วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2566

เส้นทางเจ้าสาว #3



“ไม่เป็นไรนะครับพี่ นี่เป็นบริการนวดพิเศษที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ สำหรับช่วยผ่อนคลายจากความเครียด รีแล็กซ์ครับพี่ รีแล็กซ์..” น้องเอกพูดโน้มน้าวไปเรื่อยๆ ขณะที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางตอนนี้กำลังลูบคลึงปากร่องอย่างเมามันจนตรงนั้นของกุ๊กแฉะไปหมดแล้ว
“อื๊ออออ...... โอ๊ย... พี่ … ไม่เอา..” กุ๊กได้แต่ร้องคราง ไม่มีแรงจะขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
“ปล่อยตัวตามสบายนะคะพี่ เดี๋ยวก็จบแล้ว” อูยย กุ๊กโดนน้องปลาทั้งดูดทั้งบี้หน้าอกอย่างมันมือ ไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะถูกสัมผัสจากผู้หญิงด้วยกันแบบนี้ เล่นเอาวาบหวิวแบบแปลกๆ สัมผัสจากมือเธอคอยกระตุ้นอารมณ์ให้กุ๊กต้องสะท้านไปมา แต่ละจุดที่ปลายนิ้วของเธอเคลื่อนตัวไปหา นำพาความรู้สึกเสียวซ่าน ช็อตวาบขึ้นมาถึงสมอง พอมองลงไปข้างล่างก็อดเขินยิ่งกว่าเดิมไม่ได้ เพราะน้องเอกตอนนี้ กำลังค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาจ่อที่บริเวณของสงวนของกุ๊กแบบชัดเจน พลางใช้มือเขี่ยคลึงเล่นกับมันไปด้วย

“อึ๊ยยยย...ยยย เอกกก................ พอแล้วววว...วว” กุ๊กร้องครวญเสียงขาดห้วง เมื่อลิ้นของเอกสัมผัสเข้ากับปากร่องเบาๆ แม้ปากจะพยายามร้องห้าม แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกโหยหารสสัมผัสอันไม่คุ้นเคยนี้ ปลายลิ้นของน้องเอกค่อยๆ ไล่แตะลากเป็นทางยาวๆ ขึ้นลงอยู่บริเวณกลีบใบที่ปิดอยู่ บางจังหวะก็ลากผ่านไปโดนเข้ากับคลิตอริส เล่นเอากุ๊กตัวแอ่น ต้องเผลอบดเอวเข้าหาใบหน้าน้องเค้าอย่างควบคุมไม่ได้ อูยยย เจ้าเด็กคนนี้มันเก่งไม่เบา พาให้อารมณ์กุ๊กเตลิดไปถึงไหนต่อไหน เหลือบตามองพี่โจ้ด้วยหางตา ก็เห็นพี่แกยังนั่งตาแป๋วเล่นมือถืออยู่อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทั้งๆ ที่แฟนตัวเองกำลังโดนจับถ่างขาฉกลิ้นเลียอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึง 10 เมตร มีเพียงกระจกหนากับกำแพงขวางกั้นเอาไว้เท่านั้น โอยยยย กุ๊กทั้งอาย ทั้งเสียว ไม่รู้จะปรับอารมณ์ให้ไปทางไหนดี จะว่ารู้สึกผิดที่ยอมนอนให้น้องเค้ามอบความสุขให้ต่อหน้าต่อตาพี่โจ้(ที่มองไม่เห็น)มันก็ใช่ ในขณะที่อีกใจนึงก็ตื่นตาตื่นใจไปกับรสสัมผัสที่พึ่งเคยได้รับ จากการถูกจู่โจมทั้งข้างบนและข้างล่างพร้อมกัน จากฝีปากของหนุ่มสาวคู่นี้จนต้องเผลอ กระดกก้นเด้งรับอยู่เป็นระยะๆ

สภาพตัวเองตอนนี้ต้องบอกว่าดูไม่ได้เลยจริงๆ กุ๊กได้แต่นอนหงายอยู่บนเตียง แข้งขาถ่างอ้าปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีผู้ชายกำลังมุดใช้ปากให้อยู่ด้านล่าง ขณะที่ด้านบนก็ถูกสาวน้อยอีกคนขยำขยี้หน้าอกและคอยจูบซุกไซร้ไปด้วยอย่างไม่ขาดปาก ลิ้นของน้องเอกตอนนี้กำลังพยายามควานมุดเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ สัมผัสของมันถูไถกับพื้นที่ด้านใน ทั้งจั๊กกะจี้และแอบสยิวปนกัน นิ้วมือของน้องเอกก็นวดคลึงอยู่กับเม็ดทับทิมด้านนอกไปด้วย นิ้วโป้งเค้าคลึงไปมาเป็นวงกลมหนักๆ ส่วนน้องปลาเองก็ใช้สองมือนวดเขี่ยหัวนมกุ๊กเล่นไปมา ก้มหน้าลงมาเหมือนอยากจะจูบปากกุ๊กไป

ตอนแรกกุ๊กเองก็ยังลังเล รู้สึกว่ามันน่าอายโคตรๆ เพราะไม่เคยจูบกับผู้หญิงด้วยกันมาก่อน เลยพยายามเม้มปากข่มเอาไว้แน่น ไม่ให้น้องปลาประกบจูบได้ เหมือนเธอจะแอบไม่พอใจเล็กๆ เลยส่งสัญญาณกับน้องเอกให้เร่งมือเร่งลิ้นหนักขึ้นไปอีก พอโดนน้องเอกรัวลิ้นหนักๆ เข้า กุ๊กเองเลยต้องเผลออ้าปากร้องครางโอ้วๆ จากรสเสียวที่ได้รับด้านล่าง ปลาได้ทีจึงรีบประกบปากจูบ สอดลิ้นเข้ามาพัวพันสำรวจไปทั่ว เล่นเอากุ๊กแทบจะสำลักเพราะหายใจไม่ออก มันเป็นความรู้สึกอุ่นๆ ละมุนแปลกๆ แบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน รสจูบของน้องปลาดูอ่อนหวาน นุ่มนวลยิ่งกว่ารสจูบหวานๆ ที่เคยได้รับจากพี่ป้องเสียอีก ไม่ต้องนับไปถึงพี่โจ้เลยด้วยซ้ำ เพราะอีตานั่นเอะอะก็จับดูดปากด้วยความหื่นกระหายทุกที

ปลาค่อยๆ บดปากเข้ากับริมฝีปากกุ๊ก ตวัดลิ้นเชื้อเชิญให้กุ๊กแลกเปลี่ยนรสสัมผัสกับเธอไปด้วย กุ๊กเองพอเริ่มตั้งหลักได้ก็เริ่มรู้สึกสนุกไปกับสัมผัสแปลกใหม่ เลยค่อยๆ พันลิ้นเกี่ยวกระหวัดเข้ากับลิ้นของปลาไปมา น้ำลายเหนียวๆ ของเราถูกอีกฝ่ายดูดกลืนลงคอไปอย่างหิวกระหาย เราจูบกันอยู่นานพักใหญ่ๆ ก่อนที่น้องปลาจะถอนปากออกไป มีคราบน้ำลายเหนียวยืดยาวเป็นสายอยู่ระหว่างริมฝีปากของเราสองคน กุ๊กได้แต่ปรือตามองหน้าน้องเค้าเหมือนคนไม่มีสติ เพลิดเพลินไปกับรสจูบที่พึ่งได้รับ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกหวิวๆ ตรงบริเวณหว่างขาที่ถูกปลุกเร้ามาโดยตลอด

“อาาาาห์..... อืมมมมม.... โอ๊ยพี่.... จะไม่ไหวแล้วนะ...” กุ๊กหลุดปากร้องครางออกไปเมื่ออารมณ์พุ่งสูงขึ้นๆ น้องเอกกับน้องปลาที่ได้ยินจึงเร่งจังหวะ ทั้งดูดทั้งดัน ทั้งบดทั้งบี้ ช่วยกันจนเสียงน้ำกระเด็นดังแจ๊ะๆๆๆ แผล่บๆๆๆ โอ๊ย กุ๊กเองก็สุดจะทานทนไหวแล้วค่ะ ได้แต่แอ่นก้น แดะปากร่องอัดเข้ากับริมฝีปากของเอกเพื่อคลายความเสียว
“โอ๊ยยยย ซี้ดดดดดด..... โอ้ววววววววววว!” กุ๊กกระตุกเฮือก ตัวสั่นเป็นจังหวะอยู่ 2-3 ที แล้วล้มตัวลงนอนหงายหมดแรงไปกับเตียง หอบหายใจดังแฮ่กๆๆ ยาวๆ เป็นอันว่ากุ๊กถูกน้องๆ สองคนรุมปลุกเร้าจนเสร็จสมอารมณ์หมายไปเรียบร้อยแล้ว ต่อหน้าต่อตาพี่โจ้ (ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเล้ย) ในร้านนวดนี่เอง น้องเอกโค้งหัวให้เหมือนเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วเก็บของเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้น้องปลาที่ยังอยู่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นๆ มาเช็ดคราบรอยเปื้อนให้กุ๊กจนสะอาด แล้วหยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาคลุมตัวกุ๊กไว้อีกที ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไปอีกคน กุ๊กนอนพักได้แป๊บนึงก็พยายามลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องให้เรียบร้อย พอเดินออกมาก็เห็นพี่โจ้ยิ้มๆ ให้

“เป็นไงบ้างกุ๊ก น้องเค้านวดดีมั้ย?” คำถามของพี่โจ้เล่นเอากุ๊กกระดากใจอยู่ลึกๆ
“อืม.. ก็ดีนะ เล่นเอาตัวเบาไปเลย” กุ๊กตอบไปตามความรู้สึกตรงๆ โดยไม่ได้เอ่ยถึงบริการพิเศษที่พึ่งได้รับไป
“ดีแล้วจ้ะ แหม ดูซิ เจ้าสาวของพี่ดูเนียนนุ่ม น่ากอดยิ่งกว่าเดิมอีกนะ มาให้พี่กอดหน่อยเร็ว” พี่โจ้พูดแล้วก็ขยับเข้ามากอดกุ๊กเบาๆ
“บ้า! นี่มันในร้านนวดนะพี่! อายเค้า มานั่งกอดอะไรกันตัวกลมเลย” กุ๊กพูดเขินๆ ยังแอบกลัวอยู่ว่าพี่โจ้จะรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมั้ย ก่อนที่พี่โจ้จะหันมากระซิบเบาๆ
“แหม พี่ว่าตอนอยู่ในห้องนวดเมื่อกี้ คงมีคนโดนอะไรมากกว่าแค่กอดอีกมั้งเนี่ย?” พี่โจ้พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้าง เล่นเอากุ๊กอายม้วนจนหน้าแดงเป็นตำลึง นี่ไง! สรุปว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของพี่โจ้ที่พากุ๊กมาโดนบริการพิเศษที่นี่นี่เอง
“ไอ้บ้า! ไอ้บ้าๆๆๆๆๆ พี่โจ้เองเหรอที่เป็นต้นคิดทั้งหมดเนี่ย” กุ๊กตีแขนพี่โจ้แรงๆ 2-3 ที พลางหยิกแขนพี่แกจนเนื้อแทบจะหลุดออกมา เป็นการแก้เขิน ในใจตอนนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรมากมายนะคะ แต่มันรู้สึกอายที่เหมือนโดนแฟนตัวเองพามาแกล้งแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ซะมากกว่า

“โอ๊ยๆๆ! เบากุ๊ก เบาๆ ยอมแล้วๆๆๆ”
“ไม่ต้องเลย! เล่นอะไรบ้าๆ นี่ถ้าเกิดน้องเค้าทำอะไรล่วงเกินกุ๊กขึ้นมา มันจะเป็นยังไงคิดบ้างมั้ยเนี่ย?”
“โธ่กุ๊ก น้องที่นี่เค้ามืออาชีพ ที่กุ๊กพึ่งนวดไปเมื่อกี้น่ะ มันแค่คอร์สเบาๆ พี่กำชับน้องเค้าแล้วว่าแค่ทำให้กุ๊กสบายตัวก็พอ ไม่ได้ให้ถึงขั้นมีอะไรกันซะหน่อย แถมไอ้หนึ่งก็ส่งน้องปลาไปคอยคุมเชิงด้วยอีกที ยังไงก็ไม่โดนอยู่แล้วน่า”
“ไม่โดนบ้าอะไรล่ะ! ยัยน้องปลาเนี่ยแหละตัวดีเลย เห็นช่วยกันรุมกุ๊กคนละไม้คนละมือจนดิ้นไม่ออกเนี่ย”
“อ้าวเหรอ.. นี่โดนเบี้ยนด้วยเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ” พี่โจ้พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจแล้วก็พูดต่อ
“แล้วเป็นไงสบายตัวมั้ย พี่สั่งให้น้องเค้าบริการอย่างดีเลยนะเนี่ย”
“โอ๊ย คนบ้า! พอเลย กุ๊กโกรธแล้วนะ เล่นบ้าบออะไรก็ไม่รู้” กุ๊กพูดจบก็ชิงเดินหนีออกมาคนเดียว รีบก้าวออกจากร้านให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากสบตาเข้ากับพี่หนึ่ง รวมถึงน้องปลากับน้องเอกอีก จนพี่โจ้ต้องรีบไปร่ำลาเพื่อนแล้ววิ่งตามออกมา

“โอ๋ๆๆๆ อย่างอนนะคะคนดี เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าวอร่อยๆ ที่สยามนะ นะๆๆ กุ๊กอยากกินอะไรพี่เลี้ยงให้หมดเลย”
“นี่! คิดว่ากุ๊กเป็นคนเห็นแก่กินรึไง ไม่ต้องเลยนะ บอกไว้เลยว่าคราวนี้งอนยาว ไม่ต้องง้อซะให้ยาก” กุ๊กพูดกอดอก
“โอ๋ๆๆๆ น่านะคนดี เดี๋ยวพี่พาไปกินเค้กกับของหวานที่สยามเซ็นเตอร์ ร้านที่กุ๊กอยากกินด้วยก็ได้นะ แล้วกุ๊กอยากเดินดูอยากช็อปอะไร วันนี้พี่รูดให้หมดเลย เป็นรางวัลตอบแทน” พอหูกุ๊กได้ยินคำว่าเค้กกับขนมหวานก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาเลยค่ะ ก็แหมช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่เพราะกำลังลดหุ่นนี่นา พอพี่โจ้เอ่ยปากว่าจะยอมเลี้ยงทุกอย่าง ซื้อนู่นซื้อนี่ให้ด้วย ก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ โอ้ยยยยย ทำไมกุ๊กเป็นคนตะกละแบบนี้นะเนี่ยยยย เฮ้อ
“ทุกอย่างจริงเปล่า...?” กุ๊กเปรยตามองหน้าพี่โจ้ดุๆ พี่โจ้เห็นแบบนี้ก็อมยิ้มขำๆ
“จริงสิจ๊ะ แหม แค่แฟนคนเดียวทำไมจะดูแลไม่ได้” โอเค เป็นอันว่าเราสองคนจึงปิดดีลนี้กันได้ลงตัว ต่างฝ่ายต่างได้ผลตอบแทนที่สาสมใจ และเพื่อเป็นการเอาคืน กุ๊กจึงลากพี่โจ้เข้าร้านนู้นร้านนี้ ทั้งช็อปทั้งชิม จนพี่โจ้แทบจะกระเป๋าฉีก เดินคอตกจ๋อยๆ ตามหลังมาแต่ไกล นี่แน่ะ สมน้ำหน้า! อยากซนไม่เข้าเรื่องดีนัก

“เออ พี่ถามอะไรหน่อยสิ” พี่โจ้เอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังขับรถกลับคอนโด
“เรื่อง?”
“กุ๊กอย่าพึ่งด่าพี่นะ พี่แค่อยากรู้ว่าตอนอยู่ในห้องนวดน่ะ มันเป็นไงบ้าง”
“อีกละ มาอีกละ ทำไมพี่โจ้ชอบถามอะไรยั่วโมโหกุ๊กจังเลยวะ จะถามไปทำไมเนี่ย?”
“โธ่ ก็พี่แค่อยากรู้นี่นา ว่าน้องเค้าทำอะไรกันบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยสิ น่านะ นะๆ”
“เฮ้อ.... ทำไมเป็นคนแบบนี้น้าาา.... เออๆ เล่าก็ได้ คนอะไรลามกชิบหาย...  ก็... น้องเค้าก็นวดน้ำมันให้กุ๊กนั่นแหละ แล้วพอนวดไปนวดมามันก็ออกแนวเหมือนพยายามจะเล้าโลมแล้ว พอสุดท้ายก็เลยเป็นว่าน้องเค้าช่วยให้กุ๊กเสร็จไปทีนึงนั่นแหละ พอใจยัง?”
“เหรอๆๆ แล้ว... แล้วเค้าใช้มือหรือใช้ปากให้อ่ะ?” พี่โจ้ยังคงถามเซ้าซี้ ทำตาเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งน้องเอก ทั้งน้องปลาเลย” กุ๊กตอบไปนิ่งๆ
“เหรอ แล้วน้องปลาเค้าทำอะไรกุ๊กบ้างเนี่ย?” อืม อีตานี่มันจริงจังเหลือเกินแฮะ ถ้าไม่บอกคงไม่ยอมหยุดแน่ๆ
“น้องปลาเล้าโลมข้างบน จูบปากกุ๊ก ส่วนน้องเอกลงไปเล่นข้างล่าง จบ พอยังอ่ะ ถามไรเยอะแยะเนี่ยยยย”
“โหววว จูบปากน้องปลาด้วยเหรอ เป็นไงมั่ง ตื่นเต้นมั้ย??” พี่โจ้อุทานถาม
“ตื่นเต้นดิไอ้บ้า! อยู่ดีๆ ให้มาจูบปากกับใครก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แถมเป็นผู้หญิงด้วยกันอีก ใครจะไม่ตื่นเต้นวะ เนี่ยแค่นึกถึงหัวใจก็เต้นโครมๆ แล้ว”
“หูยยย กุ๊กจ๋า กุ๊กเซ็กซี่จังเลยยยย” พี่โจ้เริ่มเพ้อตาหวานเยิ้มอีกแล้ว เฮ้อ กุ๊กล่ะเบื่อ กลับไปคงไม่พ้นโดนตานี่จัดหนักอีกชัวร์ คิดแล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ

=======================================

ช่วงหลังๆ พี่โจ้เริ่มพากุ๊กไปรู้จักกับครอบครัวของรุ่นพี่สมัยมหาฯลัยคนนึง ชื่อว่าพี่บอย เห็นบอกว่าสนิทสนมซี้ปึ้กกันไม่น้อย แต่ไหงช่วงก่อนหน้านี้ไม่เห็นแกเคยพากุ๊กไปรู้จักเลยหว่า พี่บอยเป็นผู้ชายตี๋ๆ ร่างผอมสูง ใส่แว่นตากรอบแบบนักธุรกิจ ดูมีบุคลิกสุขุมแบบผู้ใหญ่หน่อยๆ อายุราวๆ 36-37 ส่วนพี่เป้ภรรยาแกเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักแบบหมวยๆ ตัวเล็กกว่ากุ๊กอีก และที่สำคัญพี่เป้ผิวขาวมากกกกก ขาวเหมือนหยวกอ่ะค่ะ แถมหน้ายังเด็กกว่าอายุเยอะเลย พี่เป้นี่ 34-35 แล้วนะคะ แต่ยังดูรุ่นราวคราวเดียวกับกุ๊กอยู่เลย ขนาดกุ๊กเป็นผู้หญิงเหมือนกันยังแอบเผลอมองแกบ่อยๆ ไม่ต้องพูดถึงอีตาพี่โจ้ล่ะค่ะ ทำหน้าอย่างกับหมามองเครื่องบินทุกครั้งที่เจอกัน ตอนแรกกุ๊กก็ว่าพี่เป้นี่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน แต่พอได้เห็นหน้าน้องโอมกับน้องเอม ลูกชายลูกสาวตัวน้อยของแกก็ทำให้กุ๊กนึกออกทันที ว่านี่คือผู้หญิงคนเดียวกับที่กุ๊กเคยเห็นตอนไปเดินซื้อของในห้างกับพี่โจ้นี่นา

พี่โจ้กับพี่บอยดูจะสนิทสนมกันจริงๆ นั่นแหละ เวลาเจอหน้ากันก็มักจะพูดคุยหยอกกันอย่างไม่มียั้งเสมอ ดูพี่โจ้จะเคารพพี่บอยอยู่พอสมควรเลย แต่ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของพี่เป้เนี่ยสิ ดูแกจะไม่ค่อยถูกชะตากับพี่โจ้เท่าไหร่ เห็นเวลาคุยกันก็พยายามถามคำตอบคำ ดูมีท่าทีอึดอัดนิดๆ ซึ่งพี่โจ้เองก็พอจะรู้ตัว เลยไม่ค่อยกล้าไปกวนอะไรแกมาก เลยกลายเป็นว่าเราสี่คน ต่างแยกย้ายมาจับคู่พูดคุยกัน ระหว่างคู่ชายหนุ่มกับคู่ของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว

“น้องเอมนี่กี่ขวบแล้วคะพี่เป้?” กุ๊กเอ่ยถามถึงลูกสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารักที่กำลังนั่งตักพี่เป้มองมาตาแป๋ว
“จะ 2 ขวบแล้วจ้ะ กำลังอยู่ในช่วงงอแงเลยตัวแสบเนี่ย”
“เก่งจังเลยค่ะ เลี้ยงลูกสองคนพร้อมกัน ถ้าเป็นกุ๊กนะ ไม่รู้ว่าคนเดียวจะไหวรึเปล่า” พี่เป้ฟังแล้วก็มองหน้ายิ้มๆ
“แล้ว... กุ๊กกับโจ้คบกันมานานรึยังจ๊ะ?”
“อืม ก็ประมาณ 2 ปีแล้วค่ะ บางทีก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าสรุปมาลงเอยกันได้ไงเนี่ย”
“พี่ยังทึ่งเลยรู้มั้ย ตอนที่พี่บอยเล่าให้ฟังว่าพ่อเสือผู้หญิงอย่างโจ้ ประกาศเลิกซ่า หันมามีแฟนเป็นตัวเป็นตน แถมยังเตรียมจะแต่งงานในเร็วๆ นี้อีก แต่พอได้มาเจอหน้ากุ๊กก็เลยพอจะเข้าใจ ก็กุ๊กออกจะน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่นแบบนี้” คำชมของพี่เป้เล่นเอากุ๊กเขินอายม้วนเลย

“แล้วสมัยก่อนพี่โจ้เค้าเจ้าชู้มากเลยเหรอคะ?” กุ๊กพยายามถามเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน
“โห พี่ว่าก็แสบที่สุดเท่าที่พี่เคยรู้จักมาเลยนะ คนไหนสวยๆ มันก็เข้าไปคุยดะหมดนั่นแหละ รุ่นพี่รุ่นน้องที่มหาฯลัยก็รู้กันดี ขนาดพี่หน่อยที่ว่าเฮี้ยบๆ มันยังกล้าปีนเกลียวขึ้นไปเล่นด้วยเลยนะ” คำพูดของพี่เป้เล่นเอากุ๊กตะลึงไปเลย
“พี่หน่อย? เจ้านายกุ๊กอ่ะนะคะ??”
“อื้อ อ้าว! นี่โจ้มันยังไม่เคยเล่าให้กุ๊กฟังเหรอ ตายแล้ว พี่ขอโทษๆ โอ๊ย ทำไมพี่ปากพล่อยแบบนี้เนี่ย กุ๊กอย่าโกรธพี่นะ” พี่เป้รีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นกุ๊กส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ แล้ว... เค้าคบกันนานแล้วเหรอคะสองคนนี้เนี่ย?”
“อืมมม จริงๆ ก็นานแล้วนะ น่าจะหลายปีแล้วล่ะ ตั้งแต่กุ๊กยังไม่ได้เข้าไปทำงานที่นั่นเลยมั้ง แต่เห็นว่าคุยๆ กิ๊กกันช่วงสั้นๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรกันต่อ พี่ว่าพี่หน่อยเองก็คงไม่อยากให้เสียการปกครองด้วยแหละ”
“โห แสบเหมือนกันนะคะพี่โจ้เนี่ย”
“มากกกก” เรานั่งนินทาอีตาพี่โจ้เป็นประเด็นหลักอยู่บนโซฟารับแขก ยิ่งคุยกันก็ยิ่งถูกคอ ในขณะที่สองหนุ่มเองก็กำลังคุยถูกคอไม่แพ้กันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรานัก

“เป็นไงวะมึง อยู่ดีๆ ผีเข้าเหรอครับ จะแต่งเมียซะแล้ว” พี่บอยแซวพี่โจ้เสียงดัง
“แฮะๆ แหมพี่ ผมก็อายุพอสมควรแล้วนะ มันก็ไม่แปลกม้าง”
“ใครจะไปรู้วะ กูก็นึกว่ามึงจะสวมบทหนุ่มโสดเพลย์บอยไปตลอดชีวิตนี่หว่า รู้จักกันมาตั้งกี่ปี ไม่เคยเห็นมึงมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แล้วยังไงวะ น้องเค้ามีดีตรงไหน ทำไมถึงมัดใจมึงได้อยู่หมัดขนาดนี้ เล่นซะคุณโจ้พ่อเทพบุตรสุดหล่อ กลายเป็นหมาหงอยกลัวเมียไปซะได้”
“กุ๊กเค้าก็น่ารักดีพี่ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อ้อ แล้วที่สำคัญคือ กุ๊กมันหัวไวว่ะพี่ ไล่ทันผมตลอด คบกันแล้วสนุกดี ไม่มีเบื่อ”
“เออ ก็ดี เห็นมึงมีคู่กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝากูก็ดีใจด้วย เผื่อว่ามึงจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวเป็นหลักเป็นแหล่ง จะได้มีลูกน่ารักๆ แบบกูนี่ ดูซะๆ” พี่บอยร้องเห่อเสียงดังมาถึงวงสนทนาของกุ๊กกับพี่เป้ พลางชี้ชวนให้ดูน้องโอมที่กำลังนั่งต่อเลโก้อยู่กับพี่เลี้ยงไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องนั่งเล่น จนเราสองคนอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ เราใช้เวลาอยู่ทานข้าวเย็นกับพวกพี่ๆ เค้าอีกพักนึงก็ขอตัวลากลับ เพราะเริ่มจะดึกมากแล้ว

“พี่เป้เค้าน่ารักดีเนอะ เก่งอ่ะ ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว ดูแลลูกกับสามีได้ตั้งสามคน” กุ๊กเอ่ยชมสาวรุ่นพี่ให้พี่โจ้ฟังขณะอยู่บนรถ
“อื้ม น่ารักสิ สมัยเรียนเค้าก็ป๊อบอยู่นะ มีหนุ่มๆ มาจีบเพียบเลย พี่เค้าไม่ได้สวยมากนะ แต่ดูมีสเน่ห์ นิสัยก็ดี ห้าวๆ ใครเห็นก็ชอบทั้งนั้นแหละ” พี่โจ้เล่นชมซะจนกุ๊กเริ่มจะหึงขึ้นมาเลยค่ะ
“เอ๊าะเหรอ...? แล้วขี้หลีอย่างคุณพี่อ่ะ เคยไปจีบพี่เค้ามั่งรึเปล่าจ๊ะ?”
“โอ๊ย..! บ้า!ไม่มีร้อก พี่บอยเค้าเคลมไปตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว หวงเมียซะขนาดนั้น ใครที่ไหนมันจะกล้าเข้าไปยุ่งเล่า” พี่โจ้ตอบลนๆ จนกุ๊กเริ่มที่จะแปลกใจ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สงสัยอะไรมากมายเท่าไหร่ กว่าจะมารู้ความจริงเรื่องพี่เค้าสองคนก็หลังจากนี้อีกพักใหญ่นั้นล่ะค่ะ ต้องยอมรับว่าเซนส์ของผู้หญิงนี่มันแรงจริงๆ เลยนะคะเนี่ย

“เออ หนูถามหน่อยดิ ทำไมพี่กับพี่เป้ดูเหมือนอึนๆ กันเลย เหมือนไม่ค่อยอยากคุยกันเท่าไหร่ พี่เคยมีปัญหาอะไรกับเค้าเหรอ” พี่โจ้ได้ยินก็สะดุดไปนิดนึงออกอาการอึ้งๆ เล็กน้อย
“หือ!? เห็นเป็นงั้นเหรอ ไม่หรอกมั้ง”
“อ้าวเหรอ ก็เห็นพี่ดูอึดอัดเวลาคุยกัน นึกว่ามีคดีอะไรกันมาก่อนซะอีก”
“อ๋อ ไม่มีหรอก คิดมากน่าอ้วน เออ แล้วตกลงเรื่องสปาเนี่ยว่าไง โอเคมั้ย จะซื้อคอร์สเลยเปล่า พี่จะได้บอกไอ้หนึ่งมันให้” จู่ๆ พี่โจ้ก็เปลี่ยนเรื่องกระทันหันจนกุ๊กตามแทบไม่ทัน

“โอ๊ย! บ้า! แค่รอบเดียวก็พอแล้วย่ะ ให้กลับไปอีกรอบอ่ะอายเค้าตายเลย เล่นบ้าอะไรไม่รู้ ไม่ปรึกษากันก่อน” กุ๊กนึกถึงเรื่องที่ร้านนวดวันนั้นแล้วก็เคืองไม่หาย แต่ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่สุดท้ายพี่โจ้เองก็ยังหาทางตะล่อมจนกุ๊กใจอ่อน ยอมกลับไปใช้บริการที่ร้านของพี่หนึ่งได้อีกอยู่ดี แต่คราวนี้กุ๊กไม่ยอมพลาดแล้วค่ะ กำชับกับพี่หนึ่งด้วยตัวเองว่าขอแค่ทำสปากับนวดแบบปกติเฉยๆ ไม่ต้องแถมบริการพิเศษมาให้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นแค่การนวดน้ำมันธรรมดาๆ แต่การที่ต้องมานอนเปลือยอกให้หมอนวดหนุ่มๆ ล่ำๆ จับต้องร่างกายของเราเนี่ย มันก็อดตื่นเต้นใจสั่นไม่ได้นี่คะ นวดกี่ทีๆ ก็ไม่ชินซักที จะมีก็แต่อีพี่โจ้คนเดียวนี่แหละ ที่เห็นเป็นเรื่องสนุกชอบอกชอบใจ คอยเซ้าซี้ถามจี้ให้กุ๊กเล่าบรรยากาศเวลาไปนวดให้แกฟังทุกทีเลย บ๊องจริงๆ เล้ยตานี่

ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ของเรากับพวกพี่บอยพี่เป้ก็ดูจะเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น พี่โจ้เองน่ะสนิทกับพี่บอยดีอยู่แล้ว ส่วนกุ๊กเอง พอได้ฟังคำแนะนำเรื่องการจัดงานแต่ง การใช้ชีวิตคู่ต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่พี่เป้เองก็ยังรู้จักพี่โจ้ในระดับนึงด้วย กุ๊กก็เลยเริ่มนับถือพี่เป้ในฐานะรุ่นพี่ที่ปรึกษา คอยระบายปัญหาหัวใจต่างๆ กับแกสองคน ด้วยเหตนี้ ช่วงหลังๆ เราสองคนจึงถือโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้านพี่บอยกับพี่เป้บ่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นเหมือนพี่น้องคนสนิทกันเลยก็ว่าได้

ในช่วงแรกที่เราสองคนกำหนดฤกษ์แต่งงานเอาไว้ล่วงหน้าเกือบปีกว่าๆ กุ๊กเองก็ยังแอบคิดนะ ว่าเอ นี่เราวางแพลนกันไว้นานเกินไปหรือเปล่าน้อ มันรู้สึกเหมือนไม่ทันใจ อยากจะให้วันงานเดินทางมาถึงเร็วๆ แต่พอได้เริ่มเตรียมงาน เตรียมหาชุด หาสถานที่ รวมไปถึงเตรียมพวกของชำร่วยและเชิญแขกต่างๆ คราวนี้แหละค่ะ เวลาที่เคยวางไว้ก็แทบจะไม่ทันการณ์เลยก็ว่าได้ ไหนจะเรื่องงานของเราทั้งสองคนที่เวลายุ่งก็ยุ่งไปพร้อมๆ กันอีกล่ะ กว่าจะเตรียมงานกันมาได้สำเร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาจนเหลือไม่ถึงอีกเดือนแล้ว เราตัดสินใจเลือกเช่าห้องคชาธารของตึกช้างเป็นสถานที่จัดงานฉลอง โดยเลือกที่นี่เพราะขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ราคาพอรับได้ และเดินทางสะดวกสำหรับแขกหลายๆ ท่าน ซึ่งที่จริงแล้วก็มีจำนวนไม่มากเท่าไหร่ มีเพียงเพื่อนสนิทและบรรดาญาติๆ แค่ประมาณ 30-40 โต๊ะเท่านั้น ส่วนเรื่องพิธีหมั้นช่วงเช้าที่น่านนั้นก็ไม่ค่อยน่าห่วงอะไรเท่าไหร่ เพราะแม่กุ๊กกับพวกป้าๆ เค้าคุ้นเคยกันดีเรียกว่าจัดกันมาช่ำชองแล้วก็ว่าได้ เพราะลูกๆ หลานๆ ผู้หญิงก็แต่งงานกันไปเป็นฝั่งเป็นฝาหลายคนแล้ว

ซึ่งพอเตรียมเรื่องงานพิธีกับชุดเจ้าสาวเสร็จ ก็แทบจะยกภูเขาออกจากอกไปหมดแล้วล่ะค่ะ เพราะขั้นตอนยากๆ ก็ถือว่าเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้วันงานมาถึงเท่านั้น แต่ถ้าจะมีอะไรที่ยังทำให้กุ๊กอดหวั่นๆ ไม่ได้ล่ะก็ เห็นจะมีก็แต่งานปาร์ตี้สละโสดที่ยัยมินและยัยเอ๋เพื่อนซี้ ตระเตรียมเอาไว้ให้นี่แหละค่ะ ยิ่งใกล้วันงานปาร์ตี้เท่าไหร่ ใจมันก็ยิ่งตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนพวกมันแกล้งอะไรให้ได้อายบ้างในวันนั้น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น