วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ด้วยรักและผูกพันธ์ ตอนนักเรียนใหม่ ep.2

 

 
 

"หล่อแล้วลูกแม่...." ผมสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงแม่นงค์กระเซ้าแหย่ ขณะที่กำลังสวมใส่ชุดนักเรียนตัวใหม่ พร้อมหันหน้ามองกระจกในห้องส่วนตัว ปรกติผมเป็นเด็กขี้อายไม่ช่างพูดอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงหวานๆของแม่นงค์แซว จึงรู้สึกขัดเขิน รีบโผเข้าไปหาร่างเพรียวของผู้เป็นแม่พร้อมซุกหน้าลงที่ร่องอกอวบใหญ่ด้วยความอาย

"แน่ะ..โตเป็นหนุ่มแล้วยังจะมาอายแม่อีกหรือจ๊ะ..." เสียงหวานๆของแม่ยังคงแซวผมไม่เลิก พูดพร้อมกับกอดรัดหัวทุยๆของผมแนบลงที่ร่องอก จนจมูกผมสูดได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ระเหยออกมาจากกายของผู้เป็นแม่

"แม่..อย่าแซวรามสิครับ..." ผมร้องบอกแม่อายๆ ส่ายหน้าไปมากับเต้านมอวบอิ่มทั้งสองเต้า โดยไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่นิด ว่ามันจะไปสร้างความรู้สึกอะไรให้กับแม่นงค์ของผม

"พอแล้วรามจ๋า..ปล่อยแม่ก่อน เดี๋ยวเสื้อผ้าแม่ยับ.." แม่ร้องบอกผมเบาๆเสียงหวาน แต่อ้อมแขนกลับไม่ยอมคลายปล่อยหัวทุยๆของผมให้เป็นอิสระ

"นมแม่หอมจัง...รามรักแม่ที่สุดเลยครับ..." ผมร้องตอบแม่ไปเช่นนั้น พร้อมกับหอมฟอดลงไปที่กลางร่องอกอวบอิ่ม ที่ล้นออกมาจากอกเสื้อของผู้เป็นแม่

"ปากหวานจังลูกแม่..เดี๋ยวพอโตกว่านี้ มีแฟน..คงลืมแม่..ลืมนมของแม่เป็นแน่...อิอิ"
"รามจะไม่มีแฟนครับ...รามรักแม่คนเดียว...ฟอดๆๆๆๆ" ผมร้องตอบยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น พร้อมระดมกดสันจมูกโด่งๆเล็กๆลงไปที่เต้านมอวบอิ่มขาวผ่อง จนมันยุบบุ๋มลงไป พร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดไปแรงๆติดต่อกันอีกหลายครั้ง จนแม่นงค์หัวเราะคิกคิก ก่อนจะค่อยๆดันหัวผมออกมา จ้องตาผมด้วยดวงตาหวานเยิ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

"จ๊า..แม่จะคอยดู...ว่ารามพูดกับแม่ว่ายังไง..ไปโรงเรียนกันเถอะจ๊ะ..เดี๋ยวสาย...ป๊าปปป" แม่ร้องบอกผมพร้อมจ้องตา แล้วดันตัวผมออกก่อนจะยกฝ่ามือฟาดเบาๆที่ก้นจนดังป๊าป เป็นการสัพยอกหยอกล้อ แล้วจูงมือผมลงมาจากห้องนอนส่วนตัวไปที่โต๊ะอาหาร ที่มีชามข้าวต้มหมูทรงเครื่อง ส่งกลิ่นและควันหอมกรุ่น เรียกน้ำลายให้มาสออยู่ที่ริมฝีปาก

"ทานข้าวเช้าก่อนจ๊ะ..แล้วค่อยไปโรงเรียนกัน อย่าช้านะจ๊ะราม..เดี๋ยวแม่ไปทำงานสาย..." แม่นงค์เร่งรัดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พร้อมยิ้มจนแก้มบุ๋มชวนมอง ผมเพิ่งมาสังเกตุเอาได้ในวันนี้เองว่าแม่ผมเป็นผู้หญิงสวยมากทีเดียว

"เอ้า..ทานสิจ๊ะ จ้องหน้าแม่อยู่ได้..." แม่ร้องเตือนอีกครั้ง พร้อมยกถ้วยกาแฟตรงหน้าจ่อริมฝีปาก ส่วนผมเริ่มตักข้าวต้มใส่ปากทานช้าๆ

"ทำไมแม่นงค์ไม่ทานข้าวเช้าเหมือนรามครับ..." ผมร้องถามด้วยความสงสัยเมื่อแลเห็นว่าเบื้องหน้าของแม่นงค์มีเพียงกาแฟดำ และขนมปังแผ่นบางๆเพียงข้างเดียว

"เดี๋ยวแม่อ้วนสิจ๊ะ..." แม่นงค์ลดถ้วยกาแฟลงมาจากริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปสิคสีแดง แล้วร้องบอกยิ้มๆ

"ไม่อ้วนหรอกครับ..แม่นงค์หุ่นดีจะตาย !..." ผมบอกออกไปตามความรุ้สึก

"ตายแล้วลูกแม่..ใครสอนให้พูดสบถจ๊ะ..คราวหลังห้ามพูดรุ้มั๊ย..." แม่นงค์ดุผมด้วยน้ำเสียงหวานๆเบาๆ หาได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวแม่แต่น้อย แต่ผมกลับเชื่อฟัง ตั้งใจว่าจะไม่หลุดคำสบถออกมาอีก

จนเราสองคนแม่ลูกทานข้าวเช้ากันแล้วเสร็จ แม่นงค์รีบดุนหลังผมไปขึ้นรถ เพื่อที่จะได้ขับไปส่งที่หน้าโรงเรียน แม้การจราจรจะยังไม่หนาแน่นนัก แต่กว่ารถของแม่จะขับมาถึงหน้าโรงเรียนก็เกือบสองโมงเช้าแล้ว พอแม่จอดรถสนิท ก็เอนตัวเอียงแก้มมาหาผม ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของผมกับแม่ที่จะต้องเอียงแก้มมาให้ผมจูบหอมก่อนทุกครั้ง แล้วหอมแก้มผมตอบกลับ ก่อนที่ผมก็รีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งออกไป แต่ก็ไม่วายที่จะหันมาโบกมือลา จนกระทั่งเห็นรถของแม่นงค์ ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจนลับตา จึงหันกลับมาเพื่อวิ่งไปยังห้องเรียน



ลิลลี่ ยัยแหม่มน้อยตัวแสบ

โครม...

อูยยยย......

แล้วร่างบอบบางเล็กๆของผมก็โดนใครสักคนชนโครมใหญ่ จนกระเด็นไหล่กระแทกผนังห้อง แว่นสายตาตกเพล้งลงกับพื้น ดีที่มันไม่แตก เพราะเลนส์แว่นไม่ใช่กระจก ผมรีบก้มตัวลงไปหยิบมาสวมใส่ พร้อมหันมองไปทางคนผู้ที่เดินมาชนผม ทันทีที่เห็นว่าเป็นรองเท้าคัทชูของผู้หญิง ผมก็ไล่สายตาสูงขึ้นจนถึงชายกระโปรงจีบสีกรมท่า จนเห็นว่าเธอคนนั้นกำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้า พลันสายตาผมก็ไล่สูงขึ้นไปจนถึงเสื้อนักเรียนสีขาวของผู้สวมใส่ เห็นอกเสื้ออูมๆ คงเป็นนักเรียนมอต้นเช่นเดียวกับผม แต่เธอคงโตกว่า เพราะเริ่มมีหน้าอกอูมๆดันเสื้อสีขาวออกมา แล้วผมก็ผวาใจตกไปจนถึงกระตุ่ม

เมื่อแลเห็นใบหน้าของเธอผู้นั้นชัดเจน ว่าไม่ใช่คนไทย เพราะใบหน้าเรียวสีขาวซีดๆ สีกระสีน้ำตาลจางตรงข้างแก้ม บวกกับสันจมูกโด่งแหลมและนัยต์ตาสีเขียวอมฟ้า กับเรือนผมยาวๆสีน้ำตาลผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินนั้น มันไม่มีส่วนใดบ่งบอกเลยว่าเธอเป็นคนไทยเช่นเดียวกับผม

"เอ้อ..ๆ..." หัวทุยๆของผมรีบค้นหาภาษาอังกฤษที่จะกล่าวคำขอโทษ แต่ยามฉุกละหุกและตกใจ ทำให้นึกไม่ออก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องนึก เพราะเสียงเขียวๆสั้นๆของเด็กฝรั่งชิงพูดออกมาเสียก่อน

"ซุ่มซ่ามจังไอ้แว่น..."

เด็กสาวฝรั่งผู้นั้นพูดจบก็รีบวิ่งไปเข้าแถว เพราะได้ยินเสียงออดเข้าโรงเรียน แต่ผมกลับยืนเซ่องุมมะงาหลา เดินตามหาห้องเรียนจนพบ ก็รีบวางกระเป๋าหนังสือไว้ในห้อง แล้วรีบวิ่งแนบไปยังแถวนักเรียนที่เพิ่งเริ่มตั้งแถวตามเสียงจากไมโครโฟนของอาจารย์ที่ร้องบอก

"นักเรียนใหม่ม.1..เริ่มตั้งแถวแรกตรงธงสีฟ้าเลยนะคะ..เริ่มจากม.1/1 เป็นต้นไป..." เสียงอาจารย์สาวดังแข่งเสียงพูดคุยโหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าวของนักเรียนใหม่ ร้องบอก ผมอยู่ม1/1 จึงไปยืนต่อแถวด้านท้ายๆที่เพิ่งเริ่มตั้งแบ่งแยกเป็นสองแถวนักเรียนหญิงและชาย

"เรียงลำดับความสูงกันด้วยนะคะ..." เสียงอาจารย์คนเดิมร้องบอก คราวนี้ผมเลยค่อยโดนดันไล่ต่ำลงไปตามระดับความสูง จนแทบจะต้องไปยืนเป็นคนสุดท้าย ด้วยรูปร่างบอบบางและเล็กเตี้ยกว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ในห้อง จนสักครู่แถวนักเรียนใหม่ก็ตั้งเสร็จ พร้อมกับเสียงเพลงชาติ ที่ถูกเปิดจากลำโพง และเสียงร้องคลอจนแล้วเสร็จ

อาจารย์ใหญ่ก็เปิดการอบรมพร้อมกล่าวต้อนรับ ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นทุกขณะ จนหลังผมมีเหงื่อออกมาจนชุ่ม ก่อนพธีการต้อนรับและอบรมจะแล้วเสร็จ แถวนักเรียนทั้งหมดก็ค่อยๆเดินทะยอยกันกลับเข้าห้อง แล้วหางตาผมที่เผอิญมองไปทางแถวนักเรียนหญิงก็กระตุก เพราะจำได้อย่างแม่นยำว่าหนึ่งในนั้น คือยัยเด็กฝรั่งที่เดินชนผมเมื่อเช้านั่นเอง

เธอก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน แต่หาได้มองมาอย่างเป็นมิตร หางตาเธอตวัดพร้อมแสยะปากเหยียดเสมือนดูถูก ดูแคลน ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันพุดต่อว่าเรื่องเมื่อสักครู่ที่เธอเดินชนผมแต่อย่างใด

จนกระทั่งนักเรียนทั้งหมดเดินกลับเข้ามาในห้อง ต่างแย่งกันหาที่นั่งดุชุลมุนวุ่นวาย มีหลายคนที่คงมาจากโรงเรียนเดียวกัน ต่างจับกลุ่มนั่งใกล้ๆกัน รวมทั้งยัยฝรั่งหน้าตกกระก็หาที่นั่งได้ มีเพียงผมที่ยืนหมุนเก้กังหาที่นั่งไม่ได้สักที เพราะพอเดินไปที่โต๊ะว่างๆ ต่างโคนที่นั่งเคียงข้างปฏิเสธว่าเธอหรือเขา จับจองไว้ให้เพื่อนแล้ว

ผมรอจนกระทั่งเพื่อนในห้องทุกคนได้ที่นั่งหมดแล้ว จึงเหลือแลกวาดสายตาไปทั่วห้อง เห็นว่ายังคงมีโต๊ะว่างอีกสองที่ติดกัน จึงรีบเดินไปวางกระเป๋าแล้วทรุดนั่ง

"ตรงนี้ถูกจองแล้วเช่นกัน...ชิ้วๆๆ" เสียงแปร่งๆ ของยัยเด็กฝรั่งที่นั่งข้างหน้าผมร้องบอกและขับไล่ผม
"ก็ผมไม่เห็นมีใครนั่งนี่ครับ..." ผมจำได้ว่าผมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่ค่อนข้างเบาออกไป แต่ทั่วทั้งห้องในตอนนั้นกลับเงียบลงไปสนิทเหมือนโดนนัดกันไว้

"เฮ้ย!... ตุ๊ดนี่หว่าฮ่าๆๆๆๆๆๆ..." แล้วเสียงของนักเรียนชายตัวสุงใหญ่ที่ถัดไปสองแถวก็ดังขึ้นมา จนเพื่อนๆในห้องต่างร้องโห่ฮา เสมือนผมเป็นตัวประหลาดในห้อง จนผมอับอายทรุกตัวลงนั่งก้มหน้า ไม่กล้าต่อปากคำ ด้วยรู้สึกว่าผมมีเพียงตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนเลยแม้สักคน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น