบที่บ้านทีเดียวเลยดีกว่า” โมตอบพร้อมกับลุกเดินหายเข้าห้องน้ำไป
พอเหลือเราอยู่เพียงลำพังในห้องนอนกับความเงียบสงัด ความรู้สึกผิดบาปก็เริ่มที่จะเกาะกุมขึ้นมาในหัวใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
รูปคู่ระหว่างเรากับแฟนที่แขวนติดอยู่บนผนังห้อง... กองเสื้อผ้าที่ถูกทอดทิ้งไว้บนพื้น... และสภาพผ้าปูที่นอนที่ยับเยินยู่ยี่... ยิ่งตอกย้ำถึงความผิดพลาดที่เราก่อขึ้นซ้ำๆ ในบ้านหลังนี้ ให้รุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ นี่เรากลายเป็นผู้หญิงร่านสวาทที่ลักลอบพาชู้มาเอากันถึงบนเตียงนอนไปแล้วเหรอเนี่ย...?
แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้คิดอะไรให้แย่ลงไปกว่านั้น เสียงแกร๊กของลูกบิดประตูห้องน้ำ ก็กระชากความสนใจของเราให้หันมองไปตามสัญชาตญาณ เรือนร่างเปลือยเปล่าซึ่งอัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม ทั้งแขน ขา หน้าอก และหน้าท้อง ทุกอย่างมันช่างกระชับสมส่วนน่าดูชมไปหมด แต่ไอ้สิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าหุ่นล่ำๆ น่ากินนี้ก็คือ ไอ้รอยยิ้มยิงฟันสดใสของเด็กหนุ่มรูปหล่อวัยขบเผาะ ที่กำลังปรากฏอยู่บนใบหน้าของโมในตอนนี้นี่แหละค่ะ โอ๊ย! พอแล้วลูก อย่ายิ้มแบบน้านนนน ป้ายอมแล้ว
เฮ้อ... ก็เจอเด็กมันมาออดอ้อนออเซาะอยู่แบบนี้ แล้วเราจะหาทางหลุดพ้นจากวังวนนี้ไปได้ยังไงล่ะเนี่ยยยยย...?
=======================================
รสชาติความเสียวที่โมมอบให้ เปลี่ยนแปลงมุมมองของเราที่มีต่อเซ็กส์ไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยคิดว่ามันเป็นเพียงแค่กิจกรรมธรรมดาๆ ทั่วไประหว่างคู่รัก ไม่แตกต่างอะไรจากการกอดหอม เดินเล่น หรือว่ากินข้าวดูหนังด้วยกัน แต่พอมีโอกาสได้โดนดุ้นเนื้ออวบใหญ่ของโม กดทิ่มทะลวงใส่ร่างของเราจนเสร็จแล้วเสร็จอีก ก็เลยทำให้มุมมองที่เคยมีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
มันเหมือนเป็นการเปิดประตูพาเราเข้าไปสู่โลกใบใหม่ สถานที่สวยงามอันห่างไกล ที่เราหรือพี่อ๊อฟนั้นไม่เคยได้รู้จัก ซึ่งพอได้ก้าวขาล่วงล้ำเข้าไปเพียงครั้งนึงแล้ว มันก็ยากที่เราจะถอนตัวออกมาได้ง่ายๆ หนำซ้ำยังค่อยๆ เสพติดจนกลายเป็นทาสของมันโดยไม่รู้ตัว ในใจเฝ้านึกโหยหา อยากสัมผัส อยากเสพรับรสชาติของความสุขพวกนั้นอีกซักครั้ง... สองครั้ง... อยากให้โมมาคอยอยู่แนบชิดเคียงข้าง คอยป้อนความสุขพวกนี้ให้เราอย่างไม่รู้จักอิ่ม
เราแทบไม่รู้ประวัติความเป็นมาก่อนหน้านี้ของโมเลยแม้แต่น้อย แม้จะเคยลองแอบถามเลียบๆ เคียงๆ ดูก่อนหน้านี้ แต่น้องมันก็ไม่ค่อยจะยอมเปิดปากเล่าอะไรให้ฟังซักเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆ อย่างนึงก็คือ อีตาโมนี่ต้องเคยผ่านประสบการณ์ทางเพศมาอย่างโชกโชนและช่ำชองแน่นอน เมื่อเทียบจากลีลาและประสบการณ์ที่แสดงออกมา ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ทันจะถึงยี่สิบปีดีด้วยซ้ำ
พอมาเจอเข้ากับตัวแบบนี้ก็เลยได้เข้าใจ ไอ้ที่เค้าว่ากันว่ากินเด็กแล้วจะเป็นอมตะน่ะมันเพราะแบบนี้นี่เอง ก็เด็กหนุ่มวัยคะนองนั้นทั้งคึก ทั้งฟิต ทั้งเอาได้ไม่รู้จักเหนื่อย พอเสร็จกิจไปรอบนึง แค่ได้นอนพักแป๊บๆ หรือได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเราที่นอนอยู่ข้างๆ ก็พลันดึ๋งดั๋งปึ๋งปั๋งขึ้นมาอีก
ขนาดว่าเราเผลอใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับโมแค่สองวัน ยังแทบจะถอนตัวไม่ขึ้นซะขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าหากความสัมพันธ์นี้มันยืดยาวต่อไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นแล้วเราจะหลงน้องจนหัวปักหัวปำขนาดไหนกันนะ? ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งความสด ขี้อ้อน ขี้เอา ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สารภาพตรงๆ เลยค่ะว่าช่วงเวลาที่ขลุกอยู่กับโมน่ะ ในหัวเรานี่ลืมเรื่องแฟนตัวเองไปเลย
พอโมรู้ว่าแฟนเราไปต่างจังหวัดสิบวัน พ่อคุณก็เลยรีบหาโอกาสบุกเข้าประชิดถึงตัวเราตลอดทั้งอาทิตย์ วันไหนที่พ่อคุณเค้าคึกหน่อยก็โผล่มาตั้งแต่ช่วงเช้า หรือถ้าวันไหนที่ยุ่งๆ หน่อยหรือติดธุระก็จะโผล่หน้ามาหาตอนช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ไม่เคยขาด ซึ่งทุกครั้ง เราสองคนก็จะใช้เวลาร่วมรักกันอย่างดุเดือดเป็นชั่วโมงๆ บนห้องนอนบ้าง ห้องน้ำบ้าง หรือแม้แต่ห้องรับแขกก็ยังเคย
ซึ่งแม้ว่าเราจะแอบกังวลว่าจะมีใครสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของเราสองคนนี้ แต่ถึงจุดนั้นก็ต้องยอมรับล่ะค่ะ ว่าความอยากมันมีมากกว่าความกลัว เราประมาทจนถึงขนาดที่ว่า กล้าเดินออกไปซื้อของกินที่ร้าน MaxValu หน้าหมู่บ้านกับโมสองคน ทั้งๆ ที่ยังเป็นช่วงบ่ายวันเสาร์เลยด้วยซ้ำ แล้วยังไงล่ะคะ? คราวนี้ก็เลยได้เจอแจ็คพ็อตเข้าเต็มๆ น่ะสิ!
“ผมถามหน่อยสิพี่ ตกลงระหว่างทำงานประจำ กับทำฟรีแลนซ์แบบพี่เนี่ย อันไหนมันดีกว่ากันเหรอ?” โมเอ่ยปากถามขึ้นมา ขณะกำลังช่วยเราเลือกเนื้อจากในตู้แช่เย็น
“หืม? อันนี้คือถามถึงเคสตัวเองใช่ป่ะ?”
“ใช่ฮะ”
“มันก็ดีคนละแบบอ่ะ แล้วแต่คนชอบ งานประจำมันก็ดีตรงทำงานเป็นระบบ เป็นเวลา ส่งงานให้หัวหน้า ปิดงานก็จบ รับเงินสม่ำเสมอตรงเวลาทุกเดือนๆ มีสวัสดิการให้ แต่อาจจะดูน่าเบื่อๆ ซ้ำๆ ไปบ้าง ยิ่งสำหรับบางที่ที่เป็นพวกองค์กรใหญ่ๆ มีระบบระเบียบจู้จี้ ยิ่งน่ารำคาญเข้าไปใหญ่ ส่วนฟรีแลนซ์ก็ดีตรงมีเวลาส่วนตัว ทำงานที่ไหนก็ได้ อยากพักก็พัก อยากทำงานก็ค่อยทำ งานไม่ค่อยซ้ำ ได้เงินเยอะกว่า แต่ละงานก็รับเข้าเนื้อๆ เพียงแต่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีคอนเน็คชั่นดีแค่ไหน มีลูกค้ารู้จักรึเปล่า”
“อืมแล้วอย่างผมอ่ะ พี่ว่าแบบไหนจะเหมาะกว่า?” โมเอ่ยปากขอความเห็น เราเลยตอบออกไปตามตรง
“โอ๊ย พี่ว่าอย่างโมอ่ะ ทำงานบริษัทไปเหอะ อย่ามาเป็นฟรีแลนซ์เลย”
“อ้าว ไหงงั้นอ่ะ ผมไม่เหมาะตรงไหน ทีพี่ยังทำได้สบายๆ เลย” โมรีบแย้งขึ้นมา
“มันไม่เหมือนกันดิ อย่างพี่เอง พี่ทำงานประจำมาพอสมควรแล้ว ก่อนหน้านี้ก็คอยรับงานฝิ่นมาตลอด มันเลยพอจะมีคอนเน็คชั่นคุ้นเคยกันบ้าง แล้วอีกอย่างพี่เองยังพอมีพี่อ๊อฟช่วยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายที่บ้านให้ด้วย ถ้าสมมติโมพึ่งเรียนจบใหม่ๆ อ่ะ พี่ว่าลองหาประสบการณ์กับงานประจำไปก่อนดีกว่า ให้มันคุ้นเคยกับการทำงานจริงจังไปก่อน แล้วค่อยออกมาทำเองก็ยังไม่สายหรอก” เราอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“อ๋อ... แล้วไป ผมนึกว่าพี่จะบอกว่างานผมห่วย ถ้าเป็นฟรีแลนซ์จะไม่มีคนจ้างซะอีก”
“เออใช่ อันนั้นก็อีกเรื่อง” เราตอบตามน้ำไปพร้อมกับขำก๊ากจนปวดท้อง
“โหย พี่อ่ะ! ไม่ให้กำลังใจกันเลย” โมบ่นอุบอิบ พลางทำหน้าเซ็งๆ
“อ้าวพัช” ระหว่างที่เราสองคนกำลังหยอกล้ออยู่นั้นเอง จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นหู เอ่ยเรียกชื่อเราขึ้นมาจากทางด้านหลัง เรารีบหันกลับไปมองตามที่มา ก่อนจะต้องตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้น เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงที่ร้องเรียกก็คือเป้ ภรรยาสาวท้องแก่ที่อยู่บ้านหลังข้างๆ นี่เอง
“อ้าว! คุณเป้! มาซื้อของเหรอคะเนี่ย?” เราหลุดปากถามออกไปแบบซื่อๆ ด้วยความตกใจ ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่โต้งๆ ว่าที่ข้อมือของเธอนั้นก็ห้อยตะกร้าใส่ของอยู่ชัดๆ
“ค่ะ พอดีน้ำมันพืชกับผักที่บ้านมันหมดเลยต้องมาซื้อเพิ่มไว้หน่อย” เป้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มตาหยี ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นนายโมที่ยืนเด๋อด๋าอยู่ด้านหลังของเรา
“อ้าว นี่พัชมากับน้องเค้าเหรอคะเนี่ย?” เธอเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย คงจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเราสองคนมาเดินอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ คำถามแทงใจดำของเธอเล่นเอาเรานึกหาคำแก้ตัวออกมาไม่ทัน
“อ๋อ ผมบังเอิญเจอพี่เค้าระหว่างทางพอดีน่ะครับ ก็เลยมาเดินเล่นเป็นเพื่อน” โมรีบตอบโกหกหน้าตาย แทบไม่แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ ออกมาให้เห็น เราจึงรีบฉวยจังหวะนั้นชวนเปลี่ยนเรื่องคุยพอดี
“คุณเป้เก่งจังเลยอ่ะ ขนาดท้องโตแล้วยังมาเดินซื้อของคนเดียวได้อีก ถ้าเป็นพัชนะ ป่านนี้คงได้แต่นอนนิ่งหมดสภาพอยู่ที่บ้านแน่ๆ เลย” เราพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม ซึ่งก็พอจะเบี่ยงเบนความสนใจของเธอมาได้พอสมควร
“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็พอจะเดินต้วมเตี้ยมได้แค่รอบๆ หมู่บ้านนี่แหละ ถ้าไปไกลกว่านี้ก็คงต้องให้พี่บอย กับคุณแม่เค้าช่วยพาไปแล้วล่ะ ไปคนเดียวมีหวังได้น็อคกลางทางแน่ๆ” คำพูดของเธอเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาในวงสนทนา
“แล้วนี่... กี่เดือนแล้วคะเนี่ย? ผู้ชายใช่มั้ยเอ่ย?” เราเอ่ยถามถึงลูกในท้องของเธอบ้าง
“ช่ายยยย เด็กผู้ชาย ตอนนี้ก็ 6 เดือนนิดๆ แล้วค่ะ ดูสิเป้ตัวบวมไปหมดแล้วเนี่ย” เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าสุขใจ
“อีกนิดเดียวเนาะ เดี๋ยวน้องเค้าออกมาก็กลับมาเพรียวเหมือนเดิมแล้ว” เราพูดปลอบใจไปตามประสา
“ก็หวังว่าคงจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ กลัวแต่ว่ามันจะบวมไม่หายนี่สิ” เป้ว่าแล้วก็หัวเราะร่า
“คุณเป้คิดไว้รึยังคะว่าจะตั้งชื่อน้องว่าอะไร?”
“แฟนเค้าตั้งไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ชื่อน้องโอม”
“โอ๋ๆ น้องโอม ไว้เดี๋ยวหนูเกิดแล้วป้าจะแวะไปเยี่ยมหนูนะลูก” เราเอ่ยอย่างนึกเอ็นดู
เราสามคนยืนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เป้จะขอแยกตัวกลับไปก่อน เราจึงพอจะโล่งอก หายใจหายคอได้สะดวกขึ้นมา เฮ้อ.... เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ดีนะที่ทางนั้นเค้าไม่ได้สงสัยอะไรมาก พอซื้อของกันเสร็จ เรากับโมก็เลยไม่ลืมที่จะคอยมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าทางสะดวกแล้วก็รีบจ้ำอ้าวเข้ามาหลบในบ้านตัวเองทันที
“พี่เค้าน่ารักดีนะครับ อัธยาศัยดี๊ดี” โมเอ่ยปากชมสาวเพื่อนบ้าน ในระหว่างที่กำลังช่วยเราจัดแจงแกะเนื้อใส่ชามเพื่อที่จะเตรียมหมัก
“ทำไมจ๊ะ? ที่พูดนี่สนใจเป้เค้าเหรอไง? แหม อะไรจะเจ้าชู้ขนาดนั้น?” เราพูดจิกกัดไปด้วยความหมั่นไส้
“ปั้ดโธ่! ไม่ใช่อย่างง้านนนน ผมหมายถึงนิสัยต่างหาก พี่เค้าท้องป่องขนาดนั้นไม่ใช่สเป็คผมหรอกน่า แหม... พี่พัชนี่ก็ขี้หึงไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย แค่ผมชมสาวอื่นนิดเดียวก็ปรี๊ดแตกซะละ” โมตีเนียนพูดเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย
“หึงเหิงอะไรเล่า? มั่วนิ่ม! แล้วท้องไม่ท้องมันเกี่ยวอะไรตรงไหน?” เรารีบแก้ต่างให้ตัวเอง
“เกี่ยวสิครับ ผมน่ะไม่สนคนท้องหรือผู้หญิงที่มีลูกแล้วหรอกนะ แค่ผู้หญิงท้องป่องเดินต้วมเตี้ยมๆ นี่ก็เซ็งแล้วนะ ส่วนพวกที่เคยมีลูกนี่ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก พอคิดว่าเคยมีเด็กคลอดออกมาจากตรงนั้นแล้วนะ อึ๋ย... แค่นึกก็หมดอารมณ์แล้วขอบอก” โมอธิบาย
“บ้า! เดี๋ยวนี้เค้าก็ผ่าคลอดกันเยอะแยะ” เราแย้ง
“ก็นั่นแหละ ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะฮะว่าคนไหนผ่าคลอด คนไหนคลอดปกติ เกิดกำลังนัวๆ กับสาวสวยๆ อยู่ แต่พอถอดกางเกงออกมา เจอหีบานอ้าหมดสภาพจะทำไงเล่า!?”
“ทุเรศ! โมอ่ะ! พูดจาน่าเกลียด” เรารีบแหวใส่โมแทบจะในทันที
“ก็เนี่ย... ทีนี้พี่ก็พอจะเข้าใจฟีลผมแล้วใช่มะ?”
“พอๆๆ เข้าใจก็ได้ พ่อคนสเป็คสูง... แล้วยังไง? ถ้าสมมติว่าก่อนหน้านี้พี่กำลังท้องอยู่ โมก็จะไม่สนใจพี่เหมือนกันใช่มั้ย?”
“ช่ายยยย” พ่อตัวแสบตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“ว้า... รู้งี้พี่น่าจะรีบๆ มีลูกไวๆ อ่ะ จะได้ไม่ต้องเจอใครแถวนี้เข้ามาวุ่นวายให้ปวดหัว”
“ก็ถ้าตอนนี้พี่อยากมีลูกไวๆ อ่ะ จะให้ผมช่วยทำลูกให้เลยก็ได้นะครับ อิอิ” โมพูดหยอกเย้าพร้อมกับขยับเข้ามากอดเราจากด้านหลัง
“ทะลึ่งแระๆ ถอยไปเลย เดี๋ยวก็ได้โดนมีดบาดหรอก” เราดุพร้อมกับตวัดมีดในมือขู่ เล่นเอาเจ้าโมถึงกับรีบถอยกรูดไปหน้าประตู
“ไปนั่งรอข้างนอกไป๊ พี่จะทำกับข้าวให้เสร็จๆ หิวแล้ว เลิกกวนได้แล้ว” เราออกปากทิ้งท้าย ก่อนจะหันมาตั้งสมาธิเตรียมมื้อเที่ยงต่ออย่างจริงจัง
หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราทั้งคู่ก็มานั่งๆ นอนๆ พักดูทีวีกันต่อที่ห้องรับแขก โดยที่เรานั่งเอนหลังพิงอยู่บนโซฟาเดี่ยว ในขณะที่อีตาโมก็นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟายาวอย่างสบายใจ นั่งดูกันได้ไม่นาน พ่อคุณก็ทนอยู่นิ่งๆ ไม่ไหว ลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ตรงเข้ามา ก่อนจะหย่อนก้นแหมะ เบียดลงมาบนแขนเก้าอี้โซฟาตัวที่เรานั่งอยู่ซะอย่างนั้น
“เอ้า! แล้วจะมานั่งเบียดกันทำไมเล่า?” เราบ่นอุบอิบอย่างนึกรำคาญใจ เพราะกำลังดูหนังติดพันอยู่ในจอทีวี
“ก็นั่งคนเดียวมันเหงานี่ครับ” โมตอบพร้อมกับค่อยๆ กระแซะเบียดร่างเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆๆ จากที่กำลังนั่งดูหนังกันอยู่ดีๆ พอรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นว่าเราเปลี่ยนมานั่งตักทับอยู่บนร่างของโมไปเสียแล้ว
สองมือของโมก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง ลูบเลื้อยสอดเข้ามาสัมผัสกับหน้าอกของเราทั้งสองข้างอย่างสนุกมือ
“นี่.... นั่งดีๆ ซี่ พี่จะดูหนัง...” เราพยายามเอ่ยปากห้ามปากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ รู้สึกหวิวๆ วูบๆ ราวกับถูกไฟช็อต เมื่อโดนปลายนิ้วของอีกฝ่ายบดบี้อยู่ที่ปุ่มปทุมถันย้ำๆ ซ้ำๆ
“ผมชอบกลิ่นตัวพี่พัชที่สุดเลย ฮื่อออออ...” โมตอบกลับมาเหมือนว่าไม่ได้สนใจฟัง ขยับโน้มใบหน้าเข้าซุกไซร้ดอมดมที่ซอกคอของเรา ก่อนจะสูดเอากลิ่นกายเนื้อสาวเข้าไปจนเต็มปอด
โมใช้มือประคองใบหน้าของเราให้หันคล้อยเข้าหาตัวเอง ก่อนจะกดแนบริมฝีปากเข้ามาจูบกับปากเรา ลิ้นของเราทั้งคู่แตะสัมผัสกันเป็นระยะๆ ริมฝีปากทั้งบนและล่างประกบบดบี้เข้าหากันอย่างดูดดื่ม ต่างฝ่ายต่างเสพรับรสชาติหอมหวานที่ถ่ายทอดผ่านมาในร่างของกันและกัน
“อื้ม... มมมมม อืม... มมมม เฮ้อ... ออออ โอ๊ย ขอพี่... พักหายใจก่อน... แฮ่กๆ...” เราเอ่ยปากขอเวลานอก หลังจากโดนนายโมประกบจูบปากค้างไว้ยาวนานเกือบๆ สองนาที จนเราแทบจะลืมหายใจไปเลย
แม้ว่าอีกฝ่ายจะหยุดเว้นช่วงให้ริมฝีปากของเราได้พักหายใจหายคอ แต่สองมือของโมกลับไม่ยอมปล่อยให้ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเราได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าของเราค่อยๆ ถูกนายโมปลดเปลื้องออกไปอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว เพียงแค่ไม่ถึงนาทีเนื้อตัวของเราก็แทบจะล่อนจ้อน มีเพียงกางเกงชั้นในผ้าลื่นที่ยังหลงเหลือติดตัวอยู่แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ในขณะที่โมเองก็แทบไม่ต่างกัน รู้สึกได้เลยว่ามีอะไรแข็งๆ กำลังกระตุกทิ่มก้นของเราอยู่ทางด้านล่าง
“หีพี่... แฉะจังเลยครับ หื่นแล้วเหรอ?” โมเอ่ยพลางเอานิ้วลูบสำรวจจิ๊มิ๊ของเราผ่านทางเนื้อผ้ากางเกงที่เปียกเยิ้ม
“อือ... อออออ ก็โมแกล้งยั่วพี่นี่นา....” เราพยายามแก้ตัว
“ก็พี่พัชอยากทำตัวน่ารักทำไมล่ะครับ ผู้ชายที่ไหนเห็นแล้วมันจะอดใจไหว” โมพูดแล้วก็สอดมือล้วงเข้าไปสัมผัสกับเนินสาวของเราแบบตรงๆ
“ฮือ.... ออออ คนบ้า อ๊ะ! อาห์....” เราหลุดปากครางออกมาเบาๆ เมื่อโดนปลายนิ้วเรียวยาวของโมกดชำแรกมุดเข้ามาในร่างได้ประมาณครึ่งข้อ
“พี่พัชเงี่ยนใช่มั้ยครับ? อยากให้ผมเย็ดพี่แล้วใช่มั้ย?” โมแกล้งถามยั่วเย้า พร้อมๆ กับใช้นิ้วแหย่แยงเข้าแยงออกจิ๊มิ๊ของเราเบาๆ
“โอ๊ย... ยยย สสส ซี้ดส์... โม.... อ๊ะ อืม.. มม อื้มมมมมมม สสสส ซี้ดส์....” เราสูดปากครางเสียงสั่น แหงนหน้าสะบัดเริ่ดๆ ด้วยความเสียวซ่าน
“บอกผมสิครับ อยากให้ผมเย็ดแล้วใช่มั้ย?” โมเอ่ยปากเร่งเร้า ทั้งจูบทั้งหอมซอกคอของเราเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ไปด้วย พอเจอแบบนี้เราก็เกินจะทานทนไหวแล้วล่ะค่ะ เส้นศีลธรรมบางๆ ที่พอจะมีหลงเหลือติดตัวอยู่ ก็พลันถูกความอยากจับกระชากจนขาดสะบั้น
“โอ๊ยโม พี่ไม่ไหวแล้ว ทำพี่เถอะ” เราเอ่ยปากร้องขออย่างหมดท่า โมรีบอมยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะรูดกางเกงชั้นในของเราออกด้วยความเร่งรีบ ซึ่งเราเองก็คอยขยับสะโพกช่วยอีกแรงหนึ่ง เสร็จแล้วจึงตามด้วยกางเกงบ็อกเซอร์ของโม
โมใช้มือซ้ายประคองเรือนร่างเปลือยเปล่าของเรากดแนบเข้าหาลำตัว ขณะที่มือขวาก็คอยจับจ่อท่อนเนื้ออวบอ้วนให้เล็งตรงเข้ามาที่ปากประตูร่องสาวอันชุ่มชื้น พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วโมก็ค่อยๆ ออกแรงดึงรั้งร่างของเราให้กดลงมาทีละนิดๆ จนกระทั่งเจ้าหนูของโมที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ ค่อยๆ จมหายเข้ามาด้านใน
ความใหญ่โตของมันแทบจะฉีกแยกร่างของเราให้ขาดออกเป็นสองซีก ขนาดว่าเราค่อนข้างมีอารมณ์จนตรงนั้นแฉะไปหมดแล้วนะคะ แต่เวลาที่โมกดอาวุธเข้ามาแต่ละครั้ง ก็ยังทำให้เราทั้งเสียว ทั้งจุก จนแทบไม่อาจข่มกลั้นเสียงครางของตัวเองเอาไว้ได้เลย และหลังจากที่ใช้เวลาบดนวดกันอยู่พักใหญ่ๆ ในที่สุดท่อนเนื้อของโมก็สามารถมุดเข้าไปแอบอยู่ในร่างของเราได้เกือบสุดลำ
“อู๊ย... ยยยย อย่างพึ่งขยับนะโม ของโมใหญ่มากเลยอ้ะ พี่จุกถึงท้องน้อยเลยเนี่ย” เรารีบร้องบอก เมื่อเห็นว่าโมเริ่มที่จะขยับสะโพกขึ้นลงเป็นจังหวะต่อเนื่อง
“สงสัยมันจะชนมดลูกนะครับ อิอิ” โมอมยิ้มชอบใจ สงสัยจะนึกว่าเรากำลังชมอยู่ล่ะมั้งเนี่ย
“มั้ง... ไม่รู้สิ ค่อยๆ ก่อนนะ พี่กลัวเจ็บ อือ... อออออ” เราได้แต่นั่งหลับตาปี๋ เผลอเกร็งขมิบจิ๊มิ๊รับในทุกๆ ครั้งที่อีกฝ่ายมีการขยับตัวเคลื่อนไหว รู้สึกได้เลยว่าเจ้าดอกเห็ดบานเขื่องกำลังค่อยๆ มุดชำแรกเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่โพรงรักด้านในของเราก็ค่อยๆ ขยายตัวอ้ารับมันเข้ามาด้วยความเต็มใจ
เราทั้งคู่ใช้เวลาตั้งหลักกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ กว่าที่ร่างกายของเราจะสามารถปรับตัวจนเริ่มคุ้นชินกับเจ้าดุ้นเนื้อของโมได้ในที่สุด โชคดีที่เราเป็นฝ่ายนั่งทับอยู่ด้านบนด้วยมั้ง เราเลยสามารถควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
“พี่พัชยังเจ็บอยู่มั้ยครับ?”
“อือ ไม่ค่อยแล้วล่ะ แต่ว่ายังรู้สึกแน่นเหมือนเดิมเลย”
“หีพี่ก็รัดตอดควยผมสุดๆ ไปเลยเหมือนกันฮะ” โมพูดยั่วกระเซ้า พร้อมๆ กับออกแรงกดกระดกสะโพก ส่งท่อนเนื้อมุดทิ่มเข้าออกเป็นจังหวะเบาๆ สองมือก็คอยบีบคลึงหน้าอกของเราจากด้านหลังไปด้วย
“อู๊ย.. สสส ซี้ดส์ อู๊ย.. ยยยยย โม พี่สะ... เสียวจังเลย.. ยยย” เราเองก็ไม่ยอมนั่งเป็นเป้านิ่งเฉยๆ พอเห็นว่าเริ่มที่จะไม่เจ็บแล้ว เราก็เลยพยายามเกร็งสะโพกออกแรงขย่มสู้สวนกลับไปบ้าง
“อูย... แรงๆ เลยครับพี่ ขย่มแรงๆ เลย เสียวควยชะมัด” โมครางอย่างพึงพอใจ ใช้มือขวาโน้มคอเราให้หันหน้ากลับไปจูบปากอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นของเราทั้งคู่ตวัดเข้าหากันทันทีราวกับงูพิษที่กระโจนฉกเข้าหาเหยื่อ ส่วนมือซ้ายของโมที่ว่างอยู่ก็คอยคลึงเคล้นเล่นกับหน้าอกของเราไปด้วยอย่างมันมือ
เราเอนกายทิ้งตัวพิงเข้าหาร่างของโมในท่านั่งตักหันหน้าออกไปทางเดียวกัน พยายามออกแรงแอ่นสะโพกบดเบียดเข้าหาร่างของอีกฝ่ายแบบหนักๆ ในขณะที่โมเองก็คอยเกร็งกระดกสะโพกสวนเข้าหาร่างของเราเช่นเดียวกัน ขนาดว่าอยู่ในท่าที่กระแทกกันได้ไม่ถนัดถนี่เท่าไหร่ แต่เจ้าหนูของโมก็ยังคงมีอานุภาพที่รุนแรง และทำให้เรารู้สึกเสียวซ่านจนต้องร้องครวญครางออกมาเสียงหลงอยู่ดี
“อึ่ก... ฮือ... ออออ โอ๊ย ทำไมมันแน่นแบบนี้นะสสส.... ซี้ดส์... สสส์” เราครวญครางเหมือนคนเพ้อและไม่มีสติ
“เสียวมากเลยเหรอครับ?” โมถามด้วยน้ำเสียงภูมิใจเล็กๆ
“อือ มันเสียวไปหมดเลย อ๊ะ! อืม...มมม โอ๊ย.... โมพี่ไม่เคยเสียวแบบนี้มาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อ...”
“บดแรงๆ สิครับ พี่จะได้เสียวมากกว่านี้อีก” โมว่าพลางใช้มือรั้งร่างของเราให้ขย่มเข้าหาตัวเองแรงขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊ะ! อ๊ะ! อาห์... อ๊ะ! อ๊าาายยยยย!” เราขย่มอยู่แบบนี้ได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ชักจะเริ่มร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกเสียวจี๊ดๆ ที่บริเวณท้องน้อย เมื่ออารมณ์หื่นเริ่มไต่ระดับขึ้นจนใกล้จะถึงจุดสูงสุด
“อ๊ะ! โอ๊ย! สสส ซี้ดส์.... โม พี่จะไม่ไหวแล้วนะ... อือ... ออออ” เราครวญครางบอกกับโมได้ไม่เต็มเสียง สภาพป้อแป้ร่อแร่เหมือนคนกำลังใกล้จะจมน้ำ
“ปล่อยออกมาเลยครับพี่ ขย่มลงมาแรงๆ เลย ไม่ต้องยั้ง” โมเอ่ยปลุกเร้า พร้อมกับยิ่งเด้งเอวสวนขึ้นมารุนแรงหนักข้อขึ้นไปอีก ได้ยินแบบนี้เราก็ไม่ต้องยั้งล่ะค่ะ ออกแรงร่อนก้นขย่มสะโพกลงมาแบบเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับแหกปากออกมาอย่างสุดเสียง
“อ๊ะ! อ๊ะ! อ๋า... โมขา พี่จะเสร็จแล้ว! ฮือ... โอ๊ยยยย โม!!!” พอสิ้นเสียงหวีดร้อง ร่างของเราก็พลันกระตุกเฮือกๆ เนื้อตัวสั่นเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ปลดปล่อยก้อนอารมณ์ปรารถนาให้ระเบิดแตกซ่านออกมากลางอากาศ พอทุกอย่างเริ่มสงบเข้าที่แล้วจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงพิงเข้ากับร่างของโมอย่างอ่อนแรง
เป็นอีกครั้งที่เราได้สัมผัสกับประสบการณ์สุขเสียวแบบสุดยอด ซึ่งทั้งเต็มอิ่ม และถึงอกถึงใจยิ่งกว่าที่พี่อ๊อฟเคยมอบให้แบบเทียบกันไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกสุขสม ที่ค่อยๆ แทรกซึมฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเรา และทำให้เราเฝ้าแต่โหยหาถึงมันเหมือนกับสารเสพติด... เหมือนกับดอกไม้ดอกตูมๆ ที่ได้รับแสงสว่าง สารอาหาร และน้ำเข้ามาบำรุงจนเบ่งบานสะพรั่ง
อืมมมม... ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีมานี้ ทำไมเราถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าการมีเซ็กส์มันช่างยอดเยี่ยมขนาดนี้? หรือจะเป็นเพราะเซ็กส์ที่ผ่านๆ มา มันทำให้เรามีความสุขได้ไม่เต็มอิ่มกันแน่? พอลองคิดๆ ดูแล้วก็อดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้.... แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ ทำไมเด็กหนุ่มอายุแค่นี้ ถึงได้มีประสบการณ์ช่ำชองโชกโชนมากขนาดนี้ นี่เค้าเคยผ่านวัยเด็กแบบไหนมากันแน่? หรือที่เป็นแบบนี้เพราะสังคมเราทุกวันนี้มันเสื่อมโทรมลงไปงั้นเหรอ? เรื่องเพศจึงกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เด็กสมัยนี้เค้าเป็นกันโดยไม่จำเป็นต้องรอให้โตพอซะก่อน
“พี่สบายตัวแล้ว... งั้นตาผมบ้างนะครับ” โมกล่าวจบก็ใช้มือดันร่างของเราให้เอนลงไปนอนอยู่ในท่าคุกเข่าคลานกับพื้น ประกบจ่อท่อนเนื้อกดเข้าใส่ร่างของเราจากทางด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกเย่อใส่เราอีกรอบโดยไม่ปล่อยให้เราได้พัก
“อุ๊! อู๊ยยยยย โม มันเข้าไปลึกจังเลย...” เราได้แต่สูดปากร้องครวญคราง ฟุบหน้าเข้ากับพื้นอย่างหมดสภาพ ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขยับตัวหนีไปไหนได้อีก
ร่างของเราสั่นโคลงเคลงกระเด้งกระดอนไปตามจังหวะการกระแทกของอีกฝ่าย ยิ่งกระแทกก็ยิ่งมัน ยิ่งมันก็ยิ่งเสียว และยิ่งเสียวโมก็ยิ่งเร่งความเร็วเข้าอัดใส่แบบต่อเนื่อง เสียงเนื้อตีกระทบกันยิกๆ จนดังสนั่น ปั้บ! ปั้บ! ปั้บ! ปั้บ! ปั้บ!!! จนเรารู้สึกได้เลยว่าเจ้าดุ้นเนื้อของโมมันกระทุ้งเข้าไปชนถึงผนังด้านใน
ผู้หญิงอายุเกือบๆ 30 กลับมานอนโก่งโค้งให้เด็กหนุ่มอายุ 19 กระแทกกระทุ้งเสพสุขอยู่ในบ้านตัวเองแบบนี้ พูดไปก็คงจะดูน่าสมเพชใช่มั้ยคะ? เราเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าจะมาบอกว่าเราเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจไปกับเขาด้วยก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปาก ก็แหม... ใครมันจะไปคิดล่ะคะว่าเด็กหนุ่มหน้าตาใสซื่อนิสัยร่าเริงอย่างโม จะสามารถแปลงร่างเป็นเสือผู้หญิงผู้ช่ำชอง และกระโจนเข้าเล่นงานจนเราหมดสภาพได้ขนาดนี้ กว่าที่เราจะทันรู้ตัว... ร่างกายของเรามันก็ตกเป็นทาสสวาทของโมจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว....
“โอ๊ย! โมขา อู๊ย... ยยย... พี่เสียวเหลือเกิน... ซี้ดส์... อาห์... อ๊ะ! อ๊ะ! อ๋าา!! อ๋าาาา!!!!” เราแหกปากหวีดร้องออกมาอย่างสะใจ รู้สึกเต็มอิ่มกับรสสัมผัสอันหนักหน่วงที่โมมอบให้อย่างต่อเนื่อง มันช่างจัดจ้านและถึงใจดีเหลือเกิน
“อุ๊บ... สสส ซี้ดส์.... สสสส์ อาห์....!!!” โมหลุดปากครางออกมาได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะรีบขยับตัวถอนท่อนเนื้อหลุดออกมาดังผั้วะ ใช้มือชักรูดให้ตัวเองแรงๆ อีก 2-3 ทีก็กระฉูดน้ำเชื้อพุ่งปรี๊ดๆ ลงมาบนแผ่นหลังของเรา
“อูย.. ยยย สุดยอด....” โมคร่ำครวญพร่ำเพ้ออย่างสุขใจ แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหงายข้างๆ ร่างของเราอย่างหมดแรง
อืม ดีเหมือนกันที่โมชิงเสร็จไปซะก่อน เพราะถ้าปล่อยให้มันยืดยาวนานกว่านี้อีกนิดนึง รับรองว่าเราคงได้ถึงจุดสุดยอดไปอีกรอบแน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ก็แทบจะแข้งขาอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรงจนลุกไม่ขึ้นอยู่แล้วเนี่ย ถ้าเกิดเผลอเสร็จอีกรอบ มีหวังคงได้ช็อคตายกันพอดี ประเดี๋ยวนายโมจะได้กลายเป็นฆาตกรไปโดยไม่รู้ตัวซะก่อน
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เรายังคงเดินหน้าทำเรื่องผิดพลาดร่วมกับโมด้วยความเต็มใจ... ยิ่งมีอะไรกันบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่เคยมีในตอนแรกมันก็ยิ่งค่อยๆ ลดน้อยลงไปเท่านั้น
เราใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดทั้งอาทิตย์นั้นหมดไปกับการร่วมรักหลับนอนกับโม ที่บ้านเราบ้าง บ้านโมบ้าง แต่ละครั้งก็ล้วนเต็มไปด้วยความหิวกระหาย เร่าร้อนรุนแรง และมีแต่จะยิ่งโหยหาซึ่งกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่โมเอ่ยปากเสนอ เราก็พร้อมที่จะตอบสนองอย่างไม่รู้จักอิ่ม จวบจนกระทั่งถึงคืนวันอังคาร ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่แฟนเราจะกลับมาจากต่างจังหวัด โมก็ยังแอบดอดมาใช้เวลาพลอดรักอยู่กับเราแบบข้ามคืนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยอมลากลับไปในช่วงเช้ามืด
วันพุธเป็นช่วงเวลาแห่งการลุ้นระทึกอย่างแท้จริง ในหัวของเราก็พาลคิดกังวลว้าวุ่นไปหมด แอบลุ้นจนตัวเกร็ง กลัวว่าพี่อ๊อฟจะจับได้ว่าเราแอบไปทำอะไรแย่ๆ ลับหลังเขา.... กลัวว่าตัวเองจะออกอาการมีพิรุธจนเขาเกิดจับได้ขึ้นมา.... กลัวนั่นกลัวนี่เต็มไปหมด.... แต่จนแล้วจนรอด ตลอดทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแฮะ พี่อ๊อฟยังคงทำตัวเหมือนปกติโดยไม่ได้นึกสงสัยอะไรทั้งสิ้น เราแทบจะเป่าปากด้วยความโล่งใจ เหมือนได้ยกภูเขาหนักอึ้งออกไปจากอก เฮ้อ... ตอนทำล่ะไม่คิด ไงล่ะต้องมานั่งลุ้นหวาดเสียวเอาตอนนี้
แต่ถึงปากจะบ่นแบบนั้น... แต่พอมีโอกาส เราก็ยังแอบดอดไปใช้เวลาขลุกอยู่กับโมอีกเหมือนเดิมนั่นแหละ...
เรายังคงสนุกเพลิดเพลินไปความสัมพันธ์ต้องห้ามนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี แต่ความต้องการด้านมืดมันก็มักจะเอาชนะความรู้สึกถูกผิดได้เสมอ อะไรที่เคยปิดมันก็พร้อมที่จะเปิด อะไรที่เราเคยปฏิเสธก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายเรียกร้องโหยหามันเสียเอง ยิ่งเวลานึกถึงรสสัมผัสที่โมเคยป้อนให้เราจนอิ่มเอมทีไรนะคะ โหย... แค่คิดมันก็ทำให้เราแทบจะเปียกแฉะไปหมดแล้ว...
=======================================
ความสัมพันธ์ลับๆ ของเราสองคนก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ยาวนานเกือบๆ สองเดือน แม้ว่าช่วงหลังๆ นั้นจะค่อยๆ ลดจำนวนความถี่ลงไปบ้าง แต่เราทั้งคู่ก็ยังหาเวลาแอบนัดเจอกันอยู่เสมอๆ มีออกไปกินข้าวด้วยกันสองคนบ้าง แอบไปเดินช็อปปิ้งในห้างสองต่อสองบ้าง ซึ่งทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไปแบบราบรื่น โดยที่แฟนเราเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเอะใจสงสัยเลยแม้แต่น้อย จนเราเผลอหลงคิดไปว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันจะยั่งยืน(แบบลับๆ)ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ซื่อบื้อเอามากๆ....
เพราะหลังจากทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่นาน... ในที่สุดแฟนเราก็ตัดสินใจเปิดฉากตั้งโต๊ะสอบสวนขึ้นมาเสียดื้อๆ โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจที่จะโต้แย้งข้อกล่าวหา หรือเตรียมหาทางหนีทีไล่ไว้ได้ทันเลยซักนิด
“พัช... พี่ขอคุยอะไรหน่อยสิ” พี่อ๊อฟเอ่ยปากชวนคุยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเป็นปกติ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า
“ขาาา อ้วน?” เราขานตอบกลับไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว โดยไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าชะตากำลังจะขาดอยู่รอมร่อ
“พัชอยู่กับพี่แล้วมีความสุขดีใช่มั้ย?” น้ำเสียงของพี่อ๊อฟเริ่มออกอาการสั่นเครือนิดๆ
“อ้าว ก็ต้องมีสิ... ทำไมจู่ๆ ถึงคิดว่าเค้าไม่มีความสุขอ่ะ?” เราชักเอะใจขึ้นมาว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แถมสรรพนามที่พี่อ๊อฟใช้คุยกับเราก็ดูจะจริงจังแปลกๆ ผิดปกติ
“ก็... ไม่รู้สิ พี่ก็แค่กังวลขึ้นมาน่ะ ว่าที่ผ่านมาพี่ปล่อยให้เธอต้องทนเหงาอยู่คนเดียวบ่อยเกินไปรึเปล่า”
“ไม่หรอก เค้าอยู่ได้ สบายมาก” คำตอบของเราเหมือนจะไม่ได้ทำให้พี่อ๊อฟสบายใจขึ้นเลยซักนิด พี่เค้าฟังแล้วก็นิ่งเงียบไปครู่นึง ก่อนจะเปิดฉากจู่โจมเราตรงๆ
“พี่ขอถามตรงๆ เลยนะ พัชรู้สึกอะไรกับน้องที่ชื่อโมรึเปล่า?” คำถามของพี่อ๊อฟแทบทำให้หัวใจของเราหยุดเต้นแบบเฉียบพลัน
“พี่อ๊อฟหมายความว่าไง?” เราหลุดปากถามกลับไปเหมือนไม่เข้าใจ ในหัวยังคงประเมินตามเรื่องราวไม่ทัน
“พี่ถามว่าเธอกับโมน่ะ... ตกลงมีอะไรเกินเลยกันรึเปล่า?”
“บ้า! พี่คิดมากไปรึเปล่า?”
“แต่มีคนบอกพี่ว่า เห็นพัชเดินอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่ห้าง มันเรื่องจริงรึเปล่า?” คำพูดของพี่อ๊อฟค่อยๆ ตะล่อมบีบเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับบ่วงเชือกที่กำลังค่อยๆ รูดรัดเข้าหาลำคอของเราอย่างช้าๆ
“เฮ้ย... ไม่มีหรอก เค้าอยู่แต่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนซักหน่อย คนที่พูดน่ะเค้ามองผิดรึเปล่า?” เรากลั้นใจตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะสามารถเอ่ยออกไปได้ในขณะนั้น
“อืม... ตกลงพัชยืนยันใช่มั้ย ว่าไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับน้องเค้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน ถ้าพัชยืนยันแบบนั้นพี่จะได้สบายใจขึ้น” พอเห็นว่าเรายังคงยืนกรานหนักแน่น สีหน้าของพี่อ๊อฟจึงดูจะคลายความกังวลลงไปได้พอสมควร
“จริงๆ... เค้ามีพี่อยู่แล้วทั้งคน จะกล้านอกใจได้ไงเล่า ก็เล่นดุซะขนาดนี่” เราแกล้งหยอดมุก หวังจะให้บรรยากาศมันผ่อนคลายลง แต่จู่ๆ สีหน้าของพี่อ๊อฟก็พลันเปลี่ยนเป็นอารมณ์บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“โกหก...” พี่อ๊อฟตอบสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันแทบจะในทันที แล้วยื่นส่งโทรศัพท์มือถือในมือมาให้เราได้ดูภาพหน้าจอแบบชัดๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าแทบไม่ต่างอะไรจากสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาตรงกลางใจของเรา ก่อนจะกระชากเอาหยาดน้ำตาใสๆ ให้ไหลซึมออกมาที่บริเวณเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว
รูปภาพที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอมือถือ คือภาพนิ่งของเรากับโมซึ่งกำลังเดินจูงมือกันอยู่ในห้าง โดยที่มองเห็นใบหน้าของเราทั้งคู่อย่างชัดเจน เราจำได้ทันทีว่าเหตุการณ์ในภาพนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว นั่นแสดงว่าตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ พี่อ๊อฟคงจะใช้เวลาเฝ้าสังเกตท่าทีระหว่างเรากับโมอย่างถี่ถ้วน จนมั่นใจพอที่จะเปิดปากพูดคุยกับเราตรงๆ แบบนี้ เพราะแค่ภาพนิ่งที่ปรากฏออกมา ก็เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานมัดตัวว่าเรากำลังแอบนอกใจสามีอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
ในหัวของเราตอนนั้นหมุนติ้วๆ แบบเร็วจี๋ พยายามคิดหาคำแก้ตัวต่างๆ ที่ฟังดูน่าเชื่อถือ เพื่อที่จะตอบคำถามของพี่อ๊อฟ แต่พอสายตาของเราสองคนปะทะกัน ถ้อยคำแก้ตัวต่างๆ ที่พยายามปั้นแต่งอยู่มันก็พลอยหลุดลอยออกไปจากความคิดจนหมดสิ้น
“นี่พี่... รู้เรื่องหมดแล้วเหรอ...?” เราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า รู้สึกว่าลำคอมันแห้งผากๆ จนยากที่จะเอ่ยเอื้อนออกมาได้ พี่อ๊อฟฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แค่หลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ
“พี่.... หนูขอโทษ...” คำพูดของเรายิ่งแหบแห้งและสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อรู้ว่าความผิดที่ตัวเองพยายามปกปิดเอาไว้ มันกำลังจะถูกเปิดโปงออกมา ณ เวลานี้
“อยู่กับพี่แล้วมันไม่มีความสุขเลยเหรอ?” พี่อ๊อฟเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่สายตาบอกชัดได้ถึงความเจ็บปวด
“มันไม่ใช่อย่างนั้น... เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้แปลว่าหนูหมดรักพี่อ๊อฟนะ มันก็แค่... ก็แค่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพราะความเหงาในช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายอะไรเหมือนเรื่องของเราสองคนซักหน่อย”
“ช่วงสั้นๆ ที่ว่าก็คือตลอดสองเดือนนี่อ่ะนะ? ถ้าเกิดพี่ไม่พูดขึ้นมา เธอก็คงปล่อยให้เรื่องนี้มันยืดยาวต่อไปใช่มั้ย?”
“บอกตรงๆ นะ พี่เสียความรู้สึกว่ะ... โคตรรู้สึกแย่เลยที่เธอทำเหมือนพี่เป็นคนโง่ แอบไปขลุกอยู่กับผู้ชายคนอื่นแบบนี้” พี่อ๊อฟระบายความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมดเปลือก
“ที่ผ่านมาหนูก็พยายามหาทางเลิกยุ่งกับน้องเค้ามาตลอดเลยนะ ไม่ใช่ว่าไม่คิด แต่ว่า... สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ซักที... แต่หนูยังรักพี่เหมือนเดิมจริงๆ นะ”
“พี่ไม่รู้จะไว้ใจเธอได้เหมือนเดิมรึเปล่าว่ะ ไม่รู้เลยว่าเรื่องไหนที่เธอพูดมันคือความจริงบ้าง”
“หนูก็บอกอยู่นี่ไง ที่พูดออกไปมันก็คือความจริงทุกอย่างนั่นแหละ พี่ฟังหนูบ้างสิ”
“แน่ใจนะ? งั้นถ้าพี่ถามอะไรไป เธอต้องตอบพี่มาตรงๆ นะ”
“อืม...” เราครางตอบเบาๆ ในลำคอ
“ตกลงเธอมีอะไรกับน้องเค้าแล้วใช่มั้ย?” พี่อ๊อฟยังคงถามย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น
“อืม...” เมื่อไม่เหลือทางไหนให้หลบเลี่ยงอีก สุดท้ายเราจึงต้องยอมสารภาพความผิดออกไปตรงๆ
“นานรึยัง?”
“ก็... เกือบสองเดือนแล้ว”
“น้องเค้าเข้ามาจีบเหรอเหรอ?”
“อืม”
“ตอบพี่มาตรงๆ นะ... รักมันรึเปล่า?”
“เปล่า...”
“อยากเลิกกับพี่ แล้วไปคบกับมันมั้ย?”
“ไม่...”
“แล้วกับพี่ล่ะ...? ยังรักพี่บ้างมั้ย?”
“รักสิ...”
“ถ้ารัก... แล้วทำไมถึงทำแบบนี้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน... ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนหนูควบคุมอะไรไม่ได้เลย... หนูก็แค่อยากมีเพื่อนคุยเล่นแก้เหงาเวลาที่พี่ไม่อยู่เท่านั้นเอง แต่พอเราสองคนอยู่ใกล้ชิดกันมากๆ รู้ตัวอีกทีมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว... หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ” เราตอบเสียงสั่น
“เฮ้ย! พูดง่ายไปรึเปล่าพัช? แค่เพราะเหงาเนี่ยนะ? ถึงขั้นต้องแอบไปมีอะไรกับคนอื่นเลยเหรอ?”
“ก็หนูบอกพี่ไปแล้วไง ว่าไม่ได้ตั้งใจให้มันเกินเลยขนาดนี้ พี่จะให้หนูทำยังไง!? ก็ในเมื่อพี่เองไม่ใช่เหรอ? ที่ทิ้งให้หนูต้องอยู่คนเดียวเป็นปีๆ แบบนี้”
“เดี๋ยวก่อนนะ... ที่พี่ไม่อยู่บ้านเนี่ย มันไม่ใช่เพราะว่าพี่ออกไปทำงาน ไปตะลอนๆ อยู่จังหวัดนู้นจังหวัดนี้ ก็เพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวเราให้มั่นคงเหรอ? เราจะได้รีบๆ มีลูกกันไม่ใช่เหรอ? หรือพัชคิดว่าพี่ออกไปเที่ยวเล่น ไปสนุกอยู่กับสาวที่ไหนรึไง?”
“ก็แล้วหนูจะไปรู้ได้ไง? ในเมื่อหนูไม่เคยไปตามสืบเหมือนที่พี่กำลังทำอยู่แบบนี้นี่!”
“มันไม่มีหรอกพัช!! พี่ออกไปทำงานนะเว่ย! แล้วที่พัชไม่ต้องออกไปเหนื่อย ได้นั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้านทุกวันแบบนี้ ก็เพราะพี่เป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้เราเหรอ!?” คำพูดของเราคล้ายจะไปจุดชนวนระเบิดอารมณ์ของพี่อ๊อฟที่พยายามข่มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ จนถึงขั้นที่พี่เค้าเผลอตะคอกขึ้นเสียง พูดวะ พูดเว่ย ทั้งๆ ที่ไม่เคยพูดกับเรามาก่อน
“นี่พี่! หนูเป็นภรรยาพี่นะ! ไม่ใช่อีตัวที่จะเอาเงินมาฟาดหัวแล้วก็จบเรื่อง พี่เคยรู้บ้างป่ะ? ว่าตัวเองทิ้งให้หนูต้องเหงามาเป็นปีๆ แล้ว!” เรากระแทกเสียงใส่พี่อ๊อฟอย่างมีน้ำโห ก่อนที่อีกฝ่ายจะตะคอกกลับมาแบบทันควัน
“ถ้าเป็นภรรยา... ก็ทำตัวให้สมกับเป็นภรรยาหน่อยดิวะ! ไม่ใช่ไปนอนอ้าซ่าให้คนอื่นเอาแบบนี้!”
บรรยากาศในบ้านตอนนี้มีแต่ความมาคุ ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไรกันต่อ พี่อ๊อฟเองก็กำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ส่วนเราเองก็รู้ดีว่าตัวเองน่ะผิดเต็มประตู แต่ด้วยความดื้อรั้นก็เลยทำให้ยังไม่ยอมจำนนต่อหลักฐานง่ายๆ และหลังจากที่นิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ๆ พี่อ๊อฟก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“มันเอาเก่งมั้ย?” คำถามของพี่อ๊อฟทำเอาเราถึงกับหน้าชาขึ้นมาทันที
“พี่จะถามไปทำไม?” เราย้อนถามกลับเพราะไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของพี่เค้าเลยซักนิด
“ตอบมาเหอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” พอถูกอีกฝ่ายถามย้ำ เราจึงต้องจำใจยอมตอบออกไปตรงๆ
“ก็เก่ง...”
“เก่งกว่าพี่ใช่มั้ย?” พี่อ๊อฟยังคงถามจี้ไม่เลิก ส่วนเราก็ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบรับเบาๆ
“ได้ป้องกันรึเปล่า?” พี่อ๊อฟเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“หนูขอโทษ... หนูไม่ได้ตั้ง...” เราส่ายหัวพลางพร่ำเอ่ยปากขอโทษ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็โดนพี่อ๊อฟตะคอกใส่เสียก่อน
“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา!!”
“เคยยอมให้มันแตกในมั้ย?” พี่เค้าถามต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้เราได้พักหายใจหายคอ
“ก็... เคยมั้ง” เราตอบไปตามความจริง ส่วนพี่อ๊อฟที่ฟังอยู่ก็ถึงกับสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“เคยทำกันที่นี่มั้ย?” พี่อ๊อฟเริ่มถามเจาะประเด็นลึกขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เคย...” คราวนี้เราเลือกที่จะตอบโกหกบ้าง แต่เหมือนพี่เค้าจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“ถามจริง?” พี่อ๊อฟเอ่ยถามย้ำด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“พี่อยากให้หนูตอบว่าเคยนักใช่มั้ย?”
“แค่ตอบมาตามตรงก็พอ”
“อือ... เคย” เราสารภาพความจริงตาก็จ้องสบตาพี่เค้าไปด้วย
“ที่ไหน? ห้องนอน? ห้องน้ำ หรือห้องนั่งเล่น?”
“ก็ทั้งหมด...”
“ตรงนี้ใช่มั้ย ตรงที่ๆ เรานอนเล่นกันอยู่ทุกวันเนี่ยนะ” พี่อ๊อฟถามเสียงสูง พร้อมกับใช้มือชี้ไปที่โซฟา
“อือ”
“แล้วยังไง? ทำกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” พอพี่เค้าถามมาถึงตรงนี้เราก็ชักจะไม่กล้าที่จะตอบแล้ว ได้แต่นั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่เงียบๆ
“เมื่อไหร่!?” พอเห็นว่าเรานิ่งเงียบไม่ยอมตอบอะไร พี่เค้าจึงตะคอกมาอีกรอบหนึ่ง
“เมื่อ... เมื่อวานนี้...” เราตอบกระท่อนกระแท่น รู้สึกเหมือนก้อนน้ำลายมันมาจุกอยู่ที่คอ
“หึ! ก่อนพี่กลับมาพอดีเลยนะ เป็นไงสนุกสมใจดีมั้ยล่ะ? คงโดนมันเอาจนเสร็จไปหลายรอบเลยใช่มั้ย?”
“พี่จะถามไปเพื่ออะไร...?” เราเริ่มทนอับอายกับคำถามไม่ไหว จึงถามย้อนกลับไปบ้าง
“แค่ตอบมาเหอะน่า!”
“เออ! หนูเสร็จ! พอใจรึยัง!?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงดึงดันไม่หยุด เราจึงตัดสินใจตอบกลับไปแบบชัดถ้อยชัดคำเพื่อเป็นการประชด
“ยัง! แล้วเมื่อคืนเอากับมันไปกี่ครั้ง?” พี่อ๊อฟได้ยินก็ยิ่งเร่งเร้า จี้เอาคำตอบจากปากเราไม่หยุด
“ก็แค่ 2 ครั้ง”
“ยังไง?”
“หมายความว่าไง?”
“เอากันท่าไหนบ้าง?”
“อยากรู้มากนักใช่ป่ะ ได้! หนูขึ้นให้เค้าก่อนรอบนึง แล้วเราก็เล่นกันท่าหมา แล้วยังไง!? พี่มีอะไรจะถามอีกมั้ยล่ะ!?”
อารมณ์ของเราทั้งคู่ชักจะเดือดพล่านไปกันใหญ่ ยิ่งพี่อ๊อฟกดดันเรามารุนแรงเท่าไหร่ สัญชาตญาณในการป้องกันตัวของเราก็สั่งให้ยิ่งตะเบ็งเสียงโต้ตอบกลับไปรุนแรงเท่านั้น และเกมถามตอบก็ยิ่งดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดมากขึ้น พูดง่ายๆ ว่าพี่เค้าถามอะไรมา เราก็รีบตอบกระแทกใส่หน้ากลับไปทุกประโยคเลยล่ะค่ะ
“เคยโม้กให้มันมั้ย?”
“เคย!”
“ของมันใหญ่คับปากมั้ยล่ะ?”
“ใหญ่กว่าของพี่เยอะ!”
“เหอะ! คงจะขย่มมันเลยสิท่า?”
“ก็ใช่ไง!”
“เคยให้มันแตกใส่ปากป่ะ?”
“เคย!”
“แล้วได้กินน้ำมันมั้ย?”
“กิน!”
“น้ำมันคงจะหอมหวานน่าดูสินะ ถึงได้ติดใจแอบกินกันมาเป็นเดือนๆ แบบนี้!”
“เออ! อย่างน้อยมันก็อร่อยกว่าของพี่ก็แล้วกัน!”
“ก็ถ้าชอบเอากับมันมากแล้วทำไมไม่เลิกไปคบกับมันเลยล่ะวะ!?” พี่อ๊อฟยิงคำถามแทงใจดำ ยิ่งทำให้เราเสียใจมากขึ้นไปอีก
“ก็คิดอยู่เหมือนกันแหละโว้ย!” เราตะเบ็งเสียงตอบประชดกลับไปโดยแทบไม่เสียเวลาคิด ทั้งๆ ที่ในใจไม่เคยนึกอยากจะเลิกกับพี่เค้าเลยสักนิด
“เออ! ดี! ขอบใจที่บอกกันตรงๆ ให้เข้าใจ ทีนี้จะได้รู้กันไปเลยว่าผู้หญิงที่เรียนสูงๆ แบบเธอน่ะ... เวลาอยู่ลับตาคนแล้วมันก็ทำตัวไม่ต่างจากอีตัวเท่าไหร่หรอกวะ! เสียใจชิบหาย ที่หลงผิดไว้ใจผู้หญิงแบบเธอ.... จะบอกอะไรให้นะ ตอนที่รู้เรื่องครั้งแรกน่ะ พี่โกรธจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายๆ ไปเสียทั้งคู่ แต่พอคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านๆ มา เวลาที่เราเคยใช้อยู่ร่วมกัน มันก็ทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองยังพอจะให้อภัยเธอได้ ยังอยากที่จะให้โอกาสเธอได้สารภาพผิดแล้วเริ่มต้นกันใหม่
แต่พอได้ฟังความรู้สึกลึกๆ ของเธอแล้ว พี่ถึงพึ่งจะเข้าใจ... ว่าทุกอย่างมันคงสายไปหมดแล้ว... มันคงไม่มีทางที่เราสองคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ... ถ้าเธออยากเลิกกับพี่แล้วไปเอากับไอ้เด็กนั่นมากก็ไปเหอะ ไม่ต้องมาเสียเวลาทนอยู่หรอก จะหย่าวันไหนก็บอกมา เดี๋ยวจะหย่าให้!”
พี่อ๊อฟตะคอกใส่หน้าเราจนหน้าดำหน้าแดง รีบหันหลังเดินหนีพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันเอ่อล้นออกมาไวๆ โดยไม่ให้เราเห็น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูหน้าบ้านกระแทกปิดดังสนั่นลั่นบ้าน
วินาทีนั้นในหัวของเราคิดได้แค่อย่างเดียวเลยว่า...
จบแล้ว... ชีวิตคู่ของเราสองคน
วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2566
คบเด็กข้างบ้าน #3
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น