วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

หอมกลิ่นโลกีย์ ตอนที่ 15

 
 

          หนึ่งเป็นห่วงนุชจะเสียเด็ก เพราะได้ยินเสียงแม่กับอาแปะหลับนอนกัน อยากพูดกับแม่แต่ไม่กล้า กลัวแม่ย้อนถามว่ารู้ เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ถ้าแม่เอ่ยเรื่องตั้มขึ้นมา ...ทํานองหล่อนมีอะไรกับแฟนหนุ่มแล้วกระมัง จึงได้ล่วงรู้เรื่องนี้ หล่อนก็ไม่ทราบจะแก้ตัวอย่างไร
          แต่การคิดอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นการรักห่วงตัวเองมากกว่าจะห่วงน้อง ยังไงก็คงต้องพูด พูดกับแม่ไปตรงๆเลย

          เย็นนั้นตั้มชวนไปเที่ยว แต่หนึ่งปฏิเสธ ต้องการกลับบ้านเพื่อรอแม่ แม่กลับมาจากทํางานแล้วจะได้พูดเรื่องนี้
          ปรากฏว่าแม่กลับค่ำ มีอาแปะมาส่งที่หน้าบ้าน นุชขึ้นไปอ่านหนังสือข้างบนห้องแล้ว จึงเป็นโอกาสดีของหนึ่ง คอยจนแม่อาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้ว มาที่ห้องรับแขกหล่อนจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น
          ...แม่ถอนหายใจหนักหน่วง แล้วยอมรับว่าคิดเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย แต่ทั้งหมดมันเป็นความต้องการของอาแปะ
          “บ้านเขาก็มีนี่จ๊ะแม่ เขาต้องการอะไรที่ทํายังงี้ น่าเกลียดมากๆเลยจ้ะแม่ สงสารนุชบ้างซีคะ ส่วนหนึ่งนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้ หนึ่งโตแล้ว รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี”
          อนงค์มองหน้าลูกสาวคนโต หนึ่งคงรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ไม่แน่ว่าคงจะลองกับเจ้าแฟนหนุ่มคนนั้น ส่วนนุชนั้นถือว่ายังเด็ก ไม่ค่อยรู้ประสีประสา หล่อนจะต้องป้องกันเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
          “แม่รับปากว่าจะจัดการให้ ทุกอย่างดีขึ้นจะลูก”
          หนึ่งยิ้มอย่างยินดี ยกมือไหว้แม่ ที่เข้าใจในเจตนาของหล่อน ซึ่งเป็นห่วงน้อง สําหรับตัวหล่อนเองไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว เพราะได้เรียนรู้เรื่องรักเป็นที่เรียบร้อยกับตั้มที่สอนให้อย่างเต็มอกเต็มใจ


          วันต่อมาอาแปะหมายใจว่าจะนอนค้างบ้านทาวน์เฮ้าส์ เขาจึงต้องผิดหวัง ...อนงค์พูดออกมาว่า อย่าทําอย่างนั้นเลย ด้วยท่าทางเด็ดขาด
          “ทําไมล่ะจ๊ะอนงค์
          “ลูกๆของฉันจะใจแตกหมดแล้ว เราสองคนทําอะไรกันเสียงดังลั่นบ้านเด็กคงไม่ชอบใจนัก”
          เจตนาของอาแปะมีอยู่ว่า อยากให้เด็กเหล่านั้นใจแตก เพื่อที่เขาจะได้แทรกตัวเข้าไป เด็กกําลังอยาก เขาเสนอตัวปุ๊บก็ได้ความปั๊บ เด็กอยากลอง ก็ได้ลองลิ้มชิมรส เข้าไปสักที ทีนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันมากอีกแล้ว จะต้องติดเนื้อต้องใจ แค่ลิ้นก็กินขาด อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย
          “นงค์ก็คิดมากไปได้ เด็กๆกําลังกินกําลังนอน ...ตกค่ำหัวถึงหมอนก็หลับกันปุ๋ย เพราะจะทําอะไรกันยังไง ก็ไม่มีใครตื่นมาได้ยินแล้ว มันอยู่คนละห้อง อย่ากลัวไปเลยน่ะ”
          “ไม่ได้หรอก กลัวลูกเสียคน”

          อาแปะยิ้ม คิดว่าถึงยังไงก็เสียไปแล้วละ หนึ่งน่ะเข้าโรงแรมกับไอ้หนุ่มคนนั้นอยู่ประจํา ตามที่บ๋อยโรงแรมบอก แล้วจะมาเหลืออะไรอีกล่ะ เด็กมันอยากรู้อยากลอง จะไปห้ามมันได้ยังไง
          “แปะยิ้มทําไม ยิ้มชอบกล”
          “เปล่านี่” อาแปะส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็ยิ้มที่อนงค์เป็นห่วงลูกมากจนเกินเหตุ
          “เกินเหตุหรือไม่เกิน ก็ไม่ต้องไปนอนค้างทาวน์เฮ้าส์ ฉันอยากจะนอนบ้านเดี่ยว ไม่ชอบทาวน์เฮ้าส์ ลงล้างลําบาก บ้านของอาแปะน่ะล้างก็สบาย ไม่ต้องออกจากห้อง ห้องน้ำมีเสร็จในตัว จะเล่นกันกี่ทีก็สบายมากไม่ต้องระแวงใครด้วย ห้องก็ติดแอร์อีกต่างหาก เก็บเสียง คนข้างบ้านก็ไม่รู้ แล้วยังงี้แปะลองคิดดูที่ไหนสะดวกกว่ากันล่ะ”
          อาแปะก็โต้แย้งไม่ได้ บ้านของเขามันพร้อมสรรพไปทุกอย่าง แม้เขาอยากไปนอนค้างทาวน์เฮ้าส์มากเพียงใด ก็ต้องยินยอมตามใจ อนงค์

          คืนนั้นจึงไปค้างบ้านเดี่ยว อนงค์โทรศัพท์บอกลูกๆว่าค้างบ้านอาแปะ ไม่ต้องเป็นห่วง ทําให้หนึ่งถอนหายใจโล่งอก
          “ถอนหายใจทําไมหรือจ๊ะพี่หนึ่ง”
          “อ้อ...นุช ทําไมเหรอ”
          หนึ่งเหลียวไปทางน้องสาวที่ยืนมองอยู่ นุชจึงถามย้ำเรื่องที่พี่สาวรับโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาว
          “อ๋อ...ก็ไม่มีอะไร เห็นพี่หนึ่งถอนหายใจ เหมือนโล่งอกอะไรบางอย่าง บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
          หนึ่งเดินเข้าหาน้อง ชวนให้นั่งลงที่โซฟานุ่มๆ แล้วจึงเอ่ยอธิบายว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร
          “พี่บอกกับนุชตรงๆเลยนะ พี่ไม่ชอบให้อาแปะมาค้างในบ้านเรา”
          “อ๋อ... นุชก็เหมือนกันจ้ะ อาแปะชอบมาทําให้แม่ส่งเสียงอะไรก็ไม่รู้ ดังมากเลยจ้ะ บางทีทําให้นุชนอนไม่หลับ คืนนี้แม่จะไม่กลับมานอนบ้านใช่ไหมจ๊ะ ดีเหมือนกันนะ แต่นุชก็คิดถึงแม่ อยากให้แม่นอนที่บ้าน แต่ไม่อยากให้อาแปะมาค้าง”
          ความคิดของนุชตรงกับหนึ่ง หล่อนยิ้มให้น้อง แสดงว่าน้องก็ไม่ยอมรับอาแปะเหมือนกัน
          “ถ้ายังงั้นเราต้องช่วยกันพูดกับแม่ ถ้าอาแปะจะมาค้างที่บ้าน เราอย่ายอมตกลงไหม”
          นุชยิ้ม “ตกลงจ้ะ”
          สองพี่น้องยิ้มให้กัน อย่างให้คํามั่นสัญญา

          อนงค์นอนค้างคืนที่บ้านอาแปะ หล่อนมีความสุขท่วมท้น ไม่ต้องระแวงว่าลูกจะได้ยินเสียง อาแปะมีแรงเท่าไรทําลงไป หล่อนก็ไม่พะวง กรีดร้องสุดเสียง มีอารมณ์เท่าไรก็ตอบสนองเท่านั้น
          อาแปะเล่นรักอย่างไร ท่าไหน หล่อนไม่มีขัด ร่วมสนุกสนานไปกับอาแปะด้วยไม่ว่าจะเล่นข้างหน้า หรือว่าจะย้ายไปเล่นทางข้างหลัง จะบนเตียง ข้างเตียง หรือยืนโก้งโค้ง อนงค์ก็โอเคไปทั้งหมด
          เล่นกันในห้องนอนไม่พอ อาแปะก็ยังชวนไปเสพรักกันในห้องน้ำอีกด้วย อนงค์ก็ชอบเปลี่ยนบรรยากาศ เล่นกันห้องน้ำใจคอสั่นสะท้านสนุกไปอีกแบบ เสียวลึกล้ำ โดนทิ่มตําทางข้างหลัง อาแปะสาวบั้นเอวจับตะโพกของหล่อน เหนี่ยวรั้งแล้วกระทุ้ง เหมือนยังกับเอาสากยักษ์ประเคนใส่ พรวดแล้วพรวดเล่า ทิ่มเข้าชักออกอยู่อย่างเมามันส์ ทําเอาหล่อนแทบจะขาดใจอยู่รอนๆ
          แต่ก็มันส์สุดยอด เด็ดสะระตี่ไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว อาแปะก็ง่านจัด ...ท่อนเนื้อแข็งเหมือนกับหิน ผงาดก๋าน่ากลัวเหลือหลาย หัวแดงบานทะโร่ไม่ผิดกับดอกเห็ด เสือกเข้าไปก็เหมือนกับลูกสูบ ตรงส่วนหัวบานของมันนั่น แหละที่ครูดกับเนื้อช่องสวรรค์ เสียวจนเกร็งแล้วเกร็งอีก

          ออกมาจากห้องน้ำเข้าห้องนอน ก็ชวนให้สนุกกันที่เตียง จับหล่อนนอนคว่ำ กระหน่ำรักทางข้างหลัง ท่าสุนัขเริงกาม โอ๊วว์...มันส์สะเด็ดยาดไปเลย กระแทกแรงเสียด้วย เนื้อตัวสั่นสะท้าน เต้าทั้งสองสั่นไหวไปทั้งหน้าอก อดไม่ได้ต้องเอามือข้างหนึ่งจับนมตัวเองขยํา เคล้นเสียจนปลิ้น
          อาแปะก็ยังไม่ยอมสําเร็จกิจ ยังจับหล่อนให้นอนตะแคงข้าง คุกเข่าคร่อมขาข้างที่อยู่ล่าง ขาบนดันไปแล้วยกพาดบ่าแล้วตัวเองก็สอดใส่ เปลี่ยนเป็นนั่งยองๆโยกลําเนื้อแกว่งลําเข้าทําร้ายกลีบอูมของหล่อน อนงค์ครางอ๋อย อาแปะเล่นท่าประหลาด ...ทยอยส่งความสุขเสียวให้หล่อนต่อเนื่องไม่ขาดสาย อาแปะเข้าใจทํา เป็นอีกท่าหนึ่งซึ่งทําให้หล่อนติดเนื้อต้องใจ
          เล่นเสียวทุกคืนทุกวัน อาแปะก็กําลังดี ไม่มีระย่อท้อถอย เล่นได้เรื่อยๆ อนงค์ต้องนับถืออาแปะในส่วนนี้ มันเป็นคืนที่ได้รับความสุข จนตอนเช้าไม่อยากตื่นไปทํางาน ทั้งมีความสุขและทั้งอ่อนเพลีย การเสียวสุขหลายครั้งหลายหนติดต่อกัน ทําให้ได้รับความอ่อนเปลี้ยเพลียกายอย่างยิ่ง


          ตั้มรักหนึ่งก็จริงอยู่ แต่เขาอยากจะนอนกับอนงค์ที่สุด ทําอย่างไรดี ...เขาเฝ้าแต่ครุ่นคิด เพราะเขาชอบสาวใหญ่วัยเดียวกับอนงค์ ว่าที่แม่ยายของเขามีอะไร... หลายๆ อย่างที่ถูกเนื้อต้องใจ
          ถ้าได้สักทีจะเล่นให้ครางอ๋อยไปเลย เขาพยายามที่จะพบกับหล่อนตามลําพังสองต่อสอง ...แต่จะทําอย่างไรดี ดูเหมือนมันไม่มีโอกาสเอาเสียเลย ไปที่บ้านก็ไม่มีทาง จะไปพบที่บริษัทก็คงไม่มีโอกาส มันเป็นเวลาทํางาน
          แต่มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ตอนกลับบ้านเขาน่าจะชวนหนึ่งขับรถแวะไปรับอนงค์ที่บริษัทนั่งรถกลับไปด้วยกัน ถึงมีหนึ่งอยู่ด้วยเขาก็สามารถที่จะใช้สายตาลอบชมความงามของอนงค์ได้
          เย็นนั้นเขาจึงลองพูดกับหนึ่ง ขณะที่หนึ่งเข้ามานั่งอยู่ในรถ เตรียมขับออกจากลานที่จอดรถของบริษัท
          “นึกยังไงจะไปรับแม่ด้วย”
          “ก็ไม่นึกยังไงหรอกจ้ะหนึ่ง แม่หนึ่งกลับยังไงล่ะ รถแท็กซี่มันแพงนะ ไหนๆเราก็ต้องกลับทางเดียวกันอยู่แล้ว แวะไปรับแม่จะเป็นไรไป”
          “บางทีอาแปะเขาก็ไปรับแม่เอง”
          “ก็ลองไปดู เผื่ออาแปะไม่ไปรับ ก็ให้ไปกับเราดีไหมล่ะ”
          หนึ่งคลางแคลงสงสัย ทําไมตั้มคิดอย่างนั้น ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่อยากขัด ตกลงให้ตั้มขับรถแวะไปหาแม่ที่บริษัทก่อน
          มันเป็นโอกาสเหมาะ อาแปะไม่ได้มารับอนงค์ หล่อนกําลังยืนรอแท็กซี่อยู่พอดีตั้มเหลือบเห็น
          “นั่นแม่หนึ่งใช่ไหม”
          “อ๋อ...ใช่จ้ะ”

          หนึ่งเห็นแม่กําลังชะเง้อมองอะไรอยู่สักอย่าง ตั้มเทียบรถจอด หนึ่งเปิดกระจกร้องเรียกแม่ อนงค์หันมา สีหน้ายินดีที่ได้เห็นรถของว่าที่ลูกเขย และนึกรู้ว่าเขาแวะมารับ
          ...หล่อนเข้าไปนั่งเบาะหลัง เพราะหนึ่งไม่ยอมเสียสละเบาะหน้าให้ ตั้มอยากให้อนงค์มานั่งเคียงข้างจะตาย แต่เขาก็บอกหนึ่งไม่ได้
          ออกรถมาแล้วอนงค์จึงบอกว่ากําลังรอแท็กซี่อยู่ และบ่นว่าอาแปะไปไหนไม่รู้ ไม่ยอมโทรบอกด้วย
          หนึ่งคุยกับแม่ แต่ตั้มขับรถมาเงียบๆ เขารู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ เหลือบมองอนงค์ทางกระจกมองหลัง ถ้าหนึ่งไม่ได้นั่งอยู่ในรถ เขาคงจะพูดโน่นคุยนี่กับอนงค์ไปแล้ว แต่ถ้าหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เขาขอเงียบดีกว่า
          เขาทําหน้าที่โชเฟอร์ที่ดีจนถึงหน้าทาวน์เฮ้าส์ จอดรถแล้วรีบลงไปเปิดประตูให้ว่าที่แม่ยายลง ...สําหรับหนึ่งเขาปล่อยให้หล่อนช่วยเหลือตัวเอง
          “...ไปเข้าไปในบ้านก่อนจ้ะ ขอบใจมากนะตั้มที่แวะรับ แล้วก็เปิดประตูให้ด้วย ขอบใจมากจ้ะ”
          อนงค์เองก็รู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก ตั้มเอาอกเอาใจ แต่รู้สึกว่าจะไม่ใช่ในฐานะที่หล่อนเป็นแม่ของหนึ่ง มันมีอะไรอีกอย่างที่หล่อนไม่เข้าใจ ตั้มกําลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง

          เข้าไปในบ้าน หนึ่งขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำอาบท่าก่อน... ปล่อยให้ตั้มอยู่คุยกับอนงค์ ตอนนี้เองที่เป็นโอกาสทอง ซึ่งตั้มรอคอยมานมนาน อนงค์นั่งไขว้ขา ชายกระโปรงเลิกขึ้น อวดขาอ่อน ทําเอาตั้มกลืนน้ำเย็นลงคออย่างยากลําบาก เขาอยากจะให้น้ำเย็นกลายเป็นเบียร์โดยพลัน
          อนงค์ไม่ใส่ใจแม้จะรู้ว่าตั้มมองขาอ่อน เสน่ห์อันร้อนแรงของหล่อน ไม่เลือกว่าหนุ่มหรือแก่ มันโปรยปรายไปทั่ว และทําให้เพศตรงข้ามใจคอปั่นป่วน หล่อนเป็นสาวใหญ่ที่ผู้ชายอยากอยู่ใกล้ชิด และหมายใจได้เชยชม
          เสื้อคอกว้างเต้านมอวบขาวล้นหลาม ก้มแต่ละทีแทบทะลักออกมาทั้งสองเต้า หล่อนพูดคุยกับเขาอย่างไม่คํานึงถึงท่าทีของตัวเอง ท่าไขว้ขาอย่างนั้นมันทําให้ตั้มมองลึกเข้าไปทางชายกระโปรงด้านล่างแทบว่าจะเห็นกางเกงใน เขาเพิ่งสังเกตหล่อนเต็มตาวันนี้ อนงค์สวยและร้อนแรงจริงๆ

          ...อนงค์ชวนคุยอย่างกันเอง ยิ้มอยู่ไม่ว่างเว้น ตั้มเอาแต่ตะลึงอยู่หลายหนหลายที หล่อนถามเขาว่าหนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง ตั้มตอบไม่ถูกก็บอกว่าหนึ่งเป็นคนดี น่ารัก อนงค์ก็พูดหยอกเย้าแบบทีเล่นทีจริง ซึ่งหล่อนถนัดในการพูดแบบนี้
          “ยังไงก็อย่าทําให้หนึ่งเสียใจนะจ๊ะ”
          “อ๋อ ๆ ไม่ ไม่หรอกครับ”
          “หนึ่งเป็นเด็กน่าสงสาร เค้าขาดพ่อ ช่วยดูแลเค้าด้วย มีอะไรไม่ถูกต้องก็ค่อยๆพูดกัน แล้วเธอเองน่ะ เจ้าชู้อยู่เหมือนกันใช่ไหมจ๊ะ”
          อนงค์พูดอย่างนี้ ทําเอาตั้มสะดุ้ง ตะกุกตะกักออกไปว่า  “เปล่า ผมไม่ได้ เอ้อ ผมไม่ได้เจ้าชู้”
          “แต่ดูท่าทีเธอเป็นยังงั้นนี่ แล้วสงสัยจะชอบสาวใหญ่เสียด้วย”
          ...ทําเอาแทบพลัดตกเก้าอี้ ทําไมว่าที่แม่ยายพูดตรงๆยังงี้ พูดแล้วก็หัวเราะขําๆ เขาก็วางหน้าไม่ถูก หล่อนอ่านเขาออกหมด เหมือนกับอ่านหนังสือ ก.ข.
          “เอ้อ...เข้าใจผิดหมด ผมไม่ใช่คนยังงั้น ผมรักหนึ่งคนเดียว”
          “ดีแล้วจ้ะ หนึ่งจะได้ไม่เสียใจ”
          “ครับ..เอ้อ..ครับ”
          เขารับคําอย่างงงๆ


          ตั้มหมกมุ่นครุ่นคิด พอออกมาจากบ้านแล้วเขาก็คึกคัก อย่างน้อยอนงค์ก็รู้ว่าเขาชอบสาวใหญ่ ...และก็น่าจะหมายถึงตัวหล่อนเอง
          ดีแล้วที่หล่อนรู้ ไม่ต้องบอกให้เมื่อย ท่าทางของหล่อน แววตาของหล่อนก็น่าจะมีใจกับเขาบ้าง หนึ่งนั้นเอาไว้ทีหลัง แม้ว่าเขาจะรักหนึ่ง แต่สําหรับอนงค์มันเป็นความใคร่ที่ลุกโพลงเหมือนไฟ
          อยากนอนกับว่าที่แม่ยายจนใจสั่นสะท้าน วันต่อมาเขาต้องโกหกหนึ่งให้หล่อนกลับบ้านเอง แล้วเขาแวะไปรับอนงค์หน้าที่ทํางาน แต่ไม่ไปส่งถึงบ้าน ทําเป็นเขาจะไปธุระ ขับรถผ่านมา ช่วยส่งให้ทอดหนึ่งเพื่อแบ่งเบาค่าแท็กซี่
          ...อนงค์ไม่ได้เล่าให้หนึ่งฟัง หล่อนก็ไม่เข้าใจตัวเอง หล่อนไม่ได้คิดจะแย่งคนรักของลูก แต่หล่อนอยากจะลองเปลี่ยนรสชาติจากอาแปะดูบ้าง และจะได้เป็นการพิสูจน์ด้วยว่าผู้ชายที่ลูกสาวเลือกนั้น จะมีความสามารถบนเตียงมากน้อยแค่ไหน
          เรื่องเซ็กซ์นั้นหล่อนถือว่าสําคัญไม่น้อยในชีวิตคู่ ถ้าตั้มไม่เก่ง หนึ่งก็จะผิดหวังไปจนตาย อารมณ์ค้างคืนแล้วคืนเล่า ลูกอาจเป็นโรคประสาท ความสุขเรื่องบนเตียงก็สําคัญไม่น้อย ไม่ยิ่งหย่อนกว่าความสุขทางด้านอื่น

          นับวันตั้มจะยิ่งประชิดติดตัวหล่อนมากยิ่งขึ้น เขาบังเอิญพบหล่อนอยู่บ่อยๆ อาแปะก็มัวไปทําอะไรอยู่ไม่ค่อยสนใจหล่อนเท่าที่ควร
          เรื่องนี้หนึ่งไม่ล่วงรู้เลย แต่หล่อนกังวลใจมาก ตั้มห่างเหิน ก่อนนั้นเคยขับรถไปส่งตอนเลิกงาน แต่ทุกวันนี้เขามีธุระทุกวัน ถามว่าธุระอะไร เขาก็อ้างแม่ใช้ไปบ้าง พ่อใช้ไปบ้าง บางทีก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของผู้ที่มีพระคุณ บอกไม่ได้
          เขากําลังทําอะไรอยู่ หล่อนไม่สบายใจ เขาได้หล่อนแล้ว และกําลังคิดตีจากหรืออย่างไร หนึ่งมองแม่ รู้สึกว่าแม่ของหล่อนจะมีความสุขเป็นพิเศษ แม้ไม่เห็นอาแปะไปมาหาสู่แต่แม่ก็ยิ้มระรื่นชื่นบาน
          นุชปรารภกับหนึ่งว่า  “ดีนะ ที่แม่ไม่พาอาแปะมาที่บ้านเลยนะพี่ นุชสบายใจดีจัง สงสัยจะเลิกกับอาแปะแล้วก็ไม่รู้”
          หนึ่งตอบน้องสาวว่า  “พี่เองก็ดีใจ แต่พี่ก็ยังสงสัยว่าแม่มีอะไรกับใครอีกคนหรือเปล่า มันยังไงๆอยู่นา”
          “ยังไงหรือจ๊ะพี่”
          อ่อนต่อโลก นุชจึงยังไม่เข้า ใจในท่าทีของผู้ใหญ่ แต่หนึ่งนั้นอยู่ใกล้แม่มากกว่าน้อง จึงอ่านกิริยาอาการของแม่ออก
          “พี่ก็ยังไม่แน่ใจหรอกจ้ะนุช บางทีพี่อาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้จ้ะ”
          “เออ...พี่ แล้วพี่ตั้มล่ะ หายหน้าไปเหมือนกันนะจ๊ะ”
          ...คําพูดของน้องสะกิดใจแสลงความรู้สึกนัก ตั้มหายไปไหน จะตอบน้องอย่างไรดี ตอบไปตามจริงดีที่สุด
          “เขามีธุระจ้ะ”
          ตอบแล้วฝืนยิ้ม แต่ดูเหมือนนุชจะถามเฉยๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคําตอบมากนัก น้องผละไปแล้ว แต่หนึ่งยังจมอยู่กับความครุ่นคิด


          วันต่อมาหล่อนเปิดฉากพูดกับตั้ม เพราะทนอึดอัดมานานนับเดือนแล้ว เขาจะว่าอย่างไรก็ให้พูดมาเลย อย่ามาทําแบบนี้ มันบั่นทอนความรู้สึกนัก
          “หนึ่งจ๊ะ พี่มีธุระจริงๆ เห็นใจพี่ด้วยเถอะจ้ะ พี่ไม่ได้คิดจะเอาใจออกห่าง หรือคิดเป็นอื่น พี่รักหนึ่งคนเดียวจ้ะ พอพี่เสร็จธุระแล้ว พี่ก็จะไปส่งหนึ่งที่บ้านเหมือนอย่างแต่ก่อน อีกไม่นานนี้แหละจ้ะ เกือบจะเสร็จธุระอยู่แล้ว”
          “สาบานได้ไหมล่ะ”
          “ได้จ้ะ พี่สาบาน พี่รักหนึ่งคนเดียว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน”
          เขาพนมมือสีหน้าจริงจังจน หนึ่งคลายความกังวล


                                         *****************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น